Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 481-487
ตอนที่ 481 ดุจดั่งปาฏิหาริย์
โดย
ProjectZyphon
กู้อวิ๋นถิงหยัดกายขึ้น เงาร่างสูงโปร่งประหนึ่งเทพลงมาเกิด รายล้อมด้วยประกายแสงสีทองดั่งภาพฝัน ผมยาวสีดำอ่อนนุ่มปลิวไสว ท่วงท่าโดดเด่นเป็นสง่า
เขาสวมชุดขาวทั้งตัว สองมือไพล่หลัง ค่อยๆ เงยศีรษะมองไปยังป้ายหิน มีความทรงพลังไร้รูปอันยากบรรยาย
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือบุคคลไร้เทียมทานผู้หนึ่งอย่างแน่นอน!
สายตาของคนทั่วลานล้วนถูกดึงดูด โดยเฉพาะศิษย์สาขายุทธ์วิถีพวกนั้น แต่ละคนต่างฉายแววเลื่อมใสและตั้งตารอ
ปิดด่านห้าปี บัดนี้ปรากฏตัวออกมาแล้ว กู้อวิ๋นถิงต้องมาช่วงชิงอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณแน่!
ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบงัน กู้อวิ๋นถิงเริ่มขยับตัว ย่างเท้าออกไปหนึ่งก้าว เปลวไฟสีทองสายแล้วสายเล่าพวยพุ่งทั่วผิวปฐพี ลำแสงเจิดจรัสผลิบาน
พรึบ!
เขายื่นมือเรียวยาวขาวเนียนออกไปหนึ่งข้าง เคาะเบาๆ ที่ผิวป้ายหิน เพียงชั่วครู่ป้ายหินเก่าแก่แผ่นนั้นก่อเกิดความผันผวนผิดวิสัย แสงพิรุณสาดกระเซ็น ส่องสว่างสุกใส ปกคลุมทั่วสรรพางค์กายของกู้อวิ๋นถิงเอาไว้
ตูม!
พลันเห็นว่าบนป้ายหินมีแสงเรืองรองพุ่งพรวด เกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด ประกายแสงแวววาวซัดสาดราวกับมหาสมุทร บาดตาหาใดเปรียบ
“อันดับหนึ่ง! พริบตาเดียวก็จะชิงอันดับหนึ่งได้! ศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงทรงพลังเกินไปแล้ว!”
สาวน้อยคนหนึ่งร้องเสียงแหลมขึ้น ตื่นเต้นจนพวงแก้มเรื่อแดง นัยน์ตาเป็นประกายพราวระยับ เปี่ยมด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้
คนอื่นๆ พลอยตื่นตะลึงไปด้วย แวบเดียวพวกเขาก็มองเห็นว่าชื่อของกู้อวิ๋นถิงดุจดั่งดวงทิวาแผดเผา กระโจนข้ามขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับหนึ่ง!
นัยน์ตาสีดำของหลินสวินล้ำลึก ผุดแววประหลาดขึ้นมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ในระดับมหาสมุทรวิญญาณกู้อวิ๋นถิงบรรลุขั้นจุดสูงสุดไปแล้ว
สิ่งที่น่าทึ่งมากที่สุดคือเขายังอ่อนวัยมาก เป็นดั่งดวงตะวันแรกทะยาน คนแบบนี้ฟ้าลิขิตให้เปล่งประกายเจิดจรัสอยู่บนหนทางแห่งมหามรรค
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนเหนือความคาดหมายคือ ทุกอย่างนี้ยังไม่สิ้นสุด!
ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนโครมครันหนึ่งระลอก กึกก้องราวสัจจรรยามหามรรค ซัดสะเทือนจิตวิญญาณ และบนป้ายหินเก่าแก่นั้นพลันเริ่มกลายรูปโดยบัดดล แต่ละชื่อล้วนถูกกลบมิด หลังจากนั้นก็ผุดเผยรายชื่อแปลกๆ ชื่อแล้วชื่อเล่าขึ้นมาอีกครั้ง!
สิ่งที่แตกต่างจากไปเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงคือ รายชื่อทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมาใหม่เหล่านี้ต่างสว่างไสวดั่งดวงอาทิตย์แผดจ้า อีกทั้งแต่ละชื่อยังคล้ายสัญลักษณ์มหามรรค เบ่งบานด้วยประกายแสงตราบชั่วกัลปาวสาน
นี่มัน…
ผู้ชมสูดลมหายใจเย็นวาบ เบิกตากว้าง แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดพวกเขาก็ยังไร้หนทางจะมองเห็นรายชื่อบนพื้นผิวป้ายหินอย่างแจ่มชัดอยู่ดี!
รายชื่อเหล่านั้นดูคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยพลังซ่อนเร้น ลำแสงแวววาวพราวระยับ ปราศจากหนทางจะสอดส่องได้!
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
บางคนงงงวย คนในลานส่วนใหญ่เป็นศิษย์สาขายุทธ์วิถีทั้งสิ้น ทว่าก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่พวกเขาได้เห็นกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติเช่นนี้
รายชื่อปัจจุบันหนึ่งร้อยชื่อที่อยู่บนนั้นหายวับ จากนั้นก็ปรากฏชื่อเจิดจ้าหนึ่งร้อยชื่อที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดขึ้นมาอีกครั้ง เห็นได้ว่านี่มันลึกลับและน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร
“นี่…คงไม่ใช่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณในตำนานหรอกกระมัง?”
ใครบางคนปริปากเสียงสั่น
กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ!
ครั้นได้ยินชื่อนี้เข้า ศิษย์ส่วนใหญ่ทั้งลานประดุจถูกอสนีบาตพุ่งโจมตี ฉุกคิดขึ้นได้โดยพลัน ในตำนานบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณยังมีรายนามที่ลึกลับยิ่งกว่าอยู่ ชื่อที่สามารถเรียงอยู่บนนั้นได้ ล้วนเป็นบุคคลโดดเด่นที่สุดในเวลาหลายพันปีมานี้
แต่ละชื่อล้วนเป็นเพชรยอดมงกุฎแห่งใต้หล้า สุดแสนอัศจรรย์!
กล่าวโดยสรุป ชื่อที่ประทับลงบนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณนี้ คือหนึ่งร้อยรายชื่อของผู้โดดเด่นที่สุดนับตั้งแต่สำนักศึกษามฤคมรกตก่อตั้งขึ้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาหลายพันปีนั่นเอง!
หลายพันปีมานี้ ในสำนักศึกษามฤคมรกตไม่รู้ว่ามีศิษย์ดั่งผู้กล้าถือกำเนิดสักกี่มากน้อย ทว่าท้ายที่สุดผู้ที่จะฝากรายชื่อไว้บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณได้ กลับมีเพียงแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น!
ด้วยเหตุนี้ก็สามารถคิดได้ว่า หากหมายจะไต่เต้าไปบนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายดายสักนิด
อย่างน้อยๆ ในสำนักศึกษามฤคมรกตก่อนหน้านี้ ยังไม่มีสักคนที่สามารถไต่เต้าไปอยู่บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณได้เลย!
มิเช่นนั้นคงกลายเป็นเป้าดึงดูดความสนใจของทั้งสำนักไปตั้งนานแล้ว!
แต่ในวันนี้ การปรากฏกายของกู้อวิ๋นถิงกลับก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ โดยการสำแดงรายชื่ออันดับบนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ
นี่หมายความว่าด้วยความสามารถในปัจจุบันของกู้อวิ๋นถิง สามารถไต่เต้าขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับผู้กล้าหนึ่งร้อยคนที่โดดเด่นที่สุดเป็นเวลานานหลายพันปีได้ใช่หรือไม่
ทั่วทั้งลานตกตะลึง สภาพจิตใจของศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นต่างพลุ่งพล่าน ราวกับเป็นสักขีพยานได้เห็นการเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นต่อหน้าต่อหน้า ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย
“สัตว์ประหลาดอีกตนสินะ”
สืออวี่พึมพำหนึ่งประโยค
พวกหนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี กงหมิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง กู้อวิ๋นถิงคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า หากสามารถฝากชื่อไว้บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณได้ ไม่พ้นหนึ่งวัน จะต้องสั่นสะเทือนสำนักศึกษามฤคมรกต สร้างชื่อทั่วสี่สมุทร ทั้งโลกต้องผวาแน่นอน!
“กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ…”
หลินสวินเงยหน้าขึ้นมองไปยังป้ายหินที่แสงทองพวยพุ่งนั้น แม้แต่เขาเองยังยากจะมองเห็นว่าร้อยชื่อแปลกๆ นั่นเป็นของใครกันแน่
กู้อวิ๋นถิงในเวลานี้รอบกายถูกปกคลุมด้วยแสงพิรุณ ศักดิ์สิทธิ์เหนือชั้น
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงธรรมดั่งเสียงแห่งสวรรค์ลอยออกมาจากป้ายหิน อึกทึกกึกก้อง ประดุจระฆังยามเช้ากลองยามเย็นในโบราณกาล ข้ามผ่านสายธารแห่งกาลเวลา ดังก้องขึ้นมาในสำนักศึกษามฤคมรกตในวันนี้!
เหง่งหง่าง~ เหง่งหง่าง~~
ชั่วขณะนี้ทั่วสรรพางค์กายของหลินสวินแข็งทื่อ สัมผัสได้อย่างเฉียบคมถึงเจตจำนงอันน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่าประดังเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ
ไม่ต้องสงสัยเลย เจตจำนงอันน่ากลัวเหล่านั้นจะต้องเป็นเหล่าสัตว์ประหลาดเก่าแก่ตนแล้วตนเล่าในสำนักศึกษามฤคมรกตที่ปลดปล่อยออกมาเป็นแน่ พวกเขาเองก็ตื่นตระหนกเช่นกัน!
“หนึ่งร้อยสามสิบเก้าปีที่ผ่านมา ป้ายหินปรากฏเสียงแห่งมหามรรคขึ้นมาอีกครั้ง อวิ๋นถิง เจ้าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ปิดด่านห้าปี แค่การเคลื่อนไหวเดียวก็กระโจนขึ้นไปอยู่บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ เคียงบ่าเคียงไหล่กับอัจฉริยะโบราณได้ วิเศษมาก!”
น้ำเสียงรำพันอันแปรปรวนสายหนึ่งดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน
ฝูงชนตกตะลึงอีกครั้ง คนจำนวนมากอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น พวกเขาล้วนตระหนักได้ว่ากู้อวิ๋นถิงประสบความสำเร็จแล้ว! ประสบความเสร็จในการไต่ขึ้นบนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ!
ไม่นานนักแสงสีทองบนป้ายหินพลันสงบนิ่ง ไม่พลุ่งพล่านปั่นป่วนอีกต่อไป
แสงพิรุณบนเรือนกายของกู้อวิ๋นถิงสลายไป ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งเหยียดตรงของเขา ชุดขาวโบกพลิ้ว เรือนผมสีดำปลิวไสว ดุจดั่งเทพเซียนจุติลงมา
เขาหมุนกายคล้ายจะจากไป
และในตอนนี้เอง หลินสวินจึงมองเห็นรูปลักษณ์ของกู้อวิ๋นถิงได้อย่างชัดเจนเสียที นี่คือบุรุษหล่อเหลาหมดจดคนหนึ่ง นัยน์ตากระจ่างใสราวกับดวงดาราพร่างฟ้า ชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าโดดเด่นเป็นสง่า
ยามที่เขาถือกำเนิด ได้มาพร้อมกับชะตาแห่งฟ้าดิน ครอบครองพรสวรรค์ ‘กายสุวรรณมรรคอัคคี’ และยามนี้เพียงยืนขึ้นเท่านั้นก็ทำให้ผู้คนมองออกว่าเขาคืออัจฉริยะเหนือใคร เป็นหงส์มังกรท่ามกลางมวลมนุษย์
“ศิษย์พี่กู้”
“คารวะศิษย์พี่กู้”
บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นต่างเปล่งเสียง เจือความเคารพยำเกรง เลื่อมใสศรัทธา
กู้อวิ๋นถิงทำเพียงพยักหน้า ท่าทีสงบไร้ระลอกคลื่น ก่อนจากไปอย่างแผ่วพลิ้ว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เปล่งเสียงเลยสักคำ
ราวกับว่าใครหรือสิ่งใดก็ตามที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ล้วนไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้
นี่เป็นท่าทีที่น่ายำเกรงและเย็นชาอย่างหนึ่ง แต่กู้อวิ๋นถิงก็มีความสามารถมากพอให้หยิ่งผยองได้ในระดับนี้จริงๆ
จนกระทั่งเงาร่างของกู้อวิ๋นถิงหายวับ บรรยากาศในลานยังคงเงียบสงัดตามเดิม คนจำนวนมากล้วนยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลังเมื่อสักครู่
“เจ้านั่นเชิดได้ที่เลยจริงๆ”
หนิงเหมิงกล่าวพึมพำ
“นั่นเพราะผู้อื่นมีต้นทุนพอจะโอ้อวด ถ้าเจ้าไม่ยอม ก็ไปไต่ขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณสิ ข้ารับรองว่าจะกราบไหว้เจ้าเป็นคนแรกเลย”
สืออวี่เหน็บหนิงเหมิงหนึ่งประโยค
หลินสวินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ สายตาเขาถูกป้ายหินสะกดเอาไว้ ค้นพบว่าแม้กู้อวิ๋นถิงจะจากไป รายชื่อบนป้ายหินก็ยังคงส่องแสงอร่ามด้วยตัวเอง ไม่สามารถถูกสอดแนม เห็นชัดว่าเป็นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ยังไม่ได้หวนสู่การจัดอันดับกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณอย่างก่อนหน้านี้
“เอ๋ รายชื่อกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณยังไม่หายไป!”
มีคนค้นพบจุดนี้เข้า เพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็เรียกสายตาผู้ชมทั้งลานโดยพลัน คนหนุ่มจำนวนมากต่างสดชื่นกระปรี้กระเปร่า กระหายใคร่ลอง อยากลองดูสักตั้งว่าจะสามารถฝากชื่อของตนไว้บนนั้นได้บ้างหรือเปล่า
แน่นอน นี่เป็นการเฝ้าปรารถนาอย่างหนึ่งล้วนๆ
“ให้ข้าลองดูหน่อยเถอะ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวไปเบื้องหน้า สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ทำการเรียกรวมลมปราณทั่วสรรพางค์กาย ฝ่ามือหนึ่งกดลงบนพื้นผิวป้ายหินแผ่นนั้น
เคร้ง~
ตามมาด้วยเสียงกึกก้องหนึ่งเสียง ป้ายหินเปล่งแสง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
สีหน้าชายหนุ่มดูมีความหวัง รีบร้อนเงยหน้าขึ้นกวาดหารายชื่อของตน
ทว่าไม่นานเขาก็ต้องผิดหวัง จนกระทั่งป้ายหินหวนสู่ความสงบนิ่ง ก็ยังไม่มีอะไรเกินขึ้น
“ข้าว่านะพี่ชาย แม้แต่ร้อยรายชื่อกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเจ้ายังไต่ไม่ถึง ยังกล้าฝันจะฝากชื่อบนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณอีก ความอาจหาญช่างอู้ฟู่จริงๆ เลยนะ”
หนิงเหมิงส่งเสียงหัวเราะหยันออกมา
ทันใดนั้นชายหนุ่มพลันหน้าแดงลามไปถึงคอ ก่อนหมุนกายออกห่างป้ายหินด้วยโทสะ
ทว่าคราวนี้ศิษย์คนอื่นๆ ต่างกลับสู่ความสงบแล้ว ปัดเป่าภาพเพ้อฝันไม่สมจริงภายในใจออกไป นั่นเป็นถึงกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณเชียวนะ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถไต่เต้าได้อย่างแน่นอน
อีกอย่างพวกเขาค้นพบแล้วว่ากระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนจะปรากฏชื่อหนึ่งร้อยชื่อก่อนหน้านี้ของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง
อันดับแรกยังคงเป็นจ้าวจิ่งเหวินตามเดิม เพียงแต่ไม่มีชื่อของกู้อวิ๋นถิงปรากฏอีกแล้ว เห็นชัดว่าเขาไต่เต้าสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ และแยกตัวออกจากกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณแล้วนั่นเอง
สิ่งนี้ทำให้ศิษย์จำนวนมากในลานสะเทือนใจอีกระลอกหนึ่ง
“หลินสวิน เจ้ารุดหน้ามาหนนี้ไม่ใช่ว่าอยากไต่กระดานเหมือนกันหรือไง ทำไมไม่เห็นลงมือสักที ถูกศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงทำเอาตกใจจนหัวหดแล้วหรือ”
ทันใดนั้นมีคนเปล่งเสียง ขานชื่อหลินสวินคล้ายจะยั่วยุ
“นั่นน่ะสิ เจ้าก็เข้าไปลองสักหน่อยประไร เผลอๆ อาจจะสร้างปาฏิหาริย์เหมือนกันก็ได้นะ แต่เห็นชัดว่าความแข็งแกร่งเท่านี้ของเจ้าน่ะ ถูกลิขิตให้ไร้หนทางเทียบเทียมศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงแล้วก็แค่นั้น”
“บอกกี่ครั้งครั้งกี่หนแล้ว อย่าเอาเขามาเทียบกับศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิง เขาไม่คู่ควร”
ศิษย์เหล่านั้นเห็นชัดเลยว่าจงใจยั่วยุและถากถาง เริ่มปฏิบัติการกระตุ้นหลินสวินในเชิงลบเต็มเหนี่ยว
ในมุมมองของเขา บางทีวันนี้หลินสวินอาจจะไต่เต้าสู่กระดานทองคำมหาสมุทรวิญาณได้ แต่เขาหมายจะอาศัยเรื่องนี้มาชิงดีชิงเด่น กลับทำไม่ได้เลยสักนิด
เนื่องจากมีมหาบรรพตลูกนี้อย่างกู้อวิ๋นถิงอยู่ ไม่ว่าการสำแดงของหลินสวินจะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไต่เต้าสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณได้!
กระทั่งว่า ยังไร้ซึ่งหนทางจะเทียบชั้นกับจ้าวจิ่งเหวินอันดับหนึ่ง และจั่วอวี้จิงที่ได้อันสอบสองบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณด้วยซ้ำ!
แน่นอน นี่เป็นความคิดเห็นของศิษย์สาขายุทธ์วิถีพวกนั้น
“หลินสวิน เจ้าพวกนี้มีตาหามีแววไม่ จงใจทับถมเจ้า ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าคงทนไม่ไหวแน่”
หนิงเหมิงร้องอย่างมีโทสะ
“ข้ามาเก็บคะแนนสะสมต่างหาก ไม่ได้มาพิสูจน์ให้ใครเห็นเสียหน่อย”
หลินสวินกลอกตา
“เก็บคะแนนสะสม…”
ศิษย์เหล่านั้นนิ่งอึ้ง กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์มากเพียงใด ทว่าไอ้หนุ่มนี่กลับมาเพื่อเก็บคะแนนสะสมหรือ
นี่เป็นการดูหมิ่นกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณอย่างหนึ่ง ทำเอาผู้คนโกรธจนผมเผ้าชูชัน!
“หลินสวิน เจ้ายังมีศักดิ์ศรีในฐานะผู้ฝึกปราณคนหนึ่งบ้างหรือเปล่าเจ้านี่มันหยาบคายนัก ทำให้คนชังน้ำหน้าเสียจริง!”
ศิษย์เหล่านั้นแผดเสียงร้องขึ้นมาอย่างเกรี้ยวโกรธ
หลินสวินคร้านจะไยดีคนพวกนี้แล้ว ครุ่นคิดสักประเดี๋ยวก่อนถามพวกสืออวี่ “ถ้าชื่อสามารถไต่ขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ก็จะได้รับคะแนนสะสมที่มากยิ่งขึ้นใช่หรือเปล่า”
“เอ่อ…”
คราวนี้พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างแน่นิ่งกันหมด
บอกตามตรง พวกเขาเองก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณนั้นพิเศษมากเกินไป อีกทั้งยังไม่เคยปรากฏมาตั้งหลายปีแล้ว ใครก็ไม่สามารถบอกแน่ชัด ว่าหากชื่อไต่เต้าไปบนนั้นแล้วจะสามารถรับคะแนนสะสมที่สอดคล้องกันได้หรือไม่
ส่วนศิษย์สาขายุทธ์วิถีพวกนั้นล้วนอดโมโหไม่ได้ นั่นเป็นถึงกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณเชียวนะ! เป็นเกียรติยศเหนือสุด ศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถล่วงละเมิด ไหนเลยจะเอามายึดโยงกับคะแนนสะสมได้?
เจ้าหลินสวินคนนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
ตอนที่ 482 ปรากฏการณ์ประหลาดอุบัติต่อเนื่อง
โดย
ProjectZyphon
สีหน้าบรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีต่างไม่น่าดูขึ้นมาทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้หลินสวินเผยพลังต่อสู้โหดร้ายป่าเถื่อนเหลือประมาณบนลานแสดงยุทธ์ เกรงว่าพวกเขาคงเข้าไปสั่งสอนหลินสวินตั้งนานแล้ว
พวกเขาต่างไม่เคยเห็นคนที่โอหังหยาบกระด้างเช่นนี้มาก่อน!
หลินสวินหาได้ใส่ใจพวกเขาไม่ ยังคงยืนอยู่หน้าป้ายหิน คิดคำนวณในใจ
ก่อนหน้านี้เอาชนะสืออวิ๋นเผิง เซวียอวิ้น จินจู๋หลิว หลันอวี่รวมสี่คน ทำให้เขาได้ป้ายประจำตัวมาสี่แผ่น คะแนนที่เพิ่มขึ้นรวมกันแล้วน่าจะใกล้ประมาณหนึ่งพันห้าร้อยคะแนน ยังห่างจากห้าพันคะแนนอยู่มาก
พูดได้ว่าอย่างน้อยเขาต้องหาอีกสามพันห้าร้อยคะแนนถึงจะสามารถก้าวเข้าสู่ ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ ได้
หลินสวินทอดถอนใจ ช่างยุ่งยากจริงๆ
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าการก้าวขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณจะได้คะแนนหรือไม่ แต่ข้ารู้ว่าหากสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณก็จะได้รับรางวัลสองพันคะแนนทันที!”
สืออวี่เริ่มพูด
“ที่จริงแล้ว มิสู้เจ้าลองก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งดูสิ คว้ารางวัลที่เหลือมาก่อน หลังจากนั้นค่อยดูว่าจะไต่เข้ากระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณต่อหรือไม่”
หนิงเหมิงเสนอแนะอย่างไม่ใส่ใจ
หลินสวินคล้อยตาม สองพันคะแนนถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว
“โอหังนัก พวกเจ้าเห็นอันดับหนึ่งแห่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเป็นสิ่งใดกัน นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆ ต่างก็สามารถก้าวขึ้นไปได้หรือไง”
ศิษย์สาขายุทธ์วิถีคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“เจ้าคนถ่อยพวกนี้ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ศิษย์คนอื่นส่งเสียงเอะอะขึ้นบ้าง พวกเขาต่างโกรธแค้นยิ่งนัก แต่ไรมาหลินสวินก็เย่อหยิ่งพอตัวแล้ว คิดไม่ถึงว่าคำพูดคำจาของสืออวี่และหนิงเหมิงจะโอหังเช่นนี้ ราวกับว่าการแย่งชิงอันดับหนึ่งแห่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเป็นเรื่องที่ทำได้ตามใจ
“หากพวกเจ้าไม่พอใจ มิสู้มาท้าพนันกันเป็นอย่างไร ถ้าข้าทำได้ พวกเจ้าก็นำคะแนนที่มีทั้งหมดให้ข้า หากข้าแพ้คะแนนที่ข้ามีก็เป็นของพวกเจ้า”
หลินสวินพูดพลางยิ้มกริ่ม แววตาจ้องมองไปยังบรรดาศิษย์เหล่านั้น
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เพื่อที่จะได้คะแนนมา เจ้าหมอนี่สติฟั่นเฟือนถึงขั้นท้าพนันแล้ว!
เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
แต่บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นโกรธแทบถึงขีดสุดแล้ว ยามหลินสวินอยู่บนลานแสดงยุทธ์ สีหน้าท่าทางราวพ่อค้าหน้าเลือด เล่นกับชีวิตเพื่อคะแนนเท่านั้น
มาวันนี้เขายังท้าพนันเพื่อให้ได้คะแนนมาอีก นี่ถ้าไม่ใช่พ่อค้าหน้าเลือดจะเป็นอะไรไปได้
พวกเขาสงสัยนักว่าคนแบบหลินสวินกลายมาเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณได้อย่างไร ทั้งยังประสบความสำเร็จเฉกเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร ในสายตาเขานอกจากความมั่งคั่งแล้ว แม้แต่หน้าตา ศักดิ์ศรี ความน่าเกรงขามก็ไม่ต้องการเสียแล้วกระมัง
“ข้าเดิมพันกับเจ้าเอง!”
ศิษย์คนหนึ่งลุกขึ้น หยิบป้ายประจำตัวของตนออกมาอย่างกราดเกรี้ยว “ข้าอยากลองดูนักว่า เจ้าหนูอย่างเจ้าจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้หรือไม่!”
“ข้าร่วมด้วย”
“เรื่องดีเช่นนี้จะขาดข้าไปได้อย่างไร”
ภายในเวลาอันรวดเร็วก็มีศิษย์กว่าห้าหกคนลุกขึ้น แต่ละคนต่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหมายท้าพนันกับหลินสวิน ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าหลินสวินจะแย่งชิงอันดับหนึ่งมาได้
ไม่ดูหน่อยหรือว่าอันดับหนึ่งตอนนี้คือใคร
เป็นจ้าวจิ่งเหวิน! บุคคลผู้เป็นดั่งกษัตริย์โฮ่วอี้ในตำนาน เปล่งประกายราวดวงตะวันอันโชติช่วง!
คนหยาบคายจองหองเช่นหลินสวินถูกกำหนดไว้เป็นเพียงไข่มุกเม็ดเล็กๆ เท่านั้น มิอาจเทียมสู้แสงตะวันจันทรา
ศิษย์คนอื่นต่างสงบนิ่งลงไม่น้อย แม้แต่อันดับห้าแห่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณอย่างหลันอวี๋ยังพ่ายแพ้ในกำมือหลินสวิน นี่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าหลินสวินแข็งแกร่งเพียงใด
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่กล้าผลีผลามร่วมด้วย
“พวกเจ้าไม่เข้ามาเล่นด้วยกันรึ”
ใบหน้าหล่อเหลาของหลินสวินเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสอ่อนโยนอบอุ่น มองมาทางศิษย์เหล่านั้น
ที่น่าเสียดายคือบรรดาศิษย์พวกนี้ถึงแม้จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ไม่ถูกหลอก ในทางกลับกันเห็นหลินสวินนิ่งสงบท่าทางมั่นใจเช่นนั้น ในใจพวกเขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
“ช่างน่าเสียดายนัก…”
หลินสวินพูดเสียงแผ่วกับตัวเอง สูดหายใจเข้าคราหนึ่ง ดวงตาดำขลับมองไปยังป้ายหิน สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
ตัวเขาในขณะนี้ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน กิริยาท่าทางดั่งหุบเหวลึก สงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน ครอบคลุมไปด้วยท่วงท่าทระนงสง่างาม
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงมองอย่างจดจ่อ เมื่อครู่ยังพูดคุยหัวเราะด้วยกัน แต่พอหลินสวินเตรียมจะไต่ขึ้นอันดับอย่างเอาจริง ในใจของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย
อันที่จริงสิ่งที่ป้ายหินทดสอบมิได้มีเพียงพละกำลังเท่านั้น ยังมีพรสวรรค์และพลังแฝง แต่เท่าที่พวกเขาทราบตั้งแต่กำเนิดหลินสวินประสบเหตุการณ์เลวร้าย ถูกพรากคุณลักษณะพรสวรรค์หายากอย่าง ‘หุบเหวกลืนกิน’ ไป
นั่นหมายความว่าอย่างน้อยที่สุดสำหรับเรื่องพรสวรรค์ เกรงว่าหลินสวินจะเสียเปรียบอยู่มาก ไม่อาจเทียบกู้อวิ๋นถิงผู้มี ‘กายสุวรรณมรรคอัคคี’ ได้
“ฮึ ดูทำท่าทำทางเข้า!”
เห็นหลินสวินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีต่างยิ้มเยาะ พวกเขาต่างรอดูความสนุกจากหลินสวินกันทั้งนั้น
วู้ม!
หลินสวินยื่นมือขวาออกมา สงบจิตใจประทับฝ่ามือลงบนพื้นผิวป้ายหิน
เพียงชั่วพริบตาเดียว พื้นผิวป้ายหินสีดำสนิทปรากฏแรงกระเพื่อมยากหยั่งถึงแลดูมหัศจรรย์ แสงสีทองส่องประกายลอยล่องราวกระแสน้ำขึ้นลง
เห็นแสงแพรวพราวสุดพรรณนาพวยพุ่งออกมาจากใต้ป้ายหินอย่างไม่คาดฝัน พุ่งทะยานขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็ไล่มาถึงสิบอันดับแรก
“นี่มัน…”
บรรดาศิษย์เหล่านั้นต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง ความเร็วในการเลื่อนระดับนี้เร็วเกินไปแล้วกระมัง
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเองก็อ้าปากค้าง ถึงแม้ไม่ใช่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ แต่แค่กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณนี้ก็ไม่ธรรมดาเอาเรื่อง
ผู้ที่สามารถจารึกชื่อไว้บนนั้นได้ มีเพียงศิษย์ชั้นยอดในสาขายุทธ์วิถี ทั้งยังมีเพียงร้อยตำแหน่งเท่านั้น!
แต่ในชั่วพริบตาหลินสวินก็สามารถนำชื่อพุ่งพรวดไปถึงสิบอันดับแรกได้ เห็นได้ชัดถึงความแข็งแกร่งและน่าจับตามองอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ผู้คนตกตะลึง
“ไม่ต้องกังวล สิบอันดับแรกมีขึ้นก็มีลง ที่สำคัญคือสามอันดับแรก ล้วนเหมือนภูเขาลูกใหญ่สูงชันสามลูก หากจะปีนป่ายขึ้นไปนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่นอน”
ศิษย์คนหนึ่งวิเคราะห์อย่างใจเย็น “หลินสวินเคยทำให้หลันอวี่พ่ายแพ้ เขาทำได้ถึงขั้นนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา ต่อจากนี้ต้องดูว่าเขามีความสามารถพอที่จะขึ้นไปยังสามอันดับแรกหรือไม่!”
เมื่อพูดเช่นนั้น ศิษย์คนอื่นๆ ต่างค้นพบว่าลำแสงที่แสดงถึงอันดับของหลินสวินนั้น หลังจากถึงสิบอันดับแรกแล้วความเร็วก็ช้าลงจริงอย่างที่คิด
นั่นทำให้พวกเขาสงบใจลงเล็กน้อย
อันดับเก้า
อันดับแปด
อันดับเจ็ด
…
ยิ่งอันดับหลินสวินสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกสืออวี่ หรือบรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีในที่นั้น ต่างจิตใจตื่นเต้นตามอันดับที่เปลี่ยนไป
ยิ่งเห็นว่าอันดับของหลินสวินเลื่อนเลยอันดับห้าไล่มาถึงอันดับสี่ ศิษย์ที่เข้าร่วมท้าพนันสีหน้าต่างถอดสี
แต่พวกเขากลับไม่ท้อใจด้วยเรื่องแค่นี้และยอมแพ้แน่ เพราะความยากลำบากที่แท้จริงอยู่ที่สามอันดับแรก!
สามอันดับแรกนั้น อันดับหนึ่งคือจ้าวจิ่งเหวิน อันดับสองคือจั่วอวี้จิง อันดับสามคือหญิงสาวผู้มีนามว่าอวี่หรูหั่ว
เดิมทีกู้อวิ๋นถิงอยู่ในอันดับสอง เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาพลิกฟ้าและอยู่เหนือผู้ใด กดอันดับหนึ่งอย่างจ้าวจิ่งเหวินลงได้ และพาตนเองขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ลำดับรายชื่อจึงยึดตามกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณที่หายไป ส่งผลให้ตำแหน่งรายชื่อที่อยู่รองลงมาอย่างจ้าวจิ่งเหวิน จั่วอวี้จิง อวี่หรูหั่วทั้งสามคนเลื่อนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นจ้าวจิ่งเหวิน จั่วอวี้จิง หรืออวี่หรูหั่ว ต่างเรียกได้ว่าเป็นคนแถวหน้ารุ่นเยาว์แห่งสาขายุทธ์วิถีในขณะนี้
เปรียบเสมือนผู้มีอิทธิพล มิใช่ใครก็สามารถมาสั่นคลอนได้โดยง่าย
หลินสวินในตอนนี้มาถึงอันดับสี่ เขาจะมีพลังพอไต่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งภายในครั้งเดียวได้หรือไม่?
ทุกคนต่างจับตามอง
เพียงแต่ขณะนั้นกลับเกิดเหตุประหลาดอย่างคาดไม่ถึง
บังเกิดเสียงธรรมดั่งเสียงจากสวรรค์กึกก้องกังวาน เก่าแก่เนิบช้า ราวก้าวผ่านสายธารแห่งกาลเวลา ขณะเดียวกันแสงวิเศษเจิดจ้าพุ่งตรงสู่ฟากฟ้า ป้ายหินโบราณส่งเสียงสะท้อน ทางเดินบุปผชาติร่วงหล่นดอกแล้วดอกเล่า แสงทองกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ปกคลุมทั้งป้ายหินและหลินสวิน รวมถึงฟ้าดินบริเวณนั้น!
“นี่มัน…”
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงจ้องตาเขม็ง สั่นสะท้านทั้งกายและใจ ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ครอบคลุมวงกว้างยิ่งกว่าที่กู้อวิ๋นถิงเคยทำเสียอีก ทั้งยังทางเดินบุปผชาติร่วงหล่น นั่นเป็นพลังพลังแห่งสัจจะโดยแท้!
หรือว่าหลินสวินเองก็จะเปิดม่านสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนั้น?
“เป็นไปได้ยังไงกัน!”
บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นตระหนกตกใจร้องเสียงหลง ถูกปรากฏการณ์ที่จู่ๆ ครอบคลุมกว้างใหญ่ไพศาลนี้ทำให้สั่นสะท้าน ภายในใจล้วนสั่นระริก
กู้อวิ๋นถิงก่อนหน้านี้ก็เคยชักนำปรากฏการณ์ประหลาด หรือหลินสวินในตอนนี้จะตามไปด้วย เลื่อนขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ?
แต่ในเวลาอันรวดเร็วก็มีคนสังเกตว่า ถึงแม้ปรากฏการณ์ประหลาดนั้นแผ่กว้างมหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ แต่พื้นผิวป้ายหินยังเป็นกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเหมือนเดิม และยังไม่ปรากฏกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณให้เห็น!
สิ่งที่จุดประกายให้ศิษย์เหล่านั้นอย่างยิ่งยวดคือ อันดับของหลินสวินหลังจากมาถึงอันดับที่สี่กลับชะงักอยู่ตรงนั้น ไม่เพิ่มขึ้นอีก!
“ฮ่าๆๆ ข้านึกว่าเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นจริงเสียอีก ที่แท้เจ้าหลินสวินนี่ก็มีเพียงเท่านี้!”
“ยังคิดเพ้อเจ้อหวังขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอีกหรือ ฝันไปเถอะ!”
“ชนะแล้ว ฮ่าๆๆ ชนะแล้ว สวรรค์มีตาจริงๆ”
บรรดาศิษย์เหล่านั้นต่างอดไม่ได้ที่จะตะโกนดีใจลิงโลด แต่ละคนต่างรู้สึกยินดีปรีดาหลังตกอยู่ในความอึดอัดมานาน หยิ่งผยองระเริงตัว กระหยิ่มยิ้มย่องจนพูดไม่ออก
พวกสืออวี่เองก็ตะลึงงัน ปรากฏการณ์ประหลาดยิ่งใหญ่มหัศจรรย์เช่นนั้น ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้?
ตึง!
เวลานี้เสียงธรรมดั่งเสียงจากสวรรค์ดังขึ้นอีกครั้ง บนป้ายหินโบราณนั้น แสงประกายสีทองกลายเป็นทางเดินบุปผชาติแห่งมหามรรค เบื้องบนทะยานขึ้นเก้าชั้นฟ้า เบื้องล่างโน้มจรดพื้นดิน ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณด้วยประกายแพรวพราวศักดิ์สิทธิ์เหลือพรรณนา แม้ร่างของหลินสวินเองก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ทุกคนในที่นั้นต่างใจสั่นระรัว ปรากฏการณ์ประหลาดยังปรากฏขึ้นอีก หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น?
แต่เมื่อเห็นว่าบนป้ายหินยังคงเป็นกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ อีกทั้งอันดับของหลินสวินก็ไม่ได้เปลี่ยนไป บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นต่างลอบถอนใจ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะและได้ใจ
แต่สำหรับพวกสืออวี่กลับขมวดคิ้วมุ่น มีบางอย่างคาดเดาไม่ออก ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก แตกต่างจากปรากฏการณ์ประหลาดที่กู้อวิ๋นถิงก่อให้เกิดโดยสิ้นเชิง เรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่?
ซ่าๆ
พวกเขาหาได้รู้ตัวไม่ ขณะที่เสียงธรรมดังกึกก้องกังวาน อาณาเขตอื่นๆ ในสำนักศึกษามฤคมรกต ปรากฏเจตจำนงอันน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่า ปกคลุมไปทั่วในฉับพลัน
“มีศิษย์จะเลื่อนขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณอีกแล้วงั้นรึ”
“เด็กคนนี้เป็นใครกัน”
“มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ร่างกายถูกพลังแห่งสัจจะมหามรรคแผ่คลุมอยู่ ไม่สามารถสัมผัสได้”
“เหตุการณ์ดูเหมือนไม่ชอบมาพากล ทุกท่านลองไปดูหน่อยเถิด ปรากฏการณ์ประหลาดยิ่งใหญ่หาใดเปรียบเช่นนี้ แต่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณกลับยังไม่ปรากฏ”
“ก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรือ”
“ดูเหมือนเคยมีมาก่อน แต่คลุมเครือเกินไป เรื่องก่อนหน้านี้ถูกคนปิดบังไว้ จัดการรายละเอียดทั้งหมด ทำให้ผู้คนไม่ทราบความเป็นจริง”
เจตจำนงอันน่าหวาดกลัวเหล่านั้นยังคงหมุนวน ล้วนแล้วแต่น่าตกใจ ยากคาดเดาถึงความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน
ป้ายหินโบราณนี้มีที่มาน่าอัศจรรย์ สืบทอดมาจากดินแดนโบราณแห่งหนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณกาล ต่อให้ถูกหลอมแล้วเคลื่อนย้ายมายังสำนักศึกษามฤคมรกตแห่งนี้กว่าหลายพันปี ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถไขความลับที่ซ่อนอยู่ในป้ายหินทั้งหมดได้!
………………………
ตอนที่ 483 สายน้ำแห่งกาลเวลา คลื่นซัดกวาดผู้กล้าหล่นลับหาย
โดย
ProjectZyphon
เจตจำนงอันน่าหวาดกลัวแต่ละสายนั้น เปรียบดั่งตัวแทนของสัตว์ประหลาดเฒ่าแต่ละคนซึ่งจำศีลอยู่ภายในสำนักศึกษามฤคมรกต
ก่อนหน้านี้ยามกู้อวิ๋นถิงไต่ขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณก็ทำให้พวกเขาตื่นตกใจแล้ว แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าเพียงไม่นาน ป้ายหินเก่าแก่โบราณจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏการณ์ประหลาดครานี้ยังพิเศษเป็นอย่างมาก ตลอดหลายพันปีมานี้ล้วนไม่มีระบุไว้ ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกตกใจพิศวง
ทางเดินบุปผชาติร่วงหล่น แสงประกายทองทะลุผ่านฟ้าดิน สิ่งเหล่านี้สื่อถึงสิ่งใดกัน
ตึง!
ทันใดนั้นบนป้ายหินเก่าแก่โบราณพลันเกิดเสียงธรรมโบราณดั่งเสียงจากสวรรค์ก้องขึ้นอีกครั้ง เติมเต็มกลิ่นอายแห่งกาลเวลา ลึกลับซับซ้อนเกินคาดเดา
เห็นแสงประกายถาโถม แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่คลุมไปทั่ว ราวกับธารน้ำตกแห่งมหามรรคไหลรินพาดผ่านป้ายหิน ฟองคลื่นแต่ละระลอกล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายพลังแห่งสัจจะอันลึกลับมหัศจรรย์เหลือประมาณ
“เสียงดังขึ้นครั้งที่สามแล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้านี้ยิ่งงดงามขึ้นทุกที!”
“เหตุใดแต่ก่อนไม่เคยได้ยินว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”
“แปลกประหลาด บนป้ายหินยังคงเป็นกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ไม่มีร่องรอยกระดานรวมให้เห็นเพียงนิด…”
เจตจำนงอันน่าหวาดกลัวเหล่านั้นล้วนตกใจ ยากคาดเดามากยิ่งขึ้น
ถึงขนาดพวกสืออวี่ หนิงเหมิงและบรรดาลูกศิษย์สาขายุทธ์วิถีต่างตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น พวกเขาถูกเสียงธรรมอันน่าสะพรึงทำให้จิตใจเสียการป้องกัน หัวสมองพลันว่างเปล่า
ณ เวลานี้ ห้วงฟ้าเหนือสาขายุทธ์วิถีล้วนกังวานด้วยเสียงธรรมจากสวรรค์ที่เปี่ยมกลิ่นอายโบราณเก่าแก่แห่งกาลเวลา ก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงและน่าประหลาดใจนานัปการ
เหล่าอาจารย์และบรรดาศิษย์ต่างหยุดทุกการกระทำ รู้สึกถึงความไหวหวั่นจากก้นบึ้งของหัวใจ มิอาจสงบจิตใจ ต่างพากันเงยหน้ามองไปยังจุดเดียวกัน… ยอดเขามหาสมุทรวิญญาณ!
ที่นั่นแสงทองย้อมโลก กลิ่นอายมหามรรคเปลี่ยนเป็นน้ำตกแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลหลั่งสู่โลกมนุษย์ ดุจดั่งแดนสุขาวดีแห่งเทพเซียน พาให้คนสั่นสะท้าน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ผู้คนมากมายต่างพิศวง
ตึง!
ไม่นานนักเสียงเสียงธรรมดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่ ก้องสะท้อนกับป้ายหินเก่าแก่โบราณ ในระหว่างนั้นถึงขั้นเห็นปรากฏการณ์ประหลาดบุปผาสวรรค์โปรยปราย เทวรัศมีร่ายรำ ปทุมทองพรั่งพรู อริยะเทศน์ธรรม
ช่างโชติช่วงและสง่างามเหลือเกิน ทำให้เจตจำนงอันน่าหวาดกลัวเหล่านั้นต่างค่อยๆ จมสู่ความเงียบงัน ไม่อาจทำความเข้าใจได้
เวลานั้นไม่เพียงแต่สาขายุทธ์วิถีเท่านั้น สาขามังกรเร้น สาขายอดยุทธศาสตร์ สาขาสลักวิญญาณ สาขากลยุทธ์เทพ และอาณาเขตลึกลับยิ่งกว่านั้นต่างมีเสียงธรรมสะท้อนกังวานไปด้วย ดั่งมังกรครวญ ดุจหงส์ขับขาน ไอมงคลอบอวลฟ้าดิน!
บนทางศิลาครามเล็กๆ กู้อวิ๋นถิงในชุดขาวราวเทพเซียนปลีกวิเวกโดดเดี่ยวพลันหยุดชะงัก หันไปยังทิศที่ห่างไกล ดวงตาระยับดั่งประกายดาราคู่นั้นสาดประกายแสงเจิดจ้า ราวกับต้องการฉายส่องทุกความรางเลือน
จากนั้นเขาพลันตระหนก เป็นตำแหน่งของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ!
หรือว่ายังมีผู้ไต่ขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณตามตนมาอีก
กู้อวิ๋นถิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันเงาร่างก็หายไปจากตำแหน่งเดิม
“เสียงธรรมก้องกังวาน สัจจะมหามรรคปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องสะท้านโลกขึ้นกระมัง”
ทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกตต่างตื่นตระหนก เสียงอื้ออึงดังทั่วทุกสารทิศ
ที่เชิงเขามหาสมุทรวิญญาณ ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าร่างผอมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูๆ แล้วเหมือนคนธรรมดาสามัญทั่วไป สองมือไพล่หลังก้าวเท้าขึ้นมาทีละขั้น
“อา ไม่ยอมประทับชื่องั้นรึ”
ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาซูบตอบ ดวงตาขุ่นมัว หางตาเต็มไปด้วยริ้วรอย ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
แต่เมื่อเขาเงยมองไปยังป้ายหินเก่าแก่โบราณนั่น ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นลึกล้ำดั่งหลุมดำ ภายในเต็มไปด้วยรอยสลักลึกลับแห่งมหามรรคไหลเคลื่อน แหวกผ่านความว่างเปล่า เสมือนสามารถสอดส่องเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน!
“อย่าให้อึกทึกต่อไปอีกเลย”
ครู่หนึ่งผู้เฒ่าร่างผอมขมวดคิ้วมุ่น ชายเสื้อโบกสะบัด
การเคลื่อนไหวเพียงแผ่วเบา กลับเห็นท้องฟ้ากระเพื่อมเกิดลมกรรโชกในบัดดล พัดเอาชั้นเมฆกระจัดกระจายทั่วทิศ!
ประกายทองที่ถาโถมแผ่ลอย แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลร่วงปกคลุมล้วนราวกับถูกฝ่ามือใหญ่ที่มองไม่เห็นลบออกไป พริบตาพลันเลือนหายเหลือเพียงความว่างเปล่า ประหนึ่งว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ครืน
ขณะเดียวกันพลังไร้รูปร่างปกคลุมลงมาครอบคลุมทั่วบริเวณ ทันใดนั้นเสียงก้องสะท้อนทั้งหมดล้วนจางหายไป
ท้องฟ้าสีครามเงียบสงัด ป้ายหินเก่าแก่ยังคงอบอวลไปด้วยแสงประกายทอง แต่กลับไม่ยิ่งใหญ่ดังก่อนหน้า
“หืม?”
“ผู้ใดลงมือกัน”
“นี่… ทำไม… ท่าน… ท่านก็ถูกทำให้ตกตะลึงเช่นกันหรือ”
เจตจำนงน่าหวาดกลัวเหล่านั้นต่างจับจ้องมาทางนี้ กระทั่งสังเกตเห็นทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป ทำให้พวกเขารู้สึกงงงวย
โดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็นผู้อาวุโสร่างผอมนั้น เจตจำนงน่าหวาดหวั่นเหล่านั้นคล้ายรู้สึกไม่อยากเชื่อ ตกอยู่ในความสั่นสะท้าน
“พวกเจ้าไปเสียเถอะ เรื่องในวันนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป”
ผู้อาวุโสร่างผอมตอบอย่างแผ่วเบา
เพียงประโยคเดียวราวกับเมฆขาวลอยล่องบางเบา หากแต่เหมือนความประสงค์ที่มิอาจขัดขืน ทำให้เจตจำนงน่าหวาดกลัวเหล่านั้นพากันถอยกลับไปโดยไม่มีลังเล
ในเวลาเดียวกันนี้ผู้อาวุโสร่างผอมก็มาถึงยอดเขาแล้ว มองเห็นพวกสืออวี่ที่ตกอยู่ในภวังค์ และเห็นบรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้น
ท้ายที่สุดสายตาเขาหยุดลงที่ร่างของหลินสวินซึ่งยืนอยู่หน้าป้ายหิน
“ที่แท้เป็นเจ้าเด็กคนนี้นี่เอง…”
…
สภาพการณ์ของหลินสวินตอนนี้น่าแปลกมาก ราวกับจิตวิญญาณปรากฏช่องว่าง สายธารแห่งกาลเวลาไหลหลั่ง
ฟองคลื่นแต่ละระลอกประหนึ่งประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตกาลจวบจนปัจจุบันกำลังล่องลอย โคจรตามวิถียากหยั่งถึง เลื่อนไหลไปยังสถานที่ห่างไกลซึ่งไม่มีใครรู้จัก
หลินสวินยืนตระหง่านบนระลอกคลื่นหนึ่ง ทวนกระแสน้ำขึ้นไป แววตาราวหวนนึกถึงอดีตแห่งกาลเวลา หมายจะไล่ตามประวัติศาสตร์แต่หนหลัง
เขาเห็นภาพเงาร่างมากมาย ล้วนสุกสกาวดั่งอาทิตย์ร้อนแรง ล่องลอยบนเกลียวคลื่นแต่ละระลอก ล้วนโดดเด่นจับตา ส่องแสงสว่างฟ้าดิน
เมื่อสายตาของหลินสวินจับจ้องยังเงาร่างที่อยู่ใกล้ที่สุด ทันใดนั้นก็เห็นแสงทองทั่วร่างอีกฝ่ายพลันสลายไป ปรากฏร่างแข็งแกร่งสูงใหญ่กำยำ
เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง หว่างคิ้วห่าง นัยน์ตาม่วง ลักษณ์พิเศษตั้งแต่กำเนิด มีอานุภาพแกร่งกร้าวปานเลือดเหล็ก
เพียงชั่วแวบเดียวในใจหลินสวินก็ประจักษ์แจ้ง ‘อิงซิงเหิน ขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณเมื่อหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าปีก่อน อยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อย!’
ชายหนุ่มผู้นี้ ที่แท้คือผู้กล้าท่านหนึ่งเมื่อหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าปีก่อน จวบจนทุกวันนี้ร่องรอยของเขายังปรากฏอยู่บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ไม่เคยจางหายไป!
หลินสวินตระหนกอยู่ในใจ
สายตาเขาเคลื่อนมองไปยังเงาร่างที่อยู่ก่อนหน้าอิงซิงเหิน
ชั่วครู่เดียวรูปลักษณ์ของสาวงามนางหนึ่งปรากฏขึ้น นางอยู่ในอาภรณ์ขาวรองเท้าเขียว ผมสีดำม้วนเป็นมวย ใบหน้าสวยงามสดใส พาดกระบี่เงินราวหิมะขาวบนแผ่นหลัง ท่วงท่าองอาจกล้าหาญ
‘สวี่อ๋าว ขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณเมื่อสามร้อยเก้าสิบเก้าปีก่อน อยู่ในอันดับที่เก้าสิบเก้า’
จนตอนนี้หลินสวินจึงได้กระจ่างถึงสถานที่ที่เขายืนอยู่ ที่แท้คือเขตแดนมายาแห่ง ‘กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ’!
เงาร่างที่เรียงรายอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลา ก็คือบุคคลชั้นยอดที่ไต่ขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ!
ต่อให้ผ่านไปกี่พันปี อันดับของพวกเขายังคงอยู่ ไม่เคยถูกสั่นคลอน!
หรือกล่าวได้ว่า พวกเขาคือผู้กล้าระดับมหาสมุทรวิญญาณชั้นยอดหนึ่งร้อยคนในสำนักศึกษามฤคมรกตแห่งนี้ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา
‘ไม่สิ กู้อวิ๋นถิงเองก็ก้าวขึ้นมาแล้ว อันดับของกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณถูกสั่นคลอน เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่อันดับที่เท่าไหร่’
หลินสวินตกอยู่ในห้วงความคิด
สายตาเขายังคงมองไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อสายตาเขาสัมผัสไปถึง เงาร่างที่เดิมปกคลุมด้วยแสงทองพร่างพราวไม่อาจจ้องมอง ก็ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างแท้จริงให้เห็นเป็นลำดับ
‘ฉินอู่หยาง ขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณเมื่อสี่ร้อยเจ็ดสิบเจ็ดปีก่อน อยู่ในอันดับที่เก้าสิบแปด’
‘ซ่งชิงฉือ ขึ้นมาเมื่อหกร้อยห้าสิบสี่ปีก่อน…’
‘ฮวาหลินยวน เมื่อแปดร้อยสิบสามปี…’
‘จ้าวอวิ๋นซี…’
เมื่อมองไปเรื่อยๆ ในใจหลินสวินก็เกิดคลื่นอารมณ์ไหลหลั่ง เงาร่างเหล่านั้นล้วนเป็นตัวแทนของผู้กล้าที่โดดเด่นจับตาที่สุดในช่วงสมัยหนึ่ง ทุกคนต่างมีบารมีเป็นของตัวเอง บ้างกล้าหาญไม่ธรรมดา บ้างงดงามสันโดษ บ้างดุดันแข็งกร้าว…
หากหลินสวินเดาไม่ผิด เงาร่างที่เขาเห็นเหล่านี้ ดูจากสกุลของพวกเขาก็รู้ได้ว่าส่วนมากล้วนมาจากราชวงศ์และเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลในปัจจุบัน!
นั่นทำให้หลินสวินอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ นี่ก็คือต้นสายปลายเหตุแห่งอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ เท่านี้ก็รู้ได้อย่างชัดแจ้ง
หืม?
ทันใดนั้นหลินสวินก็เห็นร่างที่คุ้นตา…กู้อวิ๋นถิง! อยู่ในอันดับที่หกสิบสี่ของกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ!
‘เจ้านั่นเป็นพวกวิปริตดังคาด ในหมู่ผู้กล้าหนึ่งร้อยคนที่กำเนิดขึ้นช่วงหลายพันปีนี้ สามารถก้าวขึ้นมาถึงอันดับที่หกสิบสี่ได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ’
หลินสวินทอดถอนใจกับตนเอง ทันใดนั้นก็เกิดปัญหาหนึ่งขึ้น เงาร่างที่อยู่ข้างหน้ากู้อวิ๋นถิง เขามองเห็นได้ไม่ถนัดนัก!
เงาร่างนั้นอบอวลไปด้วยประกายสีทอง ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดล้วนไม่อาจเห็นรูปพรรณสัณฐานของอีกฝ่ายได้
ขณะเดียวกันหลินสวินก็พบว่าเงาร่างที่ถูกเขามองทะลุนั้น ขณะนี้ไหลเลื่อนห่างไปพร้อมฟองคลื่น ร่วงหล่นอยู่เบื้องหลังของตน
หรือนี่หมายความว่า ด้วยพลังการต่อสู้ รากฐานและพรสวรรค์ของตนในตอนนี้ สามารถครองอันดับที่หกสิบสามของกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ?
ตึง!
ทันใดนั้นเสียงธรรมดั่งเสียงจากสวรรค์ดังขึ้น ทำให้จิตใจหลินสวินสั่นสะท้าน
ขณะเดียวกันพลังประหลาดลึกลับหนึ่งก็ไหลเข้าสู่ร่างกาย และเริ่มแผ่ขยายออกราวกับกำลังรับรู้ทุกสิ่งภายในร่างของเขา
ประหลาดมหัศจรรย์ยากแก่การเข้าใจ ภายในจิตใจหลินสวินก่อเกิดความขัดแย้งและต่อต้านขึ้น ความรู้สึกนั้นเปรียบดังดวงตาที่มองไม่เห็นดวงหนึ่งกำลังขุดค้นความลับภายใจจิตใจเขา
โดยเฉพาะเมื่อพลังส่วนหนึ่งใกล้จะสัมผัสเข้าใกล้เส้นปราณหัวใจ จิตใจหลินสวินเปลี่ยนเป็นกระวนกระวาย ตำแหน่ง ‘ชีพจรวิญญาณ’ บนจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจไม่เงียบสงบอีกต่อไป แปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงแผดเผาหาใดเปรียบ
ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
หึ่มๆๆ
ขณะเดียวกันนี้ ภายในห้วงนิมิต ‘ประตูสวรรค์’ สูงตระหง่านเกิดแรงกระเพื่อมและเปิดออกฉับพลัน
เพียงพริบตาเดียวก็ปะทะกับพลังลึกลับซึ่งไหลเข้าสู่ร่างกายสายนั้น
ตู้ม!
หลินสวินรู้สึกเพียงร่างกายใกล้จะระเบิดออก เสมือนภูเขาไฟสองลูกปะทะกัน แต่เขาไร้ซึ่งกำลังจะควบคุมทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นพลังลึกลับสายนั้นที่ไหลเข้ามาในร่าง หรือพลังจากประตูสวรรค์ ล้วนแล้วแต่อัศจรรย์เหลือล้น เวลานี้ราวกับศัตรูคู่อาฆาตพานพบกันก็มิปาน เลือกเอาร่างกายเขาเป็นดั่งสนามประลอง ต่างฝ่ายต่างปะทะกันอย่างรุนแรง
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หลินสวินตกตะลึงจนพูดไม่ออก ‘ประตูสวรรค์’ แต่ไรมาลอยเลื่อนอยู่ในห้วงนิมิต จมดิ่งอยู่ใต้ความเงียบสงัดมาโดยตลอด หลินสวินนำมันมาเป็นทางผ่านสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์เท่านั้น ไม่เคยให้ความสนใจอีกด้วยซ้ำ
ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามาวันนี้มันกลับเคลื่อนไหวแปลกประหลาด!
เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น พลังลึกลับสายนั้นก็ถูกผลักกระจาย แต่หลินสวินไม่ทันได้พักหายใจก็ได้ยินเสียงตึงดังขึ้น!
เสมือนเสียงธรรมดั่งเสียงจากสวรรค์ดังขึ้นอีกครั้ง!
พร้อมกันนั้นพลังลึกลับนั่นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ไหลทะลักเข้าร่าง เทียบกับเมื่อครู่แล้วแข็งแกร่งกว่ามาก!
และ ‘ประตูสวรรค์’ เองก็ประหนึ่งเหมือนถูกยั่วยุ เริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน ปลดปล่อยคลื่นพลังลูกแล้วลูกเล่าโรมรันไปเบื้องหน้า
ครืนๆๆ
หลินสวินรู้สึกเพียงร่างกายราวกับจะระเบิดออก แรงปะทะระหว่างพลังทั้งสองฝั่งนั้นทำให้จิตวิญญาณของเขาต่างสั่นสะท้าน ทั่วทั้งร่างเสมือนว่าจะพังทลาย!
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่
สีหน้าหลินสวินตกตะลึงผิดแปลกหาใดเปรียบในทันที
…………………….
ตอนที่ 484 การเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด
โดย
ProjectZyphon
ปึง! ปึง! ปึง!
ฉับพลันหลินสวินไม่อาจสนใจอะไรได้อีก ด้วยสนามประลองภายในร่างกายน่าสะพรึงกลัวเกินบรรยาย ทำเส้นลมปราณ จุดชีพจน กล้ามเนื้อและกระดูก เลือดเนื้อทั่วร่างของเขาเสมือนเครื่องแก้วที่ไม่อาจทนทานต่อแรงกระหน่ำ เกิดเสียงดังสนั่นราวกับแตกทลาย!
ละอองโลหิตแผ่กระจายวงแล้ววงเล่า เส้นลมปราณแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เส้นแล้วเส้นเล่า เจ็บปวดสาหัสสุดแสนจะพรรณนา ทำให้หลินสวินเกือบจะเป็นลมหมดสติไป
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเพียงแค่ต้องการไต่ขึ้นกระดานเท่านั้น ทำไมถึงประสบกับหายนะไม่คาดฝันเช่นนี้ ถึงกับจะทำลายสังขารของเขาให้สิ้นไป!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันมาก แม้ว่าจิตใจหลินสวินแข็งแกร่งประดุจหินผา เวลานี้ต่างมิอาจห้ามไม่ให้สติหลุดลอย หรือวันนี้ต้องตายจากไปอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้เช่นนี้?
ไร้สาระสิ้นดี!
เขายังไม่ทันได้หลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ไม่ได้สังหารศัตรูของตระกูลหลินพวกนั้น ไม่ได้แก้แค้นหนี้เลือดให้บิดามารดา…
จะตายไปเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
หลินสวินไม่ยินยอม!
ชีพจรวิญญาณถูกช่วงชิงไปตั้งแต่เด็ก ไม่ง่ายเลยกว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้ จะรีบร้อนตายไปทั้งอย่างนี้ได้อย่างไรกัน
หลังก้าวผ่านความยากลำบากเหลือคณานับ เขาเพิ่งจะฟื้นคืนชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดได้ ไต่เต้ามาถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสูงสุด มีวิถีฝึกปราณเป็นของตนเอง แต่มาวันนี้จะให้สิ้นสุดลงเช่นนี้หรือ
หลินสวินยิ่งไม่ยอมไปใหญ่!
เขาพยายามดิ้นรนต่อต้านอย่างสุดชีวิตแต่กลับไม่เกิดผล ภายในร่างยังเหมือนสนามประลอง ถูกพลังน่าอัศจรรย์ทั้งสองยึดครองและควบคุม ห้ำหั่นกันและกัน ทำให้เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเปลี่ยนแปลงสิ่งใด
ปึง! ปึง! ปึง!
ภายในร่างกายเสมือนถั่วที่ถูกผัด เกิดเสียงระเบิดแตกดังสนั่น แม้แต่อวัยวะตันห้ากลวงหกต่างเริ่มพังทลายทรุดลง
ยามร่างกายใกล้จะพังทลายในอีกไม่ช้า พลันเห็นประตูสวรรค์ในห้วงนิมิตเริ่มเคลื่อนไหว กดอัดบดทับไข่มุกประกายสวยงามเม็ดหนึ่ง!
นั่นคือมุกนักบุญอมตะ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักคนเถื่อนวารี หนึ่งในเก้าสายพ่อมดเถื่อน!
เมื่อแรกเริ่มฝึกในค่ายกระหายเลือด หลินสวินเคยสังหารนักฆ่าคนหนึ่งจากสำนักคนเถื่อนวารี และได้ไข่มุกนี้มาโดยบังเอิญ มันสงบนิ่งอยู่ภายในห้วงนิมิตมาโดยตลอด
กระทั่งระหว่างทางที่เข้าสู่นครต้องห้าม ถูกวังน้ำวนใต้น้ำม้วนตัวทะลุผ่านโพรงดำลวงตา มุกนักบุญอมตะนี้จึงสำแดงความวิเศษออกมา ทำให้หลินสวินโผล่ขึ้นมากลางโบราณสถานบรรพกาล ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด
และที่นั่นเอง หลินสวินก็อาศัยมุกนักบุญอมตะเม็ดนี้ พาตะพาบเขียวที่ถูกขังไม่รู้คืนวันอยู่ในนั้นหนีออกมาโดยสวัสดิภาพ
เดิมทีหลินสวินนึกว่าไข่มุกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ภายหลังต้องมีประโยชน์อย่างมากแน่ เพียงแต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเมื่อร่างกายของตนใกล้พังทลายลง ‘ประตูสวรรค์’ จะเคลื่อนไหว จัดการกดทับมุกนักบุญอมตะ!
ตูม!
การเคลื่อนไหวอันน่าหวาดกลัวก่อตัวขึ้น หากไม่ใช่หลินสวินบรรลุขั้นสมบูรณ์แห่ง ‘ดาราจักรโคจร’ นานแล้ว ทำให้ห้วงนิมิตแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งถึงขีดสุด เพียงการจู่โจมเดียวนี้ก็เพียงพอที่จะทำลายห้วงนิมิตของเขาลงได้!
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หลินสวินยังคงปวดหัวราวจะแตกเป็นเสี่ยง จิตวิญญาณเกือบจะพังทลาย
ทว่าไม่นานหลินสวินพลันสังเกตเห็นว่า พลังที่เย็นสบายนุ่มนวลราวกับน้ำพุแห่งมรรคไหลออกมาจากห้วงนิมิต แผ่ขยายไปยังทุกอณูทั่วสรรพางค์กาย
ชั่วพริบตาเดียวนั้น แลเห็นเส้นลมปราณ จุดชีพจร กล้ามเนื้อและกระดูกที่ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ อวัยวะตันห้ากลวงหก เลือดเนื้อผิวหนังที่เกือบจะระเบิดสิ้น ราวกับได้กลืนกินโอสถทิพย์ชั้นเลิศก็มิปาน ถูกฟื้นฟูด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เปล่งพลังชีวิตน่ากลัวหาใดเปรียบ!
พลังชีวิตนั้นประหนึ่งมหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา เจิดจ้าดุจอาทิตย์แผดเผา หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณ เพียงแค่ล่วงผ่าน ทุกอย่างต่างล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลง
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ความเจ็บปวดไร้ขอบเขตถูกความรู้สึกสบายยากอธิบายเข้ามาแทนที่ ราวกับชำระร่างกายในบ่อน้ำร้อนโอสถทิพย์ ชะล้างขัดเกลาร่างกายให้บริสุทธิ์
หลินสวินสบายจนเกือบรำพึงออกมาอย่างอดไม่อยู่ ความรู้สึกก่อนหน้านี้ยังทรมานเหมือนถูกลงทัณฑ์ในนรกภูมิรับ แต่ครู่ต่อมาก็มาถึงสรวงสวรรค์ กลายเป็นเทพเซียน วิเศษน่าอภิรมย์ยากจะเอ่ย
พร้อมกันนั้นในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจสาเหตุ มุกนักบุญอมตะในห้วงนิมิตซึ่งถูกประตูสวรรค์กดทับ พลังมหาศาลเย็นสบายดุจน้ำพุมาจากมุกนักบุญอมตะนี่เอง!
‘ของล้ำค่าชิ้นนี้ยังมีอานุภาพวิเศษราวชุบชีวิตคนจากความตายด้วยหรือ’
หลินสวินอัศจรรย์ใจทันที
อีกทั้งเขายังพบว่า ขณะนี้เส้นลมปราณ จุดชีพจร เลือดเนื้อ กระดูก อวัยวะตันห้ากลวงหกและพื้นที่อื่นๆ ทั่วร่างของเขา ไม่เพียงถูกฟื้นฟูเท่านั้น ยังกำลังเปลี่ยนแปลงไปด้วย!
ไอพลังชีวิตแสนอัศจรรย์สายแล้วสายเล่า ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกเปลี่ยนเป็นแวววาวเกลี้ยงเกลา ทำให้เส้นปราณและจุดชีพจรแปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายโชติช่วง ทำให้เลือดเนื้อผิวหนังราวกับถูกชะล้างและขัดเกลา นำพาพลังชีวิตอันเข้มข้นมีชีวิตชีวา ประหนึ่งเตาหลอมกำลังลุกโหม!
เหลือเชื่อ!
หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่าเคราะห์ดีในเคราะห์ร้าย?
ในใจหลินสวินฮึกเหิม รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
เขาสังเกตเห็นว่าพลังลึกลับที่ไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายถูกซัดจนพินาศอีกครั้ง ชะล้างออกไปจนหมด ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ตึง!
แต่ฟ้าดินราวกับตั้งใจเป็นปรปักษ์กับหลินสวิน ยังไม่ทันให้เขาได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตนโดยละเอียด ก็บังเกิดเสียงธรรมเก่าแก่โบราณดั่งเสียงจากสวรรค์ดังขึ้นอีกครั้ง
พริบตานั้นหลินสวินอดขนหัวลุกไม่ได้ มาอีกแล้ว!
ไม่แม้แต่จะให้เขามีโอกาสปฏิเสธ พลังลึกลับแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าก็ทะลักเข้ามา ไหลหลั่งเข้าร่างกายของเขา วิ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง
‘ประตูสวรรค์’ เสมือนถูกยั่วโทสะ ส่งเสียงไม่หยุด ปล่อยคลื่นพลังออกไปห้ำหั่นอีกครั้ง
สนามประลองภายในร่างเปิดฉากซ้ำอีก!
ทั้งยังรุนแรงยิ่งกว่าสองครั้งก่อนหน้า
เพียงเวลาไม่นาน หลินสวินที่ถูกฟื้นฟูกลับมาดังเดิม ทั้งยังเปลี่ยนร่างกายเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น กลับเหมือนแจกันแก้วที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ใกล้แตกทลายอีกครั้ง
ความเจ็บปวดแสนสาหัสตามติดมา ทำให้หลินสวินร่วงสู่นรกดำมืดอีกครา ราวกับเผชิญโทษทัณฑ์ทรมาน ถูกเคี่ยวกรำอย่างทุกข์ระทมหาใดเปรียบ
ที่น่าอัศจรรย์คือขณะที่ร่างกายของเขาใกล้จะพังทลาย ล่มสลายจนถึงที่สุดนั้น มุกนักบุญอมตะก็ถูกกดทับอย่างไร้ปรานีอีกครั้ง ปลดปล่อยพลังอันน่ามหัศจรรย์เริ่มฟื้นฟูร่างกายแก่หลินสวิน…
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงได้จากนรกภูมิกลับไปยังสรวงสวรรค์อีกครั้ง!
หลินสวินกลับไม่ยินดีอีกต่อไป ทั้งหมดนี้ช่างล่อแหลมเกินไปแล้ว ทำให้เขาประสบกับความเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ทรมานถึงขีดสุด หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปเกรงว่าตัวเขาคงถูกเคี่ยวกรำจนแหลกสลายเป็นแน่
ทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนการเวียนว่ายฉากหนึ่ง สลับสับเปลี่ยนระหว่างนรกภูมิและสรวงสวรรค์ พินาศและเกิดใหม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ความเป็นความตายวนเวียนอยู่ ณ ที่แห่งนี้!
หากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง มิอาจรับรู้ถึงรสชาติของมัน
ตึง!
ตึง!
ตึง!
…เวลาต่อมาเสียงธรรมเก่าแก่โบราณดั่งเสียงจากสวรรค์ดังขึ้นต่อเนื่อง แต่ละครั้งที่เกิดเสียง จะต้องมีพลังลึกลับไหลทะลวงสู่ร่างกายของหลินสวิน
ในขณะเดียวกันประตูสวรรค์ก็เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เข่นฆ่าโรมรันกับพลังลึกลับนั่น ราวกับเห็นร่างกายของหลินสวินเป็นเขตหวงห้าม ไม่อาจทนให้พลังลึกลับแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ
และทุกครั้งที่ร่างกายของหลินสวินใกล้พังพินาศ ก็จะถูกพลังของมุกนักบุญอมตะฟื้นฟูซ่อมแซมครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งเป็นการตีเหล็กนับพันครั้ง ทำให้พลังกายและจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลงและเพิ่มสูงขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ตัว!
ระหว่างกระบวนการนี้หลินสวินไม่ได้สังเกตเลยว่า ข้างหลังเขามีแววตาของผู้อาวุโสร่างผอมท่านนั้นเฝ้ามองดูเขาอยู่ตลอดเวลา
นั่นเป็นดวงตาล้ำลึกดุจหลุมดำคู่หนึ่ง ผสมกลมกลืนกับรอยสลักลับมหามรรค เสมือนกำลังมองทะลุฟ้าดินอย่างปรุโปร่ง
‘เคราะห์ดีในเคราะห์ร้ายสินะ ดูท่าไม่ต้องให้ข้าลงมือแล้ว…’
เป็นเวลานานที่ผู้อาวุโสร่างผอมตกอยู่ในห้วงความคิด
…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ยาวนานราวผ่านไปศตวรรษหนึ่ง ทั้งเหมือนเป็นความฝันที่ชีวิตและความตายตามติดกันไปมา ในที่สุดหลินสวินก็รู้สึกตัว
เสียงธรรมเก่าแก่โบราณนั้นหายไปแล้ว ไม่ดังขึ้นมาอีก
ในห้วงนิมิต ประตูสวรรค์กลับไปเงียบสงบ ตั้งตระหง่านเร้นลับ
มีเพียงมุกนักบุญอมตะที่ขาดหายไป!
หลินสวินตกตะลึง เพิ่งนึกออกว่าในการปะทะที่เวียนว่ายราวกับไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อครู่นี้ มุกนักบุญอมตะดูเหมือนจะถูกเคี่ยวกรำบดทับ กลายเป็น ‘สิ่งหล่อเลี้ยง’ ภายในร่างกายตนเอง!
นี่ทำให้หลินสวินสะท้านสะเทือน นั่นคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักคนเถื่อนวารีเชียวนะ! มีพลังที่สามารถทะลวงผ่านห้วงอากาศได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ทำไมถึงถูกทำให้หายไปได้?
คงไม่ใช่ว่า พลังแห่งมุกนักบุญอมตะได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของเขาแล้วหรอกกระมัง
หลินสวินรีบร้อนตรวจสอบร่างกายตนเอง
เห็นภายในร่างถูกปกคลุมด้วยพลังชีวิตโชติช่วง เส้นลมปราณจุดชีพจร เลือดเนื้ออวัยวะภายใน กล้ามเนื้อกระดูกต่างเปล่งประกายหาใดเปรียบ ไร้ซึ่งสิ่งปฏิกูล เหมือนดั่งงานศิลป์อันงามสง่าศักดิ์สิทธิ์ ส่องแสงงามตา ผิวหนังก็เปล่งปลั่งแวววาวเป็นประกาย พลังแห่งชีวิตไหลเคลื่อนแช่มช้า
เปรียบเสมือนผ่านพิธีชำระถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ทำให้ภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงราวเกิดใหม่อย่างน่าอัศจรรย์!
กระดูกนั้นขาวสะอาดดังหยกผลึก แข็งกล้าถึงขั้นไม่สามารถจินตนาการได้ อวัยวะตันห้ากลวงหกหลังถูกแทรกซึมก็ไร้ซึ่งสิ่งเจือปน เหมือนดั่งวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิตอันเปี่ยมล้นแวววาวเจิดจรัส
ในส่วนเส้นลมปราณและจุดชีพจร ก็ล้วนเหมือนแสงเรืองรองกำลังไหลทะลัก ทั้งบริสุทธิ์และทนทาน
เพียงสูดลมหายใจเข้าออก อวัยวะภายใน เลือดเนื้อ พลังขับเคลื่อนภายในร่างก็เต้นตามเป็นจังหวะ เกิดเป็นเสียงน่ายินดี เลิศล้ำเกินคำบรรยาย
นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแค่ด้านพลังเท่านั้น แต่เป็นการยกระดับทั้งร่างกายและจิตใจทุกอณู!
เหมือนกระบี่วิเศษที่ตีหลอมนับครั้งไม่ถ้วนเล่มหนึ่ง ไร้ซึ่งมลทิน สะอาดเป็นมันวาวลานตา มีพลังชีวิตและจิตวิญญาณยากจินตนาการ!
‘ถูกทำลายและฟื้นคืนไม่รู้กี่หน ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างมุกนักบุญอมตะจนหมด กว่าจะสร้างร่างกายและจิตวิญยาณเช่นนี้ออกมาได้!’
หลินสวินทอดถอนใจอย่างเสียดาย
เขาสามารถสัมผัสได้ว่า แม้พลังปราณจะไม่ได้ทะลวงขั้น แต่ด้วยการยกระดับของร่างกายและจิตวิญญาณ ทำให้ร่างกาย จิตวิญญาณ และพลังปราณของเขาต่างก้าวมาอยู่ในขั้นสมบูรณ์ถึงขีดสุด!
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าทำให้ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ”
ทันใดนั้นข้างหูได้ยินเสียงแหบเครือผ่านโลกมายาวนาน พริบตาเดียวเท่านั้นหลินสวินก็รู้สึกเลื่อนลอย
ต่อมากลับมาปรากฏตัวอยู่บนสายธารแห่งกาลเวลาสายนั้นอีกครั้ง ยืนตระหง่านอยู่บนยอดคลื่น!
สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูทันใด ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะหลุดออกมาจากความยากลำบากได้ หรือจะต้องประสบกับเหตุการณ์เดิมอีกครั้ง?
“ไม่ต้องตื่นกลัวไป พลังของ ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’ สงบลงแล้ว จะไม่ปรากฏขึ้นอีก”
เสียงแหบเครือดังขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นหลินสวินก็เห็นว่าข้างกายมีผู้อาวุโสร่างผอมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้
ใบหน้าเขาผ่ายผอม ดวงตาผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ แต่ไม่รู้ด้วยอานุภาพอันใด หลินสวินราวกลับมองเห็นภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน คงอยู่ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันไม่สั่นคลอน!
ฉับพลันนั้นหลินสวินใจสั่นไหว ตระหนักได้ว่าผู้อาวุโสคนนี้จะต้องเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งที่ไม่อาจคาดคะเนความแข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน!
“ผู้อาวุโส เหตุใดจึงพาข้ามายังที่แห่งนี้อีกครั้ง”
หลินสวินอดไม่ได้ที่จะซักถาม
“ในใจเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเมื่อครู่ประสบพบกับสิ่งใด”
ผู้อาวุโสร่างผอมเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่ากลับดึงดูดความสนใจของหลินสวินได้ในพริบตา จริงด้วย เมื่อครู่ตนเพียงแค่จะไต่ขึ้นกระดานเท่านั้น เหตุใดจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเช่นนี้
……………………….
ตอนที่ 485 แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
โดย
ProjectZyphon
ผู้อาวุโสร่างกายผอมแห้ง สองมือไพล่หลัง ยืนอยู่บนสายธารแห่งกาลเวลา ดวงตาขุ่นมัวราวกับสามารถมองเห็นความลึกลับที่ปลายสุดสายน้ำ
“ตั้งแต่โบราณมา ขอเพียงเป็นผู้ที่สามารถพบเห็นสถานที่นี้ ล้วนเป็นผู้กล้าที่ต่างพิสูจน์ได้ว่ามียอดพรสวรรค์ในช่วงยุคสมัยหนึ่ง เหมือนกับเงาร่างประทับพวกนี้ที่เจ้าเห็นในตอนนี้ ก็เป็นคนรุ่นเยาว์หนึ่งร้อยคนที่มีชื่อเสียงและแข็งแกร่งที่สุดตลอดระยะเวลาหลายพันปีมานี้”
ผู้อาวุโสกล่าวเนิบช้า น้ำเสียงแหบพร่า
“ชื่อของพวกเขาถูกจารึกไว้เช่นนี้ เว้นแต่จะปรากฏผู้กล้าที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาคนใดคนหนึ่ง จึงจะสั่นคลอนอันดับของพวกเขาได้ ลบชื่อพวกเขาออกจากกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ”
หลินสวินฟังอย่างเงียบๆ สายตามองไปไกลๆ บนคลื่นแต่ละระลอกนั้นมีเงาร่างวิบไหว แสงสีทองไหลล้นราวกับแสงอาทิตย์พร่างพราว
ก่อนหน้านี้เขาได้คาดเดาสิ่งเหล่านี้ไว้หมดแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าเหตุใดตนเองจึงประสบกับเหตุความเป็นความตายเมื่อครู่นั่น
“เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นเงาร่างซึ่งเป็นตัวแทนรายชื่อได้อย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าความสำเร็จในตอนนี้ของเจ้าโดดเด่นเหนือผู้กล้าคนนั้น ณ เวลานั้น หากมองเห็นไม่ชัดเจน นั่นหมายความว่าอันดับของเจ้าสิ้นสุดลงแค่ตรงนี้”
ฟังถึงจุดนี้หลินสวินนึกขึ้นมาได้ทันที เมื่อครู่เขามองเห็นเงาร่างและชื่อของกู้อวิ๋นถิงได้อย่างชัดเจน อีกทั้งรู้อันดับของอีกฝ่ายว่าอยู่ในอันดับที่หกสิบสี่
แต่ร่างที่อยู่ก่อนหน้ากู้อวิ๋นถิงเขากลับมองเห็นได้ไม่ชัดว่าเป็นใคร จากคำพูดของผู้อาวุโส นั่นไม่ใช่หมายความว่าเขาขึ้นไปถึงอันดับที่หกสิบสี่ของกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณอย่างนั้นหรือ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อันดับของกู้อวิ๋นถิงก็เท่ากับว่าถูกตนเองเบียดตกไปอยู่อันดับที่หกสิบห้าใช่หรือไม่
“แต่เจ้าแตกต่างกับพวกเขา”
จู่ๆ ผู้อาวุโสก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ดวงตาขุ่นมัวจ้องมองมายังหลินสวิน ทันใดนั้นหลินสวินรู้สึกเหมือนความลับทุกอย่างภายในใจตนราวกับถูกมองออก รู้สึกกระวนกระวายไปทั้งตัว
“รบกวนผู้อาวุโสชี้แนะ”
หลินสวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“แต่เดิมด้วยพรสวรรค์และพลังแฝงของเจ้า หากถูกพลังแห่งป้ายหินวิญญาณมรรครับรู้ได้ทั้งหมด อันดับจะไม่หยุดลงเพียงเท่านี้”
ผู้อาวุโสถอนสายตากลับ “แต่ว่าร่างกายของเจ้ากีดกันพลังแห่งป้ายหินวิญญาณมรรคออกไป ไม่ยินยอมให้มันรับรู้ถึงพรสวรรค์และพลังแฝงภายในทั้งหมดของเจ้า!”
เพียงหนึ่งประโยค เสมือนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น!
หลินสวินตัวแข็งทื่อไป เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน ที่แท้พลังลึกลับที่ไหลทะลักเข้าร่างตนเมื่อครู่มาจาก ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’ นี่เอง!
และ ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’ ที่ว่าก็เดาได้ง่ายมาก นั่นคือป้ายหินที่ประทับรายชื่อ ‘กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ’ และ ‘กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ’ แผ่นนี้
จากคำเล่าลือ ป้ายหินนี้สืบทอดมาในสำนักเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งเมื่อสมัยโบราณกาล เป็นสมบัติล้ำค่าน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งชิ้นหนึ่ง ภายหลังค่อยถูกเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตใช้พลังขั้นสูงหลอมและย้ายมายังที่แห่งนี้
สิ่งที่หลินสวินคาดเดาไม่ออกคือ เหตุใด ‘ประตูสวรรค์’ ต้องกีดกันพลังของ ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’?
“บางทีนี่อาจเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกกำหนดไว้”
ผู้อาวุโสพึมพำกับตนเอง เปล่งวาจาประหลาดยากแก่การเข้าใจออกมาประโยคหนึ่ง
หลินสวินรู้สึกแปลกใจระคนสับสน แต่กลับเม้มปากเงียบไม่กล่าวออกมา เขาไม่มีทางพูดถึงความลับของ ‘ประตูสวรรค์’ นี้ออกมาอย่างเด็ดขาด
“เห็นทีเจ้าจะไม่รู้ว่าขอเพียงขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ประทับชื่อบนนี้ได้ ก็เท่ากับได้รับวาสนาแห่งเซียน สามารถเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณอย่างราบรื่น กลายเป็นผู้สืบทอดคนสำคัญของสำนักลึกลับสักแห่งในดินแดนลี้ลับ”
ผู้อาวุโสกล่าวถึงเรื่องราวหลังฉาก ทำเอาหลินสวินใจสั่นหะหนึ่ง นี่เป็นโอกาสและวาสนาที่หาได้ยากยิ่ง สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว เทียบได้กับการได้รับหนทางสู่มรรคที่เปี่ยมด้วยความหวังหนทางหนึ่งทีเดียว!
ตามที่ผู้อาวุโสกล่าวมา ผู้กล้าที่ขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณตลอดหลายพันปีมานี้ บางทีอาจไปดินแดนลี้ลับเพื่อบำเพ็ญตนแล้ว
ทั้งยังได้รับการปฏิบัติอย่างศิษย์คนสำคัญอีกด้วย!
นึกถึงตรงนี้หลินสวินอดไม่ได้ที่จะถาม “เรียนถามผู้อาวุโส ที่ๆ พวกเขาไปคือสำนักลี้ลับแห่งใดกัน”
“แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์”
ผู้อาวุโสกล่าวนามหนึ่งออกมา สีหน้าเจือความประหลาดเล็กน้อย “ต่อให้เป็นในดินแดนรกร้างโบราณ สำนักแห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเหนือธรรมดา มีกิตติศัพท์เป็นอย่างมาก เล่ากันว่า… ในสำนักแห่งนี้เคยให้กำเนิดผู้เป็นอมตะอย่างแท้จริง เจิดจรัสดังสุริยันจันทรา อายุยืนนานชั่วนิจนิรันดร์ เปล่งประกายโชติช่วง!”
ผู้เป็นอมตะ!
หลินสวินสูดลมหายใจเย็นเยียบ บำเพ็ญเพียรมาถึงตอนนี้ เขาค่อยๆ เข้าใจความยากลำบากและความคลุมเครือบนหนทางแห่งมหามรรคแล้ว สำหรับความเป็นอมตะ ยิ่งเป็นเสมือนหนึ่งความฝันที่ไม่ใช่ความจริง ไม่มีใครพบเห็นมาก่อน
แต่ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนั้น ในสำนักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่น มีการเล่าลือถึง ‘ผู้เป็นอมตะ’ นี่ช่างทำให้ผู้คนตกตะลึงยิ่งนัก
ต่อให้เป็นเพียงข่าวลือ แต่ก็มากพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าสายสนกลในของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั้นหนาแน่นเพียงใด!
“น่าเสียดาย มหามรรคของเจ้าถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์”
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสจะกล่าวเช่นนั้น แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเสียดายเพียงนิด
นั่นทำให้หลินสวินอดชะงักไปเล็กน้อยไม่ได้ ตระหนักรู้ด้วยไหวพริบว่าผู้อาวุโสดูราวกับ… พึงพอใจที่ได้เห็น ‘สภาวการณ์แปลกประหลาด’ ที่เกิดขึ้นของตน
ผู้อาวุโสนิ่งเงียบครู่ใหญ่ แล้วพลันถอนใจคราหนึ่ง มองหลินสวินพลางกล่าวว่า “เจ้าเด็กน้อย ความลับของร่างกายเจ้ามากมายเหลือเกิน แม้แต่ข้าเองก็มองไม่ออก เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายยากจะคาดเดา แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า หากวันหนึ่งข้างหน้าเจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ จำไว้ว่าอย่าได้ข้องแวะกับคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำหรับเจ้าแล้วนั่นถือเป็นมหันตภัยอย่างแท้จริง”
หลินสวินใจกระตุกวูบ มหันตภัย? หรือจะเกี่ยวกับที่ ‘ประตูสวรรค์’ กีดกันพลังของ ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’?
หลินสวินรู้สึกได้รางๆ ว่าการคาดเดาของตนถูกต้องแน่นอน เพียงแต่สาเหตุภายในนั้นกลับทำให้เขาคาดเดาไม่ออก เพราะเดิมทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอะไรกันแน่
“เมื่อโอกาสมาถึงเจ้าจะเข้าใจเอง แต่ยามอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ เจ้ายังไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนี้ได้ชั่วคราว”
ผู้อาวุโสเหมือนดูความสงสัยอย่างหนักหน่วงภายในใจหลินสวินออก อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
หลินสวินประสานมือขึ้น
“จงจำไว้ เรื่องในวันนี้อย่าได้กล่าวกับผู้อื่น แม้ว่าในใจจะเกิดความสงสัยมากเพียงใด ก็ไม่สามารถแพร่งพรายแม้ประโยคเดียว ต้องเก็บงำไว้ในใจ”
ผู้อาวุโสกล่าวกำชับ
หลินสวินรับคำอย่างจริงจัง หลังจากนั้นพลันกล่าวถาม “เรียนถามผู้อาวุโสมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
ผู้อาวุโสดวงตาล้ำลึก จ้องมองมายังหลินสวิน “เจ้าเดาออกอยู่ก่อนแล้ว เหตุใดจึงต้องถามซ้ำ”
หลินสวินไหวหวั่นอย่างที่สุด ดวงตาดำขลับฉายแววตกตื่น ชะงักงันอยู่ตรงนั้น
เขาคาดเดาไว้แล้วจริงๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่า วันแรกที่ตนหวนกลับสำนักศึกษามฤคมรกต ถึงกับสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้อาวุโสผู้ลึกลับท่านนี้… เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต!
…
เมื่อหลินสวินตื่นขึ้นก็รู้สึกเหมือนเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง ยืนชะงักงันอยู่ตรงนั้น
เพียงไต่ขึ้นอันดับครั้งเดียวเท่านั้น กลับได้รู้ความลับมากมายโดยไม่ได้ตั้งใจ ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต
นั่นทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า การเคลื่อนไหวที่ตนทำในวันนี้นั้นค่อนข้างยิ่งใหญ่ทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าการรับรู้ถึง ‘ประตูสวรรค์’ ที่กีดกัน ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’ จะสามารถก่อให้เกิดเรื่องราวมากมายเช่นนี้
แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!
ท้ายที่สุดหลินสวินก็จดจำชื่อสำนักลี้ลับนี้ไว้อย่างแม่นยำ สิ่งที่เรียกว่า ‘มหันตภัย’ ที่เจ้าสำนักกล่าวถึงทำให้หลินสวินเกิดความระวังตัวโดยสัญชาตญาณ
“หืม? ปรากฏการณ์ประหลาดหายไปแล้ว?”
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เสียงแปลกใจระคนสงสัยดังขึ้น กลับกลายเป็นว่าพวกสืออวี่ หนิงเหมิงที่อยู่ใกล้ๆ รวมถึงศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นล้วนตื่นจากสภาวะว่างเปล่าที่จิตใจตกอยู่ในภวังค์
แต่ละคนต่างดูมึนงง
เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พวกเขาต่างไม่สังเกตเห็น นี่ต้องเป็นฝีมือของเจ้าสำนักอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆ มาดูเร็ว อันดับของเจ้านี่ยังคงอยู่ในอันดับสี่ของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ!”
มีคนเสียงหัวเราะดัง พบว่าบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณนั้น แสงสีทองที่แสดงถึงอันดับของหลินสวินยังคงหยุดอยู่ในตำแหน่งของอันดับที่สี่
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเราชนะพนันแล้ว!”
“หลินสวิน เจ้ายังกำเริบเสิบสานอีกหรือ บอกแต่แรกแล้วว่าเจ้าไม่ไหว ยังเพ้อพกพูดว่าจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ คราวนี้เจ้ายังจะพูดอะไรได้อีก”
“เจ้าแพ้แล้ว นำคะแนนสะสมออกมาเร็วเข้า!”
บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีต่างตะโกนตื่นเต้นดีใจเสียงดังลั่น สามารถเห็นหลินสวินแพ้การเดิมพัน อับอายต่อหน้าฝูงชน ทำให้ในใจพวกเขาสะใจยิ่งนัก
สีหน้าของพวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างไม่น่าดู พวกเขาเดาไม่ออกว่าทั้งที่เมื่อครู่เกิดปรากฏการณ์ประหลาดยิ่งใหญ่เพียงนั้น แต่ทำไมอันดับของหลินสวินกลับหยุดนิ่งไม่ขยับขึ้นหน้า นี่มันแปลกประหลาดโดยสิ้นเชิง
หรือว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง?
“พวกเจ้านี่มีอะไรให้ได้ใจกันนักหรือ ไม่เห็นหรือว่าอันดับหลินสวินขึ้นเป็นที่สี่ อันดับระดับนี้ใช่สิ่งที่พวกเจ้าสบประมาทได้หรือ”
หนิงเหมิงน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก
ที่จริงแล้วสามารถขึ้นเป็นอันดับสี่บนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณได้ ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคนชั้นยอดของสาขายุทธ์วิถีแล้ว อันดับนี้ไม่ใช่ว่าใครต่างสามารถมีได้
“ฮึ น่าขัน หลินสวินไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งสักหน่อย ถือว่าแพ้แล้ว นี่คือความจริง พวกเราพูดผิดหรือไง”
มีคนพูดเสียงเย็นชา
“พูดเรื่องไร้สาระให้น้อยหน่อย เมื่อครู่ยังถือดีไม่รู้จักเกรงกลัวใต้หล้าอยู่เลย ทำไมตอนนี้แพ้ไม่ลงหรือ น่าขายหน้า!”
คนอื่นก็พากันพูดเสียงดังขึ้น
พวกหนิงเหมิง สืออวี่ต่างเดือดดาล แต่กลับไม่อาจโต้แย้งได้ เป็นจริงดังว่า ตามที่หลินสวินตกลงกับพวกเขาเมื่อครู่ นี่ถือว่าแพ้แล้วจริงๆ
แต่ในเวลานี้เองหลินสวินกลับหันไปยิ้มพลางเอ่ยถาม “อย่ารีบร้อนไป ยังไม่จบเสียหน่อย ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่ยังมีสหายไม่น้อยไม่ได้เข้าร่วมเดิมพันสินะ ตอนนี้ในเมื่อพวกเจ้าคิดว่าข้าแพ้แน่อย่างไม่ต้องสงสัย มิสู้เข้าร่วมด้วยเล่า วางใจเถอะ หากข้าแพ้จริง รับรองว่าจะไม่บิดพลิ้ว”
พวกหนิงเหมิง สืออวี่สายตาเป็นประกาย รู้ได้ว่าหลินสวินแค่ยั้งมือไว้! นี่ทำให้คนตั้งตารอคอยนัก
แต่ศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นต่างชะงักงัน ไม่คาดคิดมาก่อนว่าถึงตอนนี้หลินสวินยังคงมั่นใจไม่เกรงกลัวเช่นนี้
นั่นทำให้พวกเขาอดแปลกใจระคนสงสัยไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่าอันดับบนป้ายหินยังไม่เปลี่ยนไป พวกเขาจึงวางใจลง
“จงใจตบตาชัดๆ ข้าพนันกับเจ้าเอง!”
เวลานั้นเองเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา แสยะยิ้มหยิบป้ายประจำตัวออกมา
“ข้าเอาด้วย!”
ศิษย์คนอื่นๆ ก็ทยอยเข้าร่วมเดิมพัน
ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะมั่นใจเต็มที่ ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว อันดับของหลินสวินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยากที่จะพลิกกลับมาแน่
หลินสวินเห็นดังนั้นก็ยิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิม ไม่พูดพร่ำทำเพลง วางมือขวาลงบนป้ายหินใหม่อีกครั้ง
“เจ้ายังไม่ตัดใจอีกหรือ คิดจะไต่อันดับใหม่อีกครั้งหรือ น่าขันจริงเชียว!”
ศิษย์คนหนึ่งส่งเสียงหัวเราะเกรียวกราว แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เห็นแสงสีทองที่แสดงถึงอันดับของหลินสวินจรัสแสงขึ้นเบาบาง หลังจากนั้น…
ขึ้นเป็นอันดับสูงสุดเพียงครั้งเดียว!
ความเร็วนั้นรวดเร็วมาก เหมือนกับปลายแสงสีทองปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน จ้าวจิ่งเหวินที่เดิมอยู่อันดับหนึ่งก็ตกเป็นอันดับสอง
จั่วอวี้จิงที่เดิมอยู่อันดับสองก็ตกเป็นอันดับสาม…
“นี่มัน…”
บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีนิ่งงันไปชั่วขณะ เดิมทีพวกเขาต่างถูไม้ถูมือ ใคร่ครวญว่าอีกเดี๋ยวจะแบ่งสรรปันส่วนคะแนนสะสมของหลินสวินที่ชนะมาอย่างไร ใครจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตาอันดับจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน!
ศิษย์บางคนยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง อดไม่ได้ที่จะขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก แต่ผลลัพธ์ช่างโหดร้าย ตำแหน่งอันดับหนึ่งนั้นถูกยึดครองโดยหลินสวินจริงๆ
หนักแน่นดั่งเขาไท่ซาน พลังกดดันผู้กล้าทั้งมวล!
…………………………
ตอนที่ 486 ชื่อเสียงสะเทือนทั่วทิศ
โดย
ProjectZyphon
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเองก็อ้าปากค้าง เจ้าหลินสวินนี่โหดเหี้ยมนัก หรือเมื่อครู่เขากดพลังเอาไว้ตลอด รอปลาทุกตัวติดเบ็ดแล้วจึงเริ่มปลดปล่อยพลัง?
ร้ายกาจนัก!
แววตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินล้วนเคลือบแววประหลาด เพื่อชิงคะแนนสะสมมา เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ได้ที่จริงๆ
เพียงแต่คราวนี้พวกเขาต่างกล่าวหาหลินสวินอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้ขุดหลุมวางกับดัก เพียงแค่ถือโอกาสกระทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น ที่น่าประหลาดก็คือศิษย์ของสาขายุทธ์วิถีพวกนั้นต่างโง่เง่ากระโดดลงมาเอง นี่จะโทษใครได้เล่า
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
มีคนตะโกนขึ้น เดือดดาลหาใดเปรียบ
“ทำไม แพ้ไม่เป็น?”
หลินสวินคร้านจะพูดมากความ เริ่มเก็บป้ายประจำตัว “นั่นใคร ถ้าเจ้ากล้าหนีล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปตัดสินใจหลบหนี แต่ถูกคำพูดประโยคเดียวของหลินสวินทำเอาตัวสั่นอยู่กับที่ สีหน้าพลันดูไม่ได้ทันที ท้ายที่สุดก็จนปัญญา ยื่นป้ายประจำตัวออกมา
“เจ้าคนขี้โกง!”
ยังมีคนไม่ยินยอม ส่งเสียงแหลมไม่หยุด
คะแนนนั่นคือเลือดเนื้อและจิตใจของพวกเขา ไม่ง่ายเลยกว่าจะรวบรวมมาได้ มาวันนี้กลับต้องมอบให้กับผู้อื่น พวกเขาจะเต็มใจได้อย่างไร
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ถ้ามีวิธีเจ้าก็ลองโกงให้ข้าดูหน่อยสิ”
หลินสวินจัดการคว้าป้ายประจำตัวจากฝ่ายตรงข้ามมา ทำเอาฝั่งนั้นโกรธจนตัวสั่นระริกไปทั้งตัว อยากจะลงมือ แต่ท้ายที่สุดก็ได้แต่อดทนไว้
ช่วยไม่ได้ แม้แต่ยอดฝีมืออย่างพวกหลันอวี่ จินจู๋หลิวต่างล้วนไม่ใช่คู่ประมือของหลินสวิน เขาไหนเลยจะกล้าท้าทายหลินสวิน
ในที่สุดหลินสวินก็ชิงเอาป้ายประจำตัวมาอีกสิบกว่าป้าย นำมารวมกับป้ายประจำตัวของพวกหลันอวี่ จินจู๋หลิวที่ชนะมาได้ทั้งหมดแล้ว ก็ไม่ต่ำกว่าสี่พันคะแนน!
กำไรล้นเหลือ ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกเกินความคาดหมายคือ จากที่เขาคำนวณดูแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ได้รับรางวัลสองพันคะแนน เมื่อรวมกันแล้วก็เกินหกพันคะแนน ไปทดสอบ ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ แล้วก็ยังมีคะแนนเหลือ
“ขอบคุณมาก ทุกท่าน”
ท้ายที่สุดหลินสวินโบกมือด้วยรอยยิ้ม จากยอดเขามหาสมุทรวิญญาณไปพร้อมพวกสืออวี่ หนิงเหมิง
บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นต่างโมโหแทบกระอักเลือด อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
…
ฟุ่บ!
ไม่นานนักบนยอดเขามหาสมุทรวิญญาณ บุรุษชุดขาวพลิ้วไหวคนหนึ่งได้มาถึง ร่างสูงโปร่งดุจเทพเซียนสันโดษ ดวงตาสุกสกาวราวประกายดวงดาว
กู้อวิ๋นถิง!
เขาจ้องมองไปยังชื่ออันดับหนึ่งของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณแล้วชะงักอย่างอดไม่อยู่ เสมือนมีบางอย่างไม่อาจเข้าใจ ปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อครู่ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์เช่นนั้น เหตุใดคนๆ นี้กลับไม่สามารถทิ้งชื่อไว้บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ?
นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่หนึ่ง กู้อวิ๋นถิงค่อยหมุนตัวจากไป
ไม่นานนักคนจำนวนมากทยอยมาถึงยอดเขามหาสมุทรวิญญาณ มีทั้งอาจารย์และลูกศิษย์มากมายในสำนักศึกษามฤคมรกต เมื่อเห็นชื่ออันดับหนึ่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณต่างอดตกใจสั่นสะท้านไม่ได้
หลินสวิน!
เป็นเขาหรือนี่!
สำนักศึกษามฤคมรกตวันนี้ถูกลิขิตไว้ให้ไม่สงบ หลังจากหลินสวินหายไปสองเดือนก็กลับมาอย่างทรงพลัง มอบความพ่ายแพ้ในคราเดียวให้พวกสืออวิ๋นเผิง เซวียอวิ้น จินจู๋หลิว หลันอวี่ที่ลานแสดงยุทธ์ ทำเอาอาจารย์และศิษย์สาขายุทธ์วิถีต่างฮือฮา
ท่าทางกำเริบเสิบสานนั้นของเขากับฝีมือการต่อสู้อันร้ายกาจที่แสร้งทำเป็นหมาป่าสวมหนังแกะ ทำให้ผู้คนขบฟันเกลียดชัง ขณะเดียวกันก็ประหวั่นและหวาดกลัวอยู่ในใจ
“เจ้านี่ ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งร้ายกาจ จงใจแกล้งอ่อนแอหลอกลวงผู้คน ไร้ยางอายสิ้นดี!”
“ร้ายกาจนัก แม้แต่หลันอวี่ยังขอยอมแพ้ด้วยตนเอง แค่ด้านการฝึกยุทธ์หลินสวินก็อยู่เหนือผู้กล้าเกือบทั้งหมดแล้ว!”
นี่คือคำประเมินจากผู้คนทั้งหลายที่มีต่อหลินสวิน แค้นเขาด่าว่าเขาร้ายกาจไร้ยางอาย เจ้าเล่ห์ชั่วช้า ไม่มีท่าทางงามสง่าแห่งผู้กล้าแม้เพียงนิด
ส่วนผู้ที่ชื่นชมเขาก็ยกย่องสรรเสริญอย่างใจกว้าง นับถือในศักยภาพของเขาอย่างยิ่ง
แต่ไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อผู้คนต่างคาดเดาว่าพลังการต่อสู้ของหลินสวินแท้จริงแล้วแข็งแกร่งระดับไหน ข่าวคราวที่ราวกับระเบิดก็ม้วนตัวเข้าใส่สำนักศึกษามฤคมรกตอีกครั้ง!
หลินสวินไต่ขึ้นกระดานอย่างทรงพลัง ขึ้นสู่อันดับสูงสุดแห่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณในคราเดียว พลังกดดันผู้กล้าทั้งมวล!
นี่ก็น่ากลัวมากไปแล้ว กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณสื่อถึงเกียรติยศอันสูงสุดอย่างหนึ่ง ชื่อที่รั้งอยู่บนนั้นได้ ล้วนเป็นตัวแทนของผู้กล้าหนึ่งร้อยคนที่โดดเด่นที่สุดของสาขายุทธ์วิถีในปัจจุบัน
แต่มาวันนี้ หลินสวินปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยที่มาจากสาขาสลักวิญญาณ กลับปรากฏตัวอย่างเกรียงไกร ก้าวย่างขึ้นเป็นอันดับหนึ่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ จะไม่ให้ผู้คนสั่นสะท้านได้อย่างไร
ใครเล่าจะจินตนาการได้ว่าในด้านการฝึกปราณ หลินสวินก็เป็นแถวหน้าของระดับมหาสมุทรวิญญาณ
“น่าชังนัก หลินสวินนั่นไม่ใช่ศิษย์สาขายุทธ์วิถีเสียหน่อย มาวันนี้กลับขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ นี่ไม่เท่ากับว่ารังแกไม่เห็นหัวพวกเราสาขายุทธ์วิถีรึ”
ศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นต่างนั่งไม่ติด ทุกข์ใจและขุ่นเคืองไม่หยุดหย่อน
“หลินสวินยอดเยี่ยมนัก ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน สาขาอื่นใครเล่าจะกล้าเหมือนหลินสวิน หลังสยบอัจฉริยะผู้กล้าอย่างบ้าระห่ำ ก็ยึดครองอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณนั่นต่อ ทำเอาศิษย์สาขายุทธ์วิถีพวกนั้นกล้ำกลืนฝืนทน”
“ผู้กล้าของสาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นแต่ละคนต่างทำท่าทีสูงส่ง หยิ่งผยองเป็นที่สุด หลังได้รับบทเรียนครั้งนี้ บางทีอาจทำให้พวกเขากลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่”
ในสาขาอื่น ศิษย์จำนวนหนึ่งต่างก็ตื่นเต้นยินดี เห็นว่าหลินสวินคือคนร้ายกาจที่โหดเหี้ยมดุดันคนหนึ่ง ก่อความวุ่นวายได้อย่างปราดเปรียวห้าวหาญ
กระทั่งข่าวที่กู้อวิ๋นถิงก้าวขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณแพร่ออกไป ถึงทำให้บรรดาศิษย์สาขายุทธ์วิถีฮึกเหิมขึ้นมาได้
“ปิดด่านห้าปี พอศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงออกด่านมาก็ออกจากกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ก้าวเข้าสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ เทียมหน้าเทียมตากับผู้กล้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดหลายพันปีมานี้ นี่แหละคือปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง!”
“ฮ่าๆๆ ต่อให้เจ้าหลินสวินนั่นบ้าระห่ำยิ่งกว่านี้ ก็ยังได้แค่อันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ เทียบกับศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงแล้ว เขาก็เป็นไข่มุกเม็ดเล็กมิอาจเทียมสู้แสงตะวันจันทรา!”
กู้อวิ๋นถิงเพียงคนเดียวก็สลายอารมณ์อันหดหู่ของศิษย์สาขายุทธ์วิถีทั้งหลายลงได้ ทำให้พวกเขาปลื้มปิติและฮึกเหิม
“มิน่าล่ะวันนี้ถึงเกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้า ที่แท้เป็นเพราะกู้อวิ๋นถิงขึ้นสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณแล้วนี่เอง!”
“กายสุวรรณมรรคอัคคีกู้อวิ๋นถิง เขา… ตอนนี้ก้าวนำหน้าผู้กล้าในยุคเดียวกัน ขึ้นไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าผู้กล้าที่เจิดจรัสที่สุดในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมานี้!”
แม้แต่อาจารย์และศิษย์ของสาขาอื่นในสำนักศึกษามฤคมรกต เมื่อทราบข่าวนี้ต่างอดตื่นตะลึงกับกู้อวิ๋นถิงไม่ได้
คนๆ นี้ช่างเย้ยฟ้าเสียจริง เฉกเช่นอัจฉริยบุคคลไร้เทียมทาน ทำให้ผู้คนยากจะอิจฉาริษยา เพราะเขาโดดเด่นเหนือใครเกินไป
“พวกเจ้าว่าหลินสวินและกู้อวิ๋นถิงสองคนนี้ ใครแข็งแกร่งกว่ากัน”
“แน่นอนว่าเป็นกู้อวิ๋นถิง! หลินสวินเป็นแค่อันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ แต่กู้อวิ๋นถิงก้าวข้ามไปแล้ว เข้าสู่กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ”
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ ข้าจำได้ว่าปีนี้หลินสวินเพิ่งจะอายุสิบหก แต่กู้อวิ๋นถิงนั้นอายุยี่สิบกว่าแล้ว ทั้งสองอายุห่างกันไม่น้อย หากให้เวลาหลินสวินสักสองสามปีจะต้องอยู่เหนือกู้อวิ๋นถิงแน่”
“น่าขัน อายุน้อยแค่เป็นตัวแทนของพลังแฝงเท่านั้น ในตอนนี้สิ่งที่แข่งขันกันคือการประลองบนหนทางฝึกตน สุดท้ายหลินสวินขาดไปหนึ่งขั้น คิดจะไล่ตามกู้อวิ๋นถิงเห็นทีจะยาก”
ในสำนักศึกษามฤคมรกตผู้คนมากมายต่างยกหลินสวินและกู้อวิ๋นถิงมาเปรียบเทียบกัน จนกระทั่งก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างดุเดือด
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สำนักศึกษามฤคมรกตในตอนนี้ หลินสวินและกู้อวิ๋นถิงกลายเป็นสองคนที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด!
และพร้อมกันนั้น ในนครต้องห้ามยังมีข่าวอีกอย่างแพร่ออกไป…
หลินสวินที่หายไปเป็นเวลาสองเดือน นับตั้งแต่วันที่ออกด่านปรากฏตัว ก็เปิดฉากเข่นฆ่านองเลือด จัดการลูกหลานสายรองตระกูลหลินจำนวนหนึ่ง ทั้งยังกุมตัวผู้กล้ารุ่นเยาว์สองคนอย่างจั่วหยางและฉินซิงไว้!
ชั่วขณะเดียวนครต้องห้ามพลันตกอยู่ในความโกลาหล
หลินสวิน ใครๆ ต่างก็รู้จัก ก่อนหน้านี้เขาเคยทำเรื่องชุลมุนวุ่นวายไว้มาก ก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมนับไม่ถ้วน ทำให้นครต้องห้ามสั่นสะเทือน
แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าการล่วงเกินราชวงศ์ของเขาทำให้เขาถึงคราวเคราะห์ ต้องพบเจอแรงกดดันและความวิบัติมากมายแน่นอน เขากลับโจมตีออกมาอย่างแข็งกร้าว!
“ออกด่านวันแรกก็เปิดฉากนองเลือด ใช้ท่าทีเด็ดขาดสังหารคนตระกูลรองที่กล้ายั่วยุและต่อต้านภูเขาชำระจิต หลินสวินเด็กคนนี้ ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ!”
“หรือว่าเขาไม่กลัวตาย แม้แต่จั่วหยางและฉินซิงต่างถูกเขาจับกุมตัวไว้ ไม่กลัวว่าจะถูกแก้แค้นจากตระกูลจั่วและตระกูลฉินหรือ”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าหลินสวินไม่มีทางอดทนกล้ำกลืนแน่ ตอนนั้นเขากล้าบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่าขอโทษต่อหน้าคนใหญ่คนโตมากมายในพระราชวัง บนโลกนี้ยังมีอะไรที่เขาไม่กล้าทำอีกหรือ”
ในนครต้องห้ามต่างวิพากษ์วิจารณ์กันทุกหนแห่ง
สองเดือนที่หายไปนี้ หลินสวินใช้ท่าทีกระหายเลือดและแข็งแกร่งดึงสายตาผู้คนกลับมาอีกครั้ง ทำให้ทุกคนต่างตระหนก
ใครก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าทำถึงขนาดนี้ นี่เท่ากับเป็นการฉีกหน้าขุมกำลังตระกูลรองทั้งสามแห่งตระกูลหลินอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังล่วงเกินตระกูลจั่วและฉินสองตระกูลอย่างยิ่งเช่นกัน!
“สภาพการณ์ภูเขาชำระจิตในตอนนี้อยู่ในระดับที่อันตรายล่อแหลมมาก หลินสวินกลับยังไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเปิดฉากต่อสู้ยกใหญ่ นี่เขากำลังเล่นกับไฟอยู่นะ”
“กระต่ายถูกบีบจนตรอกยังกัดคนได้เลย หลินสวินทำเช่นนี้ เกรงว่าคงถูกบีบถึงขั้นเข้าตาจน ไม่อาจไม่ลงมือแล้ว”
“เฮ้อ คู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้มีแค่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉินน่ะสิ ยังมีพลังของราชวงศ์ด้วย ข้าว่าไม่นานหลินสวินต้องพบเคราะห์แน่ และภูเขาชำระจิตนั่นก็ไม่อาจประคับประคองอยู่ได้อย่างแน่นอน!”
“จริงดังว่า ต่อให้เขามีพลังเย้ยฟ้าแค่ไหน อย่างไรก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่รู้หรอกว่าอำนาจของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเหล่านั้นน่าหวาดกลัวมากแค่ไหน การจะสังหารเขายังง่ายกว่าบี้มดตัวหนึ่งด้วยซ้ำ”
นครต้องห้ามคือเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ วันที่หลินสวินออกด่านก็ก่อให้เกิดความสนใจและการวิพากษ์วิจารณ์ทั่วทั้งเมือง เช่นนี้ก็ดูออกแล้วว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ชื่อเสียงของหลินสวินได้สั่งสมมาถึงขั้นที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้ามได้!
และในวันนี้ ข่าวที่หลินสวินเข้าสู่สำนักศึกษามฤคมรกต ซัดเหล่าผู้กล้าอย่างหฤโหด ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณก็แพร่ไปยังนครต้องห้าม
พร้อมกันนั้นข่าวหลินสวินจับกุมตัวผู้กล้าตระกูลทรงอิทธิพลสองคนอย่างจั่วหยางและฉินซิง ทั้งยังเข่นฆ่าคนตระกูลหลินสายรองก็แพร่ไปในสำนักศึกษามฤคมรกต
ก่อให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล ความแตกตื่นสารพัดแบบ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสายอีกครั้งอย่างไม่มีข้อยกเว้น ทำให้ชื่อหลินสวินกลายเป็นคนที่ได้รับการจับตามองที่สุดของนครต้องห้ามในตอนนี้
การปฏิบัติตัวเช่นนี้ กวามองทั่วใต้หล้านับแต่อดีตที่ผ่านมา เรียกได้ว่าหายากยิ่งนัก!
ถึงอย่างไรหากไม่พูดถึงฐานะและพลังแท้จริงทั้งหมด หลินสวินในตอนนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหกคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับสามารถชักนำให้ทั้งนครสั่นสะเทือน เพียงแค่จุดนี้จุดเดียว ในรุ่นเดียวกันก็แทบจะหาใครมาเทียบหลินสวินไม่ได้
สำหรับเรื่องเหล่านี้หลินสวินอาจไม่รู้ ต่อให้รู้แล้วก็คงไม่ใส่ใจมากนัก เดิมทีเขาก็ต้องการสร้างเรื่องอึกทึกอยู่แล้ว ไม่ว่าชื่อเสียงจะดีหรือไม่ดี ขอแค่ก่อเรื่องใหญ่พอก็ใช้ได้แล้ว
…….
หอกิจวิญญาณ
หลินสวินนำป้ายประจำตัวกองหนึ่งไปยังที่นั่น เขาต้องแลกเปลี่ยนคะแนนสะสม หลังจากนั้นค่อยเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วม ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’!
……………….
ตอนที่ 487 บันไดสวรรค์มหามรรค
โดย
ProjectZyphon
เมื่อเดินออกจากหอกิจวิญญาณ หลินสวินรู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าการเลือกวิธีที่สองโดยไต่ขึ้นกระดานนั้น ที่แท้ยังต้องจ่ายคะแนนสะสมไปถึงหนึ่งพันคะแนน มิน่าถึงได้มีน้อยคนนักที่จะเลือกการไต่ขึ้นกระดานเพียงลำพัง
หนึ่งพันคะแนน นี่เป็นตัวเลขมหึมาที่สามารถทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ถอยหนีได้เลย
ยังดีที่หลังจากหักไปหนึ่งพันคะแนน ในป้ายประจำตัวของหลินสวินตอนนี้ยังเหลืออีกห้าพันกว่าคะแนน เพียงพอที่จะร่วม ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ ได้อยู่
ท้องฟ้ามืดแล้ว หลินสวินกลับไปยังที่พำนักของตน และตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมุ่งหน้าไปยัง ‘ภูผาบันไดสวรรค์’
สถานที่ที่เรียกว่าภูผาบันไดสวรรค์ ก็คือพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกต มีเพียงศิษย์ผู้มีห้าพันคะแนนเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ย่างกรายขึ้นไปบนนั้นได้
มีคำเล่าลือว่าในภูผาบันไดสวรรค์นั้นมีร่องรอยมหามรรคอยู่ ไม่อาจคาดเดา ผู้ใดสามารถปีนขึ้นไปบนยอดเขาบันไดสวรรค์ได้ ก็เทียบเท่ากับก้าวแรกแห่งการปีนสู่สรวงสวรรค์ สามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้!
‘สวรรค์’ ในที่นี้ ก็ถูกชี้บ่งถึงระดับ ‘หยั่งสัจจะ’ เนื่องจากมีเพียงผู้แข็งแกร่งในระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ นี่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันในหมู่ฝูงชน
ตกดึกหลินสวินนั่งขัดสมาธิทำจิตใจให้สงบอยู่ภายในห้อง
เขาในตอนนี้ฝึกปราณมาถึงขั้นสุดยอดในระดับมหาสมุทรวิญญาณ สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และเนื่องจากชีพจนวิญญาณก่อร่างใหม่อีกครั้ง ทำให้มรรควิถีที่แต่เดิมก็แข็งแกร่งไร้เทียมทานอยู่แล้วของเขายิ่งแปรเปลี่ยนทรงพลังมากขึ้น ไม่อาจหยั่งถึงดุจเหวลึก
หากถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเขาคงต้องตกตะลึงอึ้งค้างเป็นแน่ เนื่องจากในระดับมหาสมุทรวิญญาณแทบจะหาคนที่เหมือนกับหลินสวิน ถูกเคี่ยวกรำจนกลายเป็นปีศาจชั่วร้ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ในแง่ของการฝึกจิตวิญญาณ หลินสวินได้บรรลุถึงขึ้นสมบูรณ์ของระดับ ‘ดาราจักรโคจร’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในห้วงนิมิตกลุ่มดาวเปล่งประกาย แสงดาวร่วงเป็นสายคมดุจภาพฝัน ส่องสะท้อนจิตวิญญาณ
ระดับต่อไปก็คือ ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ ซึ่งเป็นระดับขั้นที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกในการฝึกจิตวิญญาณ ในระดับนี้ใช้การหล่อหลอม ‘จิตจันทรา’ เป็นแกนหลัก
ยามหลอมรวมความน่าอัศจรรย์แห่ง ‘จันทร์เพ็ญเด่นนภา จรัสจ้าล่วงกาล’ ออกมาได้ จึงจะถือว่าสมบูรณ์
หลินสวินตั้งใจว่าตอนทะลวงขั้นของระดับหยั่งสัจจะ ค่อยไปฝึกฝน ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ เนื่องจากในระดับมหาสมุทรวิญญาณนั้น พลังจิตวิญญาณของเขาได้บรรลุสู่ขั้นสูงสุดแล้ว ด้วยได้รับอิทธิพลจากร่างกายและพลังปราณจนยากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีก
สิ่งที่ทำให้หลินสวินรู้สึกนอกเหนือความคาดหมายก็คือ ยามเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ในป้ายหินวิญญาณมรรคเขาประสบกับวังวนแห่งการดับสลายและฟื้นคืนสับเปลี่ยน ทำให้ร่างของเขาเปลี่ยนแปลงและยกระดับขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
อีกทั้งในกระบวนการนี้ยังหลอมอาวุธศักดิสิทธิ์อย่าง ‘มุกนักบุญอมตะ’ ไปจนหมด ผสานเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์!
ตอนนี้หลินสวินนึกสงสัยว่า เพียงแค่พลังกายของตนก็น่าจะสังหารผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งได้ด้วยหมัดเดียว!
‘ปราณ จิตวิญญาณ และพลังกาย สามสิ่งนี้ล้วนบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่เรียกว่าสรรพไตรภพนั้น ตอนที่ทะลวงเลื่อนขึ้นสู่ระดับหยั่งสัจจะ อาศัยมรรควิถีขั้นสมบูรณ์ ก็เพียงพอทำให้ข้าครอบครองความสำเร็จที่เหนือกว่าผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ได้แล้ว!’
หลินสวินเกิดความรู้แจ้งอยู่ในใจ
ระดับหยั่งสัจจะ ระดับใหญ่ที่แตกต่างไปจากระดับมหาสมุทรวิญญาณโดยสิ้นเชิง มีเพียงการบรรลุถึงระดับนี้เท่านั้นจึงจะถูกผู้คนขนานนามว่าเป็น ‘มหายุทธ์’!
เนื่องจากมีเพียงระดับหยั่งสัจจะเท่านั้นที่สามารถหยั่งรู้และครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรค ควบคุมลม สายฟ้า ดิน ไฟ ขับเคลื่อนจักรวาลธารบรรพต ระหว่างที่เงื้อมือขึ้นก็สามารถพลิกเมฆาคว่ำพิรุณ เผาภูผาต้มทะเลได้!
หยั่งสัจจะ มีคำอธิบายหลากหลายรูปแบบ บางคนกล่าวว่าเมื่อบรรลุระดับดังกล่าว ก็สามารถรู้แจ้งถึง ‘มรรค’ และ‘เหตุผล’ แห่งฟ้าดิน ดังนั้นจึงขนานนามว่าหยั่งสัจจะ
และมีบางคนกล่าวว่า หยั่งสัจจะคือภาพสะท้อนอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแห่งมรรควิถี เฉกเช่นการเปิดจักรวาลภายในร่างกาย ก่อร่างสร้างฐานแห่งมหามรรค และมีคุณสมบัติแสวงหาความอมตะ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ระดับหยั่งสัจจะก็เป็นหนึ่งระดับใหญ่ที่ยากหยั่งถึงอย่างจริง นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผู้ที่สามารถย่างกรายเข้าสู่ระดับนี้ได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!
ไม่ใช่อะไรอื่น เพราะมันยากเกินไป!
เนื่องจากในระดับหยั่งสัจจะสิ่งที่ต้องหยั่งรู้คือสัจจะมหามรรค หากไร้ซึ่งพรสวรรค์และโอกาสแล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็ถูกลิขิตให้ยากจะครอบครองได้
ดังเช่นในขุมกำลังใหญ่ภายในนครต้องห้าม ณ ปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะนั้นเรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่อาจขาดไปได้ สามารถสั่นสะเทือนใต้หล้า อิทธิพลเกรียงไกร
ดังเช่นบนภูเขาชำระจิต จูเหล่าซาน หลินจงก็เป็นบุคคลในระดับนี้ หากไม่มีพวกเขาเป็นกำลังหลัก สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตรังแต่จะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
จากสิ่งนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า พลังสั่นสะเทือนของระดับหยั่งสัจจะนั้นมีพลานุภาพมากเพียงใด
หลินสวินในปัจจุบันอยู่ห่างจากระดับนี้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าหนึ่งก้าวนี้กลับยากยิ่งกว่าการปีนสู่สรวงสวรรค์!
นี่ใช่ว่าอาศัยการปิดด่านฝึกฝนแล้วจะทะลวงเข้าไปได้ แต่จำเป็นต้องมีโอกาส ต้องแสวงหาและเคี่ยวกรำสมาธิ
เท่าที่หลินสวินรู้มา ในโลกตอนมีผู้โดดเด่นน่าอัศจรรย์อยู่มากมาย แต่แสวงหามาชั่วชีวิตก็ไม่สามารถบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะได้ ไม่ใช่ว่าพลังของพวกเขาไม่แกร่งพอ แต่เป็นเพราะยังขาดโอกาสและวาสนาในการทะลวงเข้าไปต่างหาก!
หลินสวินในปัจจุบันก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เขาเองก็กำลังรอคอยโอกาสธรรมดาๆ หนหนึ่งอยู่
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
ณ ภูผาบันไดสวรรค์
สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในส่วนลึกของสำนักศึกษามฤคมรกต และยังเป็นเขตหวงห้ามแห่งหนึ่งอีกด้วย โดยปกติแทบจะมองไม่เห็นเงาคนเลยสักสาย วังเวงเหลือแสนอย่างเห็นได้ชัด
หมอกยามเช้าปกคคลุม ท่ามกลางความเลือนรางเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดสีขาวทั้งร่าง ผมยาวสีดำมัดอยู่ด้านหลังลวกๆ เผยดวงหน้าอบอุ่นเป็นมิตร นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำสุกสกาว ทั่วสรรพางค์กายอวลด้วยกลิ่นอายโดดเด่นอย่างหนึ่ง
เป็นหลินสวินนั่นเอง
รอบด้านเงียบสงัด เทือกเขาซ้อนทับกัน หมอกยามเช้าเบาบาง ที่อยู่ห่างออกไปก็คือภูผาบันไดสวรรค์แล้ว การทดสอบบันไดสวรรค์กำลังจะเริ่มขึ้น ณ ที่แห่งนั้น
“พ่อหนุ่ม ตรงนี้เป็นพื้นที่ต้องห้าม อย่าได้เข้าใกล้อีก”
กระท่อมมุงจากหลังหนึ่งปรากฏขึ้นไกลๆ เบื้องหน้ากระท่อมมีชายชราหนวดเครายุ่งเหยิง ผมเผ้ารุงรังคนหนึ่งกำลังก่อไฟปรุงอาหาร
เตาไฟเผาไหม้ร้อนแรง ในหม้อเหล็กที่ตั้งอยู่กำลังต้มเนื้อสัตว์ กลิ่นหอมคละคลุ้ง พาให้ผู้คนนิ้วขยับยกใหญ่
เมื่อสังเกตเห็นการมาของหลินสวิน ชายชราผู้นั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้า รีบเอ่ยประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็ว ดวงตาจับจ้องไปที่เนื้อสัตว์ภายในหม้อเหล็ก เอาแต่ทำปากแจ๊บๆ ไม่ยอมหยุด ดูคล้ายหิวจัดจนกลั้นไม่อยู่แล้ว
“ผู้อาวุโส ข้ามาปีนบันไดสวรรค์”
หลินสวินโพล่งออกไป เขาสำรวจชายชราคนนั้น ทั้งร่างสกปรกไปหมด เห็นชัดว่ามอมแมมมาก ทั่วเรือนร่างก็ไม่มีกลิ่นอายแกร่งกล้า และดูไม่เหมือนยอดฝีมือผู้สันโดษคนหนึ่งเลยสักนิด
แต่ว่าหลินสวินไม่กล้าดูเบา สามารถนั่งอยู่ในภูผาบันไดสวรรค์นี้ได้ ความเป็นมาถึงชายชรามอมแมมคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่
“โอ้ หลายร้อยปีมานี้ก็มีศิษย์ไม่น้อยที่มาปีนบันไดสวรรค์ ทว่ากลับไม่มีสักคนที่ประสบความสำเร็จ พ่อหนุ่ม ข้าขอเตือนเจ้าว่าจากไปเสียเถอะ อย่าได้สิ้นเปลืองคะแนนสะสมเลย”
กล่าวถึงตรงนี้จู่ๆ ชายชราก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา “หากเป็นก่อนหน้านี้ ห้าพันคะแนนสามารถแลกเนื้อหัวใจของพญาอสูรมารระดับสวรรค์มากินได้หนึ่งชิ้น แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ยากจะหาอสูรมารที่อยู่ระดับนี้ได้เสียแล้ว”
หลินสวินชะงักไป พญาอสูรมารระดับสวรรค์? เมื่อเทียบกับระดับปราณแล้ว เป็นตัวตนน่ากลัวของผู้แข็งแกร่งระดับเเปรกระบวนจุติเชียวนะ!
หรือสมัยก่อนชายชราคนนี้เคยกินเนื้อหัวใจของพญาอสูรมารระดับสวรรค์?
แต่จากนั้นหลินสวินก็เก็บความคิดนี้ลงไป ไม่คิดมากอีก ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโส ครั้งนี้ข้าจำต้องปีนบันไดสวรรค์ให้ได้”
ชายชราดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย โบกมือพลางกล่าวว่า “ช่างไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตาเลยจริงๆ เอาเถิด ข้าเองก็ไม่ขวางเจ้าแล้ว เอาป้ายประจำตัวออกมา”
หลินสวินส่งป้ายประจำตัวออกไป ก่อนเดินทางมุ่งหน้าไปยังบริเวณห่างไกลต่อ
“ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์หรือ เฮ้อ น่าเสียดาย หากไร้ซึ่งคุณสมบัติ ‘สูงสุด’ ของระดับนี้ ก็ถูกลิขิตให้กลับไปพร้อมความปราชัยอยู่ดี”
ชายชราเหลือบมองเงาหลังของหลินสวินปราดหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย แล้วจึงหยิบชามตะเกียบออกมาคีบเนื้อสัตว์ในหม้อเหล็ก และเริ่มสวาปามด้วยความเอร็ดอร่อย
“หืม? เหตุใดถึงโผล่มาอีกคนแล้ว”
ทันใดนั้นชายชราพลันนิ่งไป ขมวดคิ้วมองไปในหมอกยามเช้าไกลๆ ก็เห็นชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมขาวหิมะ โดดเด่นดั่งเทพเซียนจุติลงมา ล่องลอยมาเยือน
กู้อวิ๋นถิง!
“เจ้าก็มาปีนบันไดสวรรค์เหมือนกันรึ”
ชายชราเคี้ยวเนื้อสัตว์คำโตพลางเอ่ยถามอู้อี้ กินอย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์
กู้อวิ๋นถิงพยักหน้า ล้วงป้ายประจำตัวออกมาด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นก็รุดหน้าต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเอ่ยคำเลยสักคำ
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันนะ”
ชายชราขมวดคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้า กินเนื้อสัตว์คำโตต่อไป ราวกับว่าต่อให้ฟ้าทลายลงมาก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าชิ้นเนื้อในชามเลย
ภูผาบันไดสวรรค์ตั้งชันโดดเดี่ยวดุจทวงวงเดือนเสียบทะลุเวหา โขดเขินเนินไศลดั่งเหล็กกล้า ไม่มีหญ้าผุดขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ไม่อาจคลอนแคลนได้
เมื่อยืนในที่แห่งนี้ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า บนทางเดินบันไดหินเล็กๆ ซึ่งทอดตรงขึ้นสู่ยอดเขานั้นสูงชันลิบลิ่ว ดูเหมือนกับขั้นบันไดที่ตั้งตรงอย่างไรอย่างนั้น
นี่ก็คือเส้นทางแห่งบันไดสวรรค์
ลือกันว่าบันไดหินทุกขั้นต่างประทับร่องรอยมหามรรค เต็มไปด้วยพลังยากหยั่งถึง เดินอยู่บนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการบุกน้ำลุยไฟเสียอีก
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถขึ้นสู่ยอดเขาบันไดสวรรค์ได้ เนื่องจากมันยากเกินไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณก็ต้องดิ้นรนปีนป่ายขึ้นไปบนนั้นเช่นเดียวกัน
แต่ถ้าสามารถปีนสู่ยอดสูงสุดของบันดสวรรค์ได้จริงๆ ก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล เรียกได้ว่าเป็นวาสนาชิ้นใหญ่ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
หลินสวินสูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก สาวเท้าก้าวขึ้นไปโดยไม่รีรอ
ก่อนมาที่นี่เขาทำความเข้าใจมาแล้วว่าหนทางสู่บันไดสวรรค์แต่ละขั้นนั้นแสนอันตราย หากประมาทแม้เพียงนิดก็จะถูกสยบและกำจัดออกไปโดยไร้ปรานี
แต่เพื่อให้ได้เขาวัวขุย หลินสวินจำต้องบุกตะลุยด่านทดสอบนี้ไปให้จงได้
ตึก!
ยามเท้าเหยียบย่างขึ้นบันไดหินขั้นแรก ทิวทัศน์เบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป ราวกับดวงดาวเคลื่อนที่ ปรากฏเป็นทะเลเพลิงปั่นป่วนขึ้นมา
ท่ามกลางทะเลเพลิง สัตว์ปีกดุร้ายตัวแล้วตัวเล่าที่ร่างชโลมแสงไฟกระพือปีกบินร่อน แผ่กลิ่นอายน่ากลัวแห่งการแผดเผาทุกสรรพสิ่ง
“ตราประทับอัคคี!”
หลินสวินหรี่ตาลง แยกแยะออกว่านี่คือตราประทับที่เป็นร่องรอยการวิวัฒน์ของ ‘สัจวิถีธาตุไฟ’ บนบันไดสวรรค์ แม้จะไม่ใช่ของจริง แต่พลังนั้นกลับน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
ฟุ่บ!
แทบไม่มีโอกาสให้หลินสวินคิดอะไรมาก สัตว์ปีกดุร้ายตัวหนึ่งสยายสองปีก พลางหอบม้วนคลื่นอัคคีนับพันหมื่นถลาร่อนคำรามเข้าหา แล้วพ่นคลื่นเพลิงร้อนระอุนั้นออกมาหลอมกลืนห้วงอากาศ เปี่ยมด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง
การทดสอบเริ่มต้นแล้ว!
หลินสวินไม่ถอยหนีกลับรุกขึ้นหน้า โคจรพลังปราณทั่วร่าง ทั่วทั้งตัวราวกับอาทิตย์สีฟ้าดวงใหญ่เจิดจ้า พุ่งทะยานสู่ท้องนภาก่อนซัดหมัดหนึ่งออกไป
ตูม!
พลังหมัดดั่งห้อทะยาน พริบตาเดียวก็บดขยี้สัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝนแสงและหายวับไป
แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ในทะเลเพลิงกลับมีสัตว์ปีกดุร้ายตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกมา อาบด้วยเปลวไฟร้อนเร่า ส่งเสียงแหลมแสบแก้วหู พุ่งเข้าหาหลินสวินดั่งปิดล้อมฟ้าดิน
“เข้ามาเลย!”
ผมดำขลับของหลินสวินปลิวไสว โคจรเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ เปิดฉากต่อสู้ดุเดือดอยู่เหนือทะเลเพลิง พลันเห็นเปลวไฟพวยพุ่ง สัตว์ปีกดุร้ายบินร่อน พลังในการเผาไหม้ท่วมท้นฟ้าดินราวกับขุมนรกแห่งไฟ น่ากลัวถึงขีดสุด
ขณะเดียวกันที่เชิงเขาบันไดสวรรค์ กู้อวิ๋นถิงในชุดขาวก็มาถึง ตอนที่มองเห็นหลินสวินยืนอยู่บนบันไดหินขั้นแรกในระยะไกลนั้น เขาอดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้
จากนั้นก็สาวเท้าขึ้นไปโดยพลัน เริ่มปีนบันไดสวรรค์จากด้านข้างของหลินสวิน!
…………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น