Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 471-476
ตอนที่ 471 ผู้น้อยล่วงเกินผู้ใหญ่
โดย
ProjectZyphon
สุดท้ายคนตระกูลจั่วและฉินจากไปพร้อมความชิงชัง
พวกเขาไม่มีวิธี อยากจะโจมตีแต่ก็กลัวอีกฝ่ายทำร้ายคนของตน จั่วหยางและฉินซิงสำคัญเกินไป เป็นทายาทสายตรงของตระกูล ฐานะไม่ธรรมดา
และยามนี้ทั้งสองถูกคุมตัวกลับภูเขาชำระจิต ทำให้พวกเขาจำต้องกลับตระกูลไปก่อนเพื่อรายงานข่าวนี้ แล้วค่อยฟังการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโส
บนภูเขาชำระจิต เหล่าคนหนุ่มสาวต่างกำลังร้องดีใจและตื่นเต้น
ช่วงก่อนหน้านี้ศัตรูดักอยู่หน้าประตูใหญ่ภูเขาชำระจิต ต่างท้าทายและเย้ยหยัน ทำให้พวกเขาทั้งอัดอั้นทั้งขึ้งโกรธ แต่ทำได้เพียงกัดฟันทน
ทว่าวันนี้หลินสวินออกจากการปิดด่านฝึก ฆ่าหลินจือและคนอื่นๆ อีกนับสิบคนอย่างแข็งกร้าวราวกับเทพสังหาร หลังจากนั้นยังจับตัวจั่วหยางและฉินซิงได้ในครั้งเดียว วิธีเผด็จการที่เด็ดเดี่ยวแบบนี้ ทำให้บรรดาคนหนุ่มสาวต่างร้องโห่อย่างสะใจ นี่เท่ากับระบายความแค้นให้พวกเขาได้ยกใหญ่
มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสที่สีหน้าแฝงความกังวล รู้ว่าตอนนี้อาจจะสะใจ แต่สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตกลับอันตรายขึ้นกว่าเดิม
ในตำหนักภูเขาชำระจิต
เสี่ยวเคอ พญาแร้ง หลินจง จูเหล่าซานและบุคคลเบื้องบนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ยามนี้ต่างมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้
“เฮ้อ ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว พวกเราคุมตัวจั่วหยางและฉินซิงไว้ ตระกูลจั่วและฉินไม่หยุดแค่นี้แน่”
คนวัยกลางคนคนหนึ่งจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรถอนหายใจ
“หลินจือตายอย่างอนาถ กลุ่มผู้ฝึกปราณที่ติดตามมาก็ถูกฆ่า หากขุมอำนาจสายรองอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุรู้เข้า ผลลัพธ์นั้นไม่อยากจะคิด”
“ทำอย่างไรดี”
“หลินสวินใช้อารมณ์เกินไปแล้ว แบบนี้แหละที่เรียกว่าเรื่องเล็กไม่ยอมอดทนจะเสียงานใหญ่ เขาทำเช่นนี้เท่ากับแตกหักกันเชียวนะ”
เหล่าผู้อาวุโสจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างเปิดปาก สีหน้าแฝงความกังวลและหนักใจ หายใจไม่ทั่วห้อง
ส่วนเสี่ยวเคอ พญาแร้ง หลินจงและจูเหล่าซานต่างนิ่งเงียบไม่พูดจา
ทว่าพวกเขาต่างฟังออกว่า คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรพวกนี้ไม่พอใจการกระทำของหลินสวินอย่างเห็นได้ชัด บ่นจู้จี้จุกจิก
“สิ่งที่รุนแรงที่สุดคือ ทีแรกในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี หลินสวินได้ล่วงเกินอำนาจของราชวงศ์และคนใหญ่คนโตในจักรวรรดิ วันนี้ก็มาหักหน้าตระกูลจั่วและฉินอย่างสิ้นเชิง สถานการณ์นี้รุนแรงเกินไปแล้ว หากไม่ระวังอาจเจอกับจุดจบที่ต้องพังพินาศ”
ชายผมยาวดำสนิท ท่าทางเคร่งขรึมพูดขึ้น
เขาชื่อหลินไหวเหริน เป็นน้องชายของหลินไหวหย่วนหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร มากด้วยบารมี ยามนี้มาอยู่บนภูเขาชำระจิต ก็ถูกจัดให้เป็นตัวแทนดูแลเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
“จะทำอย่างไรดี”
พวกคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรถอดหายใจอีกระลอก
“ทุกท่าน เชื่อว่าที่นายน้อยทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะใช้อารมณ์แน่ บางทีอาจมีจุดประสงค์อื่นที่เราไม่รู้”
หลินจงอดพูดไม่ได้
“มีจุดประสงค์อื่นงั้นหรือ”
หลินไหวเหรินอึ้ง สายตามองไปที่พญาแร้ง
พญาแร้งเองก็ไม่เงียบอีก เอ่ยปากอย่างราบเรียบ “รอหลินสวินมาค่อยถามรายละเอียดก็จะรู้เอง”
“หึ เขาเพิ่งออกจากการปิดด่านฝึกตน ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ด้วยซ้ำก็สร้างเรื่องวุ่นวายขนาดนี้แล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะวางแผนอะไรไว้ ข้าว่านะ หลินสวินก็แค่ก่อเรื่องไปตามประสาเด็ก!”
มีคนแค่นเสียงอย่างเย้ยหยัน เป็นคนชราผมขาว ชื่อว่าหลินจื่อฝาง
เขาอายุมากแล้ว ถือว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แม้พลังปราณจะอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น แต่คุณวุฒิกลับสูงมาก
เห็นเขาต่อว่าหลินสวิน แม้พวกหลินจง พญาแร้งต่างขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร
“ข้าว่านะ เดี๋ยวหลินสวินมาจะต้องเคาะกะโหลกเขาสักที หยกไม่เจียระไนก็ไร้ค่า หากเขาก่อเรื่องแบบนี้ต่อไป สักวันภูเขาชำระจิตจะต้องล่มจม!”
หลินจื่อฝางสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการกระทำของหลินสวินอย่างที่สุด
“นี่…”
หลินจงพูดขึ้น “เหมือนจะไม่เหมาะกระมัง”
หลินจื่อฝางใบหน้าขรึม “หลินจง เจ้าก็ถือเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหลิน ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้อีกหรือ หลินสวินก่อเรื่องเช่นนี้เจ้ายังจะปกป้องเขา นี่ต่างอะไรกับการทำร้ายเขาหรือ”
ไม่รอให้คนอื่นๆ พูด หลินจื่อฝางก็พูดขึ้นอย่างโมโห “ถ้ารู้แต่แรกว่าเด็กคนนี้ใช้การไม่ได้แบบนี้ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้าจะไม่สนับสนุนเขาเด็ดขาด ดูตอนนี้สิ เพราะเขาทำผิด ทำให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของพวกข้าต้องเดือดร้อนไปด้วย!”
เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น บรรยากาศภายในห้องโถงก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นทันที
หลินไหวเหรินและพวกคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรสายตาวูบไหว สีหน้าดูแปลกประหลาด
ส่วนพวกเสี่ยวเคอ พญาแร้ง หลินจงต่างขมวดคิ้วโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ หลินจื่อฝางจะพูดจาเช่นนี้!
“ตอนภูเขาชำระจิตผงาดขึ้นมา พวกเจ้าย้ายกลับมาอย่างดีใจ ยามนี้เพียงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเล็กน้อย พวกเจ้าก็บ่นเพียงนี้แล้ว ไม่รู้สึกว่าเกินไปหน่อยหรือ”
เสี่ยวเคอหมดความอดทน พูดเสียงเย็นออกมา
“บังอาจ! นี่มันเรื่องภายในตระกูลหลินของข้า ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเจ้าจะมาจุ้นจ้านหรือ”
หลินจื่อฝางด่าว่าเสียงเฉียบขาด
“เสี่ยวเคอ อย่าได้พูดมาก”
พญาแร้งห้าม
ถ้าเป็นปกติเสี่ยวเคอจะต้องฟังพญาแร้ง แต่วันนี้นางทนดูต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ หลินจื่อฝางคนนี้ใช้ความเป็นผู้อาวุโสเข้าข่ม เจอปัญหาก็ไม่รู้จักคิดหาวิธีแก้ไข แต่กลับมาตำหนิและกล่าวโทษหลินสวิน น่าชิงชังชะมัด
“เจ้าก็รู้นี่ว่านี่เป็นเรื่องของตระกูลหลินของพวกเจ้า แต่ข้าดูไม่ออกเลยว่าเจ้าเห็นหลินสวินเป็นผู้นำตระกูลหลินจริงๆ!”
เสี่ยวเคอโต้กลับอย่างเย็นชา
หลินจื่อฝางโกรธจนหน้าเขียวทันที “สาวน้อย เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับผู้อาวุโสเช่นข้า เชื่อไหมว่าข้าจะไล่เจ้าออกจากภูเขาชำระจิตเดี๋ยวนี้เลย”
“ไล่ข้างั้นหรือ”
มุมปากเสี่ยวเคอเผยรัศมีโค้งอันเยียบเย็น
เพียงแต่นางเพิ่งจะอ้าปากพูดก็ถูกพญาแร้งห้ามปรามเอาไว้ “หยุดเถียงกันได้แล้ว…”
ทว่าไม่รอให้พญาแร้งพูดจบ หลินจื่อฝางก็กล่าวตัดบทอย่างแข็งกร้าวเป็นที่สุด “ภูเขาชำระจิตเป็นมรดกที่บรรพบุรุษตระกูลหลินของข้าสืบต่อกันมา ไม่ใช่พื้นที่ของคนนอกอย่างพวกเจ้า! วันนี้หากเจ้าไม่ขอขมาข้า ก็ไสหัวออกจากภูเขาชำระจิตได้เลย!”
ได้ยินเช่นนี้สีหน้าของพญาแร้งก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา แววตาเสี่ยวเคอฉายความหนาวเยือก ในขณะที่ความกรุ่นโกรธปรากฏบนหว่างคิ้วของหลินจง
บรรยากาศภายในโถงใหญ่อึดอัดอย่างที่สุด
“อาหกโปรดระงับโทสะ แม่นางเสี่ยวเคอเป็นคนที่หลินสวินเชิญมา ทำเพื่อภูเขาชำระจิตมามาก”
หลินไหวเหรินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างฉับไว จึงเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม
เขาเองก็รู้ดีว่าฐานะของเสี่ยวเคอในภูเขาชำระจิตสำคัญมาก ไม่เป็นรองพวกของพญาแร้งและหลินจงเลย
หลินจื่อฝางท่าทางแข็งกร้าวเหมือนจะไม่ยอมหยุด พูดเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นต้องให้ข้าขอขมานางงั้นหรือ ข้าว่าแม้แต่หลินสวินมาก็ไม่กล้าให้ข้าทำเช่นนี้!”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
ขณะนั้นเองเสียงของหลินสวินก็ดังแว่วขึ้นในห้องโถง “ขออภัย เกรงว่าจะทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว”
หลินสวินเดินออกมาจากอีกฝั่งของห้องโถงพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น ดวงตาดำขลับราวกับสายฟ้ากวาดมองหลินจื่อฝางอย่างเย็นเยียบ
“ท่านเอาแต่บอกว่าจะสั่งสอนข้า บอกว่าข้าทำให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต้องลำบาก ตอนนี้ยิ่งบอกว่าจะไล่คนของข้า อะไรทำให้ท่านกล้าขนาดนี้”
ทุกคนตะลึงไปทันที
เห็นได้ชัดว่าบทสนทนาเมื่อครู่นี้หลินสวินได้ยินทั้งหมดแล้ว มิเช่นนั้นคำพูดคงไม่แข็งกร้าวและกดดันเช่นนี้
อย่าลืมว่าถ้านับตามลำดับอาวุโส หลินสวินต้องเรียกหลินจื่อฝางว่า ‘ปู่เล็ก’ ด้วยซ้ำ! เพียงแค่ว่าสายเลือดห่างกันค่อนข้างไกลเท่านั้น
ยามนี้หลินสวินกระทู้ถามหลินจื่อฝางต่อหน้าทุกคน ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าก็ออกจะดูไม่มีสัมมาคารวะไปสักหน่อย
“เจ้า…พูดกับข้าอยู่หรือ”
ตามคาด หลินจื่อฝางโกรธจนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
“ท่านได้ยินไม่ผิด ข้าหมายถึงท่านนั่นแหละ ทำไม วางมาดผู้อาวุโสมันสนุกนักหรือไง”
หลินสวินเอ่ยเสียงเย็น
ภายในใจเขาเกิดความรังเกียจที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ในสถานการณ์ที่มีทั้งศึกในศึกนอกเช่นนี้ หลินจื่อฝางในฐานะผู้อาวุโสไม่รู้จักคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา กลับออกมาวิ่งเต้นโวยวาย จะให้หลินสวินเคารพเขาได้อย่างไร
“เจ้าบอกว่าข้าวางมาดผู้อาวุโสงั้นหรือ”
หลินจื่อฝางสั่นไปทั้งตัว เห็นได้ชัดว่าหัวเสียอย่างที่สุด สำหรับเขาหลินสวินเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แต่กลับต่อว่าเย้ยหยันเขาต่อหน้าทุกคน เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย!
คนอื่นๆ ก็ตะลึงไปเช่นกัน หลินสวินแข็งกร้าวเกินไปแล้ว ในกฎของตระกูล สิ่งที่เป็นข้อห้ามที่สุดก็คือผู้น้อยล่วงเกินผู้ใหญ่ ถ้าแพร่ออกไปจะต้องเป็นเรื่องตลกอย่างมหันต์แน่
“หลินสวิน พอแล้ว ช่างมันเถอะ”
พญาแร้งเอ่ยปาก
“ใช่ ถอยกันคนละก้าว คนอื่นจะได้ไม่หัวเราะเยาะ”
คนอื่นๆ ต่างพูดขึ้นเช่นกัน
“เป็นไปไม่ได้!”
หลินจื่อฝางคำราม เด็กอย่างหลินสวินทำให้เขาลำบากใจต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ จะให้เขาทนได้อย่างไร
“ตอนที่ปู่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่กล้าทำกับข้าเช่นนี้ เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ากลับไม่สนทำนองคลองธรรม เป็นผู้น้อยแต่ล่วงเกินผู้ใหญ่ หากไม่คุกเข่าขอขมา ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด!”
เขาลุกขึ้นอย่างโกรธจัด ละอองน้ำลายแทบจะพ่นใส่หน้าหลินสวิน
หลินสวินมองหลินจื่อฝางอย่างเย็นชา มองดูคนแก่ที่ไม่รู้รุกรู้ถอยคนนี้ สุดท้ายก็สูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ลุงจง พาเขาไปทบทวนตัวเองที่สุสานบรรพบุรุษภูเขาชำระจิต!”
ได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างตื่นตะลึง
นี่มันหลินสวินไม่คิดจะแก้ต่างข้อโต้แย้งอะไรทั้งสิ้น แต่ให้กักตัวหลินจื่อฝางไปทั้งอย่างนั้นด้วยซ้ำ!
“หลินสวิน ทำเช่นนี้ไม่ดีกระมัง”
หลินไหวเหรินขมวดคิ้ว คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคนอื่นๆ ก็ตะลึง สำหรับพวกเขาแล้ว การกระทำเช่นนี้ของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับการผิดทำนองคลองธรรม เขาไม่กลัวจะถูกครหาหรือ
“นายน้อย นี่…”
หลินจงเองก็อดกังวลไม่ได้
“ไป”
หลินสวินพูดออกมาเบาๆ คำหนึ่ง ท่าทางเด็ดเดี่ยว ไม่เปิดโอกาสให้สงสัย
“เจ้า…เจ้ากล้าเกินไปแล้ว… นี่เท่ากับรังแกอาจารย์ล้มล้างบรรพบุรุษชัดๆ เป็นการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม…”
หลินไหวเหรินโกรธจนลูกตาแทบหลุดออกมา คำรามไม่หยุด แต่ในส่วนลึกของจิตใจ แท้จริงแล้วเขาก็รู้สึกกลัวอยู่รางๆ
ขณะนั้นเองหลินสวินก้าวเข้ามา พลังล่องหนสายหนึ่งหลั่งไหล คุมตัวหลินจื่อฝางเอาไว้ในพริบตา จากนั้นจึงได้ ‘เชิญ’ เขาออกไป
“หลินสวิน! เจ้า…”
สุดท้ายหลินไหวเหรินก็หมดความอดทน ลุกขึ้นอย่างมีโทสะ หลินจื่อฝางเป็นคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร การกระทำเช่นนี้ของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกเขา
“รอคลี่คลายศึกในศึกนอกของตระกูลหลินให้ได้ก่อน ข้าจะไปขอขมาเอง แต่ตอนนี้ไม่ว่าใคร ถ้ากล้าก่อความวุ่นวายในภูเขาชำระจิต จะต้องได้รับบทลงโทษอย่างรุนแรง!”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ เผยความเข้มงวดชวนกดดัน
“สถานการณ์ตอนนี้มีทั้งศึกในศึกนอก ทุกคนควรจะร่วมมือร่วมใจกัน รับมือกับภายนอก”
พญาแร้งพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เชื่อว่าทุกท่านก็คงไม่อยากเห็นภูเขาชำระจิตเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นใช่หรือไม่”
“เฮ้อ!”
หลินไหวเหรินถอนหายใจยาว กลับไปนั่งที่เดิมด้วยสีหน้าที่คร่ำเคร่งไม่สงบ
คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคนอื่นๆ เองก็สีหน้าอึมครึม ความแข็งกร้าวและเหี้ยมโหดของหลินสวินเหนือความคาดหมายของพวกเขาทุกคน
กับคนในตระกูลยังเหี้ยมถึงเพียงนี้ บนโลกนี้ยังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่กล้าทำอีกหรือไม่
……………….
ตอนที่ 472 หวนคืนสำนักศึกษา
โดย
ProjectZyphon
เหล่าคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรอยู่ไม่นานก็จากไปภายใต้การนำของหลินไหวเหริน ราวกับพวกเขารู้ว่าอยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอันใดอีกต่อไปแล้ว
หลินสวินไม่ได้รั้งเอาไว้ มองพวกเขาจากไปแล้วจึงพูดว่า “ลุงจง หลังจากนี้ท่านจับตาดูคนเหล่านี้ให้ดี หากเจอความผิดปกติอันใดก็คุมตัวพวกเขาเอาไว้ทันที!”
หลินจงพยักหน้า
เขาเองก็รู้ดีว่ายามนี้สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตอันตรายอย่างยิ่ง หากภายในยังไม่สามารถรักษาความมั่นคงได้อีก ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เป็นแน่
“หลินสวิน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
พญาแร้งถาม
“นับตั้งแต่วันนี้ให้ปิดภูเขาชำระจิต ทุกท่านรั้งอยู่ที่นี่ชั่วคราว ใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากโลกภายนอกสักระยะ สำหรับเรื่องภายนอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าผ่านการใคร่ครวญมาอย่างรอบคอบแล้ว นัยน์ตาดำขลับสงบมั่นคง น้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าคนเดียวงั้นหรือ”
พญาแร้ง เสี่ยวเคอและหลินจงต่างตะลึง แม้แต่จูเหล่าซานที่นิ่งขรึมพูดน้อยมาโดยตลอดยังอดมองหลินสวินไม่ได้
พวกเขาต่างรู้ดีว่า หากหลินสวินทำเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาจะไปรับมือกับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉิน รวมทั้งตระกูลรองที่เหลืออย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุเพียงลำพัง!
หลินสวินจะทำได้หรือ
แม้แต่พญาแร้งยังอดสงสัยไม่ได้ นี่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดนะ
สุดท้ายหลินสวินไม่ได้เปิดเผยเหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้พวกเขาเป็นห่วง
ส่วนพวกพญาแร้ง แม้จะแปลกใจ แต่พอเห็นความแน่วแน่ของหลินสวินสุดท้ายก็จำต้องยอมรับ
……
ในวันเดียวกัน หลินสวินได้ออกจากภูเขาชำระจิตโดยมีจูเหล่าซานและหลินจงติดตามไปด้วย
และในวันนั้นเองที่ภูเขาชำระจิตปิดเขาอย่างสิ้นเชิง ตัดขาดจากโลกภายนอก
ในฐานะหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ บนภูเขาชำระจิตเองก็มีการวางค่ายกลป้องกันใหญ่อันลึกลับ แม้ราชันระดับสังสารวัฏมา ก็ยากจะบุกรุกเข้าไปได้
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงไม่กังวลว่าตระกูลจั่วและฉินจะบุกเข้ามาแก้แค้นไล่ล่าสังหารบนภูเขาชำระจิต
ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้จั่วหยางและฉินซิงถูกคุมตัวอยู่บนภูเขาชำระจิต ตระกูลจั่วและฉินอยากจะแก้แค้น ก็ต้องใคร่ครวญถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย
“นายน้อย นี่ท่านจะไปขอความช่วยเหลือที่สำนักศึกษามฤคมรกตหรือขอรับ”
ตอนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวสมบัติ จู่ๆ หลินจงก็ถามขึ้น
“พึ่งคนอื่น ไม่สู้พึ่งตัวเอง”
หลินสวินส่ายหน้า สายตาลึกล้ำ เอ่ยพูดราบเรียบ “ลุงจง ท่านเชื่อหรือไม่ว่า อีกไม่นานจะมีคนมากมายเข้ามาให้ความช่วยเหลือข้าเอง”
หลินจงหัวใจสะท้าน จ้องมองโครงหน้าคมสันสุภาพหล่อเหลาของหลินสวิน ครู่ใหญ่จึงพูดอย่างแน่วแน่ “เชื่อ”
หลินสวินอึ้ง “ลุงจงไม่สงสัยอะไรหน่อยเลยหรือ”
หลินจงยิ้มซื่อๆ พูด “การตัดสินใจของนายน้อยไม่เคยผิดมาแต่ไหนแต่ไร”
พูดถึงตรงนี้เขาลังเลอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “นายน้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่า…แม้ว่าสุดท้ายจะต้องเสียภูเขาชำระจิตไป ท่านก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ!”
หลินสวินขานรับว่าอื้มคำหนึ่ง แล้วหลับตาจมสู่ห้วงความคิด
ตั้งแต่ในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน จ้าวไท่ไหลเจ้าของหลังม่านของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ได้เข้ามาพูดเรื่องราวที่ลึกลับยิ่งกับเขาโดยเฉพาะ
ห้าปี!
ภายในห้าปีนี้ บุคคลยิ่งใหญ่ลึกลับในวังหลวงท่านนั้นรับรองได้ว่า อวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะไม่ปรากฏตัว
จวบจนกระทั่งยามนี้หลินสวินยังจำคำพูดของจ้าวไท่ไหลในตอนนั้นได้แม่น… ‘เจ้าก่อเรื่องได้ตามสบาย ยิ่งสร้างความฮือฮาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะที่สำนักศึกษามฤคมรกต ก่อเรื่องจนเหล่าหัวหน้าสาขาต่างเริ่มหันมาสนใจเจ้าด้วยจะดีที่สุด แบบนั้นมีแต่จะเป็นผลดีต่อสถานการณ์ของเจ้า’
‘จักรวรรดิไม่มีทางนิ่งดูดาย มองดูยอดฝีมือตัวจริงเผชิญปัญหาเพียงลำพังโดยไม่สนใจแน่ แต่ทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เจ้ามีกำลังและความสามารถที่ควรค่าแก่การได้รับความสนใจจากจักรวรรดิ สำหรับจักรวรรดิแล้ว เจ้ายิ่งเก่งกาจเท่าไหร่ก็ยิ่งมีค่าเท่านั้น หากวันหนึ่งมีเรื่องเดือดร้อน จักรวรรดิจะต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้เจ้าไว้แน่!!’
คำพูดนี้เข้าใจง่ายมาก และนี่ก็เป็นที่มาที่ทำให้หลินสวินกล้าไปเผชิญหน้ากับอันตรายทั้งหมดเพียงลำพังในครั้งนี้
ทว่าหลินสวินไม่มีทางฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่คนอื่น เขามีการจัดการและการวางแผนของตน
เหมือนอย่างที่เขาพูดกับหลินจงก่อนหน้านี้ พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่งตัวเอง!
เมื่อตนยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากพอ ใครที่ไหนจะยังกล้ามาหาเรื่อง
หลังจากได้ไปเยือนแดนวิญญาณโบราณ ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์ มองเห็นอีกด้านของโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อเทียบกับดินแดนรกร้างโบราณ จักรวรรดิจื่อเย่าที่กว้างใหญ่นี้ก็เป็นเพียงแค่เขตพื้นที่บริวารเท่านั้น
หากแม้แต่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ยังจัดการไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปดินแดนรกร้างโบราณและแก้แค้นให้กับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วเลย
จู่ๆ หลินสวินก็ลืมตาขึ้นเอ่ยว่า “ลุงจง อย่าลืมส่งสารไปถึงตระกูลรองทั้งสาม ธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ ว่าข้อตกลงสามปีที่ข้ารับปากพวกเขาเอาไว้ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อพวกเขาเลือกจะหักหลังภูเขาชำระจิต ร่วมมือกับตระกูลจั่วและฉิน ก็ต้องชดใช้อย่างสาสมกว่าเดิม”
พูดถึงตรงนี้ความเย็นเยียบพลันวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของหลินสวิน “บอกพวกเขาว่า ภายในครึ่งปีนี้ให้ตัดขาดจากตระกูลจั่วและฉินซะ มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่าผลของการหักหลังนั้นรุนแรงเพียงใด!”
หลินจงตัวสะท้าน พยักหน้าอย่างเคารพ
……
ณ สำนักศึกษามฤคมรกต
เป็นเวลาเที่ยงวัน เหล่าศิษย์ต่างเลิกเรียนกันแล้ว ภายในสำนักศึกษาที่เงียบสงบและเก่าแก่มีหนุ่มสาวที่ดูสดใสมีชีวิตชีวาเต็มไปหมด
พวกเขาสวมเครื่องแบบศิษย์แบบเดียวกัน ดูหนุ่มสาว ฮึกเหิมและเต็มไปด้วยพลัง ราวกับพระอาทิตย์ที่เพิ่งทะยานสู่ฟ้า อนาคตที่ไร้ขีดจำกัด
เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งหยุดลง หลินสวินเดินลงมาและโบกมือบอกลาหลินจงกับจูเหล่าซาน ก่อนหันกลับมาหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้าเข้าไปในสำนักศึกษามฤคมรกตที่ไม่ได้มาเยือนเกือบสองเดือน
“หืม คนๆ นั้นดูคุ้นๆ”
“หลินสวิน! ไม่สิ อาจารย์เสี่ยวหลิน ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวแล้ว!”
พอหลินสวินปรากฏตัว ไม่นานก็มีคนจำได้และสร้างความฮือฮาขึ้นทันที
ข่าวนี้แพร่สะพัดเข้าไปในสาขามังกรเร้น สาขายุทธ์วิถี สาขายอดยุทธศาสตร์ สาขาสลักวิญญาณและสาขากลยุทธ์เทพด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
“อะไรนะ หลินสวินยังจะกล้าปรากฏตัวอีกหรือ หรือเขาไม่รู้ว่ายามนี้มีคนมากมายอยากเอาชนะเขา เพื่อล้างความอับอายให้กับราชวงศ์”
“ข้าจำได้ว่ายามนี้ภูเขาชำระจิตถูกตระกูลจั่วและฉินปิดล้อมเอาไว้แล้ว สถานการณ์อันตรายยิ่ง เหตุใดหลินสวินจึงมาที่สำนักศึกษามฤคมรกต เขามาขอความช่วยเหลืองั้นหรือ”
การกลับมาของหลินสวินทำให้สำนักศึกษามฤคมรกตคึกคักขึ้นมา เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทุกแห่งหน
ช่วยไม่ได้ ชื่อเสียงของหลินสวินโด่งดังมากจริงๆ เป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่เป็นดั่งตำนานก็ไม่ปาน สร้างเรื่องฮือฮาอย่างที่สุดในนครต้องห้ามเรื่องแล้วเรื่องเล่า แต่ละเรื่องล้วนนำพามาซึ่งปั่นป่วนโกลาหล เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน
ดูตำแหน่งของเขาเสียก่อน เด็กหนุ่มปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ได้รับคำเชิญเป็นพิเศษจากสำนักศึกษามฤคมรกต สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและภาคีนักสลักวิญญาณ ผู้ครอบครองภูเขาชำระจิต ผู้นำตระกูลหลิน!
ใครจะจินตนาการได้ว่า ภายใต้เกียรติยศอันรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหกเท่านั้น
ถ้านับความฮือฮาที่เขาเคยสร้างขึ้นอย่างละเอียดก็ยิ่งน่าทึ่ง
เขาสยบฮวาอู๋โยว ซัดลูกหลานตระกูลซ่งจนร่วง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ ซ่อมแซม ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ของจักรพรรดินีพระองค์ปัจจุบัน…
ฉู่ไห่ตงซึ่งอยู่ในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ เพราะล่วงเกินเขาจึงถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้โง่’ กลายเป็นตัวตลกในนครต้องห้าม
ผู้อาวุโสของฉู่ไห่ตง ฉู่ซานเหอรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณหมายจะลงมือเล่นงานหลินสวิน สุดท้ายก็พลาดท่าเสียหน้าจนจำต้องเก็บตัวชั่วคราว ไม่มีหน้าออกมาอีก
แม้แต่ต้นกำเนิดของ ‘ลำนำผู้กล้า’ ที่ยามนี้เป็นที่กล่าวขานไปทั่วหล้า ก็ได้ยินมาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลินสวินอย่างมาก!
เรียกได้ว่าก่อนหน้านี้หลินสวินเป็นตัวประหลาดที่โดดเด่น นำพาความฮือฮาและความสั่นสะเทือนมาให้นครต้องห้ามมากเหลือเกิน
แต่ช่วงเวลาดีๆ มักอยู่ไม่นาน ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เขาทำอะไรตามอำเภอใจ เอาชนะฉือฉางเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นคือบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า ล่วงเกินราชวงศ์และบุคคลชั้นสูงของจักรวรรดิ หาเรื่องใส่ตัวจนได้
สุดท้ายทำให้เขาพลาดโอกาสหนึ่งเดียวที่จะได้ไปฝึกยุทธ์ในดินแดนลี้ลับ
และก็เพราะเรื่องนี้ทำให้นครต้องห้ามตกอยู่ท่ามกลางความสั่นสะเทือน หลายคนต่างคิดว่าดาวอสูรอย่างหลินสวินจะต้องร่วงหล่นแน่ จุดจบนั้นน่าเป็นห่วง
และการที่หลินสวินเก็บตัวอยู่ในภูเขาชำระจิต ก็ทำให้คนภายนอกส่วนใหญ่คิดว่าหลินสวินรู้ว่าภัยมาถึงตัวแล้ว จึงจำต้องหดหัวกลับไป
ยามนี้หลังจากผ่านไปสองเดือน หลินสวินผู้เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มอิ่มจู่ๆ ก็ปรากฏตัวในสำนักศึกษามฤคมรกต แน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจจากทุกสายตา
“หมอนี่ยังจะกล้าปรากฏตัวอีก คราวนี้มีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแล้ว ข้าจำได้ว่าช่วงก่อนจั่วอวี้จิงที่ติดอันดับสามบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณของสำนักศึกษาเรา ได้ประกาศกร้าวว่าหากหลินสวินปรากฏตัว จะเล่นงานหลินสวินอย่างสาสมใช่หรือไม่”
“ไม่เพียงแค่จั่วอวี้จิง ข้าได้ยินมาว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งอัจฉริยะในสาขายุทธ์วิถีต่างรอสั่งสอนหลินสวิน เพื่อล้างความอายให้กับราชวงศ์”
“เฮ้อ เสียดายหลินสวิน ผู้กล้าที่โดดเด่นเช่นนี้เหตุใดจึงสร้างปัญหามากมายเพียงนี้”
สำนักศึกษามฤคมรกตในวันนี้เกิดมรสุมขึ้นเพราะการปรากฏตัวของหลินสวิน!
ส่วนหลินสวินในยามนี้กำลังสนทนากับเสิ่นทั่วอยู่
“หลินสวินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าบุกรุกเข้ามา เจ้ากลับมาคราวนี้ตั้งใจสอนอย่างสบายใจก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจความวุ่นวายภายนอก”
เสิ่นทั่วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ปลื้มปิติยิ่งที่เห็นหลินสวินกลับมา
หลินสวินอดรู้สึกอุ่นใจไม่ได้ เดิมคิดว่าเพราะเรื่องราวในโลกภายนอกพวกนั้นจะทำให้เสิ่นทั่วไม่พอใจตน
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากเกินไป
ถึงขั้นที่ว่า แม้รู้ดีว่าเขาหลินสวินล่วงเกินราชวงศ์และบุคคลชั้นสูง เสิ่นทั่วก็ยังกล้ารับรองความปลอดภัยของเขา จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่ารากฐานของสำนักศึกษามฤคมรกตแข็งแกร่งมากจริงๆ
ทว่าครั้งนี้หลินสวินไม่ได้มาลี้ภัยที่สำนักศึกษามฤคมรกตแต่อย่างไร
“ข้าอยากยืมใช้ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณสักระยะขอรับ”
หลินสวินบอกจุดประสงค์ของตน
“ได้”
เสิ่นทั่วรับปากโดยไม่หยุดคิด แต่ทันใดนั้นราวกับฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ดวงตาพลันเบิกโพลง พูดอย่างตะลึง “เมื่อครู่นี้เจ้าว่าอย่างไรนะ ยืมใช้ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณงั้นหรือ”
หลินสวินพยักหน้า
เสิ่นทั่วมองหลินสวินอย่างไม่อยากเชื่อ เอ่ยว่า “เจ้า…เจ้าคงไม่ได้จะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณหรอกนะ”
ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ เตรียมเอาไว้เพื่อหลอมชุดศึกสลักวิญญาณโดยเฉพาะ!
นี่เป็นเรื่องที่รู้กันดีในสำนักศึกษามฤคมรกต ดังนั้นเมื่อหลินสวินเอ่ยปากขอยืมใช้ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ แน่นอนว่าจะต้องทำให้เสิ่นทั่วตะลึงเป็นพิเศษ
“ใช่แล้ว”
หลินสวินเองก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงพยักหน้าเรียบๆ
หลังจากได้รับคำยืนยัน ปรมาจารย์สลักวิญญาณอาวุโสอย่างเสิ่นทั่วนิ่งไม่อยู่แล้วจริงๆ แม้แต่ริมฝีปากยังสั่นไปด้วย
หากเขาจำไม่ผิด ปีนี้หลินสวินเหมือนจะอายุเพียงสิบหกเท่านั้น และเพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณไม่ถึงครึ่งปี
แต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ นี่มัน…
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
…………………
ตอนที่ 473 เตรียมพร้อมไว้ก่อน
โดย
ProjectZyphon
ชุดศึกสลักวิญญาณ!
สมบัติวิญญาณที่โดดเด่นเกินคาดเดานี้ มีเพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณที่มีความสามารถ ‘บรรจุวิญญาณ’ เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์แสวงหาและหลอมสมบัตินี้ได้
แน่นอนว่าเพียงมีสิทธิ์เท่านั้น หากจะหลอมจริงๆ ยากลำบากยิ่งกว่า!
เสิ่นทั่วเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอาวุโสและมีความสามารถ ‘บรรจุวิญญาณ’ ทว่าจวบจนถึงตอนนี้ แม้แต่เขายังไม่เคยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่สมบูรณ์แบบด้วยตัวเองได้เลยแม้แต่ชุดเดียว!
ดังนั้นเขารู้ดีกว่าใครว่าการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณนั้นยากเพียงใด
ก่อนอื่น การหลอมสมบัติแบบนี้ต้องใช้วัตถุดิบวิญญาณหายากจำนวนมาก หากวัดค่าด้วยเหรียญทองของจักรวรรดิ อย่างน้อยจะต้องมีต้นทุนห้าสิบล้านเหรียญทอง จึงพอจะได้วัตถุดิบวิญญาณที่ต้องการ
เพียงแค่ด่านนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณส่วนใหญ่ยอมแพ้
เพราะห้าสิบล้านเหรียญทองสามารถซื้อเรือรบขนาดใหญ่ลำหนึ่งของจักรวรรดิได้ทั้งลำแล้ว! นี่เป็นตัวเลขที่สูงเสียดฟ้า!
ประการต่อมา การหลอมชุดศึกสลักวิญญาณเกี่ยวโยงไปถึงกระบวนรอยสลักวิญญาณที่เก่าแก่และลึกลับมากมาย ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด ‘เคราะห์เปลี่ยน’!
ต่อให้เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเสี้ยวเดียว ความพยายามที่ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้ล้วนสูญเปล่า คว้าน้ำเหลวอย่างถึงที่สุด
เสิ่นทั่วเคยร่วมมือกับปรมาจารย์สลักวิญญาณหลายท่านในสาขาสลักวิญญาณ ทุ่มเทพลังทั้งหมดเตรียมการมานานหลายปีไปหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่ง สุดท้ายเพราะระหว่างการหลอมเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ทำให้วัตถุดิบวิญญาณทั้งหมดถูกทำลาย ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หนึ่งในปรมาจารย์สลักวิญญาณทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเกินไป ตอนที่ล้มเหลวถึงขั้นได้รับพลังสะท้อนกลับ พลังปราณถูกทำลายไปกว่าครึ่ง!
ประสบการณ์แบบนั้นทำให้เสิ่นทั่วรู้ดีว่า สมบัติพลิกฟ้าอย่างชุดศึกสลักวิญญาณ ใช่ว่าใครคิดจะหลอมก็จะหลอมได้
ยามนี้ในจักรวรรดิ ก็มีเพียงสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างปฐมาจารย์สลักวิญญาณเท่านั้น ที่มีความสามารถในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้สำเร็จ!
แต่จำนวนสัตว์ประหลาดระดับนี้มีน้อยมากจนสามารถนับนิ้วได้
ปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่มีชื่อเสียงที่สุด ตอนนี้ล้วนต่างได้รับการเทิดทูนบูชาอยู่ในสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ สาขาสลักวิญญาณ และสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินว่าหลินสวินขอยืมใช้ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณเพื่อหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ เสิ่นทั่วจึงดูเสียอาการและตื่นตะลึงเพียงนี้
“เจ้า…ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”
เสิ่นทั่วสูดหายใจเข้าหลายครั้ง พยายามสกัดกั้นความตะลึงภายในใจ อยากถามให้แน่ใจอีกอย่างอดไม่อยู่
“อืม”
หลินสวินพยักหน้า แน่นอนว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
“มั่นใจแค่ไหน”
ประกายตาของเสิ่นทั่วเร่าร้อน หากเป็นคนอื่นพูดคำนี้ เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบ้าไปแล้ว แต่หลินสวินกลับแตกต่าง
แม้ว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะอายุเพียงสิบหกปี แต่ก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ สร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ชุดศึกสลักวิญญาณ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันซึ่งได้รับความเสียหายอย่างมาก และแทบไม่มีความหวังที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่สุดท้ายหลินสวินก็ซ่อมได้อย่างน่าอัศจรรย์!
ด้วยความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ เสิ่นทั่วเริ่มเชื่อแล้วว่า หลินสวินอาจตัดสินใจจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณจริงๆ!
หลินสวินไหวไหล่พูด “มีความคิดคร่าวๆ มั่นใจแค่ไหนข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ”
เสิ่นทั่วอึ้ง ความตื่นเต้นในใจถดถอยไปกว่าครึ่งและสงบลงไม่น้อย เขาตระหนักได้แล้วว่าตนตื่นเต้นไวไปหน่อย
หลินสวินไม่มีประสบการณ์ในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณมาก่อน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าการจะทำได้ถึงขั้นนั้นยากเพียงใด
ที่เขาตัดสินใจหลอมชุดศึกสลักวิญญาณในครั้งนี้ บางทีอาจเพียงแค่อยากลองเท่านั้น
“แล้วเจ้าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณอะไร เตรียมวัตถุดิบวิญญาณพร้อมแล้วหรือยัง”
เสิ่นทั่วถาม
“ทวนเล่มหนึ่ง”
หลินสวินตอบอย่างไม่ลังเล นี่เป็นสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้หลินจง บนโลกนี้คนที่เขาเชื่อถือได้หมดใจมีไม่มาก แต่หลินจงเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“สำหรับวัตถุดิบวิญญาณ…”
หลินสวินพูดถึงตรงนี้ก็จนปัญญาขึ้นมาบ้าง
“ทำไมหรือ” เสิ่นทั่วตื๊อถาม
หลินสวินเองก็ไม่ได้ปิดบัง พูดราบเรียบ “ขาดวัตถุดิบวิญญาณอีกเจ็ดแปดชนิด อย่างเช่น ‘เหล็กดาราโบราณห้าปราณ’ ‘ไหมวิญญาณสมุทรเมฆแสง’ ‘ไขกระดูกหยกทองเทพทมิฬ’…”
เสิ่นทั่วอึ้งค้างอยู่กับที่ รู้สึกว่าตนตื่นเต้นไวเกินไปจริงๆ วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้เรียกว่าหายากได้ที่ไหน นี่มันเป็นระดับมีวาสนาจึงพบเจอ แต่ไม่อาจร้องขอชัดๆ!
อย่าง ‘เหล็กดาราโบราณห้าปราณ’ ในนั้นแฝงปราณห้าธาตุ มหัศจรรย์หาใดเปรียบ ขนาดเพียงนิ้วโป้งก็มีมูลค่าสิบล้านเหรียญทองแล้ว เป็นสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในวัตถุดิบวิญญาณระดับสวรรค์
ส่วน ‘ไขกระดูกหยกทองเทพทมิฬ’ ก็สาบสูญไปตั้งนานแล้ว ในปัจจุบันที่ยังเหลืออยู่ ล้วนถูกเก็บซ่อนไว้ในราชวงศ์และตระกูลทรงอิทธิพลเก่าแก่เกือบทั้งหมด มูลค่าเกินจะประมาณ
“เจ้าหนุ่ม เช่นนั้นก็ยากแล้ว”
เสิ่นทั่วถอนหายใจ ยามนี้เขาเกิดสงสัยแล้วว่าหลินสวินล้อเล่นหรือเปล่า ขาดวัตถุดิบวิญญาณที่หายากมากมายขนาดนี้ ยังคิดจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณอีกหรือ
ไม่มีทางเสียหรอก!
“ข้าจึงมาหาท่านอย่างไรล่ะ”
หลินสวินยิ้มพูด
“ข้าหรือ”
เสิ่นทั่วพลันยิ้มขื่น “เจ้าหนุ่ม เจ้าประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว วัตถุดิบวิญญาณที่เจ้าขาดข้าพอรู้เบาะแสอยู่บ้าง แต่ถ้าอยากได้มาครอบครองเห็นจะยากเกินไป…”
“มีเบาะแสก็เพียงพอแล้ว ข้าสามารถเอาวัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ไปแลกได้”
หลินสวินตาเป็นประกาย สะบัดแขนเสื้อ บนพื้นพลันปรากฏแสงสมบัติสีเงินเป็นประกายดั่งดวงดาราแถบหนึ่ง งดงามสะดุดตา
ทีแรกเสิ่นทั่วยังไม่เชื่อ คิดว่าหลินสวินกำลังล้อเล่น วัตถุดิบเหล่านั้นเป็นของหายาก เขาจะเอาอะไรไปแลก?
แต่พอเขาเห็นแสงสมบัติที่ส่องประกายระยิบระยับเหล่านั้นก็อึ้งค้างกับที่ทันที
แสงสีเงินเหล่านั้นราวกับดวงดาราที่ทั่วฟ้า แผ่กระจายไหวเคลื่อน ทั้งยังเหมือนน้ำตกขนาดเล็กที่กำลังถาโถมม้วนตัว ภาพนี้ไม่เพียงยิ่งใหญ่ตระการตา แต่เรียกได้ว่ารวมความงดงามของใต้หล้าเอาไว้!
สวยงามเกินไปแล้ว!
เสิ่นทั่วตื่นตะลึงขึ้นมาทันที เขาดูออกว่านั่นคือหญ้าวิญญาณสีเงินต้นแล้วต้นเล่า ลำต้นตรงและแหลมคมราวกับกระบี่ ดุจดั่งง้าว ส่องแสงสีเงินทั่วตัวราวกับเกล็ดดารา ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นแล้วดูเหมือนเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบ ราวกับสามารถแทงทะลุห้วงฟ้าได้!
สิ่งที่ทำให้เสิ่นทั่วหวั่นไหวที่สุดคือ รอบๆ วัตถุดิบวิญญาณสีเงินนั่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายบริสุทธิ์เข้มข้นยิ่ง กลิ่นอายที่ปล่อยออกมานั้นดูเลือนราง หอมหวน และเย็นชื่น ราวกับกำลังจะแทรกซึมสู่ส่วนลึกของจิตวิญญาณ
“ใบราวกับกระบี่ วิญญาณราวกับดวงดารา แสงประกายราวกับฝัน…”
ประหนึ่งว่าในหัวมีสายฟ้าสายหนึ่งแวบผ่าน ทำให้เสิ่นทั่วนึกบางอย่างขึ้นได้กะทันหัน ตัวแข็งค้างร้องเสียงหลง “หรือนี่คือหญ้ากระบี่เกล็ดเงิน?”
หลินสวินอึ้งไปโดยพลัน ไม่คิดว่าเสิ่นทั่วจะดูออกในทันที จึงพยักหน้าพูด “ใช่แล้ว”
หญ้ากระบี่เกล็ดเงินเหล่านี้ หลินสวินได้มาจากโบราณสถานบรรพกาลในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ
ตอนที่เพิ่งมาถึงนครต้องห้าม เพราะรีบใช้เงิน หลินสวินเคยเอาวัตถุดิบวิญญาณหกเจ็ดชนิดอย่างผลึกเก้าลำนำผสานใจ ดอกอำพรางวิญญาณ ไม้มรกตไล่มังกร สะเก็ดดาวเคราะห์แดง หญ้าเงาหยาดน้ำตาแดงไปประมูลที่อัครการค้า ได้รับทรัพย์อย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว
ยามนี้วัตถุดิบวิญญาณที่เหลืออยู่กับตัวหลินสวิน นอกจากหญ้ากระบี่เกล็ดเงินนับร้อยต้น ยังเหลือผลแกนมังกรสุริยา ผลึกวิญญาณพิสุทธ์ม่วงเป็นต้นอีกเจ็ดแปดอย่าง ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่สาบสูญไปแล้ว มูลค่านั้นไม่อาจจะประมาณ
“วัตถุดิบโบราณชนิดนี้จริงๆ ด้วย! มันยังมีอยู่บนโลกหรือนี่!”
สีหน้าเสิ่นทั่วดูตื่นเต้นและแฝงความคลั่งไคล้ “แม้ในสมัยโบราณก็ยังถูกเรียกว่าเป็นสมบัติหายาก เรียกได้ว่าเป็นยาหายากระดับสูงบนโลก เพียงพอที่จะพลากชีวิตคน แม้แต่ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติยังแย่งชิงกันแทบตาย ราชันระดับสังสารวัฏเห็นยังอิจฉาตาร้อน!”
หลินสวินรู้สึกแปลกใจขึ้นมาอีก สิ่งที่เสิ่นทั่วพูดเหมือนกับที่ตะพาบเขียวเคยพูดไว้ไม่มีผิด ล้วนพูดถึงความอัศจรรย์ของหญ้ากระบี่เกล็ดเงินนี้
“สมบัตินี้สาบสูญไปตั้งนานแล้ว เดิมข้าคิดว่าเป็นเพียงตำนาน ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นกับตา เหลือเชื่อมากจริงๆ!”
เสิ่นทั่วอุทานอย่างตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าการปรากฏของหญ้ากระบี่เกล็ดเงินกระทบจิตใจของเขาเพียงใด
หลินสวินเพิ่งจะเอ่ยปาก เสิ่นทั่วก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาอีก “สวรรค์ สิบต้นเชียว! ไหนบอกว่าสมบัติชนิดนี้สัมผัสแล้วอาจถึงตาย แตะต้องจะมอดไหม้ แค่ปนเปื้อนก็จะสลายหายไปมิใช่หรือ”
หลินสวินยืนอยู่ข้างๆ เห็นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์ที่ปกติดูเคร่งขรึมจริงจัง ยามนี้กลับร้องเสียงหลงระรัวอย่างคนไม่เคยเห็นโลก เขาเองก็ถอนหายใจในใจ นี่ก็คือความยั่วยวนของวัตถุดิบวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณระดับไหนก็ยากจะต้านทาน
ครู่ใหญ่เสิ่นทั่วจึงสงบลงได้บ้าง สีหน้าดูสับสน มองหลินสวินด้วยแววตาประหลาด กล่าวว่า “ดูท่าเจ้าคงเตรียมความพร้อมมาตั้งนานแล้ว”
หลินสวินประสานหมัด “ยังต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสอีกมาก”
“เจ้าคิดจะเอาหญ้ากระบี่เกล็ดเงินเหล่านี้ไปแลกวัตถุดิบวิญญาณงั้นหรือ”
เสิ่นทั่วถาม
หลินสวินพยักหน้า
“ได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า เชื่อว่ามีหญ้ากระบี่เกล็ดเงินพวกนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางปฏิเสธการเอาวัตถุดิบวิญญาณในมือมาแลก!”
เสิ่นทั่วตอบกลับอย่างร่าเริง “ข้าจำได้ว่าในมือของตาเฒ่าหลายคนในสำนักศึกษามฤคมรกตของเรา มีวัตถุดิบวิญญาณที่เจ้าต้องการ อืม และทางฝั่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิก็น่าจะมี…”
เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มคิดคำนวณแล้ว ว่าจะเอาหญ้ากระบี่เกล็ดเงินสิบต้นนี้ไปแลกกับใครบ้าง
หลินสวินพูดขึ้นจากด้านข้าง “ผู้อาวุโส หญ้ากระบี่เกล็ดเงินหนึ่งต้นในนี้มอบให้ท่าน อย่าเอาไปแลกล่ะ”
เสิ่นทั่วตัวสะท้าน พลันตระหนักได้ทันทีว่าหลินสวินกำลังตอบแทนตน
เขาตบไหล่หลินสวินอย่างสลดใจ “เจ้าน่ะยังไม่รู้มูลค่าของหญ้ากระบี่เกล็ดเงิน ข้าเพียงประกาศออกไปนิดเดียวเท่านั้นก็สามารถดึงดูดให้เทพเซียนจากทั่วทุกสารทิศมาด้วยตัวเอง และร้องขอให้ข้าให้โอกาสแลกหญ้ากระบี่เกล็ดเงินกับพวกเขาแล้ว”
เขายิ้มพูดต่อ “เช่นนี้ข้าก็สามารถสร้างหนี้บุญคุณ ผลประโยชน์ถมเถ”
หลินสวินอึ้งไป พลันรู้สึกนับถือใจ ขิงแก่ย่อมเผ็ดตามคาด
“จริงสิ”
เสิ่นทั่วฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ พลันขมวดคิ้วพูด “มีวัตถุดิบวิญญาณชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถแลกมาได้ เท่าที่ข้ารู้ ในจักรวรรดิตอนนี้มีเก็บไว้เพียงหนึ่งชิ้นใน ‘คลังเก็บสมบัติหยกงาม’ ของสำนักศึกษามฤคมรกตเรา”
“คืออะไรหรือ”
หลินสวินหรี่ตา
เสิ่นทั่วพูด “เขาวัวขุย[1]!”
หลินสวินหัวใจสะท้าน นี่คือวัตถุดิบแกนกลางที่เขาจะใช้ในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ หากไม่มีมัน ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า
“แลกไม่ได้ แล้วจะได้มาอย่างไร”
หลินสวินอดถามไม่ได้
เสิ่นทั่วพูดออกมาทันที “วิธีการง่ายมาก แต่…ยากเกินไป มีเงื่อนไขหลายประการเป็นข้อจำกัด ก่อนอื่นจะต้องมีคะแนนสะสมห้าพันคะแนน จากนั้นจึงจะมีสิทธิ์ไปที่สาขายุทธ์วิถี เข้าร่วม ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ ที่เข้มงวดและรุนแรงที่สุด ต้องผ่านการทดสอบเท่านั้นจึงสามารถไปแลกสมบัติชนิดนี้ที่คลังเก็บสมบัติหยกงามได้”
หลินสวินพลันสูดหายใจเข้าด้วยความตะลึง
……………………
[1] วัวขุย เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานของจีน มีลักษณะเหมือนวัวแต่มีขาหนึ่งข้าง บางตำนานเล่าว่ามีเขาเดียว บางตำนานกล่าวว่าไม่มีเขา สามารถเรียกลมฝน เสียงคำรามดุจสายฟ้า ทั้งยังมีแสงประกายดุจตะวันจันทรา
ตอนที่ 474
โดย
ProjectZyphon
คะแนนสะสมห้าพัน!
เพียงแค่เงื่อนไขนี้หลินสวินก็ปวดหัวแล้ว
คะแนนสะสมของสำนักศึกษามฤคมรกตมีค่าสูงยิ่ง อย่างตอนแรกที่หลินสวินสอนไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน ยังได้คะแนนสะสมแค่หนึ่งพันคะแนนเท่านั้น
โดยในนี้ยังรวมคะแนนรางวัลที่ได้จากการซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้จักรพรรดินีด้วย!
จะเห็นได้ว่าถ้าอยากได้คะแนนสะสมห้าพันคะแนนภายในระยะเวลาอันสั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากเพียงใด
นอกจากนี้ยังมี ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’!
แม้ไม่รู้ว่าการทดสอบบันไดสวรรค์หมายถึงอะไร แต่เมื่อได้ยินว่าต้องมีห้าพันคะแนนจึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วม ก็รู้เลยว่าการทดสอบบันไดสวรรค์นี้น่ากลัวเพียงใด
“เขาวัวขุยนี้ไม่สามารถเรียกว่าเป็นวัตถุดิบวิญญาณได้ แต่เป็นวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ ถือกำเนิดตั้งแต่โบราณกาล ตอนนี้ได้สาบสูญไปนานแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำนักเดินทางไปท่องเที่ยวที่ทะเลกลืนวิญญาณและบังเอิญเข้าไปในดินแดนลี้ลับแห่งหนึ่งจึงได้มา”
เสิ่นทั่วค่อยๆ กล่าว “เพราะสมบัติชิ้นนี้มีความพิเศษมาก เจ้าสำนักจึงออกคำสั่งด้วยตัวเองว่า มีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบบันไดสวรรค์เท่านั้นจึงจะสามารถเป็นเจ้าของสมบัตินี้ได้”
“การทดสอบบันไดสวรรค์คืออะไรหรือขอรับ”
หลินสวินอดถามไม่ได้
“เป็นบททดสอบสำหรับผู้ฝึกปราณ”
เสิ่นทั่วกล่าว “ข้าไม่รู้รายละเอียดมากนัก เพียงได้ยินว่าในสาขายุทธ์วิถีมักมีลูกศิษย์ไปเข้าร่วมการทดสอบ แต่หลายพันปีมานี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ” เสิ่นทั่วกล่าว
“พูดง่ายๆ ก็คือมีเพียงบุคคลชั้นยอดที่พรสวรรค์โดดเด่นพลิกฟ้าเท่านั้น จึงจะมีความสามารถในการเข้าร่วมการทดสอบบันไดสวรรค์ คนอื่นๆ แม้จะไปร่วมก็ต้องแพ้”
“ข้าจำได้ว่าในช่วงสองสามร้อยปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบบันไดสวรรค์ คนหนึ่งชื่อฉินจื่อฮวนและอีกคนชื่อเชอชิงอวี่ ล้วนเป็นคนโดดเด่นแห่งยุคทั้งคู่”
“ได้ยินว่าเชอชิงอวี่ได้เดินทางไปฝึกปราณที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลึกลับนอกอาณาเขตแล้ว ส่วนฉินจื่อฮวนยามนี้ศึกษาเพิ่มเติมอยู่ในสาขายอดยุทธศาสตร์ ได้ข่าวว่าอีกไม่นานเขาก็จะออกเดินทางไปยังดินแดนลี้ลับนอกอาณาเขตแห่งหนึ่งเช่นกัน”
……
พูดคุยกันอยู่นาน เสิ่นทั่วจึงค่อยจากไปพร้อมหญ้ากระบี่เกล็ดเงินสิบต้น เขาจำเป็นต้องไปแลกวัตถุดิบวิญญาณที่หลินสวินต้องการ
ทั้งยังรับปากหลินสวินแล้วว่า ก่อนที่จะเตรียมวัตถุดิบวิญญาณครบถ้วน จะไม่เปิดเผยเรื่องที่หลินสวินปรารถนาจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ จนทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไร
หลินสวินครุ่นคิดเพียงลำพังอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง
ไม่มีอะไรมาแทนที่เขาวัวขุยได้ ถ้าไม่สามารถหามาได้ ก็ไม่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่เขาคิดไว้
“ดูเหมือนว่า คงทำได้เพียงรีบทำคะแนน”
ความหนักแน่นแวบผ่านดวงตาหลินสวิน
ก่อนไปเสิ่นทั่วได้บอกวิธีมากมายในการทำคะแนนให้กับหลินสวิน เรียกได้ว่าหลากหลาย เช่นการคลี่คลายข้อสงสัย ออกไปหาประสบการณ์นอกสถานที่ การประเมินและการทดสอบ… ทุกคนที่อุทิศเพื่อสำนักศึกษา ล้วนจะได้รับรางวัลเป็นคะแนนที่สอดคล้องกัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินก็ตัดสินใจจะไปเยือน ‘หอกิจวิญญาณ’ สักรอบ
หอกิจวิญญาณมีหน้าที่แจกจ่ายงานต่างๆ และวางแผนเรื่องทั่วไปในสำนักศึกษาโดยเฉพาะ เรียกง่ายๆ ก็คือ เป็นสถานที่ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องจุกจิก
“อาจารย์เสี่ยวหลิน ท่านกลับมาแล้ว!”
“ดีจังเลย พวกเรารอท่านมานานแล้ว”
ตอนที่หลินสวินเดินออกจากหอพักอาจารย์ ก็เห็นเด็กหนุ่มสาวหลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พอเห็นหลินสวินพวกเขาก็ส่งเสียงร้องเรียก แต่ละคนต่างตื่นเต้นดีใจอย่างควบคุมไม่อยู่
หลินสวินอึ้งงัน มองออกอย่างรวดเร็วว่าส่วนใหญ่เป็นศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้า อย่างเจ้าอ้วนหลิวฮุย ฟ่านจือชิว หยางจิ้งเหยาเป็นต้น
“อาจารย์เสี่ยวหลิน ท่านกลับมาคราวนี้คงไม่ไปไหนแล้วใช่ไหม”
“อาจารย์เสี่ยวหลิน ได้ยินว่าท่านล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ มีคนมากมายจะทำร้ายท่าน แต่อาจารย์เสิ่นทั่วบอกว่า ขอเพียงแค่อยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรท่าน”
“อาจารย์เสี่ยวหลิน ท่านจะเริ่มสอนต่อเมื่อไหร่ พวกข้าต่างรอคอยให้ท่านกลับมา”
ลูกศิษย์เหล่านั้นส่งเสียงจ้อกแจ้กไม่หยุด แม้จะมีเสียงดังเอะอะ แต่พอได้ยินคำพูดห่วงใยจากใจของพวกเขา ทำให้หลินสวินรู้สึกอุ่นใจ
ยามนี้เขาถึงขั้นคิดว่า หากไม่ใช่เพราะภาระมากมายรัดตัว การเป็นครูอย่างสันติสุขไปทั้งชีวิตก็ไม่เลว
“รีบไปเข้าเรียนกันเถอะ ไม่เห็นหรือว่าอาจารย์เสี่ยวหลินยังมีธุระมากมายต้องจัดการ”
เจ้าอ้วนหลิวฮุยตะโกน
หลินสวินอึ้งไปทันที กล่าวว่า “พวกเจ้ากลับไปเรียนก่อนเถอะ ในช่วงนี้ข้าไม่ไปจากสำนักศึกษาแน่”
เพิ่งจะพูดถึงตรงนี้เสียงที่แหลมเหมือนฆ้องแตกก็ดังมาแต่ไกล…
“หลินสวิน หลินสวินอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ให้ตาย ใครมันเสียมารยาทแบบนี้!”
เจ้าอ้วนหลิวฮุยขัดเคืองใจขึ้นมาทันที เงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาอย่างดุดัน
คนเหล่านี้เป็นกลุ่มชายหญิงในชุดเครื่องแบบสีเขียวอ่อน ตรงไหล่ปักลายกวางเขียวที่มีเมฆหมอกเคลียคลอ นี่เป็นสัญลักษณ์ของสาขายุทธ์วิถี
“หืม ทำไมถึงเป็นพวกเจ้า”
เจ้าอ้วนหลิวฮุยแปลกใจ
สีหน้าของคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไป จำได้ว่านั่นเป็นกลุ่มศิษย์จากสาขายุทธ์วิถี!
ในสำนักศึกษามฤคมรกต สาขามังกรเร้นเป็นสาขาที่รับศิษย์มากที่สุด เป็นศูนย์รวมของศิษย์ใหม่ ดังจะเห็นได้จากคำว่า ‘มังกรซ่อน’
แต่สาขายุทธ์วิถีกลับแตกต่าง ผู้ที่สามารถเข้าไปฝึกในสาขายุทธ์วิถีได้ แต่ละคนล้วนเป็นหัวกะทิที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด และเป็นบุคคลชั้นยอดในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ไม่ขาดแคลนผู้กล้าอัจฉริยะ เป็นศูนย์รวมของผู้โดดเด่น
อย่างศิษย์ร้อยอันดับแรกในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ยามนี้ล้วนฝึกปราณอยู่ในสาขายุทธ์วิถี!
สำหรับสาขายอดยุทธศาสตร์ นั่นเป็นที่ฝึกสำหรับผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ ยิ่งเก็บตัวและลึกลับ ปกติน้อยมากที่จะได้เห็นพวกเขา
ส่วนสาขาสลักวิญญาณและสาขากลยุทธ์เทพ เป็นสถานที่ที่เตรียมไว้เพื่อนักสลักวิญญาณและนักกลศึก
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า แม้จะเรียนอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกตเหมือนกัน แต่เพราะเส้นทางที่เดินไม่เหมือนกัน ลูกศิษย์สาขาสลักวิญญาณและสาขายุทธ์วิถีจึงมีปฏิสัมพันธ์กันน้อยนัก
เพียงแต่วันนี้กลับดูพิเศษ กลุ่มหัวกะทิจากสาขายุทธ์วิถีเข้ามาในสาขาสลักวิญญาณด้วยท่าทางดุดัน ทั้งยังประกาศกร้าวว่าต้องการหาตัวหลินสวิน เห็นได้ชัดว่ามาหาเรื่องหลินสวิน!
แม้ว่าพวกเจ้าอ้วนหลิวฮุยจะเชื่องช้าเพียงใด แต่ก็เคยได้ยินว่ายามนี้ในสำนักศึกษามีคนมากมายประกาศว่าจะสั่งสอนหลินสวิน เพื่อล้างความอับอายให้กับราชวงศ์
“อยู่ตรงนั้น!”
ไม่นานเสียงที่ราวกับฆ้องแตกก็ดังขึ้นอีกหน เป็นคนหนุ่มหน้ายาวตาเล็กคนหนึ่ง มีไฝดำเม็ดใหญ่ตรงมุมปาก
เขาชื่อหลี่เซียวเฟย ถือเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในสาขายุทธ์วิถี ไม่ใช่เพราะพลังปราณแกร่งกล้า แต่เพราะไฝเม็ดใหญ่ตรงมุมปากของเขาเป็นจุดเด่นสะดุดตาอย่างมาก จึงมีฉายาโด่งดังว่า… ‘เจ้าไฝ’
สายตาของเหล่าศิษย์จากสาขายุทธ์วิถีพลันมองมาทางนี้ตามเสียงนั้น และหยุดอยู่ที่หลินสวินแทบจะในเวลาเดียวกัน
“เจ้าคือหลินสวินใช่ไหม ในที่สุดข้าก็เจอตัวเจ้า พวกเรารอเจ้ามานานมากแล้ว”
หลี่เซียวเฟยชิงเดินนำขึ้นมาสองก้าว เชิดคางขึ้นมองหลินสวินอย่างไม่แยแสแล้วตะโกนเสียงเย็น ไฝดำตรงมุมปากยิ่งดูโดดเด่น
ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าพวกเขาต้องมาหาเรื่องแน่ ทำให้เหล่าศิษย์สาขาสลักวิญญาณอย่างพวกเจ้าอ้วนหลิวฮุยต่างขมวดคิ้ว
“เจ้าจะทำอะไร ที่นี่คือสาขาสลักวิญญาณนะ ไม่ใช่ที่ที่ศิษย์สาขายุทธ์วิถีจะมาเหิมเกริมได้!”
หลิวฮุยตะคอกใส่
“ไอ้อ้วน เหตุใดเจ้าจึงพูดจาเช่นนี้ รีบถอยไป ไม่ใช่เรื่องของเจ้าอย่ามาปากดี ระวังจะเดือดร้อน!”
หลี่เซียวเฟยเหลือบมองหลิวฮุยอย่างดูถูก ก่อนจะหันมองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “หลินสวิน เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพวกเรามาหาเจ้าทำไม ถ้าเจ้ารู้ตัวบ้างก็ไปกับพวกเราเดี๋ยวนี้!”
คำพูดยโสโอหังทำให้พวกหลิวฮุยเดือดดาล เจ้าหมอนี่ถือดีเกินไปแล้ว หลินสวินเป็นอาจารย์นะ ใช่คนที่ลูกศิษย์จะมาด่าทอออกคำสั่งได้ซะที่ไหน
“เจ้าไฝ เจ้าอย่ามาอวดดี ขืนยังหาเรื่องอีก ข้าจะรายงานเบื้องบนของสำนักศึกษาให้ลงโทษพวกเจ้าอย่างรุนแรง!”
หยางจิ้งเหยากล่าวเสียงดัง นางดูภายนอกอ่อนโยน แต่เวลานี้กลับดุดันอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่งามถลึงจ้องหลี่เซียวเฟย
นางรู้ประวัติความเป็นมาของหลี่เซียวเฟย จึงเรียกฉายาออกมาตรงๆ อย่างมั่นใจ
“เอ้อ…ที่แท้ก็คุณหนูเก้าแห่งตระกูลหยาง…”
ตามคาด สีหน้าของหลี่เซียวเฟยเปลี่ยนไป ด้วยจำที่มาของหยางจิ้งเหยาได้จึงเผยความกระอักกระอ่วนทันที ดูหวาดเกรงอย่างมาก
เรื่องนี้ทำให้หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้ เขาดูไม่ออกเลยว่า ที่แท้ประวัติความเป็นมาของหยางจิ้งเหยาดูเหมือนจะยิ่งใหญ่มาก
ทว่าคิดๆ ไปก็รู้สึกว่าสมควรแล้ว นี่เป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งในจักรวรรดิ ผู้ที่สามารถเข้ามาเรียนในนี้ได้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา
“เจ้าหยางเก้า เจ้าอยู่ข้างๆ อย่างว่าง่ายเถอะ พวกเราไม่ได้มาหาเรื่อง แต่มาเชิญหลินสวินโดยเฉพาะ”
จู่ๆ หญิงสาวคนหนึ่งจากฝั่งสาขายุทธ์วิถีก็เปิดปาก นางมีดวงตากระจ่าง ริมฝีปากแดง ใบหน้าละเอียดลออ เส้นผมดำขลับทิ้งตัวลงราวสายน้ำตก เผยให้เห็นลำคอระหงขาวเนียน ดูงดงามยิ่ง
เพียงแต่สีหน้าของนางค่อนข้างเย็นชา หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ราวกับหิมะบนภูเขาสูง ท่าทางดูกีดกันคนแปลกหน้า
“เซวียอวิ้น เจ้าก็จะมาหาเรื่องอาจารย์เสี่ยวหลินหรือ”
หยางจิ้งเหยามุ่นคิ้ว ดูเหมือนหวาดเกรงสาวงามที่ชื่อเซวียอวิ้นคนนี้อยู่รางๆ
เซวียอวิ้น!
และตอนที่คนอื่นๆ ได้ยินชื่อนี้พลันตัวสะท้าน นึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในสาขายุทธ์วิถี!
นางมาจากตระกูลทรงอิทธิพล ฐานะเป็นที่เคารพนับถือ อีกทั้งพรสวรรค์โดดเด่น ยามนี้รั้งอันดับสิบเก้าในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก
บรรยากาศพลันเงียบลงชั่วขณะ
เซวียอวิ้นเหลือบตามองหยางจิ้งเหยาอย่างเย็นชาปราดหนึ่งแล้วไม่สนใจนางอีก สายตามองไปที่หลินสวินพร้อมพูดว่า “ตามพวกข้ามา ในเมื่อเจ้าปรากฏตัวแล้ว ก็ควรชดใช้ให้กับความผิดที่ก่อไว้สักหน่อย”
ตั้งแต่ต้นจนจบก็เอาแต่ปั้นหน้าเย่อหยิ่งเย็นชา คำพูดไม่ได้แสดงเจตนากดดัน แต่กลับแฝงมาดสูงส่งเต็มประดา
หลินสวินนิ่งเงียบมาตลอด เขาพอจะเดาออกแล้วว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจ เอ่ยว่า “ความผิดอันใด”
“หนอย หลินสวิน เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกหรือ ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้ายโสโอหัง บังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า ดูหมิ่นเกียรติยศของราชวงศ์ กระทำความผิดมหันต์!”
หลี่เซียวเฟยหัวเราะเสียงเย็น กล่าวโทษหลินสวิน
หลินสวินพลันยิ้ม “ข้าล่วงเกินราชวงศ์แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า หรือเจ้าก็เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วย แต่ดูจากสารรูปเจ้า หน้าตาอัปลักษณ์ ท่าทางร้ายกาจเจ้าเล่ห์ รูปลักษณ์น่าเกลียดเพียงนี้ หากเป็นเชื้อพระวงศ์จริง เช่นนั้นสวรรค์คงตาบอด จึงได้สร้างเจ้ามาสภาพนี้”
พวกเจ้าอ้วนหลิวฮุยต่างกลั้นขำไม่อยู่ รู้สึกว่าหลินสวินเปรียบเทียบ ‘เจ้าไฝ’ นี้ได้เหมาะเจาะเหลือเกิน
“อาจารย์เสี่ยวหลิน ว่าคนอื่นน่าเกลียดแบบนี้ดูไม่มีมารยาทเกินไปหรือเปล่า” หยางจิ้งเหยาถามเบาๆ
“เชอะ เจ้าหมอนั่นท้าทายก่อน อาจารย์เสี่ยวหลินเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น จะเรียกว่าไม่มีมารยาทได้อย่างไร” เจ้าอ้วนหลิวฮุยเถียง
คนอื่นๆ ต่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง เจ้าไฝคนนี้อวดดีเกินไป จึงดู…น่าเกลียดมากเป็นพิเศษ
“เจ้าเจ้า…เจ้ากล้า!”
หลี่เซียวเฟยเดือดดาล คนอื่นหัวเราะเยาะเขาลับหลังว่าน่าเกลียดยังพอทน เขาเองก็รู้ว่าตัวเองน่าเกลียด แต่หลินสวินด่าว่าเขาน่าเกลียดต่อหน้าทุกคน นี่ทำให้เขาทนไม่ได้จริงๆ!
……………..
ตอนที่ 475 สาขายุทธ์วิถี
โดย
ProjectZyphon
ถูกหลี่เซียวเฟยกระโชกโฮกฮากใส่ หลินสวินก็ไม่โกรธเลยสักนิด เพียงยิ้มน้อยๆ กล่าว “เจ้าหนุ่ม หน้าตาน่าเกลียดก็ต้องฝึกตนให้มาก มิเช่นนั้นจะยิ่งโดนดูหมิ่น ต่อไปหาเมียไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก”
หญิงสาวหลายคนส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
หลี่เซียวเฟยโกรธจนริมฝีปากสั่นระริก เขาสามารถเข้าสู่สำนักศึกษามฤคมรกตและถีบตัวเองเข้ามาอยู่ในสาขายุทธ์วิถี ก็เป็นการแสดงถึงความเก่งกาจอย่างหนึ่งแล้ว แต่จากคำพูดของหลินสวิน กลับถูกตราหน้าจนเหลืออด ช่างยั่วโทสะเหลือเกิน
“ข้าจะดวลกับเจ้า!”
หลี่เซียวเฟยตะเบ็งเสียง เบิกตาโพลง
“พอแล้ว เจ้าถอยไปก่อน”
เซวียอวิ้นมุ่นคิ้ว รู้สึกว่าหลี่เซียวเฟยไม่มีความอดทน
“ข้า…”
สีหน้าของหลี่เซียวเฟยอึมครึม สุดท้ายจ้องหลินสวินเขม็งโดยไม่พูดอะไรอีก
“หลินสวินเจ้าตัดสินใจอย่างไร”
เซวียอวิ้นนัยน์ตาเย็นชา รูปลักษณ์ของนางงดงามละเอียดลออ บุคลิกดั่งหิมะน้ำแข็ง ดูสูงส่งแต่กำเนิด เพียงแต่ดูเย่อหยิ่งเกินไปเสียหน่อย
กลุ่มชายหญิงที่ตามเซวียอวิ้นมาต่างมองมาทางหลินสวิน
“เจ้าก็เป็นเชื้อพระวงศ์หรือ”
หลินสวินยังคงยิ้มถาม
เซวียอวิ้นมุ่นคิ้วทันที ความเหลืออดแวบผ่านเข้ามาในสายตา
“หลินสวิน ตอนนั้นเจ้ากล้าบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า ยามนี้จะขี้ขลาดเพียงนี้ได้อย่างไร หรือว่าเจ้ากลัวแล้ว”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาเหน็บแนมอย่างดูถูก เขามีนามว่าสืออวิ๋นเผิง เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งในสาขายุทธ์วิถี และเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์
“รอให้เจ้าสามารถบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่าได้เมื่อไหร่ ค่อยมาถามข้าว่ากลัวหรือไม่”
หลินสวินเหลือบมองสืออวิ๋นเผิงปราดหนึ่ง ความหมายของสิ่งที่พูดก็คือ เจ้ายังไม่มีสิทธิ์มาพูดจาเช่นนี้กับข้า
“เจ้า…”
สืออวิ๋นเผิงเองก็ถูกยั่วยุ หลินสวินอวดดีเกินไปแล้ว กล้าดูถูกเขาเชียว ต้องรู้ว่าเขาสืออวิ๋นเผิงก็นับว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในสาขายุทธ์วิถี เคยโดนใครพูดฉีกหน้าเช่นนี้เมื่อไหร่กัน
“หลินสวิน ลืมบอกเจ้าไป หลินเสวี่ยเฟิงเป็นญาติผู้พี่ของเจ้าสินะ ปัจจุบันเขาเป็นเหมือนหนูข้างถนนตัวหนึ่งในสาขามังกรเร้น มีแต่คนรังเกียจ”
เวลานี้ชายหนุ่มอีกคนก้าวไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เอ่ยพูดอย่างสบายๆ “อ้อ จริงสิ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังมาท้าประลองกับข้า ผลลัพธ์เจ้าก็คงรู้ เขาอ่อนแอเกินไป ข้าไม่ทันระวังทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เหมือนว่าตอนนี้ก็ยังพักฟื้นอยู่”
หลินเสวี่ยเฟิง!
หลินสวินหรี่ตาเล็กน้อย ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาแตกต่างไปจากเดิมบ้าง หลินเสวี่ยเฟิงเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นญาติผู้พี่คนแรกที่ ‘สวามิภักดิ์’ ต่อหลินสวิน
เพียงแต่หลินสวินไม่เคยคิดว่าหลินเสวี่ยเฟิงจะได้รับผลกระทบเพราะเรื่องของเขา และถูกรังแกในสำนักศึกษามฤคมรกต!
สิ่งนี้แตะโดนขีดจำกัดแห่งโทสะของหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าชื่ออะไร”
หลินสวินมองชายหนุ่มคนนั้น นัยน์ตาดำเย็นชา
“จินจู๋หลิว”
ชายหนุ่มยังคงยิ้มน้อยๆ หว่างคิ้วเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่ง
ทันใดนั้นพวกหลิวฮุย หยางจิ้งเหยาต่างกระสับกระส่าย สีหน้าเผยความแปลกใจ เป็นเขาเองหรือ!
จินจู๋หลิว อัจฉริยะผู้ครองอันดับเก้าแห่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ชื่อเสียงสะเทือนสาขายุทธ์วิถี โดดเด่นอย่างมาก มีผลงานการต่อสู้อันรุ่งโรจน์มากมายที่ผู้คนพูดถึงอย่างสนุกสนาน
เรียกได้ว่าชื่อเสียงของจินจู๋หลิวคนนี้โด่งดังกว่าเซวียอวิ้นและสืออวิ๋นเผิงด้วยซ้ำ
“หลินสวิน ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าตัดสินใจอย่างไร”
เซวียอวิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดเสียงเย็น ความอดทนของนางกำลังจะหมดลงแล้ว
ยามนี้สายตาของหลินสวินกวาดมองพวกเซวียอวิ้น สืออวิ๋นเผิง จินจู๋หลิว หลี่เซียวเฟยทีละคน สุดท้ายเขายิ้มอย่างร่าเริงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าหากวันนี้ข้าไม่ยินยอม พวกเจ้าก็จะไม่หยุดสินะ”
ทุกคนเงียบ และนี่ก็เป็นการยอมรับแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะแก้แค้นแทนหลินเทียนโหวอย่างไร”
หลินสวินถาม
“ไม่ใช่แก้แค้นแทนหลิงเทียนโหว แต่ล้างความอับอายให้ราชวงศ์ ให้เจ้าชดใช้ความผิดที่เคยกระทำไว้!”
สืออวิ๋นเผิงพูดเสียงเย็น
“ประลองเป็นอย่างไร”
หลินสวินพูด
“ไม่เลว”
สืออวิ๋นเผิงพยักหน้า
“ได้!”
เหนือความคาดหมายของทุกคน เมื่อหลินสวินรับปากอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้พวกของเซวียอวิ้นยังแปลกใจ
ส่วนพวกเจ้าอ้วนหลิวฮุยและหยางจิ้งเหยาต่างเผยความกังวล พากันห้ามปราม
“อาจารย์เสี่ยวหลิน ห้ามไปบาดหมางกับพวกเขาเชียวนะ พวกเขากล้าพูดเช่นนี้ คงคิดวิธีเล่นงานท่านไว้แล้วแน่”
“ใช่แล้ว ขอเพียงท่านอยู่ที่สาขาสลักวิญญาณก็จะไม่มีใครกล้าทำอะไรท่าน”
ลูกศิษย์เหล่านี้ต่างหวังดี เพียงแต่หลินสวินกลับส่ายหน้า ให้พวกเขาไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้
“ไปเถอะ”
หลินสวินมองเซวียอวิ้นแวบหนึ่ง แล้วเอามือไพล่หลังเดินออกไป
“เจ้าหมอนี่แม้จะร่ำไรไปบ้าง…แต่ก็ไม่ได้ขี้ขลาด”
หลี่เซียวเฟยพึมพำ
“หึ แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ไปรายงานพวกศิษย์พี่จ้าวจิ่งเหวิน ศิษย์พี่จั่วอวี้จิง แจ้งว่าหลินสวินถูกพวกเราบังคับออกมาแล้ว!”
สืออวิ๋นเผิงสั่งเสียงเย็น
ส่วนพวกของเซวียอวิ้นต่างก้าวเท้าตามหลินสวินไป ท่าทางแบบนั้นเหมือนควบคุมตัวนักโทษไม่มีผิด
“พวกเราก็ไปด้วย! หากพวกเจ้ากล้าทำให้อาจารย์เสี่ยวหลินลำบากใจ พวกเราไม่ยอมเด็ดขาด!”
เจ้าอ้วนคำรามด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม
“ใช่ ไปด้วยกัน!”
ทันใดนั้นลูกศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าก็เคลื่อนทัพมาด้วยกัน
……
สาขายุทธ์วิถี
สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่ทั่ว
“อะไรนะ หลินสวินกล้ามางั้นหรือ”
“ไป ไปดูกัน”
“ฮ่าๆ คราวนี้มีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแล้ว”
วันนี้ถูกลิขิตให้ไม่สงบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในสาขายุทธ์วิถี เมื่อรู้ว่าหลินสวินมาเยือนตามคำเชิญ ก็เกิดความฮือฮาอย่างใหญ่หลวงทันที
ตอนที่หลินสวินเพิ่งเดินเข้าสาขายุทธ์วิถีก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้
“เจ้าคือหลินสวินหรือ เลิกหัวหดเป็นเต่าแล้วหรือ” คนเหล่านั้นหัวเราะเยาะ
หลินสวินก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ได้สนใจพวกเขา เขารู้สึกประหลาดใจมากกว่า ว่าการที่เขาล่วงเกินราชวงศ์เกี่ยวอะไรกับลูกศิษย์เหล่านี้
หรือว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ยังมีคนแอบยุยง หมายจะใช้พลังของลูกศิษย์เหล่านี้ทำให้ตนอับอาย?
“หึ มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะกล้าจองหองพองขน ช่างไม่รู้ที่ตาย จะบอกให้นะ วันนี้เจ้ากล้าก้าวเข้ามาในสาขายุทธ์วิถี ก็ต้องชดใช้ให้กับความผิดที่เจ้ากระทำเอาไว้!”
คนเหล่านั้นขึ้งโกรธ
หลินสวินยังคงไม่สนใจ เดินตามพวกเซวียอวิ้นไปข้างหน้า
เพียงแต่ระหว่างทางมีเงาร่างปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาล้วนเป็นศิษย์สาขายุทธ์วิถี มีทั้งชายและหญิง แต่ละคนเป็นถึงบุคคลชั้นยอดแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ
เพียงแต่ท่าทีที่พวกเขามีต่อหลินสวินกลับแย่มาก วิพากษ์วิจารณ์หลินสวินเสียๆ หายๆ และถากถางให้อับอายมาตลอดทาง
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งมั่นใจว่า เบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องมีคนจงใจตั้งเป้าโจมตีตนแน่!
จะเป็นใครกัน
ตระกูลจั่ว ตระกูลฉิน หรือจะเป็นเชื้อพระวงศ์?
“หลินสวิน ข้าพูดกับเจ้าอยู่ ได้ยินหรือไม่!?”
ระหว่างทางชายหนุ่มผมขาวคนหนึ่งตะเบ็งเสียง สายตาดุร้ายเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน หลินสวินไม่สนใจเขาเสียที ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง
หลินสวินเหลือบมองเซวียอวิ้นพร้อมกล่าว “เจ้าผมขาวคนนี้เป็นใครกัน จู้จี้จุกจิกเหลือเกิน หรือจะชราก่อนวัยอันควร ปากถึงได้สั่นแบบนี้”
บริเวณนั้นพลันเงียบลงทันที ทุกคนต่างอึ้งงัน รวมทั้งพวกเซวียอวิ้น จินจู๋หลิวและสืออวิ๋นเผิงต่างก็พูดไม่ออก
จวบจนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง จุดที่ห่างออกไปมีคนหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ “ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม เจ้าหมอนี่กล้าเรียกหลันอวี่ว่าผมขาว ทั้งยังบอกว่าเขาชราก่อนวัยอันควร ฮ่าๆ”
สีหน้าของทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างแปลกประหลาด แต่ก็ไม่กล้าหัวเราะ
หลันอวี่เป็นถึงคนแกร่งที่อยู่อันดับห้าในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเชียวนะ!
บรรพบุรุษของหลันอวี่มีความเกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ครึ่งหนึ่ง เขามีความสามารถโดดเด่น นิสัยดุดัน ในสาขายุทธ์วิถีไม่ค่อยมีใครกล้าล่วงเกินเขา
แง่หนึ่งเพราะฐานะของเขาพิเศษ อีกแง่หนึ่งเพราะความสามารถของหลันอวี่วิปริตมากจริงๆ ในสาขายุทธ์วิถีที่เป็นศูนย์รวมอัจฉริยะ หลัวอวี่ก็นับว่าอยู่ในระดับชั้นยอดเช่นกัน
ผมขาว?
หลันอวี่โกรธจนจมูกแทบคด บนโลกนี้ใครกล้าเรียกเขาเช่นนี้บ้าง
ในขณะเดียวกันสิ่งที่ยั่วโทสะที่สุดคือคำพูดเสียดสีที่ว่า ‘ชราก่อนวัยอันควร’ นี่มันเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว เขาเป็นถึงผู้กล้าผ่าเผย อยู่ในช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ อนาคตไร้ขีดจำกัด กลับมีคนกล้าเย้ยหยันเขาเช่นนี้ รนหาที่ตายชัดๆ!
“หลินสวิน ดูเหมือนเจ้าไม่อยากอยู่แล้วจริงๆ”
หลันอวี่สีหน้าอึมครึม ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ผมขาว กลับไปดูแลร่างกายให้มาก ไม่แน่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นบ้าง อายุยังน้อยกลับชราก่อนวัยอันควร เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ”
หลินสวินกลับถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วเดินต่อ
เพลิงโทสะลุกโชนในใจหลัวอวี่ เขาโกรธจนสุดจะทนแล้วจริงๆ ท่าทางที่ถอนหายใจอย่างเวทนาของหลินสวินบวกกับคำพูดอันโหดร้ายนั่น ทำให้หลันอวี่หมดความอดทน น่าชิงชังเกินไปแล้ว
“เจ้ารนหาที่ตายหรือ”
หลันอวี่เผยรังสีสังหาร
หลินสวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาที่ยังคงเวทนา
“คุณชายหลันอวี่ อย่าไปถือสาเขา เดี๋ยวถึงลานแสดงยุทธ์ยังมีโอกาสจัดการเขาอีกมาก!”
ข้างๆ สีหน้าของหลี่เซียวเฟยเผยความประจบสอพลอ
“หึ!”
สายตาของหลันอวี่จ้องหลินสวินอย่างเย็นเยียบ “กล้าประลองกับข้าที่ลานแสดงยุทธ์หรือไม่”
ลานแสดงยุทธ์หรือ
หัวใจของหลินสวินวูบไหว ตระหนักได้ว่า ดูเหมือนคนที่จะหาเรื่องเขาวันนี้ เขาคงจะต้องจัดการที่ ‘ลานแสดงยุทธ์’ ทั้งหมด
“ได้ แต่เจ้าต้องรอก่อน”
หลินสวินยิ้มพูด
“ยังต้องรออีก? หรือเจ้ากลัว”
หลันอวี่เย้ยหยัน
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของข้าคือคนที่อยากแลกเปลี่ยนความรู้กับข้ามีเยอะมาก เจ้าก็เข้าแถวรอสักหน่อย รอให้ข้าจัดการพวกเขาก่อน แล้วค่อยเล่นเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้”
หลินสวินพูดเบาๆ ทำให้หลันอวี่สั่นเทิ้มไปทั้งกาย หมอนี่อวดดีเกินไปแล้ว กล้าดูถูกเขาถึงเพียงนี้!
แม้แต่สีหน้าของพวกเซวียอวิ้น จินจู๋หลิว สืออวิ๋นเผิงก็ดูแย่ไปบ้าง เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้ของหลินสวินหมายความว่า เขาสามารถกวาดล้างพวกเขาทุกคนได้ด้วยตัวคนเดียว!
“แน่นอน” จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้นอีกว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์มาท้าประลองกับข้าได้ตามใจชอบ คนที่อยากดวลกับข้า อย่างน้อยก็ต้องนำของเดิมพันออกมาสักหน่อย”
ของเดิมพันหรือ
หลายคนในบริเวณนั้นอึ้ง หมอนี่มาถึงสาขายุทธ์วิถีแล้ว ไม่เพียงไม่ก้มหัว แต่ยังคิดจะเอาของเดิมพันด้วยหรือ
นี่มัน…กำเริบเกินไปแล้วกระมัง!
หลันอวี่เองก็ตะลึง ครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “เจ้าอยากเดิมพันด้วยสิ่งใด”
หลินสวินระบายยิ้ม “คะแนนสะสมของสำนัก ใครอยากท้าประลองกับข้า ก็ต้องเอาคะแนนสะสมทั้งหมดมาเดิมพัน และอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งพัน”
เอาหนึ่งพันคะแนนมาเป็นของเดิมพัน?
ทุกคนต่างพูดไม่ออก หมอนี่เห็นคะแนนสะสมเป็นอะไร หนึ่งพันคะแนนเชียวนะ มูลค่านั้นมากกว่าสิบล้านเหรียญทองเสียอีก!
“ทำไมเจ้าไม่ตายไปซะ!”
หลัวอวี่โกรธจนสุดจะทน รู้สึกว่าหลินสวินจงใจหาเรื่อง คะแนนสะสมหนึ่งพันแต้ม ด้วยฐานะและความสามารถของเขาในตอนนี้ ยังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสะสมมาได้!
…………………
ตอนที่ 476 หมาป่าห่มหนังแกะ
โดย
ProjectZyphon
“อะไรกัน เจ้าพูดจาก้าวร้าวขนาดนี้ ข้านึกว่าจะมีคะแนนสะสมไม่น้อยเสียอีก ที่แท้ก็แค่คนอนาถา”
สายตาของหลินสวินเผยแววดูถูก
หลันอวี่โกรธจนอยากตบเขาให้ตายในทีเดียว กัดฟันพูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคะแนนสะสมหนึ่งพันแต้มหมายถึงอะไร ถึงกล้าขอขนาดนี้”
หลินสวินพลันเอ่ย “แปดร้อยคะแนนคงจะมีกระมัง?”
เส้นเลือดบนหน้าผากหลันอวี่ปูดนูนออกมา หมอนี่เห็นคะแนนสะสมของสำนักศึกษาเป็นอะไร ผักกาดขาวหรือ
“ห้าร้อยแต้มล่ะ”
สายตาของหลินสวินยิ่งดูถูกกว่าเดิม “ถ้าคะแนนสะสมเท่านี้ยังไม่มี เจ้าก็ไปพยายามทำคะแนนสะสมก่อนเถอะ จะมาผสมโรงทำไม”
แววตาหลันอวี่กระหายเลือดยิ่ง อยากลงมือสั่งสอนหลินสวินเสียเดี๋ยวนี้ แต่สุดท้ายเขาก็อดทน สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยหน้าเขียว “ได้ ห้าร้อยแต้ม ข้ารับคำเจ้า!”
หลินสวินพลันยิ้ม ตบไหล่เขาพูดว่า “ไม่เลวๆ เจ้าสามารถไปเข้าแถวรอประลองกับข้าได้แล้ว”
เห็นท่าทางกำชัยของหลินสวิน หลัวอวี่โกรธจนหน้าเขียว จะควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วจริงๆ
“อ้อ จริงสิ ถ้าพวกเจ้าอยากประลองกับข้า ก็อย่าลืมเตรียมคะแนนสะสมเอาไว้ด้วย ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้าหรอก ตอนแพ้ เพียงยกคะแนนสะสมให้ข้าทั้งหมดก็พอแล้ว”
หลินสวินกวาดสายตาไปมองพวกเซวียอวิ้น จินจู๋หลิว สืออวิ๋นเผิงแวบหนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าของคนเหล่านั้นต่างอึมครึมขึ้นมา
กำเริบ!
กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!
ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็เบิกตาโพลง หลินสวินกําเริบเสิบสานเช่นนี้ ไม่กลัวกรรมตามสนองหรือ
“พวกเจ้าก็สามารถไปบอกคนอื่นๆ ได้ว่า ถ้าอยากศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กับข้า ก็เอาคะแนนสะสมมาเข้าแถวเสีย เวลามีจำกัด”
ทันทีที่หลินสวินพูดเช่นนี้ ทำให้ลูกศิษย์สาขายุทธ์วิถีทุกคนต่างมีโทสะ เจ้าหมอนี่เห็นพวกเขาเป็นอะไร ลูกแกะใสซื่อหรือ?
“หลินสวิน เจ้าอวดดีให้มันน้อยๆ หน่อย เดี๋ยวได้ทนทุกข์ทรมานแน่!”
“น่าโมโหจริงๆ เจ้านี่น่าชิงชังมาก ศิษย์พี่ทุกท่านอย่าได้เกรงใจเด็ดขาด!”
“หลินสวิน เจ้ายะโสเพียงนี้ เห็นสาขายุทธ์วิถีของข้ามีไว้เปล่าๆ หรือ”
เสียงเซ็งแซ่อื้ออึงไปทั่วบริเวณ ทั้งด่าว่าและคาดโทษหลินสวิน บรรยากาศคึกคักยิ่ง
ที่นี่คือสาขายุทธ์วิถี การเคลื่อนไหวที่นี่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ลูกศิษย์หลายคนรีบไปรายงาน เชิญทุกคนในสาขามา
“ข้ารายงานศิษย์พี่อวี่หรูหั่วไปแล้ว ถ้าเขารู้ว่าหลินสวินอวดดีเพียงนี้จะต้องลงมืออย่างอดไม่ได้แน่”
“เหอะๆ ข้าได้บอกเหล่าลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลในสำนักศึกษาที่มีความแค้นกับหลินสวิน อย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ตระกูลฉือแล้ว”
……
คนมาชมดูความคึกคักไม่รังเกียจเรื่องใหญ่ การมาเยือนของหลินสวินในครั้งนี้จะต้องสร้างความฮือฮาอย่างแน่นอน!
สำหรับคำพูดเหล่านี้ หลินสวินเหมือนไม่ได้ยิน เอ่ยถามหลี่เซียวเฟย “เจ้าอัปลักษณ์ ลานแสดงยุทธ์อยู่ไหน”
หลี่เซียวเฟยตะโกนอย่างเดือดดาล “เจ้าด่าใครว่าอัปลักษณ์!”
หลินสวินส่งเสียงอ้อแล้วเอ่ย “เจ้าไฝ ลานแสดงยุทธ์อยู่ไหน”
หลี่เซียวเฟยโกรธจนตาลุกเป็นไฟ อยากจะฉีกปากหลินสวินซะ
“อยู่ข้างหน้า”
ในตอนนี้เซวียอวิ้นพูดขึ้นอย่างราบเรียบเย็นชา
หลินสวินเงยหน้าขึ้น เห็นว่าบริเวณที่ไม่ไกลนักมีลานขนาดใหญ่ ภายในลานมีแท่นหินโบราณสีดำสนิทแท่นหนึ่ง ด้านบนเปื้อนเลือดและมีกลิ่นอายรอยสลักวิญญาณอันคลุมเครือไหลเวียนอยู่รางๆ
นี่ก็คือลานแสดงยุทธ์ เป็นสถานที่สำหรับดวลการต่อสู้ของลูกศิษย์สาขายุทธ์วิถี หลายพันปีมานี้เคยมีผู้กล้าที่มีอิทธิพลแห่งยุคจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้อยู่ด้านบน สำแดงการประลองอันเป็นประวัติกาลครั้งแล้วครั้งเล่า
ในเวลานี้มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่รอบๆ ลานแสดงยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าล้วนได้ยินว่าหลินสวินมาแล้วและกำลังจะดวลศึกที่นี่
นอกจากนี้ยังมีศิษย์จำนวนมากจากที่อื่นๆ กำลังทยอยกันมา
“มาสิหลินสวิน วันนี้ให้ข้าสั่งสอนเจ้า ล้างความอับอายให้ราชวงศ์ ให้เจ้าได้รู้ว่าฟ้าสูงแค่ไหน แผ่นดินต่ำเพียงใด!”
หลันอวี่ตะคอก
เดิมเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกที่กระโดดออกมา แต่ระหว่างทางหลินสวินทำเขาโกรธมากจนสุดจะทนแล้วจริงๆ
“ผมขาว บอกว่าให้เจ้าต่อแถวไม่ใช่หรือ ล้างคอให้สะอาดเตรียมรอไว้เถอะ”
หลินสวินโบกมือด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
เมื่อทุกคนรอบข้างได้ยินคำพูดเช่นนี้ต่างรู้สึกขำ แต่ก็ไม่กล้าหัวเราะออกมา สีหน้าจึงดูแปลกประหลาด ‘ผมขาว’ หลินสวินก็ช่างกล้าเรียกหลันอวี่เช่นนี้!
“หลินสวิน คอยดูเถอะ!”
สีหน้าของหลันอวี่ดูแย่อย่างที่สุด
หลินสวินกลับคร้านจะสนใจเขาแล้ว เดินเข้าไปในลานแสดงยุทธ์และขึ้นไปยืนบนแท่นหิน จากนั้นสายตามองไปที่พวกเซวียอวิ้น จินจู๋หลิว สืออวิ๋นเผิง กล่าวว่า “พวกเจ้าเป็นฝ่ายเรียกข้ามาที่นี่ ตอนนี้ใครจะลงมือก่อน”
“ข้าไปก่อน!”
สืออวิ๋นเผิงก้าวออกไปพร้อมไอสังหารอันรุนแรง
“ช้าก่อน” หลินสวินมุ่นคิ้ว “เจ้าเข้าใจกติกาหรือไม่”
สืออวิ๋นเผิงตะลึง ตะคอกว่า “ขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะเล่นลวดลายอะไร”
หลินสวินกล่าวอย่างไม่พอใจ “ส่งป้ายประจำตัวมาก่อน ข้ากลัวว่าเจ้าจะผิดสัญญา ไม่ยอมให้คะแนนสะสม”
สืออวิ๋นเผิงโกรธจนไฟควันออกหู หยิบป้ายประจำตัวศิษย์ของตนออกมาด้วยใบหน้าขมึงทึง แล้วโยนออกไปข้างลานแสดงยุทธ์
เห็นดังนี้หลินสวินจึงพยักหน้า “เข้ามาเถอะ”
สืออวิ๋นเผิงกระโดดขึ้นบนแท่นหินอย่างไม่ลังเล ตะเบ็งเสียง “หลินสวิน ไปตายซะ!”
เสียงครืนโครมดังสนั่น กลิ่นอายทั่วร่างเขาเปลี่ยนไปกะทันหัน ลมและสายฟ้าสะเทือน เมฆหมอกคละคลุ้ง ฝ่ามือสะบัดไปข้างหน้าอย่างรุนแรง แสงสีแดงซัดสาด สายฟ้าบูบไหวร้องคำราม
เขาใช้พละกำลังทั้งหมด มาถึงก็ใช้วิชาระดับสูง ฝ่ามือราวกับเคลื่อนไหวมาพร้อมกับลมพายุ น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
วิชาสายฟ้าสลาตัน!
หลายคนตาเป็นประกาย นี่มันวิชาลับโบราณของตระกูลสือเชียวนะ!
และฐานะของสืออวิ๋นเผิงเองก็ไม่ธรรมดา เป็นบุคคลชั้นยอดในสาขายุทธ์วิถี มีพลังปราณในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ ติดอันดับหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
ยามนี้เห็นเขาโจมตีอย่างรุนแรงตั้งแต่เริ่มเช่นนี้ ทำให้หลายคนอดตื่นเต้นไม่ได้
ฮูม!
หลินสวินปล่อยหมัดหนึ่งออกไปสลายการโจมตีนั้นพร้อมกล่าว “ความสามารถแค่นี้ ออกจะไม่พออยู่บ้างนะ”
หลายคนพูดไม่ออก ฝีปากเจ้าหมอนี่ร้ายกาจจริงๆ
“มอบชีวิตเจ้ามาซะ!”
สืออวิ๋นเผิงคำราม เข้าสู้กับหลินสวิน โคจรวิชาสายฟ้าสลาตันถึงขีดสุด พลันเห็นแสงสายันณ์แดงไหลเคลื่อน สายฟ้าคำราม เผด็จการและรุนแรงอย่างที่สุด
“ร้องเสียงดังเพียงนี้ ข้ายังนึกว่าจะร้ายกาจขนาดไหน ที่แท้ก็เพียงเท่านี้ เจ้าหนุ่ม คนเราจะโอ้อวดขนาดนั้นไม่ได้นะ”
หลินสวินต่อสู้ไปพลาง ปากก็ยังพูดไม่หยุด
“ฆ่า!”
สืออวิ๋นเผิงตาแดงก่ำแล้ว แสงวิญญาณรอบตัวพลุ่งพล่านทะยานขึ้นฟ้า สายฟ้าอันน่าสะพรึงยิงออกไปทั่วทุกทิศ
การประลองครั้งนี้น่าตื่นเต้นยิ่ง ทั้งสองต่อสู้กันบนแท่นหิน แต่ละคนต่างสำแดงอานุภาพ เข่นฆ่ากันจนลมพายุโหดซัด แสงอาทิตย์สั่นสะเทือน เจิดจ้าสะดุดตาอย่างมาก
นอกลาน หลายคนอดพยักหน้าไม่ได้ ต่างส่งเสียงให้กำลังใจสืออวิ๋นเผิงอย่างต่อเนื่อง
และมีบางคนดูถูกหลินสวินอย่างมาก คิดว่าข่าวลือค่อนข้างเกินจริง ความสามารถของหลินสวินก็งั้นๆ ถึงขั้นที่เริ่มสงสัยว่าคนร้ายกาจที่สุดอย่างหลิงเทียนโหวจะพ่ายแพ้ให้กับหลินสวินได้อย่างไร ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน
“ไม่ว่าอย่างไรหลินสวินก็ถือว่าไม่เลว แข็งแกร่งกว่าศิษย์ใหม่ในสาขามังกรเร้นไม่น้อย แต่พอเทียบกับสาขายุทธ์วิถีของเราแล้ว ก็เห็นชัดว่าเทียบไม่ได้”
จินจู๋หลิวเอ่ยช้าๆ
“ไม่เหมือนที่ร่ำลือเลย”
เซวียอวิ้นพูดอย่างเรียบเฉย
คนอื่นๆ ก็เห็นด้วย เดิมพวกเขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ได้ดูถูกหลินสวินแต่อย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขายังสู้สืออวิ๋นเผิงไม่ได้ด้วยซ้ำ ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย คิดว่าข่าวลือภายนอกเกินจริง หลินสวินไม่ได้เย้ยฟ้าขนาดนั้น
ในลานยังมีคนกลุ่มเล็กๆ ที่สีหน้าดูแปลกประหลาด ในใจสับสนอย่างยิ่ง พวกเขาพบความผิดปกติตั้งแต่แรก คนแกร่งที่ดุดันไม่มีใครเทียบอย่างหลินสวิน จำเป็นต้องสู้เอาเป็นเอาตายเช่นนี้ด้วยหรือ
คนกลุ่มเล็กๆ ที่ว่านี้ล้วนเป็นลูกชนชั้นสูงที่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี และได้เห็นว่าหลินสวินใช้พลังที่ยิ่งใหญ่เพียงใดสยบฉือฉางเฟิง และเอาชนะหลิงเทียนโหว!
ฉือฉางเหมยเองก็อยู่ในลานด้วย นางรู้จักหลินสวินลึกซึ้งกว่า และรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของหลินสวินอย่างดี
นางถึงขั้นมองแวบเดียวก็ดูออกว่าหลินสวินจงใจออมมือ เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าถ้าแสดงฝีมือโดดเด่นเกินไปจนทำให้คนอื่นๆ กลัว ก็จะสูญเสีย ‘ของเดิมพัน’ บางส่วนไป
‘เจ้าหมอนี่ร้ายกาจจริงๆ เจ้าเล่ห์เพทุบาย หวังจะเอาเปรียบผู้อื่น’
ฉือฉางเหมยลอบถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง แต่นางไม่ได้เผยความคิดออกไป ยามนั้นน้องชายของนางฉือฉางเฟิงพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือหลินสวิน จนปัจจุบันยังถูกหลายคนหัวเราะเยาะและดูถูก
ในสถานการณ์เช่นนี้ นางอยากให้ผู้คนมากมายตก ‘หลุมพราง’ ของหลินสวินยิ่งกว่า จะได้ลิ้มรสการถูกหลินสวินสยบบ้าง
อีกด้านฮวาอู๋โยวยืนอยู่ในลานด้วยสีหน้าเย็นเยียบ นางย่อมเกลียดหลินสวินเข้ากระดูก เพราะตอนนั้นหากไม่ได้ผู้อาวุโสในตระกูลมาช่วยไว้ทันเวลา นางคงถูกหลินสวินฆ่าไปแล้ว
ตอนนี้เห็นหลินสวินถูกบังคับให้มาประลอง แน่นอนว่านางต้องอยากให้มีคนสั่งสอนหลินสวินอย่างรุนแรง และถ้าฆ่าเขาได้จะดีที่สุด
เพียงแต่นางเองก็ดูออกว่าฝีมือของหลินสวินในตอนนี้แปลกเกินไป หากเขาอ่อนแอเพียงนี้ จะสามารถเอาชนะนางได้อย่างไร
เจ้านี่จงใจแน่นอน!
“อู๋โยว เป็นเขาหรือที่เอาชนะเจ้าตอนนั้น ข้าว่าก็ไม่เท่าไร”
สาวงามคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ พูดพร้อมหัวเราะฮิๆ
โทสะพลันพรวดพราดขึ้นในใจฮวาอู๋โยว แต่ปากกลับพูดอย่างเรียบเฉย “ท่านหญิงเซียนเซียน ท่านกับหลิงเทียนโหวต่างก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่สู้ใช้โอกาสนี้ขึ้นเวทีไปกำราบหลินสวินด้วยตัวเองเล่า แก้แค้นแทนหลิงเทียนโหว”
สาวงามที่ถูกเรียกว่าท่านหญิงเซียนเซียนอึ้งงัน มุมปากคลี่ยิ้มเย่อหยิ่งกล่าว “เขาอ่อนแอเกินไป ไม่คุ้มกับการลงมือของข้า ”
ฮวาอู๋โยวไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ในใจกลับหัวเราะเยาะ แม้แต่หลิงเทียนโหวยังถูกเขาบังคับให้คุกเข่า ยังจะเรียกว่าอ่อนแออีกหรือ ช่างไม่รู้ความ
ภายในลานแสดงยุทธ์ สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือดมากผิดปกติ เมื่อหลินสวินและสืออวิ๋นเผิงต่อสู้ศึกกันได้ห้าร้อยกระบวนท่า ในที่สุดสืออวิ๋นเผิงก็ต้านไม่ไหว ถูกหลินสวินตบอย่างรุนแรงจนปลิวออกไป กระอักเลือดคำใหญ่ ล้มลงบนพื้นนอกแท่นหิน
เสียงฮือฮาดังขึ้นในลาน สู้กันจนถึงตอนนี้ ดุเดือดถึงเพียงนี้ แต่ในช่วงสุดท้ายพวกเขามองเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าสืออวิ๋นเผิงพ่ายแพ้ได้อย่างไร!
“เจ้าหนุ่ม กลับไปฝึกให้ดีๆ อีกสักสองสามปีเถอะ เจ้ากับข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน หากไม่ออมมือคงสยบเจ้าไปนานแล้ว”
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น เหงื่อซึมหน้าผาก ลมหายใจหอบถี่ น้ำเสียงกลับสูงผิดปกติ มีท่าทีเหมือนไม่ใยดีสืออวิ๋นเผิง
“ฮูว…!”
เสียงโห่ดังขึ้นในลานอย่างกะทันหัน สู้กันหนักหน่วงห้าร้อยกระบวนท่าแล้ว ดุเดือดถึงเพียงนั้นกว่าจะชนะสืออวิ๋นเผิงมาได้ แบบนี้ยังเรียกว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันงั้นหรือ
หลินสวินคนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว กล่าวคำโกหกได้หน้าตาเฉย ไม่กลัวฟ้าผ่าหรือไร
…………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น