Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 463-464
ตอนที่ 463 รังแกกันมากไปแล้ว
โดย
ProjectZyphon
ยามเช้าตรู่ เมื่อเดินออกมาจากตำหนักชำระจิตก็เห็นว่าเมฆเรียงกันเป็นชั้น แสงอุษาสว่างสดใส อวลไอหอมต้นหญ้าในอากาศ พาให้จิตใจเบิกบาน
สิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยทำให้หลินสวินรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด
เพียงแต่ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ เขาไม่พบเงาร่างสักเงาระหว่างทาง แม้แต่หลินจงยังไม่เห็นร่องรอย
“อ๊ะ นายน้อยท่านออกด่านแล้วหรือเจ้าคะ”
ไม่นานนักข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งรีบร้อนเดินมา เมื่อเห็นหลินสวินก็อดตะลึงไม่ได้ พลันคารวะอย่างลุกลี้ลุกลน
“พวกลุงจงล่ะ”
หลินสวินถาม
“พวกเขาไปหอแสงอุดรแล้วเจ้าค่ะ”
นางกล่าวอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย “ได้ยินว่า…ได้ยินว่านายน้อยท่านหนึ่งของสายรองตระกูลหลินของพวกเราถูกคนอื่นเล่นงานเจ้าค่ะ…”
หลินสวินอึ้งไป “เกิดอะไรขึ้นกัน”
ข้ารับใช้หญิงพูดตะกุกตะกัก “บ่าวก็ไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ เพียงได้ยินว่าเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเหล่าคนที่ขวางอยู่ด้านนอกภูเขาชำระจิตเจ้าค่ะ”
หลินสวินหรี่ตาลง “มีคนกล้าขวางด้านนอกภูเขาชำระจิตหรือ พวกเขาเป็นใคร ขวางอยู่ตรงนั้นจะทำอะไร”
ข้ารับใช้หญิงดูยิ่งร้อนรน ผ่านมานานยังพูดที่มาที่ไปไม่ออก
นี่ทำให้หลินสวินนิ่วหน้า หันกายรุดหน้าไปยังไหล่เขา
ห่างหายไปไม่ถึงสองเดือน แต่ดูท่าช่วงนี้ในภูเขาชำระจิตกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายเสียแล้ว
ณ หอแสงอุดร
เวลานี้คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรที่ย้ายกลับมากลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน แต่ละคนสีหน้าขัดเคือง กำลังโมโหโวยวาย
“รังแกกันมากไปแล้ว! รังแกกันมากไปแล้ว! ลูกหลานตระกูลจั่วกับตระกูลฉินพวกนั้น เหลือแต่วิ่งเข้ามาทำตัวเหิมเกริมบนภูเขาชำระจิตแล้ว!”
“ที่น่าโมโหที่สุดก็คือลูกหลานของสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุ พวกเขากลับติดปีกให้เสือ ร่วมสำแดงพลัง ทั้งยังลงมือทำร้ายน้องอวิ๋นเหวิน ช่าง…ช่างขายหน้าตระกูลหลินของเรานัก!”
เมื่อหลินสวินมาถึงก็เห็นว่าสถานการณ์ชุลมุน แต่ละคนต่างโมโหเดือดดาล แค้นจนกัดฟันกรอด
เกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วและตระกูลฉินหรือนี่
ดวงตาสีดำของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ เขาไม่ร่ำไร เข้าไปในหอแสงอุดร เขารับรู้ได้ว่าพวกหลินจง พญาแร้งและเสี่ยวเคอล้วนอยู่ที่หอแสงอุดรในเวลานี้
“เอ๊ะ น้องหลินสวินออกด่านเลิกเก็บตัวแล้ว!”
มีคนเห็นหลินสวิน พลันดึงดูดเสียงฮือฮาไปทั่ว ลูกหลานตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเหล่านั้นเหมือนหาที่พึ่งเจอ ร่ำร้องทุกข์ทน
“น้องหลินสวิน เจ้าปรากฏตัวจนได้ ภูเขาชำระจิตของพวกเราตอนนี้ถูกผู้อื่นรังแกอย่างน่าสังเวชแล้ว!”
“ใช่แล้ว เจ้าต้องทำอะไรสักอย่าง ออกตัวแทนทุกคน หลายวันนี้พวกเราอึดอัดจะแย่แล้ว”
“ฮือๆๆ ในที่สุดพี่หลินสวินก็กลับมาแล้ว ช่างดียิ่งนัก”
มีเด็กสาวอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งสะอึกสะอื้นขึ้นมา
เพียงดูสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้ว่า ในช่วงเวลานี้บนภูเขาชำระจิตต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทำให้ทุกคนล้วนแค้นเคืองและลำบากใจอยู่เต็มอก
“ทุกท่าน รอหลังข้าเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้วจะตัดสินใจเอง!”
หลินสวินสูดหายใจลึก เอ่ยปากเสียงขรึม
เขาพูดจบก็หันกายเดินเข้าไปในโถงหลักของหอแสงอุดร
กลางโถงใหญ่โต บรรยากาศในเวลานี้กลับหนักอึ้ง บนพื้นมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนราบอยู่ ทั้งร่างโชกเลือด หมดสติยังไม่ฟื้น
ชื่อเซวี่ยอยู่ข้างกายช่วยเด็กหนุ่มรักษาบาดแผล
เขาเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นหมอยาที่โดดเด่น เมื่อเห็นว่าขนาดชื่อเซวี่ยยังถูกเรียกมา แค่คิดก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นต้องได้รับบาดเจ็บหนักอย่างยิ่งยวดแน่!
รอบด้าน พญาแร้ง เสี่ยวเคอ หลินจง รวมถึงบุคคลระดับสูงของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรบางคนล้วนสีหน้าอึมครึม กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เมื่อหลินสวินเดินเข้ามาก็เห็นภาพเช่นนี้แล้ว
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว!”
หลินจงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
พญาแร้งกับเสี่ยวเคอก็พากันหันหน้ามา ใบหน้าเผยแววยินดี
ครั้งนี้หลินสวินปิดด่านเก็บตัวจะสองเดือนแล้ว ไม่ถือว่ายาวนาน แต่ในช่วงเวลานี้เกิดเรื่องขึ้นไม่น้อย ทำให้พวกเขายากจะตัดสินใจ ในใจย่อมรอคอยให้หลินสวินปรากฏตัวเร็วขึ้นหน่อย
“อืม ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น”
หลินสวินขมวดคิ้วถาม เขาไม่มีกะจิตกะใจมาบอกเล่าเรื่องราวที่พบเจอ ทุกอย่างที่เห็นเมื่อกี้ทำให้เขารับรู้ได้ว่าช่วงนี้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นแน่
หลินจงถอนหายใจยาว สีหน้าทั้งขุ่นเคืองทั้งจนใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
“ให้ข้าพูดเถอะ”
พญาแร้งนั่งอยู่บนรถเข็น ดวงตากระจ่าง เอ่ยเสียงเรียบ
ที่แท้หลังงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เนื่องจากหลินสวินบังคับให้หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นคุกเข่าในการประลอง ก่อให้เกิดความครึกโครมไปทั้งนครต้องห้าม
หลายคนล้วนคิดว่า การกระทำนี้ของหลินสวินอันธพาลป่าเถื่อนเกินไป ล่วงเกินราชวงศ์อย่างร้ายแรงยิ่ง
อีกทั้งพวกเขาคิดว่าในกรประลองครั้งนั้น หลินสวินเอาแต่แผลงฤทธิ์โดยไม่สนใจการคัดค้านของกลุ่มคนใหญ่คนโต หนำซ้ำยังเอ่ยวาจาบ้าระห่ำ ไม่เคารพผู้มีอำนาจเหล่านั้นถึงที่สุด เท่ากับหมางใจกับขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลไม่น้อยไปด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินต้องประสบกับการกำราบและเอาคืนอย่างแน่นอน
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ ในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินีตอนนั้น ไป๋หลิงซี เว่ยฉือเจ๋อ และซ่งอี้สำแดงความโดดเด่น เตะตาคนชั้นสูงจากต่างแดน ถูกเลือกเป็นลูกศิษย์ไปฝึกปราณที่สำนักลึกลับ
ทั้งที่หลินสวินก็แสดงฝีมืออย่างแข็งแกร่งชัดเจน แต่ในที่สุดกลับไม่ได้รับเลือก ทำให้หลายคนคิดว่านี่เป็นการลงโทษหลินสวินอย่างหนึ่งของจักรพรรดินี พรากโอกาสครั้งหนึ่งที่เดิมควรเป็นของเขาไป
และหลังจากเรื่องที่เขากลับจากพระราชวังวันนั้นก็ลาพักจากสำนักศึกษามฤคมรกต กลับไปเก็บตัวที่ภูเขาชำระจิตแพร่กระจายออกไป ยิ่งทำให้หลายคนในนครต้องห้ามคิดว่าเขารับรู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรง จึงเก็บตัวหัวหดเหมือนเต่าหดเข้ากระดอง ไม่กล้าเหิมเกริมอีก
ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินจึงชิงเอาคืนภูเขาชำระจิต!
ช่วงที่หลินสวินปิดด่านเก็บตัว ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งสองตระกูลอ้างว่าทำเพื่อลบคำดูหมิ่นราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ เอ่ยวาจาบ้าระห่ำว่าหากหลินสวินไม่ปรากฏตัวขอโทษชดใช้ความผิดเอง ก็จะขับไล่ตระกูลหลินออกจากภูเขาชำระจิต
อีกทั้งพวกเขายังลอบสั่งการให้ตระกูลหลินสาขารองสามสายคือธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุร่วมมือกัน มุ่งเป้าเอาคืนภูเขาชำระจิต
ที่เดือดร้อนก่อนใครเพื่อนก็คือตระกูลหลินแห่งแสงอุดร กิจการใต้การควบคุมของพวกเขาแทบถูกล้างบาง โดนธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุชิงไปสิ้น แหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตได้รับผลกระทบใหญ่หลวง!
ที่ต้องรู้ก็คือ กิจการเหล่านั้นเกินครึ่งกลับคืนสู่ภูเขาชำระจิตแล้ว ทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับชิงกิจการของภูเขาชำระจิตไป
ยังดีที่ภายใต้การจัดการของพญาแร้ง กำลังคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่วนมากล้วนย้ายเข้าภูเขาชำระจิตแล้ว ไม่ได้ประสบความเสียหายด้านกำลังคนรุนแรง
“ทำไมไม่โต้กลับล่ะ”
หลินสวินได้ยินเช่นนี้ก็อัดอั้นขึ้นมา ดวงตาสีดำบังเกิดแววเย็นชา อดถามไม่ได้
“มีตระกูลจั่วกับตระกูลฉินสนับสนุน กำลังของพวกเขาเข้มแข็งเกินไป ไม่อาจปะทะซึ่งหน้าได้ง่าย มิเช่นนั้นแล้วความเสียหายจะยิ่งรุนแรงขึ้น”
เสี่ยวเคอที่อยู่ด้านข้างแจกแจง
หลินสวินเข้าใจเหตุผลนี้ แต่ความแค้นในใจกลับระงับได้ยาก ก่อนเขาปิดด่านเก็บตัว ได้ใช้ความพยายามมหาศาลถึงทำให้สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตดีขึ้นมาได้
แต่ตอนนี้กลับดีนัก แหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้รับความเสียหายใหญ่ เท่ากับทำให้ภูเขาชำระจิตของเขาได้รับผลกระทบไปด้วย จะให้เขาทนได้อย่างไร
“ถ้าเพียงเท่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก ที่รับมือยากที่สุดก็คือ ช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขาส่งคนมากมายผลัดกันมาขวางนอกภูเขาชำระจิต โวยวายจะให้เจ้าปรากฏกายไปไถ่โทษที่ราชสำนัก มิเช่นนั้นก็จะใช้กำลังลบชื่อตระกูลหลินออกจากภูเขาชำระจิต”
พญาแร้งก็ถอนใจเบาๆ
“ลบชื่อตระกูลหลินออกจากภูเขาชำระจิตหรือ”
ทันใดนั้นนัยน์ตาดำของหลินสวินก็เหี้ยมเกรียมถึงที่สุด ทั้งร่างอวลไปด้วยจิตสังหารที่ยากจะระงับได้
พวกหลินจง เสี่ยวเคอ และพญาแร้งพากันหรี่ตา มองดูหลินสวินอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ยังไม่ถึงสองเดือน พลังปราณบนร่างเขากลับแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนหลายเท่า!
พลังปราณนั้นทำให้เสี่ยวเคอรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางๆ นางมาถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับมหาสมุทรวิญญาณหลายปีแล้ว ทั้งยังมีฐานะเป็นผู้ฝึกสอนของหลินสวิน เห็นเขาเติบโตด้วยตาตัวเอง แต่ตอนนี้พลานุภาพที่อบอวลอยู่บนกายเขาทำให้ใจนางเกิดความไหวหวั่น
เจ้าหนูนี่เก็บตัวครั้งนี้ ดูท่าจะได้อะไรเยอะเชียวนะ!
ไม่เพียงเสี่ยวเคอ หลินจงและพญาแร้งก็ล้วนจิตใจสั่นไหว หลินสวินเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง บนกายมีพลานุภาพยากบรรยายราวเหวน้ำไพศาล ยามสงบเก็บงำไม่แสดงออก แต่เมื่อปะทุขึ้นกลับมีพลังที่สามารถกลืนฟ้าได้!
“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก”
หลินสวินสูดลมหายใจลึก ระงับจิตสังหารในใจตน สายตามองไปยังเด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติไป ถ้าเขาจำไม่ผิด เด็กหนุ่มมีนามว่าหลินอวิ๋นเหวิน เป็นญาติผู้น้องของเขา อายุเพิ่งสิบสี่ปี
“ถูกคนที่ขวางอยู่ด้านนอกทำร้ายจนบาดเจ็บขอรับ”
หลินจงสีหน้าอึมครึม เอ่ยว่า “หลายวันมานี้มีคนขวางอยู่ที่นั่นทุกวัน เพียงเห็นคนเดินออกมาจากภูเขาชำระจิตก็จะเหยียดหยามและท้าทายอย่างต่อเนื่อง อวิ๋นเหวินอายุน้อย ไม่รู้จักอดทน เมื่อประมือกับอีกฝ่ายก็ถูกพวกเขาทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม นี่ก็ต้องโทษข้าที่ไม่ดูแลพวกเขาให้ดีจนเกิดเหตุร้ายเช่นนี้”
พญาแร้งพูดพลางถอนใจ “ไม่โทษเจ้า เป็นข้าที่ไม่รอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะจึงอดทนมาตลอด แต่ไม่คิดว่าฝั่งตรงข้ามจะยิ่งร้ายกาจขึ้น ยิ่งไม่สนใจกฎเกณฑ์ไม่เกรงกลัวสิ่งใดขึ้นไปอีก”
หลินสวินเพียงรู้สึกว่าในอกมีหินทับอยู่ หายใจไม่สะดวก หน้าประตูบ้านเขาถูกผู้อื่นขวางพลางท้าทาย เหยียดหยามและทำร้ายรุนแรง!
นี่เป็นแค่การกำเริบเสิบสานเสียที่ไหน เป็นการแผ่อำนาจคุกคามบนหัวหลินสวินต่างหาก!
“อวิ๋นเหวินเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินสวินเอ่ยถาม
ชื่อเซวี่ยมุ่นคิ้ว ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ดีนัก ต่อให้รักษาบาดแผลได้ แต่หากคิดจะฟื้นฟูพลังปราณก่อนหน้า หากไม่ใช้เวลาสามปีห้าปีเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้”
สามปีห้าปีหรือ
สำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้ว หากต้องรักษาบาดแผลไปสามปีห้าปี ด้านการฝึกวิชาน่ากลัวจะถูกคนรุ่นเดียวกันทิ้งห่างไปไกล!
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลินสวินรู้สึกเพียงความโกรธปะทุขึ้นในอกราวหินหนืด เขาสูดลมหายใจลึก หันหน้าเดินออกไปนอกโถงใหญ่
“หลินสวิน เจ้าจะไปไหน”
เสี่ยวเคออดถามไม่ได้
“ข้าจะไปดูข้างนอกภูเขาชำระจิต”
หลินสวินตอบโดยไม่หันหน้ามา
“นายน้อย เวลานี้จะใช้อารมณ์ทำการมิได้นะขอรับ”
หลินจงพูดอย่างร้อนรน
ผู้อื่นก็พากันเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมขัดขวางหลินสวิน
หลินสวินหยุดเดินอยู่หน้าประตูโถง หันหน้าที่เผยรอยยิ้มสดใสมา “ทุกท่านวางใจได้ มีคนเคยบอกข้าว่า หากข้ามีความสามารถ จะก่อเรื่องวุ่นวายสั่นสะเทือนฟ้าดินในนครต้องห้ามอย่างไรก็ได้ ก่อนหน้านี้ข้ายังใจดีเกินไป ทว่านับแต่นี้ ข้าจะก่อเรื่องให้พวกเขาดู!”
แม้มีรอยยิ้มสดใสเช่นนั้น แต่ในนัยน์ตาดำกลับไร้ซึ่งความอบอุ่นสักกระผีก เย็นเยียบราวน้ำแข็ง
เขาพูดจบก็หันกายเดินไป
——
ตอนที่ 464 หลินสวินออกจากภูเขา
โดย
ProjectZyphon
นอกภูเขาชำระจิต
ชายหนุ่มผิวสีทองแดงผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิกลางป่าครึ้ม หญ้าบนพื้นรอบตัวไหวขึ้นลงตามลมหายใจของเขาอย่างพร้อมเพรียง
บรรยากาศลึกลับ คายออกและดูดซับพลังอยู่คนเดียว พลังขับเคลื่อนจากร่างกายส่งผลให้ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบเคลื่อนไหวตามไปด้วย เห็นได้ชัดว่าพลังปราณอยู่ในระดับมาหาสมุทรวิญญาณขั้นสูง
ไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นบุคคลร้ายกาจถึงที่สุดคนหนึ่งในนครต้องห้าม ถือได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นในรุ่นเดียวกัน
ปึงๆๆ!
ทันใดนั้นทั้งสี่ทิศโดยรอบชายหนุ่ม หญ้าต้นแล้วต้นเล่าถูกดึงออกมาจากดิน ลอยละล่องในห้วงอากาศ และภายหลังแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นราวถูกฟ้าผ่าโจมตี
นี่ไม่ได้เป็นการจงใจทำ แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการกดทับของพลานุภาพมหาศาล ยามคนคนหนึ่งคายพลังขับเคลื่อน
“มีความก้าวหน้า!”
จั่วหยางพลันลืมตาขึ้น ยิงพลังสายฟ้าสองเส้นออกไป พลังวิญญาณรอบกายปั่นป่วนพลุ่งพล่าน กระจายออกมาจากผิวหนังแล้ววนอ้อมร่างกาย พลังปราณสาดกระเซ็นราวเตาไฟใหญ่เตาหนึ่ง!
นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพื้นฐานการฝึกปราณอันแข็งแกร่ง ชำนิชำนาญ!
“คุณชายช่างเป็นอัจฉริยะแห่งยุคจริงๆ! เพียงเวลาไม่กี่เดือน ก็ทะลวงมาถึงขั้นที่เจ็ดของ ‘วิชามหาเพลิงผลาญสวรรค์’ เปลี่ยนแปลงราวเกิดใหม่ เทียบกับก่อนหน้านี้เหมือนกับคนละคนเลยขอรับ”
ชายวัยกลางผู้หนึ่งเดินเข้ามา เอ่ยชมไม่หยุดปาก
ที่เขาพูดเป็นความจริง ในตระกูลจั่ว จั่วหยางถือเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง คุณลักษณะโดดเด่นเกินทั่วไป คนรุ่นเดียวกันน้อยนักที่จะเทียบเขาได้
จั่วหยางลุกขึ้นยืน พูดเสียงเรียบว่า “น่าเสียดาย ครั้งก่อนเพราะเก็บตัวฝึกปราณเลยพลาดงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันไป”
ชายวัยกลางคนอดทอดถอนใจไม่ได้ “ด้วยพลังปราณของคุณชายต้องไม่ด้อยกว่าพวกไป๋หลิงซี เว่ยฉือเจ๋อ ซ่งอี้สักคนแน่ เพียงแต่ท่านไม่ต้องใส่ใจ ภายภาคหน้ายังมีโอกาสไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณอีกขอรับ”
“ตอนนั้นที่เจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษา เจ้าคิดว่าข้ากับหลินสวินเทียบกันแล้วเป็นอย่างไร”
สายตาจั่วหยางราวสายฟ้า มีแววบ้าระห่ำและพยศ
ชายกลางคนหนังตากระตุก พลันยิ้มเย็น “คุณชายเป็นคนระดับใด จะไปเทียบกับหลินสวินนั่นได้ที่ไหนเล่า เด็กนี่ล่วงเกินราชวงศ์ ยั่วโมโหเหล่าบุคคลชั้นสูงของจักรวรรดิ ไม่ช้าก็เร็วต้องตายตั้งแต่ยังหนุ่มแน่ ไม่มีค่าควรให้คิดเลย”
“แต่เขาเอาชนะหลิงเทียนโหวได้นะ”
ดวงตาจั่วหยางมองไปยังภูเขาชำระจิตที่อยู่ไกลออกไป พูดอย่างเฉยเมย “ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะลองดูว่าหลินสวินผู้นี้สมคำร่ำลือหรือไม่”
ชายวัยกลางคนพูดพลางหัวเราะ “น่ากลัวว่าจะทำให้คุณชายผิดหวังแล้วขอรับ เจ้าเด็กนี่หดหัวอยู่ในภูเขาชำระจิตไม่ได้ออกมาเลย เห็นชัดว่ากลัวถูกเล่นงาน”
จั่วหยางนิ่วหน้าแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว สั่งการลงไป ขอเพียงเห็นว่ามีคนเดินออกมาจากภูเขาชำระจิต ให้จับกุมทันที แล้วแขวนประจานหน้าประตูใหญ่ภูเขาชำระจิต ได้รับการเหยียดหยามเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะบีบหลินสวินนั่นให้ออกมาไม่ได้!”
ชายวัยกลางคนพลันใจสะท้าน รับคำสั่งแล้วจากไป
ในอีกบริเวณหนึ่ง บนพื้นดินกว้างขวางมีชายหนุ่มผอมสูงผู้หนึ่งยืนไขว้หลัง รอบตัวเขามีผู้ติดตามสิบกว่าคนถืออาวุธนานาชนิดล้อมโจมตีเขาผู้เดียว
เคร้งๆๆ!
ชายหนุ่มไม่ขยับกายสักนิด ร่างกายกลับเหมือนหลอมขึ้นจากเหล็กกล้า เมื่อดาบและกระบี่ฟันลงมาก็มีประกายไฟแตกกระจาย แต่ทำให้เขาบาดเจ็บไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เขาไม่ได้โคจรพลัง อาศัยเพียงพลังกายก็ทำให้ดาบและกระบี่เหล่านั้นทำอันตรายได้ยาก!
“ไอ้พวกขยะ! ไม่มีแรงรึ”
ชายหนุ่มนิ่วหน้าตะคอกราวอัสนีบาตรสะเทือนเลือนลั่น
ผู้ติดตามเหล่านั้นสั่นเทาไปทั้งร่าง ใช้พลังสุดแรงเข้าโจมตีไม่หยุดหย่อน
ก็เห็นว่าประกายไฟพุ่งออกรอบทิศ ลุกโชนสว่างจ้ารอบกายของชายหนุ่ม ที่น่าตกใจก็คือเขายังไม่ได้รับบาดเจ็บดังเดิมท่ามกลางการโจมตีระดับนี้ บนผิวหนังมีเพียงรอยขาวรอยแล้วรอยเล่า
“คุณชายฉินซิงฝีมือเยี่ยม ในรุ่นเดียวกันถ้าพูดถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว ทั้งนครต้องห้ามน่ากลัวจะหาคนที่เทียบกับท่านได้น้อยนัก”
ไม่ไกลนักมีคนเดินมา เป็นเด็กสาววัยแรกแย้มคนหนึ่ง
ฉินซิง อัจฉริยะในหมู่คนรุ่นเยาว์ตระกูลฉินที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง กิตติศัพท์รุ่งเรือง มีคุณลักษณะพรสวรรค์ ‘กายพรตกระดูกทอง’ ศักยภาพน่าหวาดหวั่น
“หลินจือ ได้ยินว่าเจ้าทำร้ายเด็กหนุ่มคนหนึ่งหรือ หากข้าเดาไม่ผิด เด็กหนุ่มผู้นั้นคงเป็นลูกหลานตระกูลหลินแห่งแสงอุดร คิดดูแล้วก็เป็นญาติร่วมตระกูลเดียวกันสินะ”
ฉินซิงโบกมือไล่ผู้ติดตามเหล่านั้น
เด็กสาววัยแรกแย้มที่มีนามว่าหลินจืออมยิ้มแล้วพูดว่า “เหอะๆ ตั้งแต่พวกเขาตระกูลหลินแห่งแสงอุดรทรยศ ไปเข้าร่วมกับภูเขาชำระจิต ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเขาเป็นคนในตระกูลแล้ว”
ฉินซิงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจเลือกดีนี่ ภายหน้ามีตระกูลฉินของพวกเราสนับสนุน ต้องให้ผลประโยชน์ไม่น้อยต่อพวกเจ้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมแน่นอน!”
หลินจือยิ้มละไมแล้วพูดว่า “ไม่มีประโยชน์ก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติที่ดี ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะคิดจะยั่วโมโหภูเขาชำระจิตอย่างเด็ดขาด บีบให้หลินสวินนั่นโผล่หัว ให้คุณชายฉินซิงสำแดงแสนยานุภาพ ปลิดชีพมันให้สิ้น”
ฉินซิงหัวเราะเสียงดังอีกครั้งแล้วพูดว่า “ทางภูเขาชำระจิตมีปฏิกิริยาหรือยัง”
หลินจือพูดอย่างได้ใจ “ครั้งนี้ข้าเล่นงานหลินอวิ๋นเหวินนั่นเสียอ่วม พวกเขาจะทนอยู่ได้อย่างไร”
“เจ้าไม่กังวลว่าทำเช่นนี้จะทำให้ผู้อื่นตำหนิว่าเจ้าทำร้ายสายเลือดตระกูลเดียวกันหรือ”
ฉินซิงประหลาดใจ
มุมปากหลินจือยกขึ้นเล็กน้อย ไม่สนใจสักนิด เอ่ยพลางยิ้มว่า “ข้าทำเช่นนี้เพื่อกำจัดเภทภัยให้ตระกูลหลิน เจ้าหลินสวินนั่นมันเป็นใครกัน คนชั้นเลวที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ทั้งยังละเมอเพ้อพกจะควบคุมภูเขาชำระจิต น่าขันนัก มันกล้าเหิมเกริมเข้าครองภูเขาชำระจิต ข้าก็กล้าฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมันให้เหี้ยน!”
ฉินซิงอดแปลกใจไม่ได้ สตรีนางนี้อายุยังน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมยิ่งนัก
เขาเอ่ยกำชับ “เจ้าไปเถอะ ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า”
หลินจือโน้มตัวเล็กน้อย คำนับบอกลา
ไม่นานนักหลินจือก็กลับมาหน้าภูเขาชำระจิต ที่นี่มีกลุ่มผู้ฝึกปราณทั้งชายหญิงเฝ้าระวังอยู่ ล้วนเป็นกำลังคนที่มาจากสามตระกูลรอง ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุ
ช่วงนี้พวกเขาขวางอยู่ที่นี่ตลอด ขอเพียงเห็นคนเดินออกมาจากภูเขาชำระจิต ก็จะเข้าไปท้าทายและเหยียดหยามถึงที่สุดเพื่อบีบให้หลินสวินปรากฏตัว
แน่นอนว่านี่คือเป้าหมายที่แสดงออก จุดประสงค์ที่แท้จริงกลับเป็นการอาศัยโอกาสนี้ยั่วให้เกิดข้อพิพาท ขอเพียงภูเขาชำระจิตกล้าต่อต้าน ย่อมได้รับการปราบปรามจากตระกูลฉินและตระกูลจั่ว
“น้องหญิง”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขามีนามว่าหลินเหวินเป้า มาจากตระกูลหลินแห่งคานเมฆา สายตาที่มองมายังหลินจือมีความเคารพ
“มีความคืบหน้าไหม”
หลินจือเอ่ย
“ตอนนี้ยังไม่มี”
หลินเหวินเป้าพูดออกมาประโยคหนึ่ง พลันพูดอย่างลังเลว่า “น้องหญิง พวกเราทำเช่นนี้จะโหดเหี้ยมไปหรือไม่ หลินอวิ๋นเหวินผู้นั้นอย่างไรก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน…”
ไม่ทันพูดจบก็ถูกหลินจือตัดบทอย่างไม่พอใจว่า “ข้าบอกแล้วว่าพวกมันล้วนเป็นคนทรยศ! ต้องใช้วิธีที่โหดร้ายที่สุดมากำราบล้างเลือด!”
หลินเหวินเป้าหุบปากลงทันใด
หลินจือกลับหัวเราะแล้วพูดอย่างสบายใจว่า “ท่านพี่ ครั้งนี้พวกเรามีตระกูลฉินและจั่วช่วยเหลือ ต้องชิงภูเขาชำระจิตกลับมาได้ใหม่แน่ นี่เป็นภูเขาแห่งอำนาจ เป็นตัวแทนของเกียรติยศและสถานะสูงสุด! และมีเพียงพวกเราที่มีคุณสมบัติเข้าไปอยู่ในนั้น”
ใบหน้านางแสดงความรังเกียจ “เจ้าหลินสวินนั่นกับตระกูลหลินแห่งแสงอุดรสมควรตายเสียให้หมด!”
หลินเหวินเป้าลอบถอนใจ คนตระกูลเดียวกันฆ่ากันเอง โหดร้ายเกินไปแล้ว
ช่วงที่ผ่านมานี้ทั้งนครต้องห้ามต่างรู้ว่าตระกูลหลินของพวกเขาเกิดความวุ่นวายภายใน หลายคนล้วนกำลังหัวเราะเยาะ
นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก คนตระกูลเดียวกันฆ่ากันเองเชียวนะ เรื่องนี้กระจายออกไปช่างน่าขายหน้ายิ่ง!
แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางถอยกลับแล้ว ทำได้เพียงสะสางเรื่องหลินสวิน ชิงภูเขาชำระจิตกลับมาให้ได้ มิเช่นนั้นคงเลี่ยงการปะทะหลั่งเลือดฉากใหญ่ไม่ได้
……
หลินสวินรู้ดีว่ามาตรการคุ้มกันที่พญาแร้งใช้ย่อมถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย ภูเขาชำระจิตตอนนี้ไม่มีพลังไปต่อต้านตระกูลฉินและจั่วได้เลย
แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าการอดทนต่อไปเรื่อยๆ รังแต่จะทำให้สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตยิ่งเลวร้าย!
ก่อนหน้านี้เขาก็ดูออกแล้วว่า พญาแร้งกำลังรอให้ตนออกด่านฝึกปราณ และเปลี่ยนแปลงสถานการณ์จากแผนระยะยาว
เพียงแต่หลินสวินไม่อยากรอแล้ว
ผู้อื่นขึ้นมากำเริบเสิบสานเหนือภูเขาชำระจิต แสดงแสนยานุภาพประกาศศักดา หากหลินสวินทนต่อไปคงได้กลายเป็นเต่าหดหัวในกระดองเข้าจริงๆ
“เอ๊ะ มีคนออกมาแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ ดูท่าแล้วการเก็บเจ้าหลินอวิ๋นเหวินนั่นรอบหนึ่ง ก็ทำให้พวกทรยศบนภูเขาชำระจิตนั่งไม่ติดที่แล้วสินะ”
“พวกเจ้าหลบไปอีกด้าน ครั้งนี้ให้ข้าลงมือก่อน ก่อนหน้านี้ตอนต่อกรกับหลินอวิ๋นเหวิน ข้าแย่งโอกาสเล่นงานมันไม่ได้”
เมื่อหลินสวินเดินออกมาจากภูเขาชำระจิตพลันมีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น
ก็เห็นว่าไม่ไกลนักมีผู้ฝึกปราณทั้งชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ สีหน้าล้วนล้อเลียนและตื่นเต้น ลูบหมัดปาดมือ ท่าทางหยิ่งผยองเหิมเกริมถึงที่สุด
“เจ้าหนู ทำไมมาแค่คนเดียวล่ะ”
ชายหนุ่มชุดแพรผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา พูดพลางยิ้มเหี้ยมว่า “ช่างทำให้ผิดหวังเสียงจริงนะ เจ้าก็ออกมาหาที่ตายเหมือนหลินอวิ๋นเหวินหรือ”
คนอื่นๆ หัวเราะเสียงขรม
หลินสวินกวาดสายตาไปทั่วแล้วยิ้มสดใส เผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะ “ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่ง ส่งผู้ร้ายที่ทำร้ายหลินอวิ๋นเหวินมา แล้วคุกเข่าขอโทษ ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง”
คนเหล่านั้นล้วนเป็นกำลังที่มาจากธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุสามตระกูลรอง เพราะมีขุมอำนาจตระกูลจั่วและฉินเป็นที่พึ่ง หลายวันนี้จึงปิดทางอยู่ที่นี่ ไม่มีหวั่นกลัว ประพฤติตัวไม่เกรงกฎไม่กลัวฟ้าจนชินเสียแล้ว
อีกทั้งหลายวันมานี้พวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย นี่ทำให้พวกเขายิ่งได้ใจ ดังนั้นเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของหลินสวินจึงล้วนอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“เจ้าเป็นใครกัน คิดว่าตัวเองเป็นใคร คุกเข่าให้ข้าซะ!”
ชายหนุ่มชุดแพรที่ก้าวออกมาอยากมีเรื่องใจจะขาดตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งออกมา ทั้งยังกล้ากำเริบเสิบสานปานนี้ก็ระงับไว้ไม่อยู่ พุ่งตัวไปข้าวหน้า เงื้อมือขึ้นจะตบหลินสวิน
“ไสหัวไป!”
หลินสวินตะคอกคำเดียว สั่นสะเทือนจนห้วงอากาศหวีดหวิว พลานุภาพไร้รูปถาโถมออกมา ราวกับภูเขาใหญ่เคลื่อนกระแทก พุ่งใส่ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นจนร้องโหยหวน กระเด็นออกไปสิบกว่าจั้งอย่างแรงจนพื้นดินฝุ่นตลบ
โครม!
จากนั้นยังมีพลังลับสายหนึ่งกระแทกอัดภายในกายชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้น ทำให้ตัวเขาถูกบีบอัดอยู่กับที่ ร่างกลายเป็นตัวอักษร ‘ใหญ่’ (大) ฝังจมอยู่ตรงนั้น กระอักเลือดทั้งปากและจมูก สภาพสะบักสะบอม
“อ๊าก” เขาโหยหวนดิ้นรนจะลุกขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง คำรามสีหน้าบิดเบี้ยวว่า “เจ้ามันรนหาที่ตาย พวกเจ้ารีบลงมือ ฆ่ามันให้ข้าที!”
เห็นชัดว่าปกติเขาออกคำสั่งจนเคยชินแล้ว ตอนนี้เสียท่ายกใหญ่เช่นนี้ย่อมทนไม่ได้ อยากฆ่าหลินสวินให้ตายนัก
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้กันสะท้านขวัญในทันใด พากันมองเลิกลั่ก การโจมตีเดียวเจ้าเด็กนั่นน่าตกใจเกินไปแล้ว แค่อานุภาพก็กำราบชายหนุ่มชุดแพรที่พลังไม่ได้อ่อนแอผู้นี้ได้ ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
“ไม่รู้ดีชั่ว!”
ในเวลาเดียวกัน หลินสวินก็พ่นคำนี้ออกมาเบาๆ พลังรอบกายโหมคลั่ง พุ่งไปยังชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้น
__
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น