Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 441-442
ตอนที่ 441 จากไปพร้อมความชิงชัง
โดย
ProjectZyphon
มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ราวกับภูเขาไฟปะทุในร่างออกมาได้
นั่นไม่ใช่เพียงแค่พลังที่มาจากลูกกลอนวิญญาณที่จักรพรรดินีให้มาเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานอันยิ่งใหญ่ที่หลินสวินสั่งสมจากการฝึกปราณมาจนถึงวันนี้!
ถ้าอยากควบคุมพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ ก็จำต้องมีวิธีควบคุมที่เหมาะสม
ดังนั้นชีพจรปราณวิญญาณเส้นใหม่เอี่ยมที่ปรากฏขึ้นในจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจ จึงกลายเป็นโอกาสเดียวที่หลินสวินจะควบคุมทั้งหมดนี้ได้
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ ในระหว่างการต่อสู้ ทุกครั้งที่เสียเปรียบและถูกกดดัน ก็ราวกับเป็นการหล่อหลอมและขัดเกลาอย่างหนึ่ง ทำให้ชีพจรวิญญาณเลือนรางราวกับมายาเส้นนั้นเปลี่ยนเป็นหลอมรวมและสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ!
ดังนั้นแม้จะเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะอย่างนักพรตสยง หลินสวินก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม เขาถือว่าศึกนี้เป็นการฝึกสนามหนึ่ง ส่วนนักพรตสยงก็เป็นเสมือนหินลับมีดของเขา
ชิ้ง!
นักพรตสยงเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ดาบจันทร์เสี้ยวทองฟาดฟันอย่างดุร้าย ทุกครั้งที่ปะทะกันล้วนเกิดเสียงกึกก้องดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน
หลินสวินยิ่งตกเป็นรองยิ่งห้าวหาญ ยิ่งสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ทำให้เขาทั้งตะลึงและเดือดดาล ยิ่งไปกว่านั้นคือทำให้เขาขายหน้า เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ แต่กลับสู้เด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่ได้ เป็นความอับอายอย่างที่สุด
นักพรตสยงไม่รู้ว่า เมื่อไม่นานนี้เฉียนไหวซึ่งเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่ภายหลังเฉียนไหวได้สิ้นชีพภายใต้การโจมตีของไข่มุกสะเทือนสวรรค์
แต่ยามนี้แม้หลินสวินจะไม่มีไข่มุกสะเทือนสวรรค์ให้ใช้แล้ว แต่พลังในกายเขาก็พลุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟระเบิด อานุภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักพรตสยงไม่สามารถฆ่าเขาได้ในทันที
ซ่า~
ทันใดนั้นนักพรตสยงพลันส่งเสียงคำราม ดาบจันทร์เสี้ยวเปล่งแสงทองนับหมื่น ส่องสว่างไปทั่วทุกที่ ราวกับพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นสู่ผืนฟ้ายามราตรี
ฉึก!
ดาบจันทร์เสี้ยวแผ่แสงสีทองพาดขวางกลางฟ้า เฉียดผ่านศีรษะหลินสวินและตัดผมออกไปกระจุกหนึ่ง ก่อนจะตัดภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจนขาด
ทุกคนตื่นกลัว เห็นได้ชัดว่านักพรตสยงใช้กระบวนท่าพิฆาตแล้ว อานุภาพนั้นเรียกได้ว่าท่วมฟ้า!
ในขณะเดียวกันลมหมัดของหลินสวินก็ราวกับบันดาลโทสะ หลอมรวมกระบวนท่าทลายภูผา ทลายสมุทรและทลายวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน และปล่อยออกมาพร้อมเสียงดังสนั่น
ตูม!
พลังหมัดปะทะกับดาบทอง เกิดเสียงดังกึกก้องสะเทือนฟ้า ราวกับเทพแห่งสายฟ้ากำลังลั่นกลอง สะเทือนจนผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปขวัญหนีดีฝ่อ
อานุภาพของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ยิ่งใหญ่อย่างที่สุด แต่ละกระบวนท่าสามารถผสานทับซ้อนกันได้ พลังที่ปล่อยออกมาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลินสวินสามารถผสานได้เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น
แต่ตอนนี้ด้วยพลังที่พรั่งพรูขึ้น รวมทั้งพลังรอบกายที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เขาสามารถผสานสามกระบวนท่าแล้วสำแดงออกมาพร้อมกันได้อย่างง่ายดายแล้ว!
เหมือนกับหมัดที่ปล่อยออกไปเมื่อครู่นี้ ก็เป็นหมัดที่รวมพลังของสามกระบวนท่าหลักเอาไว้!
ตูม! ตูม! ตูม!
ในการต่อสู้หลังจากนั้น หลินสวินได้ใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์จนถึงขีดสุด สำแดงกระบวนท่าผสานทุกท่าไล่เรียงกันตามลำดับ
กระบวนท่าทลายภูผาสมุทรวิญญาณ กระบวนท่าทลายสมุทรวิญญาณอากาศ กระบวนท่าทลายวิญญาณอากาศมังกร กระบวนท่าทลายอากาศมังกรปักษาเพลิง…
รวบรวมและผสมผสานเป็นหมัดเดียวอย่างต่อเนื่อง พลังที่แสดงออกมาก็น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
แม้ว่าหลินสวินยังคงถูกการโจมตีของนักพรตสยงกดดันจนสะเทือนเซถอยทุกครั้ง ทว่าไม่เพียงแค่คู่ต่อสู่ แต่ทุกคนต่างดูออกว่า พลังที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของหลินสวินยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เคยลดลงหรือหยุดเลย!
“น่ากลัวเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้มีที่มาอย่างไรกัน เหตุใดจึงแข็งแกร่งพลิกฟ้าเพียงนี้ พลังต่อสู้ของเขาเปลี่ยนเป็นดุดันรุนแรงเกินไปแล้ว!”
“เหตุใดจึงรู้สึกว่าภายในร่างของเขาราวกับมีคลังสมบัติ สามารถทำให้เขายิ่งสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ?””
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ อกสั่นขวัญแขวน
ระดับหยั่งสัจจะแทบจะสามารถกวาดล้างยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญาณทุกคนที่ขวางหน้าได้ พวกเขาครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรค มีพลังควบคุมฟ้าดิน อานุภาพท่วมท้น
ทว่ายามนี้กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งต่อสู้ข้ามระดับ แม้จะบาดเจ็บแต่ไม่เคยถูกสยบลงได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าพลิกฟ้าแล้วจะเรียกว่าอะไร
ภายในสนามรบ นักพรตสยงยิ่งตื่นตะลึง เขาฝึกปราณมานับพันปี อีกทั้งร่างเดิมยังเป็นผู้ฝึกปราณเผ่าอสูร มีพลังแห่งเส้นปราณโลหิตอันแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้กลับทำอะไรเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่ได้เสียที นี่เป็นเรื่องที่ฟังแล้วน่าตะลึงมาก
อีกทั้งเขายังสังเกตเห็นว่าพลังของหลินสวินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ยังไม่ถึงขั้นคุกคามเขา แต่แนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นี้กลับทำให้เขาใจสะท้าน!
ตูม!
เกิดการปะทะอีกครั้ง นักพรตสยงส่งเสียงคำราม ตัดสินใจใช้ท่าไม้ตาย ฆ่าหลินสวินให้ตายในคราวเดียว
พลันเห็นรอบตัวเขาราวกับมีเงาหมีทองปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง แสงสมบัติวิญญาณพลุ่งพล่าน ดาบทองฟาดฟันลงไป!
พริบตานั้นทุกคนรู้สึกเพียงแสบตา ร่างกายอ่อนยวบ ตกใจราวกับร่วงสู่โพรงน้ำแข็ง น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว การโจมตีนี้ราวกับสามารถตัดทำลายวิญญาณได้เลย!
ยามนี้หลินสวินเองก็สู้มาจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าลุกไหม้แล้ว ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะชีพจรวิญญาณเส้นใหม่บนจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจส่องประกาย ก่อให้เกิดพลังคลุ้มคลั่งเผด็จการ ทำให้พลังทั่วร่างของเขาเดือดพล่าน
ฆ่า!
แรงหมัดประหนึ่งกราดเกรี้ยว อากาศทรุดตัวลงทุกขณะ
เพียงการโจมตีเดียวก็สามารถผสานกระบวนท่าทลายอากาศ ทลายอเวจี ทลายสวรรค์และทลายจักรวาล สี่กระบวนท่าเอาไว้ด้วยกัน
เมื่อสำแดงพลังออกมาก็มีอานุภาพปานแผดเผาสรรพสิ่ง โหมกระหน่ำจักรวาล ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังเปลี่ยนสี
ครืน~~
เสียงปะทะดังกึกก้องไปทั่วหล้า ในรัศมีหลายพันจั้งนี้ ทุกอย่างแหลกละเอียดกลายเป็นฝุ่นผง อากาศแตกกระจาย เต็มไปด้วยหายนะอันน่าตกใจ!
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างออกมาต่างรับรู้ได้ถึงความอันตรายตั้งนานแล้ว จึงหลบไปไกลอย่างตระหนก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ตอนที่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาก็ยังตื่นกลัวจนหัวใจสะเทือน สีหน้าซีดขาว
เสียงฟุ่บดังขึ้น พลันเห็นเงาร่างของหลินสวินทะยานถอยหลังแล้วกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย
ส่วนนักพรตสยงเพียงหายใจหอบเล็กน้อย การโจมตีนี้คือท่าไม้ตายของเขา จึงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสามารถฆ่าหลินสวินได้
ทั่วทุกที่เงียบสงัด
ราวกับว่าหลินสวินถูกฆ่าไปแล้วจริงๆ
นักพรตสยงใช้พลังจิตวิญญาณกวาดมองไป เพื่อดูให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย
ใครจะคิดว่าจังหวะนี้เอง ในหลุมใหญ่ที่ยุบลงจะมีแสงดาบส่องสว่างขึ้น ทะยานขึ้นสู่เบื้องฟ้า!
พร้อมกันนั้นเงาร่างของหลินสวินก็พุ่งออกมา!
“เป็นไปไม่ได้!”
นักพรตสยงคำรามเดือดดาล สีหน้าเปลี่ยนไป ใครจะกล้าจินตนาการว่าขนาดใช้ท่าไม้ตายแล้วยังไม่สามารถฆ่าเด็กนี่ได้
ตูม!
เขาสะบัดมือตบแสงดาบจนแตกกระจายแล้วหันไปมองหลินสวิน
พลันเห็นว่าหลินสวินในตอนนี้เลือดอาบตัว เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เผ้าผมยุ่งเหยิง เผยดวงหน้าเรียบเฉยหล่อเหลา
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสแล้ว ร่างกายมีบาดแผลที่ดูสยดสยอง หลายตำแหน่งถึงขั้นมองเห็นกระดูกขาว ดูอนาถอย่างที่สุด
แต่พลังของเขาในตอนนี้กลับแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่ไปอีกหนึ่งระดับ!
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับเหวลึกที่เดือดดาล ลมพายุพลุ่งพล่านพวยพุ่งราวกับจะกลืนกินสรรพสิ่ง!
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างออกไปตะลึงจนจิตวิญญาณว่างเปล่า ไม่อาจจินตนาการถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีกหรือ เด็กคนนี้เป็นอมตะจริงๆ หรืออย่างไร
“เข้ามาอีก”
สู้กันมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดหลินสวินก็ส่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก คำสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ แต่กลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ดวงตาดำขลับราวหุบเหว เงาร่างประหนึ่งเหวลึก เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ อากาศรอบตัวกลับแปรปรวน ราวกับถูกลมพายุล่องหนกดดันจนทรุดทลาย
ชิ้ง!
ดาบวิญญาณม่วงส่งเสียงกระจ่าง เป็นฝ่ายฟันออกไปเอง
ชีพจรวิญญาณเส้นใหม่ในร่างควบรวมได้ครึ่งหนึ่งและเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นแล้ว มันกำลังส่องประกาย เชื่อว่าถ้าสู้กันต่อไปจะต้องผสานตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ และแปรเปลี่ยนเป็นแหล่งกำเนิดของจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจ กลายเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวหลินสวินมาตั้งแต่เกิด…หุบเหวกลืนกิน!
ฉะนั้นหลินสวินในตอนนี้จึงต้องการการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
“หึ! ข้ามีเรื่องด่วนต้องจัดการ เจอกันคราวหน้าจะเป็นวันตายของเจ้า!”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ นักพรตสยงกลับไม่สู้ต่อ ทิ้งคำพูดร้ายกาจไว้ประโยคหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
คำพูดแม้จะสวยหรู แต่มีเพียงนักพรตสยงที่รู้ว่า ในใจเขาทั้งไม่จำยอมและเคียดแค้นเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เป็นฝ่ายลงมือจู่โจมเอง แต่ไม่เพียงไม่สามารถฆ่าเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณให้ตายได้ กลับยังถูกอีกฝ่ายตามพัวพันจนถึงตอนนี้ เท่านี้ก็น่าอับอายมากพอแล้ว
ทว่านักพรตสยงยิ่งรู้ดีว่า เขาไม่มีโอกาสจะฆ่าหลินสวินแล้ว เด็กหนุ่มตัวประหลาดปานพลิกฟ้าคนนี้มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระหว่างการต่อสู้ จวบจนถึงตอนนี้ แม้แต่ท่าไม้ตายของเขาก็ยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ แค่คิดก็รู้ว่าแม้จะสู้กันต่อไปก็ไม่มีความหมาย
สิ่งที่นักพรตสยงเป็นห่วงที่สุดคือ ถ้าสู้กันจนถึงที่สุดแล้วพลังของหลินสวินยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีความเป็นไปได้สูงมากที่สถานการณ์จะพลิกผัน เริ่มเปลี่ยนมาคุกคามเขาแทน!
หากเป็นเช่นนั้น นั่นก็ถือว่าน่าอับอายอย่างที่สุด
ดังนั้นในท้ายที่สุดนักพรตสยงจึงเลือกจากไป แม้จะไม่จำยอม จนใจ อัดอั้นและอับอาย แต่ก็เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“นี่มัน…”
“นักพรตสยงไปแล้วงั้นหรือ”
“ไม่ไปก็คงไม่ได้แล้ว ไม่เห็นหรือว่าจนถึงตอนนี้เขายังทำอะไรเด็กนั่นไม่ได้เลย ถ้าสู้กันต่อไปสถานการณ์มีแต่จะยิ่งแย่ลง”
“สวรรค์! ถึงขั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งต้องล่าถอยไปอย่างจนปัญหา เขา เขา…เขาเป็นผู้สืบทอดของผู้มีอำนาจฝ่ายใดกันแน่”
พอเห็นว่าจู่ๆ นักพรตสยงก็ถอยทัพ เหล่าคนที่อยู่ห่างออกไปต่างตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
การต่อสู้อันน่าตระหนกเช่นนี้กลับจบลงแบบนี้ สำหรับนักพรตสยงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นความอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย
สามารถบีบให้นักพรตสยงจากไปได้ จะเห็นได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นวิปริตเพียงใด!
เขาเป็นใคร
แล้วมีที่มาอย่างไร
มองเด็กหนุ่มที่ยืนถือดาบอยู่กลางอากาศ เลือดอาบตัว เผ้าผมยุ่งเหยิงแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างตื่นตะลึง ผ่านไปนานก็ยังยากจะสงบลงได้
และด้านหลังกลุ่มคนกลับมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
“เหวยจวิ้น นี่ก็คือ…เป้าหมายที่เจ้าจะตามฆ่าหรือ แบบนี้เจ้าให้พวกเราไปตายชัดๆ หึ ข้าไม่เอาด้วยหรอก ลาก่อน”
“ศิษย์น้องเหวยจวิ้น เอาลูกกลอนเสวียนจีทะลุสวรรค์และผลึกวิญญาณระดับสูงหนึ่งร้อยเม็ดมาแลกกับการให้พวกเราไปฆ่าคนวิปริตแบบนั้นงั้นหรือ เจ้าทำเกินไปจริงๆ”
หนุ่มสาวหลายคนเผยความไม่พอใจ สีหน้าอึมครึม ทยอยสะบัดแขนเสื้อจากไป
พวกเขาเป็นลูกศิษย์สำนักหลอมไฟและต่างถูกการต่อสู้อันดุเดือดนี้ดึงดูดเข้ามา เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มที่กำลังสู้กับนักพรตสยงคือเป้าหมายที่เหวยจวิ้นส่งสารให้ไล่สังหาร สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนต่างเปลี่ยนไปทันที โกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด
คนที่สามารถสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะได้เช่นนี้ ใช่คนที่พวกเขาจะต่อกรได้ซะที่ไหน
เหวยจวิ้นคนนี้คิดจะขุดหลุมฝังพวกเขาชัดๆ!
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในสำนักหลอมไฟ พวกเขาคงแตกหักกับเหวยจวิ้นไปนานแล้ว
ไม่นานก็เหลือเพียงหญิงกระโปรงม่วงกับเหวยจวิ้น
สีหน้าของทั้งสองดูแย่อย่างที่สุด โดยเฉพาะเหวยจวิ้น ใบหน้าอันหล่อเหลาบิดเบี้ยว หน้าเขียวดุร้าย
เมื่อครู่เขาเองก็ตะลึงกับพลังการต่อสู้อันพลิกฟ้าที่หลินสวินสำแดงออกมา แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า เฉียนไหวต้องตายด้วยน้ำมือหลินสวินเป็นแน่!
การที่บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างถอยทัพ เหวยจวิ้นเข้าใจได้ แต่เขากลับไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้!
………………..
ตอนที่ 442 แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น
โดย
ProjectZyphon
ทันใดนั้นความหนาวสะท้านพลันถาโถมขึ้นในใจเหวยจวิ้นจนขนลุกขนตั้ง
เขาเงยหน้าขึ้นกะทันหัน และมองเห็นว่ากลางอากาศในบริเวณที่ห่างออกไป สายตาของหลินสวินไม่รู้หันมองมาตั้งแต่เมื่อไหร่
สายตานั้นลึกล้ำและเย็นเยียบ โหมคลั่งราวกับเหวลึก ประหนึ่งสามารถกลืนกินสรรพสิ่งได้!
ส่วนในมือหลินสวินถือคันธนูขนาดใหญ่ดุร้ายซึ่งประกอบขึ้นจากกระดูกขาว สายธนูราวกับจุ่มเลือด เป็นสีแดงสดน่าสยดสยอง!
ไม่ได้การแล้ว!
สีหน้าของเหวยจวิ้นเปลี่ยนไปฉับพลัน
เขาตะโกนออกมาตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะสละกระดูกสัตว์สีเงินอร่ามชิ้นหนึ่ง ให้แสงที่เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้
วิ้ง!
ทันใดนั้นพลันเกิดเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นกลางอากาศ เสี้ยววินาทีนั้นแสงสีเงินอร่ามพลันระเบิดออกและหายไปพร้อมกับเงาร่างของเหวยจวิ้น
ฟุ่บ!
และในเวลานั้น ลูกศรวิญญาณที่ราวกับล่องหนกวาดผ่านอากาศเข้ามา ปักใส่จุดที่เหวยจวิ้นยืนอยู่เมื่อครู่จนกลายเป็นหลุมใหญ่มองไม่เห็นก้นหลุม!
อีกเพียงนิดเดียวก็จะฆ่าเหวยจวิ้นได้แล้ว แต่กลับถูกเขารู้ตัวล่วงหน้า ใช้สมบัติลับกระดูกสัตว์หนีหายไปกลางอากาศ
หญิงกระโปรงม่วงที่อยู่ด้านข้างมาตลอดเพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ตอนที่เห็นเหวยจวิ้นหายตัวไป รวมทั้งหลุมลึกที่ปรากฏอย่างน่าตกใจ สีหน้าของนางก็ซีดเซียวลงฉับพลัน เหงื่อไหลท่วม
ถ้าเมื่อครู่นี้ธนูนี้ยิงมาทางตน…
หญิงกระโปรงม่วงแทบไม่กล้าคิดต่อ
“เขามาแล้ว!”
“หรือเขายังจะกล้าเปิดฉากฆ่าฟันขนาดใหญ่”
“หนีเร็ว!”
เสียงร้องแตกตื่นตกใจดังขึ้นจากบริเวณที่ห่างออกไป พลันเห็นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ตามดูการต่อสู้มาโดยตลอดสีหน้าลนลาน หนีกระเจิงไปทั่วทุกสารทิศ
และทั้งหมดนี้ เพียงเพราะหลินสวินพุ่งตัวลงจากอากาศมาทางนี้เท่านั้น!
พรึ่บ!
หญิงกระโปรงม่วงหันหลังหนีออกไปโดยไม่ลังเล
เด็กหนุ่มคนนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะอย่างนักพรตสยงยังทำอะไรเขาไม่ได้ สุดท้ายต้องกลับไปมือเปล่า
ยามนี้หากเขาโจมตีต่อ ใครเล่าจะต้านทานไหว
โครม!
เพียงแต่หญิงกระโปรงม่วงเพิ่งจะหนีได้ไม่นาน พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งมาจากด้านหลัง กดทับนางจนล้มลงพื้น ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตระหนก
“นี่มันสถานที่บ้าอะไรกัน”
เสียงราบเรียบเย็นชาดังขึ้น ราวกับเสียงสอบสวนของปีศาจ ทำให้หญิงกระโปรงม่วงสั่นไปทั้งตัว แทบจะตอบกลับตามจิตใต้สำนึกทันที “อย่าฆ่าข้า…เจ้าอยากรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้าทั้งหมด!”
“ได้”
เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียง เสื้อของเขายังเปื้อนเลือดสด แผลจากกระบี่ตามเนื้อตัวยังคงไม่ประสานกัน สภาพน่าสยดสยองมาก
“เจ้า…”
หญิงกระโปรงม่วงตะลึง ไม่คิดเลยว่าหลินสวินจะตอบรับอย่างว่องไวเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกเหนือความคาดหมาย
เพียงแต่ไม่ทันที่นางจะครุ่นคิด วินาทีต่อมานางก็ถูกหลินสวินหิ้วตัวขึ้น พุ่งตัวออกไปท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาล
……
การต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะ ‘ปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้า’ ปิดฉากลงเพียงเท่านี้ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นเพราะศึกนี้กลับยังไม่จบ
“พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าในดินแดนวิญญาณโบราณมีเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปีคนหนึ่ง สามารถข้ามระดับไปสู้กับระดับสัจจะได้โดยไม่พ่ายแพ้?”
“เด็กหนุ่มที่มีพลังพลิกฟ้าเช่นนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“ไม่เคยได้ยิน”
ท่ามกลางท้องฟ้ารัตติกาล ความคิดเห็นของยอดฝีมือระดับสัจจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่างกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ได้เห็นการต่อสู้อันน่าทึ่งระหว่างหลินสวินกับนักพรตสยงแล้ว ต่างตกตะลึงกับพลังอันแข็งแกร่งของหลินสวิน
สำหรับพวกเขาแล้ว เด็กหนุ่มระดับปีศาจแบบนี้ควรจะมีชื่อเสียงและสร้างความสะเทือนไปทั่วฟ้าดินไปตั้งนานแล้วถึงจะถูก
พวกเขาจึงอดคาดเดาไม่ได้ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะมาจากสำนักเซียนลึกลับที่ปลีกวิเวก หรือไม่ก็มาจากดินแดนต้องห้ามโบราณที่ตัดขาดจากโลกภายนอก มิเช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
“บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนในดินแดนวิญญาณโบราณ แต่มาจากโลกอื่น!”
มีคนกล้าคาดเดาใหญ่โต ในประวัติศาสตร์ของดินแดนวิญญาณโบราณก็ไม่ใช่ไม่เคยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น เคยมีอัจฉริยะผู้กล้าที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกามากมายข้ามโลกมา เปิดฉากต่อสู้กันทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อแสวงหาหนทางอันสมบูรณ์แบบในการบรรลุพลังปราณ
ถึงขั้นมีผู้ยอดเยี่ยมราวกับอริยะโดยกำเนิดไร้เทียมทาน พลังยุทธ์ยากคาดเดา ต่อสู้ไปทั่วทุกทิศเพื่อเสาะแสวงหาโชควาสนา
“ระดับปีศาจอย่างเขา หรือจะ…มาเพื่อเข้าแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น?”
มีคนถามขึ้น
แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น!
เสียงถกเงียบไปทันที
เทือกเขาราหูแห่งนี้ตั้งตระหง่านมาเนิ่นนาน ทุกคนในดินแดนวิญญาณโบราณล้วนรู้กันทั่วว่าเป็นสถานที่แห่งโชควาสนา ในนั้น ‘แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น’ ถือว่ามีชื่อเสียงที่สุด
ในทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง อย่างน้อยสามถึงห้าปี อย่างมากก็สิบปี เส้นทางสู่แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นจะถูกเปิดออก
หากสามารถคว้าโอกาสเข้าไปได้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้รับสมบัติโบราณมากมายที่คิดไม่ถึง!
ล้วนเป็นสมบัติที่หลงเหลือจากยุคโบราณ ไม่ใช่ของที่อาวุธวิญญาณซึ่งหลอมขึ้นในปัจจุบันจะเทียบได้ ถึงขั้นที่สมบัติโบราณบางชิ้นนั้นซ่อนเคล็ดวิชาลับบางอย่างเอาไว้ด้วย!
ในดินแดนวิญญาณโบราณแห่งนี้ได้รับการยืนยันมาหลายครั้งแล้ว ในอดีตก็มีตัวอย่างจริงของผู้ฝึกปราณที่เข้าไปแล้วได้รับสมบัติโบราณกลับมาโดยบังเอิญ จากนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเส้นทางยุทธ์!
“หึ แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นนั่นใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์เข้าไป เท่าที่ข้ารู้มา บุคคลชั้นยอดในสำนักเก่าแก่ของแดนวิญญาณโบราณมากมายต่างรวมตัวกันมา ต่อให้เด็กหนุ่มลึกลับคนนี้อยากคว้าโอกาสไปแม้เพียงเสี้ยว ก็ยังไม่ง่ายขนาดนั้น”
“จริงอย่างว่า แม้ว่าเขาจะมีความสามารถถึงขั้นสู้กับระดับหยั่งสัจจะได้ แต่อย่างไรก็หัวเดียวกระเทียมลีบ หากกล้าแย่งกับเหล่าผู้สืบทอดจากสำนักเก่าแก่เหล่านั้น จะต้องพินาศอย่างที่สุดแน่”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เด็กหนุ่มคนนั้นหัวเดียวกระเทียมลีบก็จริง แต่อย่าลืมว่าระหว่างการต่อสู้เขายิ่งเสียเปรียบก็ยิ่งห้าวหาญ พลังมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ใครกล้าดูถูกเขา จะต้องเสียหายอย่างหนักแน่!”
…เสียงถกเถียงดังขึ้นไม่ขาดสาย แม้โต้แย้งไปก็ไม่ได้ข้อสรุปอันใด แต่จากเรื่องนี้ก็จะเห็นได้ว่า หลังจากศึกที่หลินสวินสู้กับนักพรตสยง พลังต่อสู้ของเขาก็ดึงดูดสายตาระแวดระวังของผู้ฝึกปราณระดับอาวุโสมากมาย!
………….
สิบวันหลังจากนั้น
ในภูเขาอันตรายน่าสะพรึงกลัวและเต็มไปด้วยหมอก
พื้นดินสั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งตัวออกมา ความยาวประมาณสิบกว่าจั้ง รูปร่างคล้ายตะขาบ แต่ส่วนหัวเป็นมังกรดำ ร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดหนา ดุดันและน่ากลัว
เพียงแต่…
ตอนนี้มันกลับกำลังหนีเอาตัวรอด!
ทุกที่ที่มันผ่าน ต้นไม้ล้มหินแตกกระจาย สภาพสับสนไม่เป็นระเบียบ ดูน่าตะลึงหาที่เปรียบ
ปัง!
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวพร้อมเสียงคำราม แรงหมัดราวกับมังกรเปล่งแสงประกายเจิดจ้า เสียงโครมดังสนั่น พลันเห็นสัตว์อสูรที่มีลักษณะคล้ายตะขาบน่ากลัวตัวนั้นหัวถูกกระแทกจนแหลกละเอียด เลือดสีแดงสดสาดกระจายออกมา
จากนั้นร่างอันใหญ่โตของมันก็ล้มลงกับพื้นแล้วไม่ลุกขึ้นอีกเลย
เงาร่างนั้นปรากฏขึ้น เป็นหลินสวินนั่นเอง ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ชักดาบออกมาผ่าร่างสัตว์อสูรตัวนั้นออก แล้วหยิบลูกกลอนปีศาจสีเขียวที่ส่องแสงแวววาวเม็ดหนึ่งออกมา
บริเวณที่ไม่ไกลนัก หญิงกระโปรงม่วงเห็นทั้งหมดนี้แล้วแทบทำหน้าไม่ถูก
สิบวันที่ผ่านมานี้นางอกสั่นขวัญผวามาโดยตลอด กลัวว่าหากทำอะไรให้หลินสวินโกรธก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจก็คือ ตลอดทางหลินสวินนอกจากต่อสู้ก็คือต่อสู้ ฆ่าสัตว์อสูรที่ดุร้ายน่ากลัวไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ราวกับเป็นคนคลั่งการต่อสู้ ในสายตานอกจากการต่อสู้ก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย
ซึ่งก็ทำให้แม้ผ่านไปสิบวันแล้ว หลินสวินก็ยังไม่เคยสนใจนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สวบ
หลินสวินย้อนกลับมา ทำให้หญิงกระโปรงม่วงตื่นจากห้วงความคิด เดินทางตามหลินสวินต่ออย่างรู้ตัว
เพียงแต่เพิ่งจะเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศได้ไม่นาน ใบหน้าอันงดงามของหญิงกระโปรงม่วงก็ขาวซีด หว่างคิ้วเผยความอ่อนแรงและเหนื่อยล้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ตัวก็สั่นเทาเหมือนจะล้มลง
สิบวันมานี้หลินสวินไม่เคยหยุดพักเลย นอกจากเดินทางก็คือต่อสู้ ราวกับไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย
นี่สร้างความลำบากให้หญิงกระโปรงม่วง เพื่อตามฝีเท้าของหลินสวินให้ทัน นางเองก็ไม่เคยหยุดพัก ทำได้เพียงกัดฟันทนต่อไป
จวบจนถึงตอนนี้พลังกายของนางแห้งเหือดเต็มที และกำลังจะต้านทานไม่ไหวแล้ว
‘ไอ้คนวิปริตสมควรตายคนนี้ ร่างกายทำจากเหล็กหรืออย่างไร ไม่เคยรู้จักคำว่าเหนื่อยล้าเลยหรือ’
หญิงกระโปรงม่วงบ่นอุบในใจ สาปแช่งหลินสวินด้วยคำพูดโหดร้ายทั้งหมด
ทันใดนั้นสติของหญิงกระโปรงม่วงเริ่มเลือนราง การโคจรของพลังเปลี่ยนเป็นไม่มั่นคง ร่างเซถลาร่วงดิ่งลงพื้น
แย่แล้ว!
หญิงกระโปรงม่วงตกใจ รู้ว่ากำลังของตนเสื่อมทรุดอย่างถึงที่สุดและกำลังจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว หากร่วงลงกลางอากาศเช่นนี้ คงกลายเป็นกองเลือดเนื้อกองหนึ่ง
พลันนั้นพลังสายหนึ่งก็แผ่ออกมารองรับร่างนางเอาไว้ ให้ลงพื้นอย่างมั่นคง
“ให้เวลาเจ้าพักหนึ่งชั่วยาม”
เสียงอันราบเรียบของหลินสวินดังขึ้นข้างหู เสียงนี้สร้างความแปลกใจระคนยินดี ทำให้หญิงกระโปรงม่วงที่ใกล้จะพังทลายแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เด็กหนุ่มผู้โหดร้ายราวปีศาจคนนี้ใจอ่อนเป็นกับเขาบ้าง?
หญิงกระโปรงม่วงพลันสูดหายเข้าใจลึกๆ นางไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากแล้ว อ้าปากกลืนลูกกลอนวิญญาณเม็ดหนึ่งเข้าไป แล้วเริ่มนั่งสมาธิปรับลมปราณ
มีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น นางต้องทำเวลา
ที่แห่งนี้คือยอดเขาเตี้ยๆ มองจากที่นี่เห็นเทือกเขาทับซ้อนเรียงราย มีหมอกปกคลุมอยู่ทุกแห่งหน เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกึกก้องขึ้นเป็นระยะๆ สั่นสะเทือนไปทั่ว
หลินสวินยืนอยู่เงียบๆ ดวงตาดำขลับที่ราวกับเหวลึกกวาดมองรอบๆ แต่ในใจกลับลอบร้อนรน
สิบวันก่อนหน้านี้ การต่อสู้กับนักพรตสยงช่วยกระตุ้นศักยภาพของเขา ทำให้ชีพจรวิญญาณบนจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจก่อตัวได้ครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งก็จะก่อตัวได้อย่างสมบูรณ์
แต่การที่นักพรตสยงถอยทัพไม่ยอมสู้ต่อ กลับเป็นการหยุดความคืบหน้าทั้งหมด!
สิบวันนี้หลินสวินต่อสู้มาตลอดทาง หวังจะเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกัน เพื่อเข้าสู้กระบวนการก่อตัวอีกครั้ง
เพียงแต่จนถึงตอนนี้ แม้ฆ่าสัตว์อสูรที่ความสามารถแข็งแกร่งมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบกว่าตัว แต่กลับยังไม่เคยทำให้หลินสวินสมปรารถนาเสียที
จุดสำคัญที่สุดคือ ถ้าชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดเส้นใหม่นี้ไม่สามารถก่อตัวได้ ก็ยากจะควบคุมพลังที่พลุ่นพล่านรุนแรงซึ่งอยู่ในร่างกายของเขา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มีแต่จะทำให้สภาพร่างกายของเขาแย่ลงเรื่อยๆ
ก็เหมือนกับตอนนี้ ที่แม้ว่าแผลกระบี่ทั่วร่างของเขาจะไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว แต่ที่จนถึงตอนนี้ยังไม่ประสานกัน ก็เพราะได้รับผลกระทบจากสภาพอันย่ำแย่ภายในร่างกาย
ต้องต่อสู้!
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้ปัญหาร่างกายของตัวเองว่าไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้ด้วยสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน แต่ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง ต้องหล่อหลอมอย่างถึงที่สุดระหว่างการต่อสู้ จึงจะสามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้อย่างสมบูรณ์ นอกนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าแล้ว
เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
เห็นได้ชัดว่าหญิงกระโปรงม่วงเองก็กำลังนับเวลาอยู่เช่นกัน พอถึงเวลาก็ฟื้นจากสมาธิทันที แม้พลังในร่างกายยังไม่ฟื้นคืนทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็เตรียมเดินทางต่อ แต่ในขณะนั้นเอง แสงเลือดเข้มข้นสวยงามก็ปรากฏขึ้นบนฟ้าในระยะไกลสุดสายตา ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น