Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 429-434

 ตอนที่ 429 ไร้ซึ่งความกลัว

โดย

ProjectZyphon

ท่ามกลางฝุ่นควันที่คละคลุ้ง เงาร่างของหลินสวินพลันปรากฏขึ้น


ท่าทางของเขาสง่างาม แสงสีฟ้าอ่อนไหลหลั่งอยู่รอบกาย กลิ่นอายยิ่งดูโดดเด่น ดาบวิญญาณม่วงในมือของเขาก็แผ่ประกายแสงอันเป็นเอกลักษณ์ของสมบัติวิญญาณ พาให้อำนาจของเขายิ่ดงดูโดดเด่น


คนหนุ่มสาวหลายคนพลันรู้สึกหัวใจกระเพื่อมไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุ การโจมตีเมื่อครู่นี้น่าสะพรึงกลัวมากเหลือเกิน ทำให้พวกเขารู้สึกหนังหัวชาวาบ สะเทือนไปทั้งจิตวิญญาณ


ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่านั่นเป็นดาบแบบไหน ถึงดูเหมือนสามารถทำลายล้างสรรพสิ่งได้เช่นนี้


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ชั้นอาวุโสเองก็หวั่นไหว


พลังแห่งสัจจะ!


พวกเขาเห็นพลังแห่งสัจจะที่มีเพียงระดับหยั่งสัจจะเท่านั้นที่จะใช้ได้ จากในศาสตร์การยุทธ์ของเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณผู้นี้


เหลือเชื่อจริงๆ!


การโจมตีอันน่าทึ่งก่อนหน้านี้ ราวกับรวมคนและฟ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แฝงท่วงทีของพลังแห่งสัจจะ


“ไม่คิดเลยว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะมาถึงระดับนี้แล้ว แต่เจ้าคิดว่าเพียงเท่านี้ก็จะสามารถชนะข้าได้หรือ”


ในลานฝึกยุทธ์ หลิงเทียนโหวลุกขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา เมื่อครู่นี้เขาถูกโจมตีจนกระอักเลือด ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว


แต่เมื่อเทียบกับโทสะและความตะลึงในใจแล้ว แผลเท่านี้เล็กน้อยมาก


เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า หลินสวินที่ไม่ยอมใช้สมบัติวิญญาณเสียที พอใช้ขึ้นมาก็สำแดงวิชาดาบที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ออกมา!


“ฆ่า!”


หลิงเทียนโหวโจมตีอีกครั้ง เขาไม่ยอมถูกหลินสวินข่มเช่นนี้แน่ หรือพูดอีกอย่างว่า เขาไม่เชื่อว่าหลินสวินจะเป็นคู่แข่งของตัวเอง!


แม้จะเป็นการทำเพื่อสิ่งที่เดิมพันเอาไว้ เขาก็จะยอมให้ตัวเองแพ้ไม่ได้เด็ดขาด


ครืน~


ง้าวสีทองวาดผ่านอากาศ ม้วนพลังจากทุกสารทิศ คลื่นประกายทองโหมกระหน่ำซัดสาดออกไปอย่างเอาแต่ใจ


แต่ทันใดนั้นก็ถูกหลินสวินทำลายสลายพลังด้วยดาบเดียว


“เจ้าคิดว่าข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกหรือ”


ท่ามกลางเสียงอันเรียบเฉย หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างดูองอาจ ดาบวิญญาณม่วงในมือส่งเสียงราวคำราม ฟาดฟันลงมา


ตูม!


อากาศที่ทรุดตัวถูกแยกออกจากกันด้วยคมดาบ สะเทือนร่างหลิงเทียนโหวจนกระเด็นออกไปอย่างแรง เลือดอาบไปทั้งตัว


พลังดาบอันเฉียบคมนั่นบาดผิวหนังออก เลือดสดไหลออกมา ดูน่าสยดสยองผิดปกติ


ทุกคนสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ เก่งกาจเกินไปแล้ว หลินสวินในวินาทีนี้ราวกับเซียนในด้านวิชาดาบ จู่โจมอย่างสบายๆ ไม่ได้ใช้ทักษะอะไรเลย แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยพลังฟ้าดินอันยิ่งใหญ่เกินต้านทาน


นี่คือความอัศจรรย์ของพลังแห่งสัจจะอย่างแท้จริง แม้แสดงให้เห็นเพียงรางๆ แต่อานุภาพก็เรียกได้ว่าน่ากลัว!


การที่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งจู่ๆ ได้ครอบครองวิธีของยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะ พลังที่ปล่อยออกมานั้นคงจินตนาการได้ว่าจะน่ากลัวเพียงใด


“น่าชังนัก!”


หลิงเทียนโหวแทบคลั่ง รับความพ่ายแพ้ไม่ได้ แม้ว่าร่างกายจะบาดเจ็บหนักแต่ก็ยังลุกขึ้นสู้ ดูแข็งกร้าวอย่างที่สุด


แต่ไม่ว่าเขาจะโต้กลับอย่างไรก็ถูกหลินสวินสลายพลัง กดดันและต้องล่าถอยกลับมา บาดแผลในร่างกายหนักขึ้นเรื่อยๆ เลือดไหลจนพื้นดินเปลี่ยนเป็นสีแดง


ทำให้หลายคนต่างสงสาร หลิงเทียนโหวในอดีตยโสโอหังเพียงใด ราวกับไม่มีใครในระดับเดียวกันเทียบได้


แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินข่มอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจตอบโต้ ทำให้อดรู้สึกสงสารไม่ได้


ตูม!


สุดท้าย ในยามที่หลิงเทียนโหวพ่ายแพ้และล้มลง หลินสวินเอาดาบชี้คอ ไอสังหารที่แพร่กระจายออกจากดาบแหลมคม ทำให้เขาได้สติจากการที่จิตใจถูกความเดือดดาลครอบงำ ไม่คิดขัดขืนอีก


สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด เต็มไปด้วยความไม่จำยอมและผิดหวัง เขาแพ้งั้นหรือ ทั้งยังแพ้ให้กับคนที่ถูกเขามองว่าเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์สลักกวิญญาณผู้อ่อนแอ!


ห้าปีเชียวนะ!


เขาฆ่าฟันอยู่ในสนามรบมาห้าปี การหวนกลับมายังนครต้องห้ามครั้งนี้ เดิมคิดว่าจะกอบกู้ชื่อเสียงบารมีกลับมา และได้รับความโปรดปราณจากยอดฝีมือในดินแดนรกร้างโบราณ


แต่ตอนนี้…


กลับแพ้!


แพ้อย่างราบคาบ


ตอนนี้บรรยากาศตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ ทุกคนเผยสีหน้าตกใจ มองหลินสวินที่ราวกับเป็นเซียนดาบในลานแสดงยุทธ์อย่างอึ้งๆ ความตื่นเต้นภายในใจเนิ่นนานไม่อาจสงบลงได้


ก่อนหน้านี้หลินสวินสร้างความตะลึงโดยการเอาชนะฉือฉางเฟิง


ตอนนี้เขาก็เอาคืนอย่างแข็งกร้าว ล้มหลิงเทียนโหวผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบได้ในคราเดียว นี่ถือว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ดูเหลือเชื่อมากจริงๆ


เพราะใครจะคิดว่า เด็กหนุ่มซึ่งครึ่งปีที่แล้วยังอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น ตอนนี้กลับเก่งกาจเพียงนี้แล้ว?


หลิงเทียนโหวเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมาตั้งนาน เรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดในบรรดาแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้ คนที่จะสู้กับเขาได้นั้นมีน้อยมาก


บุคคลระดับนี้กลับมาแพ้หลินสวิน!


จะไม่ให้ตะลึงได้อย่างไร


ใครเล่าจะจินตนาการได้


“คุกเข่า ขอขมาแม่นางชิงเยียน!”


ภายในลานแสดงยุทธ์ หลินสวินพูดเสียงเรียบ แฝงความเด็ดขาดอย่างไม่อนุญาตให้สงสัย


แม้จะรู้การเดิมพันนี้แต่แรกแล้ว แต่ตอนที่เห็นหลินสวินสั่งให้หลิงเทียนโหวทำตามสัญญาในฐานะผู้ชนะ ก็ยังทำให้ทุกคนอดหัวใจสะท้านไม่ได้


เด็กคนนี้…เหี้ยมจริงๆ!


หลิงเทียนโหวเป็นถึงเชื้อพระวงศ์นะ ให้เขาคุกเข่าในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีแบบนี้ หยามกันเกินไปแล้ว


ตามคาด สีหน้าของหลิงเทียนโหวเปลี่ยนเป็นย่ำแย่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความอับอายระดับนี้ จะให้เขาทำได้อย่างไร?


นี่มันทรมานมากกว่าการฆ่าเขาเสียอีก!


“หลินสวิน อภัยได้ก็อภัย เจ้าชนะแล้ว เหตุใดจึงต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้”


คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งพูดเสียงขรึม ขัดหูขัดตากับความหยิ่งผยองของหลินสวิน


“เจ้าเป็นใคร?”


หลินสวินมุ่นคิ้ว


“ข้าจั่วเทียนซั่ว”


คนๆ นั้นตอบกลับอย่างเรียบเฉย เปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึม


ตระกูลจั่ว ย่อมต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลินสวินพลันนึกได้ว่า หนึ่งในตระกูลที่เข้ามาแบ่งสมบัติหลังจากเหตุนองเลือดบนภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ก็คือตระกูลจั่ว!


“ไม่เคยได้ยิน”


หลินสวินตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ “นี่เป็นการเดิมพันระหว่างข้ากับหลิงเทียนโหว คนนอกอย่าแทรก!”


“เจ้าเด็กเหิมเกริม!”


จั่วเทียนซั่วโกรธจนใบหน้าคล้ำเคร่ง


และมีคนอื่นรีบเข้ามาเกลี้ยกล่อม “หลินสวินอย่าใช้อารมณ์ มันไม่ดีต่อเจ้าหรอก”


หลินสวินเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก “ตอนนี้ข้าเป็นผู้ชนะ พวกเจ้าเกลี้ยกล่อมไม่ให้ข้าคิดเล็กคิดน้อย หากข้าแพ้ ข้าอยากจะถามว่า พวกเจ้าจะออกตัวช่วยข้าหรือไม่”


ทุกคนมองหน้ากันไปมา พูดอะไรไม่ออกทันที


ก็จริง หลินสวินฐานะต่ำต้อย แม้มีฐานะเป็นปรมาจารย์สลักกวิญญาณหนุ่มน้อย เจ้าแห่งภูเขาชำระจิตและเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษามฤคมรกต แต่เมื่อเทียบกับผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในนั้นแล้ว กลับยังต้อยต่ำนัก


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากครั้งนี้หลินสวินเป็นฝ่ายแพ้ พวกเขาจะต้องอยากเห็นหลินสวินทำตามสัญญาอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าข้างหลินสวิน


ความสองมาตรฐานนี้เป็นกฎที่ทั้งโลกยอมรับอยู่เงียบๆ อยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินยกมาพูด ทำให้หลายคนต่างอึดอัดใจไม่น้อย


เด็กคนนี้หัวดื้อจริงๆ ไม่รู้จักว่าอะไรเรียกว่ากฎเกณฑ์สักนิด!


“จะคุกเข่าหรือไม่”


หลินสวินมองหลิงเทียนโหว เผยไอสังหารเต็มประดา


“เจ้า…”


หลิงเทียนโหวหน้าเขียวบิดเบี้ยว แค้นจนแทบกัดฟันแตกแล้ว


และสีหน้าของบรรดาคนหนุ่มสาวในที่นั้นล้วนเปลี่ยนไป ด้วยไม่คิดว่าหลินสวินจะดุร้ายเพียงนี้ เขาไม่กลัวจะเป็นการล่วงเกินอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุดหรือไร


“พ่อหนุ่ม เสียเปรียบคือวาสนา ข้าว่าเจ้าพอเท่านี้เถอะ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวเลย!”


ผู้มีบรรดาศักดิ์ในราชวงศ์ผู้หนึ่งเอ่ยออกมากะทันหัน น้ำเสียงแฝงความน่าเกรงขาม ถ้าให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า คนที่ขายหน้าก็คือราชวงศ์


“เสียเปรียบคือวาสนาหรือ”


หลินสวินหัวเราะออกมาทันที พูดย้ำทีละคำ “งั้นข้าขออวยพรให้ท่านวาสนาล้นฟ้า!”


คำพูดนั้นภายนอกสวยหรูภายในฝังเข็ม แทบจะเป็นการชี้หน้าด่าคนผู้นั้นแล้ว


ผู้มีบรรดาศักดิ์ท่านนั้นโกรธจนตัวสั่น เขาเคยถูกเด็กคนหนึ่งท้าทายเช่นนี้เสียที่ไหนกัน


“พี่ชิงเยียน ท่านช่วยพูดกับหลินสวินที มิเช่นนั้นเขาล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้เข้าล่ะก็ ต่อไปไหนเลยจะมีที่ยืนในนครต้องห้าม!”


เด็กสาวชนชั้นสูงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสนิทกับหลิวชิงเยียนอดเตือนหลิ่วชิงเยียนอย่างร้อนใจไม่ได้ หลินสวินออกหน้าเพราะนาง นางจะทนเห็นเขาวิ่งเข้ากองไฟได้ลงคอหรือ?


“ไม่ต้อง”


กลับเห็นว่าหลิ่วชิงเยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตากระจ่างใสจับจ้องหลินสวิน “ข้าให้เขาหยุดตอนนี้ยิ่งจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ใช่หรือ ในเมื่อเขาจะทำเช่นนี้ ข้าก็จะสนับสนุนเขา แม้จะล่วงเกินทุกคนบนโลก อย่างมากข้าก็แบกรับผลที่จะตามมาด้วยกันกับเขา”


น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับเผยความเด็ดขาดที่พาให้หวั่นไหว


หลิ่วชิงเยียนเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่ในขณะเดียวกันนางก็เป็นสตรีที่ถูกทำให้ประทำใจได้เช่นกัน การกระทำที่ผ่านมาของหลินสวินทำให้ในใจนางมีกระแสอุ่นวาบอย่างบอกไม่ถูก ถ้าบอกว่าไม่ประทับใจก็คงโกหก


แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ นางรู้ว่าตอนนี้ควรเลือกอย่างไร จึงจะเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของหลินสวินได้อย่างดีที่สุด


หากแม้หนทางข้างหน้าจะเป็นความมืดมน นางก็พร้อมจะเดินเคียงข้างหลินสวิน!


นี่ก็คือการตัดสินใจของหลิ่วชิงเยียน


“พวกเจ้า…เป็นบ้าไปกันหมดแล้ว!”


หญิงสาวชนชั้นสูงคนนั้นโกรธจนกระทืบเท้า


บรรยากาศตึงเครียดอย่างมาก ความเด็ดขาดที่ไม่สนอะไรทั้งสิ้นของหลินสวินทำให้ทุกคนแปลกใจ รู้สึกไม่เข้าใจ ฉงนใจ และกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


แน่นอนว่าไม่มีใครคิดว่าหลินสวินจะไม่ห่วงสถานการณ์โดยรวม แต่ถ้าจะบอกว่าหลินสวินทำผิดไปก็พูดไม่ออก


เพราะอย่างไรหลิงเทียนโหวก็เป็นคนแพ้!


ตามที่เดิมพันกัน การที่หลินสวินทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิด!


นี่เป็นความกล้าที่ผ่าเผย แม้อาจเป็นการล่วงเกินใครหลายคน แต่หลินสวิน…เห็นจะไม่สนใจ


สีหน้าของหลิงเทียนโหว ในที่สุดก็หม่นแสงลงในยามนี้ ดูหมดอาลัยตายอยาก จากท่าทีของหลินสวินทำให้เขารู้แล้วว่า วันนี้…ถ้าไม่ยอมตาย ก็ต้องเลือกที่จะคุกเข่าขมา!


ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด จู่ๆ เสียงอันอบอุ่นและสงบนิ่งเสียงหนึ่งก็ดังแว่วขึ้น “แพ้แล้วก็ต้องรักษาคำพูด บุรุษในราชวงศ์เราจะผิดคำพูดเพื่อรักษาหน้าได้อย่างไร หากแพร่กระจายออกไป คนทั้งโลกจะมองราชวงศ์อย่างไร”


เสียงของจักรพรรดินี!


ทุกคนต่างสูดหายใจอย่างตะลึง คิดไม่ถึงว่าการตัดสินใจนี้ของหลินสวินจะถึงขั้นทำให้จักรพรรนีต้องออกมาพูด!


สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ จักรพรรดินีมิได้ต่อว่าหลินสวินว่าเสียมารยาท กลับยังคิดว่าหลิงเทียนโหวต้องรักษาคำพูด พูดอะไรไว้ต้องทำให้ได้


แต่เมื่อไตร่ตรองดูอย่างละเอียดแล้ว การที่จักรพรรนีมีคำสั่งเช่นนี้ในสถานการณ์ระดับนี้ บางทีอาจเพราะจนหนทาง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด


สายตาที่ทุกคนมองหลินสวินพลันเปลี่ยนไป


——


ตอนที่ 430 เด็กคนนี้ไม่ได้

โดย

ProjectZyphon

บางคนตกใจ สามารถทำให้จักรพรรดินีต้องออกมาพูดด้วยตนเองแบบนี้ การกระทำของหลินสวินในครั้งนี้ช่างใจกล้าอย่างที่สุด!


และมีคนรู้สึกสะใจ คิดว่าแบบนี้ หลินสวินไม่เพียงล่วงเกินราชวงศ์ แต่ยังทำให้จักรพรรดินีไม่พอใจอย่างแน่นอน


เพราะวันนี้เป็นวันฉลองพระชนมพรรษาครบรอบสามร้อยปีของจักรพรรดินี หลินสวินกลับดุร้ายเผด็จการ ไม่รู้จักยอมเช่นนี้ เป็นการทำลายบรรยากาศชัดๆ


แม้จะไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ดังขึ้น แต่ไม่ต้องคิดหลินสวินก็รู้ความคิดในใจของคนเหล่านี้


แต่เขาไม่สน


นับตั้งแต่วินาทีที่จักรพรรดินีพูดขึ้น ก็ถือว่าสมปรารถนาเขาแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


และในยามนี้เองที่หลิงเทียนโหวหน้าเขียวอย่างที่สุด เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลงกับพื้น หันหน้าเข้าหาหลิ่วชิงเยียนที่อยู่ห่างออกไปก่อนที่ศีรษะอันสูงส่งนั้นจะค้อมลงในที่สุด


เฮือก!


เสียงสูดหายใจดังขึ้นไม่ขาดสาย


คุกเข่าลงไปแล้วจริงๆ!


ท่านโหวผู้เลื่องลือเรื่องความดุร้ายและนิสัยยโสโอหังในนครต้องห้ามท่านนี้ วันนี้ไม่เพียงพ่ายแพ้ให้กับหลินสวิน ยังถูกบีบให้คุกเข่าขอขมา ถ้าเผยแพร่ออกไปจะต้องสร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ไปทั่วจักรวรรดิแน่!


“ข้าจ้าวจิ่งอิ้นขออภัยคุณหนูหลิ่วชิงเยียนที่ล่วงเกินคุณหนูเอาไว้ก่อนหน้านี้ เป็นการกระทำที่มิควร ต่อไปจะไม่เสียมารยาทกับคุณหนูหลิ่วชิงเยียนอีก!”


เสียงนั่นเฉยชาว่างเปล่า ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกดังก้องอยู่ในลานแสดงยุทธ์


หลายคนรู้สึกหนาวเยือกในใจขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้หลินสวินถือได้ว่าล่วงเกินหลิงเทียนโหวอย่างที่สุดแล้ว!


พูดจบหลิงเทียนโหวก็ลุกขึ้น นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หมุนตัวออกจากลานแสดงยุทธ์โดยไม่ได้พูดอะไร


ทุกคนต่างรู้ว่าหลิงเทียนโหวเกลียดหลินสวินเข้าไส้แล้ว หลังจากนี้จะต้องแก้แค้นหลินสวินอย่างแน่นอน


ยามนี้การประลองได้จบลงแล้ว แต่ผลกระทบที่ตามมาไม่จบเพียงเท่านี้แน่


ความแข็งกร้าวและหยิ่งผยองของหลินสวินสร้างภาพจำที่ลึกซึ้งให้กับทุกคนในนั้น ทำให้หลายคนถึงขั้นรู้สึกกลัวขึ้นมา


คนที่ไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่ยอมรามืออย่างหลินสวิน เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!


สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุดคือ เขายังเด็กขนาดนีก็มีความสามารถและพรสวรรค์โดดเด่นเพียงนี้แล้ว เมื่อเติบใหญ่แค่คิดก็รู้ว่าจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด


ทว่าสิ่งที่ทุกคนเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องนี้ ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยล่วงเกินผู้มีอิทธิพลมาแล้วมากมาย วันนี้ก็มาล่วงเกินหลิงเทียนโหวและอำนาจราชวงศ์ที่อยู่เบื้องหลัง หากเขาอยากเติบโตอย่างสงบสุข เห็นจะเป็นไปได้ยากมากๆ แล้ว


“คราวนี้เท่ากับว่าเขาก่อเรื่องใหญ่แล้ว”


เด็กสาวชนชั้นสูงพึมพำขึ้นเบาๆ


“แบบนี้ถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง”


หลิ่วชิงเยียนตอบไม่ตรงคำถาม ดวงตากระจ่างใสของนางจับจ้องเด็กหนุ่มที่อยู่ในลานแสดงยุทธ์ ความภาคภูมิใจอย่างไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ถาโถมขึ้นในใจ


สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ หลังจากผ่านการประลองกันในรอบนี้ หลินสวินยังคงไม่คิดจะออกจากลานแสดงยุทธ์!


“ตาเจ้าแล้ว”


สายตาของเขาดุจดั่งสายฟ้า กวาดมองซ่งอี้ที่อยู่ห่างออกไปอย่างเย็นชา


นี่ประหนึ่งเป็นสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้ทุกคนต่างนั่งไม่ติด ฮือฮาอย่างต่อเนื่อง เด็กคนนั้นยัง… ยังคิดจะสู้ต่อ?


บ้าคลั่งเกินไปแล้ว!


“เขาจะยึดลานแสดงยุทธ์แต่เพียงผู้เดียว หาเรื่องให้ครบทุกคนเลยหรือ”


สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนไป


“ไม่ได้ยินหรือ ก่อนหน้านี้เพราะซ่งอี้จะออกหน้าแทนซ่งเจ๋อและซ่งชงเฮ่อจึงไปท้าทายหลินสวิน ตอนนี้หลินสวินเพียงแค่โต้กลับเท่านั้น”


มีคนอธิบายขึ้น


“ใจกล้าเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ถึงขั้นที่จักรพรรดินีออกหน้าแล้ว หลินสวินยังไม่รู้จักหยุด เขาไม่กลัวตายหรืออย่างไร”


มีคนสงสัย ต่างดูไม่ออกว่าหลินสวินเป็นคนอย่างไรกันแน่


เสียงฮือฮาดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่คนใหญ่คนโตชนชั้นสูงหลายคนยังหมดคำพูด พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเด็กหนุ่มที่แข็งกร้าวจนไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างหลินสวิน


ส่วนซ่งอี้ที่ถูกหลินสวินเอ่ยชื่อ ยามนี้สีหน้าก็คล้ำเคร่งลง


ในฐานะอันดับหนึ่งของการทดสอบระดับอาณาจักร ย่อมเป็นผู้กล้าที่หายาก ไม่ว่าจะความสามารถหรือพรสวรรค์ล้วนเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือใคร


แต่พอได้เห็นการประลองระหว่างหลินสวินกับฉือฉางเฟิงและหลิงเทียนโหว ทำให้เขาหนักใจอย่างมาก ประเมินตัวเองว่าหากขึ้นลานแสดงยุทธ์ไป อย่างมากก็มีความมั่นใจเพียงครึ่งเท่านั้นว่าสู้หลินสวินได้


เดิมเขาคิดว่าหลินสวินจะรู้ขอบเขต รู้จักหยุด เช่นนั้นเขาก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ รอโอกาสหน้าค่อยเล่นงานหลินสวินก็ยังไม่สาย


แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหลินสวินกลับเอ่ยชื่อเขาตรงๆ อย่างไม่มีท่าทีจะรามือเลย!


สีหน้าของหลายคนต่างดูแปลกประหลาดอย่างควบคุมไม่อยู่ ความจริงในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่ค่อยคาดหวังในตัวซ่งอี้นัก


แม้แต่หลิงเทียนโหวยังพ่ายแพ้ให้หลินสวิน เช่นนั้นซ่งอี้จะมีหวังว่าจะชนะได้หรือ


อย่าว่าแต่ซ่งอี้เลย หลายคนถึงขั้นสงสัยว่า ในบรรดาผู้กล้าในจัตุรัสตอนนี้ คนที่สู้หลินสวินได้คงมีเพียงไม่กี่คน!


นี่ก็คือความอำนาจ


การเอาชนะฉือฉางเฟิง ทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน


และการเอาชนะหลิงเทียนโหว ก็เป็นการยืนยันความน่าสะพรึงกลัวของหลินสวินอย่างถึงที่สุด!


ขอเพียงแค่เป็นคนฉลาด ยามนี้คงไม่เลือกที่จะปะทะกับหลินสวินอีก


แต่ที่น่าเสียดายคือซ่งอี้ได้ส่งคำท้าไปแล้ว ตอนนี้ถูกหลินสวินเอ่ยชื่อ หากเขาไม่ขึ้นไปสู้ก็จะเป็นการขายหน้าเกินไป


และนี่ก็เป็นเหตุผลที่สีหน้าของทุกคนดูแปลกประหลาดเช่นนี้


“อย่าชักช้า รีบขึ้นมา บางทีหลังจากเจ้าแพ้ไปแล้ว อาจมีคนอื่นๆ ในนี้ที่อยากประลองกับข้าด้วย เขาจะทำให้ทุกคนผิดหวังไม่ได้”


หลินสวินพูดอย่างสบายๆ แต่กลับเป็นการประกาศกร้าวกลางลาน ทำให้สีหน้าของซ่งอี้เปลี่ยนไป เพลิงโกรธพลุ่งพล่านในใจ


เจ้าหมอนี่คิดว่าเขาซ่งอี้ไม่กล้าจริงๆ หรือ


เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะรับคำ พลันเห็นหัวหน้าเผิงที่อยู่ข้างลานแสดงยุทธ์เอ่ยปากขึ้นกะทันหัน


“หลินสวิน จักรพรรดินีเรียกพบ”


ประโยคเดียวทำให้ทุกอย่างเงียบกริบ


จักรพรรดิเรียกพบงั้นหรือ


หรือเพราะทนเห็นความจองหองของหลินสวินไม่ไหวแล้วเหมือนกัน?


แม้แต่หลินสวินยังอึ้งไม่น้อย “ตอนนี้?”


หัวหน้าเผิงพยักหน้า


“เชิญตามข้ามา”


นางกำนัลคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ข้างๆ หัวหน้าเผิงตั้งแต่เมื่อไหร่ส่งเสียงเบาๆ


หลินสวินคิดๆ แล้วเดินตามนางกำนัลคนนั้นออกไปจากลานแสดงยุทธ์อย่างไม่ลังเล


จวบจนกระทั่งพวกเขาจากไป ในลานแสดงยุทธ์ก็พลันก็เกิดเสียงดังขึ้นมา ทุกคนต่างคาดเดาถึงเหตุผลที่จักรพรรดินีเรียกหลินสวินเข้าพบ


มีคนคิดว่าจะต้องเป็นเพราะจักรพรรดินีไม่อยากให้หลินสวินก่อเรื่องต่อไปเป็นแน่ เพราะจุดประสงค์ของการจัดงานประลองในครั้งนี้ ก็เพื่อให้เหล่าผู้กล้ารุ่นนเยาว์ได้แสดงฝีมือ เพื่อคว้าโอกาสที่จะได้เข้าไปฝึกฝนในดินแดนรกร้างโบราณ


ถ้าหลินสวินก่อความวุ่นวายต่อไป จะต้องทำลายเป้าหมายที่แท้จริงของการประลองในครั้งนี้แน่


และมีคนคิดว่าหลินสวินอาจจะได้รับการยอมรับจากผู้สูงส่งที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ จึงได้ถูกเรียกไปเข้าพบ


สรุปแล้วมีการคาดเดาทุกรูปแบบ


“ทุกท่าน การประลองยังคงดำเนินต่อ ไม่ทราบว่ายังมีใครอยากขึ้นมาแสดงฝีมือหรือไม่”


หัวหน้าเผิงส่งเสียง หยุดความฮือฮาและเสียงวิจารณ์


……


ในเวลาเดียวกันนั้น ด้วยการนำทางของนางกำนัล หลินสวินก็เดินผ่านไปตามตำหนักพระราชวังอันเก่าแก่น่าเกรงขาม ผ่านเส้นทางคดเคี้ยวเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ และมาถึงตำหนักหลังหนึ่ง


ตำหนักนั้นไม่มีชื่อ ดูเก่ามาก การตกแต่งเรียบง่ายแต่กลับแฝงกลิ่นอายความยิ่งใหญ่


ในตำหนักไม่มีคน นางกำนัลเชิญให้หลินสวินนั่งแล้วชงชาให้แก้ว ก่อนจะพูดว่า “คุณชายโปรดรอสักครู่ จักรพรรดินีกำลังจะมาถึง”


หลินสวินพยักหน้า เขาไม่รู้เหตุผลที่จักรพรรดินีเรียกพบ แต่คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่นานเขาก็หันไปสนใจพลังปราณของตัวเอง


ในการประลองเมื่อครู่นี้เขาได้บรรลุพลังปราณไปด้วย เข้าสู้ขั้นปลายแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ พลังที่มีเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด


ยามนี้เขาได้มีเวลาว่างสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงของพลังรอบตัวอย่างละเอียดเสียที


ก่อนอื่นพลังวิญญาณในจุดชี่ไห่หนาแน่นขึ้นมากกว่าเท่าตัว ซัดกระหน่ำราวกับคลื่นทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด กว้างใหญ่อย่างที่สุด


เหนือมหาสมุทรวิญญาณ อาทิตย์จันทร์ลอยเด่น ดาราห้อมล้อม พายุลูกหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า พาดขวางระหว่างผืนฟ้าและผืนน้ำ ส่งเสียงกึกก้องราวคำราม


ที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้คือ หลังบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลายแล้ว ทั่วทั้งมหาสมุทรวิญญาณจะมีพลังชีวิตที่อธิบายไม่ถูกเพิ่มเข้ามามีชีวิตชีวาและยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ!


เท่าที่หลินสวินรู้ เมื่อพลังปราณบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ มหาสมุทรวิญญาณภายในร่างก็จะปรากฏ ‘ประตูลับ’


ลึกลับแล้วลึกลับอีก เป็นที่ซ่อนแห่งวิญญาณ!


‘ประตูลับ’ นี้เป็นรากฐานของจุดชี่ไห่ เรียกอีกอย่างว่าจุดแห่งชี่ไห่ ถ้าเปิดออกได้ก็จะกลายเป็นผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะอย่างแท้จริง!


แต่ตอนนี้ขอบเขตนั้นยังถือว่าเร็วเกินไปสำหรับหลินสวิน


นอกจากการเปลี่ยนแปลงในด้านพลังปราณ การเปลี่ยนแปลงของพลังจิตวิญญาณยิ่งน่ากลัว ตอนนี้ภายในห้วงนิมิตของหลินสวินมีดวงดาวแห่งจิตสามพันหกร้อยดวงถูกจุดประกายขึ้น เปล่งประกายราวกับดวงดาราอันใสบริสุทธิ์ อาบชโลมวิญญาณ ส่องสว่างอยู่ในห้วงนิมิต!


เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา เพียงแค่จำนวนของดวงดาวแห่งจิตก็มากขึ้นมากกว่าเท่าตัวแล้ว!


ดวงดาวแห่งจิตเป็นเครื่องแสดงถึงขอบเขตพลังแห่งจิตวิญญาณ ในสามขอบเขตใหญ่ของ ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ ถือว่าอยู่ในขอบเขต ‘ดาราจักรโคจร’


หลินสวินเคยแอบพิจารณาว่าจากความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ ตอนที่ตนบรรลุสู้ระดับหยั่งสัจจะ บางทีอาจจะสามารถฝึกฝนขอบเขต ‘ดาราจักรโคจร’ จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วก็เป็นได้!


ความยิ่งใหญ่ของพลังจิตวิญญาณนั้นไม่ต้องพูดถึง มีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจวิชายุทธ์ การสลักรอยสลักวิญญาณ การรับรู้ถึงตนเองและการสำรวจความลี้ลับของสวรรค์และโลก มีประโยชน์มากมายอย่างไม่อาจประเมินได้


ถ้าเทียบกันด้านพลังจิตวิญญาณแล้ว ในหมู่ผู้ฝึกปราณระดับเดียวกันทั้งจักรวรรดิ เกรงว่าจะไม่เจอใครที่เหนือกว่าหลินสวิน!


นี่ก็คือจุดแข็งอันยิ่งใหญ่ของ ‘เคล็ดเวทบริกรรม’


วิชาลับที่สืบทอดในห้องโถงมรรคาสวรรค์วิชานี้ กล่าวได้ว่ามีส่วนช่วยในเส้นทางการฝึกปราณของหลินสวินอย่างเงียบๆ มาตั้งแต่ต้น


……


ในขณะที่หลินสวินกำลังหยั่งรู้ถึงพลังของตัวเอง ในห้องโถงใหญ่อันงดงามอีกห้อง จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันนั่งอยู่บนที่นั่งประธานและกำลังพูดคุยกับผู้ฝึกปราณทั้งสามท่านจากดินแดนรกร้างโบราณ


“หลินสวินคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กระทั่งในดินแดนรกร้างโบราณยังถือว่าหายาก เพียงแต่นิสัยนั้นยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง ยโสโอหังนัก ทำอะไรเกินเหตุแบบนี้ หากไม่แก้อาจประสบวิบัติภัยได้ง่าย”


ชายชราที่มีหนวดเคราและผมขาวดั่งหิมะ สวมเสื้อคลุมสีดำลูบเคราพูด


เขาผู้นี้มีนามว่าฮว่าซิงจื่อ มาจาก ‘สำนักยุทธ์ปฐมหยก’ แห่งดินแดนรกร้างโบราณ


“แข็งเกินไปก็หักง่าย เด็กคนนี้ไม่เลวเลย แต่กลับสามารถก่อปัญหามากมายได้อย่างง่ายดาย หากถูกข้าพากลับไปฝึกที่สำนัก ต้องดัดนิสัยความบ้าบิ่นของเขาก่อน”


อีกด้าน ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงที่มีผิวคล้ำและสีหน้าเย็นชาพูดเสียงขรึม เขามีนามว่าหลูเจิ้นหยาง มาจาก ‘สำนักหน้าผาเมฆวิญญาณ’


“ทั้งสองท่าน ข้ากลับคิดว่านิสัยของเด็กคนนี้เหมาะสมกับ ‘สำนักกระบี่นิลดำ’ ของข้ามาก ฮึกเหิมกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด หากใช้วิถีกระบี่เป็นฐาน อนาคตต้องกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดแน่!”


ชายในชุดคลุมสีขาวที่พูดขึ้นเป็นคนสุดท้าย คำพูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม


เขาชื่อว่าซุนเจี้ยนหงมาจากสำนักกระบี่นิลดำ


เห็นสหายทั้งสามต่างเอ่ยปากราวกับถูกใจหลินสวินอย่างมาก จักรพรรดินีกลับส่ายหน้าพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “กลัวว่าจะต้องทำให้ทุกคนผิดหวังแล้ว เด็กทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนไปกับพวกเจ้าได้ แต่เด็กคนนี้…ไม่ได้”


อะไรนะ?


ฮว่าซิงจื่อ หลูเจิ้นหยาง และซุนเจี้ยนหงต่างอึ้งงันไปตามๆ กัน


——


ตอนที่ 431 กล่าวถึงเรื่องครานั้นอีกครั้ง

โดย

ProjectZyphon

เด็กคนนี้ไม่ได้!


แม้น้ำเสียงของจักรพรรดินีจะอ่อนโยน แต่กลับเผยความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เปิดโอกาสให้สงสัย


ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนชั้นสูงอย่างฮว่าซิงจื่อ หลูเจิ้นหยางและซุนเจี้ยนหงต่างไม่เข้าใจ แม้หลินสวินจะมีข้อบกพร่องอย่างชัดเจน แต่กลับเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวยุคใหม่อย่างแน่นอน


คนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้ มีเพียงการเข้าไปฝึกที่สำนักโบราณในดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น จึงจะมีอนาคตที่งดงามยิ่งขึ้น


ถ้าได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม ถึงขั้นสามารถกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุคและโด่งดังไปทั่วทั้งจักรวาลได้!


แต่เหตุใดจักรพรรดินีจึงห้าม?


“ฐานะของเด็กคนนี้ค่อนข้างพิเศษ”


จักรพรรดินีตอบอย่างคลุมเครือ


เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำให้พวกฮว่าซิงจื่อพอใจได้


“ไม่ว่าฐานะจะพิเศษเพียงใด ขอเพียงแค่เข้าสู่สำนักกระบี่นิลดำของข้า ข้าก็รับรองได้ว่าจะทำให้เขาประสบความสำเร็จในการฝึกปราณ ไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบอันใด!”


ซุนเจี้ยนหงพูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด จะเห็นได้ว่าเขาชื่นชมหลินสวินจากใจจริงและอยากให้เข้าไปอยู่ในสำนักของเขาแทบไม่ไหวแล้ว


แม้ฮว่าซิงจื่อและหลูเจิ้นหยางจะชื่นชมหลินสวินอย่างมาก แต่พอได้ยินจักรพรรดินีตอบเช่นนี้ก็พอจะรับรู้ได้อย่างมีไหวพริบว่า ฐานะของหลินสวินคงไม่ธรรมดาจริงๆ


“สหายซุน เรามีความสัมพันธ์กันยืนยาวหลายสิบปีแล้ว พูดตามตรงเลยนะ หากเด็กคนนี้เข้าสู่สำนักกระบี่นิลดำ มีแต่โทษไม่มีคุณ”


จักรพรรดินีหยุดไปครู่ค่อยพูดอย่างเรียบเฉย


อะไรนะ?


ทุกคนต่างตกตะลึง มีสาเหตุอันใดซ่อนอยู่ในตัวหลินสวิน ถึงขั้นสามารถส่งผลกระทบต่อสำนักกระบี่นิลดำได้?


คราวนี้แม้แต่สีหน้าของซุนเจี้ยนหงยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่…พราะเหตุใด”


เขาไม่จำยอมอย่างเห็นได้ชัด


“โปรดชี้แจงให้ชัดเจน พวกข้าจะได้ตัดใจ”


ฮว่าซิงจื่อและหลูเจิ้นหยางก็ต่างพูดขึ้น


จักรพรรดินีเห็นเช่นนี้จึงหยุดไตร่ตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ปกปิดอีก เอ่ยว่า “พ่อแม่และญาติๆ ของเขา ตายเพราะอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว”


อวิ๋นชิ่งไป๋!


ชื่อนี้ราวกับสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้สีหน้าของพวกฮว่าซิงจื่อต่างเปลี่ยนไปอย่างพร้อมเพรียงกัน หัวใจสั่นสะท้านและเงียบไป


“มิน่า…”


ครู่ใหญ่ฮว่าซิงจื่อจึงถอนหายใจ “แม้ไม่รู้เหตุผล แต่ในเมื่อ…เมื่อเกี่ยวข้องกับอวิ๋นชิ่งไป๋ นี่มัน..ปัญหาใหญ่จริงๆ”


น้ำเสียงของเขาดูลังเล แต่สุดท้ายก็เหมือนจะคิดตกแล้ว เสียงจึงเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้น


“อวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า ฝึกยุทธ์มาถึงตอนนี้ ได้ชื่อว่าเป็นราชันไร้พ่ายในหมู่คนระดับเดียวกัน เป็นเหมือนตำนาน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างภาคภูมิใจ ที่มาของเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับเขา ช่าง…ช่างโชคร้ายนัก!”


หลูเจิ้นหยางเองก็ถอนหายใจ


ไม่ว่าจะเป็นฮว่าซิงจื่อหรือหลูเจิ้นหยางต่างล้มเลิกความคิดที่จะพาหลินสวินเข้าสู่สำนัก และทั้งหมดนี้เป็นเพราะอวิ๋นชิ่งไป๋คนเดียว!


“สหายซุน…”


จักรพรรดินีเพิ่งจะอ้าปากพูด ซุนเจี้ยนหงที่เงียบมาโดยตลอดก็พูดขึ้นอย่างเศร้าใจ “ก็คงต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้ เฮ้อ!”


“ทุกท่านอย่าเพิ่งหดหู่ไป ผู้ฝึกปราณที่มางานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ ยังมีพวกที่ความสามารถไม่ธรรมดา ทุกท่านคัดกรองดูอย่างละเอียด หากมีใครที่เข้าตาก็พาไปได้เลย นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับพวกเขา”


จักรพรรดินีพูดอย่างอ่อนโยน


แม้พวกของฮวาชิงจื่อจะยังเสียดาย แต่ก็รู้ว่าคงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว


พวกเขาพลันเก็บความรู้สึก เริ่มให้ความสนใจการประลองที่กำลังดุเดือดในลานแสดงยุทธ์ต่อ


ส่วนจักรพรรดินีก็ลุกจากไป


……


ทันใดนั้นหลินสวินที่กำลังทำความเข้าใจพลังปราณของตัวเองอยู่รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาพลัน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังหน้าประตูห้องโถงใหญ่ทันที


ผู้หญิงในชุดขาวเกล้าผมขึ้นสูงเดินเข้ามาแทบจะในขณะเดียวกัน


หญิงคนนั้นโคนผมเริ่มขาวแล้ว ดูสง่างาม รูปลักษณ์ไม่ถึงกับโดดเด่น แต่มีเสน่ห์แบบดั้งเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ


ดวงตาของนางอ่อนโยน บริสุทธิ์และกระจ่างใส หว่างคิ้วดูเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งสติปัญญา ให้ความรู้สึกสง่างามอย่างยากจะอธิบายเป็นคำพูด


นางเป็นเหมือนหยกที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วมากมาย แต่ยังคงรักษาแสงประกายอันอ่อนโยนประณีตไว้ได้ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเคารพนับถืออย่างควบคุมไม่อยู่


แต่ทุกอิริยาบถตอนที่นางเดินมา กลับประหนึ่งปักษาเพลิงที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้ามาเป็นเวลานาน ท่องภูผานที มองลงมาเบื้องล่าง ทำให้รู้สึกกดดันและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก


“หลินสวินแห่งภูเขาชำระจิตคารวะจักรพรรดินี!”


หลินสวินลุกขึ้นมาคำนับแทบจะในทันที สตรีที่บุคลิกสง่างามแฝงความอ่อนโยนและน่าเกรงขามคนนี้ คือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย!


“นั่งเถอะ เจ้ากับข้าล้วนเป็นผู้ฝึกปราณเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความเข้าใจทางโลก”


จักรพรรดินีเดินเข้ามานั่งบนที่นั่งประธานอย่างสบายๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น


หลินสวินพยักหน้าแล้วนั่งตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม จักรพรรดินีไม่เคยเผยกลิ่นอายที่ชวนให้รู้สึกกลัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับนาง กลับทำให้หลินสวินรู้สึกกลัวและกดดัน ไม่กล้าไม่เคารพแม้แต่น้อย


อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ


วินาทีนี้ในที่สุดหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนี้อย่างลึกซึ้ง น่ากลัวเกินไปแล้ว น่ากลัวอย่างเหนือความคาดหมาย!


หลินสวินถึงขั้นไม่กล้าคาดเดาเลยว่า พลังปราณของจักรพรรดินีในตอนนี้จะน่ากลัวถึงระดับไหนแล้ว


แต่สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยคือ บางทีแค่อีกฝ่ายมีความคิดจะฆ่าตน ก็สามารถควบคุมความเป็นความตายของตนได้แล้ว!


“เดิมทีข้ามิได้คาดหวังกับการซ่อมกระบี่เบิกฟ้าเลยแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยอย่างเจ้ากลับสร้างความประหลาดใจและน่ายินดีให้ข้า”


จักรพรรดินีพูดด้วยเสียงอบอุ่น นางไม่ได้เรียกแทนตัวเองว่า ‘เปิ่นจั้ว[1]’ แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นเรียก ‘ข้า’ เหมือนกำลังคุยกับเพื่อน


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้กลับยิ่งทำให้หลินสวินระแวดระวังและเกร็งไปทั้งตัว


นี่เป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณอย่างแท้จริงของผู้ฝึกปราณทุกคนเมื่อเผชิญกับความหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เว้นแต่จะอยู่ในระดับเดียวกัน มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถคลี่คลายได้เลย!


“พระนางทรงชมเกินไปแล้ว ”


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก พูดอย่างเคารพ


“ไม่ได้ชมเกินไป แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่ซ่อมกระบี่เบิกฟ้าได้”


จักรพรรดินีพูดอย่างสบายๆ


หลินสวินพลันอึ้งไป นี่เป็นการให้เกียรติเขาเกินไปแล้ว


ราวกับอ่านใจหลินสวินออก จักรพรรดินีเงียบไปครู่ จู่ๆ ก็ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ดูเหมือนว่าลู่ป๋อหยาจะไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลยจริงๆ”


ได้ยินชื่ออันคุ้นเคยนี้ หลินสวินเพียงรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่


ท่านลู่!


จักรพรรดินีถึงกับพูดถึงท่านลู่!


ทว่ากลับเห็นนัยน์ตาคู่สะอาดของจักรพรรดินีวาบประกายย้อนระลึกถึงความทรงจำ “ในคืนหิมะตกเมื่อประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามปีก่อน ห่างจากวันราชาภิเษกของข้ากับองค์จักรพรรดิอีกเพียงสามวัน จักรพรรดิบอกว่าจะมอบชุดศึกสลักวิญญาณที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกเป็นของขวัญให้กับข้า”


“และตอนนั้นแหละที่กระบี่เบิกฟ้ามาอยู่ในมือของข้า”


“หลังจากนั้นข้าจึงได้รู้ว่า องค์จักรพรรดิทรงจ่ายค่าตอบแทนไปมาก กว่าจะได้กระบี่เบิกฟ้าเล่มนี้จากมือลู่ป๋อหยา”


พูดถึงตรงนี้ มุมปากของจักรพรรดินีก็ได้เผยรอยยิ้มอันยากจะอธิบายออกมา “เพราะกระบี่เบิกฟ้านี้น่าอัศจรรย์มาก ช่วยข้าคลี่คลายวิบัติภัยมามากมาย มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตข้า ดังนั้นข้าจึงสงสัยมาตลอดว่าลู่ป๋อหยาผู้นี้คือใครกันแน่”


หลินสวินหัวใจสะท้าน เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้ท่านลู่เป็นผู้หลอมกระบี่เบิกฟ้าขึ้นเองกับมือ…


เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!


“เสียดายที่ลู่ป๋อหยาผู้นี้เป็นเทพมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ที่มาเกินคาดเดา แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังเก็บเป็นความลับ”


จักรพรรดินีพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองหลินสวินแล้วถามกะทันหันว่า “ตอนนี้เขาสบายดีหรือไม่”


หลินสวินตัวแข็งทื่อ นึกถึงวันที่หนีออกจากคุกใต้เหมืองอย่างควบคุมไม่อยู่ นึกถึงฝ่ามือสีม่วงข้างใหญ่ที่ปิดคลุมท้องฟ้า นึกถึงสีหน้าอันซับซ้อนที่ทั้งกระวนกระวายใจ หงุดหงิด โมโห สิ้นหวังและขมขื่นนั้นของท่านลู่ตอนที่ส่งตนจากมา…


“ท่านลู่เขา…คงไม่อยู่แล้ว”


เสียงของหลินสวินต่ำลึก ในส่วนลึกของจิตใจ เขาไม่ยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้มาโดยตลอด แต่เขารู้ดีว่าโอกาสที่ท่านลู่จะรอดนั้นริบหรี่


จักรพรรดินีอึ้งงันไปอย่างเห็นได้ชัด มองเห็นความเสียใจบนใบหน้าของหลินสวินแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ “น่าเสียดาย”


“พระนางเรียกข้าเข้าพบด้วยเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยถาม ด้วยเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก


เป็นฝ่ายถามแบบนี้ดูไม่เคารพอยู่บ้าง แต่เหมือนว่าจักรพรรดินีจะไม่ใส่ใจ


นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าพูด “เพียงแค่อยากถามเรื่องของลู่ป๋อหยาจากเจ้า”


นัยน์ตาหลินสวินหดรัดเล็กน้อย เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจักรพรรดินีคล้ายมีเรื่องปิดบัง แต่ตัวเขากลับไม่สามารถตื๊อถามได้


เพราะแม้จะถาม จักรพรรดินีก็คงไม่บอกอะไรมาก


“เจ้าซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้ข้า ก็ควรจะได้รับรางวัล แต่สิ่งที่เจ้าทำบนลานแสดงยุทธ์วันนี้เกินเหตุไปหน่อย หากไม่ลงโทษเจ้า จะทำให้คนทั้งโลกดูแคลนความน่าเกรงขามของราชวงศ์”


จู่ๆ จักรพรรดินีก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในลานแสดงยุทธ์ก่อนหน้านี้


หลินสวินลอบถอนหายใจในใจ ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้พูดอย่างจริงจัง “ตอนนั้นข้าไม่ได้ทำอะไรผิด”


จักรพรรดินีอึ้ง ราวกับคิดไม่ถึงว่าเด็กอย่างหลินสวินจะกล้าท้าทายตน แล้วพลันพูดด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก “ไม่สนใจภาพรวม ไม่รู้จักความเหมาะสม นี่ก็เป็นความผิดอย่างหนึ่ง หากเจ้าไม่ยอมรับ ก็จะเป็นเพียงการพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังไร้เดียงสาเกินไปจึงไม่เข้าใจกฎของโลก”


น้ำเสียงแม้ยังคงอบอุ่นแต่กลับแฝงความน่าเกรงขามอย่างที่สุด ชวนให้หัวใจสั่นสะท้าน


หลินสวินเงียบไปทันที อ่านความรู้สึกภายในใจไม่ออก


แต่จักรพรรดินีกลับสัมผัสได้อย่างมีไหวพริบว่าหลินสวิมิได้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด ทำให้นางอดนึกขำในใจไม่ได้ เด็กหัวแข็งแบบนี้นางเจอมานักต่อนักแล้ว แต่ไม่เคยเห็นคนที่ดื้อรั้นได้เท่าหลินสวิน ทั้งยังกล้าเถียงตน ใจกล้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว


“ช่างเถอะ เจ้าออกไปเถอะ”


จักรพรรดินีโบกมือ


หลินสวินรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบลุกขึ้นกล่าวลา


เขารู้สึกว่าขืนนั่งต่อไป ตนจะถูกความน่าเกรงขามในตัวจักรพรรดินีกดดันจนเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิงแน่


เพียงแต่ก่อนออกจากประตูห้องโถง เขาเหมือนฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้จึงอดพูดไม่ได้ “องค์จักรพรรดินี ไม่ทราบว่ารางวัลของข้าคือ…”


“เจ้าหมิ่นความน่าเกรงขามของราชวงศ์ หากยอมรับโทษก็จะให้รางวัลกับเจ้า เจ้าแน่ใจนะว่าจะเอา”


หลินสวินส่ายหน้าทันที ก่อนหมุนตัวเดินออกไปอย่างเศร้าหมอง


จักรพรรดินีมองหลินสวินจนลับตาไป มุมปากยกขึ้นในองศาที่ดูแปลกประหลาด นางเพิ่งจะเคยเจอเด็กที่ทำตามอำเภอใจและใจกล้าเหมือนหลินสวินเป็นครั้งแรก


ในนครต้องห้ามนี้ใครกล้าขอรางวัลต่อหน้าตนบ้าง


เด็กคนนี้ถือเป็นคนแรก


ต่อมาจักรพรรดินีราวกับฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ พลันขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่ เด็กคนนี้ทำอะไรโจ่งแจ้งขนาดนี้ หรือจนตอนนี้เขายังไม่รู้ความจริงของเหตุการณ์นองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว?


——


[1] เปิ่นจั้ว คำเรียกแทนตัวเองของผู้สูงศักดิ์



ตอนที่ 432 วิกฤตมาเยือน

โดย

ProjectZyphon

พระราชวังตั้งตระหง่านอย่างเป็นสง่าน่าเกรงขาม เสมือนนักรบอมตะที่กาลเวลามิอาจทำอะไรเขาได้


หลินสวินเดินกลับเพียงลำพังตามทางที่เขาได้เดินมา


จักรพรรดินีเรียกให้หลินสวินเข้าเฝ้าครานี้ ไม่ได้ลงโทษหรือตกรางวัลให้แต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยถึงชื่อของท่านลู่ นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่า ท่านลู่ไม่ใช่แค่นักสลักวิญญาณที่เร้นกายจากโลกธรรมดาๆ อย่างที่คิดเป็นแน่


ในทางกลับกัน จักรพรรดิเคยทุ่มทุนอย่างมหาศาล เพื่อให้คุณลู่ยอมสร้างชุดศึกสลักวิญญาณ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ถวายจักรพรรดินี!


‘ไม่ธรรมดา แม้แต่จักรพรรดินียังไม่รู้ประวัติความเป็นมาของท่านลู่ แล้วเหตุใดตอนนั้นเขา…จึงต้องเร้นกายอยู่ในคุกใต้เหมือง’


หลิวสวินเดินพลางคิดไตร่ตรอง


“เจ้าหนู ช้าก่อน!”


ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดึงหลินสวินให้ตื่นจากห้วงความคิด


พอหันไปมองก็เห็นเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนในชุดหรูหรางดงามเดินเข้ามาหาตนอย่างเร่งรีบ


“ผู้อาวุโส ท่านมาทำอะไรที่นี่?”


หลินสวินประหลาดใจ ชายอ้วนวัยกลางคนผู้นี้คือเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหล


ตอนนั้นหลังจากประลองกับฮวาอู๋โยว จู่ๆ กระบี่โบราณเหมยคดก็ปรากฏขึ้น ขัดขวางการปะทะกันระหว่างฮวาชิงหลินและจูเหล่าซาน


ตอนนั้นจ้าวไท่ไหลเองก็อยู่ในเหตุการณ์


และหลินสวินก็ตงิดใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า จ้าวไท่ไหลต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ในพระราชวังท่านนั้น แต่เสียดายที่ไม่ได้คำตอบยืนยันจากอีกฝ่าย


“ดูพูดเข้า ข้าก็มารอเจ้าหนูอย่างเจ้าน่ะสิ!”


จ้าวไท่ไหลพูดอย่างหัวเสีย


“รอข้าหรือ”


หลินสวินยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่


จ้าวไท่ไหลกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าหนู เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”


พูดจบเขาก็เดินนำทาง พาหลินสวินเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนมาถึงสวนอันเงียบสงบห่างไกลผู้คน ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าครานี้เพราะได้รับการไหว้วานมา มีบางเรื่องที่ต้องบอกเจ้า”


หลินสวินหรี่ตาลง “ใช่คนใหญ่คนโตท่านนั้นที่เคยใช้กระบี่โบราณเหมยคดช่วยข้าไว้หรือไม่”


จ้าวไท่ไหลโบกมือพลางกล่าว “เจ้าไม่ต้องเดามากมายหรอก ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เจ้าเพียงต้องรู้เอาไว้ว่า เจ้ามีเวลามากสุดห้าปี”


“อะไรนะ”


หลินสวินหัวใจสะท้าน


“ทำไม เจ้ายังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้อีกหรือ”


จ้าวไท่ไหลมุ่นคิ้ว “เจ้าคงรู้ว่าเหตุนองเลือดที่ภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเป็นฝีมือของใครใช่หรือไม่”


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาดำขลับพลันสาดประกายเย็นเยียบ “อวิ๋นชิ่งไป๋?”


สีหน้าของจ้าวไท่ไหลเคร่งขรึม “ในเมื่อเจ้ารู้จักเขา ก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าเขารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จุดจบของเจ้าจะเป็นอย่างไร”


หลินสวินเงียบไปทันที


เขาเคยคิดเรื่องนี้มาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง มิเช่นนั้นตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาคงไม่ต้องพยายามฝึกพลังปราณและพัฒนาอำนาจของภูเขาชำระจิตอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้


ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุนองเลือดเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนขึ้นซ้ำสอง!


“อวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยๆ ถ้าเขาย้อนกลับมาที่จักรวรรดิจื่อเย่า ก็ไม่มีใครสามารถหยุดไม่ให้เขาก่อเหตุได้ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ราชินีแห่งตำหนักแสงทมิฬผู้นั้นก็ไม่ได้ แม้แต่ราชครูที่อยู่บนหอดูดาวหลวงก็ยังไม่ได้ สรุปก็คือ เจ้าจำต้องรู้ไว้ว่า ด้วยความสามารถในตอนนี้ของเจ้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยังอ่อนแอนัก”


จ้าวไท่ไหลพูดรัวเร็ว ประเด็นที่พูดกลับรุนแรง ทำให้หลินสวินพลันรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก


“แน่นอน” จ้าวไท่ไหลเปลี่ยนเรื่องทันควัน “ตอนนี้ถือว่าเจ้าทำได้ดีมากแล้ว อย่างน้อยๆ ตอนนี้ในนครต้องห้ามก็มีน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของเจ้า แต่เท่านี้ก็ยังไม่พออยู่ดี”


หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหว ฟังต่ออย่างตั้งใจ


“บอกไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้เจ้าก่อเรื่องได้ตามสบาย ยิ่งสร้างความฮือฮาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะที่สำนักศึกษามฤคมรกต ก่อเรื่องจนเหล่าหัวหน้าสาขาต่างเริ่มหันมาสนใจเจ้าด้วยจะดีที่สุด แบบนั้นมีแต่จะเป็นผลดีต่อสถานการณ์ของเจ้า”


สิ่งที่จ้าวไท่ไหลพูด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการส่งสารต่อจากคนอื่น เพราะด้วยฐานะของเขา ย่อมไม่กล้าส่งเสริมให้หลินสวินไปก่อเรื่องในสำนักศึกษามฤคมรกตอย่างเปิดเผยแบบนี้แน่


ถ้าอย่างนั้นคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต้องเป็นความต้องการของผู้ยิ่งใหญ่ในราชวังคนนั้นเป็นแน่


คิดถึงตรงนี้หลินสวินพลันอดฉงนใจไม่ได้ ทีแรกเขาคิดว่าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นคือจักรพรรดินี


แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่!


ท่าทีของจักรพรรดินีที่มีต่อเขาเมื่อครู่ แม้กล่าวไม่ได้ว่าแย่ แต่ก็ไม่ถือว่าดีมากนัก ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งจ้าวไท่ไหลมาคุยเรื่องพวกนี้


เช่นนั้นผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเป็นใครกันแน่


“ตอนนี้ข้าก่อเรื่องใหญ่พอแล้วกระมัง เมื่อครู่นี้ยิ่งบีบให้หลิงเทียนโหวนั่นต้องคุกเข่า ล่วงเกินราชวงศ์ไปแล้ว ขืนก่อเรื่องต่อไป ข้าต้องกลายเป็นที่ชิงชังของทุกคนแน่”


หลินสวินยิ้มขื่น


“เหอะๆ เจ้ากลัวเป็นด้วยรึ”


จ้าวไท่ไหลเย้ยหยัน


“ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสลองบอกมาหน่อยว่า ถ้าก่อเรื่องต่อไปข้าจะได้ประโยชน์อย่างไร”


หลินสวินฉวยโอกาส ยิ้มตาหยีถาม


“ข้าบอกได้เพียงว่า จักรพรรดิไม่มีทางนั่งเฉยๆ มองดูยอดฝีมือตัวจริงเผชิญปัญหาเพียงลำพังโดยไม่สนใจแน่ แต่ทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เจ้ามีกำลังและความสามารถที่ควรค่าแก่การได้รับความสนใจจากจักรพรรดิ สำหรับจักรพรรดิแล้ว เจ้ายิ่งเก่งกาจเท่าไหร่ก็ยิ่งมีค่าเท่านั้น หากวันหนึ่งมีเรื่องเดือดร้อน จักรพรรดิจะต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้เจ้าไว้แน่!”


คำพูดนี้ของจ้าวไท่ไหลฟังดูเรียบง่ายและหยาบกระด้าง แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่


“เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไร”


หลินสวินครุ่นคิด


“นั่นมันเรื่องของเจ้าแล้วล่ะ”


จ้าวไท่ไหลพูดจบก็ถอนหายใจเฮือก ราวกับในที่สุดก็ทำภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิตสำเร็จเสียที


“เช่นนั้น…”


หลินสวินพูดยังไม่ทันจบ จ้าวไท่ไหลก็รู้ทันเสียก่อน รีบพูดตัดบทว่า “บอกไว้ก่อนเลยว่าข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องพึ่งตัวเองทุกอย่าง”


หลินสวินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ในใจลอบด่าว่าเจ้าอ้วนนี่ช่างหัวหมอจริง


“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? อย่างมากภายในห้าปีนี้ เจ้ามิต้องกังวลว่าอวิ๋นชิ่งไป๋จะกลับมาฆ่า ซึ่งก็หมายความว่า เหลือเวลาที่ให้เจ้าได้เสเพลอย่างมากอีกแค่ห้าปีแล้ว”


จ้าวไท่ไหลตบบ่าหลินสวินเบาๆ “เจ้าหนู คว้าโอกาสเอาไว้ให้ดีเถอะ หากภายในห้าปีนี้เจ้าสามารถแสดงความสามารถที่สร้างความตะลึงไปทั่วหล้าได้ เชื่อว่าสถานการณ์ของเจ้าจะต้องเปลี่ยนไป”


พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่ลังเลราวเท้าทาน้ำมันไว้ ไม่นานก็หายไปไม่เห็นร่องรอย


ราวกับว่าถ้าพูดกับหลินสวินมากกว่านี้อีกประโยค ก็จะสร้างปัญหาอย่างหนักหน่วงให้กับเขา


“ห้าปี…”


หลินสวินยืนคิดอยู่ที่เดิม


สักพักใหญ่ๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่แสนไกล บนใบหน้าสุภาพหล่อเหลาถูกความสงบแน่วแน่เข้ามาแทนที่


ดูเหมือนนานมาก แต่ก็สั้นมาก


แต่หลินสวินเข้าใจดีว่า บางเรื่องไม่ว่าช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องทำออกมา แทนที่จะยื้อออกไป ไม่สู้ทำให้เต็มที่ไปเลย!


……


ตอนที่หลินสวินออกไปจากพระราชวัง กลับไปยังภูเขาชำระจิตก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว


เขาไม่รู้ว่างานประลองที่เกิดขึ้นในลานแสดงยุทธ์นั้น มีการประลองที่ยอดเยี่ยมเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง


และไม่รู้ว่าเกิดความฮือฮาอะไรขึ้นอีกในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี


เขารู้เพียงว่า เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว


“ลุงจง ช่วยไปขอลาที่สำนักศึกษามฤคมรกตให้ข้าที บอกว่าข้าต้องการเก็บตัวฝึกสักระยะ”


พอถึงภูเขาชำระจิตหลินสวินก็สั่งหลินจงทันที


ทุกคนในภูเขาชำระจิตต่างมีปฏิกิริยาอย่างกระตือรือร้นกับการกลับมาของหลินสวิน หลินจงเองก็เช่นกัน


แต่ท่าทีของหลินสวินกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจ ทันทีที่เขากลับมาถึง พอสั่งการเรื่องต่างๆ เสร็จก็รีบเข้าไปเก็บตัวในห้องฝึกสงบใจบนชั้นสามของตำหนักชำระจิตทันที


การกระทำของเขาทำให้หลายคนงงเป็นไก่ตาแตก


แต่สำหรับพญาแร้ง เสี่ยวเคอและหลินจงกลับรับรู้ได้อย่างมีไหวพริบว่า ต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นกับหลินสวินแน่!


ที่ผ่านมาแม้จะเจอปัญหายากเย็นแค่ไหน หลินสวินก็ไม่เคยดูผิดปกติเหมือนวันนี้เลย


มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


……


และในคืนนั้นเอง ข่าวเกี่ยวกับงานฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินีก็แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งนครต้องห้ามราวกับติดปีก และสร้างความฮือฮาอย่างหนัก!


“หลินสวินคนนี้ใช้แค่ปิ่นหยกเพียงอันเดียว ก็สามารถได้รับรางวัลจากจักรพรรดินี โชคดีเกินไปแล้ว!”


“ใช่ หนำซ้ำเขายังเป็นคนเดียวที่ได้ ช่างน่าอิจฉายิ่ง”


หลายคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ รู้สึกว่าหลินสวินจะโชคดีเกินไปแล้ว เพียงถวายปิ่นหยกให้จักรพรรดินีก็ได้รับรางวัลตอบกลับแล้ว เกินคาดจริงๆ


……


“อะไรนะ แม้แต่ฉือฉางเฟิงยังแพ้งั้นหรือ หลินสวินเป็นแค่นักสลักวิญญาณไม่ใช่หรือ เหตุใดแม้แต่พลังการต่อสู้ยังเก่งกาจเพียงนี้”


“ไม่เพียงฉือฉางเฟิง แม้แต่หลิงเทียนโหวยังแพ้! หนำซ้ำยังถูกหลินสวินบังคับให้คุกเข่าขอโทษ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นเกิดเสียงฮือฮาแค่ไหน แม้แต่เหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ในราชวงศ์ออกหน้า ยังห้ามหลินสวินไม่ได้!”


“ให้ตาย เจ้าหลินสวินคนนี้ดุดันจริงๆ!”


“ดุดันอะไรกัน ข้าว่าเขาน่ะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมากกว่า ทำแบบนี้แม้ว่าเขาจะได้หน้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการล่วงเกินราชวงศ์ด้วย!”


“เฮ้ยๆ ไม่ว่าพูดอย่างไร นิสัยของหลิงเทียนโหวโหดเหี้ยมร้ายการขนาดไหนทุกคนที่อยู่ในนครต้องห้ามสมัยนั้นไม่มีใครไม่รู้ หลินสวินกลับกล้าบีบบังคับให้เขาคุกเข่าขอโทษ เพียงแค่เรื่องนี้ ในบรรดาผู้กล้ารุ่นใหม่ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้แล้ว!”


“ข้าเห็นด้วย”


และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตะลึงกับสิ่งที่หลินสวินทำในงานฉลองพระชนมพรรษา ซึ่งมีทั้งคนที่ชื่นชมและคนที่สนุกบนความทุกข์ของผู้อื่น


……


“ลำนำผู้กล้าเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหลินสวินงั้นหรือ สวรรค์ นี่ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!”


“คงไม่ใช่เพราะ…คุณหนูชิงเยียนชอบเจ้าหลินสวินคนนี้เข้าแล้วจริงๆ ใช่ไหม หากเป็นเช่นนี้จริงใจข้าคงสลาย!”


และมีคนพูดถึงลำนำผู้กล้าของหลิ่วชิงเยียน ซึ่งก็ต้องพูดถึงหลินสวินอีกครั้งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


……


ค่ำคืนนี้ชื่อของหลินสวินได้แพร่ออกจากทุกพื้นที่ ทุกตระกูลทรงอิทธิพลและจากปากของผู้ฝึกปราณทุกคนในนครต้องห้าม


เรียกได้ว่าผู้ที่ได้รับความสนใจที่สุดในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีในครั้งนี้คือหลินสวิน!


เขาใช้ปิ่นหยกเพียงอันเดียวก็ได้รับรางวัลจากจักรพรรดินี


เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากเขา ผู้ฝึกปราณสายศิลป์ที่มีชื่อเสียงอย่างหลิ่วชิงเยียนได้แต่ง ‘ลำนำผู้กล้า’ ที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก


บนลานแสดงยุทธ์ที่รวบรวมผู้กล้าเอาไว้ เด็กหนุ่มผู้กล้าอย่างฉือฉางเฟิงที่มีเส้นปราณโลหิตดอกบัวม่วงกลางทะเลทองกลับต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาด้วยความแค้นใจ หลิงเทียนโหวผู้เหี้ยมโหดยโสโอหังก็พ่ายแพ้ให้กับเขาจนต้องคุกเข่าขอโทษ…


แต่ละเรื่องราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงในนครต้องห้ามจนสร้างความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สร้างความไหวหวั่นให้กับผู้ฝึกปราณทุกคน!


ก่อนเริ่มงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี ใครเล่าจะคาดคิดถึงเรื่องพวกนี้


——


ตอนที่ 433 ยึดมั่นในปณิธาน ไม่สนคำวิจารณ์

โดย

ProjectZyphon

เพียงชั่วข้ามคืน หลินสวินได้กลายเป็นคนดังที่ทุกคนในนครต้องห้ามต่างให้ความสนใจอย่างที่สุดอีกครั้ง


แม้แต่ปุถุชนคนธรรมดาก็ยังรู้ว่า เจ้าแห่งภูเขาชำระจิตในนครต้องห้ามเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ไม่ธรรมดา


เพียงแต่ข่าวลือที่สร้างความฮือฮาอย่างมากเหล่านี้ กลับพลิกผันในวันถัดมา…


“อะไรกัน หลินสวินไม่ถูกเลือกหรือ”


“ข้าว่าแล้วเชียว เขาบุ่มบ่ามก่อเรื่อง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าบีบให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า จักรพรรดินีไม่มีทางให้โอกาสดีเช่นนี้กับเขาแน่”


“นี่ก็คือบทลงโทษ! แม้หลินสวินจะเก่งกาจ แต่นิสัยกลับยโสโอหังนัก”


“เฮ้อ น่าเสียดาย”


“เหอะๆ ข้าว่าบทลงโทษเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น เขาดุร้ายป่าเถื่อนเพียงนี้ ทั้งยังล่วงเกินคนใหญ่คนโตมากมาย ต่อไปย่อมไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่”


ไม่นานเสียงพิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครต้องห้าม


ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากข่าวเดียวกัน


ลือกันว่าในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังผ่านการประลองชั้นยอด ไป๋หลิงซี ซ่งอี้และเว่ยฉือเจ๋อต่างแสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่น เข้าตาบุคคลชั้นยอดจากภายนอกและรับไว้เป็นศิษย์!


อีกทั้งหลังจากงานเลี้ยงเมื่อวานจบลง ทั้งสามได้ถูกพาออกจากจักรวรรดิจื่อเย่าทันที มุ่งหน้าไปฝึกปราณยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ!


นี่เป็นโอกาสทองที่พบเจอได้ยาก!


ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ในนครต้องห้ามล้วนไม่รู้ว่า ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ’ ที่ว่า ก็คือดินแดนรกร้างโบราณ


และไม่รู้ว่าคนที่พาพวกไป๋หลิงซีออกไป อันที่จริงมาจากสำนักโบราณสามแห่งที่แตกต่างกันในดินแดนรกร้างโบราณ


ทว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้กระทบกับความสนใจของพวกเขาต่อเรื่องนี้เลย!


กลับกันเพราะเรื่องนี้ดูลึกลับมาก ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่า พวกของไป๋หลิงซีไม่ต่างอะไรกับปลาที่ว่ายข้ามประตูมังกร ก้าวเดียวทะยานถึงฟ้า


และเป็นเพราะข่าวลือนี้อีกเช่นกันที่ทำให้ทุกคนเพิ่งจะตระหนักได้ว่า คนที่แสดงฝีมือได้โดดเด่นที่สุดในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีอย่างหลินสวิน กลับพลาดโอกาสทองนี้ไป!


ด้วยเหตุนี้นครต้องห้ามก็ลุกเป็นไฟ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างดุเดือด


แทบจะทุกคนคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลินสวินยโสโอหังเกินไป ไม่เพียงแค่ทำให้ราชวงศ์โกรธ ยังทำให้จักรพรรดินีไม่พอใจด้วย จึงตัดโอกาสทองที่หลินสวินควรได้รับ


มิเช่นนั้นเพียงแค่ฝีมือของหลินสวินที่สามารถเอาชนะฉือฉางเฟิง สยบหลิงเทียนโหว มีหรือจะไม่ถูกบุคคลชั้นยอดจากภายนอกเหล่านั้นเลือก?


แบบนี้แหละที่เรียกว่าหนีกรรมที่ตนก่อไว้ไม่พ้น!


นี่คือความคิดในใจของผู้ฝึกปราณมากมาย


หลินสวินบ้าคลั่งเกินไปจริงๆ พอลองนับดูตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ในนครต้องห้าม ก่อนอื่นคือซัดลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวาและซ่งจนร่วง หลังจากนั้นก็เกือบฆ่าฮวาอู๋โยวโดยไม่พูดไม่จา


เท่านี้ยังไม่หมด ยามเข้ารับการทดสอบรับรองเป็นปรมาจารย์สลักกวิญญาณ เขาก็ทำให้ฉู่ไห่ตงผู้กล้ารุ่นเยาว์จากตระกูลนักสลักวิญญาณโกรธจนเกือบจะเป็นลม ต้องแบกรับฉายาฉาวโฉ่ว่าเป็น ‘ไอ้โง่’


จนกระทั่งตอนหลังเขาเข้าไปอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็ยังไม่รามือ ใช้ฝีมือการซ่อมกระบี่เบิกฟ้าทำให้รองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณฉู่ซานเหอหัวเสียจนลาป่วยถอยทัพไป


และเมื่อคืนในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เขาก็บีบให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า ล่วงเกินราชวงศ์และทำให้จักรพรรดินีทรงกริ้ว…


เรียกได้ว่าเรื่องทั้งหมดที่หลินสวินทำ ใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นเรื่อยๆ ดูไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างที่สุด!


ยามนี้ในที่สุดเขาก็ถูกกดข่มอย่างโหดร้ายทารุณ เสียโอกาสทองชั้นดี ใครได้ยินเรื่องนี้แล้วจะไม่ทอดถอนใจบ้าง


“นับแต่วันนี้ไป หลินสวินคงไม่ได้อยู่อย่างสงบแน่”


หลายคนต่างตระหนักได้อย่างเฉียบแหลมว่า ที่หลินสวินถูกกดขี่ในครั้งนี้มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น


“ได้ยินว่าเมื่อคืนหลังจากหลินสวินกลับจากพระราชวังก็ได้ขอลากับสำนักศึกษามฤคมรกต กลับไปปิดด่านเก็บตัวยังภูเขาชำระจิต เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ตัวเขาเองยังรับรู้ได้ว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงตัดสินใจหนีปัญหา กลายเป็นเต่าหดหัวไปแล้ว”


ไม่นาน ข่าวที่หลินสวินกลับไปเก็บตัวฝึกที่ภูเขาชำระจิตก็แพร่กระจายออกมา ยิ่งเป็นการยืนยันว่าหลินสวินถูกกดดันอย่างหนัก จนไม่กล้าแผลงฤทธิ์เหมือนที่ผ่านมาอีก


“กระแสลมมักเปลี่ยนทิศได้ตลอด หลินสวินมีชื่อเสียงไวก็ถูกกดลงไว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขาอวดดีเกินไป”


นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่


ก็เหมือนสุภาษิตที่บอกว่า ยิงปีนขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บหนักเท่านั้น!


……


แน่นอนว่าคนที่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงต่างรู้ว่า หลินสวินอาจจะต้องประสบปัญหาอีกมากมาย แต่ว่าคนที่กล้าท้าทายหลินสวินนั้นมีไม่มากแล้ว!


ก็เหมือนที่หลินสวินล่วงเกินผู้มีอิทธิพลมากมายขนาดนั้น ทั้งยังก่อเรื่องใหญ่โตในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี แต่จนกระทั่งตอนนี้เขายังอยู่อย่างปลอดภัยหายห่วง เท่านี้ก็เป็นการยืนยันอ้อมๆ แล้วว่า หลินสวินไม่ใช่คนที่จะถูกสยบได้ง่ายดายขนาดนั้น!


ถ้าใครอยากฉวยโอกาสนี้รังแกหลินสวิน ย่อมเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่เหล่าผู้มีอิทธิพลที่หลินสวินเคยล่วงเกิน จนตอนนี้ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าคนทั่วไปคิดจะไปหาเรื่องหลินสวิน ก็เหมือนกับการรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ


เรียกได้ว่าแม้หลินสวินจะยโสโอหัง แม้จะป่าเถื่อน แต่เขามีชื่อเสียงอันโด่งดัง ไม่ใช่คนที่ผู้มีอำนาจทั่วไปสามารถหาเรื่องได้


อีกอย่างเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างหลินสวิน ถ้าคิดจะเหยียบย่ำเขา คงต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าจะรับมือกับการแก้แค้นของเขาได้หรือไม่!


อย่างไรก็ตาม ความฮือฮาที่หลินสวินก่อขึ้นในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ก็เป็นการทำให้ ‘ชื่อเสียงร้ายกาจ’ ของหลินสวินจารึกเข้าไปในจิตใจของผู้ฝึกปราณมากมายในนครต้องห้ามไปโดยปริยาย


……


บนภูเขาชำระจิต ตอนที่พญาแร้ง เสี่ยวเคอและหลินจงรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็พอจะเข้าใจว่าเหตุใดหลังจากหลินสวินกลับจากงานฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินีแล้ว จึงเลือกกลับมาเก็บตัวอย่างกะทันหัน


เพียงแต่พวกเขาไม่คิดว่านี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่หลินสวินเก็บตัวฝึก


“การปิดด่านเก็บตัวของหลินสวิน ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จักรพรรดินีเรียกพบแน่ แต่ไม่ใช่เพราะถูกกดดัน”


พญาแร้งวิเคราะห์ข้อสรุปออกมา


“บางทีเขาอาจสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ยากจะคาดเดาบางอย่าง”


เสี่ยวเคอพึมพำ


“ที่น่าชิงชังที่สุดคือ ในสำนักศึกษามฤคมรกตนั่นมีศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อจั่วอวี้จิง พูดจาสามหาวกล่าวหาว่านายน้อยใจกล้าเทียมฟ้า กล้าท้าทายดูหมิ่นเกียรติของราชวงศ์ ถือเป็นความผิดอย่างมหันต์ ถ้ามีโอกาสได้ประลองกับนายน้อย เขาจะทำให้นายน้อยได้เจอบทเรียนอย่างสาสม”


หลินจงพูดอย่างขึ้งโกรธ “จั่วอวี้จิงคนนี้คิดจะฉวยโอกาสเหยียบหัวนายน้อย เพิ่มชื่อเสียงให้ตัวเองเห็นๆ”


“ตระกูลจั่วงั้นหรือ”


พญาแร้งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่


“ใช่ ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ยังเป็นบุคคลชั้นยอดในสาขายุทธ์วิถีของสำนักศึกษามฤคมรกตด้วย ถูกจัดอยู่ในอันดับสามบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ มาจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่ว”


หลินจงพูดขึ้นอย่างรวดเร็วต่อ


“เพราะคำพูดนี้ของเขา ทำให้เกิดความฮือฮาไปทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกต ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อชื่อเสียงของนายน้อยอย่างมาก”


“ตระกูลจั่วและตระกูลฉินก็คือคนร้ายตัวหลักๆ ที่เข้ามาแย่งชิงกิจการของภูเขาชำระจิตตระกูลหลินเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้สามตระกูลรองของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุเองก็หวังให้ตระกูลจั่วและตระกูลฉินลงมือ เพื่อพลิกสถานการณ์แย่งภูเขาชำระจิตกลับคืนไป” พญาแร้งพูดด้วยท่าทางสงบ “การที่จั่วอวี้จิงแห่งตระกูลจั่วทำอวดดีในสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”


“แต่ว่า…”


หลินจงกล่าวเสียงถอดถอนหายใจ “ยามนี้นายน้อยเก็บตัวฝึก ก็ไม่รู้ว่าจะฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ เราจะนิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรเลยจริงหรือ”


“ใช่ ไม่ทำ”


พญาแร้งระบายยิ้มบางๆ “เราควรทำอะไรก็ทำ แม้โลกภายนอกจะวุ่นวายกันเพียงใด อย่างน้อยๆ ในภูเขาชำระจิตนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถรบกวนเราได้”


พูดถึงตรงนี้ พญาแร้งพลันขมวดคิ้วพูด “แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างยุ่งยาก”


“เรื่องอันใดหรือ”


หลินจงถาม


“ศัตรูที่คิดจะเล่นงานภูเขาชำระจิตไม่น้อย บางทีพวกเขาอาจจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่ก็สามารถไปโจมตีตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้”


พญาแร้งไตร่ตรองแล้วพูดขึ้น “หลินจง ข้ามีคำแนะนำหนึ่ง อยากให้เจ้าไปที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรด้วยตัวเอง เล่าสถานการณ์ทั้งหมดตอนนี้ให้พวกเขา พยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาย้ายมายังภูเขาชำระจิตทั้งตระกูล”


หลินจงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านพญาแร้งวางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”


“ส่วนเรื่องอื่น…”


พญาแร้งครุ่นคิดก่อนพูดต่อ “ก็คงทำได้แค่รอให้หลินสวินออกด่าน แล้วค่อยจัดการ”


……


ในขณะที่โลกภายนอกกำลังวุ่นวาย หลินสวินก็ได้เข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว


เขาปิดด่านฝึกคราวนี้ ไม่ใช่เพื่อขัดเกลาพลังปราณซะทีเดียว เพราะเขาเพิ่งเข้าบรรลุสู่ขั้นปลายแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ ปิดด่านฝึกตนอีกก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก


แต่ห้องโถงมรรคาสวรรค์กลับแตกต่าง


หลินสวินมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการเข้าไปท้าชิงในด่านทดสอบที่สี่ของทางเดินเมฆาหยก ตั้งแต่ตอนที่พลังปราณบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว


เพราะก่อนหน้านั้นถูกปัญหาจุกจิกต่างๆ รัดตัว ทำให้จนถึงตอนนี้หลินสวินเพิ่งจะตัดสินใจเข้าไปทดสอบ


เมื่อเทียบกับอันตรายที่มาจาก ‘เวลาห้าปี’ สำหรับหลินสวินแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ภารกิจเร่งด่วนที่สุดตอนนี้ ก็คือการพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเท่าที่จะทำได้!


และการเข้าไปผ่านบททดสอบในห้องโถงมรรคาสวรรค์ สำหรับหลินสวินแล้วถือเป็นโอกาสทองที่ทำให้ความสามารถของเขาเปลี่ยนไปเหมือนได้เกิดใหม่เลยทีเดียว!


ภายในห้องโถงมรรคาสวรรค์ยังคงกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทางเดินเมฆาหยกทอดยาว จุดสิ้นสุดคือบานประตูมรรคาสวรรค์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้นราวกับไม่ได้เปิดมานานมากแล้ว


เมื่อยืนอยู่ตรงนี้แล้วทอดสายตามองไปรอบๆ หลินสวินก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ ทุกอย่างในโลกภายนอกกำลังผันเปลี่ยน แม้แต่ตัวเองก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงในนี้ที่เงียบสงบ กว้างสุดลูกหูลูกตา ไร้ซึ่งร่องรอยของกาลเวลามาโดยตลอด


มีกลิ่นอายอันคุ้นเคยคละคลุ้งเต็มไปหมดและวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวหลินสวิน ทันใดนั้นเสียงที่เย็นเยียบราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางผืนฟ้าและปฐพี…


“ผู้กล้า ‘อาณาเขตเดินทาง’ ด่านที่สี่ของทางเดินเมฆาหยกนี้ เจ้ามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ยิ่งใช้เวลาในการเผด็จศึกมากเท่าไหร่ โอกาสที่ได้รับก็จะยิ่งมาก พร้อมเริ่มทดสอบหรือไม่”


หลินสวินอึ้งงัน เงื่อนไขในการทดสอบครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงอดถามไม่ได้ว่า “ถ้าพลาดจะเป็นอย่างไร”


ครู่ต่อมาเขานึกขำ เป็นไปได้อย่างไรที่อีกฝ่ายจะตอบข้อข้องใจของตัวเอง มิเช่นนั้นคงตอบคำถามมากมายของตนตั้งแต่บททดสอบด่านแรกแล้ว


แต่สิ่งที่หลินสวินคาดไม่ถึงคือ ครั้งนี้เขาได้คำตอบแล้ว!


“ด่านนี้ไม่มีคำว่าพลาด”


เสียงอันเย็นเยียบราบเรียบนั่นยังคงไร้ซึ่งความรู้สึก


แต่สำหรับหลินสวินแล้ว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลับทำให้เขาตะลึง นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามายังห้องโถงมรรคาสวรรค์จนตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เสียงลึกลับนั่นตอบคำถามของเขา ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างไม่ต้องสงสัยว่า อีกฝ่ายมีความตระหนักรู้จริงๆ!


อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่


นี่จะใช่ดวงจิตหนึ่งที่ผู้ปกครองห้องโถงมรรคาสวรรค์แห่งนี้ทิ้งเอาไว้หรือไม่


……………….


ตอนที่ 434 แดนวิญญาณโบราณ

โดย

ProjectZyphon

“ผู้กล้า จะท้าประลองหรือไม่”


ในขณะที่หลินสวินยังคงอึ้งงันอยู่ เสียงอันราบเรียบเย็นชานั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง


“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าบททดสอบด่านนี้มีการจำกัดเวลาหรือไม่”


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถาม


แต่เนิ่นนานก็ยังไร้เสียงตอบรับ


หลินสวินชะงัก ในใจรู้สึกผิดหวัง เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมีตัวตนและมีสติปัญญา แต่เห็นได้ชัดว่าเพราะเหตุผลบางประการจึงไม่ยอมพูดมากความกับตน


“ข้าเลือกจะประลอง…”


หลินสวินส่ายหน้า ไม่คิดมากไปกว่านั้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ


วู้ม~


พลันมีคลื่นประหลาดกระจายขึ้นจากใต้ฝ่าเท้า ปกคลุมทั่วทั้งร่างของหลินสวินแล้วม้วนสู่ใจกลางความว่างเปล่า


หลินสวินรู้สึกเพียงว่าตรงหน้ามีแต่แสงประหลาดสีสันหลากหลาย คล้ายกำลังท่องไปในกระแสเวลา สติสัมปชัญญะก็เริ่มเลื่อนลอยอย่างควบคุมไม่อยู่


โครม!


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินสวินรู้สึกเพียงว่าร่างกายได้สะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง สติที่เลื่อนลอยตื่นตัวขึ้นมาทันที


เมื่อเงยหน้ามองไป เห็นเป็นเทือกเขาเรียงราย ท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทุกที่ล้วนมีสภาพทรงพลังมีชีวิตชีวาราวกับเป็นพื้นที่รกร้างที่ไม่เคยถูกบุกเบิกมาก่อน


แกว๊ก~


เสียงร้องกังวานชัดดังมาจากบนฟ้า เงามืดหนึ่งทอดร่างลงมาปกคลุมหลินสวินไปทั้งตัว


เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วตะลึงไป ตัวแข็งค้างอยู่กับที่ทันที


ด้วยเห็นว่าบนฟากฟ้าอันไกลโพ้น สัตว์ร้ายที่สูงกว่าพันจั้ง รูปร่างใหญ่โตราวกับผืนแผ่นดินใหญ่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ กำลังเปล่งเสียงร้องท่ามกลางลมเมฆ โบยบินอยู่บนท้องฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด


ลักษณะภายนอกของมันคล้ายปลาตัวใหญ่ แต่กลับมีปีกสีน้ำตาลเขียวคู่หนึ่งที่สามารถปกคลุมผืนฟ้า นัยน์ตาราวกับทะเลสาบสะท้อนภาพผืนฟ้าอยู่!


แกว๊ก~~


มันส่งเสียงคำราม พออ้าปากก็ราวกับสามารถกลืนกินทุกสิ่งเข้าไปได้ เสียงที่คำรามออกมากึงก้องกังวาน ชวนตะลึงอย่างที่สุด


นี่มัน…


หลินสวินรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว สัตว์ร้ายตัวนี้ร่างใหญ่โตมโหฬาร อีกทั้งดูน่ากลัว ปกคลุมท้องฟ้า บดบังแสงอาทิตย์ ราวกับคุนเผิงในตำนานไม่มีผิด!


เมื่อเทียบกันแล้วตัวเขาก็เหมือนมดตะนอย ด้อยค่าไม่ต่างจากเศษฝุ่น!


โชคดีที่เพียงครู่หนึ่งสัตว์ร้ายตัวนั้นก็บินเหินฟ้าไป หายไปท่ามกลางความว่างเปล่าในบริเวณที่ไกลออกไป


หลินสวินเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่ในใจกลับยังคงตะลึงและแปลกใจ นี่มันสถานที่บ้าบออะไรเนี่ย


แล้วสัตว์ร้ายที่รูปร่างคล้ายปลาแต่มีปีกเมื่อครู่นี้ ใช่คุนเผิงในตำนานหรือไม่


“เข้าสู่แดนวิญญาณโบราณ เริ่มการท้าประลอง!”


เสียงอันราบเรียบเย็นชาดังขึ้นในหัวอีกครั้ง “ผู้กล้า บนเส้นทางแห่งการประลอง หากสู้ไม่ไหวจงบีบป้ายหยกนี้ให้แตก แล้วจะกลับมาได้”


“จงจำไว้ว่า หากสิ้นชีพในแดนวิญญาณโบราณ ก็เท่ากับตายอย่างแท้จริง!”


สิ้นเสียงนั้น ป้ายหยกแผ่นหนึ่งพลันปรากฏอยู่ในมือหลินสวิน ขนาดประมาณฝ่ามือ ขาวบริสุทธิ์ มีลายสลักวิญญาณอันคลุมเครือประทับอยู่ด้วย


หลินสวินจ้องอยู่ครู่ เขาเหมือนเดาอะไรออก พลันเปิดแหวนหนวดมังกรแล้วหยิบดาบวิญญาณม่วงออกมา


กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพบว่าตัวเองอยู่หุบเขาลึกโบราณ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าและพุ่มหญ้าอุดมสมบูรณ์


อากาศดูชื้นๆ ทั้งยังมีกลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าลอยโชยมาเป็นระยะๆ


เมื่อเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า พยับเมฆลอยเคลื่อนรวดเร็ว ดวงอาทิตย์ร้อนแรงลอยสูง ราวกับมีความกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด ระหว่างฟ้าดินคล้ายอบอวลไปด้วยพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์!


การค้นพบนี้ทำให้หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ ในจักรวรรดิจื่อเย่าบนเส้นปราณวิญญาณเท่านั้น จึงจะปรากฏพลังวิญญาณเช่นนี้


แต่ที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ!


‘หรือว่า…ข้าได้มาอยู่ในโลกอีกใบ?’


จู่ๆ หลินสวินก็นึกขึ้นได้ว่าเสียงราบเรียบเย็นเยียบนั่นบอกว่า ที่นี่คือ ‘แดนวิญญาณโบราณ’ เห็นได้ชัดว่ามีความเป็นไปได้ที่การคาดเดาของเขาจะเป็นจริง!


หลินสวินยังคงอึ้งงันอยู่อย่างนั้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ‘อาณาเขตเดินทาง’ ของด่านที่สี่แห่งทางเดินเมฆาหยกนั้นไม่ใช่ภาพนิมิต แต่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นโลกอีกใบที่มีตัวตนอยู่จริง


เหนือความคาดหมายจริงๆ!


ครู่ใหญ่หลินสวินจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเก็บป้ายหยกในมืออย่างระมัดระวัง


จะรอดออกจากที่นี่ได้หรือไม่ ป้ายหยกนี้คือความหวังเดียวของเขา!


‘ด่านนี้ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะพลาด แต่ถ้าถูกฆ่าตายที่นี่ ก็เท่ากับตายจริงๆ’


‘แต่ว่าจากที่เสียงลึกลับนั่นแนะนำ ที่แห่งนี้มีโอกาสมากมาย อยู่ที่ว่าตัวเองจะคว้าไว้ได้เท่าไหร่…’


หลินสวินพยายามใจเย็นเอาไว้ ในขณะที่คิดไตร่ตรองสถานการณ์อย่างรวดเร็ว


ตูม!


และในขณะนั้นเอง จู่ๆ ในพุ่มหญ้าที่อยู่ไม่ไกลก็มีเงาดำพุ่งออกมา กรงเล็บอันแหลมคมฉายประกายเงางาม ทะยานเข้าหาหลินสวินพร้อมไอสังหาร


พริบตาเดียวอันตรายก็มาเยือน!


แทบจะเป็นการกระตุ้นด้วยสัญชาตญาณ ทำให้หลินสวินฟันดาบออกมาตามจิตใต้สำนึก คมดาบสีม่วงสาดซัดลำแสงรุนแรงออกไปโดยพลัน


ปัง!


เสียงกระทบดังเสียดหู หลินสวินรู้สึกเพียงว่าแขนขวาชาวาบขึ้นมา ร่างถอยเซไปสามก้าวอย่างเสียการควบคุม


สีหน้าของหลินสวินพลันเปลี่ยนไปทันที พลังช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!


และในยามนั้นเอง ในที่สุดหลินสวินก็เห็นรูปลักษณ์ของผู้โจมตีชัดแล้ว นั่นเป็นเสือดาวมรกตตัวหนึ่ง หนังและขนสาดประกายแสงสีเขียวราวกับต้นไม้ใบหญ้า ดวงตาแดงก่ำดั่งสีเลือด ทั่วทั้งตัวแผ่ไอสังหารดุดัน


หลินสวินเคยเห็นเสือดาวมรกตมาก่อน แต่ที่ดุดันปานนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก


พลังที่มันปล่อยออกมาไม่ต่างอะไรกับยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญญาณเลย!


นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ


โฮก~


เสือดาวมรกตตัวนั้นส่งเสียงคำราม เตะเท้าทั้งสี่ทะยานผ่านอากาศ ทั้งตัวเปล่งประกายแสงสีเงินออกมา วิ่งพุ่งเข้าหาหลินสวินอีกครั้ง


ฮู้ม~


อากาศแปรปรวน ราวกับรับความดุดันของเสือดาวมรกตไม่ไหว พื้นดินยิ่งเกิดเป็นกระแสลม ฉีกใบหญ้าในรัศมีสิบจั้งจนละเอียดเป็นฝุ่นผง


เพียงพลังในการพุ่งเข้ามาก็น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้แล้ว!


มีหรือที่หลินสวินยังจะกล้ารีรอ สะบัดดาบสู้ทันใด


ตู้ม!


ในบริเวณนี้ไอสังหารปกคลุมไปทั่ว เสียงคำรามดังขึ้นไม่หยุดหย่อน คนและสัตว์คู่หนึ่งสู้กันอย่างแยกไม่ออก รอยแตกของพื้นดินรอบๆ แพร่กระจายออกราวกับใยแมงมุม


ครู่หนึ่งหลังจากนั้น


ด้วยด้วยเสียงดาบอันชัดเจน ดาบวิญญาณม่วงกรีดวาดวิถีดาบร้ายกาจลี้ลับ ได้ยินเสียงฟุ่บคราหนึ่งก่อนที่จะตัดคอเสือดาวมรกตจนขาด


ทันใดนั้นเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเต็มไปหมด ร่างที่ยาวกว่าหนึ่งจั้งของเสือดาวมรกตทรุดลงกับพื้น


ต่อมาหลินสวินก็เก็บดาบของเขา ก้าวเข้าไปอยู่ตรงหน้าศพของเสือดาวมรกตตัวนั้น


แม้สัตว์ร้ายตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่หลินสวินกลับไม่รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด มันผิดปกตินักเสือดาวมรกตตัวหนึ่งกลับมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลาย!


หากไม่ได้เห็นกับตา หลินสวินยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ


ฟุ่บ!


หลินสวินสะบัดดาบชำแหละศพของเสือดาวมรกตอย่างไม่ลังเล เขาอยากรู้ว่าสัตว์ร้ายตัวนี้มีพลังระดับไหนกันแน่


ไม่นานหลินสวินก็พบความผิดปกติตามคาด


ไข่มุกสีมรกตเม็ดหนึ่งปรากฏอยู่ในหัวใจของเสือดาวมรกต ลูกกลอนปีศาจนี้คล้ายเม็ดไข่มุก กลมวาวสวยงาม ส่องแสงประกายราวกับดวงดารา พื้นผิวมีพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์หนาแน่นพันอยู่


ลูกกลอนปีศาจ!


หลินสวินสูดหายใจลึก ตามคาด เสือดาวมรกตตัวนี้ได้เปิดปัญญาวิญญาณแล้ว รู้จักการฝึกปราณ จะเรียกว่าสัตว์ร้ายไม่ได้แล้ว ควรเรียกว่าสัตว์ปีศาจถึงจะถูก!


ในจักรวรรดิจื่อเย่าก็มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจ และในพื้นที่อันตรายหลายที่ก็มีสัตว์ปีศาจอยู่จริง แต่จำนวนกลับน้อยนัก แทบจะสูญพันธุ์แล้ว


หลินสวินคิดไม่ถึงว่า ตนเพิ่งมาถึงแดนวิญญาณโบราณก็ได้เจอกับสัตว์ปีศาจที่มีพลังปราณซะแล้ว อีกทั้งความสามารถยังเทียบเท่าระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลาย!


จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า โลกที่เขาอยู่ตอนนี้อันตรายเพียงใด


ไม่นานหลินสวินก็รู้สึกไหววูบในใจ สายตาเปลี่ยนเป็นรุ่มร้อน เก็บลูกกลอนปีศาจจากเสือดาวมรกตนั่นขึ้นมาเล่นอย่างพินิจ


นี่เป็นของหายาก ไม่เพียงแค่สามารถหลอมเป็นโอสถชั้นดีหายาก ยังสามารถกลืนเข้าไปตรงๆ ได้เลย สามารถช่วยในการฝึกปราณได้อย่างดีเยี่ยม!


ถ้าอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าจะต้องเป็นของอันล้ำค่าอย่างแน่นอน


แซ่กๆๆ


ทันใดนั้นก็มีเสียงเสียดสีดังขึ้นเบาๆ จากไกลๆ คล้ายมีสัตว์ร้ายอะไรกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว


นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ไม่คิดมากความอีก เงาร่างวูบไหว พุ่งตัวออกจากบริเวณนี้ไปอย่างไม่ลังเล


ยามเงาร่างของเขาหายไป ก็เห็นว่าบนพื้นมีเงาร่างสีทองถลาเข้ามาราวกับคลื่นซัด


นั่นเป็นฝูงมดที่น่าตะลึงฝูงหนึ่ง!


เพียงแต่ไม่เหมือนมดปกติ มดเหล่านี้แต่ละตัวยาวราวครึ่งฉื่อ ลำตัวเป็นสีทองอร่าม ข้อต่อขาราวร่ายระบำ คมเขี้ยวดุจมีดคม แผ่กลิ่นอายดุร้ายไปทั่วทั้งตัว


บริเวณที่ฝูงมดสีทองผ่านมา ต้นไม้ทรุดตัว พืชพรรณกลายเป็นฝุ่นผง พื้นดินราวกับถูกเผาไหม้กลายเป็นสีดำ


ภาพนี้เป็นการสะท้อนประโยคที่ว่า ‘แม้หญ้าก็ไม่อาจขึ้น’ อย่างแท้จริง


ไม่นานพวกมันมาถึงตรงหน้าศพเสือดาวมรกตแล้วเริ่มแทะกิน เพียงพริบตาเดียว ศพของเสือดาวมรกตก็หายไป


ตอนที่หลินสวินซึ่งหลบอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยจั้งเห็นภาพนี้ก็อดตื่นตระหนกไม่ได้


มดทองคำ!


นี่เป็นสัตว์ปีศาจที่สูญพันธุ์ไปจากจักรวรรดิจื่อเย่าตั้งนานแล้ว!


พวกมันปรากฏตัวเป็นฝูง สามารถกลืนกินสรรพสิ่งได้ ราชามดทองคำที่โตเต็มวัยแล้ว ถึงขั้นที่มีพลังที่สามารถฆ่ายอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะได้เลย!


จนกระทั่งมดทองคำเหล่านั้นหายไป หลินสวินจึงละสายตาออกมา ร่างพิงบนกิ่งไม้ เริ่มใคร่ครวญ


แดนวิญญาณโบราณนี้อันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย มีสัตว์ปีศาจที่ยากจะจินตนาการ ดุดันเกินคาดเดา ผู้ฝึกปราณทั่วไปคงไม่กล้าเสี่ยงมา


แต่ในขณะเดียวกัน ที่นี่ก็มีโอกาสมากมายซ่อนอยู่ เหมือนกับลูกกลอนปีศาจเสือดาวมรกตที่หลินสวินเพิ่งได้ไปก็เป็นผลเก็บเกี่ยวที่น่าทึ่งจริงๆ


‘ดูเหมือนว่าถ้าอยากอยู่รอดในนี้และอยู่ได้นาน ก็ต้องระวังให้มากกว่านี้…’


หลินสวินถอนหายใจยาว


เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความอันตรายนี้วนเวียนอยู่ในใจ สลัดอย่างไรก็ไม่ออก


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้กลับยิ่งทำให้หลินสวินคาดหวัง เขาไม่เชื่อหรอกว่าโอกาสในที่แห่งนี้จะมีเพียงเท่านี้!


หลินสวินเลือกทิศทางอีกครั้งแล้วเริ่มออกเดินทางเพียงลำพังอย่างไม่ลังเล


เขาจำเป็นต้องคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งคุ้นชินไวเท่าไหร่ สถานการณ์ของเขาก็จะยิ่งปลอดภัย


เพียงแต่เดินหน้าไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หลินสวินพลันยืนนิ่ง หว่างคิ้วเผยความเคร่งเครียด


ไม่ถูกต้อง!


ผืนป่าโบราณแห่งนี้เงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ก็ไม่ปาน


ตั้งแต่เข้ามาจนถึงบัดนี้ อย่าว่าแต่สัตว์ปีศาจเลย แม้แต่แมลงตัวหนึ่งก็ไม่เจอ!


ภาพที่ผิดปกตินี้ทำให้หลินสวินตระหนกในใจ ทั้งร่างหนาวเยือกขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ


และในยามนี้เอง เสียงที่ราวกับกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วมาจากในป่าอันเงียบเหงาและมืดมิด


——

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)