Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 423-424
ตอนที่ 423 ยั่วยุไม่หยุดหย่อน
โดย
ProjectZyphon
ก่อนจะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษา ก็มีข่าวแพร่งพรายออกมา
ว่าในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้จะมีคนใหญ่โตจากดินแดนรกร้างโบราณมาร่วมด้วย หากได้รับการยอมรับจากพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกพาไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ!
ดินแดนรกร้างโบราณ!
สำหรับผู้ฝึกปราณมากมายในโลกแล้ว อาจจะเป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
แต่สำหรับลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชนชั้นสูงแล้ว กลับรู้ดีว่าที่นั่นเป็นโลกกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยสำนักวิชา สวยงามไร้ขอบเขต มีทรัพยากรณ์ฝึกปราณที่เกินจินตนาการได้
หากได้เข้าไปฝึกปราณในนั้น ย่อมเท่ากับย่างเท้าเทียมนภา ประสบความสำเร็จรุดหน้าดั่งมัจฉาโผเข้าประตูมังกร!
ดังนั้นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมากมายจึงมาที่นี่ ทั้งหลิงเทียนโหว เว่ยฉือเจ๋อ ซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง ไป๋หลิงซี อวิ๋นฝูเฉิน…
ที่ดึงดูดพวกเขานั้น ก็คือโอกาสที่เกี่ยวข้องกับดินแดนรกร้างโบราณนี้นั่นเอง!
จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันออกจากบัลลังก์ก่อนหน้านี้แล้ว กล่าวว่าจะไปต้อนรับสหายบางคน
นี่พาให้ทุกคนเดาได้ว่า สหายที่ทำให้จักรพรรดินีไปต้อนรับด้วยพระองค์เองนั้น ย่อมต้องเป็นคนชั้นสูงจากดินแดนรกร้างโบราณ!
ดังนั้นเมื่อหัวหน้าเผิงประกาศว่าจักรพรรดินีทรงนำรางวัลออกมา หมายจะพระราชทานรางวัลแก่ผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่อยู่ในที่นั้น ถึงได้ดึงดูดความสนใจอย่างแข็งขันเช่นนี้
เพราะเรื่องนี้คาดเดาได้ง่ายเกินไป รางวัลที่ว่านั้นเห็นได้ชัดว่ามีขึ้นเพื่อให้กลุ่มผู้กล้ารุ่นเยาว์ในที่นี้ได้แสดงความสามารถ!
เพียงแสดงความสามารถได้ล้ำเลิศมากพอ ไม่เพียงได้รับรางวัลอย่างงามจากจักพรรดินี ยังสามารถได้รับความชื่นชมจากดินแดนรกร้างโบราณอีกด้วย!
นี่ต่างหากที่เป็นจุดที่ดึงดูดที่สุด
ทันใดนั้นกลุ่มผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่อยู่ในที่นั้น ในใจพลันเอ่อล้นด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ใบหน้ามีเพียงสีหน้ากระตือรือร้นอยากลอง
“ทุกท่านคงเดาความหมายของการจัดประลองครั้งนี้ได้ แต่ข้ายังต้องเตือนทุกท่านสักคำ”
เสียงหัวหน้าเผิงก้องกังวาน สะท้อนไปทั่วโถงตำหนัก “ยามพวกท่านดำเนินการประลอง การแสดงออกทุกอย่างล้วนอยู่ในสายพระเนตรขององค์จักรพรรดินีและคนอื่นๆ”
พูดถึงตรงนี้ หัวหน้าเผิงสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า “โอกาสหาได้ยากยิ่ง อย่าพลาดโอกาสดีไป! ทุกท่านตามข้ามา!”
เขาพูดพลางเดินก้าวใหญ่ออกจากตำหนักกลาง
ทันใดนั้นกลุ่มแขกเหรื่อในนั้นก็พากันลุกขึ้น หลั่งไหลตามออกไปอย่างแน่นขนัด
……
บนจัตุรัสนอกตำหนักกลางไม่รู้ว่าถูกติดตั้งลานแสดงยุทธ์มหึมาลานหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร พื้นปูด้วยกระบวนรอยสลักวิญญาณน่ากลัว ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกโจมตีจนสลายไป
เห็นเช่นนี้เหล่าคนใหญ่คนโตต่างลอบตื่นตระหนก เห็นชัดเจนว่าการประลองที่จัดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษานี้ ย่อมมีความหมายไม่ธรรมดา
หาไม่แล้วจะมีลานแสดงยุทธ์โผล่ขึ้นมาหน้าตำหนักกลางเช่นนี้ได้อย่างไร
“ดูท่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง ครั้งนี้บุคคลชั้นสูงจากดินแดนรกร้างโบราณมาร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาด้วย ชัดเจนว่าหมายมาคัดเลือกลูกศิษย์ ถ้าเข้าตาพวกเขา ก็เท่ากับได้รับโอกาสใหญ่ครั้งหนึ่ง!”
คนใหญ่คนโตหลายคนคาดเดาอะไรออก แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาเริ่มจับจ้องลูกหลานตระกูลตนเอง ต้องการให้พวกเขาคว้าโอกาสนี้ไว้มั่น!
เพราะเพียงเข้าตา ก็จะได้ไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณนั้น และนำพาผลประโยชน์ยากเกินจินตนามาให้ขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเหล่านี้!
คนใหญ่คนโตมากอำนาจเหล่านี้ต้องการรู้ตื้นลึกหนาบางของดินแดนรกร้างโบราณยิ่งขึ้น ที่นั่นย่อมไม่ใช่เพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณธรรมดาๆ เท่านั้นแน่
ขุมอำนาจสำนักวิชาที่น่าหวั่นกลัวบางสำนักในนั้น ยิ่งสามารถแผ่อิทธิพลใหญ่หลวงต่อจักรวรรดิจื่อเย่า!
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลตระกูลใดเข้าตาอีกฝ่าย และสามารถไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณได้ ขุมอำนาจตระกูลนั้นก็ย่อมได้รับความสำคัญและการดูแลจากจักรวรรดิ!
นี่ถึงเป็นจุดที่ทำให้คนใหญ่คนโตมากอำนาจเหล่านั้นหวั่นไหว
พูดได้ว่า ความหมายของการประลองครั้งนี้ได้แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว ที่ผู้กล้ารุ่นเยาว์เหล่านั้นคิดก็คือไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ
แต่ที่คนใหญ่คนโตเหล่านั้นคิดก็คือ หากลูกหลานตระกูลตนเข้าตาแล้ว ย่อมนำผลดีไม่น้อยมาสู่วงศ์ตระกูลของตน
สำหรับหลินสวินแล้วความคิดของเขาเรียบง่ายมาก เขาไม่มีแม้แต่ความคิดจะเข้าร่วม ช่วยไม่ได้ ต่อให้เข้าตา เขาก็ไม่สามารถจากไปตอนนี้ได้
ด้วยเขายังต้องควบคุมดูแลภูเขาชำระจิต ทั้งยังต้องรับหน้าที่สร้างความรุ่งเรืองให้กับตระกูลหลิน จะทิ้งทุกอย่างไว้เช่นนี้โดยไม่ไยดีแล้วจากไปได้อย่างไร
ที่หลินสวินคำนึงถึงเพียงอย่างเดียวก็คือ หากได้รู้ร่องรอยบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่เทียมฟ้าจากปากของบุคคลชั้นสูงที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้น ก็ทำให้ตนพึงพอใจมากแล้ว
“อีกเดี๋ยวเจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่”
หลิ่วชิงเยียนเดินมาถามเสียงเบา
“ดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน”
หลินสวินพึมพำ ครั้งนี้ในลานมีผู้กล้าที่มีชื่อสะท้านใต้หล้าอยู่ก่อนแล้วมากมายรวมตัวหนาแน่น เขาก็อยากดูเหมือนกันว่า ผู้กล้าที่ว่าเหล่านั้นจะมีพลังปราณแข็งแกร่งขั้นไหน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะเข้าร่วมหรือไม่
“ไม่ว่าอย่างไร ข้ายังเชื่อว่าเจ้าสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้”
หลิ่วชิงเยียนแย้มยิ้ม
ถูกคนงามให้ความสำคัญเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องน่าดีใจเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะหลิ่วชิงเยียนที่เป็นถึงหญิงงามที่มีคุณลักษณะโดดเด่น ก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่
หลินสวินเองก็ไม่เว้น เขาถึงกับละอายอยู่บ้าง รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกันนะ
“หลินสวิน!”
ฉับพลัน เสียงที่เต็มไปด้วยความจองหองเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ก็เห็นว่าไม่ไกลนัก ฉือฉางเฟิงที่สวมเกี้ยวประดับสูงขนนกสีทอง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความดุดัน กำลังมองมาทางหลินสวินอย่างเย็นชา
“อีกเดี๋ยวเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดี ข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าเจ้าได้ก่อน!”
น้ำเสียงของฉือฉางเฟิงเย็นเยียบ ทั้งตัวเขาราวกับกระบี่ที่เผยคมมีดชัดเจนเล่มหนึ่ง ดูโหดเหี้ยมไร้จิตใจถึงที่สุด
พูดจบเขาก็หันหน้าเดินจากไป
หลินสวินพลันขมวดคิ้ว ตนไม่ได้ไปล้างแค้นเจ้าหมอนี่ เจ้าหมอนี่กลับแจ้นมาหาเสียเอง บ้าระห่ำดีแท้
“เจ้ากับเขามีความแค้นกันหรือ”
หลิ่วชิงเยียนชะงักงัน ดวงตาสุกใสปรากฏความกังวลใจ
ฉือฉางเฟิง เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นปีศาจตนหนึ่ง บนกายมีเส้นปราณ ‘ดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง’ อายุเพิ่งสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้นก็มีชื่อทั่วนครต้องห้าม พลังปราณและความสามารถในการต่อสู้นั้นเรียกได้ว่าวิปริต
อันดับสองในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ก็พิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของเขาได้ดีที่สุด
“มีความแค้น ยามข้าเพิ่งเข้ามาในนครต้องห้ามเขาก็อยากฆ่าข้าแล้ว เพียงแต่ทำไม่ได้ตามที่หวัง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังกล้ามาหาเรื่องถึงที่”
หลินสวินอธิบายคำหนึ่งแล้วถามขึ้น “การประลองครั้งนี้ฆ่าคนได้หรือไม่”
หลิ่วชิงเยียนอึ้งไป ส่ายหัวพลางพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ได้ นี่เป็นถึงงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี จะให้มีคนตายได้อย่างไร”
หลินสวินพลันหัวเราะ “พูดเช่นนี้ ที่เจ้าหนูนั่นเพิ่งพูดว่าจะฆ่าข้าก็กำลังพูดหมาๆ งั้นสิ”
คำพูดว่าพูดหมาๆ นี้ดูหยาบคายนัก พาให้หญิงงามที่บริสุทธิ์ถึงที่สุดอย่างหลิ่วชิงเยียนอดหน้าแดงไม่ได้ ดวงตาสุกใสมองค้อนหลินสวินคล้ายตำหนิรอบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าได้ไม่ใส่ใจ หากเขาคิดท้าประลองกับเจ้าจริง ต่อให้ฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่บาดเจ็บสาหัสคงยากหลีกเลี่ยง”
หลินสวินยิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ
แท้จริงแล้วหลิ่วชิงเยียนย่อมไม่รู้ว่า เมื่อได้ยินคำว่าฆ่าคนไม่ได้นั้น ใจเขากลับผิดหวังนัก หากทำได้ล่ะก็ เขาจะไม่เกรงใจแล้วฆ่าฉือฉางเฟิงเสียในพระราชวังแห่งนี้!
“หลินสวิน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีก อ่อนหวานหาได้เปรียบ แต่กลับเป็นหลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นในชุดสีเลือดทั้งตัว ผู้มีรูปลักษณ์งดงามหล่อเหลาราวปีศาจ!
“ประเดี๋ยวกล้ามาประลองกับข้าสักตาหรือไม่”
หลิงเทียนโหวส่งสายตากดดัน “หากข้าชนะล่ะก็ นอกจากเจ้าต้องรับใช้ถวายชีวิตให้ข้าสิบปี ยังต้องให้หลิ่วชิงเยียนศิโรราบให้ข้าด้วย ว่าอย่างไร”
“เจ้า…” หลิ่วชิงเยียนคิดไม่ถึงเลยว่า หลิงเทียนโหวผู้นี้พอมาถึงก็นำนางมาเป็นของเดิมพันเลย ใบหน้าพริ้งพรายพลันเย็นชาราวน้ำแข็ง ดวงตาสุกใสเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง
นี่มันเกินไปแล้ว!
ไม่เพียงหลิ่วชิงเยียน ผู้ฝึกปราณหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินเข้าต่างอดสูดหายใจลึกไม่ได้ คิดว่าหลิงเทียนโหวใจกล้าคับฟ้าไปแล้ว ความหยิ่งผยองนั้นไม่เพียงจองหอง แต่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ยิ่ง
แต่ผู้ที่รู้จักหลิงเทียนโหวต่างรู้กันว่า คนผู้นี้ก็มีนิสัยใจคอเช่นนี้ โหดเหี้ยมเกินมนุษย์มนา ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่หวั่นกลัว เดิมทีที่เขาถูกขับออกจากนครต้องห้ามก็ไม่ใช่เพราะแย่งชิงผู้ฝึกปราณสายศิลป์ผู้หนึ่งจนสังหารคนไปสิบกว่าคน พาให้ฝูงชนโกรธแค้นหรอกหรือ
“แม่นางชิงเยียนอย่าไปทำความรู้จักกับไอ้โง่นี่เลย”
ทว่าหลินสวินกลับเอ่ยปาก แสดงความแข็งกร้าวยิ่งกว่าหลิงเทียนโหว พูดเสียงเนิบว่า “คิดจะสู้กับข้าหรือ ก็ได้ แต่ว่าต้องเปลี่ยนของเดิมพันเสียหน่อย”
หลิงเทียนโหวถูกด่าว่าเป็นไอ้โง่กลับไม่โมโห แต่เผยรอยยิ้มน่ากลัวอ่อนหวานราวปีศาจออกมา “อ้อ ว่ามาสิ”
“ง่ายมาก ถ้าข้าชนะ เจ้าต้องคุกเข่าขอขมาแม่นางชิงเยียน และสาบานว่าจะไม่มีการแก้แค้นใดๆ”
หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเล
ประโยคเดียวพาให้ผู้ฝึกปราณบางคนไหวสะท้าน ไม่เพียงด่าหลิงเทียนโหวว่าไอ้โง่ ยังเดิมพันให้หลิงเทียนโหวคุกเข่าขอขมา หลินสวินผู้นี้ช่างใจกล้าเสียจริง!
ทว่าการกระทำเช่นนี้ของเขากลับชนะใจของสตรีหลายคนในที่นั้น ดูสิ เพื่อออกหน้าแทนหลิ่วชิงเยียน กล้าต่อปากต่อคำกับหลิงเทียนโหว นี่สิลูกผู้ชายตัวจริง!
หลิ่วชิงเยียนก็ซาบซึ้งใจ ดวงตาสุกใสจับจ้องหลินสวิน ราวกับเพิ่งได้รู้จักเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้นี้เป็นครั้งแรก
แต่ทันใดนั้นนางก็อดกังวลใจไม่ได้ เหตุใดเขาถึงโง่เขลาเช่นนี้ เพื่อออกหน้าแทนตนถึงกับไปต่อกรกับคนอย่างหลิงเทียนโหว ช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย!
“ได้!”
ในดวงตาของหลิงเทียนโหวมีรัศมีสายฟ้าสีโลหิตยิงไหลเคลื่อนปราดหนึ่ง แต่เขากลับรับปากโดยไม่ลังเล ราวกับไม่กังวลอยู่แล้วว่าตนจะพ่ายแพ้
เขาพลันถามขึ้น “หากเจ้าแพ้เล่า”
หลินสวินเอ่ย “ก็ง่ายดายเช่นกัน เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าไปรับใช้ถวายชีวิตให้เจ้าสิบปีหรือ เพียงเจ้าชนะ ข้าก็ตกลง!”
ฝูงชนในบริเวณนั้นตื่นตระหนก เดิมพันนี้จะมากเกินไปแล้ว!
ขณะนี้ใครไม่รู้บ้างว่าหลินสวินเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยที่ชักนำปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ ได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งช่วยจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้า
ความสามารถด้านการสลักวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นปานนี้ ทำให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์ส่วนใหญ่ในนครต้องห้ามล้วนเงียบไป ไม่มีทางเทียบได้ เพียงคิดก็รู้ว่าหากหลินสวินพ่ายแพ้ ต้องถูกหลิงเทียนโหวเอาเปรียบอย่างยิ่งแน่!
“หลินสวิน…”
หลิ่วชิงเยียนกังวลใจนัก อดเอ่ยปากไม่ได้
“เชื่อข้าเถอะ ไม่เป็นไร”
หลินสวินยิ้มกว้าง
“เหอะๆ ก็ดี” เวลานี้หลิงเทียนโหวหัวเราะอย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า “แต่น่าเสียดายนะ เจ้ายังถือว่าขี้ขลาดไป เดิมพันที่ยกขึ้นมาไม่สะใจเลย หากข้าเป็นเจ้า จะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นี่สิถึงจะเรียกว่าเดิมพันสมน้ำสมเนื้ออย่างแท้จริง”
“ข้าเห็นว่าชีวิตของเจ้ามันต่ำค่าเกินไป ไม่คุ้มราคายิ่ง จึงคร้านจะพนัน ก็เหมือนเอาไหกระเบื้องห่วยๆ ใบหนึ่งมากระแทกกับเครื่องเคลือบวิจิตร ใต้หล้านี้จะมีเรื่องดีพรรค์นี้ได้อย่างไร”
หลินสวินยิ้มให้พลางเอ่ยปาก
——
ตอนที่ 424 ปากเอ่ยวาจาบ้าระห่ำ
โดย
ProjectZyphon
ชีวิตต่ำค่าเกินไป!
ทั้งยังเอาไหกระเบื้องห่วยๆ มาเปรียบเปรยกับหลิงเทียนโหว!
เมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ หลายคนต่างเบิกตากว้าง เจ้าหลินสวินคนนี้ดูเหมือนนุ่มนวลไร้พิษสง ไม่คิดว่าพอด่าคนแล้วกลับร้ายกาจปานนี้
ที่ต้องรู้ก็คือหลิงเทียนโหวเป็นอันธพาลที่มีชื่อในนครต้องห้าม ดุร้ายหาใดเทียม เป็นผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ แต่หลินสวินกลับไม่สนใจ โต้กลับอย่างแข็งกร้าวง่ายดาย ช่างใจกล้าเกินไปแล้ว
ส่วนเด็กสาวชนชั้นสูงบางคนกลับฉายแววประหลาดขึ้นในดวงตางดงาม นี่เป็นเด็กหนุ่มที่กล้าสั่งสอนราชนิกุลเชียวนะ ที่แท้ก็แข็งแกร่งอย่างในข่าวลือ ท่าทางหยิ่งทระนงเช่นนั้นพาให้พวกนางล้วนรู้สึกแปลกใหม่เร้าใจ
“ปากคอเราะราย น่าขันยิ่งนัก อีกเดี๋ยวเมื่อเจ้าพ่ายแพ้ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะพูดอะไรได้”
หลิงเทียนโหวยิ้มน่ากลัว สีหน้าระบายไปด้วยความโหดเหี้ยม ถูกหลินสวินด่าว่าซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เขาโมโหเข้าจริงๆ เสียแล้ว
หากไม่ใช่เพราะต้องการให้หลินสวินมารับใช้ถวายชีวิตให้ตน เขาไม่มีทางอดกลั้นเช่นนี้ได้แน่
พูดจบเขาก็หันกายจากไป
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็เพียงยิ้มแย้ม ไม่ใส่ใจ
นี่ทำให้หลิ่วชิงเยียนทั้งกังวลและซาบซึ้งใจ นางไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้ของหลินสวิน แต่อย่างไรเสียเวลานี้หลินสวินก็ออกหน้าแทนนาง ทำให้นางไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว
“คนผู้นี้…ไม่กลัวถูกล้างแค้นหรือไงนะ”
ใกล้กันนั้นมีเด็กสาวอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา ใบหน้าน้อยแดงเรื่อ รู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างน่าเร้าใจนัก
“คิกๆ นี่เจ้ามองหลินสวินผิดไปแล้ว ตั้งแต่เขาเข้านครต้องห้ามมา เรื่องนอกกรอบที่เขาทำน้อยนักหรือ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ดีมีสุข เมื่อกี้ในตำหนักกลางถึงกับได้รับของพระราชทานจากจักรพรรดินี ที่เขากล้าบ้าระห่ำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีของ”
เด็กสาวอีกคนหนึ่งดวงตางดงามเปล่งประกาย มือนางกำแน่น ดูเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้านี้ของหลินสวินยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้มีคำท้าประลองที่ฉือฉางเฟิงเอ่ยออกมา ภายหลังมีเดิมพันอย่างแข็งกร้าวกับหลิงเทียนโหวอีก เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลินสวินนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งจตุรัสอย่างรวดเร็ว
“ดูสิ นี่ก็คือกรรมตามสนอง! ช่วงนี้เจ้านั่นกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขเกินไป ได้ใจจองหอง ในที่สุดก็มีคนทนดูไม่ได้แล้ว”
มีคนยินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น
“แน่ล่ะ ก็เมื่อกี้นี้ในตำหนักกลาง จักรพรรดินีพระราชทานรางวัลให้เขา ขนาดลำนำผู้กล้าที่คุณหนูหลิ่วชิงเยียนแต่งขึ้นยังเกี่ยวข้องกับเขา ขวางหูขวางตาหลายคนมานานแล้ว”
มีผู้ที่มีน้ำเสียงอิจฉาและแค้นเคือง
ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้น หลินสวินกลับไตร่ตรองว่าเหตุใดจนถึงตอนนี้ หัวหน้าเผิงผู้นั้นยังไม่ประกาศเริ่มการประลอง
สายตาเขามองไกลออกไป ก็เห็นว่าหัวหน้าเผิงยืนอยู่ด้านหนึ่งของลานแสดงยุทธ์ ราวกับรอรับคำสั่งอะไรอยู่
“หลินสวิน!”
ทันใดนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
เห็นว่าซ่งเจ๋อเดินมาอย่างย่ามใจยิ่งนักแล้วพูดว่า “ฟังให้ดีล่ะ อีกเดี๋ยวเมื่อการประลองเริ่มขึ้น ญาติผู้น้องของข้าซ่งอี้ผู้นั้นจะมาเทียบฝีมือกับเจ้า เจ้าอย่าตื่นกลัวไปล่ะ!”
ฝูงชนที่อยู่บริเวณนั้นพลันฮือฮา ขนาดซ่งอี้ยังเห็นว่าหลินสวินขวางหูขวางตาแล้วหรือ
นี่เป็นข่าวที่น่าตกใจนัก ก่อนหน้านี้มีฉือฉางเฟิง หลิงเทียนโหว ตอนนี้ซ่งอี้ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ ผู้กล้าที่โดดเด่นในรุ่นเดียวกันซึ่งเกิดในตระกูลทรงอิทธิพลตระกูลซ่ง ล้วนต้องการประลองกับหลินสวิน จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า ช่วงนี้หลินสวินยั่วโมโหขุมอำนาจมากมายแค่ไหน!
เจ้าคนนี้ช่างเคราะห์ร้ายเสียจริง เวลานี้แม้ไม่อยากอับอายก็เห็นจะยากแล้ว
หลายคนลอบหัวเราะในใจรอดูละครฉากเด็ด
“อย่ามองข้าเช่นนี้ ทำเหมือนข้าไปก่อเรื่องเลวทรามใหญ่โตมาอะไรมา”
หลินสวินไม่สนใจซ่งเจ๋อ หัวเราะขื่นมองหลิ่วชิงเยียนที่อยู่ด้านข้าง ฝ่ายหลังกำลังมองเขาอย่างกังวลและประหลาดใจ
“เจ้านี่นะ โธ่ ทำไมไม่รู้จักซ่อนคมบ้างนะ”
หลิ่วชิงเยียนถอนหายใจเบาๆ
“ช่วยไม่ได้น่ะ”
หลินสวินเอ่ยสบายๆ
คำพูดเรียบๆ คำหนึ่ง กลับทำให้ในใจหลิ่วชิงเยียนสั่นไหวรุนแรง ช่วยไม่ได้…คำที่ดูเหมือนง่ายดายนี้ กลับทำให้หลิ่วชิงเยียนรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูกรางๆ
แน่นอนว่า เมื่อลองคิดถึงสถานการณ์ที่หลินสวินเป็นอยู่หลังจากเข้ามายังนครต้องห้าม คิดถึงอันตรายคับขันที่เขาต้องเผชิญ ก็รู้ได้ว่ายากเย็นเพียงไหน
คนนอกเพียงเห็นว่าเขาก่อเรื่องใหญ่โตตลอด เห็นเพียงชื่อเสียงที่โด่งดังเกรียงไกรขึ้นของเขา เกรงว่าคงไม่มีใครรู้ว่า เบื้องหลังหลินสวินผ่านอันตรายและความยากลำบากอย่างไรมาบ้าง
“หลินสวินเจ้ารังแกผู้อื่นมากไปแล้ว ข้าพูดกับเจ้า เจ้ากลับไม่แยแส เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ซ่งเจ๋อเอ่ยอย่างโมโห
หลินสวินชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง หัวเราะขึ้นกะทันหันและพูดว่า “ข้านึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณชายหมวกเขียว ข้าไม่กล้าสนใจเจ้ามากนัก เดี๋ยวถูกคนเข้าใจผิดว่าข้าสวมหมวกเขียวให้เจ้า เช่นนั้นจะไม่ยุติธรรมเกินไป”
สีหน้าคนอื่นๆ ประหลาดไป คำพูดนี้ของหลินสวินช่างมีพลังทำลายล้นเหลือ
“เจ้า!“
“เจ้าเจิ้วอะไรกัน ซ่งอี้ต้องการประลองกับข้า ไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย เจ้าจะลนลานอะไรเล่า”
หลินสวินกลอกตา
ผู้คนในบริเวณนั้นมองสบตากัน แม้เดิมทีจะรู้อยู่แล้วว่าหลินสวินบ้าระห่ำมาก แต่กลับไม่คิดว่าเขาจะบ้าระห่ำได้ถึงขั้นนี้
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ซ่งเจ๋อหน้าบูดเบี้ยวเขียวคล้ำ ทิ้งวาจาโหดเหี้ยมลอดไรฟังออกมาก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“ขนาดความกล้าท้าข้าประลองยังไม่มี สมน้ำหน้าเจ้าที่ถูกคนอื่นสวมหมวกเขียวให้ตลอดชีวิต”
ถ้อยคำลอยๆ ของหลินสวินกลับยั่วโมโหซ่งเจ๋อที่เดินไปไม่ไกลให้สั่นสะท้านไปทั้งตัว เกือบเดินตะบึงออกไป เจ้านี่ ควรฆ่าทิ้งนัก!
“หลินสวิน…”
หลิ่วชิงเยียนอดเอ่ยปากไม่ได้
หลินสวินเปลี่ยนเรื่องไปเสียอย่างนั้น ยิ้มกล่าวว่า “แม่นางชิงเยียน เจ้าว่าเจ้าเป็นห่วงข้าเช่นนี้ หากคุณชายที่ยกตัวเองเป็นองครักษ์พิทักษ์บุปผาเหล่านั้นแค้นเคืองข้าเข้า น่ากลัวจะแจ้นมาท้าประลองกับข้าอีก”
หลิ่วชิงเยียนพ่นลมหายใจค่อนว่า “เจ้าไม่ห่วงตัวเองสักนิดหรือ”
ระหว่างพูด ในใจนางก็รู้สึกกังวลอยู่บ้างจริงๆ ว่าเหตุการณ์ที่หลินสวินกล่าวจะเกิดขึ้น นางรู้ดีว่าคุณชายบางคนก็พฤติกรรมเลวร้ายนัก
“กังวลไปก็ไม่ได้อะไร สู้แล้วถึงจะรู้”
หลินสวินยิ้มพลางยักไหล่
และในเวลานี้เอง หัวหน้าเผิงที่อยู่ไกลออกไปไม่นิ่งเงียบอีกต่อไปแล้ว พลันเอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่าน เวลานี้สามารถเริ่มการประลองได้ ผู้ที่ต้องการของรางวัลจากจักรพรรดินี บัดนี้ให้ลุกขึ้นมา”
เสียงดังกึกก้องไปทั่วทุกที่ ชั่วพริบตาก็กดทับให้เสียงสนทนาเงียบเชียบ
“หลินสวิน ไสหัวออกมาให้ข้า!”
“หลินสวิน มาสู้กัน!”
“หลินสวิน กล้าสู้กับข้าหรือไม่”
เมื่อเสียงของหัวหน้าเผิงเงียบลง ในที่นั้นก็มีสามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เรียกชื่อเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต้องการจะประลองกับหลินสวิน!
ชัดเจนว่านั่นคือฉือฉางเฟิง หลิงเทียนโหวและซ่งอี้
ทั่วทั้งลายพลันอึกทึกครึกโครม ต่อให้รู้อยู่ก่อนว่าหลินสวินคงโชคร้ายแล้ว แต่ทุกคนกลับไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงขนาดนี้
ดูเอาเถิด ไม่ว่าจะเป็นฉือฉางเฟิง หลิงเทียนโหวหรือซ่งอี้ มีใครไม่ใช่ผู้ที่ถูกขนานนามว่ามีความสามารถเลิศล้ำในนครต้องห้ามบ้าง
แต่ตอนนี้กลับพากันเรียกชื่อหลินสวิน ต้องการประลองกับเขา นี่ช่างน่าตกใจยิ่งนัก
“ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กนี่กลายเป็นหนูเดินผ่านตรอกที่ทุกคนพากันร้องให้ตีแล้ว! ช่างสาแก่ใจนัก!”
“นี่เป็นธรรมดา เจ้าคิดดูสิ ตั้งแต่เขาบุกเข้ามาในนครต้องห้ามก็มีเรื่องกับขุมอำนาจไม่รู้เท่าไร แต่เขากลับไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ สมน้ำหน้าที่ถูกคนอื่นเพ่งเล็ง”
“ข้ามีสังหรณ์อย่างหนึ่ง ในการประลองวันนี้ หลินสวินต้องถูกเล่นงานจนหมดรูป กลายเป็นตัวตลกคนหนึ่งอย่างแน่นอน”
“เฮ้อ ว่าไปแล้วข้าก็เลื่อมใสหลินสวินคนนี้อยู่บ้าง หาเรื่องเก่งเสียจริง ข้าไม่เคยเห็นใครที่กำเริบเสิบสานไม่หวั่นกลัว แต่ยังอยู่ดีมีสุขมาจนถึงตอนนี้ได้แบบเขาสักคน ช่างทำให้คนประหลาดใจจริงๆ”
ในที่นั้นมีเสียงฮือฮาลอยขึ้น โดยมากกำลังยินดีกับเคราะห์ร้ายของผู้อื่น ใจหมายจะคอยดูว่าหลินสวินจะรับมืออย่างไร
ขนาดคนใหญ่คนโตเหล่านั้นยังอดแย้มยิ้มเงียบๆ ไม่ได้ หลินสวินผู้นี้ ไม่ได้รับความชื่นชอบจากคนหนุ่มสาวเอาเสียเลย
หัวหน้าเผิงเองก็เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถึงกับมีผู้กล้ารุ่นเยาว์สามคนลุกขึ้นมาท้าประลองหลินสวินคนเดียว
เขาอึ้งไปแล้วถามหลินสวินว่า “เจ้ายินดีรับประลองกับใคร หรือว่าจะปฏิเสธทั้งหมด”
ขวับ!
ทันใดนั้นสายตาทั้งหมดล้วนมองไปที่หลินสวิน
มีบางคนถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ได้ “ขึ้นประลองสิ หลินสวินก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่ว่าบ้าระห่ำมากหรอกหรือ นี่เป็นโอกาสได้สำแดงฝีมือที่แสนหายากเชียวนะ”
“ข้าว่าเขาไม่กล้าแน่”
“จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ ศาสตร์การสลักวิญญาณของหลินสวินก็ร้ายกาจนะ”
“ฮ่าๆๆ”
คนหนุ่มสาวที่เคยมีเรื่องกับหลินสวินอย่างฮวาอู๋โยว ฮวาอู๋เหิน ซ่งเจ๋อ ซ่งชงเฮ่อต่างหัวเราะเยาะเย้ย
เห็นเช่นนี้หลิ่วชิงเยียนก็อดโมโหไม่ได้ ลูกหลานตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ที่ผ่านมาดูมีท่าทางสง่างาม ไม่คิดเลยว่าที่แท้จะปากคอเราะรายเช่นนี้
นางกำลังคิดจะกล่อมให้หลินสวินคลายโมโห กลับเห็นว่าเงาร่างหลินสวินหายวับออกไปก่อนแล้วลอยลงตรงกลางลานแสดงยุทธ์อย่างแผ่วเบา
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเย้ยหยันในที่นั้นก็เงียบลง สีหน้าคนไม่น้อยแปรเปลี่ยนเป็นฉงน คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะแน่วแน่ไม่ลัง เข้าไปในลานแสดงยุทธ์ก่อนแล้ว!
“ก่อนรับคำท้าประลอง ข้ามีอะไรจะพูดเสียหน่อย”
ภายใต้สายตามากมาย หลินสวินเอ่ยขึ้นเสียงเนิบ ดวงตาสีดำลุ่มลึกสงบนิ่ง ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ฝูงชนล้วนสงสัย เขาจะพูดอะไรกันแน่ ในลานจึงพลันเงียบเชียบ
ทว่ากลับเห็นหลินสวินกวาดสายตาทอดมองไปยัง ‘คนคุ้นเคย’ บางคนอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “วันนี้มีหลายคนที่รอดูข้าหลินสวินกลายเป็นตัวตลก พวกเขาหากไม่ใช่คนที่พ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือข้า ก็เป็นคนห่วยๆ ที่ริษยาชิงชังข้า ไม่ก็เป็นศัตรูที่มีความแค้นกับข้า แต่ในใจข้า คนเหล่านี้มีชื่อเรียกร่วมกันว่า…”
“สวะ!”
หลินสวินดูเหมือนยิ้มอยู่ แต่วาจาที่เอ่ยออกมาไม่มีความเกรงใจสักนิด พาให้สีหน้าของคนในที่นั้นไม่น้อยแปลกไป ทั้งตกใจระคนโกรธเคือง
เจ้าเด็กนี่จะจองหองไปแล้ว อยู่หน้าตำหนักกลาง ต่อหน้าขุมอำนาจสูงส่งในจักรวรรดิ กลับยังกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ มันสมควรตายยิ่งนัก!
“สวะก็เป็นสวะ ขนาดความกล้าหาญจะมาท้าประลองกับข้ายังไม่มี ได้แต่ลองอาศัยผู้อื่นมาประลองกับข้า เพื่อเรียกคืนความเคารพในตัวเอง นี่ไม่ใช่สวะแล้วจะเป็นอะไรได้”
วาจาของหลินสวินยิ่งไม่เกรงใจเข้าไปอีก ทำเอาเหล่าคนใหญ่คนโตล้วนนิ่วหน้า นี่เป็นเขตหวงห้ามในพระราชวังเชียวนะ กลับเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้ นี่มันใช้ได้ที่ไหน
“หลินสวิน ระวังวาจาด้วย”
หัวหน้าเผิงเตือนเสียงขรึม
หลินสวินพลันยิ้มขอโทษแล้วพูดว่า “เหลือประโยคสุดท้ายอีกประโยคเดียว พูดจบข้าจะรับคำท้าขอรับ”
ฝูงชนพลันพูดไม่ออก นี่มันคนแบบไหนกันนะ! ไม่มีมารยาทเสียจริง!
ก็เห็นว่าหลินสวินสูดลมหายใจลึก สายตาทอดมองไปรอบทิศ ในหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาปรากฏรอยยิ้มจางๆ แววตาแน่วแน่ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “แต่ขอให้สวะทุกท่านในที่นี้วางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้สวะอย่างพวกเจ้าผิดหวัง!”
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น