Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 421-422

 ตอนที่ 421 สั่นสะท้านด้วยเสียงเพลง

โดย

ProjectZyphon

บรรยากาศเปลี่ยนไปคลุมเครือ สีหน้าของแขกเหรื่อในนั้นล้วนเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก แสดงความครุ่นคิดออกมาไม่มากก็น้อย


ลูกหลานขุนนางรุ่นเยาว์บางคนต่างกลั้นเสียงหัวเราะหยันไว้ไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่าคิดว่าของขวัญที่หลินสวินถวายน่าขายหน้านัก


ปิ่นหยกอันเดียวหรือ


นี่มันเล่นบ้าอะไรกัน!


ยามหัวหน้าเผิงอ่านรายการของขวัญ ไม่ได้แนะนำปิ่นหยกอันนี้เลยแม้สักนิด ชื่อเสียงเรียงนามที่มาที่ไปใดๆ ก็ไม่มี ชัดเจนว่าไม่ใช่สมบัติหายากที่ตกทอดกันมายาวนานอะไร


ของเล่นพรรค์นี้มอบให้ดรุณีน้อยยังพอทน แต่เมื่อเป็นของขวัญที่ถวายจักรพรรดินี นี่ก็กระจอกเกินไปแล้ว!


ยังดีที่สถานที่นี้เป็นตำหนักกลาง ผู้ที่อยู่ในนั้นไม่ได้มีเพียงคนใหญ่คนโตมากมาย จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็ยังประทับอยู่บนบัลลังก์ พาให้คนหนุ่มเหล่านั้นไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม


หาไม่แล้วด้วยอุปนิสัยใจคอของพวกเขา เกรงว่าคงเยาะเย้ยและหัวเราะเสียงขรมไปนานแล้ว


หลินสวินก็ไม่ได้เขลา ย่อมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศได้ เพียงแต่เขาไม่สนใจสิ่งนี้


ปิ่นหยกที่เขาถวายนั้นย่อมไม่มีที่มาที่ไปอะไร ด้วยเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นเอง แต่ปิ่นหยกชิ้นนี้ไม่ใช่แค่เครื่องประดับธรรมดาๆ เช่นนั้น เชื่อว่าหากจักรพรรดินีแยกแยะของเป็น ต้องไม่ผิดหวังแน่นอน


หลังจากประกาศของขวัญของหลินสวินจบแล้ว หัวหน้าเผิงก็เก็บรายชื่อของขวัญ สีหน้าเองก็ประหลาดไปอย่างยากสังเกตเห็น


เห็นชัดว่าเขาไม่รู้รายละเอียดของปิ่นหยกที่หลินสวินถวายเช่นกัน รู้เพียงว่านี่เป็นปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น


เขาเป็นผู้อาวุโสในพระราชวัง ย่อมนึกถึงหลินเต้าเฉินผู้เป็นบรรพบุรุษของหลินสวิน จึงอดลอบถอนใจไม่ได้ คิดว่าเดิมทีท่านเต้าเฉินเป็นบุคคลชั้นไหน ขนาดขนานนามได้ว่ามีอำนาจสะเทือนใต้หล้า หยิ่งทระนงเกินใคร แม้ตัวจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่เคารพและจดจำในจักรวรรดิ


แต่ตอนนี้ตระกูลหลินกลับตกต่ำยากจนข้นแค้นถึงเพียงนี้ ขนาดทายาทสายตรงมาเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษา ยังเตรียมของขวัญที่เข้าท่าไม่ได้ นี่ช่างน่าทอดถอนใจเสียจริง


หัวหน้าเผิงเก็บงำความคิด ไม่คิดมากอะไรต่ออีก รายชื่อของขวัญประกาศเสร็จสิ้น ต่อไปงานเลี้ยงก็ควรจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว


ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก บนบัลลังก์ที่โอบล้อมด้วยเมฆมงคลนั้นพลันมีเสียงอ่อนโยนและสงบนิ่งของจักรพรรดินีดังขึ้น


“ตกรางวัล”


เพียงประโยคเดียว กลับเหมือนสายฟ้าฟาดลงฉาดหนึ่ง สั่นสะเทือนจนทั้งโถงพากันตกตะลึง


ตกรางวัลหรือ


ตกรางวัลให้ใคร


ของขวัญของใครกันที่ทำให้จักรพรรดินีทรงปิติได้ ถึงกับให้รางวัลในตอนนี้อย่างผิดธรรมเนียม


หลายคนอดใจเต้นไม่ได้ เกิดความคิดสรตะ เริ่มนึกย้อนไปว่า ในรายชื่อของขวัญเมื่อครู่นี้ ใครกันที่จะได้รับเกียรติพิเศษชั้นนี้ไป


คนใหญ่คนโตบางคนก็มั่นใจว่าของขวัญที่ตนถวายจะอยู่แถวหน้า ถึงกับเริ่มเฝ้าคอย เฝ้าคอยว่ารางวัลพระราชทานนี้จะตกเป็นของตน


ขนาดหัวหน้าเผิงยังประหลาดใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ถึงกับไม่ได้ไปเตรียมรางวัลพระราชทานไว้ล่วงหน้า


หัวหน้าเผิงกำลังรอทูลถาม ก็เห็นว่าแสงสีฟ้าอ่อนแสงหนึ่งบินออกมาจากบัลลังก์


ชั่วพริบตาก็ลงไปยังตั่งที่หลินสวินอยู่ท่ามกลางสายตาจ้องมองของฝูงชน


นี่…


ทุกคนต่างจับจ้องด้วยความสับสน สีหน้าอึ้งงันเล็กน้อย เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร


ในหมู่ของขวัญฉลองพระชนมพรรษา ปิ่นหยกที่หลินสวินถวายนั้นกระจอกที่สุด เหตุใดองค์จักรพรรดินีกลับให้รางวัลเป็นพิเศษได้


ความรู้สึกในใจทุกคนพลันเปลี่ยนเป็นสับสน


ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าของขวัญที่หลินสวินถวายนั้นทำให้เขาอับอายท่ามกลางสายตาคน แต่พริบตาเดียว รางวัลพระราชทานของจักรพรรดินีกลับตกอยู่ในมือหลินสวิน ใครจะกล้าคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้


หรือว่าปิ่นหยกนี้จะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คาดคิดไว้


จากนั้นก็เห็นว่าบนบัลลังก์นั้น เสียงของจักรพรรดินีดังขึ้น “ปิ่นหยกนี้ตรงใจตัวข้านัก ดีมาก ไม่เสียแรงที่เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณซึ่งชักนำให้เกิดปรากฏการณ์เสียงร้องเก้ามังกรได้ ในขวดนั้นมียาลูกกลอนวิญญาณหนึ่งเม็ด ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณของเปิ่นจั้ว[1]ข้าก็แล้วกัน”


เฮือก!


หลายคนสูดลมหายใจเย็นเยียบ


จักรพรรดินีไม่เพียงตกรางวัล เวลานี้ยังเอ่ยชื่นชมหลินสวินด้วยตัวเอง เพื่อแสดงความขอบใจ เช่นนี้เห็นได้ยากนัก!


ผู้ที่มีปัญญาหลักแหลมบางคนคาดเดาจากคำพูดของจักรพรรดินีได้ว่า ปิ่นหยกนั้นต้องเป็นสิ่งที่หลินสวินหลอมขึ้นเองกับมือ ถึงได้รับสั่งชื่นชมว่าไม่เสียชื่อปรมาจารย์สลักวิญญาณ


ส่วนก่อนหน้านี้ ที่หัวหน้าเผิงไม่แนะนำชื่อเสียงเรียงนามหรือที่มาที่ไปของปิ่นหยกตอนที่อ่านรายชื่อของขวัญนั้น ก็เข้าใจได้อย่างดีแล้ว


ด้วยเพราะของสิ่งนี้เป็นสมบัติที่หลินสวินหลอมขึ้นใหม่ ในเมื่อเป็นของขวัญฉลองพระชนมพรรษาที่ถวายจักรพรรดินี เขาก็ไม่อาจทำเกินหน้าที่ มอบชื่อให้กับสมบัตินี้ได้!


เมื่อคิดได้ถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว สายตาที่หลายคนมองมายังหลินสวินนั้นเปลี่ยนเป็นซับซ้อน นี่เป็นวิธีของปรมาจารย์สลักวิญญาณ จะไม่พอใจก็คงไม่ได้


เพียงแต่พวกเขายังสงสัยว่าเป็นปิ่นหยกแบบไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้จักรพรรดินีโปรดและปิติเช่นนี้ได้


หรือว่าปิ่นหยกอันนี้สูงค่ากว่าของขวัญชิ้นอื่นอีกหรือ


ที่น่าเสียดายคือ ไม่ว่าจักรพรรดินีหรือหลินสวิน ล้วนไม่อธิบายเกี่ยวกับปิ่นหยกนี้เลย


เพราะง่ายมาก หากใช้ปิ่นหยกนี้ร่วมกับ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ จะก่อให้เกิดประโยชน์มหัศจรรย์อย่างหนึ่ง!


พูดง่ายๆ ก็คือ ปิ่นหยกกับกระบี่เบิกฟ้าสามารถส่งเสริมกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ ก่อให้เกิดพลานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น


กระบี่เบิกฟ้าเป็นถึงสมบัติสูงสุดในมือของจักรพรรดินี หลินสวินถวายปิ่นหยกนี้ให้ สำหรับจักรพรรดินีแล้วย่อมเป็นความประหลาดใจที่คาดคิดไม่ถึงอย่างหนึ่ง


เมื่อรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสายตาโดยรอบที่จ้องมองมา ใจหลินสวินก็ซาบซึ้งนัก จักรพรรดินีทำเช่นนี้ เท่ากับออกหน้าแทนเขาอย่างอ้อมๆ เอาคืนพวกคนที่ดูถูกเขาเหล่านั้นอย่างหนัก!


“ขอบพระทัยจักรพรรดินีที่พระราชทานรางวัลพ่ะย่ะค่ะ!”


หลินสวินลุกขึ้นถวายบังคมแสดงความขอบคุณ


“นั่งลงเถอะ”


หลินสวินนั่งลงอีกครั้ง สายตาทอดลงไปบนตั่ง รางวัลของจักรพรรดินีวางอยู่ตรงนั้น เป็นขวดหยกขาวมันแพะใบเล็กประณีตหนาเท่านิ้วโป้ง บริเวณปากขวดหยกมีลวดลายซับซ้อนคลุมเครือแปลกประหลาดลายหนึ่งผนึกอยู่


เพียงดูไอพลังที่ลวดลายซับซ้อนนั้นปล่อยออกมา หลินสวินก็รู้ว่ายาลูกกลอนที่บรรจุภายในย่อมไม่อาจด้อยกว่าได้!


ไม่เพียงหลินสวิน ขนาดคนใหญ่คนโตผู้อื่นในที่นั้นต่างรู้ว่า ยาลูกกลอนที่จักรพรรดินีพระราชทานให้มีหรือจะเป็นของดาษดื่น


นี่ทำให้คนไม่น้อยล้วนลอบอิจฉาไม่หยุดหย่อน หลินสวินผู้นี้คราวนี้โชคดีลงทุนน้อยแต่ได้ผลมากนัก! นำปิ่นหยกอันเดียวมาแลกกับยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในมือจักรพรรดนี ช่างคุ้มค่าเกินไปแล้ว!


และมีคนชะเง้อคอออกมา ต้องการดูเสียหน่อยว่าที่บรรจุในขวดนั้นเป็นยาลูกกลอนชั้นไหนกันแน่ แต่ที่ทำให้พวกเขาผิดหวังก็คือ หลินสวินไม่ได้ดูก็เก็บขวดยาลูกกลอนนั้นไปเสียแล้ว


ละครคั่นฉากนี้จบลงอย่างรวดเร็ว หัวหน้าเผิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ประกาศว่างานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาเริ่มขึ้นแล้ว


ทันใดนั้นก็เห็นว่านอกประตูใหญ่ของตำหนักมีนักดนตรีชายหญิงแต่งกายหรูหรา โอบอุ้มเครื่องดนตรีนานาชนิดอย่างผีผา ขลุ่ยแคน ระฆังเคาะเป็นต้นกลุ่มหนึ่งหลั่งไหลเข้ามา


ผู้ที่เดินนำหน้านั้นย่อมเป็นหลิ่วชิงเยียน


เพียงแต่ที่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ก็คือ เวลานี้นางเปลี่ยนการแต่งหน้าแต่งกาย ผมสีดำขลับเกล้าขึ้นเป็นมวย แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบทหารของจักรวรรดิ ทั้งร่างมีกลิ่นอายคล่องแคล่วปราดเปรียว


“หม่อมฉันหลิ่วชิงเยียน นำนักดนตรีทุกท่านถวายบังคมองค์จักรพรรดินี หม่อมฉันด้อยความสามารถ หมายจะถวายลำนำหนึ่งบท เพื่อถวายพระพรองค์จักรพรรดินีให้ทรงอ่อนเยาว์ชั่วนิจนิรันดร์ มีพระชนมายุยืนนานดั่งสวรรค์เพคะ!”


หลิ่วชิงเยียนกับกลุ่มนักดนตรีโค้งกายถวายบังคม


“ลุกขึ้นเถอะ ได้ยินมานานแล้วว่าในบรรดาผู้ฝึกปราณสายศิลป์ในจักรวรรดิ มีเจ้าหลิ่วชิงเยียนเป็นแถวหน้า ไม่รู้ว่าลำนำที่มอบให้ครั้งนี้มีนามว่าอะไรหรือ”


จักรพรรดินีถามอย่างอ่อนโยน


“องค์จักรพรรดินีทรงฟังก็จะรู้เพคะ”


หลิ่วชิงเยียนแย้มยิ้ม


“ได้ เช่นนั้นก็เริ่มเถิด”


ทันใดนั้นกลางโถงตำหนัก หลิ่วชิงเยียนก็โผนขึ้นไปในอากาศ ยืนตรงอยู่ตรงกลางและหันหน้าเข้าหาบัลลังก์ที่อยู่สุดโถง เบื้องหลังนางเป็นกลุ่มนักดนตรี


ชั่วขณะนี้หลิ่วชิงเยียนสีหน้าสงบนิ่ง ใบหน้าพริ้งเพราของนางเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ประกอบกับเครื่องแบบทหารเรียบร้อยทุกกระเบียด ยิ่งเพิ่มกลิ่นอายผู้กล้าน่าเกรงขามเข้าไปโดยปริยาย


ทุกคนอดตั้งตารอไม่ได้ ลูกหลานตระกูลใหญ่ไม่น้อยถึงกับแสดงสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เห็นได้ชัดว่าการมีบุญได้ฟังหลิ่วชิงเยียนขับร้อง พาให้ในใจพวกเขาตื่นเต้นไม่หยุดหย่อน


ขนาดหลินสวินก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาดูการแสดงด้วยตัวเอง รับฟังหลิ่วชิงเยียนขับร้องเช่นนี้ ในใจจึงอดบังเกิดความสงสัยไม่ได้


ผู้ฝึกปราณสายศิลป์ในตำนานที่มีชื่อเสียงไปทั่วจักรวรรดิผู้นี้ เด็กสาวที่ได้รับการติดตามคลั่งไคล้จากคนหนุ่มนับไม่ถ้วนมากมายผู้หนึ่ง ประสบความสำเร็จอย่างวันนี้ได้อย่างไรกันแน่


เวลานี้ก็จะได้รู้แล้ว!


ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!


เสียงผีผาบรรเลงเดี่ยวเร้าอารมณ์ดังขึ้น เสียงนั้นราวหอกส่องประกายอาชาสวมเกราะ สั่นสะเทือนไปทั่วโถง เปี่ยมด้วยพลังเกรียงไกรดังกังวาล ราวมหาสมุทรจองหองส่งเสียงคำราม


ในชั่วพริบตาเท่านั้น ระหว่างที่ฝูงชนเหม่อลอยอยู่ ราวกับตัวอยู่ในสนามรบชายแดน มองเห็นบุรุษจักรวรรดินับไม่ถ้วนต่อสู้ในสงครามอย่างฮึกเหิมเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง


ทุกที่มีแต่การต่อสู้ ทุกที่ล้วนเป็นควันไฟสัญญาณ ทุกแห่งหนคือภูเขาศพและทะเลเลือด!


ทันใดนั้นเสียงพิณ เสียงขลุ่ย เสียงกลองใหญ่…ก็เริ่มเสริมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งท่วงทำนองแปรเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์ ยิ่งเร้าใจ ยิ่งมีจังหวะจะโคน ยิ่งมีความหลากหลายรุ่มรวยขึ้น


เหมือนกับว่าในสนามรบนองเลือดนั้นมีบุรุษกล้าแห่งจักรวรรดิปรากฏกายขึ้นไม่ขาดสาย เข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่กลัวตาย ไม่ว่าศัตรูจะโหดเหี้ยมปานใดก็ไม่หวั่นเกรง


ทำนองนั้นไม่เศร้าโศก กลับพาให้ใจคนบังเกิดความฮึกเหิม ความรู้สึกราวถูกมือใหญ่ไร้รูปควบคุม เหมือนภูเขาไฟที่คุกรุ่นไม่หยุดหย่อนกำลังจะปะทุ


คนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนนึกย้อนถึงเดือนปีอันรุ่งโรจน์ในวันวาน คิดถึงความฮึกเหิมและความกล้าหาญที่ต่อสู้ในสมรภูมิชายแดน คิดถึงภาพความกล้าหาญของเพื่อนร่วมดินแดนที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน…


ส่วนคนวัยหนุ่มเหล่านั้น แต่ละคนยิ่งเกิดความฮึกเหิมในใจขึ้นมหาศาล มาดหมายจะสาดเลือดอันเร่าร้อนในอุราให้โปรยปรายไปทั่วนภาลัย ปรารถนาจะกรำศึกในสนามรบ ห้ำหั่นกับศัตรู!


ขนาดหลินสวินทั้งกายยังขนลุกไปทั้งร่าง ท่วงทำนองนี้เร้าใจ ฮึกเหิม เกรียงไกรยิ่งนัก พาให้ทุกคนไม่มีทางไม่เคลิบเคลิ้ม


เมื่อท่วงทำนองเข้าสู่ช่วงสำคัญ ทำให้ความรู้สึกในใจทุกคนใกล้จะคุกรุ่นถึงที่สุด หลิ่วชิงเยียนซึ่งยืนอยู่ตรงกลางก็แย้มริมฝีปากบางราวกลีบดอกอิง ขับขานเสียงเพลงออกมา


“ตะวันแดงแรกทะยาน ลำแสงหาญสาดเรืองรอง”


เสียงร้องนั้นใสกระจ่าง สดใส มีพลังที่สามารถทะลุไปถึงก้นบึ้งของจิตวิญญาณ เมื่อดังขึ้นมาก็ทำให้ท่วงทำนองที่เร้าใจถึงจุดสูงสุดแต่เดิมนั้น กลับยิ่งเร้าใจยิ่งขึ้นไปอีก!


เพียงท่อนเดียวเท่านั้น กลับทำให้ท่วงทำนองทั้งเพลงเปล่งพลังใหม่หมดจดขึ้นมา


ฝูงชนเพียงรู้สึกกระสับกระส่าย ความรู้สึกในใจที่คุกรุ่นพลุ่งพล่านอยู่ก่อนแล้ว ราวกับถูกจุดประกายระเบิดออกกลางอก ทั้งกายใจจ่อมจม ไม่มีทางพาตัวเองออกไปได้


นี่ก็คือพลังแห่งเสียง!


สำหรับผู้ฝึกปราณสายศิลป์ สิ่งที่ฝึกฝนนั้นคือมหามรรคแห่งดุริยางค์ หลิ่วชิงเยียนมีฐานะเป็นผู้ฝึกปราณสายศิลป์แถวหน้า ความเข้าใจและเชี่ยวชาญด้านดนตรีก้าวไปถึงขั้นบรรลุเซียนเกินธรรมดานานแล้ว


ราวกับเวลานี้ เนื้อร้อง ความรู้สึก เสียงเพลง…หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ ก็เหมือนเสียงเพลงที่บรรเลงถึงจุดสูงสุด ก้องสะท้อน ห้อตะบึง สั่นสะท้านจิตใจทุกคนในโถง!


ถึงขนาดที่แม้แต่คนใหญ่คนโตบางคนที่พลังปราณลุ่มลึก จิตใจและสติสัมปชัญญะขัดเกลาจนมั่นคงราวศิลาแกร่ง เวลานี้ยังอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้ ในดวงตาปรากฏแววประหลาด


——


[1] เปิ่นจั้ว เป็นคำเรียกแทนตัวของผู้สูงศักดิ์


ตอนที่ 422 ลำนำแห่งผู้กล้า

โดย

ProjectZyphon

เดิมทีผู้ที่อยู่ในที่นั้นล้วนเป็นผู้ฝึกปราณ ไม่ว่าจะอ่อนเยาว์หรือสูงวัย ความมั่นคงทางอารมณ์ล้วนไม่สามารถถูกกระทบกระเทือนได้โดยง่าย


แต่บทเพลงที่หลิ่วชิงเยียนแต่งขึ้นนี้พิเศษนัก ในศาสตร์ดนตรีมีวิชา ‘สุรเสียงผกาจุติ’ จังหวะในเพลงยิ่งใหญ่รุ่มรวย หายากยิ่งนัก


ควรรู้ว่าในตำนาน เมื่อครั้งบรรพกาลมีผู้มีความสามารถสูงใช้ดนตรีเพื่อเข้าถึงหนทางแห่งการฝึกปราณ ร้องออกมาเพียงเสียงเดียวก็สามารถบดขยี้ภูผานที สลายดวงดารา!


จากจุดนี้ก็รู้ได้ว่า ความลี้ลับของศาสตร์แห่งดนตรีก็มิได้ธรรมดาเด็ดขาด


นอกจากนี้ กลุ่มนักดนตรีที่มากับหลิ่วชิงเยียนล้วนเป็นปรมาจารย์ที่คร่ำหวอดในศาสตร์การดนตรีมานานปี เครื่องดนตรีที่ใช้ก็ล้วนไม่ธรรมดา


เมื่อพวกเขาแสดงด้วยกัน ท่วงทำนอนนี้ถึงได้สะเทือนจิตใจคนเช่นนี้ พาให้ทุกคนในที่นั้นล้วนซาบซึ้งเพราะสิ่งนี้ ดำดิ่งลงไปอย่างไม่สามารถถอนตัวได้


ภายในโถง เสียงดนตรีบรรเลงสู่จุดสูงสุด ใบหน้าของหลิ่วชิงเยียนแฝงความรู้สึกฮึกเหิมเปล่งปลั่งรางๆ ริมฝีปากนางแย้มออก เสียงร้องราวเสียงสวรรค์ ใช้การออกเสียงกังวานอันเป็นเอกลักษณ์เหมาะเจาะกับรูปปากวิจิตร เปล่งเสียงสวรรค์ออกมาอย่างงดงาม


ธาราธารโคจรคล่อง ไหลเวียนว่องมโหฬาร


มังกรซ่อนทะยานห้อ กรงเล็บล้อระบำหาญ


พยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวิน


อินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอย


บุปผางามผลิเคลื่อนคล้อย งามหยดย้อยละลานตา!


เหนือศีรษะจรดฟ้า ใต้บาทาจรดดิน


มากเรื่องราวให้ผ่านผิน ทะลวงถิ่นอันกว้างไกล


อนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอย


ทุกถ้อยทุกคำราวลมฟ้าสะท้านสะเทือน ภูผานทีพากันสั่นไหว พาให้ผู้คนในโถงตำหนักประหนึ่งได้เห็นว่าบนสนามรบนองเลือดนั้น ขุนศึกจักรวรรดิเรือนพันหมื่นกายอาบด้วยแสงอุษา เท้าเหยียบย่ำลงบนศพของศัตรู


ราวกับมองเห็นบ้านเมืองของจักรวรรดิที่เรืองรอง มีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่า ราวดรุณที่ได้เกิดใหม่ท่ามกลางกองเพลิงกำลังผุดขึ้นอย่างแข็งกล้า ย่างเท้ามุ่งหน้า พาให้ไพรีรอบทิศขวัญฝ่อ!


ความรู้สึกที่แผดเผาลุกโชนนั้น บทเพลงที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณนั้น นำพาให้ทุกคนบ้างหวั่นไหว บ้างตื่นเต้น บ้างตั้งหน้าตั้งตาคอย บ้างทอดถอนใจ…


หลินสวินเองก็ถูกชักนำไปด้วยอย่างที่สุด เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไหวสะท้านไปกับศาสตร์การดนตรี อารมณ์ราวแผดเผาฮึกเหิม เกิดเป็นเสียงระงมแข็งกล้า


ท่วงทำนองนี้ยิ่งใหญ่ไพศาล เกรียงไกรหาใดเทียม


คำร้องนี้งดงามไร้ตำหนิ สะท้อนแสงเรืองรองให้แก่กัน!


ทันใดนั้นท่วงทำนองหยุดชะงักชั่วขณะ ในชั่วพริบตาทั้งโถงตำหนักแว่วเสียงอ้อยอิ่ง มีเพียงความเงียบสงัด ฝูงชนที่นั่งอยู่เพียงรู้สึกว่าในใจพลันถูกกดทับ คล้ายมีความรู้สึกที่ใกล้ปะทุ แต่กลับยากระบายออกมาได้


และในเวลานี้เอง ดวงตาสุกสกาวของหลิ่วชิงเยียนเปล่งประกายขึ้น ทั้งกายอบอวลไปด้วยพลังที่ยากบรรยายสายหนึ่ง ขับร้องสองท่อนสุดท้ายออกมาจากริมฝีปาก


งามงดนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า เยาว์วัยไม่แก่เฒ่าดุจท้องนภา!


ห้าวหาญนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า หาญกล้ายิ่งยงดุจผืนปฐพี!


สองท่อนนี้เหมือนฟ้าผ่ากระแทกกระทั้นลงกลางประตูใจในฉาดเดียว ดึงความรู้สึกที่ถูกกดทับของทุกคนในที่นั้นให้ปะทุออกมาจนสิ้น


ดั่งน้ำที่ท่วมปริ่มเขื่อน ซัดสาดไหลเชี่ยวเกรียงไกร!


ดั่งภูเขาไฟที่ปะทุคลั่ง เอ่อล้นบรรพตนที!


ทุกคนล้วนรู้สึกว่าจิตวิญญาณสั่นเทิ้ม จิตใจกระวนกระวายไม่เป็นตัวเอง สองท่อนสุดท้ายนี้ราวกับแต้มจุดเพิ่มลงบนภาพที่งดงาม ทำให้ทั้งบทเพลงยิ่งเลิศล้ำขึ้นไปอีก ถึงระดับที่ ‘เสียงประสานฟ้าดิน หมื่นวิญญาณร่วมขับขาน’


บทเพลงนี้จบลง แต่เสียงยังลอยอ้อยอิ่ง สะท้อนก้องในโสตประสาท


สีหน้าของทุกคนล้วนตกอยู่ในภวังค์ จิตใจไหวกระเพื่อม พวกคนหนุ่มสาวยิ่งหายใจหอบยกใหญ่ สั่นเทิ้มไปทั้งตัว


นี่ก็คือบทเพลงใหม่ของหลิ่วชิงเยียน ใช้วิธีการด้านดนตรีชนิดหนึ่ง แสดงการขับร้องที่เรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจสะท้อนก้องตำหนักกลาง


“ลำนำนี้ควรมีเพียงบนสวรรค์เท่านั้น ในโลกนี้จะได้ยินสักกี่ครั้งนะ!”


ผ่านไปครู่ใหญ่มีผู้ชราคนหนึ่งเอ่ยทอดถอนใจ พริบตาก็ดึงดูดเสียงเห็นชอบ ปรบมือชื่นชมเซ็งแซ่ไม่หยุดหย่อน


จริงแท้แน่นอน บทเพลงใหม่เพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองหรือเนื้อเพลงที่เขียนขึ้น ล้วนเรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจเกินธรรมดา กอปรกับเสียงร้องปานเสียงสวรรค์ของหลิ่วชิงเยียนที่จมลึกถึงก้นบึ้งจิตวิญญาณ ความสามารถในการสั่นสะท้านจิตใจคนที่แสดงออกมานั้น ย่อมไปถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อน


มิเช่นนั้นกลุ่มคนใหญ่คนโตกับพวกผู้กล้ารุ่นเยาว์ในที่นี้ ย่อมไม่มีทางหวั่นไหวเช่นนั้น


ชั่วขณะหนึ่งสายตาที่ฝูงชนมองไปยังหลิ่วชิงเยียนก็พากันเปลี่ยนไป ยิ่งชื่นชมและเทิดทูน ถึงกับร้อนรุ่มและคลั่งไคล้


สตรีงดงามที่มีพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ ใครจะไม่ชื่นชมได้เล่า


ขนาดหลินสวินในใจยังทอดถอนใจอย่างยิ่ง


“ทักษะเข้าขั้น เนื้อเพลงและทำนองไพเราะ หายากยิ่งนัก เด็กๆ จัดหาที่นั่งให้พวกเขา”


บนบัลลังก์ จักรพรรดินีเอ่ยชม


เมื่อหลิ่วชิงเยียนนั่งลง จักรพรรดินีก็ถามขึ้นอีก “เพลงนี้มีนามว่าอะไร”


หลิ่วชิงเยียนพูดขึ้นด้วยความเคารพ “ขอองค์จักรพรรดินีพระราชทานนามเพคะ”


จักรพรรดินีใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ที่จักรวรรดิจื่อเย่าของเรายืนหยัดถึงทุกวันนี้ ให้กำเนิดผู้เก่งกล้าสามารถไม่รู้เท่าไร พวกเขาโรมรันในสนามรบ หลั่งเลือดต่อสู้เพื่อปกปักษ์ผืนดินของจักรวรรดิเรา สร้างคุณูปการที่ไม่อาจสูญสลายได้แก่จักรวรรดิ”


“และตอนนี้ที่จักรวรรดิของเรารุ่งเรืองแข็งกล้า เปิ่นจั้ว[1]เห็นว่าเหล่าผู้เยาว์แห่งจักรวรรดิล้วนมีใจทุ่มเทเพื่อบ้านเมือง เช่นนี้สามารถขนานนามได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งจักรวรรดิ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้เพลงนี้ชื่อว่า ‘ลำนำผู้กล้า’ ดีหรือไม่”


เสียงของจักรพรรดินีเพิ่งเงียบลง ก็มีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งปรบมือสรรเสริญ “ดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ จักรวรรดิกว้างใหญ่ไพศาล ผู้กล้ารุ่นเยาว์มากเกินคณา เหมือนภาพลักษณ์ในปัจจุบันของจักรวรรดิเรา เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เหมือนดำรงอยู่เทียมฟ้า ราวกับไร้ซึ่งเขตแดน บทเพลงนี้ใช้คำว่าผู้กล้ามาตั้งเป็นชื่อ เรียกได้ว่าเหมาะเจาะพอดีพ่ะย่ะค่ะ”


ทันใดนั้นคนใหญ่คนโตผู้อื่นในที่นั้นก็เริ่มเอ่ยเซ็งแซ่ สรรเสริญไม่หยุดปาก


อาจมีความแคลงใจว่าประจบ แต่เมื่อหลินสวินได้ยินชื่อ ‘ลำนำผู้กล้า’ กลับรู้สึกว่าสมชื่อนัก ลงตัวมาก


“ขอบพระทัยองค์จักรพรรดินีที่พระราชทานนามเพคะ”


หลิ่วชิงเยียนกล่าวขอบคุณ นางเองก็พอใจมากเช่นกัน คำว่าผู้กล้าสะดุดตาเพียงไหน เหมาะเจาะพอดีกับบทเพลงที่นางแต่งโดยสมบูรณ์


“ไม่ทราบว่าคุณหนูชิงเยียนคิดได้อย่างไร ถึงได้แต่งเพลงที่เกรียงไกรเร้าใจเช่นนี้ได้ ขนาดเนื้อที่แต่งขึ้นยังน่าเกรงขาม ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ”


มีคนเอ่ยถามพลางยิ้ม


หลิ่วชิงเยียนพูดขึ้น “เรียนตามความจริงว่า ที่แต่งเพลงนี้เป็นเพียงความพลุ่งพล่านในใจชั่วขณะหนึ่ง แต่เนื้อเพลงนี้ไม่ได้ออกมาจากมือข้า แต่เป็นฝีมือของปรมาจารย์ซูซานสือเจ้าค่ะ”


พูดถึงตรงนี้หลิ่วชิงเยียนก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “จะว่าไป ที่เนื้อเพลงนี้แต่งออกมาได้อย่างราบรื่น ก็เกี่ยวข้องกับคุณชายหลินที่อยู่ที่นี่ด้วย”


ฝูงชนพากันตะลึงงัน เรื่องนี้จะไปเกี่ยวพันกับเจ้าหนูหลินสวินนี่อีกได้อย่างไร


หลินสวินก็ประหลาดใจเช่นกัน พลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่จะเข้ามายังตำหนักกลาง หลิ่วชิงเยียนก็เคยบอกว่า เพราะตนถึงได้มีลำนำผู้กล้านี้ แต่หลินสวินนึกไม่ออกว่าตนเคยช่วยหลิ่วชิงเยียนไว้เมื่อใด


“นี่มันเรื่องอะไรกัน”


มีคนถามอย่างอดไม่ได้


“ตอนนั้นข้าเชิญท่านอาจารย์ซูมาช่วยแต่งเติมเนื้อเพลง อาจารย์ซูกลับลงมือไม่ได้เสียที ถึงขนาดที่จิตใจหม่นหมองยิ่ง ภายหลังยามข้ากับอาจารย์ซูนัดกันที่หอเมฆทะยาน พลันได้ยินทั่วนครเลื่องลือเรื่องคุณชายหลินสวินไปทั่ว ล้วนยกย่องเขาว่าเป็นผู้เก่งกล้าสามารถ ถึงกับทำให้อาจารย์ซูมีแรงบันดาลใจ เพียงยกพู่กันก็เขียนเนื้อเพลงนี้เสร็จเจ้าค่ะ”


ได้ยินหลิ่วชิงเยียนเล่าที่มาที่ไปออกมาอย่างไม่สะดุด สีหน้าฝูงชนก็อดประหลาดไปไม่ได้ เช่นนี้ก็ได้หรือ


จะบังเอิญไปแล้วกระมัง


แต่บางครั้งเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะกับผู้ที่แต่งเนื้อเรียบเรียงทำนอง เมื่อยามหมดไฟจิตใจกระวนกระวาย ทุ่มเทแรงใจแค่ไหนก็เขียนไม่ออก แต่เมื่ออารมณ์บังเกิด เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สนใจเรื่องหนึ่งก็พาให้อารมณ์เอ่อล้นราวน้ำพุได้


เห็นได้ชัดว่า เนื้อเพลงลำนำผู้กล้าก็เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้


แม้ฝูงชนจะเข้าใจจุดนี้ แต่เมื่อคิดว่าเนื้อเพลงที่มาเติมเต็มบทเพลงที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนี้กลับมาจากหลินสวิน ในใจก็รู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง


นี่ก็หมายความว่า หากบอกว่าลำนำผู้กล้านี้แต่งขึ้นให้หลินสวินโดยเฉพาะ ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน!


แต่เจ้าหลินสวินผู้นี้…คู่ควรกับเกียรติยศยิ่งใหญ่เช่นนี้หรือ


นี่พาให้ลูกหลานตระกูลใหญ่รุ่นเยาว์ไม่สบายใจยิ่ง


ส่วนหลินสวิน เมื่อได้รู้ทุกอย่างนี้ก็อดตะลึงไปไม่ได้ ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เรื่องนี้จะบังเอิญเกินไปแล้ว


ถึงตอนนี้ การแสดงหน้าพระพักตร์ของหลิ่วชิงเยียนก็จบลง


งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาดำเนินต่อไป มีผู้ที่ดื่มเหล้าถวายพระพรจักรพรรดินี ทั้งยังมีการแสดงร้องรำทำเพลงที่จัดขึ้นโดยเฉพาะ บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นคึกคักยิ่งนัก


ส่วนหลินสวินกลับนั่งโดดเดี่ยวอยู่เช่นนั้น ดื่มด่ำชาวิญญาณ ‘มังกรปักษาเพลิงหลอมรูปมงคล’ ถ้วยนั้น น้ำชาเข้มข้นกลมกล่อมสีม่วงอ่อนไหลลงคอ กลิ่นหอมกระจายไปทั่วต่อมรับรส แปรสภาพเป็นธารอุ่นมหาศาลไหลเข้าไปภายในร่าง


ชั่วอึดใจเท่านั้น หลินสวินก็รู้สึกได้ว่าพลังปราณที่ติดคอขวดไม่เคยกระดิกแม้สักนิดก่อนหน้า เวลานี้กลับมีเค้าลางเคลื่อนไหวพัลวัน


ชาดี!


ส่วนลึกในดวงตาหลินสวินฉายแววโรจน์ ตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ในสำนักศึกษามฤคมรกต พลังปราณของเขาก็ติดอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางเต็มขั้น พบกับอุปสรรคขวางทาง ไม่อาจบรรลุได้


เดิมทีต้องอาศัยการฝึกปรือและวาสนา จึงจะงัดอุปสรรคที่ขวางพลังปราณออก บรรลุขั้นโดยราบรื่นได้ ใครจะคิดว่า เวลานี้เพียงดื่มชาก็เกิดผลดีเช่นนี้ ทำให้หลินสวินยินดีเกินคาด


หลินสวินอดไม่อยู่กวาดตามองไปรอบๆ กลับพบว่านอกจากตนแล้ว ไม่มีผู้ใดที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อดื่ม ‘มังกรปักษาเพลิงหลอมรูปมงคล’


ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หลินสวินก็พอจะเข้าใจได้ว่าเพราะพลังปราณของตนนั้นเต็มแน่นถึงขีดสุดแล้ว ขาดเพียงตัวปลดปล่อยก็จะบรรลุได้


และการดื่มชานี้บางทีอาจมีประโยชน์มาก แต่พลังของมันก็เป็นเพียงการมอบโอกาสปลดปล่อยพลังเท่านั้น!


คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ดื่มชาในถ้วยรวดเดียวจนหมด หลังจากนั้นก็ไม่แคลงใจอีก เริ่มสงบใจปรับลมหายใจ พินิจภายในตน แม้ในโถงตำหนักกำลังมีงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาอย่างครึกครื้นก็มิได้สนใจ


โอกาสงัดอุปสรรคการฝึกปราณทิ้งเช่นนี้ หากพลาดไป ครั้งหน้าก็ไม่รู้จะได้มีโอกาสอีกเมื่อไร


ไม่นานนักเสียงของหัวหน้าเผิงก็ดังขึ้นในโถง “งานฉลองพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดินีครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ทุกท่านจดจ่อกับการฝึกปราณ หล่อหลอมผู้มีความสามารถที่จะเป็นเสาหลักให้จักรวรรดิมากยิ่งขึ้น องค์จักรพรรดินีมีพระราชดำริเป็นพิเศษให้นำสมบัติล้ำค่าบางส่วนมาเป็นของรางวัล”


เมื่อเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา บรรยากาศในที่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด


ผู้กล้ารุ่นเยาว์อย่างซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง ไป๋หลิงซี อวิ๋นฝูเฉิน เว่ยฉือเจ๋อต่างดวงตาเปล่งประกาย สีหน้าฮึกเหิม


ในที่สุดก็มาแล้ว!


พวกเขารอเวลานี้มานานแล้ว!


“ทว่า อยากได้รางวัลก็ต้องดูหน่วยก้านของแต่ละคนด้วย”


หัวหน้าเผิงพูดพลางก้าวออกมาข้างหน้า ดวงตาสูงวัยกวาดมองฝูงชนในโถงตำหนักแล้วพูดว่า “เวลานี้หากใครสนใจของรางวัล ล้วนสามารถลุกขึ้นไปท้าคู่ต่อสู้ที่ตนหวังจะประมือด้วยที่สุดได้ ขอแค่ชนะก็จะได้รับรางวัล!”


………..


[1] เปิ่นจั้ว เป็นคำเรียกแทนตัวเองของผู้สูงศักดิ์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)