Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 415-420
ตอนที่ 415 เทียบเชิญจากจักรพรรดินี
โดย
ProjectZyphon
แผนการกลั่นแกล้งหลินสวินได้จบลงพร้อมกับการจากไปของฉู่ซานเหอ
ไม่นานหลินสวินก็ออกไปจากชั้นห้าของหอหลอมวิญญาณท่ามกลางศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าที่ห้อมล้อม และสายตาอันซับซ้อนสับสนของทุกคน
จวบจนกระทั่งกลับไปถึงที่พักอาจารย์ หลินสวินกลับเข้าห้องของตัวเองไปเพียงลำพังแล้วทรุดตัวลงนอนบนเตียง
คนนอกเห็นเพียงว่าเขาใช้วิธีอันสวยงามอย่างที่สุดคลี่คลายแผนการอันชั่วร้ายของฉู่ซานเหอ แต่มีเพียงตัวหลินสวินเองที่รู้ว่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดวันนั้น เขาเสียแรงกายแรงใจไปมากเพียงใด
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองซ่อมชุดศึกสลักวิญญาณ และถ้าเกิดข้อผิดพลาดเพียงนิด ก็จะเป็นการทำลายสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้
เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ถึงความลำบากยากเย็นยามที่หลินสวินซ่อมแล้ว
เรียกได้ว่าในช่วงสี่วันแรก เขาไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ทุ่มเทคิดหาทุกวิถีทางในการซ่อมอย่างสุดความสามารถ
สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ!
แต่ผลจากความทุ่มเทก็คือ เขาเหนื่อยจนไม่อยากขยับตัว อยากนอน นอนให้ได้นานที่สุด
……
และในขณะที่หลินสวินหลับอยู่นั่นเอง เหตุการณ์การซ่อมกระบี่เบิกฟ้าก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว จนเกิดความปั่นป่วนโกลาหลในสำนักศึกษามฤคมรกตในชั่วขณะ
จวบจนกระทั่งเข้าสู่รัตติกาล ข่าวนี้ราวกับกระแสลมพายุที่เริ่มกระจายไปทั่วทั้งนครต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง เกิดความฮือฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู
“หลินสวินนั่น…เก่งกาจเกินไปแล้ว!”
ผู้คนมากมายต่างคิดไม่ถึงว่า เพิ่งได้รับรองการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณได้เดือนกว่า หลินสวินก็สร้างเรื่องฮือฮาขนาดนี้อีกแล้ว
นั่นมันสมบัติชิ้นสำคัญของจักรพรรดินีเชียวนะ ปรมาจารย์สลักวิญญาณไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ยังจนปัญญา แต่สุดท้ายกลับถูกปรมาจารย์สลักวิญญาณเด็กหนุ่มคนหนึ่งคลี่คลายอย่างสมบูรณ์แบบ
เรื่องนี้ต้องเหลือเชื่อมากอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นในคืนนี้ชื่อของหลินสวินจึงเหมือนกับโรคระบาดอีกครั้ง แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของนครต้องห้ามอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
หลินสวินได้ใช้การกระทำพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและพลังของเขาอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงและบารมีเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
เจ้าแห่งภูเขาชำระจิต อัจฉริยะด้านวิถียุทธ์ที่ล้มฮวาอู๋โยว ปรมาจารย์สลักวิญญาณอายุสิบหกปีที่ทำให้เกิดเสียงร้องเก้ามังกร อาจารย์ชั้นหนึ่งของสำนักศึกษามฤคมรกตที่ซ่อมกระบี่เบิกฟ้าสำเร็จ…
หลินสวินได้ถูกรัศมีแห่งชื่อเสียงเกียรติยศปกคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า และเบื้องหลังของทุกความรุ่งโรจน์ ก็ล้วนทำให้เกิดความฮือฮาระลอกหนึ่ง
และตอนที่ทำได้ขนาดนี้ หลินสวินเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามได้เพียงไม่ถึงปีเท่านั้น!
……
คนในวงการดูช่องทาง คนนอกวงการดูเพื่อสนุก
สำหรับคนใหญ่คนโตหลายคน การที่หลินสวินซ่อมกระบี่เบิกฟ้าได้ ย่อมมีความนัยที่พิเศษและผิดปกติอย่างมาก
นั่นมันชุดศึกสลักวิญญาณเชียวนะ!
เป็นสมบัติอันล้ำค่าของจักรพรรดินี!
ทั้งหมดนี้ไม่ได้นำพาเพียงชื่อเสียงเกียรติยศให้กับหลินสวิน ยังมีอำนาจลึกลับบางอย่างที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้ามได้
ตอนนี้หลินสวินสามารถซ่อมชุดศึกสลักวิญญาณได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นจะห่างจากการที่เขาสามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณขึ้นมาได้ด้วยตัวเองอีกแค่ไหนเชียว
ลองคิดดูว่า ถ้าวันหนึ่งหลินสวินที่อายุเพียงเท่านี้สามารถทำได้ขนาดนั้น จะเกิดความฮือฮาและเป็นจุดสนใจแค่ไหน
อัจฉริยะระดับนี้ ใครยังจะกล้ามีเรื่องด้วยโดยใช่เหตุ
ทำให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้ไม่พอใจเข้า ย่อมไม่ใช่เรื่องสนุกแน่!
ที่สำคัญที่สุดคือ สิ่งที่หลินสวินซ่อมคราวนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของจักรพรรดินี แบบนี้ย่อมเป็นไปได้ที่จักรพรรดินีจะรับรู้ถึงการมีตัวตนของเด็กหนุ่มยอดฝีมืออย่างหลินสวิน
มีความสัมพันธ์ชั้นนี้ ก็เท่ากับหลินสวินมีฐานะที่น่าเกรงขามเพิ่มขึ้นอีกโดยปริยาย!
“หลินสวินคนนี้ไม่เพียงความสามารถชวนตะลึง แต่ยังโชคดีจนเหลือเชื่อ หลังจากเรื่องนี้ก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำให้เขาได้ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย”
หลายคนอดทอดถอนใจแบบนี้ไม่ได้
“ฮ่า คราวนี้ฉู่ซานเหออับอายขายขี้หน้ามาก หลังจากเรื่องนี้เขาไม่เพียงแค่เสียหน้า เกรงว่าจะถูกครหาว่าเป็นพวก ‘ขี้อิจฉา’ อีกด้วย!”
“จริงด้วย ฉู่ซานเหอเป็นถึงรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ช่างน่าสลดใจจริงๆ”
“ต่อจากนี้ตราบใดที่หลินสวินยังอยู่ในสาขาสลักวิญญาณ ฉู่ซานเหอก็ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้อีก สถานการณ์แบบนี้ค่อนข้างน่าอึดอัดและอัดอั้น”
พอพูดถึงฉู่ซานเหอ ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ต่างมองเหมือนกันจนน่าตกใจ นั่นก็คือแผนการครั้งนี้ของฉู่ซานเหอ ไม่เพียงทำอะไรหลินสวินไม่ได้ แต่ยังทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ในอนาคตคงยากจะเชิดหน้าขึ้นได้อีก
ที่ตลกที่สุดคือ ตอนที่พวกหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้รู้ข่าวนี้ สีหน้าของทั้งสามดูแย่ราวกับเสียบุพการีอย่างไรอย่างนั้น
เป็นความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
เดิมทีตอนที่หลินสวินเริ่มมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้นมา ก็ได้ทำให้อำนาจของตระกูลสายรองทั้งสามอย่างพวกเขาสั่นคลอน
ถึงขั้นที่บีบให้พวกเขาจำต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลจั่วและฉินเพื่อโจมตีหลินสวิน
ใครจะคิดว่ายังไม่ทันได้ลงมือด้วยซ้ำ หลินสวินก็เล่นงานผู้ยิ่งใหญ่ระดับฉู่ซานเหอจนสะบักสะบอม อับอายไปทั่วทั้งนครต้องห้าม!
ส่วนหลินสวิน เพราะการซ่อมกระบี่เบิกฟ้าในครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงบารมีเพิ่มขึ้นอีกระดับในชั่วพริบตา ได้รับคำชื่นชมจากคนทั้งนคร
ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้รับรางวัลจากราชวงศ์ รวมทั้งความรู้สึกดีๆ จากจักรพรรดินี!
หลินสวินยิ่งโดดเด่น ยิ่งเก่งกาจเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการโจมตีอย่างหนักหน่วงและส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพวกเขาทั้งสามตระกูลรอง!
ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งผงาดง้ำ อีกฝ่ายย่อมต้องตกต่ำ ไม่แน่ว่าสักวันหลินสวินจะกางเล็บเขี้ยวลงมือกับตระกูลรองอย่างพวกเขา!
‘รอก่อนเถอะ ตระกูลจั่วและฉินยังไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ ปล่อยให้เจ้าได้ใจไปก่อน!’
นี่คือความคิดของหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉิน
……
‘ผู้กล้า บททดสอบที่สี่แห่งโถงมรรคาสวรรค์คือ ‘อาณาเขตเดินทาง’ เจ้าต้องบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณก่อน จึงจะสามารถเข้ารับบททดสอบนี้…’
ก่อนหลินสวินตื่นขึ้นมา ข้างหูราวกับได้ยินเสียงอันว่างเปล่าเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งดังขึ้นอีกครั้งรางๆ
หลินสวินลืมตาขึ้นพร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำดูครุ่นคิด สุดท้ายเขาก็สกัดกั้นความวู่วามเอาไว้ ตัดสินใจว่าจะยังไม่เข้ารับบททดสอบเร็วๆ นี้
แม้ว่าพลังปราณของเขาในตอนนี้จะบรรลุถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางสมบูรณ์แบบแล้ว อีกเพียงนิดก็จะบรรลุสู่ขั้นปลาย มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปรับบททดสอบในห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว
แต่ก็จนปัญญา เพราะตอนนี้หลินสวินไม่มีแรงและเวลามากพอจะไปรับบททดสอบ
เขาต้องสอน ต้องฝึกยุทธ์ ต้องศึกษาการสลักวิญญาณ ต้องไปดูแลเรื่องต่างๆ ในภูเขาชำระจิตอย่างต่อเนื่อง ต้องคอยระวังการโจมตีจากตระกูลจั่วและฉิน…
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินจะมีกะจิตกะใจอะไรไปรับบททดสอบ
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับหลินสวินแล้ว ในเมื่อด่านที่สี่ของทางเดินเมฆาหยกแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์มีชื่อว่า ‘อาณาเขตเดินทาง’ เพียงจากชื่อ ก็รู้ว่าด่านนี้ไม่ง่ายแน่
ถ้าเป็นไปได้ หลินสวินยอมเลือกเข้ารับการทดสอบหลังจากบรรลุสู่ขั้นปลายแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ ถ้าเป็นเช่นนี้โอกาสที่จะผ่านด่านก็จะสูงขึ้นอย่างมาก
หลินสวินลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายแล้วออกจากห้องไป
ไม่นานเขาก็รู้จากเสิ่นทั่วว่าเขาหลับไปสองวันแล้ว และในสองวันนี้ เรื่องที่เขาซ่อมกระบี่เบิกฟ้าก็ได้สร้างความฮือฮาอย่างมากในนครต้องห้าม
ในสถานการณ์แบบนี้ รองหัวหน้าสาขาอย่างฉู่ซานเหอเลือกที่จะถอยหลบไปชั่วคราว ไปเก็บตัวอยู่ที่ตระกูลฉู่ หายไปจากสาขาสลักวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของฉู่ซานเหอฉลาดมาก ถ้าเขายังอยู่ในสาขาสลักวิญญาณ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ได้รับต้องสร้างความอึดอัดให้เขาอย่างแน่นอน
ในสถานการณ์แบบนี้ เขาเลือกถอยไปชั่วคราวรอให้มรสุมครั้งนี้สงบลง ไม่แน่ว่าต่อไปเขาอาจจะมีโอกาสเริ่มใหม่อีกครั้ง
เรื่องนี้ทำให้หลินสวินพลันรู้สึกเบาใจลงไม่น้อย
ในขณะเดียวกันเสิ่นทั่วก็บอกหลินสวินว่า หัวหน้าสาขาถังเฉียนได้ออกคำสั่งว่า ให้หลินสวินอยู่ที่สาขาสลักวิญญาณอย่างสบายใจ และจะให้การดูแลเป็นพิเศษ
ตอนท้ายเสิ่นทั่วได้พูดถึงเรื่องซ่อมกระบี่เบิกฟ้า หลังจากส่งสมบัติชิ้นนั้นคืนสู่ราชวงศ์แล้ว หลินสวินได้รับคำชื่นชมอย่างมาก
หลินสวินพูดตรงๆ “มีของตอบแทนและรางวัลหรือไม่ขอรับ”
เสิ่นทั่วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ยื่นเทียบเชิญที่ทำจากหยกประทับตราดอกจื่อเย่าให้แล้วพูดว่า “นี่คือเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี ตั้งใจส่งมาให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษ”
หลินสวินชะงักงัน “นี่หรือรางวัล?”
สำหรับเขามันเป็นเพียงงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเท่านั้น ผลตอบแทนนี้ธรรมดาเกินไปแล้ว
เสิ่นทั่วเห็นเช่นนี้ก็เกือบกลอกตาอย่างควบคุมไม่อยู่ จำต้องอธิบายอย่างใจเย็น “หลินสวิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเทียบเชิญแบบนี้ มีคนใหญ่คนโตมากมายแค่ไหนที่แย่งกันหัวแทบแตกก็ยังไม่อาจได้มา นี่เป็นเกียรติยศอันสูงสุด ผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษานี้ได้ ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน!”
หลินสวินอึ้งงันไป ยังคงไม่รู้สึกสนใจดังเดิม แขกที่เข้าร่วมจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับเขา?
“เจ้าเนี่ยนะ ข้าจะว่าเจ้าว่าอะไรดี ขอเพียงแค่เจ้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษา จากเรื่องที่เจ้าซ่อมกระบี่เบิกฟ้า มีหรือที่จะไม่ได้รับความโปรดปรานและชื่นชมจากจักรพรรดินี?”
เสิ่นทั่วไม่ปิดบังอีกต่อไป บอกข้อดีหลายประการของการไปร่วมงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษากับหลินสวินไปตามตรง
คราวนี้หลินสวินยิ้มอย่างพอใจตามคาด กล่าวว่า “เช่นนี้ค่อยยังชั่ว ข้าไม่ได้เหนื่อยเปล่า”
เสิ่นทั่วอดยิ้มขื่นไม่ได้ เจ้าหนูคนนี้แปลกจริงๆ โอกาสทองในการร่วมงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีที่คนอื่นต่างหมายปอง เจ้าหนูคนนี้กลับไม่สนใจ แต่พอบอกประโยชน์ถึงค่อยทำให้เขาหวั่นไหวและให้ความสำคัญ
อีกครึ่งเดือนจึงจะถึงงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี หลินสวินก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยังคงทำเหมือนปกติ ทุกวันนอกจากไปสอนแล้วก็สงบจิตฝึกยุทธ์
การเปลี่ยนแปลงเดียวอาจจะเป็นเรื่องที่ว่า ทุกครั้งที่เขาสอน ภายในโถงที่หัวหน้าสาขาถังเฉียนจัดให้พิเศษนั้นได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นั่งเต็มไม่เคยว่างทุกรอบ
คนที่มาฟังการสอน ไม่เพียงแค่ศิษย์จากห้องอื่น ยังมีอาจารย์และปรมาจารย์สลักวิญญาณอาวุโสบางส่วนในสาขาสลักวิญญาณอีกด้วย!
สถานการณ์นั้น สามารถใช้คำว่าผู้คนล้นหลามอย่างมืดฟ้ามัวดินมาเปรียบเทียบได้อย่างสิ้นเชิง
ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะนับถือหลินสวินที่ซ่อมกระบี่เบิกฟ้าสำเร็จ สำหรับนักสลักวิญญาณแล้ว ความสามารถในการสสักวิญญาณของหลินสวินในตอนนี้ เพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณจำนวนไม่น้อยเลื่อมใสแล้ว!
ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไปเรื่อยๆ ข่าวงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินีก็เริ่มเป็นที่สนใจของคนทั้งนครต้องห้าม
เพราะงานเลี้ยงในครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ตอนที่ 416 หลิงเทียนโหว
โดย
ProjectZyphon
เวลาหลายวันผ่านไปในชั่วพริบตา ถึงงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีแล้ว
หลินสวินนั่งเกี้ยวสมบัติไปถึงเมืองชั้นใน จากนั้นสั่งให้จูเหล่าซานกลับไป แล้วถือเทียบเชิญเข้าเมืองชั้นในไปโดยลำพัง
เมืองชั้นในเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ ถ้าไม่มีเทียบเชิญ อย่าว่าแต่หลินสวินเลย แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ยังยากจะเข้าไปได้
เมื่อเดินเข้าไปราวกับได้หลุดไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง มองไปรอบๆ มีสิ่งก่อสร้างโบราณสูงใหญ่ตระหง่านตระการตา ส่องประกายศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า
อยู่ในนั้นแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวเองช่างเล็กจ้อย เหตุผลเพราะสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นใหญ่โตเกินไปและสูงตระหง่านอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ตำแหน่งของพระราชวังหาง่ายมาก ตั้งอยู่ตรงกลางของเมืองชั้นใน มองไปก็จะเห็นถนนหยกสีขาวที่มีความกว้างหลายสิบจั้งซึ่งนำไปสู่ประตูของพระราชวัง
สองข้างของถนนหยกขาวมีทหารองครักษ์ประจำพระราชวังเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด แต่ละคนใส่เสื้อเกาะ ถืออาวุธอยู่ในชุดพร้อมรบ สีหน้าฉายไอสังหาร องอาจสง่าผ่าเผยน่าเกรงขาม
ตอนที่หลินสวินไปถึงก็มีแขกมากมายมาถึงแล้วเช่นกัน ล้วนเป็นบุคคลชนชั้นสูง ผู้ฝึกปราณที่สาดประกายความน่าเกรงขามก็ไม่น้อย ทำให้หลินสวินเห็นแล้วลอบตะลึงในใจ
งานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันนี้จะต้องคึกคักมากอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินเดินเข้าไปคนเดียว เขาเข้ามาในเมืองชั้นในเป็นครั้งแรกจึงมองไปรอบๆ ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายสิริมงคล สิ่งก่อสร้างโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่แฝงความน่าเกรงขาม
จักรวรรดิจื่อเย่ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น นครต้องห้ามเจริญรุ่งเรืองขนาดนั้น เมืองชั้นในที่เป็นใจกลางของนครต้องห้าม แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา
ระหว่างทางมีหลายคนจำหลินสวินได้ สายตาที่มองเขาต่างแฝงความแปลกประหลาด ลอบวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
หลินสวินในตอนนี้กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในนครต้องห้ามไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าเรื่องที่เอาชนะฮวาอู๋โยว เรื่องที่ได้รับรองการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ หรือเรื่องที่ซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้จักรพรรดินีที่เพิ่งผ่านมา ล้วนสร้างความฮือฮาอย่างมากในนครต้องห้าม เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต่างให้ความสนใจ
เพราะฉะนั้นการเดินอยู่ในเมืองชั้นในแล้วมีคนรู้จักจึงเป็นเรื่องปกติ
ไม่นานหลินสวินก็เห็นเงาร่างอันงดงามที่คุ้นเคย ไป๋หลิงซี!
นางเองก็มาคนเดียว สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เส้นผมดำขลับทิ้งตัวลงกลางหลัง เรือนร่างสูงโปร่งแบบบางดูบริสุทธิ์สะอาดท่ามกลางแสงอาทิตย์ในยามเช้า
เห็นเพียงเบื้องหลังยังดูงดงามโดดเด่น
ที่แท้นางก็มาด้วย
หลินสวินกำลังไตร่ตรองว่าควรเข้าไปทักทายหรือไม่ ถึงอย่างไรตอนเจอกันที่หอสรวลทรัพย์ไป๋หลิงซีก็เคยออกหน้าช่วยเขาหลายครั้ง แม้ไป๋หลิงซีจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่หลินสวินไม่อาจมองข้ามบุญคุณไปได้
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ ไป๋หลิงซีที่อยู่ข้างหน้าชะงักฝีเท้าราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แล้วพลันหันขวับมา ชั่วพริบตานั้นดวงตากระจ่างดั่งดวงดาราคู่นั้นก็มองเห็นหลินสวิน
เห็นได้ชัดว่านางเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอหลินสวินที่นี่ จึงอดอึ้งงันไม่ได้แล้วเดินเข้ามาทันที กล่าวว่า “เจ้าก็มาด้วยหรือ”
หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “บังเอิญจริง”
“เข้าไปด้วยกันเถอะ”
ไป๋หลิงซีพูดอย่างสบายๆ ก่อนจะเดินเคียงบ่าไปพร้อมกับหลินสวิน
ดวงหน้าของนางงดงาม คิ้วตาดุจภาพวาด เรือนร่างแบบบาง ผิวพรรณขาวกระจ่างราวหยกงาม ท่าทีเรียบเฉยสบายๆ ราวกับเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
แม้ไม่นานมานี้เพิ่งได้เจอกันแล้วรอบหนึ่ง แต่หลินสวินก็ยังคงอดตะลึงในความงามไม่ได้ หญิงสาวที่มีพรสวรรค์ ‘ดารานิรันดร์’ ผู้นี้งดงามสะดุดตายิ่งกว่าเดิม
“เมื่อสองปีที่แล้วตอนอยู่ค่ายกระหายเลือด ข้าเคยคิดว่าคุณภาพบ่อพลังวิญญาณที่ข้ากลั่นเกลาเหนือกว่าเจ้าระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่า บ่อพลังวิญญาณที่เจ้าหล่อหลอมขึ้นมา น่าจะไม่ใช่แค่บ่อพลังวิญญาณขั้นหนึ่งธรรมดาๆ”
จู่ๆ ไป๋หลิงซีก็พูดถึงเรื่องในอดีต
หลินสวินยิ้มน้อยๆ กล่าว “ก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน”
ดวงตาคู่กระจ่างของไป๋หลิงซีกวาดมองหลินสวินอย่างคลุมเครือแวบหนึ่ง ค่อยพูดว่า “ต่างสิ อย่างน้อยอาศัยแค่พื้นฐานของบ่อพลังวิญญาณขั้นหนึ่ง ไม่มีทางทำให้พลังปราณของเจ้าบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางระยะสมบูรณ์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงสองปีได้แน่”
นางหยุดไปครู่ หว่างคิ้วเผยความสงสัย เอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เจ้าใช้เพียงพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น ก็สามารถเอาชนะฮวาอู๋โยวที่อยู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้”
“ข้ารู้ความสามารถของฮวาอู๋โยว นางถือเป็นบุคคลระดับแนวหน้าของสาขายุทธ์วิถีแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต พลังการต่อสู้เพียงพอที่จะติดอันดับในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ในสถานการณ์แบบนี้เจ้ายังสามารถเอาชนะนางได้ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพื้นฐานแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ไป๋หลิงซีก็เชยตาขึ้นจ้องมองเสี้ยวหน้าของหลินสวิน ริมฝีปากแดงก่ำเปิดออกเล็กน้อยในขณะที่พูดว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ปีนั้นหลังจากชีพจรวิญญาณของเจ้าถูกช่วงชิงไป คุณลักษณะพรสวรรค์ในตัวเจ้าเหมือนจะไม่ได้หายไปด้วย”
หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหว คิดไม่ถึงเลยว่า ไป๋หลิงซีเพียงแค่วิเคราะห์ ก็เกือบจะอ่านความลับสุดยอดในตัวเขาออกแล้ว!
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบข้า นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้า”
ไป๋หลิงซีละสายตาออก มองไปยังราชวังอันสูงตระหง่านแล้วพูดเสียงเบา “ช่วงก่อนข้าได้รู้เรื่องบางอย่างเข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าภายนอกอาณาเขตจักรวรรดิจื่อเย่า ยังมีอาณาจักรลี้ลับที่กว้างขวางยิ่งกว่า ในนั้นมีสำนักยุทธ์อันเก่าแก่ มีดินแดนอุดมราวกับเป็นที่อยู่ของเหล่าเซียน รวมทั้งมีทรัพยากรที่เอื้อต่อการฝึกปราณอันยากจะจินตนาการ”
หลินสวินหัวใจสะท้าน นึกถึงเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ที่สังหารบิดามารดาและคนในตระกูลของตน!
ตามที่ผู้อาวุโสในตำหนักแสงทมิฬผู้นั้นบอก อวิ๋นชิ่งไป๋คนนี้ก็มาจากสำนักยุทธ์ลี้ลับที่มีชื่อว่าสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
“ผู้อาวุโสในตระกูลบอกว่า มีเพียงการไปเยือนสถานที่แห่งนั้น จึงจะนำไปสู่เส้นทางแห่งยุทธ์อย่างแท้จริง พลังปราณบรรลุสู่ระดับสูงสุด มีชีวิตที่เป็นอมตะ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์ไป”
น้ำเสียงไป๋หลิงซีแผ่วเบา ใบหน้าอันงดงามเรียบเนียนดั่งเนื้อหยก เผยความมุ่งหวังจากส่วนลึกของหัวใจ
หลินสวินรู้สึกแปลกๆ เขามั่นใจในระดับหนึ่งว่า ดินแดนอันลี้ลับที่ไป๋หลิงซีพูดถึง คือที่ที่อวิ๋นชิ่งไป๋จากมา!
“อีกไม่นานข้าจะออกเดินทางไปตามหาเส้นทางนั้น”
ไป๋หลิงซีสูดหายใจเข้า แม้เสียงจะราบเรียบ แต่กลับเผยความหนักแน่นอย่างเหลือเชื่อ
มองหญิงสาวชุดเขียวที่เปล่งประกายความบริสุทธิ์ดั่งภาพมายาอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า ในใจหลินสวินก็อดชื่นชมไม่ได้ ยิ้มบางๆ พูด “งั้นข้าอวยพรเจ้าล่วงหน้า ขอให้สมดั่งปรารถนา”
เขาดูออกว่าไป๋หลิงซีมีความมุ่งมั่นอย่างที่สุดในด้านการฝึกปราณและหนทางสู่ยุทธ์ จึงทำให้นางโดดเด่นสะดุดตากว่าใครใต้หล้านี้
ไป๋หลิงซีระบายยิ้มอันงดงาม รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นั่นงดงามตระการตาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับสามารถทำให้ใต้หล้าหม่นแสงลงได้
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ในงานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษาครั้งนี้มีผู้กล้ามากมายที่ได้ครองตำแหน่งในด้านต่างๆ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนเดินทางมาด้วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขามาเพราะเหตุใด”
จู่ๆ ไป๋หลิงซีก็ถามขึ้น
“หรือพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่ออวยพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาเท่านั้น?”
หลินสวินชะงักไป
ไป๋หลิงซีส่ายหน้า “งานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาในครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ได้ยินว่า…มีคนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งมาจากดินแดนลี้ลับที่อยู่นอกจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนั้น ถ้าได้รับความโปรดปรานจากพวกเขา ไม่แน่ว่าเพียงก้าวเดียวอาจทะยานถึงฟ้า ได้ตามพวกเขาไปฝึกปราณที่ดินแดนลี้ลับแห่งนั้น”
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้ในยามนี้ ว่าเหตุใดไป๋หลิงซีจึงพูดเรื่องพวกนี้กับตน ที่แท้นางก็มาเพื่อการนี้
หลินสวินถึงขั้นเดาว่า ไป๋หลิงซีอาจเข้าใจผิด คิดว่าที่ตนมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ก็เพื่อมาแย่งโอกาสนี้เช่นกัน
หลินสวินกำลังจะอ้าปากพูด แต่ในขณะนั้นเองเสียงคำรามพลันดังขึ้นจากข้างหลัง เสียงดังกึกก้องดึงดูดความสนใจจากหลายสายตาทันควัน
ที่นี่เป็นเมืองชั้นในเชียวนะ และถนนหยกขาวก็ตรงไปที่พระราชวังอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ใครกล้าอวดดีทำเสียงดังขนาดนี้?
พอหันไปก็เห็นเป็นเกี้ยวสมบัติหรูหราที่ลากโดยอสูรมังกรกีบดำสี่ตัวกำลังห้อตะบึงมาทางนี้
เกี้ยวสมบัตินั่นสาดประกายระยิบระยับ ตกแต่งด้วยลายเมฆสีม่วง อสูรมังกรกีบดำสี่ตัวนั้นยิ่งน่ากลัวกว่า แต่ละตัวล้วนดูเหี้ยมโหด ดุดันอย่างมาก
กล้าอาละวาดบนถนนหยกขาวขนาดนี้ ทั้งยังไม่มีใครกล้าขวาง เห็นได้ชัดว่าฐานะของเจ้าของเกี้ยวสมบัตินี้ไม่ธรรมดาแน่
“เกี้ยวสมบัติอสูรมังกรดำ! หลิงเทียนโหวกลับมาแล้ว!”
“ห้าปีที่แล้วหลิงเทียนโหวออกจากนครต้องห้ามไปพร้อมพลังปราณระดับจิตผสานวิญญาณ บุกสังหารเข้าไปบำเพ็ญเพียรในดินแดนรกร้างไร้สงบเพียงลำพัง ฆ่าพวกเผ่ามืดไปไม่รู้กี่ชีวิต จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้ในห้าปีหลังจากนั้น เขาจะหวนกลับมาที่นครต้องห้าม!”
“ห่างไปห้าปี ก็ไม่รู้ว่าหลิงเทียนโหวแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว อย่างน้อยๆ…ก็คงระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์กระมัง”
หลายคนบนถนนหยกขาวต่างตื่นตกใจ จำฐานะของผู้มาเยือนได้ ว่าเป็นท่านโหวหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในราชวงศ์ หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้น!
บุคคลนี้เป็นผู้กล้าที่นิสัยดุดัน เผด็จการและเย่อหยิ่ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ พรสวรรค์ด้านการฝึกปราณของเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด
ห้าปีที่แล้วหลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นเพิ่งจะอายุสิบสี่ นิสัยดื้อรั้นเกเร ฆ่าผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนคาที่ เพียงเพราะแย่งผู้ฝึกปราณหญิงสายศิลป์คนหนึ่งที่หอนางโลม ไม่เพียงบังคับชิงตัวผู้ฝึกปราณหญิงสายศิลป์คนนั้นไป ยังจุดไฟเผาหอนางโลมแห่งนั้น สร้างความสะเทือนอย่างมากในนครต้องห้าม
สุดท้ายถึงขั้นกลายเป็นจุดสนใจของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน จนมีราชโองการขับหลิงเทียนโหวออกจากนครต้องห้าม เนรเทศไปชายแดนจักรวรรดิ ให้เขาทำคุณไถ่โทษ
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ผ่านไปเพียงห้าปีเท่านั้น หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นก็หวนกลับสู่นครต้องห้ามอีกครั้ง!
เพียงฟังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นรอบๆ หลินสวินก็เข้าใจทันทีว่า ที่เกี้ยวสมบัติอสูรมังกรดำนี้กล้าวิ่งอย่างบ้าคลั่งบนถนนหยกขาวเช่นนี้ เพราะฐานะของเจ้าของไม่ธรรมดาจึงไม่มีอะไรต้องกลัว
“เจ้าหมอนี่ดันกลับมาแล้ว…”
ไป๋หลิงซีย่นคิ้วเล็กน้อย ความชิงชังผ่านเข้ามาในสายตาแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านางเองก็เคยได้ยินประวัติของหลิงเทียนโหวคนนี้เช่นกัน
สิ่งที่ทำให้หลินสวินคิดไม่ถึงคือ ตอนที่เกี้ยวสมบัติอสูรมังกรดำนั่นกำลังผ่านตัวเขา มันกลับหยุดอย่างกะทันหัน เพราะหยุดเร็วเกินไปทำให้อสูรมังกรที่ลากเกี้ยวสมบัติตัวหนึ่งพลันยกตัวขึ้นมา สองขาหน้าที่หนาใหญ่ดั่งเสาเหล็กกระแทกมาทางหลินสวิน!
พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังแว่วขึ้นบริเวณนั้น
ฉากนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไปแล้ว คิดจะหลบยังไม่ทัน
ความจริงหลินสวินเองก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ด้วยสัญชาตญาณที่หล่อหลอมขึ้นจากการต่อสู้มานานปี ทำให้เขาเบี่ยงตัวก้าวเท้าอย่างคล่องแคล่ว หลบไปอยู่อีกด้าน
——
ตอนที่ 417 ใจกล้าดั่งพายุคลั่ง
โดย
ProjectZyphon
กีบเท้าทั้งสองของอสูรมังกรเจียวกีบดำยกสูงในอากาศ พลังอำนาจโหดเหี้ยมน่ากลัวพาให้อกสั่นขวัญแขวน
สัตว์ปีศาจชั้นนี้สามารถสะท้านขวัญผู้มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ ทันทีที่กีบเท้าทั้งสองของมันกระแทกเข้ากับร่างของหลินสวิน แม้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส!
สวบ!
เห็นใต้เท้าของหลินสวินราวเกิดเมฆหมอก เงาร่างหายไปจากจุดเดิมในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรชั้นแรก… ก้าวย่างชือน้ำแข็ง!
เสียงปังดังลั่น กีบเท้าทั้งสองของอสูรมังกรเจียวร่วงหล่นจากห้วงอากาศกระแทกลงบนพื้น เกิดเป็นเสียงดังลั่น พื้นพสุธาราวกัมปนาท เห็นได้ว่าพลังโจมตีนี้น่ากลัวเพียงใด
หลินสวินเห็นดังนี้ก็ลอบถอนหายใจยาว ในใจอดโกรธไม่ได้ สัตว์ปีศาจลากเกี้ยวสมบัตินี้โดยทั่วไปจะถูกฝึกอยู่ก่อนแล้ว ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง จะกล้าชนเข้าอย่างจังเช่นนี้ได้อย่างไร
“โฮก!”
แต่หลินสวินไม่ทันได้แสดงท่าทีโมโห อสูรมังกรเจียวกีบดำตัวนั้นโจมตีไม่โดนก็ยิ่งคลุ้มคลั่งดุร้าย คำรามอย่างขัดเคืองออกมา อ้าปากหมายจะกัดหลินสวิน
“ไสหัวไป!”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ ทั้งร่างมีไอหมอกน้ำแข็งระเหย เมื่อย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง เงาชือน้ำแข็งตนหนึ่งก็พุ่งออกมา แหงนหน้าขึ้นฟ้า ส่งเสียงแหลมเหมือนเสียงร้องของมังกร
พลานุภาพน่าหวั่นกลัวยากบรรยายพลันปะทุออกจากหลินสวินที่เป็นศูนย์กลาง ม้วนกวาดทุกอย่าง
ในชั่วพริบตา อสูรมังกรเจียวกีบดำที่คิดจะกัดทำลายตัวนั้นส่งเสียงร้องครวญครางออกมา เสียงตุ้บดังขึ้น ร่างใหญ่ยักษ์เหมือนถูกมหาบรรพตกดทับ หมอบคลานอยู่บนพื้นตัวสั่นระริก
และในเวลาเดียวกันนี้ อสูรมังกรเจียวกีบดำที่ลากเกี้ยวสมบัติอีกสามตัวก็พากันร้องครวญ ร่างอ่อนยวบไปกับพื้น
เฮือก~
เสียงสูดหายใจเย็นเยียบระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น
หลินสวินในเวลานี้เงาร่างเต็มไปด้วยหมอกน้ำแข็ง เงาชือน้ำแข็งแหงนหน้าขึ้นไปยังห้วงอากาศ มีพลังน่าหวั่นกลัวยากบรรยาย หยิ่งผยองยิ่งนัก
อสูรมังกรเจียวดำที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณหวั่นกลัวได้สี่ตัวนั้น กลับถูกกำราบด้วยพลานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างหลินสวินในเวลาเดียวกันนี้เอง นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
“วิชาลับอะไรกันนี่ ถึงกับก่อให้เกิดความน่าหวั่นเกรงแรงกล้าเช่นนี้ได้”
อีกด้านหนึ่ง ดวงตากระจ่างดุจดาราของไป๋หลิงซีปรากฏแววประหลาด ปริศนาในตัวหลินสวินมากมายนัก ยังให้นางสงสัยหลายครั้งว่า แท้จริงแล้วหลินสวินครอบครองวิชาลับกับพลังที่ผู้อื่นไม่รับรู้อีกกี่มากน้อย
“เหอะๆ เจ้าก็คือหลินสวินงั้นหรือ”
ฉับพลัน เสียงหัวเราะอ่อนหวานหาใดเปรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น ที่ตามมากับเสียงนี้ คือชายหนุ่มชุดสีเลือดผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากเกี้ยวสมบัติมังกรเจียวคันนั้น
เขามีผิวขาวสะอาดราวดรุณี ในหน้างดงามหล่อเหลาแฝงกลิ่นอายราวปีศาจ โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้น ยามลืมตาขึ้นจะมีแสงสีเลือดหมุนเคลื่อน ดูน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ
นี่ก็คือหลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้น!
เพียงดูจากรูปลักษณ์ภายนอก เขาดูไม่เหมือนผู้กล้าที่นิสัยใจคอโหดเหี้ยมวิปริต เคยมีชื่อเสียงเลื่องระบือร้ายกาจที่สนามรบชายแดน กลับดูเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ที่ท่าทางเหนือธรรมดาผู้หนึ่ง
แต่เมื่อเห็นว่าเขาปรากฏกาย หลายคนในที่นั้นหลุบตาลง แสดงให้เห็นความรู้สึกหวั่นเกรง เห็นชัดว่าในใจรู้ดีว่า ภายใต้เนื้อหนังหล่อเหลางดงามของหลิงเทียนโหว มีหัวใจราวปีศาจร้ายดวงหนึ่ง!
“ใช่”
หลินสวินพยักหน้ารับ เพียงฟังถ้อยคำของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่าที่อสูรมังกรเจียวดำพุ่งชนตนเมื่อครู่นั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!
“ดูแล้วยังเยาว์เหมือนข่าวลือจริงๆ เพียงแต่เจ้ากลับไม่มีความใจกล้าคับฟ้าเช่นในข่าวลือเลย”
หลิงเทียนโหวมีน้ำเสียงอ่อนหวาน เหมาะเจาะกับใบหน้าสะสวยราวปีศาจของเขา มีบุคลิกที่มีเอกลักษณ์
“ท่านเห็นว่าอย่างไรจึงเรียกว่าใจกล้า” หลินสวินถามกลับ
“ถ้าข้าเป็นเจ้า หากเดรัจฉานเช่นนี้กล้าพุ่งชนข้า เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าเดรัจฉานก่อน แล้วค่อยฆ่านายของมัน”
หลิงเทียนโหวอธิบายเหตุผลแช่มช้า แต่วาจานั้นพลุ่งพล่านไปด้วยจิตสังหาร พาให้ใจคนหนาวยะเยือก “เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าใจกล้าอย่างแท้จริง”
หลายคนที่อยู่ใกล้กันนั้นลอบสูดหายใจเย็นเยียบ ไม่พบกันห้าปี นิสัยวิปริตของหลิงเทียนโหวไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งร้ายกาจกว่าเดิมเสียอีก!
หลินสวินร้องอ้อ พลันยกมือหนึ่งขึ้นตบออกไป เกิดเสียงดังปังคราหนึ่ง หัวอสูรมังกรเจียวดำตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพลันแหลกสลาย โลหิตซ่านกระเซ็น
ฝูงชนจิตใจสั่นสะท้าน ตกตะลึงร้องเสียงหลง ใครจะกล้าคิดว่าจู่ๆ หลินสวินจะลงมือฆ่าอสูรมังกรเจียวดำตัวหนึ่งที่หลิงเทียนโหวเลี้ยงต่อหน้าต่อตาเขาได้
“ข้าไม่ได้ใจกล้ามากมาย แต่ความกล้าในการฆ่าเดรัจฉานตนหนึ่งก็ยังพอมี เช่นนี้ท่านพอใจหรือไม่”
หลินสวินยิ้มถาม สีหน้าเรียบเฉย
“แต่ข้าเห็นว่ายังขี้ขลาดนัก”
หลิงเทียนโหวเหมือนไม่โกรธ เพียงมองหลินสวินอย่างเฉยชา
ปัง!
พูดเพิ่งจบ หัวอสูรมังกรเจียวดำอีกตัวก็ถูกหลินสวินตบจนแหลก น่าสะท้านขวัญจนอสูรมังกรเจียวดำอีกสองตัวร้องครวญไม่หยุด หวั่นกลัวหวาดวิตก
ส่วนฝูงชนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นสีหน้าล้วนระบายไปด้วยความสั่นสะท้าน
จวบจนตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงเทียนโหวถึงหยุดเกี้ยวสมบัติกะทันหัน และเข้าหาหลินสวิน
และคิดไม่ถึงเช่นกันว่า เมื่อเทียบกับหลิงเทียนโหวที่ว่าป่าเถื่อนโหดเหี้ยมแล้วนั้น การแสดงออกของหลินสวินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!
นี่เป็นถนนหยกขาวที่ในเมืองชั้นในที่ใช้เป็นทางไปยังพระราชวัง ศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามขนาดไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิงเทียนโหวหรือหลินสวิน ก็ดูไม่หวั่นเกรงเลย!
เช่นนี้น่ากลัวไปแล้ว
วันนี้เป็นวันฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี หากสองคนนี้ก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่กังวลว่าจะได้รับโทษหรือ?
“ตอนนี้ล่ะ”
หลินสวินหัวเราะพลางถามต่อ ในดวงตาสีดำคู่นั้นกลับไม่มีความหวั่นไหวสักนิด
“ก็ยังไม่ผ่านเหมือนเดิม”
หลิงเทียนโหวพูดเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวปีศาจนั้นก็ดูคลื่นอารมณ์ไม่ออกเช่นกัน
แต่ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนรับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่า บรรยากาศตรงนี้ขมวดเคร่งจนถึงที่สุดแล้ว เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่อีกนิดเดียวก็จะระเบิดออก
อากาศราวถูกแช่แข็ง กดดันจนยังให้ทุกคนหายใจไม่ทั่วท้อง
ทุกคนรู้ดีว่า การที่หลินสวินฆ่าอสูรมังกรเจียวดำครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าหลิงเทียนโหว นี่ดูเหมือนว่าพิสูจน์ความใจกล้าของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีหรือจะไม่ใช่การโจมตีตอบโต้หลิงเทียนโหว
อีกทั้งการตอบโต้นี้ยังเรียบง่าย ตรงไปตรงมาและป่าเถื่อน!
“เช่นนั้นก็ทำต่อ”
หลินสวินยิ้มให้พลางยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง
อสูรมังกรเจียวกีบดำอีกสองตัวที่เหลือจะนั่งรอความตายได้อย่างไร เมื่อรับถึงรู้ไอสังหารของหลินสวิน พวกมันตัวหนึ่งก็พลันแสดงความดุร้าย พุ่งเข้าโจมตีหลินสวิน
ส่วนอีกตัวหนึ่งกลับส่งเสียงครวญคราง หลบอยู่หลังร่างของหลิงเทียนโหว
ปัง! ปัง!
เสียงดังกึกก้องขึ้นสองครั้ง อสูรมังกรเจียวกีบดำทั้งสองตัวถูกฆ่าทิ้งสิ้น ตัวหนึ่งถูกหลินสวินโจมตีที่หัวจนแหลก
ส่วนอีกตัว…กลับถูกหลิงเทียนโหวใช้มือเดียวฆ่า สลายกลายเป็นเนื้อละเอียดทั่วพื้น สภาพการตายน่าสยดสยองยิ่งนัก!
เห็นเช่นนี้ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนอดกระสับกระส่ายในใจไม่ได้ ไม่อาจสงบนิ่ง แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นหลิงเทียนโหวหรือหลินสวิน ล้วนใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดต่อกร ต่างคนต่างยั่วยุกัน ใครก็ไม่ยอมถอย!
ขนาดไป๋หลิงซีที่อยู่ข้างๆ ในดวงตาของนางยังอดปรากฏแววเคร่งขรึมไม่ได้
การปะทะที่เดิมทีเหมือนอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง พัฒนามาจนถึงตอนนี้ ก็ประหนึ่งเป็นการผูกบัญชีเลือดกันแล้ว!
แต่ใจนางยังสงสัย หลินสวินเพิ่งเข้ามายังนครต้องห้ามไม่ถึงปี ส่วนหลิงเทียนโหวก็จากนครต้องห้ามไปห้าปีถึงเพิ่งกลับมา เหตุใดจู่ๆ หลิงเทียนโหวถึงได้เลือกเวลานี้มายั่วยุหลินสวิน
“ขยะชั้นเลวเหล่านี้ ขายหน้าประชาชี ตายไปก็ไม่คุ้มให้เสียดาย”
เสียงหลิงเทียนโหวอ่อนหวาน แต่ในดวงตาล้วนมีแต่ความเย็นเยียบ “ตอนนี้เจ้ายังมีวิธีอะไรมาพิสูจน์ความใจกล้าของตัวเองไหม”
หลินสวินยิ้ม “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”
ชั่วพริบตานั้น แววตาของหลิงเทียนโหวเปลี่ยนเป็นดุดัน เสื้อผ้ากระพือไหวเกิดเสียงดัง ทั้งร่างมีจิตสังหารหนาแน่นหาใดเปรียบแผ่ออกมา “วิธีใด”
บรรยากาศที่นี่ตึงเครียดถึงที่สุด กดดันถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าห้วงอากาศบริเวณนั้นเหมือนรับไม่ไหว เปลี่ยนไปแปรปรวน เกิดเสียงหวีดหวิว
“ฆ่าท่านเสียเลย”
รอยยิ้มที่มุมปากของหลินสวินหุบลง น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่คำที่เอ่ยออกมากลับทำให้ใจของทุกคนสั่นไหวบ้าคลั่ง เกือบร้องเสียงหลงด้วยความสะท้านขวัญ
“ฮ่าๆๆ”
หลิงเทียนโหวแหงนหน้าขึ้นฟ้า หัวเราะเสียงดัง เสียงอ่อนหวานเหมือนกระแสน้ำเย็นที่ชุ่มชื้น พาให้คนขนลุก
“เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว เดิมนึกว่าในนครต้องห้ามจะมีคนโหดเหี้ยมที่ทำให้ข้าเปลี่ยนมุมมองใหม่เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าจะได้เพียงเท่านี้”
ใบหน้าหลิงเทียนโหวปรากฏความดูถูกเหี้ยมเกรียม “รู้หรือไม่ ถ้าเจ้าใจกล้าจริงก็ควรจะฆ่าข้าแต่แรก ไม่ใช่รอแล้วรอเล่ามาถึงตอนนี้”
พูดจบ ภายใต้สายตาตกตะลึงที่จับจ้องของฝูงชนในที่นั้น หลิงเทียนโหวกลับหันกายเดินไป ไม่แลหลินสวินอีก
“ที่ครั้งนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า เพียงเพราะโทษตายหลีกเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นหลบหนียาก ได้ยินว่าเจ้าซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้างั้นหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าก็ไปจวนข้า รับใช้ถวายชีวิตให้ข้าไปนานๆ ข้าสามารถปล่อยให้เรื่องแล้วไปแล้วได้ มิเช่นนั้นยามงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาจบลง ก็จะเป็นเวลาตายของเจ้า เจ้าคิดเองให้ดีๆ เถิด!”
เสียงอ่อนหวานลอยขึ้น ส่วนเงาร่างของหลิงเทียนโหวนั้นหายลับไปยังพระราชวังที่อยู่ไกลออกไปแล้ว
ฝูงชนถึงได้รับรู้ว่า เพราะเหตุใดหลิงเทียนโหวที่วิปริตโหดเหี้ยมเกินใครมาแต่ไหนแต่ไร ยามยั่วยุอย่างแข็งกร้าวต่อหน้าหลินสวิน ถึงไม่ได้ลงมือในท้ายที่สุด
เป้าหมายที่แท้จริงของเขา ก็คือต้องการให้หลินสวินรับใช้เขาอย่างถวายชีวิต!
มิน่าเมื่อครู่เขาถึงได้ไปยั่วยุหลินสวิน เดิมทีก็ชื่นชมความเก่งกล้าที่หลินสวินสามารถซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้าได้…
นี่ทำให้ความรู้สึกของฝูงชนประหลาดไป
อย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนึกศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกต ยังใช้ทั้งค่าตอบแทนและคำสัญญาอย่างงามมากมายเพื่อดึงตัวหลินสวิน
แต่หลินเทียนโหวกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช้อำนาจและพลังโดยไม่อ้อมค้อมกดดันให้หลินสวินยอมจำนน ดูอหังการถึงที่สุด!
เวลานี้หลินสวินเข้าใจกระจ่างแจ้งเช่นกัน ใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ส่ายหัวเย้ยหยัน ก่อนหันไปทางไป๋หลิงซีแล้วพูดว่า “พวกเราไปเถอะ”
เขาพูดโดยไม่แลมองศพอสูรมังกรเจียวกีบดำที่มีรอยเลือดเป็นด่างดวงนั้น แล้วมุ่งหน้าไปยังพระราชวังที่อยู่ไกลออกไป
“เจ้าไม่กังวลหรือ”
ไป๋หลิงซีอดไม่ไหวถามออกไป
“ไม่ใช่ว่าข้ากังวล ข้าโกรธต่างหาก”
หลินสวินยักไหล่พูดว่า “ถูกคนอื่นกลั่นแกล้งโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ หากมีโอกาสจริง ข้าไม่เกรงใจที่จะประลองชี้เป็นชี้ตายกับหลิงเทียนโหวผู้นี้ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่าใครใจกล้ากันแน่”
ไป๋หลิงซีส่งเสียงอืม แล้วไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนจากไปไม่นาน ฝูงชนที่อยู่แถวนั้นก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน
“ไม่คิดเลยว่าพอหลิงเทียนโหวกลับมาก็ท้าทายหลินสวินเลย พาให้คนตกอกตกใจเกินไปแล้ว”
“เหอะๆ หลินสวินก่อนหน้านี้ เข้ามาในนครต้องห้ามไม่ทันไรก็ก่อเรื่องครึกโครมหลายเรื่อง ท่าทางดูได้ใจหาใดเปรียบ ตอนนี้ค่อยดีหน่อย ถูกหลิงเทียนโหวคนโหดเหี้ยมเช่นนี้เพ่งเล็ง เขาย่อมอับโชคแล้ว”
“อับโชคก็จริง แต่ด้วยฐานะและตำแหน่งขณะนี้ของหลินสวิน ต่อให้หลิงเทียนโหวร้ายกาจกว่านี้ คิดจะให้หลินสวินอ่อนข้อ น่ากลัวจะยากมาก”
“น่าสนใจ งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษายังไม่ทันเริ่มก็เกิดเหตุปะทะนองเลือดชั้นนี้แล้ว ความคึกคักในวันนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่”
“ถูกต้อง ขนาดหลิงเทียนโหวยังกลับมาแล้ว งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้จะปกติได้อย่างไร”
“ไปเถอะ ไปดูในพระราชวังเสียหน่อยก็รู้แล้ว”
——
ตอนที่ 418 ออกตัวยั่วยุ
โดย
ProjectZyphon
หน้าประตูใหญ่ของพระราชวังมีสระน้ำใหญ่สระหนึ่งอยู่ปากทาง
ในสระน้ำนั้นมีอสูรวิญญาณที่รูปร่างเหมือนกระทิงเขียวแต่มีเขาคู่สีม่วงตนหนึ่ง หมอบอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ในนั้น ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท กำลังกรนอยู่
เงาร่างทุกเงาที่ผ่านสระนี้ล้วนก้าวเดินช้าลง ใบหน้าแสดงความหวั่นเกรง เดินเข้าพระราชวังจากด้านข้างอย่างระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าจะรบกวนอสูรวิญญาณที่หลับไหลอยู่เข้า
เมื่อหลินสวินมาถึง นัยน์ตาอดหรี่ลงมิได้ อสูรวิญญาณนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ทั้งร่างกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนหวั่นเกรงหาใดเปรียบ
ราวกับเมื่อมันตื่นขึ้น ก็จะกลายเป็นอสูรร้ายผงาดฟ้าที่สามารถสร้างความแปรปรวนแก่สภาพอากาศได้!
แรดเขียวนอม่วง!
ชั่วเสี้ยววินาที หลินสวินก็นึกถึงข่าวลือหนึ่งที่กล่าวว่า ในอาณาเขตของพระราชวังมีอสูรวิญญาณระดับสวรรค์ในตำนานตนหนึ่ง นามว่าแรดเขียวนอม่วง มีพลานุภาพล้นฟ้า เป็นพระราชพาหนะในจักรพรรดิผู้สถาปนาจักรวรรดิ สามารถทำให้ผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะหวั่นกลัวหาใดเปรียบได้!
เพียงแต่หลินสวินไม่คิดว่า อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งเพียงนี้กลับปรากฏตัวต่อหน้าตนอย่างง่ายดายเช่นนี้
หลังอึ้งไปเล็กน้อย หลินสวินถึงได้เบนสายตาออก เดินตามไป๋หลิงซีเข้าประตูใหญ่พระราชวัง
เมื่อเข้าสู่พระราชวัง ก็เป็นทิวทัศน์อีกภาพหนึ่ง
อาคารเก่าแก่เรียงรายเป็นระเบียบ มโหฬารโอ่โถง พื้นลานปูลาดด้วยหยกขาวราวกระจก ส่วนตรงกลางนั้นมีกระถางที่ต้องใช้ในพิธีเซ่นไหว้ มีทางเดินหลวงที่สร้างขึ้นเพื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบันโดยเฉพาะ และมีถนนเสริมที่ปูขึ้นเพื่อขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก… ทุกที่ล้วนอบอวลไปด้วยความน่าเกรงขามของพระราชวงศ์
เมื่อเดินเข้าไปข้างในอีก ทัศนียภาพที่ปรากฏขึ้นยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลและศักดิ์สิทธิ์ พาให้ใจคนเกิดความรู้สึกยำเกรงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อผ่านทะเลสาบใสสะอาด ก็มีเสียงร้องตกใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง
จึงเห็นว่าในทะเลสาบพลันมีแสงทองส่องประกายแสงหนึ่งปรากฏขึ้น ใต้แสงอุษานั้นสาดสะท้อนแสงราวภาพลวงสะดุดตา
นั่นคือฝูงปลาวิญญาณฝูงหนึ่ง ตัวยาวหลายฉื่อ มีเกล็ดทอง ปากมีหนวดมังกร ดวงตาปลาสดใส ทั้งร่างอบอวลไปด้วยแสงวิญญาณสีทอง ดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ปลามังกรคลื่นทอง!
หลายคนแสดงสีหน้าตกใจ นี่เป็นสายพันธุ์ที่หายากยิ่งในใต้หล้า แต่ขณะนี้กลับถูกเลี้ยงอยู่ในพระราชวังและปรากฏตัวกันเป็นกลุ่มเป็นฝูง นี่ช่างน่าตกใจนัก
“นี่ ดูตรงริมทะเลสาบนั่นสิ ยังมีบัวศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งต้นหนึ่งโตอยู่ มีดอกบานมากมาย ใบไม้มืดฟ้ามัวดิน! นี่เป็นสมุนไพรวิญญาณที่หายากในใต้หล้านะ!”
ไม่นานนักบัวสีรุ้งที่ลอยเคลียริมทะเลสาบต้นหนึ่งก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาหนึ่งระลอก ในอากาศเหมือนได้กลิ่นสมุนไพรที่พาให้จิตใจแช่มชื่น
“สมกับที่เป็นอาณาเขตพระราชวัง เป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณ โดดเด่นในใต้หล้า โลกภายนอกยากเทียบเทียมได้!”
เสียงทอดถอนใจมากมายดังขึ้น
บัวศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งนั้นเป็นสมุนไพรวิญญาณสุดยอดไร้เทียมทานชนิดหนึ่ง ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายล้วนมองอย่างอิจฉาตาร้อนไม่หยุดหย่อน
“พวกเจ้าจะรู้อะไร นี่ยังเป็นยอดเขาน้ำแข็ง หากพวกเจ้ามีโอกาสเข้าไปในพระราชอุทยาน ถึงจะพบว่าอะไรเรียกว่าคลังสมบัติที่แท้จริง”
ขุนนางตำแหน่งใหญ่แต่งกายงามหรูผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าเข้าออกพระราชวังเป็นประจำ เข้าใจทุกอย่างในนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ขนาดหลินสวินเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ยังอดประหลาดใจไม่ได้ จากสายตาของเขาแล้ว อาณาเขตทุกกระเบียดของพระราชวังแห่งนี้ล้วนเรียกได้ว่างดงามศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงมีสมบัติมหัศจรรย์และสัตว์วิญญาณต่างๆ ขนาดต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งนั้น
“ทุกท่าน มองดูได้ แต่แตะต้องไม่ได้ ระวังจะนำภัยมาถึงตัว”
มีคนเอ่ยเตือน
ทันใดนั้นผู้คนมากมายก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ ฟื้นคืนสติไม่น้อย
คิดไปคิดมาก็จริง สมบัติล้ำค่าชั้นนั้นต่อให้พบอยู่ทุกหนแห่ง แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่พระราชวงศ์ครอบครอง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะแตะต้องได้
เมื่อเดินหน้าต่อไป ไม่นานนักหลินสวินกับไป๋หลิงซีก็มาถึงจัตุรัสมหึมาแห่งหนึ่ง เมื่อเดินไปอีกก็เป็นตำหนักกลาง
งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้ก็ถูกจัดขึ้นในตำหนักกลาง
เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลางานเลี้ยง แขกเหรื่อที่มาร่วมถวายพระพรทำได้เพียงหยุดรอที่จัตุรัสนี้ชั่วคราว
รอบจัตุรัสมีตั่งโต๊ะและเบาะนั่งจัดเตรียมไว้ให้แขกเหรื่อพักผ่อนอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อหลินสวินและไป๋หลิงซีมาถึง ที่นี่ก็หนาแน่นไปด้วยเงาร่างมากมาย มีขุนนางสำคัญของจักรวรรดิซึ่งดำรงตำแหน่งสูงมายาวนาน มีคนใหญ่คนโตสูงศักดิ์ที่อำนาจคับฟ้า และมีผู้ฝึกปราณที่มีชื่อเสียงลือลั่นไปทั่ว ภูมิหลังเข้มแข็ง…
แน่นอนว่า ก็มีลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลมากมายที่ติดตามมากับผู้อาวุโสในตระกูลด้วย
“ข้าไปหาเพื่อนหน่อยนะ”
เมื่อมาถึงที่นี่ ไป๋หลิงซีก็แยกกับหลินสวิน นางเดินตรงไปยังที่ไกลออกไป ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มสาวหลายคนกำลังโบกมือมาทางไป๋หลิงซี
หลินสวินกลับเดินเยื้องย่างไปทั่วอยู่คนเดียว เขาไม่รู้จักคนส่วนใหญ่ที่นี่ แล้วก็คร้านจะเสวนาผูกมิตรด้วย
บนจัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยสะพานโค้ง ภาพสลักนูนต่ำและรูปปั้นหิน ล้วนงดงามหาใดเทียม ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจเป็นพิเศษคือ ทิวทัศน์นี้ล้วนสลักไปด้วยรอยสลักวิญญาณหนาแน่น มีทั้งรูปชมนกชมไม้ ภาพปรากฏการณ์ในท้องฟ้า การบูชาบรรพชน และนักปราชญ์ร่ายตำรา สร้างบรรยากาศเก่าแก่โบราณให้เหมือนปรากฏขึ้นจริงตรงหน้า
ศึกษาอยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาดูออกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นสะพานโค้ง ภาพสลักนูนต่ำ หรือรูปปั้นหิน แม้แต่ตึกรามอาคารที่อยู่บริเวณนั้น รอยสลักวิญญาณที่สลักอยู่ไม่ได้เป็นเอกเทศ แต่เกี่ยวข้องและสอดรับกันอย่างสมบูรณ์
ถ้าเขาสันนิษฐานไม่ผิด จัตุรัสแห่งนี้ แม้กระทั่งตำหนักกลางที่อยู่ไกลออกไป แท้จริงแล้วล้วนถูกกระบวนรอยสลักวิญญาณเก่าแก่มหึมารอยหนึ่งปกคลุมอยู่!
ฉับพลัน เสียงสนทนาระลอกหนึ่งดังขึ้น พาให้หลินสวินมุ่นคิ้ว
“เฮอะ ๆ คราวนี้หลินสวินลำบากแล้ว มีเรื่องกับหลิงเทียนโหวคนโหดเหี้ยมผู้นี้ เขาต้องประสบเคราะห์แน่!”
“เจ้าเด็กนี่ก็โอหังมาช่วงหนึ่งแล้ว ควรมีคนกำราบความจองหองของเขาได้แล้ว มิเช่นนั้นนครต้องห้ามในภายภาคหน้าคงต้องโอนอ่อนตามเขา”
“รอหน่อยเถอะ คนที่เจ้าเด็กนี่ล่วงเกินมีมากมายนัก ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกรรมตามสนองแน่”
เมื่อได้ยินคำแช่งและคำโจมตีอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ พาให้หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง เขาเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นว่าในจุดที่ไม่ไกลนักมีชายหญิงบางคนชี้ไม้ชี้มือมาทางตน
ในกลุ่มนั้นเห็นชัดเจนว่ามีสองพี่น้องฮวาอู๋โยวและฮวาอู๋เหินอยู่ด้วย
ครู่เดียวหลินสวินก็รู้แล้วว่า ที่แท้เขาก็บังเอิญเจอ ‘เพื่อน’ เก่า
เขาเหยียดยิ้มแล้วย่างเท้าก้าวเดินไป พลางยิ้มพูดว่า “นี่ไม่ใช่คุณหนูฮวากับคุณชายฮวาหรอกหรือ ไม่ได้เจอเสียนาน พวกเจ้ากลับยังอยู่สบายใจดังเดิมนะ”
สองพี่น้องตระกูลฮวาพลันสีหน้าอึมครึม หลายเดือนก่อนที่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ฮวาอู๋โยวเกือบตายด้วยมือหลินสวิน เมื่อเห็นว่าหลินสวินจงใจเอ่ยถ้อยคำถากถาง ในใจพวกเขาจะไม่ขัดเคืองได้อย่างไร
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
ฮวาอู๋โยวถามเสียงเยียบเย็น
กลุ่มคนที่อยู่ข้างนางก็มีสีหน้าไม่พอใจ หลินสวินผู้นี้กล้าก้าวมาเยาะเย้ยคนอื่นซึ่งหน้า จะจองหองเกินไปแล้ว
“ข้าจะทำอะไรหรือ”
หลินสวินพูดพลางหัวเราะว่า “ข้าเพียงต้องการถามเสียหน่อยว่า เมื่อไรพวกเราจะได้ประลองชี้เป็นชี้ตายอีกสักตั้ง”
“บังอาจ กล้าดีนี่!”
ฮวาอู๋เหินบันดาลโทสะ เห็นได้ชัดว่านี่คือการยั่วยุ
“หลิงเทียนโหวเพิ่งบอกว่าข้าใจไม่กล้าพอ เจ้ากลับบอกว่าข้าใจกล้าดี เช่นนั้นเจ้าก็มาลองดูหน่อยไหมว่าข้าใจกล้าหรือขี้ขลาดกันแน่”
หลินสวินชำเลืองมองฮวาอู๋เหิน
“ไปเถอะ”
ฮวาอู๋โยวคว้าฮวาอู๋เหินไว้แล้วหันหน้าจากไป นางกลัวจะควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ สู้กับหลินสวินที่นี่ ผลกระทบเลวร้ายเกินไป
คนอื่นก็พากันจ้องหลินสวินอย่างโกรธเคือง แล้วหันกายจากไป
“ทำไมใจเจ้าพวกนี้ถึงฝ่อไปเสียแล้วล่ะ”
หลินสวินยืนอยู่ที่เดิม เหมือนผิดหวังอยู่บ้าง
แท้จริงแล้วเขาผิดหวังอยู่มาก ก่อนหน้านี้ก็ถูกหลิงเทียนโหวยั่วยุ ตอนนี้ยังถูกพวกฮวาอู๋โยวถากถางสาปแช่ง จะไม่ให้หลินสวินเกิดไฟโทสะในใจได้อย่างไรกัน
ฉับพลันเขาชำเลืองมองอีกด้านหนึ่ง มีผู้คนไม่น้อยกำลังยิ้มมองมาทางตนราวยินดีกับเคราะห์ของผู้อื่น ในนั้นที่แท้ก็เป็นคนคุ้นหน้าสองคน คือซ่งชงเฮ่อและซ่งเจ๋อแห่งตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลซ่ง
บังเอิญไปไหม
ก็ไม่ถือว่าบังเอิญ อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นพวกฮวาอู๋โยวหรือพวกซ่งชงเฮ่อ ก็ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ครั้งนี้คงถูกผู้อาวุโสในตระกูลพามาเปิดหูเปิดตา
“พี่ชาย ยังจำเรื่องที่สืออวี่เคยเตือนเจ้าที่หอสรวลทรัพย์ครั้งก่อนได้หรือไม่ คู่หมั้นเจ้าถูกเจ้าหมอนี่ลิ้มลองอย่างลับๆ เจ้ายังอยู่กับเขาได้ หมวกเขียว[1]ใบนี้เจ้าสวมได้อย่างใจกว้างยิ่งสินะ”
หลินสวินก้าวเท้ามาข้างหน้า ยิ้มบางๆ พลางพูดกับซ่งเจ๋อ
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาก็เหมือนตบหน้าเข้าอย่างจัง ซ้ำแผลเดิมต่อหน้า ไม่เพียงซ่งเจ๋อที่หน้าเสียถึงที่สุด ขนาดซ่งชงเฮ่อยังโกรธจนหน้าเขียว
“เจ้า…อย่าล้ำเส้นเกินไปนะ!”
ซ่งเจ๋อกัดฟันกรอด
“ข้าเตือนเจ้าด้วยเจตนาดี เจ้ากลับไม่รับน้ำใจ เฮ้อ เป็นชายที่น่าสงสารนัก ภรรยาถูกคนอื่นฉกไปแล้วยังไม่รู้ตัว ไม่เช่นนั้นภายหน้าเจ้าชื่อคุณชายหมวกเขียวเสียเลยไหมเล่า”
หลินสวินยิ้มสดใส แต่วาจากลับร้ายกาจโหดเหี้ยม
เมื่อเห็นว่ายั่วจนซ่งเจ๋อกับซ่งชงเฮ่อเกือบจะโกรธจนตะบึงออกไป เขาถึงหันกายจากมาอย่างลำพอง
ด้วยการระบายออกเช่นนี้ ไฟโทสะที่สุมในใจหลินสวินอยู่เดิมในที่สุดก็มอดลงไม่น้อย กระนั้นเขาก็ยังมีความรู้สึกคั่งค้าง จึงกวาดสายตาประเมินไปทั่วทิศ ลองดูว่าจะบังเอิญพบเข้ากับ ‘คนคุ้นหน้า’ เก่าๆ หรือไม่
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเขา เห็นได้ชัดว่าดูจองหอง เหมือนกับหาเรื่องเคืองแค้นไปทั่ว
นี่เป็นเขตหวงห้ามในพระราชวัง เคร่งครัดเข้มงวด ขนาดคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหล่านั้นยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามที่นี่ นี่เป็นเหตุผลที่พวกฮวาอู๋โยวรวมถึงพวกซ่งเจ๋อกล้าโกรธแต่ไม่กล้าลงมือ
แต่กระนั้นหลินสวินกลับไม่ยำเกรง นี่ทำให้พวกเขาลำบากใจหาใดเปรียบ อยากฉีกหลินสวินทั้งเป็น คิดแค้นยิ่งนัก
ที่จริงแล้วหลินสวินใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่เขาเชื่อมั่นว่า เดิมทีตนไม่เคยยั่วยุใคร แต่กลับมีคนไม่น้อยมายั่วยุตน หากเขายังทนอยู่อีก เช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ตัวเองไม่สบายใจเกินไปแล้ว
นอกจากนี้ กระบี่เบิกฟ้าในพระหัตถ์ของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็เป็นเขาที่ซ่อมแซม หลินสวินเชื่อว่าถ้าจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันซาบซึ้งในน้ำใจ ย่อมไม่มีทางลงอาญาด้วยเรื่องนี้แน่
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อหลินสวินมาถึงที่นี่ เห็นตำหนักกลางที่อยู่ไกลออกไป เขาพลันรู้สึกได้ถึงปัญหาข้อหนึ่ง คนใหญ่คนโตที่ให้ตนก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินในนครต้องห้ามนี้ได้อย่างเต็มที่ผู้นั้น วันนี้จะปรากฏตัวที่นี่หรือไม่
หลินสวินจำได้อย่างแจ่มชัดว่า คราวก่อนที่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ บุคคลท่านนั้นแม้ไม่ปรากฏตัว แต่กลับใช้ ‘กระบี่เหมยพร่างพร้อย’ หยุดยั้งการประจันหน้าระหว่าจูเหล่าซานกับฮวาชิงหลิน
และกระบี่เหมยพร่างพร้อยก็เป็นอาวุธสำคัญที่มีภูมิหลังใหญ่ยิ่งชิ้นหนึ่งของราชวงศ์ ราชนิกุลทั่วไปย่อมไม่สามารถนำมาใช้ได้
จากการพิจารณาเช่นนี้ หลินสวินคิดอยากก่อเรื่องที่นี่เสียจริง ลองดูว่าจะ ‘บีบ’ ให้คนใหญ่คนโตท่านนี้ออกมาได้หรือไม่!
ประเมินโดยรอบเช่นนี้แล้ว ในที่สุดหลินสวินก็เห็นคนคุ้นเคยผู้หนึ่ง
เพียงแต่เมื่อคนคุ้นเคยผู้นี้ปรากฏตัว กลับทำให้หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง ทำไมนางก็มาล่ะ
เห็นว่าในที่ไกลออกไปสุดตานั้น มีเงาร่างมากมายห้อมล้อมเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรเงาหนึ่งราวดาวล้อมเดือน เดินเชื่องช้ามาทางจัตุรัส
——
[1] สวมหมวกเขียว มีที่มาจาก ในสมัยโบราณชายคนหนึ่งต้องเดินทางไปทำการค้าต่างเมืองอยู่เสมอ ภรรยาอยู่บ้านแอบคบชู้และได้นัดแนะกับชายชู้ว่า หากเห็นสามีของนางสวมหมวกเขียวขี่ม้าออกจากบ้าน ให้ชายชู้มาหาตนที่บ้านได้ ตรงกับสำนวนไทยว่าสวมเขา
ตอนที่ 419 ดินแดนรกร้างโบราณ
โดย
ProjectZyphon
สตรีนางนั้นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หน้าตาสะสวยเกลี้ยงเกลา ถูกห้อมล้อมราวดาวล้อมเดือน
รูปลักษณ์ของนางแม้ไม่ได้งดงามราวล่มนครได้ แต่ความสวยงามแบบนั้นกลับเหมือนกับบัวงามต้นหนึ่ง ไม่ไหวเอน ไม่สะดุดตา บริสุทธิ์อ่อนโยน พาให้ผู้คนสบายใจและไม่กล้าล่วงเกินในเวลาเดียวกัน
เรียกได้ว่าสง่างามหาใดเทียม
นาง ย่อมเป็นผู้ฝึกปราณสายศิลป์หลิ่วชิงเยียนผู้มีชื่อทั่วใต้หล้า ถูกผู้คนนับไม่ถ้วนติดตาม!
ในจักรวรรดิขณะนี้ หลิ่วชิงเยียนย่อมเป็นคนที่เหนือธรรมดาคนหนึ่ง ไม่เพียงได้รับความนิยมชมชอบจากผู้มีความสามารถโดดเด่นรุ่นเยาว์ ขนาดผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หลายคนยังชื่นชมนางยิ่งนัก
ในสายตาของหลายคน หลิ่วชิงเยียนนั้นโดดเด่นสะดุดตาปานนี้!
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่า จะได้เห็นหลิ่วชิงเยียนในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันด้วย
เมื่อคิดโดยละเอียด จากแยกกันรอบที่แล้วจนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้พบอีกฝ่าย ตอนนี้ได้เจอกันอีกครั้ง จึงนึกถึงยามที่อยู่ในเมืองหมอกอำพราง วันเวลาเหล่านั้นที่ได้ทำความรู้จักกับหลิ่วชิงเยียน ในใจหลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้
มุมมองความรู้สึกที่เขามีต่อหลิ่วชิงเยียนก็ไม่เลว รู้สึกว่าอีกฝ่ายนิสัยใจคอดีราวหยก บริสุทธิ์อ่อนโยน พาให้คนเกิดความรู้สึกดีได้ง่าย
อีกทั้งตอนแรกยามหลินสวินปิดด่านกักตนอยู่ใน ‘ดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึก’ ด่านที่สามของทางเดินเมฆาหยก ถูกมารร้ายในใจกัดกร่อนจนเกือบธาตุไฟเข้าแทรก
สุดท้ายด้วยการปลอบประโลมของเสียงขลุ่ยเพลงหนึ่งของหลิ่วชิงเยียน จึงสลายเคราะห์นี้ได้ทันเวลา เปลี่ยนวิกฤตเป็นปลอดภัย และฝ่าดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึกออกมาได้โดยราบรื่นในที่สุด
ดังนั้นสำหรับหลินสวิน หลิ่วชิงเยียนก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้
“คุณหนูชิงเยียนก็มาแล้ว”
“ฮ่า ๆ ครั้งนี้ถึงกับได้พบแม่นางหลิ่วชิงเยียนผู้เป็นที่เลื่องลือในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินี เป็นความยินดีเกินคาดเสียจริง”
“ได้ยินว่าคุณหนูชิงเยียนแต่งลำนำใหม่ขึ้นบทหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อถวายพระพรองค์จักรพรรดินี วันนี้พวกเราอาจจะได้ฟังเป็นบุญหูแล้ว”
การมาของหลิ่วชิงเยียนพลันดึงดูดความครึกโครมไม่น้อยตามมาด้วย พวกคุณชายรุ่นเยาว์ล้วนไม่ปิดบังความชื่นชอบของตนไว้
ขนาดบนหน้าของบุคคลสำคัญมากอำนาจบางคนยังปรากฏสีหน้ายินดี
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าอิทธิพลของหลิ่วชิงเยียนใหญ่โตขนาดไหน อย่าได้มองว่านางเป็นเพียงนักฝึกปราณสายศิลป์ ได้รับการปฏิบัติชั้นนี้ได้ มองไปทั่วทั้งจักรวรรดิเรียกได้ว่าน้อยจนนับนิ้วมือได้
เดิมทีหลินสวินอยากจะไปทักทายเสียหน่อย แต่เมื่อได้เห็นว่าคนมากมายล้วนห้อมล้อมไปทักทายตามมารยาท ล้อมหน้าล้อมหลังหลิ่วชิงเยียนแน่นขนัดไปทั่ว สุดท้ายเขาจึงล้มเลิกความคิด
“หลินสวิน! เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
แต่ใครจะคิด ในเวลานี้เองหลิ่วชิงเยียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนกลับสังเกตเห็นหลินสวิน ใบหน้างดงามสะสวยหมดจดปรากฏสีหน้ายินดีปรีดา หัวเราะออกมาแล้วโบกมือทักทายหลินสวินก่อน
ทั้งที่นั้นตื่นตะลึงเบิกตากว้าง ราวกับล้วนทำใจเชื่อไม่ได้ว่าหลิ่วชิงเยียนที่ได้รับความนิยมชมชอบจากพวกเขา เวลานี้จะออกตัวทักทายหลินสวินเอง การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!
หรือว่าสองคนนี้รู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว
บรรยากาศในที่นั้นพลันดูประหลาดไปอยู่บ้าง
อาศัยโอกาสนี้ หลิ่วชิงเยียนก็ก้าวเดินตรงดิ่งจากฝูงชนมาอยู่ข้างกายหลินสวิน พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ในที่สุดก็ได้พบเจ้าอีกครั้งแล้ว”
ผมงดงามดำขลับของนางใช้ปิ่นไม้เสียบไว้ด้านหลังหัว หน้าผากเกลีเยงเกลาขาวสะอาด ดวงตาสุกใสมีชีวิตชีวา เมื่อยิ้มอ่อนๆ ฟันขาวราวหิมะก็เผยออกมาเล็กน้อย บนแก้มปรากฏลักยิ้มบางๆ งดงามทั้งยามโกรธยามดีใจ ดูน่ารักใสซื่อเป็นพิเศษ
“ข้าก็ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอเจ้าที่นี่ได้”
หลินสวินพูดพลางหัวเราะ แต่ในใจกลับทอดถอนใจ เด็กสาวตรงหน้านี้เหมือนเมื่อก่อนเลย ดวงตาสุกใสชอบสอดสายตาไปทั่ว พาให้คนรู้สึกเหมือนได้รับลมฤดูใบไม้ผลิ
หลิ่วชิงเยียนอมยิ้มแล้วพูดว่า “ตรงนี้คนเยอะเกินไป ไปเถอะ พวกเราไปตรงนั้นกัน ข้ายังมีเรื่องต้องถามเจ้าตั้งเยอะแหนะ”
นางพูดพลางลากแขนเสื้อหลินสวินไปอย่างไม่ขัดเขิน เดินไปยังที่ไกลออกไป
เมื่อได้เห็นภาพนี้ คนหนุ่มมากมายล้วนแสดงสีหน้าริษยา แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่เคยเห็นหลิ่วชิงเยียนออกตัวเข้าหาใครอย่างสนิทสนมเช่นนี้!
หลินสวินผู้นั้นมีดีอะไร ถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ได้
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
ขนาดบุคคลสำคัญมากอำนาจหลายคนเมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดตะลึงไม่ได้ หลินสวินผู้นี้ ได้รับความชื่นชอบจากหลิ่วชิงเยียนตั้งแต่เมื่อไรกัน
จะไปว่าผู้คนในที่นั้นว่าตอบสนองแข็งกร้าวเช่นนี้ก็ไม่ได้ ด้วยอันที่จริงแล้วชื่อเสียงของหลิ่วชิงเยียนโด่งดังนัก ทุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับนางล้วนถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ จู่ๆ นางกับหลินสวินกลับดูสนิทสนมกันอย่างนี้ ย่อมทำให้ผู้อื่นเกิดความคิดสารพัดอย่างออกมา
“น่าชิงชัง! หากหลินสวินผู้นั้นกล้าล่วงเกินคุณหนูชิงเยียนล่ะก็ ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยมันไว้!”
“ใช่ คุณหนูชิงเยียนเป็นคนชั้นไหน จะให้นายน้อยน่าอดสูตระกูลหลินผู้หนึ่งอย่างเขาเข้าใกล้ได้อย่างไร”
“ท่านย่าลมครวญล่ะ เหตุใดวันนี้ถึงไม่เห็นยายเฒ่านั่นปรากฏตัว หากมียายเฒ่านั่นอยู่ล่ะก็ ย่อมไม่มีทางให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่!”
คนหนุ่มพวกนั้นขุ่นเคืองเดือดดาล น้ำเสียงเสียอกเสียใจ ปนเปไปด้วยความรู้สึกอิจฉาและริษยา
……
หลินสวินที่อยู่ห่างออกมาเมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็อดจนใจไม่ได้ “ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าหญิงงามชักนำเภทภัยมาให้คืออะไร หากท่านย่าลมครวญอยู่ ต้องฆ่าข้าทิ้งแน่”
หลิ่วชิงเยียนหลุดขำแล้วพูดว่า “มาเข้าเรื่องพวกเราดีกว่า ไม่ต้องสนใจก็ได้แล้ว”
หลินสวินลูบจมูกเบาก่อนยักไหล่กล่าว “ก็ทำได้แค่นี้ล่ะ”
ทั้งสองคนสนทนากัน ไม่มีความรู้สึกห่างเหินอย่างคนที่ไม่ได้เจอกันนานกลับมาพบกันใหม่เลยสักนิด กลับดูเหมือนเพื่อนเก่าคู่หนึ่งกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน
หลิ่วชิงเยียนถามเรื่องราวที่หลินสวินได้ประสบหลังออกจากเมืองหมอกอำพราง หลินสวินเองก็ไม่ได้ปกปิด เล่าอย่างเรียบง่ายเสียหนึ่งรอบ
หลิ่วชิงเยียนกลับฟังอย่างสนอกสนใจยิ่ง ในที่สุดถึงพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าในหนึ่งปีนี้เจ้ากลับได้ประสบเรื่องราวมากมายขนาดนี้ แต่ตอนนี้ถือว่าเจ้าอดทนจนลืมตาอ้าปากได้แล้ว ในนครต้องห้ามไม่ว่าไปที่ใดก็ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเจ้า”
หลินสวินเอ่ย “คนกลัวโด่งดัง หมูกลัวอ้วน คนที่ข้ามีเรื่องด้วยก็ไม่น้อยนะ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เสียงร้องตกใจระลอกหนึ่งก็พลันดังขึ้นจากที่ไกลออกไป
“ซ่งอี้! ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ก็มาด้วย!”
“ไม่ใช่ว่าศิษย์ใหม่ที่เข้าเรียนในสำนักศึกษามฤคมรกตกลุ่มแรกนี้ ไป ‘แดนสังหารวิญญาณ’ เพื่อดำเนินการทดสอบฝึกฝนเป็นเวลาสามเดือนกันหมดหรือ”
“เห็นได้ชัดนักว่าซ่งอี้ไม่ได้ไป ข้ารู้สึกว่าที่เขาไม่ไปน่ากลัวจะเป็นเพราะต้องมาเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ อย่างไรเสียด้วยฐานะของเขา มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกปราณใหญ่ที่มาจากดินแดนลึกลับเหล่านั้น
ท่ามกลางเสียงร้องตกใจ ก็เห็นเด็กหนุ่มแต่งกายชุดสีคราม สูงใหญ่สง่างามราวพฤกษาต้องลม มาถึงจัตุรัสภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาประหลาดใจ
แน่นอนว่าเขาก็คือซ่งอี้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้! ผู้กล้าหนุ่มน้อยที่มีชื่อเหนือฉือฉางเฟิงและไป๋หลิงซี!
หลินสวินเองก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ ไม่ใช่เพราะซ่งอี้ แต่เพราะเขานึกขึ้นได้ว่าพวกสืออวี่ หนิงเหมิง ไปแดนสังหารวิญญาณเพื่อทดสอบฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ขณะที่หลินสวินเก็บความรู้สึกนึกคิดไว้ภายใน คิดจะคุยกับหลิ่วชิงเยียนต่อนั้นเอง ก็มีเสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นอีกระลอก
“ฉือฉางเฟิง!”
“ปีศาจตระกูลฉือที่ถูกขนานนามว่าอัจฉริยะวิถีกระบี่ผู้นี้ก็มาแล้ว!”
นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง เห็นว่าไม่ไกลนักมีเด็กหนุ่มสวมเกี้ยวประดับสูงขนนกสีทอง ทั้งร่างมีไอสีม่วงอบอวล ใบหน้ามีแต่ความดุดันถือดีผู้หนึ่งปรากฏตัวที่จัตุรัส
ทั้งตัวเขาราวกับกระบี่คมที่ชักออกจากฝักเล่มหนึ่ง เผยให้เห็นความคมชัดเจน!
ทันใดนั้น หลินสวินก็นึกถึงยามที่ตนเพิ่งมาถึงนครต้องห้าม และเคยถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ขวางทางดักสังหารเข้า
ฉือฉางเฟิงในเวลานั้นมีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว กำราบหลินสวินที่มีเพียงปราณขั้นผสานฟ้าเสียเกือบเอาตัวไม่รอด หากผู้อาวุโสตำหนักแสงทมิฬคนนั้นไม่ปรากฏตัวออกมา อีกนิดเดียวหลินสวินก็จะใช้ ‘ไข่มุกสะเทือนสวรรค์’ ลงมืออย่างโหดเหี้ยมแล้ว
คิดถึงตรงนี้ใจหลินสวินก็อดบังเกิดจิตสังหารขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมความแค้นนี้ แต่พริบตาต่อมาเขาก็ยังระงับตนข่มใจเอาไว้
ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามใจกลางพระราชวัง อย่าว่าแต่สังหารฉือฉางเฟิง แค่ลงมือก็ย่อมได้รับการขัดขวางอย่างล้นหลาม ไม่อาจทำตามใจตนได้
บรรยากาศในที่นั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นมากตามการมาถึงของซ่งอี้และฉือฉางเฟิง แต่นี่ยังไม่ถือว่าครบถ้วน ไม่นานนักก็มีผู้เก่งกล้าสามารถที่มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้วปรากฏตัวขึ้น ดึงดูดความสนใจและเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
ผู้กล้าหลายคนโดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าพวกซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง ไป๋หลิงซีเสียอีก แต่ชื่อเหล่านั้นหลินสวินเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ฟังดูไม่คุ้นเคย
เช่น อวิ๋นฝูเฉิน ก็คือผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อสามปีก่อน ขณะนี้เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นผู้หนึ่งในสาขายุทธ์วิถีแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต อยู่อันดับเก้าของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
หรืออย่าง เว่ยฉือเจ๋อ เป็นผู้มีความสามารถรุ่นหลังที่โดดเด่นมากคนหนึ่งในกรมทหาร ต่อสู้ห้ำหั่นในสนามรบมาแต่เล็กแต่น้อย ขณะนี้แม้มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ปราณนั้นเต็มระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์แล้ว ความสามารถในการต่อสู้ก็วิปริตผิดธรรมดาถึงที่สุด
หรืออย่างเช่น…
สรุปแล้วคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นจากคนทั่วไป ก่อนหน้านี้มีน้อยครั้งนักที่จะมารวมตัวอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้กลับพากันมาที่นี่ สภาพการณ์จึงอึกทึกครึกโครมขึ้นมามาก
ขนาดหลินสวินยังอดตกตะลึงไม่ได้ เดิมทีเขาเคยได้ยินไป๋หลิงซีกล่าวว่า งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษานี้จะมีผู้กล้าที่มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้วไม่น้อยมาร่วมงาน
เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีคนมามากมายขนาดนี้!
“พวกเขาน่าจะมาเพื่อหาโอกาสเข้า ‘ดินแดนรกร้างโบราณ’ สักครั้ง อย่างไรโอกาสเช่นนี้ก็มีน้อยมาก บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ พลาดไปครั้งเดียว อาจหาโอกาสไปดินแดนรกร้างโบราณไม่เจออีกเลยทั้งชีวิต”
หลิ่วชิงเยียนก็สังเกตได้อย่างชัดเจนถึงสถานการณ์นี้ เพียงแต่นางดูไม่ตกใจเลย พูดลอยๆ อธิบายให้หลินสวินฟัง
“ดินแดนรกร้างโบราณหรือ” หลินสวินสะท้านในใจ
“ใช่ ลือกันว่า ที่นั่นเต็มไปด้วยสำนักวิชา กระจายไปด้วยพื้นที่สมบูรณ์ต่อการฝึกปราณ มีทรัพยากรสำหรับฝึกปราณที่ยากจินตนาการได้ และมีเพียงที่นั่นเท่านั้น จึงจะสามารถเสาะหาเส้นทางแห่งยุทธ์อันสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้”
หลิ่วชิงเยียนพูดเสียงเบา
หลินสวินสะดุดใจ หากเขาทายถูก ‘ดินแดนรกร้างโบราณ’ ที่หลิ่วชิงเยียนพูดถึงนี้ เป็นสถานที่เดียวกันกับดินแดนลี้ลับที่ไป๋หลิงซีพูดถึง
หรือพูดได้ว่า สำนักลี้ลับนาม ‘สำนักกระบี่เทียมฟ้า’ ที่อวิ๋นชิ่งไป๋อาศัยอยู่นั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ!
หากคิดต่อกันเช่นนี้ ผู้ร้ายที่ก่อเหตุนองเลือดของตระกูลหลินเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ย่อมมาจากดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน
หลังจากสั่นสะท้านอยู่ครู่สั้นๆ สายตาที่หลินสวินมองไปยังหลิ่วชิงเยียนก็อดแปลกไปไม่ได้ ชื่อที่ขนาดไป๋หลิงซียังไม่รู้ กลับหลุดออกมาจากปากหลิ่วชิงเยียนได้
จากจุดนี้ก็ดูออกว่า หลิ่วชิงเยียนไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกปราณสายศิลป์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าธรรมดาเสียแล้ว!
“เจ้า…รู้เรื่องดินแดนรกร้างโบราณดีหรือ”
หลินสวินสูดลมหายใจลึกพลางถาม
หากได้ฟังข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้มากขึ้น หรือถึงขั้นได้สืบเสาะพบว่าสำนักกระบี่เทียบฟ้านั้นเป็นสำนักชั้นใดกันแน่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วยเพิ่มเบาะแสได้มากขึ้น เพื่อการแก้แค้นแทนคนในตระกูลในภายภาคหน้า!
——
ตอนที่ 420 จักรพรรดินีเสด็จ
โดย
ProjectZyphon
หลิ่วชิงเยียนส่ายหัวไปมา “ข้าเพียงได้ยินเป็นครั้งคราว”
ใจหลินสวินอดผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้
หลิ่วชิงเยียนรูปงามทั้งยังเฉลียวฉลาด ปราดเดียวก็มองออกว่าความรู้สึกของหลินสวินแปลกไป ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายหลิน ในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็มีคนใหญ่คนโตที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ ด้วยชื่อเสียงและความสามารถของเจ้าในตอนนี้ เพียงแสดงออกดีๆ เสียหน่อย อาจสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ ได้รู้สิ่งที่ตัวเองอยากรู้”
หลินสวินยิ้มให้แล้วพูดว่า “ดูสถานการณ์ก็แล้วกัน”
…….
เมื่อเวลาผ่านไป แขกเหรื่อในจัตุรัสก็ยิ่งมีจำนวนมากและครึกครื้นยิ่งขึ้น โดยมากเป็นผู้ที่มีอำนาจสูง หากสุ่มมาสักคนหนึ่งก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงอำนาจขจรไกล ไม่ก็ผู้เก่งกล้าแนวหน้าในรุ่นเยาว์
ตัวตนของหลินสวินก็ได้รับการจับตามองไม่น้อย จะน้อยจะมากก็มีหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา
ในหมู่คนใหญ่คนโตหลายคนก็มีการเอ่ยถึงภูเขาชำระจิต เอ่ยถึงหลินเต้าเฉินบรรพบุรุษของหลินสวิน ทอดถอนใจว่าตระกูลหลินที่ตกต่ำลงในขณะนี้ ในที่สุดก็มีผู้โดดเด่นในรุ่นหลังที่ควรค่าแก่การจับตามองเสียที
ผู้ฝึกปราณที่คลั่งไคล้การฝึกยุทธ์กลับสนทนาเรื่องการประลองครั้งนั้นของฮวาอู๋โยวกับหลินสวิน วิเคราะห์วิชาและความสำเร็จในศาสตร์การยุทธ์ของเขา
ส่วนคนใหญ่คนโตหลายคนที่เชี่ยวชาญศาสตร์สลักรอยวิญญาณ กลับทึ่งที่หลินสวินสามารถซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้าได้ พูดคุยแลกเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน
รวมถึงมีคนบางส่วนที่มองอย่างไม่เป็นมิตรและต่อต้านหลินสวิน สิ่งที่พูดคุยกันก็คือเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับเขา
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เขาเข้ามาในนครต้องห้ามก็มีเรื่องผิดใจกับผู้มีอำนาจมากมายเหลือเกิน ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเอาคืนและโจมตี
โดยสรุป ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมในแง่ดีหรือคำติเตียนในแง่ลบ อย่างน้อยทุกอย่างนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า ชื่อเสียงของหลินสวินไม่เพียงขจรขจายในหมู่คนทั่วไป ขนาดพวกคนใหญ่คนโตบางคนที่อยู่เบื้องบนของนครต้องห้าม ก็รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเขา
แน่นอนว่าตัวตนของหลินสวินเป็นเพียงหนึ่งในหัวข้อสนทนาในจัตุรัสนี้ ไม่ได้เป็นคนที่ถูกจับจ้องที่สุด
นี่เป็นเรื่องปกติ ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่มีตำแหน่งสูงส่ง หรือพวกผู้กล้าที่มีอิทธิพลเหล่านั้น ล้วนมีคุณสมบัติเพียงพอให้ทระนงตน
ความก้าวหน้าในตอนนี้ของหลินสวินแม้จะรวดเร็วฉับไวนัก แต่อย่างไรก็ยังขาดความมั่นคงทางภูมิหลัง จึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้มากมายเท่าไรนัก
อย่างน้อยผู้กล้าอย่างซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง อวิ๋นฝูเฉิน เว่ยฉือเจ๋อ ก็ได้รับความสนใจมากกว่าหลินสวินมาก
ขนาดความสนใจที่หลิ่วชิงเยียนได้รับ ยังเห็นได้ชัดว่าก้าวล้ำหลินสวินไป
นี่ก็เป็นปัญหาเรื่องภูมิหลังเช่นกัน
เขาอาจมีพรสวรรค์เกินใคร มีฝีมือที่ควรค่าแก่การตื่นตะลึงหลายอย่าง แต่ตัวเขาเองกลับมาจากตระกูลหลินที่ตกอับไปนานแล้ว เมื่อพูดถึงตำแหน่งหรือฐานะ ก็เห็นได้ชัดว่าเทียบกับลูกหลานที่เกิดในตระกูลชั้นสูงเหล่านั้นไม่ได้
หากเปลี่ยนเป็นห้าร้อยปีที่แล้ว ยามตระกูลหลินยังเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลหนึ่ง แน่นอนว่าความสนใจที่หลินสวินจะได้รับย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ต่อเรื่องพวกนี้ หลินสวินไม่ยินดียินร้าย ทางเดินของเขากับคนอื่นในที่นี้ไม่เหมือนกัน ย่อมไม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงจอมปลอมที่ว่า
……
ไม่นานนักเสียงระฆังเก่าแก่อันไพเราะเสนาะหูก็ดังขึ้น ทุกคนในจัตุรัสนั้นล้วนหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ เสียงสนทนาเซ็งแซ่ก็หายไปตาม
บรรยากาศในจัตุรัสพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกรงขาม เงียบเชียบไร้เสียง
สายตาทุกคู่พากันมองไปทางตำหนักกลางที่อยู่ไกลออกไป
“ถึงฤกษ์ดีแล้ว ขอเชิญแขกทุกท่านเข้าตำหนัก!”
ในชั่วขณะนี้มีเสียงที่ราวระฆังยามเช้าและกลองยามค่ำดังขึ้นเสียงหนึ่ง สั่นสะเทือนไปเก้าชั้นฟ้า มีพลังที่สะท้านไปถึงก้นบึ้งของจิตใจคนได้
ทันใดนั้นก็เห็นว่าประตูใหญ่ของตำหนักกลางที่ปิดสนิทนั้นเปิดออกอย่างช้าๆ นางกำนัลผู้งดงามสองแถวหลั่งไหลออกมา ยืนโค้งคำนับไปทางบันไดทั้งสองด้านของตำหนักกลาง
งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินีได้เริ่มขึ้นแล้ว!
บัดนี้ แขกเหรื่อที่อยู่ในจัตุรัสต่างเดินไปยังตำหนักกลางด้วยการนำทางของนางกำนัล
“ข้าไปเตรียมตัวก่อนแล้วนะ อีกประเดี๋ยวในงานเลี้ยง เจ้าต้องฟังลำนำใหม่ที่ข้าแต่งให้ดีๆ ล่ะ ลำนำนี้สามารถแต่งเสร็จได้อย่างราบรื่นก็เพราะเจ้านั่นล่ะ”
หลิ่วชิงเยียนกะพริบตา ยิ้มพลางกล่าวลาหลินสวิน วันนี้นางจะขับร้องเพลงแด่จักรพรรดินี จึงต้องไปเตรียมตัว
“เพราะข้าหรือ”
หลินสวินตะลึงงัน ตามองเงาร่างงดงามที่จากไป ในใจอดบังเกิดความสงสัยไม่ได้ เพลงใหม่บทนี้จะไปเกี่ยวกับเขาได้อย่างไรกัน
ระหว่างขบคิดเขาก็ถูกนางกำนัลผู้หนึ่งนำทางไปตามบันไดเก้าสิบเก้าขั้น เดินเข้าไปยังตำหนักที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจักรวรรดินี้…พระตำหนักกลาง
โอ่โถง!
งามวิจิตร!
เกรียงไกร!
นี่เป็นความรู้สึกยามหลินสวินได้เข้าไปในตำหนักกลาง เห็นเพียงว่าในตำหนักนั้นราวกับโลกใบน้อยอีกใบ บนยอดหลังคาเป็นภาพท้องนภา ใต้เท้าเป็นรูปภูผานที เมื่ออยู่ในนั้นแล้วมองไปรอบทิศ ช่างรู้สึกเล็กจิ๋วผิดธรรมดา
ภายในตำหนักมีเสาหินที่สร้างขึ้นจากหินจื่อเย่าหนึ่งร้อยแปดเสาตั้งตระหง่าน สลักลายมังกรวาดลายปักษาเพลิง ประทับลวดลายมงคลอย่างผืนเมฆ แสงทอง ดอกจื่อเย่าเป็นต้น เปล่งแสงทอสีงดงาม ศักดิ์สิทธิ์เกินธรรมดา
เมื่อมองออกไปไกลๆ เสาทุกต้นนั้นเหมือนสูงเทียมฟ้า ยืดยาวไปถึงจุดสูงสุดของสวรรค์!
ใจหลินสวินสั่นสะท้านขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว โถงใหญ่นี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามยากบรรยาย สะเทือนจิตสะท้านขวัญ ไม่ว่าใครมาถึงที่นี่ น่ากลัวจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
แน่นอน ไม่เพียงแต่หลินสวิน แขกเหรื่อท่านอื่นที่มาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะมีฐานะใหญ่โตคับฟ้าเพียงใด เวลานี้ล้วนแสดงสีหน้ายำเกรง ไม่กล้าส่งเสียงดัง
นี่ก็คือตำหนักกลาง!
ไม่นานนัก ด้วยการจัดแจงของนางกำนัล หลินสวินก็ได้นั่งที่ตั่งฝั่งหนึ่งของตำหนัก
บนตั่งมีสุรากาหนึ่ง ถ้วยชาหนึ่งใบ ผลไม้วิญญาณหนึ่งจานวางอยู่ เรียบง่ายนัก ดูไปไม่เห็นจะหรูหราตรงไหน
แต่ถ้าตามีแววสักหน่อย เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้เข้า ทุกคนล้วนแสดงสีหน้าตื่นตะลึง ดีใจจนแสดงออกทางสีหน้า ส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจออกมา
สุรากานั้น เป็น ‘สุราเก้ามังกรสยบวิญญาณ’ ที่ราชวังบ่มขึ้นเป็นพิเศษ เล่าขานกันว่าปรมาจารย์บ่มสุราชั้นยอดหลายสิบท่านรวบรวมสมบัติหายากร้อยชนิดใต้หล้า พักให้ตกตะกอนเป็นเวลาราวร้อยปีจึงบ่มสำเร็จ เพียงกาเดียวก็มีค่าเหลือคณา
ถึงกับกล่าวได้อย่างไม่เกินจริงเลยว่า โลกภายนอกย่อมไม่มีทางได้ลิ้มรส!
ส่วนชาถ้วยนั้นมีสีม่วงอ่อน แสงวิญญาณหนาแน่น ไอระเหยพลิ้วไหว ใบชาปรากฏเป้นลักษณ์ราวมังกรและปักษาเพลิง น้ำชาไหลวนในถ้วย อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่ชื่นใจ สะอาดบริสุทธิ์ลงไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ
ชานี้มีนามว่า ‘มังกรปักษาเพลิงหลอมรูปมงคล’ ถือเป็นอาหารที่ใช้เฉพาะราชวังเช่นกัน
ส่วนผลไม้วิญญาณจานนั้น แบ่งเป็นพุทราไฟใยทองหนึ่งผล ท้อแบนหยกม่วงหนึ่งผล และลูกบัวที่เป็นผลึกราวพลอยสีดำสามเม็ด
ผลไม้วิญญาณสามอย่างนี้ปลูกขึ้นที่พระราชอุทยาน ถือเป็นสมบัติหายาก ทุกอย่างต่างมีความมหัศจรรย์ สามารถเรียกได้ว่าเป็นวัตถุวิญญาณที่หาใดเทียบเทียม
เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ก็ดูออกแล้วว่า งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีครั้งนี้มีกฎเกณฑ์แบบแผนสูงส่งขนาดไหน และการที่สามารถนั่งในตำหนักนี้ ดื่มด่ำงานเลี้ยงชั้นนี้ได้ จะเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งที่ทรงเกียรติปานใด
เวลานี้ขนาดหลินสวินยังอดทอดถอนใจกับความมั่งคั่งของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิไม่ได้ และมีเพียงราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเท่านั้นถึงจัดงานได้ยิ่งใหญ่เพียงนี้
เมื่อแขกเหรื่อล้วนนั่งประจำที่แล้ว สุดปลายตำหนัก ชายชราผมหงอกที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบราชสำนักสีม่วงก็เอ่ยปาก “ขอทูลเชิญจักรพรรดินีเสด็จ!”
เสียงนั้นราวระฆังยามเช้าและกลองยามค่ำ แสดงพลังปราณน่าหวาดหวั่นออกมา
“พลังปราณของหัวหน้าเผิงยิ่งสมบูรณ์ขึ้นอีกแล้ว น่ากลัวว่าจะไปถึงขั้นสูงสุดของระดับกระบวนแปรจุติแล้ว”
เสียงถกแผ่วเบาดังขึ้นระลอกหนึ่ง
ชัดเจนว่าชายชราผมหงอกท่านนี้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งในราชสำนัก
แต่ไม่นานความสนใจของหลินสวินก็ถูกปลายสุดโถงดึงดูด ที่นั่นราวกับปรากฏภาพนิมิตภาพหนึ่ง อวลไปด้วยแสงทอง เมฆม่วงเป็นมงคลพวยพุ่ง
สามารถมองเห็นเงาร่างสตรีผู้หนึ่งนั่งหลังตรงบนบัลลังก์รางๆ รอบกายมีแสงวิญญาณไร้รูปลอยฟุ้ง เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
แต่มองเพียงปราดเดียวก็พาให้หลินสวินเกิดความยำเกรงขึ้นในจิตใจ ราวกับว่าที่เผชิญหน้าอยู่นั้นไม่ใช่เงาร่างเงาหนึ่ง แต่เป็นราชันองค์หนึ่งที่สามารถสั่นสะเทือนเก้าสวรรค์สิบหล้า สูงส่งเกินใคร!
เมื่อเทียบกับคนผู้นั้น ‘หัวหน้าเผิง’ ผมหงอกท่านนั้นพลันดูหมองลง ราวกับไข่มุกเม็ดจ้อย ถูกแสงสุริยันจันทราบดบังโดยสิ้นเชิง
‘นี่ต้องมีพลังปราณน่ากลัวขนากไหน ถึงได้ครอบครองพลังเช่นนี้ได้’
หลินสวินใจสั่นสะท้าน ไม่สามารถสงบลงได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่นั่งหลังตรงอยู่บนบัลลังก์ก็คือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน!
ตามคำร่ำลือ นางเป็น ‘ราชันระดับสังสารวัฏ’ ที่แท้จริงผู้หนึ่ง ช่วยจักรพรรดิองค์ปัจจุบันบริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่ขึ้นครองราชย์จนถึงตอนนี้ เป็นเวลามากกว่าร้อยปีแล้ว
ในราชวงศ์นั้น นอกจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแล้ว พลานุภาพของจักรพรรดินีก็ใหญ่โตคับฟ้าที่สุด
ชั่วขณะนี้บรรยากาศในโถงตำหนักดูน่ายำเกรงอย่างประหลาด แขกเหรื่อทุกคนพากันลุกขึ้นคราวะ
“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”
เสียงดังก้องในตำหนักอร่ามตา มีบรรยากาศเกรงขามอยู่ในที
“ทุกท่านนั่งลงเถิด”
บนบัลลังก์อบอวลไปด้วยบรรยากาศอันเป็นมงคล เสียงของจักรพรรดินีดังออกมา เสียงนั้นอ่อนโยนสงบนิ่ง ทั้งไม่มีพลานุภาพใด แต่กลับพาให้ผู้อื่นไม่กล้าคิดล่วงเกิน
จนกระทั่งแขกเหรื่อนั่งประจำที่อีกครั้ง หัวหน้าเผิงเริ่มอ่านคำถวายพระพรยาวเหยียด น้ำเสียงเป็นจังหวะจะโคน
ท้ายสุดหัวหน้าเผิงนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วเริ่มอ่านรายชื่อของขวัญฉลองพระชนมพรรษา
นี่คือกำหนดการของการถวายพระพร แขกเหรื่อในที่นั้นล้วนถวายของขวัญ เมื่ออ่านรายชื่อของขวัญจบ งานเลี้ยงนี้ก็จะถือว่าเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อหลินสวินตัดสินใจเข้าร่วมงานเลี้ยง ก็ได้เตรียมของขวัญฉลองพระชนมพรรษาไว้แล้วชิ้นหนึ่ง ทั้งได้ไหว้วานเสิ่นทั่วส่งให้ราชวังไปก่อนแล้ว
ได้ยินหัวหน้าเผิงเอ่ยเสียงดัง อ่านรายชื่อของขวัญฉลองพระชนมพรรษายาวเหยียด
“คฤหาสน์จิ้งไห่โหว สิงโตคู่รุ้งวิลาสหนึ่งชุด บุปผาดาวเหนือสามพันปีหนึ่งต้น หยกประดับปี้เซี่ยวิญญาณสมุทรหนึ่งชิ้น!”
“คฤหาสน์เหวินยวนโหว ภาพต้นสนกระเรียนอำนวยพรหนึ่งภาพ ลูกกลอนหยกน้ำค้างม่วงหนึ่งขวด กำไลแสงนภาสุริยันจันทราหนึ่งคู่!”
“คฤหาสน์ป๋อวั่งโหว…”
ของขวัญฉลองพระชนมพรรษานั้นน่าตื่นตะลึง ใหญ่โตขึ้นทุกอัน เมื่ออ่านออกมาพลันก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาขึ้นระลอกหนึ่ง
สมบัติอย่าง ‘โป่งรากสนหิมะพันปี’ ‘ลูกกลอนมงคลจิตเก้าใบ’ ‘น้ำยาคืนรูปแปดสมบัติ’ ภายนอกอาจขนานนามได้ว่าเป็นสมบัติหายากในใต้หล้า แต่ในรายชื่อของขวัญฉลองพระชนมพรรษานี้ กลับดูธรรมดานัก
พูดได้ว่าคนใหญ่คนโตเหล่านั้นได้ใช้ความคิดไม่น้อยเพื่อถวายพระพรแด่องค์จักรพรรดินี ของขวัญฉลองพระชนมพรรษาที่นำออกมาทั้งมีเอกลักษณ์ หาได้ยากในใต้หล้า และมีนัยเป็นมงคล ไม่อาจประเมินราคาได้!
หลินสวินนั่งตรงนั้น ได้ยินสิ่งเหล่านี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ผู้มีอำนาจสูงส่งที่อยู่เบื้องบนเหล่านี้ ฐานะทางบ้านช่างมั่งคั่งเสียจริง สมบัติที่เอามาล้วนหายากและมีเอกลักษณ์ ขนาดเขาเองยังไม่เคยได้ยิน!
ขณะที่หลินสวินทอดถอนใจไม่หยุดหย่อนนี้เอง เสียงของหัวหน้าเผิงพลันชะงักไปครู่ ถึงค่อยอ่านออกมา “ตระกูลหลินแหล่งภูเขาชำระจิต ปิ่นหยกหนึ่งชิ้น”
ทั้งที่นั้นพลันตกตะลึง ปิ่นหยกเพียงอันเดียวหรือ
หลินสวินผู้นี้ จะดีจะร้ายตอนนี้ก็เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งแล้ว กลับนำปิ่นหยกอันเดียวมาถวายองค์จักรพรรดินีเป็นของขวัญหรือ
นี่มัน…กระจอกไปหน่อยแล้วกระมัง
ทันใดนั้นสายตาหลายคู่ในที่นั้นก็มองมาทางหลินสวิน สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปคลุมเครือไม่มากก็น้อย
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น