Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 405-408

 ตอนที่ 405 ฟังบรรยายในชั้นเรียน

โดย

ProjectZyphon

“ใช้เวลาไปเท่าไหร่”


“หนึ่งในสี่เค่อ”


“นี่…”


ในบริเวณที่ห่างออกไป เหล่าอาจารย์เห็นรอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรที่หลินสวินพลิกมือกลับไปวาดเสร็จในครั้งเดียวโดยไม่หันกลับไปมอง แม้ยังดูอะไรไม่ออกในทันที แต่พอรู้ว่าหลินสวินใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อวาดรอยสลักวิญญาณอันซับซ้อนนี้ขึ้นมาก็ตะลึงไปตามๆ กัน


พวกเขายังไม่สามารถทำได้ขนาดนั้นภายในเวลาอันสั้นแบบนี้!


บางทีความไวก็เป็นการยืนยันความสามารถของนักสลักวิญญาณคนหนึ่งอย่างอ้อมๆ ได้เช่นกัน คนที่วิปริตเช่นหลินสวิน แม้ไม่ได้มีคนเดียวบนโลก แต่ก็มีน้อยมาก!


อย่างน้อยในสาขาสลักวิญญาณนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนที่ทำได้ขนาดนี้


ตอนที่เดินออกจากห้องเรียนผ่านเหล่าอาจารย์ที่สีหน้าแปลกแปร่งพวกนี้ หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินตรงออกไป


เขาได้ยินเสียงทางนี้ตั้งแต่ตอนสอนแล้ว และได้ยินสิ่งที่เสิ่นทั่วและฟางจงเจียนถกเถียงกัน


แต่หลินสวินไม่มีกะจิตกะใจถือสาฟางจงเจียน


ไม่ใช่เพราะหลินสวินกลายเป็นคนใจกว้าง แต่เขารู้สึกว่าถ้าตัวเองไปถือสานักสลักวิญญาณชั้นสูงคนหนึ่ง ก็เห็นจะว่างเกินไป…


ก็เหมือนกับเหยี่ยวนกเขาท้องขาวที่ท่องทะยานเหนือน่านฟ้า มีหรือจะสนใจคำเย้ยหยันของนกกระจอก


ดังนั้นหลินสวินจึงเดินออกไปอย่างสง่า


ชั้นเรียนแรกของเขาผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่เพียงทำลายล้างความเย่อหยิ่งของศิษย์หัวโจกเหล่านั้นอย่างไม่ปรานี ยังใช้ความสามารถที่แท้จริงทำให้เหล่าศิษย์เลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ


เชื่อว่าชั้นเรียนต่อๆ ไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่นอน


นี่ก็คือการตบก่อนหนึ่งฝ่ามือแล้วค่อยให้กินผลไม้หวาน ก่อนหน้านี้ถ้าหลินสวินไม่ใช้ไม้แข็งข่มขวัญศิษย์เหล่านั้น ชั้นเรียนแรกคงไม่ต้องเรียนกันแล้ว!


ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง คนที่ขายหน้าก็คือเขา


……


ภายในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้ายังคงเงียบสงัด


รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรที่ประทับอยู่บนกระดานดำราวกับมีมนต์สะกด ดึงดูดจิตใจของพวกเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น


พวกเขาไม่ตะลึงแล้ว แต่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการเรียนรู้และหยั่งถึง สีหน้าจึงดูใคร่ครวญไม่มากก็น้อย


แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้องเรียน บรรยากาศเงียบสงบและเคร่งขรึม


ภายใต้การนำของเสิ่นทั่ว กลุ่มอาจารย์เดินตามกันเข้าไปในห้องเรียน พอเข้าไปถึงสายตาก็จ้องไปที่กระดานดำทันที


หลังจากนั้นอาจารย์ที่คร่ำหวอดอยู่ในศาสตร์การสลักวิญญาณมาไม่รู้กี่ปีอย่างพวกเขาต่างนัยน์ตาหดรัด ความตื่นตะลึงพลุ่งพล่านขึ้นในใจ


สมบูรณ์แบบ!


รอยสลักวิญญาณนี้ได้มาตรฐานอย่างไม่มีที่ติ แม้ไม่ได้เขียนด้วยหมึกวิญญาณ แต่ทุกลายเส้นของรอยสลักวิญญาณราวกับมีชีวิต เปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่!


ยากจะจินตนาการว่านี่คือรอยสลักวิญญาณที่หลินสวินวาดออกมาลวกๆ


ในรอยสลักวิญญาณเต็มไปด้วยความเก่าแก่ ลึกล้ำ หนาแน่น ความนัยอันยิ่งใหญ่ดุจเทือกเขายาว กว้างใหญ่ดั่งผืนมหาสมุทรพาให้หัวใจของพวกเสิ่นทั่วสั่นสะท้าน


ไม่นานห้องเรียนอื่นๆ ในตึกระดับ ค. ก็ทยอยกันเลิกเรียน เด็กหนุ่มสาวเปี่ยมชีวิตชีวาทยอยเดินออกจากห้องเรียน


พวกเขาสวมชุดคลุมสีขาว ท่าทางดูร่าเริงมีพลัง เต็มไปด้วยบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มสาว


“ไป ไปดูห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้ากัน! ”


“ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว ได้ข่าวว่าวันนี้หลินสวินมาสอน ฮู้ว เขาเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ข้าชื่นชอบที่สุด อายุแค่นั้นก็มีความสามารถขนาดนั้นแล้ว ช่างเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ…”


“น่าเสียดาย ได้ยินว่ามีแม่นางสวยๆ มากมายในสาขาสลักวิญญาณหมายปองหลินสวินอยู่ เจ้าก็เลิกหวังเถอะ”


“หึ ข้าไม่เหมือนนางมารชั้นต่ำพวกนั้นสักหน่อย ข้าเป็นที่นิยมในสาขาสลักวิญญาณ เชื่อว่าต้องดึงดูดความสนใจจากปรมาจารย์หลินสวินได้อย่างแน่นอน”


“เจ้า? เหอะๆ ข้าว่าคนนิยมวิ่งหนีเสียมากกว่า”


เหล่าหนุ่มสาวถกเถียงเสียงเบา แต่เป้าหมายกลับเหมือนกัน คือมุ่งไปทางห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าโดยไม่ได้นัดหมาย สีหน้าล้วนแฝงความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น


ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนได้ยินมาว่า เด็กหนุ่มหลินสวิน ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ทำให้เกิด ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ จะมาสอนที่สาขาสลักวิญญาณวันนี้


ด้วยเหตุนี้จึงรีบมุ่งไปที่ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าเพื่อชื่นชมความสง่าของหลินสวินทันทีที่เลิกเรียน


ตอนที่หนุ่มสาวเหล่านี้ไปถึงกลับต้องผิดหวัง เพราะหลินสวินกลับไปตั้งนานแล้ว เหลือเพียงเหล่าศิษย์ที่จ้องกระดานดำอย่างขบคิดราวกับต้องมนต์สะกด


เสิ่นทั่วและเหล่าเหล่าอาจารย์ก็อยู่ด้วย แต่พอเห็นศิษย์คนอื่นๆ อย่างพวกเขาก็หันหลังเดินออกไปอย่างรู้ตัว


บนกระดานดำนั่นมีอะไร?


เหล่าหนุ่มสาวแปลกใจ พอกวาดสายตามองไปก็ถูกรอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรอันสมบูรณ์แบบและทรงพลังดึงดูดไปด้วย สีหน้าพลันแตกต่างกันไป


ศิษย์ที่เข้ามาล้อมอยู่หน้าห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้ามากขึ้นเรื่อยๆ


เสิ่นทั่วเห็นภาพนี้แล้วสลดใจอย่างห้ามไม่อยู่ อดพูดกับฟางจงเจียนไม่ได้ “เจ้าดูสิ นี่คือเสน่ห์ของหลินสวิน”


ฟางจงเจียนใบหน้าอึมครึม เงียบไม่พูดจา


“ต่อไปอย่าทำเรื่องพวกนี้อีก”


เสิ่นทั่วถอนหายใจเบาๆ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ เมื่อเทียบกับภาพนี้ก็รู้แล้วว่า กลุ่มศิษย์ที่จงใจเย้ยหยันหลินสวินก่อนหน้านี้ ต้องถูกฟางจงเจียนยุยงอย่างแน่นอน


มิเช่นนั้นศิษย์เหล่านั้นคงเหมือนศิษย์ห้องอื่นๆ ที่มีแต่ความอยากรู้อยากเห็นและเคารพนับถือต่อหลินสวิน ไม่ใช่เกิดความขัดแย้งและท้าทายทันทีที่เจอกัน


และตอนนี้ศิษย์ในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า ก็ได้สติกลับมาเพราะเสียงจากนอกห้องเรียน พอเห็นผู้คนมากมายขนาดนั้นก็อดตกใจไม่ได้


พอรู้ว่าพวกเขามาเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง เพียงเพราะอยากชื่นชมความสง่างามของหลินสวิน ศิษย์เหล่านั้นก็เกิดความภาคภูมิใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ


หลินสวินเป็นอาจารย์ของพวกเขาห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าเชียวนะ!


……


ครั้งแรกที่มาสำนักศึกษามฤคมรกตอันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของผู้ฝึกปราณ สำหรับคนส่วนใหญ่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก


แต่หลินสวินไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก และไม่มีกะจิตกะใจจะออกจากสาขาสลักวิญญาณไปเดินเล่นที่อื่น แต่ตรงกลับที่พักของตัวเองทันที


หน้าโต๊ะหนังสือ


หลินสวินหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมาเขียนอย่างขะมักเขม้น


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานบนกระดาษสิบกว่าแผ่นก็เต็มไปด้วยตัวหนังสือ


เมื่ออ่านดูอย่างละเอียดจะพบว่า เนื้อหาบนนั้นกล่าวถึงความสามารถด้านการสลักวิญญาณ จุดเด่นจุดด้อยในการสลักวิญญาณ รวมทั้งความรู้และวิธีที่ใช้กับศิษย์แต่ละคนในห้องระดับ ค. ห้องเก้า


ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องมีระบบระเบียบ


ตอนเด็กหลินสวินเรียนกับท่านลู่ ก็มักจะถูกท่านลู่ฝึกฝนด้วยวิธีนี้ ให้เพียงคำชี้แนะเป็นรูปธรรมและตรงจุด ที่เหลือต้องไปศึกษาและฝึกฝนเอง


และวันนี้หลินสวินเพียงใช้วิธีแบบเดียวกันกับศิษย์แต่ละคนในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า


รับเงินมาแล้วก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่


ในเมื่อเป็นอาจารย์ในสาขาสลักวิญญาณ แน่นอนว่าหลินสวิสจะไม่ทำลวกๆ นี่คือการสร้างมาตรฐานให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง


อีกอย่างถ้าทำการสอนได้ดี ผลการทดสอบของศิษย์ยิ่งโดดเด่นเท่าไหร่ อาจารย์อย่างเขาก็ยิ่งได้รับคะแนนสะสมจากสำนักศึกษามากขึ้นเท่านั้น


ก็เหมือนกับป้ายประจำตัวของเขาในตอนนี้ ที่มีเพียงคะแนนแรกเริ่มหนึ่งร้อยคะแนน


แม้ไม่รู้มูลค่าที่แน่ชัดของคะแนนพวกนี้ แต่ในเมื่อเป็นเงินตราของสำนักศึกษามฤคมรกต มูลค่าของคะแนนสะสมย่อมไม่สามารถดูถูกได้


จวบจนกระทั่งช่วงหัวค่ำ


หลินสวินจึงวางพู่กัน บนโต๊ะมีกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือปึกใหญ่กองอยู่


พวกนี้คือเนื้อหาในการสอนต่อจากนี้อีกระยะหนึ่ง ล้วนเกี่ยวข้องกับการสลักวิญญาณ ด้วยคำนึงถึงศิษย์เหล่านั้นซึ่งยังเป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้น ตอนที่เขียนบทเรียนเหล่านี้หลินสวินจึงใช้เวลาและลงแรงไปไม่น้อย


เขารวมกระดาษพวกนี้เป็นเล่มเดียวกัน หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนทำเครื่องหมายบนหน้าปกว่า ‘บันทึกการสอน’


หลินสวินไม่รู้เลยว่า ในอนาคต ‘บันทึกการสอน’ เล่นนี้จะถูกสำนักศึกษามฤคมรกตเก็บไว้เป็นตำราการสอน ทั้งยังส่งอิทธิพลต่อจักรวรรดิอย่างกว้างขวาง เป็นที่ร่ำลือไปทั่วหล้า ถูกยกย่องว่าเป็นตำราที่นักสลักวิญญาณชั้นต้นทุกคนต้องเรียนโดยไม่มีอะไรแทนที่ได้


แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องของอนาคต


……


เช้าวันถัดมา


หลินสวินตื่นจากสมาธิ ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง นอกหน้าต่างมีนกกระเรียนขาวตัวหนึ่งกำลังยืนก้มหัวจัดขนขาวสะอาดของมันบนกิ่งไม้โบราณ


เห็นหลินสวินกวาดสายตามองมา กระเรียนขาวตัวนั้นก็ไม่กลัว กลับส่งสายตาหยิ่งผยองให้หลินสวินแล้วกระพือปีกเหินฟ้าไป ทิ้งเสียงร้องชัดเจนถนัดหูเอาไว้


ในบริเวณไกลออกไปแสงอรุณอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่อง สายลมพัดโชย หมอกกระจายไปทั่วทุ่งหญ้า เสียงระฆังดังขึ้น เห็นกลุ่มศิษย์สองคนบ้างสามคนบ้างเดินเกาะกลุ่มกันเป็นระยะ ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา


หลินสวินมองทุกอย่างเงียบๆ ในใจพลันตระหนักได้ว่า หากไม่ใช่เพราะอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต ไม่ต้องแบกรับภาระของตระกูล บางทีเขาก็น่าจะสามารถสนุกกับชีวิตที่สงบสุขและไร้กังวลในช่วงวัยนี้เช่นกันกระมัง


หลินสวินส่ายหน้า หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์’ รอบหนึ่ง ก่อนจะหยิบบันทึกการสอนที่เตรียมไว้และข้อมูลที่เขียนขึ้นสำหรับศิษย์แต่ละคนเดินไปที่ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า


สิ่งที่หลินสวินแปลกใจคือ ตอนที่ไปถึงห้องระดับ ค. ห้องเก้า มีหนุ่มสาวมากมายมาล้อมกันอยู่ อีกทั้งยังไม่ใช่ศิษย์ของห้องนี้ด้วย


พอเห็นหลินสวิน หนุ่มสาวพวกนั้นก็ตาเป็นประกาย ส่งเสียงร้องดีใจ


“อาจารย์หลินสวินมาแล้ว!”


“ในที่สุดก็ได้เจอตัวจริง เด็กมากเลย”


“ว๊าย หล่อมาก แบบที่ข้าชอบเลย”


“เชอะ คิดตื้นๆ ข้ารำคาญพวกที่มองคนจากภายนอกอย่างพวกเจ้าที่สุด แน่นอนว่าข้าเองก็ยอมรับว่าอาจารย์หลินสวินหล่อมากจริงๆ ดูนุ่มนิ่มน่าอร่อย แฮะๆๆ”


ศิษย์เหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์กันจ้อกแจ้ก สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้น หญิงสาวหลายคนถึงกับยิ้มเคลิ้ม


หลินสวินอึ้งงันไปชั่วขณะ


โชคดีที่ในขณะนั้นเด็กหนุ่มตัวอ้วนหูกางได้เดินเข้ามาตะคอกเสียงดัง “หลีกๆ อย่าขวางทางสิ อาจารย์เสี่ยวหลินเป็นของห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า ขัดขวางการเรียนของเรา พวกเจ้าถือว่ามีความผิดนะ!”


พูดจบเขาก็หันมองหลินสวินอย่างประจบ “อาจารย์เสี่ยวหลินเชิญขอรับ เพื่อนๆ ร่วมชั้นกำลังรอเรียนกับท่านอยู่”


อาจารย์เสี่ยวหลิน…


หลินสวินอึ้งไป พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ถามว่าใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ เดินเข้าห้องไปโดยมีหลิวฮุยคอยคุมเชิงให้


สิ่งที่ทำหลินสวินตะลึงคือ ศิษย์ห้องอื่นๆ กลับไม่ไปไหน ยืนอยู่ตรงหน้าต่างทำทีเหมือนจะอยู่ฟังหลินสวินสอนที่นี่



ตอนที่ 406 การทดสอบมาเยือน

โดย

ProjectZyphon

เสียงนกร้องจิ๊บๆ อยู่บนต้นไม้โบราณเขียวขจี


เสียงอันราบเรียบแจ่มชัดของหลินสวินดังก้องอยู่ในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า


ในห้องเรียนบรรดาศิษย์นั่งตัวตรง ท่าทางตั้งใจ เผยสีหน้าขบคิด แปลกใจ ปิติยินดีและสงสัยออกมาเป็นระยะ


นอกห้องเรียน ทั้งหน้าต่าง หน้าประตูล้วนถูกศิษย์จากห้องอื่นยึดครอง ทุกคนต่างเงียบฟัง ไม่มีใครพูดคุยกัน


บรรยากาศเงียบสงบและเคร่งขรึม


ทีแรกศิษย์เหล่านี้ชื่นชมชื่อเสียงของหลินสวิน ส่วนใหญ่มาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น แต่ตอนนี้เมื่อหลินสวินเริ่มสอน พวกเขาก็ค่อยๆ ถูกดึงดูดความสนใจ ราวกับกำลังฟังหลักความจริง ไร้ซึ่งความคิดฟุ้งซ่านอีก


เหล่าอาจารย์ที่เดินผ่านทางมาเป็นครั้งคราวเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็อดตะลึงและเดินเข้ามาได้ พลอยตั้งใจฟังอย่างละเอียดไปด้วย


ฉับพลันก็เผยสีหน้าครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว


สิ่งที่หลินสวินสอนไม่อาจเรียกได้ว่าซับซ้อน ล้วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนของนักสลักวิญญาณชั้นต้น แต่วิธีที่เขาสอนกลับพิเศษมาก


ไม่มีเนื้อหาทฤษฎียาวๆ ที่น่าเบื่อหน่าย ไม่ได้บอกว่าต้องสลักอย่างไร หรือในนั้นมีความเร้นลับที่ควรค่าแก่การศึกษาซ่อนอยู่มากน้อยแค่ไหน


แต่นำตัวอย่างต่างๆ มาพิสูจน์ ใช้มุมมองที่แตกต่างของการหลอมบ้าง การจัดวางบ้าง มาอธิบายผลกระทบที่จะเกิดกับรอยสลักวิญญาณอย่างชัดเจน


สิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือ ตัวอย่างรอยสลักวิญญาณทั้งหมดแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่เหมือนกับระบบความรู้อันเป็นที่ยอมรับจากอาจารย์ท่านอื่นๆ!


ทำให้อาจารย์เหล่านั้นฟังด้วยความเพลิดเพลิน รู้สึกอัศจรรย์ใจและเปิดหูเปิดตา


ยากจะจินตนาการว่า เหตุใดหลินสวินถึงได้มีความรู้ลึกซึ้งและไม่เหมือนใครตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ ถือเป็นการเปิดระบบความรู้ใหม่เกี่ยวกับการสลักวิญญาณเลยเชียว


โดยเฉพาะตัวอย่างบางส่วนที่หลินสวินยกมา แม้แต่อาจารย์เหล่านั้นยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ดูแปลกใหม่มากจริงๆ


เช่นว่าหมึกวิญญาณของ ‘รอยสลักวิญญาณสุริยันมรกต’ ที่เดิมทีต้องใช้วัตถุดิบวิญญาณร้อยกว่าชนิดในการสกัด


แต่หลินสวินกลับเสนอว่า เพียงใช้น้ำจาก ‘หญ้าปลาเมามาย’ เป็นตัวนำ และใช้วัตถุดิบวิญญาณอีกเพียงสิบกว่าชนิดก็สามารถสกัดหมึกวิญญาณชนิดนี้ขึ้นมาได้แล้ว อีกทั้งคุณภาพยังดีกว่าหนึ่งระดับด้วย


หญ้าปลาเมามายไม่ใช่วัตถุดิบวิญญาณที่หายาก แต่อาจารย์ทุกท่านล้วนไม่เคยคิดว่า วัตถุดิบวิญญาณชนิดนี้จะสามารถนำมาใช้แบบนี้ได้ด้วย!


เหมือนเป็นการเปิดประตูสู่ทางสว่างบานใหม่ให้กับพวกเขา ทำให้พวกเขาอยากรีบไปลองแทบไม่ไหวแล้ว


หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น


หนึ่งชั้นเรียนก็จบลง


แต่ทั้งในและนอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาจารย์ต่างรู้สึกอยากเรียนต่อ ในใจพวกเขาก็ยิ่งเคารพหลินสวินมากขึ้นเรื่อยๆ


ภายใต้ชื่ออันทรงเกียรติย่อมมากไปด้วยความสามารถ คำคนโบราณกล่าวไว้ไม่มีผิด!


……


ตั้งแต่วันนั้น ทุกครั้งที่หลินสวินไปสอนที่ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า นอกหน้าต่างและประตูจะมีคนมากมายไปรอกันอยู่แล้ว


ไม่เพียงแค่ศิษย์ แต่อาจารย์จำนวนมากก็ถูกดึงดูดมาด้วย


อีกทั้งคนที่เข้ามาฟังการสอนก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


นี่ทำให้ศิษย์ในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้ายิ่งภาคภูมิใจเข้าไปใหญ่ ต่างรู้สึกเป็นเกียรติ เพราะอาจารย์เสี่ยวหลินเป็นของพวกเขา!


สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ แรกๆ หลินสวินก็ยังแปลกใจอยู่บ้าง แต่หลังๆ ก็ปล่อยไปตามน้ำ


นอกจากไปสอนทุกวัน เวลาที่เหลือหลินสวินใช้เวลาไปกับการฝึกตน บ้างนั่งสมาธิฝึกปราณ บ้างเคี่ยวกรำวิชายุทธ์


ชีวิตที่สงบสุขและมั่นคงเช่นนี้ ทำให้พลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางของเขาถูกกลั่นหลอมให้ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น


ทว่าเมื่อเทียบกับความเร็วด้านการทะลวงปราณในอดีต คราวนี้หลินสวินดูเหมือนจะติดอยู่ในคอขวดของการฝึกปราณ แม้ว่าเขาจะกลืนโอสถวิญญาณชนิดต่างๆ พลังปราณก็ยังคงติดอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง ไม่สามารถบรรลุสู่ขั้นปลายได้


นี่ก็คืออุปสรรคในการฝึกปราณ


อาศัยเพียงการปิดด่านกักตนยากจะบรรลุปราณได้ ต้องพึ่งวาสนาและการฝึกฝนที่แน่นอนด้วย บางทีอาจถูกกระตุ้นในจังหวะที่เหมาะสม จนสามารถทลายกำแพงนี้ บรรลุขั้นไปได้


แม้พลังปราณไม่อาจไม่บรรลุ แต่ในด้านการฝึกยุทธ์กลับมีพัฒนาการเป็นที่น่าพอใจ


สำหรับการฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์’ หลินสวินสามารถผสานกระบวนท่าสองท่าที่แตกต่างกันเป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว!


อย่างเช่น ‘กระบวนท่าทลายภูผา’ กับ ‘กระบวนท่าทลายสมุทร’ สามารถผสานกันกลายเป็น ‘กระบวนท่าทลายภูผามหาสมุทร’


หรือ ‘กระบวนท่าทลายอากาศ’ กับ ‘กระบวนท่าทลายวิญญาณ’ ผสานกันกลายเป็น ‘กระบวนท่าทลายอากาศวิญญาณ’ เป็นต้น


การผสานกันเช่นนี้ ทำให้พลังของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ผนวกกับพลังปราณอันยิ่งใหญ่และทรงพลังของหลินสวิน อานุภาพจึงยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น!


นอกจากนี้หลินสวินก็ควบคุม ‘ก้าวย่างชือน้ำแข็ง’ ได้ในเบื้องต้นแล้ว ยามแสดงฝีมือ ร่างกายราวกับชือน้ำแข็งท่องนภา ร้องคำรามอยู่ในหมู่เมฆ ห้อเหยียดไปทั่วทุกสารทิศ ไม่เพียงแค่เร็วจนน่าทึ่ง ความสามารถในการเปลี่ยนท่วงท่าไร้ขีดจำกัดก็เรียกได้ว่าแปรเปลี่ยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ล่องลอยดั่งสายรุ้ง!


……


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


รู้ตัวอีกทีหลินสวินก็ทำงานที่สาขาสลักวิญญาณได้หนึ่งเดือนแล้ว


มาอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ความวุ่นวายภายนอกก็ราวกับไม่เกี่ยวข้องกับเขา กลายเป็นเรื่องที่ไกลตัวและไม่มีความสำคัญ


หลินสวินค่อยๆ ปรับตัวและชื่นชอบชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้แล้ว ทั้งสบายใจ มั่นคง ได้อยู่กับศิษย์ที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้แล้วรู้สึกผ่อนคลายและดื่มด่ำอย่างบอกไม่ถูก


ช่วงที่ผ่านมา ทั้งอาจารย์และศิษย์ทุกคนในสาขาสลักวิญญาณล้วนรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของหลินสวิน และห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าของเขา ก็ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ในสาขาสลักวิญญาณไปแล้ว


พอถึงชั้นเรียนของหลินสวิน ก็จะมีศิษย์และอาจารย์มากมายมาล้อมกันอยู่นอกหน้าต่าง เงียบฟังอย่างตั้งใจ


จนกระทั่งตอนหลัง เนื่องจากมีคนจำนวนมากเกินไป ศิษย์หลายคนถึงขั้นไปห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าก่อนเวลา เพื่อยึดตำแหน่งที่ดีในการฟังบรรยายของหลินสวิน


ฐานะของศิษย์และอาจารย์เหล่านั้นก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง ไม่เพียงแค่ศิษย์จากตึกระดับ ค. เท่านั้น แม้แต่ศิษย์และอาจารย์จากตึกระดับ ก. และ ข. ก็วิ่งมาฟังบ้างเป็นระยะ


อย่าลืมว่าศิษย์จากตึก ก. และตึก ข. ล้วนเป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงและชั้นกลางตามลำดับ อาจารย์ที่สอนพวกเขาล้วนเป็นระดับปรมาจารย์สลักวิญญาณ


แต่พวกเขากลับมาฟังความรู้ของนักสลักวิญญาณชั้นต้นที่หลินสวินสอน นี่ไม่ใช่เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์หรือ


แม้แต่ปรมาจารย์สลักวิญญาณระดับเสิ่นทั่วยังแวะมาบ้างเป็นครั้งคราว!


จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า เนื้อหาที่หลินสวินสอนนั้นมีเอกลักษณ์และแปลกใหม่มากเพียงใด ถึงได้ทำให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณผู้หยิ่งยโสเหล่านั้นมาฟัง ในสำนักศึกษามฤคมรกตนี้จะมีเสียกี่คนที่ทำได้ถึงเพียงนี้


แต่ก็มีอาจารย์หลายคนบ่น ยิ่งความนิยมของหลินสวินสูงขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ระดับของอาจารย์อย่างพวกเขาดูต่ำลง


บางครั้งตอนที่เหล่าอาจารย์สอนอยู่ กลับพบว่าศิษย์จำนวนไม่น้อยแอบหนีเรียนไปฟังบรรยายของหลินสวิน ทำให้อาจารย์เหล่านั้นอดโกรธไม่ได้ รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


ถึงขั้นที่อาจารย์ระดับปรมาจารย์สลักวิญญาณหลายท่านไม่พอใจหลินสวิน คิดว่าวิธีการสอนของเขาดูพยายามโดดเด่นเกินไป จนสงสัยว่าเขาจงใจเรียกความนิยม


แต่ที่จนปัญญาก็คือ หลินสวินยังคงเป็นที่นิยมอย่างมาก แม้ไม่พอใจแค่ไหน ปรมาจารย์สลักวิญญาณเหล่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้


จนกระทั่งภายหลังถังเฉียนหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณรู้เรื่องทั้งหมด นอกจากความตะลึง ก็อดปวดหัวหน่อยๆ ไม่ได้


วิธีที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของหลินสวิน กระทบต่อการสอนตามแบบแผนเดิมของสาขาสลักวิญญาณอยู่บ้าง


สุดท้ายหัวหน้าสาขาถังเฉียนจึงออกคำสั่ง ให้ปรับเวลาสอนของหลินสวินโดยเฉพาะ ไม่ให้ตรงกับชั้นเรียนของอาจารย์ท่านอื่นๆ ในสาขาสลักวิญญาณ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่ศิษย์หนีเรียนอีก


อีกทั้งทางสาขายังเตรียมห้องเรียนขนาดใหญ่ ให้เพียงพอต่อศิษย์ใหม่ๆ ของห้องระดับ ค. ห้องเก้าไว้ให้โดยเฉพาะ


แบบนี้เหล่าศิษย์และอาจารย์คนอื่นๆ จะได้นั่งฟังหลินสวินสอนในห้องเรียนร่วมกับศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าด้วยกัน


กับเรื่องนี้เสิ่นทั่วเองก็อดตะลึงไม่ได้ สามารถทำให้หัวหน้าสาขาสลักวิญญาณออกหน้า จัดตารางสอนของหลินสวินให้เป็นกรณีพิเศษ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สาขาสลักวิญญาณ


……


วันนี้ครบรอบหนึ่งเดือนในการสอนวิชาสลักวิญญาณ


ตามกฎของสาขาสลักวิญญาณ หลินสวินต้องพาลูกศิษย์ของตัวเองไปที่ ‘หอหลอมวิญญาณ’ เพื่อรับการทดสอบจริง


เนื้อหาการทดสอบนั้นง่ายมาก เป็นการหลอมอาวุธ!


ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการรับรองในฐานะนักสลักวิญญาณชั้นต้นจะได้รับวัตถุดิบวิญญาณที่ต่างกัน เพื่อหลอมอาวุธวิญญาณระดับมนุษย์ขั้นต่ำ


ผลการทดสอบจะตัดสินตามระดับสูงต่ำของอาวุธวิญญาณที่หลอมขึ้น


และผลทดสอบนี้ก็จะเกี่ยวเนื่องไปถึงว่าจะได้รับคะแนนสะสมมากน้อยเท่าไร


หลินสวินในฐานะอาจารย์ คะแนนของศิษย์จะมากหรือน้อยก็ส่งผลกระทบต่อคะแนนสะสมของเขาเช่นกัน


แน่นอนว่าคราวนี้ไม่เพียงแค่ศิษย์จากระดับ ค. ห้องเก้าที่เข้าร่วม ห้องอื่นๆ ในตึกระดับ ค. ก็เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วย


“โบราณว่า ความรู้ในตำรามีเพียงทฤษฎี อยากชำนาญต้องลงมือทำ ในฐานะนักสลักวิญญาณ รู้แค่ทฤษฎีในตำรานั้นเป็นเรื่องตลก การไปทดสอบที่หอหลอมวิญญาณในครั้งนี้จะทำให้ได้เห็นระดับของพวกเจ้าทุกคน”


ในชั้นเรียน หลินสวินกวาดสายตามองทุกคนในห้องพร้อมยิ้มน้อยๆ พูด “แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้น ถือว่าเป็นการฝึกครั้งหนึ่งก็พอแล้ว”


พูดจบเขาก็เดินนำออกจากห้องเรียนไป


ศิษย์รวมสามสิบคนลุกพรึ่บขึ้น รีบมุ่งหน้าไปที่หอหลอมวิญญาณตามหลินสวินไปติดๆ


“ในที่สุดก็จะเข้ารับการทดสอบแล้ว เฮ้ย คราวนี้จะได้เห็นกันว่าผลการสอบของศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าที่อาจารย์เสี่ยวหลินสอนจะเป็นอย่างไร”


“ฮ่าๆๆ ที่ผ่านมาคะแนนการทดสอบของศิษย์ทุกคนในระดับ ค. ห้องเก้าล้วนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คราวนี้ถ้าไม่ใช่อาจารย์เสี่ยวหลินลงมือเอง ศิษย์พวกนั้นคิดจะลบล้างความอับอายที่ผ่านมาคงเป็นการยาก”


“ใช่ พวกเราก็ไปเรียนกับอาจารย์เสี่ยวหลินมาเหมือนกัน ทุกคนล้วนเรียนเนื้อหาพอๆ กัน พวกเขาอยากชนะเรา เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้”


หลินสวินนำเหล่าศิษย์ออกไปได้ไม่นาน ก็เห็นว่าศิษย์ในตึกระดับ ค. ห้องอื่นๆ ก็กำลังเดินตามอาจารย์ของตัวเองมุ่งหน้าไปทางหอหลอมอาวุธ


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังจากปากศิษย์ห้องอื่น


น้ำเสียงไม่ได้แสดงออกว่าไม่เคารพหลินสวิน แต่ศิษย์ที่เขาสอนกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกเย้ยหยัน


สีหน้าของเหล่าศิษย์อย่างหลิวฮุย ฟ่านจือชิว หยางจิ้งเหยาเผยความขึ้งโกรธขึ้นมาทันที


ในขณะที่พวกเขากำลังจะตีฝีปากกลับนั้น หลินสวินพลันโบกมือห้ามไม่ได้พวกเขาพูด “ไม่พอใจอะไร เดี๋ยวค่อยใช้การกระทำพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง ถ้าพวกเจ้ารู้สึกไม่มั่นใจก็ถอนตัวตอนนี้ได้เลย ข้าจะไม่โทษพวกเจ้า”


หลินสวินพูดเสียงเรียบ แต่มันกลับประหนึ่งเป็นกองไฟที่จุดความฮึกเหิมในใจศิษย์พวกนี้!



ตอนที่ 407 ปฏิบัติต่างกัน

โดย

ProjectZyphon

หอหลอมวิญญาณ


เห็นชื่อคงพาให้ตกใจ แต่แท้จริงแล้วที่นี่เป็นสถานที่ที่เตรียมไว้ให้นักสลักวิญญาณหลอมอาวุธ


ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่เป็น ‘สนามสอบ’ ไปในตัวด้วย


ทุกเดือน ศิษย์สาขาสลักวิญญาณจะมารับการทดสอบหนึ่งครั้งที่นี่ เพื่อวัดสถานการณ์การเรียนรู้ของศิษย์ทุกคนว่ามีพัฒนาการหรือไม่


ผลลัพธ์สุดท้ายของการทดสอบ จะมีผลต่ออันดับและคะแนนสะสมของศิษย์ทุกคน


และวันนี้ ก็เป็นวันที่กลุ่มศิษย์ของตึกเรียนเล็กระดับ ค. ทั้งเก้าห้องดำเนินการทดสอบ


“คารวะอาจารย์เสี่ยวหลิน”


“อาจารย์เสี่ยวหลินก็มาแล้ว”


“อาจารย์เสี่ยวหลิน หลังผลการทดสอบออกมาแล้วท่านอย่าหดหู่ไปนะ”


เมื่อหลินสวินพาศิษย์ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าเข้าไปในหอหลอมวิญญาณ ระหว่างทางก็ถูกทักทายไม่ขาด บ้างเป็นอาจารย์ บ้างเป็นศิษย์ ช่างครึกครื้นยิ่ง


จากตรงนี้ก็ดูออกว่า ในสาขาสลักวิญญาณตอนนี้หลินสวินก็เหมือนเป็นผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับความนิยมชมชอบผู้หนึ่งไปแล้ว


เพียงแต่ศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าของเขานั้น ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็ล้วนถูกหัวเราะเยาะหยัน ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากหลินสวิน


แน่นอนว่า ล้วนเป็นการเย้ยหยันจากศิษย์ห้องอื่น


“หึ ให้อาจารย์เสี่ยวหลินต้องมาสั่งสอนเจ้าโง่พวกนี้ สวรรค์ตามืดบอดเสียจริง”


“โธ่ ถ้าครั้งนี้คะแนนทดสอบของเจ้าพวกนี้ยังรั้งท้ายอีก จะให้อาจารย์เสี่ยวหลินเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันนะ”


“ไม่สู้พวกเราไปขอร้องให้สำนักศึกษาสั่งการให้อาจารย์เสี่ยวหลินมาสอนห้องพวกเราแทนล่ะ ระดับ ค. ห้องเก้านั่นมันพวกไม่ได้เรื่อง อย่ามาพาอาจารย์เสี่ยวหลินให้เสียไปด้วยเลย”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ดังเข้าหูไม่หยุดหย่อน พาให้กลุ่มศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าต่างยิ่งแสดงสีหน้าเหยเก จิตใจถูกเผาไหม้ไปด้วยไฟโกรธ


ถ้าไม่ใช่เพราะคำตักเตือนของหลินสวินก่อนหน้านี้ พวกเขาคงได้บันดาลโทสะไปแล้ว


ที่เป็นเช่นนี้ได้ เหตุผลก็ง่ายดายนัก


ที่ผ่านมาอันดับของระดับ ค. ห้องเก้าอยู่รั้งท้ายห้องเรียนทั้งเก้าในตึกระดับ ค. มาตลอด ไม่เคยได้หลุดพ้นเคราะห์ร้ายนามว่า ‘ที่หนึ่งจากข้างล่าง’


อีกทั้งศิษย์ในระดับ ค. ห้องเก้ามีตัวแสบอยู่ไม่น้อย อบรมสั่งสอนได้ยากนัก คะแนนทดสอบทุกครั้งก็เลวร้ายจนทนดูไม่ได้


ในสถานการณ์เช่นนี้ จะถูกคนอื่นยั่วยุและหัวเราะเยาะก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก


เมื่อก่อนหลินสวินยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้นัก แต่เมื่อได้เห็นทุกอย่างกับตา เขาจะยังไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าที่แท้ศิษย์ที่ตนสอนมาตลอดนั้น ดันเป็นเด็กชั้นเลวมารวมตัวปะปนกันกลุ่มหนึ่ง


นี่ทำให้หลินสวินเงียบกริบไปแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรคนพวกนี้ก็เป็นศิษย์รุ่นแรกของเขา เขาจะไม่พอใจได้อย่างไรเล่า


นอกจากนี้เท่าที่หลินสวินสังเกตจากการสอนมาหนึ่งเดือน เขาพบว่าศิษย์พวกนี้ไม่ใช่ ‘เด็กชั้นเลวที่มารวมตัวปะปนกัน’ อย่างที่ผู้อื่นพูด!


รอเมื่อผลการทดสอบออกมาย่อมพิสูจน์เรื่องนี้ได้



โถงใหญ่ชั้นหนึ่งของหอหลอมวิญญาณ


กลางโถงใหญ่กว้างขวางและเงียบเชียบน่าเกรงขามนั้นถูกแบ่งออกเป็นเก้าเขต ศิษย์ทั้งเก้าห้องของตึกเล็กระดับค. ถูกจัดแบ่งเข้าไปในเขตทั้งเก้านี้อย่างชัดเจน


ศิษย์ทั้งหมดสองร้อยเจ็ดสิบคน เวลานี้ล้วนนั่งหลังตรงบนเบาะนั่ง ด้านหน้ามีตั่งตัวหนึ่ง


เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น พวกเขาจะได้รับมอบเนื้อหาการทดสอบที่แตกต่างกันมาหลอมอาวุธวิญญาณระดับมนุษย์ชั้นต่ำหนึ่งชิ้น


ความสมบูรณ์มากน้อยของอาวุธวิญญาณที่หลอมออกมา จะเป็นตัวตัดสินคะแนนทดสอบของพวกเขาในที่สุด


ผู้คุมสอบหลักครั้งนี้คือปรมาจารย์สลักวิญญาณสามท่าน ในนั้นมีเสิ่นทั่ว ส่วนอีกสองท่านที่เหลือ คนหนึ่งมีผมเผ้าหนวดเคราสีดอกเลา รูปร่างอ้วนเผละนามว่าหลูฉุนโส่ว ส่วนอีกคนหนึ่งผอมบางราวลำไผ่ สีหน้าเย็นชาดุดัน มีนามว่าอู่จ้าวหยาง


พวกเขาทั้งสามเวลานี้นั่งตัวตรงอยู่กลางโถงใหญ่ เบื้องล่างของพวกเขามีอาจารย์ระดับค. ทั้งเก้าห้องนั่งอยู่


หลินสวินก็นั่งตัวตรงอยู่ในนั้น


“อาจารย์เสี่ยวหลิน ครั้งนี้อย่าได้ขัดเคืองเลยนะ ฮ่าๆ”


อีกด้านหนึ่ง อาจารย์ระดับ ค. ห้องแปดหัวเราะพลางเอ่ยปาก


“จะพูดเช่นนี้ไม่ได้ อาจารย์เสี่ยวหลินเพิ่งมารับตำแหน่งได้หนึ่งเดือน แม้ว่าศิษย์เหล่านั้นของเขาทำได้แค่พอผ่าน ก็ไม่เกินความคาดหมาย”


“ใช่แล้ว การพัฒนาในศาสตร์การสลักรอยวิญญาณไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน คะแนนห้องเก้าครั้งนี้อาจจะยังไม่ดีขึ้นตามเคย แต่วันหน้าอีกยาวไกล เชื่อว่าด้วยการชี้นำอย่างใส่ใจของอาจารย์เสี่ยวหลิน จะทำให้คะแนนของห้องเก้าค่อยๆ ดีขึ้นแน่”


อาจารย์ผู้อื่นก็เอ่ยขึ้นเซ็งแซ่


ถ้อยคำของพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่เห็นชัดว่า ส่วนลึกในใจพวกเขาล้วนไม่คิดว่าคะแนนทดสอบในครั้งนี้ของระดับ ค. ห้องเก้าจะเปลี่ยนแปลงไปได้


หลินสวินไม่ได้โต้แย้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น เพียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อมั่นในศิษย์ของข้า”


เห็นว่าหลินสวินกลับนิ่งสงบได้เพียงนี้ ก็ทำให้อาจารย์คนอื่นอดแปลกใจไม่ได้ ทันใดนั้นก็หัวเราะหยันขึ้น ไม่ต่อความอีก


อย่างไรก็ยังเป็นเยาว์วัย ดูท่าในใจคงไม่ยอมรับสินะ!


แต่ว่า ระดับค. ห้องเก้านั้นรั้งท้ายมานานแล้ว ดังคำกล่าวที่ว่าน้ำแข็งหนาสามฉื่อไม่ได้เกิดจากหน้าหนาววันเดียว คิดจะเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกัน


พวกเขาล้วนไม่เชื่อว่าวิชาสลักรอยวิญญาณที่หลินสวินถ่ายทอดให้นั้น จะสามารถทำให้ศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าพวกนั้นพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงราวเกิดใหม่


การทดสอบจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในอีกหนึ่งเค่อ หลินสวินว่างจนเบื่อหน่าย ดวงตากวาดไปรอบทิศ กลับพบเรื่องน่าประหลาดใจ ในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งของหอหลอมวิญญาณวันนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ อาณาเขตกว้างขวางที่ไกลออกไปนั้นถูกเงาร่างมากมายครอบครองอยู่ก่อนแล้ว


นอกจากนี้ที่ประตูทางเข้ายังมีเงาร่างต่อเนื่องไม่ขาดสายกำลังเข้ามาอยู่


ไม่นานหลินสวินก็ดูออกว่า ในหมู่เงาร่างเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นศิษย์จากตึกเรียนระดับ ก. และ ข. รวมถึงอาจารย์บางคน


“อาจารย์หวง หรือการทดสอบทุกครั้งล้วนมีคนมาสังเกตการณ์มากมายเช่นนี้?”


หลินสวินอดถามอาจารย์ที่อยู่ด้านข้างไม่ได้


อาจารย์หวงมองหลินสวินด้วยสายตาประหลาดปราดหนึ่ง แล้วตอบอย่างแผ่วเบาว่า “เมื่อก่อนไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวกับเจ้าอาจารย์เสี่ยวหลิน”


“ข้าหรือ”


หลินสวินอึ้งไป


“ใช่ ในสาขาสลักวิญญาณตอนนี้ ล้วนยกย่องว่าเจ้าสอนหนังสือเก่ง มีวิธีสอนเป็นเอกลักษณ์ จึงอยากมาดูว่า ด้วยการเรียนหนึ่งเดือนนี้ ศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้าจะมีความเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาไม่ได้ในการทดสอบครั้งนี้หรือไม่”


อาจารย์หวงอธิบายอย่างใจเย็นหนึ่งรอบ


หลินสวินหัวเราะหยัน “ข้าว่าพวกเขามาดูเรื่องสนุกต่างหาก ถ้าศิษย์พวกนั้นของข้าทำไม่ได้ดี คงไม่ได้มายกย่องว่าข้าสอนหนังสือเก่งเสียแล้วล่ะ”


อาจารย์หวงหน้าตึงไปเล็กน้อย อึดอัดใจไม่หยุดหย่อน


ในสาขาสลักวิญญาณตอนนี้ ที่ชื่นชมหลินสวินนั้นมีมาก แต่ที่แคลงใจในตัวหลินสวินก็มากเช่นกัน เห็นว่าเนื้อหาที่เขาสอนแม้แปลกใหม่ แต่กลับแหวกแนวแหกคอกยิ่ง หลุดจากตำราไม่เป็นไปตามแบบแผน หนีไม่พ้นเสียงวิจารณ์ว่าเขาเรียกร้องความสนใจจากฝูงชน


และการทดสอบครั้งนี้ สามารถพิสูจน์ความสามารถในการสอนของหลินสวินได้ว่าเป็นเช่นไรกันแน่ ทั้งยังพิสูจน์ว่าเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความสนใจจากฝูงชนหรือไม่โดยไม่ต้องสงสัย


ดังนั้นถึงได้มีอาจารย์และศิษย์มากมายขนาดนี้มาสังเกตการณ์


หลินสวินก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวเอง เมื่อได้เห็นสีหน้าของอาจารย์หวงอีก เขาก็รู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น


ติ๊ง! ติ๊ง!


เสียงระฆังทดสอบดังขึ้น บรรยากาศในที่นั้นพลันน่าเกรงขามขึ้น เสียงสนทนาทุกประเภทหยุดลง แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบน่ายำเกรง


ทันใดนั้นก็มีบ่าวรับใช้หลายคนปรากฏตัวออกมาอย่างเป็นระเบียบ เริ่มให้ศิษย์ทั้งเก้าห้องในที่นั้นจับฉลาก บนฉลากมีเนื้อหาการสอบที่ต่างกันออกไป


แม้ว่าล้วนเป็นการหลอมอาวุธวิญญาณระดับมนุษย์ชั้นต่ำ แต่อาวุธวิญญาณก็แบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ ทั้งอาวุธต่อสู้ ชุดเกราะเป็นต้น


นอกจากนี้การหลอมอาวุธที่แตกต่างกัน ก็ต้องใช้หมึกวิญญาณและวัสดุวิญญาณที่ต่างกันไป ดังนั้นด้วยการจับฉลาก ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องทุจริตเพื่อความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งยังสามารถรับรองความยุติธรรมของการทดสอบได้ด้วย


ไม่นานนักผลการจับฉลากก็ออกมา ศิษย์ทุกคนได้รับมอบวัสดุวิญญาณและหมึกวิญญาณตามผลการจับฉลากที่ต่างกันไป


“เริ่มการทดสอบเถิด”


การทดสอบประจำเดือนครั้งนี้เริ่มขึ้นตามเสียงสั่งการของเสิ่นทั่ว


ซ่าๆๆ ซ่าๆๆ


โถงใหญ่ที่เงียบเชียบพลันเต็มไปด้วยเสียงกรอบแกรบซึ่งเกิดขึ้นยามด้ามสลักลากรอยสลักวิญญาณ ก้องสะท้อนทั่วโถงใหญ่


ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมสอบหลัก หรือว่าอาจารย์แต่ละห้องอย่างพวกหลินสวิน หรือเหล่าอาจารย์และศิษย์ที่มาสังเกตการณ์ เวลานี้สายตาล้วนจับจ้องไปที่สนามสอบ


แน่นอนว่าดวงตาส่วนใหญ่นั้นมองไปที่ศิษย์สามสิบคนของระดับ ค. ห้องเก้า


หลินสวินตรวจดูศิษย์ของตัวเอง ที่เขาสอนไปหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความรู้ในการสลักวิญญาณ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เห็นศิษย์ของตนหลอมอาวุธขึ้นมาจริงๆ เช่นกัน


หลินสวินมีความคิดไม่เหมือนกับอาจารย์ท่านอื่น เป้าหมายของเขานั้นเรียบง่ายมาก เขาเพียงต้องการใช้การทดสอบครั้งนี้ ทำความเข้าใจความสามารถด้านการสลักวิญญาณของศิษย์ทุกคนมากยิ่งขึ้น วิเคราะห์ข้อดีข้อด้อยที่แสดงออกมาระหว่างที่พวกเขาหลอมอาวุธ


เช่นนี้แล้ว ภายหลังเมื่อสอนหนังสือ ก็จะ ‘สอนตามผู้เรียน’ ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้


การหลอมอาวุธเป็นเรื่องที่น่าเบื่อยิ่งทั้งสิ้นเปลืองเวลาเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักสลักวิญญาณชั้นต้นแล้ว คิดจะหลอมอาวุธวิญญาณระดับมนุษย์ชั้นต่ำสักชิ้นนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหกชั่วยาม อย่างมากก็สามถึงห้าวัน!


แต่การทดสอบครั้งนี้ต่างออกไป หมึกวิญญาณต่างผสมเรียบร้อยแล้ว โครงอาวุธวิญญาณก็เตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ เพียงสลักรอยวิญญาณบนนั้นก็พอแล้ว


เมื่อคำนวณเช่นนี้ ในสถานการณ์ปกติ ประมาณห้าชั่วยามก็ควรทำแบบทดสอบเสร็จแล้ว


เวลาผ่านไป บรรยากาศในที่นั้นยังเงียบเชียบน่ายำเกรงเช่นเดิม ไม่มีผู้ใดส่งเสียงเอะอะ


ในนี้ล้วนเป็นนักสลักวิญญาณ ต่างรู้ว่ายามนักสลักวิญญาณสลักรอยวิญญาณนั้น จะถูกรบกวนไม่ได้เด็ดขาด


“พลังพื้นฐานของหลิวฮุยมั่นคงเสียจริง แต่ด้านความเร็วยังต้องพัฒนาอีก”


“เอ๋ ดูไม่ออกเลยนะนี่ ว่าพลังการรับรู้ของหยางจิ้งเหยาผู้นั้นจะละเอียดอ่อนเช่นนี้…”


“ฟ่านจือชิวผู้นี้สภาวะจิตมีปัญหา นานแล้วยังเข้าสู่สภาวะหลอมอาวุธไม่ได้เลย นี่เป็นข้อห้ามร้ายแรง ยังขาดการฝึกปรือ”


“โอ้ เด็กสาวคนนี้เหมือนจะชื่อเย่ซู่เหมียวใช่ไหม เป็นผู้มีความสามารถรุ่นเยาว์ที่ดีคนหนึ่งเลยนี่”



เวลาล่วงเลยไป หลินสวินก็กำลังวิเคราะห์ความสามารถที่ศิษย์ทุกคนแสดงออกมาในสนามสอบเช่นกัน ตรวจสอบฝีมือของศิษย์เหล่านี้ในด้านต่างๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อเลย


สองชั่วยามผ่านไป


ตรงตำแหน่งของระดับ ค. ห้องหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดดำผอมบางผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน นำอาวุธวิญญาณที่หลอมเสร็จแล้วมอบให้บ่าวรับใช้


เหล่าอาจารย์และศิษย์ในที่นั้นล้วนจ้องเขม็ง สีหน้าฉายแววประหลาด โม่อวิ๋น! ลูกหลานตระกูลโม่ หนึ่งในสามตระกูลนักสลักวิญญาณใหญ่ ผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของระดับค. ห้องหนึ่ง ได้คะแนนอันดับหนึ่งของระดับ ค. ทั้งเก้ามาโดยตลอด!


ในการทดสอบครั้งนี้ เขาก็เป็นผู้ที่ทำแบบทดสอบเสร็จเป็นคนแรก!


หลินสวินไม่รู้ชัดว่าโม่อวิ๋นผู้นี้เป็นใคร แต่เขากลับพบว่า ตั้งแต่โม่อวิ๋นลุกขึ้นยืนนั้น ก็เหมือนไฟนำทาง ในเวลาต่อมามีศิษย์ทำแบบทดสอบเสร็จตามมาไม่ขาดสาย


ที่น่าอึดอัดใจก็คือ ศิษย์เหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์จากห้องอื่น ส่วนระดับ ค. ห้องเก้าของเขานั้น ไม่กระดิกแม้สักนิดเดียว…



ตอนที่ 408 ไม่ได้ที่หนึ่งเป็นความอับอาย

โดย

ProjectZyphon

เมื่อเห็นว่าระดับค. ห้องเก้ายังไม่มีใครทดสอบเสร็จเลย บรรยากาศในสนามสอบก็แปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ ใบหน้าของอาจารย์และศิษย์ทุกคนระบายไปด้วยสีหน้าประหลาด


ท่าทางทั้งแปลกใจ ทั้งเย้ยหยัน ทั้งเห็นใจ และยังมีบ้างที่มีท่าทางเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้


ยังดีที่นี่เป็นสนามสอบ ไม่ถูกรบกวนได้ง่าย มิเช่นนั้นน่ากลัวคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมไปนานแล้ว


ไม่นานเวลาก็ผ่านไปสองชั่วยามกว่า


ระดับ ค. ห้องหนึ่งถึงห้องแปดมีศิษย์มากมายทำแบบทดสอบเสร็จอย่างไม่ขาดสาย ถึงขนาดที่ในสามห้องแรกเหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังทำการทดสอบไม่เสร็จ


กลับมาดูที่ระดับ ค. ห้องเก้า…


ยังไม่มีคนทำแบบทดสอบเสร็จสักคนเดียวเหมือนเดิม!


บรรยากาศยิ่งคลุมเครือขึ้นไปอีก ขนาดผู้คุมสอบหลักทั้งสามที่นั่งอยู่ตรงกลาง เวลานี้สีหน้ายังแปลกไปอย่างอดไม่ได้


แม้จะคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ระดับค. ห้องเก้าร่ำเรียนนั้น ไม่อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่โตมากนัก แต่ภาพชวนอึดอัดใจอย่างตอนนี้ยังคงทำให้ฝูงชนคาดไม่ถึงอยู่บ้าง


ในใจของหลายคนอดลอบถอนหายใจเพราะสงสารหลินสวินไม่ได้


อย่างไรเสีย ผลการทดสอบของระดับค. ห้องเก้าหากน่าเกลียดจนเกินไปย่อมส่งผลเสียต่อหลินสวิน ที่ต้องรู้ก็คือ ก่อนหน้านี้มีอาจารย์ไม่น้อยเห็นว่าวิธีการสอนของหลินสวินนั้นแหวกแนวแหกคอก หลุดจากตำราไม่เป็นไปตามแบบแผน คิดว่าหลินสวินเรียกร้องความสนใจจากฝูงชน


เมื่ออาจารย์เหล่านี้ได้ที พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสดูหมิ่นและโจมตีหลินสวินหลุดมือไปแน่!


เรียกได้ว่าเมื่อมีชื่อเสียงก็จะถูกวิจารณ์ได้ง่าย เหมือนไม้ใหญ่ล่อลม[1]


มีคนสรรเสริญ ก็มีคนอิจฉาริษยาและไม่พอใจ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


สามชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ศิษย์ทั้งหมดของระดับ ค. ห้องหนึ่งล้วนทำการทดสอบเสร็จแล้ว!


ระดับ ค. ห้องสองถึงแปดก็มีศิษย์ทำทดสอบเสร็จกันเกินครึ่ง มีเพียงส่วนหนึ่งที่ยังบากบั่นต่อไป


ส่วนระดับค. ห้องเก้านั้น…


สภาพก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงดังเดิม!


บรรยากาศในที่นั้นไม่ใช่คลุมเครือเสียแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นแปลกพิกล อาจารย์และศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนทำใจเชื่อได้ยาก พากันประหลาดใจ


นี่มันเลวร้ายไปแล้วกระมัง


หรือว่าผ่านการเรียนหนึ่งเดือนนี้ ศิษย์ระดับค. ห้องเก้านี้ไม่เพียงไม่พัฒนา กลับถดถอยลงไปไม่น้อย?


สภาพเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ อย่างไรเสียอาจารย์ระดับค. ห้องเก้าคนก่อนก็เป็นฟางจงเจียน ถูกเปลี่ยนเป็นหลินสวินกะทันหัน วิธีการสอนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ย่อมทำให้ศิษย์เหล่านี้ปรับตัวได้ยาก


อาจารย์หลายคนล้วนคิดเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งที่สายตาซึ่งมองไปยังหลินสวินฉายแววเห็นใจและสงสารอย่างอดไม่ได้


เฮ้อ อาจารย์เสี่ยวหลินผู้นี้ยังคง… เยาว์ไปนัก!


ส่วนศิษย์เหล่านั้นต่างฉงนสนเท่ห์ พวกเขาก็เคยได้ฟังหลินสวินสอนหนังสือ รู้สึกว่าได้ประโยชน์ไม่น้อย ทั้งได้เรียนรู้ศาสตร์สลักรอยวิญญาณลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วย


แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า ความสามารถของศิษย์ระดับค. ห้องเก้าจะย่ำแย่ปานนี้!


เป็นแบบนี้ได้อย่างไร


หรือว่าเจ้าพวกนั้นเป็นพวกไม่ได้เรื่องจริงๆ


หรือควรพูดว่า วิธีสอนของอาจารย์เสี่ยวหลินมีปัญหา?


‘อาจารย์เสี่ยวหลินอย่าท้อใจไป เพิ่งผ่านไปหนึ่งเดือนเท่านั้น ผลแพ้ชนะครั้งเดียวไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย’


ในโสตประสาทของหลินสวิน พลันมีเสียงสื่อจิตของอาจารย์หวงที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้น


เขาเหลียวมองไป ก็เห็นว่าอาจารย์หวงมองตนด้วยใบหน้าจริงใจ เต็มไปด้วยท่าทีปลอบใจตน


เมื่อดูสีหน้าของอาจารย์ท่านอื่นอีก ก็ไม่ต่างจากสีหน้าของอาจารย์หวงนัก


แน่นอน หลินสวินพบว่าในบรรดาสีหน้าที่มองมายังตนนั้น ก็มีสีหน้าที่ไม่ใส่ใจและยิ้มหยัน หรือถึงกับมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น


หลินสวินยิ้มให้ แล้วชักสายตากลับมา มองไปยังสนามสอบอีกครั้ง ก่อนสื่อจิตให้อาจารย์หวงว่า ‘ยังไม่หมดเวลาทดสอบ รอดูไปก่อนก็พอ’


อาจารย์หวงอึ้งไป ในใจอดขบขันไม่ได้ เจ้าเด็กคนนี้ดื้อดึงเสียจริง มาถึงตอนนี้แล้ว ระดับค. ห้องเก้าจะยังพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร


ที่จริงแล้วความคิดของผู้อื่นในที่นั้นก็ไม่ต่างจากความคิดของอาจารย์หวง คิดว่าระดับค. ห้องเก้าคงได้รั้งท้ายอีกแน่แล้ว กลายเป็นห้องเรียนที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งเก้าห้อง


ขนาดเสิ่นทั่วผู้เชื่อใจหลินสวินอย่างเต็มเปี่ยม เวลานี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ในใจเคลือบแคลงสงสัย ด้วยฝีมือของหลินสวิน ต่อให้ไม่สามารถสั่งสอนระดับค. ห้องเก้าให้ดีได้ ก็ไม่น่าเลวร้ายถึงขั้นนี้


นี่หากถูกฟางจงเจียนที่ไม่พอใจและต่อต้านหลินสวินแต่แรกเห็นเข้า น่ากลัวจะทำให้หลินสวินเสื่อมเสียชื่อเสียง!


“อาจารย์หวง”


ฉับพลันหลินสวินก็เอ่ยปาก มุมปากระบายรอยยิ้มบาง “ท่านต้องดูให้ดีนะ”


“อะไรหรือ”


อาจารย์หวงมึนงง


ทันใดนั้นเขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว นัยน์ตาเบิกกว้าง


ได้เห็นว่าในสนามสอบนั้น ศิษย์ระดับค. ห้องเก้าทั้งสามสิบคนกลับหลอมอาวุธที่ใช้ทดสอบเสร็จสิ้น แล้วลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกันนี้!


สวบ!


คนทั้งสามสิบคนขยับตัวพร้อมกัน การเคลื่อนไหวไม่ใช่เพียงแค่ใหญ่อย่างธรรมดา แต่เหมือนหารือกันไว้ก่อนแล้ว พาให้จิตใจของอาจารย์และศิษย์ทั้งโถงล้วนสั่นไหว สีหน้าพลันเปลี่ยนไป


นี่…


นี่มันเกิดอะไรขึ้น


ประเดี๋ยวเดียวก็ทำการทดสอบเสร็จกันหมดแล้วหรือ


ในชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของทั้งอาจารย์และลูกศิษย์เปลี่ยนเป็นตื่นตาตื่นใจถึงที่สุด ความรู้สึกนั้นเหมือนดั่งเห็นโคลนที่ฉาบไม่ติดผนังพลันแปลงร่างเป็นหยกงามไร้ราคี!


‘พวกเขา…ก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงกันเรียบร้อยแล้วหรือ’


อาจารย์หวงสื่อจิตอย่างตกใจระคนสงสัย


‘น่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็เพิ่งรู้ขอรับ’


หลินสวินตอบกลับพร้อมยิ้มบางๆ


เขาเพิ่งสังเกตเห็นจริงๆ เพราะเขาพบว่าศิษย์หลายคนสามารถทำการทดสอบเสร็จได้ในสามชั่วยามชัดๆ แต่ในช่วงขั้นตอนสุดท้าย ความเร็วในการหลอมอาวุธกลับช้าลงไปมาก


ถ้าแค่คนเดียวก็ช่างเถอะ แต่เมื่อศิษย์หลายคนมีสภาพเดียวกันนี้ในเวลาเดียวกัน ก็กลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ตั้งใจวางแผนมาแล้ว!


‘ต้องเป็นความคิดพิเรนทร์ของเจ้าอ้วนหลิวฮุยแน่’


หลินสวินกวาดสายตาออกไป ก็ดูออกว่าใครเป็น ‘ตัวการ’ ที่วางแผนนี้ เพราะบนใบหน้าอวบอ้วนของหลิวฮุยขณะนี้เต็มไปด้วยความได้ใจและหยิ่งผยอง เต็มไปด้วยท่าทางแก้แค้นเอาคืนและภูมิใจ


เวลานี้อาจารย์และศิษย์ที่อยู่ในที่นั้นโดยมากก็เริ่มมีปฏิกิริยา เดาออกว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ล้วนอดแสดงสีหน้าแปลกประหลาดไม่ได้


ศิษย์ระดับค. ห้องเก้าเจตนาร้ายกาจเสียจริง เห็นชัดว่าวางแผนเคลื่อนไหวใหญ่เพื่อโจมตีเหล่าคนที่ดูถูกพวกเขา


แต่จะว่าไป…


ศิษย์ทั้งสามสิบคนทำการทดสอบสำเร็จในเวลาเดียวกัน ภาพนี้น่าตื่นตาอย่างแท้จริง!


ที่ต้องรู้ก็คือ ในการทดสอบตอนนี้มีเพียงศิษย์ระดับค. ห้องหนึ่งที่ทำแบบทดสอบเสร็จทั้งห้อง!


นี่ก็หมายความว่า ไม่ว่าคะแนนท้ายที่สุดของการทดสอบจะเป็นอย่างไร ในแง่ความเร็วของการทดสอบ ระดับค. ห้องเก้าเป็นรองเพียงระดับค. ห้องหนึ่งเท่านั้น มีตำแหน่งเป็นที่สอง!


“เฮ้อ ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยนะ อาจารย์เสี่ยวหลินจัดแจงเช่นนี้ทำให้ระดับค. ห้องเก้าดึงดูดความสนใจได้”


อาจารย์หวงทอดถอนใจ เห็นชัดว่านึกว่าทั้งหมดนี้เป็นการบงการของหลินสวิน


หลินสวินอึ้งไป แต่ก็ไม่อธิบาย เพียงพูดพลางยิ้มว่า “หากพวกเขาไม่มีฝีมือเช่นนี้ ก็คงทำถึงขั้นนี้ไม่ได้หรอกขอรับ”


อาจารย์หวงตะลึง ในใจสับสน


คำพูดนี้ของหลินสวินเข้าใจได้ง่ายมากเกินไปแล้ว เห็นชัดเจนว่ากำลังบอกว่า ศิษย์ระดับค. ห้องเก้าเปลี่ยนไปจากเดิมในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ได้ร่ำเรียน ดังนั้นถึงได้สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ได้


นี่ย่อมพิสูจน์ได้อย่างหนักแน่นโดยอ้อมๆ ว่าวิธีการสอนที่หลินสวินถูกผู้อื่นตำหนินั้น ไม่ได้แหกคอกแหวกแนว ไม่ได้หลุดจากตำราไม่เป็นไปตามแบบแผน และยิ่งไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจจากฝูงชน!


กลับกัน เพียงระยะเวลาหนึ่งเดือน หลินสวินก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงราวเกิดใหม่เช่นนี้กับ ‘ศิษย์ชั้นเลว’ ระดับค. ห้องเก้าเหล่านั้น นี่เหมือนกับปาฏิหาริย์ สามารถปิดปากกลุ่มคนที่ไม่พอใจและริษยาหลินสวินพวกนั้นได้สนิท!


เวลาล่วงเลย การทดสอบก็ยังคงดำเนินต่อไป


เพียงแต่บรรยากาศนั้นต่างจากเมื่อครู่นี้ ศิษย์ระดับค. ห้องเก้าที่ทำแบบทดสอบเสร็จแต่ละคนต่างยิ้มแย้มด้วยความดีใจ เริงร่ามีชีวิตชีวา


เมื่อกลับมาดูอาจารย์และศิษย์ที่มาสังเกตการณ์เหล่านั้น ต่างทำหน้าไม่ถูก เกรงว่าคงคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวเหนือความคาดหมายเช่นนี้เกิดขึ้น


ส่วนสายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินก็ล้วนฉายแววเคารพอย่างลึกซึ้ง ความเปลี่ยนแปลงของระดับค. ห้องเก้านั้นใหญ่ยิ่ง ทำให้พวกเขาไม่ยอมรับไม่ได้


ศิษย์ระดับค. ห้องเก้าสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ต้องยกความดีความชอบใหญ่ยิ่งให้กับอาจารย์อย่างหลินสวินคนนี้!


จนกระทั่งการทดสอบจบลง หลังจากที่พวกเสิ่นทั่วผู้คุมสอบหลักทั้งสามประเมินคะแนนสุดท้ายของห้องเรียนทั้งเก้า สนามสอบก็อึกทึกนัก คลื่นเสียงดั่งกระแสน้ำที่กระเพื่อมไปทั่วโถงใหญ่


“เก่งเกินไปแล้ว ไม่อยากเชื่อเลย!”


“ข้าก็บอกแล้วไง ระดับค. ห้องเก้ามีอาจารย์เสี่ยวหลินอยู่ คิดจะไม่ทำใครตกตะลึงก็คงยาก”


“จริงด้วย ครั้งนี้ระดับค. ห้องเก้าโดดเด่นนัก ลบคำสบประมาทก่อนหน้านี้ ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จจนได้”


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าไม่มีอาจารย์เสี่ยวหลินก็ไม่มีวันนี้ของระดับค. ห้องเก้า!”


“อาจารย์เสี่ยวหลินหล่อเหลานัก แม่นางอย่างข้าหมายมั่นแล้วว่าจะจีบเขา!”


“อุบะ! คนอย่างอาจารย์เสี่ยวหลินไม่แน่หรอกว่าจะแลเจ้า แม่คนหน้าไม่อาย!”


เสียงฮือฮา เสียงสนทนาต่างดังขึ้นไม่หยุดหย่อนในเวลานี้


เหตุผลนั้นง่ายดาย เพราะคะแนนสุดท้ายของการทดสอบครั้งนี้ ระดับ ค. ห้องเก้ากระโดดขึ้นมาอยู่อันดับห้าเหมือนม้ามืด ปลดเปลื้องคำเหยียดยามว่า ‘ที่หนึ่งจากท้าย’ ที่พันธนาการอยู่บนตัวมาโดยตลอดได้อย่างราบรื่น


ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวเท่านั้น!


จากอันดับรั้งท้าย พุ่งสู่อันดับห้า!


การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ทำให้ทั้งโลกตื่นตะลึงได้แล้ว!


อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการทดสอบนักสลักวิญญาณ คิดจะพัฒนานั้นง่ายดายเสียที่ไหน


ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็รู้ดีว่าศิษย์ระดับค. ห้องเก้าล้วนเป็นพวกศิษย์ชั้นเลวที่ถูกมองว่ารับมือยาก แต่หลินสวินสามารถชี้นำ ‘ศิษย์ชั้นเลว’ พวกนี้จนพลิกสถานการณ์ได้ นี่ช่างน่าตกใจยิ่ง


เมื่อผ่านการทดสอบนี้ไป ก็เป็นการพิสูจน์ความสามารถในการสอนของหลินสวินอย่างหมดจด ได้รับเสียงชื่นชมและยกย่องจากทั้งโถง


ภายหน้าหากใครคิดจะโจมตีความสามารถในการสอนหนังสือของหลินสวิน คงไม่ง่ายดายเช่นนั้นอีกแล้ว


“อาจารย์เสี่ยวหลิน พวกเราทำได้แล้วขอรับ!”


ท่ามกลางความครึกครื้น หลิวฮุยวิ่งพลางหัวเราะร่ามาขอความดีความชอบจากหลินสวิน


“อ้อ”


หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ขมวดคิ้วแล้วถามกลับไปว่า “เจ้าไม่รู้สึกอับอายหรือ”


หลิวฮุยพลันอึ้งไป ท่าทางตะลึงค้าง อับอายหรือ หรือว่าคะแนนนี้ยังไม่ดีพอ


“เป็นศิษย์ของข้า ไม่ได้ที่หนึ่งถือเป็นความอับอาย”


คำพูดต่อมาของหลินสวินทำให้หลิวฮุยพลันทำตัวไม่ถูก ในใจเกิดความละอาย ที่แท้…ที่แท้อาจารย์เสี่ยวหลินก็คาดหวังกับศิษย์อย่างพวกเขาเอาไว้สูงเช่นนี้!


เมื่อหลิวฮุยนำความไปบอกต่อศิษย์คนอื่นในชั้น แต่ละคนต่างมีสีหน้าเหม่อลอย จากนั้นก็เผยสีหน้าละอายใจ


พวกเขาไม่เพียงไม่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจ กลับเกิดเป็นความภูมิใจในตนเองอย่างประหลาด


ที่แท้ในใจของอาจารย์เสี่ยวหลิน ศิษย์อย่างพวกเขาก็สามารถคว้าที่หนึ่งได้!


……………


[1] ไม้ใหญ่ล่อลม หมายถึงคนที่ยิ่งโดดเด่น ยิ่งมีชื่อเสียงหรือทรัพย์สินเงินทองมาก ก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นได้ง่าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)