Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 399-404
ตอนที่ 399 โผบินทะลุฟ้า
โดย
ProjectZyphon
สามวันต่อมา
เช้าตรู่ อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสินทั่ว ทั้งสามคนมาถึงภูเขาชำระจิตแทบจะในเวลาเดียวกัน และถูกหลินสวินเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นเข้าไปยังโถงใหญ่ชำระจิต
เมื่อพูดคุยกันได้ชั่วยามหนึ่ง คนใหญ่โตที่ได้รับการเคารพยกย่องและมีความสำคัญยิ่งทั้งสามก็ถูกหลินสวินออกมาส่งด้วยตัวเอง ยิ้มแย้มแล้วจากไป
และในวันนั้นเอง ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ และสำนักศึกษามฤคมรกตต่างประกาศข่าวใหญ่ข่าวแล้วข่าวเล่าออกสู่ภายนอก…
ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเชิญเป็นกรณีพิเศษให้หลินสวินเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ ได้รับค่าตอบแทนระดับปรมาจารย์สลักวิญญาณ!
สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิเชิญเป็นกรณีพิเศษให้หลินสวินเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดของสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือ!
สาขาสลักวิญญาณแห่งสำนักศึกษามฤคมรกตเชิญเป็นกรณีพิเศษให้หลินสวินเป็นอาจารย์ระดับสูง ได้รับค่าตอบแทนชั้นหนึ่งของสำนักศึกษามฤคมรกต!
ทันทีที่ข่าวทั้งสามนี้ประกาศออกมา ประหนึ่งหินก้อนเดียวก่อให้เกิดพันคลื่นกระเพื่อม ในชั่วเวลาอันสั้นก็ครึกโครมไปทั้งนครต้องห้าม ก่อให้เกิดความคลื่นลูกใหญ่
ใครจะคิดว่าหลินสวินจะถูกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามเชิญเป็นกรณีพิเศษในเวลาเดียวกัน ทั้งยังได้รับค่าตอบแทนสูงสุดจากสามกลุ่มอำนาจใหญ่!
นี่ช่างน่ากลัวไปแล้ว!
ที่ต้องรู้ก็คือ ผู้มีอำนาจใหญ่ทั้งสามที่มีฐานะเป็นผู้ประสบความสำเร็จโดดเด่นในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ มีอิทธิพลใหญ่ยิ่งในศาสตร์นี้ และต่างมีความสัมพันธ์เป็นคู่แข่งกัน
แต่ตอนนี้ หลินสวินเพียงคนเดียวกลับได้รับตำแหน่งปรมาจารย์สลักวิญญาณของสามกลุ่มอำนาจใหญ่ เกียรติยศขั้นนี้เรียกได้ว่าไม่เคยมีผู้ใดได้รับมาก่อนและจะไม่มีผู้ใดได้รับอีกในภายภาคหน้า!
อย่างน้อยในตอนนี้ ทั้งจักรวรรดิจื่อเย่าก็มีเพียงหลินสวินคนเดียวที่ได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษชั้นนี้!
“หลินสวินผู้นี้ใช้อะไรแลกเปลี่ยนกันแน่นะ ถึงได้ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามตอบตกลงให้เขาเข้าทั้งสามที่ นี่มันเกินธรรมดาไปแล้ว”
ผู้คนมากมายรู้สึกคาดไม่ถึง
แม้หลินสวินจะร้ายกาจ แต่อย่างไรก็ยังเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ทว่าเขาคนเดียวกลับได้รับการเชิญเป็นพิเศษโดยพร้อมเพรียงจากสามกลุ่มอำนาจใหญ่ที่ต่างเป็นคู่แข่งกัน นี่ช่างผิดธรรมชาติยิ่งนัก
“ต้องทำข้อตกลงอะไรกับหลินสวินเป็นแน่ มิเช่นนั้นด้วยฐานะและภูมิหลังของกลุ่มมหาอำนาจทั้งสาม จะตอบตกลงเช่นนี้ได้อย่างไร”
มีคนอนุมานว่าหลินสวินต้องเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษแบบนี้แน่
“ไม่ว่าอย่างไรหลินสวินก็โผบินทะลุฟ้าไปแล้ว ภายหลังใครคิดจะมีเรื่องกับเขา ก็ต้องดูว่าภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ และสำนักศึกษามฤคมรกตจะยินยอมหรือไม่!”
และแน่นอนว่าต้องมีผู้คนมากมายอิจฉาริษยา หลินสวินก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป ราวกับดาวหางที่พาดผ่านท้องฟ้าเหนือนครต้องห้าม เปล่งประกายสุกใส
“ฮ่าๆ ถ้าสามตระกูลหลินสายรองได้ยินข่าวนี้เข้าก็ไม่รู้ว่าจะคิดเช่นไร”
บนโลกนี้ไม่เคยขาดผู้นิยมชมชอบดูเรื่องสนุก ดังนั้นเมื่อได้รับข่าว ก็ล้วนอดดีใจกับความทุกข์ของคนอื่นมิได้ และเกิดความเห็นอกเห็นใจต่อสามตระกูลหลินสายรองเหล่านั้น
แน่นอนว่ามีคนริษยาเกลียดชังเช่นกัน ดังเช่นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์ผู้หนึ่ง เอ่ยคำพูดโหดร้ายออกมาว่า “หลินสวินอายุน้อยเช่นนี้ ต่อให้พรสวรรค์โดดเด่นแค่ไหนก็เป็นเพียงพรสวรรค์ เมื่อต้องสลักรอยวิญญาณอย่างแท้จริง ย่อมกลายเป็นตัวตลกใหญ่โตแน่!”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา พลันก่อให้เกิดเสียงเออออของนักสลักวิญญาณที่เดิมทีอิจฉาหลินสวินอยู่แล้ว โจมตีและสงสัยหลินสวินอย่างอื้ออึง
“ศาสตร์สลักรอยวิญญาณ หยั่งรู้แล้วหยั่งรู้อีก ศึกษาให้ถึงแก่น ทั้งต้องดูผลงานของตัวเอง ถ้าเพียงแต่หยั่งรู้ปริศนาลี้ลับของรอยสลักวิญญาณได้ แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง นี่จะต่างจากการสั่งการทหารแต่ในกระดาษตรงไหน”
“สิ่งที่พิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของปรมาจารย์สลักวิญญาณได้ดีที่สุดคืออะไร ผลงานไงเล่า! รอหลินสวินหลอมผลงานที่สร้างความอึกทึกครึกโครมไปทั่วหล้าได้ชิ้นหนึ่งเมื่อใด ถึงจะทำให้ผู้คนเชื่อถือได้ มิเช่นนั้นเขาก็เป็นได้แค่จำอวดที่มีชื่อเสียงไม่สมตัว เหมือนลิงสวมหมวกไม่ใช่คนจริงๆ!”
“น่าขัน! เพื่อปรมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ผู้หนึ่ง กลับให้เขาได้รับเกียรติยศที่ไม่ควรได้รับแต่แรก นี่ช่างเป็นเรื่องน่าขันที่สุดในใต้หล้า จะให้ผู้คนในใต้หล้าเชื่อไปได้อย่างไร”
คำโจมตีและแคลงใจเหล่านี้ก่อให้เกิดเสียงเซ็งแซ่มากมาย ทว่าก็มีผู้สนับสนุนหลินสวินหลายคนที่โต้กลับความคิดเห็นเหล่านี้
ในชั่วเวลาหนึ่ง เสียงเอะอะโวยวายฟังดูคึกครื้นนัก
นี่คือเรื่องปกติ เรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางมีเพียงเสียงชื่นชมด้านเดียวเสมอไป
ก็เหมือนกับนักเล่านิทานหนุ่มน้อยสักคนผู้มีนามว่าเซียวจิ่นอวี๋ที่อยู่ในโรงน้ำชาในนครต้องห้าม มีคนโจมตีเรื่องที่เขาเล่าว่าไม่เข้าที ไม่มีความสามารถมากพอ แต่ก็มีคนชื่นชอบและชื่นชมเขาว่าเรื่องราวมีสีสัน จะสนับสนุนอย่างเต็มที่แน่นอน
นี่ก็คือปากคนยากควบคุม
แต่เซียวจิ่นอวี๋ผู้นั้น อย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่ม เพียงชอบถูกยกยอ ไม่ชอบถูกโจมตี ดังนั้นทุกครั้งที่ถูกโจมตี เขาก็จะหม่นหมองหดหู่…
…
เสียงอึกทึกและความครึกโครมของโลกภายนอกย่อมไม่อาจมีอิทธิพลต่อหลินสวินได้
เมื่อส่งพวกอวี๋เป่ยโต้วจากไปแล้ว เขาก็ผ่อนคลายไปทั้งตัว จิตใจเกิดความยินดีปรีดา
การเจรจากับพวกอวี๋เป่ยโต้วครั้งนี้ราบรื่นนัก เขาเพียงตอบรับสัญญาบางส่วนไปเท่านั้น ก็ได้รับการตอบแทนที่คิดไม่ถึงกลับมา
อย่างแรก อวี๋เป่ยโต้วตอบรับแล้วว่า จะให้ฉู่เฟิงผู้ดูแลใหญ่แห่งภาคีนักสลักวิญญาณเมืองหมอกอำพรางย้ายมารับตำแหน่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ
นี่เท่ากับหลินสวินได้ตอบแทนความเมตตาของฉู่เฟิง
จากนั้น เฉิงจิ่งก็สัญญาจะดูแลเหล่าโม่ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิขณะนี้ เมื่อถึงเวลาสมควรจะให้หลินสวินรับเหล่าโม่ไป
คำสัญญานี้ ทำให้หลินสวินไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ของเหล่าโม่อีก
ส่วนเสิ่นทั่วก็รับปากว่า ยามหลินสวินควบตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษามฤคมรกต จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไปเรียนและฝึกวิชาปราณในสำนักศึกษามฤคมรกตได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมเท่ากับว่าหลินสวินผ่านการทดสอบระดับจักรวรรดิ ได้เป็นศิษย์ที่ถูกตอบรับเข้าเรียนเป็นพิเศษ สามารถฝึกปราณในสำนักศึกษามฤคมรกตได้เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น แต่สถานะของเขากลับสูงกว่าศิษย์หนึ่งขั้น หรือก็คือเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งของสาขาสลักวิญญาณ!
ผลตอบแทนอย่างแล้วอย่างเล่าเช่นนี้ จะไม่ให้หลินสวินไม่พอใจได้อย่างไร
ที่ต้องรู้คือ เพียงแค่ค่าตอบแทนที่สามกลุ่มอำนาจใหญ่มอบให้หลินสวินทุกปี รวมกันก็ได้ถึงสามล้านเหรียญทอง!
นี่เป็นเพียงค่าตอบแทนเท่านั้น ผลประโยชน์อื่นนั้นมากกว่านี้เสียอีก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับจาก ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ อย่างไรเสีย ปรมาจารย์สลักวิญญาณพิเศษวัยเยาว์ที่อายุยังไม่ทันสิบหกปีดีเช่นเขาก็ร้ายกาจมาก เรียกได้ว่ามีเพียงผู้เดียวไม่มีผู้อื่น
แน่นอนว่าหลินสวินก็ต้องตอบรับบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน
เช่น ภายในหนึ่งปี ต้องรับประกันว่าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ แล้วใช้สิ่งนี้พิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงในศาสตร์สลักวิญญาณของตน
หรืออย่างเช่น นอกจากปฏิบัติหน้าที่หลักของหลินสวินให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ และสำนักศึกษามฤคมรกตมีเรื่องต้องการให้หลินสวินช่วยเหลือ เพียงเป็นสิ่งที่หลินสวินทำได้ก็ต้องร่วมมืออย่างเต็มที่
และอย่างเช่น หากภายหลังหลินสวินหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ต้องพิจารณาให้พวกเขาสามกลุ่มอำนาจใหญ่ก่อน
นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงอื่นอีกบางประการ ซึ่งสำหรับหลินสวินแล้วล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
เบื้องหลังของทุกผลตอบแทนบนโลกนี้ ล้วนหมายถึงการจ่ายและแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ เมื่อคิดคำนวณโดยละเอียดแล้ว ไม่ว่าเป็นหลินสวินหรือกลุ่มผู้มีอำนาจทั้งสาม แท้จริงต่างไม่ขาดทุนเลย
พูดได้ว่านี่ถือเป็นสถานการณ์ที่ล้วนน่ายินดียิ่งสถานการณ์หนึ่ง
แน่นอน ภายหลังจะรักษาความสัมพันธ์เช่นนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูความสามารถของหลินสวินแล้ว
“ต่อไป ข้าชักอยากเห็นว่าสายตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุอย่างพวกเจ้า จะเอาอะไรมาต่อกรกับข้า!”
สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สีหน้าหลินสวินก็กลับมานิ่งสงบ
…
“นายน้อย นี่เป็นบัญชีรายรับรายจ่ายเดือนนี้ของภูเขาชำระจิตของพวกเราขอรับ”
“อ่านให้ข้าฟังที”
“รายรับทั้งหมดหนึ่งล้านเก้าแสนสามหมื่นเหรียญทอง จ่ายออกไปเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นเหรียญทอง รายรับจริงหนึ่งล้านหนึ่งแสนหกหมื่นเหรียญทองขอรับ”
“อืม”
“นายน้อยขอรับ พญาแร้งคิดจะใช้เงินก้อนหนึ่ง…”
“เรื่องพวกนี้ไม่ต้องถามข้าแล้ว ทั้งหมดให้พญาแร้งไปจัดการ ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”
“นายน้อย ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้นำกิจการทั้งหมดที่อยู่ใต้การควบคุมส่งมอบให้ภูเขาชำระจิตของพวกเราแล้ว นี่ก็หมายความว่า รายได้ของพวกเราในภายหน้า จะต้องแบ่งออกไปส่วนหนึ่งเพื่อเลี้ยงดูคนในสายแสงอุดรขอรับ”
“นี่เป็นเรื่องดี ลุงจง เรื่องนี้ให้ท่านไปจัดการก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าละเลยพวกเขา แต่ให้ท้ายมากไปก็ไม่ได้เช่นกัน มาตรฐานในการดำเนินเรื่องนี้ ท่านก็ควบคุมเอาเอง”
“นายน้อย ยังมี…”
“นายน้อย…”
ในโถงใหญ่ชำระจิต หลินจงรายงานเรื่องแล้วเรื่องเล่าอย่างรวดเร็ว ทุกเรื่องล้วนต้องได้รับความเห็นและความยินยอมจากหลินสวิน
นี่ทำให้หลินสวินอดปวดหัวไม่ได้
เมื่อภูเขาชำระจิตขยับขยายขึ้น อำนาจก็มีมากตาม เรื่องราวต่างๆ ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ยังผลให้หลินสวินไม่อาจพักผ่อนได้
แม่ว่าตอนนี้ยังมีความช่วยเหลือจากพวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอ หลินจง และหลินเสวี่ยเฟิง!
แต่เห็นชัดว่าภูเขาชำระจิตรุ่งเรืองรวดเร็วไปแล้ว แม้ได้พวกพญาแร้งช่วยเหลือก็ยังกินแรงไม่น้อย
ต้องรีบหาผู้มีความสามารถให้มากขึ้นเสียแล้ว!
นี่เป็นความรู้สึกที่รุนแรงที่สุดในตอนนี้ของหลินสวิน ขาดคน ขาดคนมีประโยชน์!
ถ้าอิงตามการพัฒนาต่อเนื่องเช่นนี้ อย่าว่าแต่ฝึกปราณเลย ขนาดหลินสวินจะรับตำแหน่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ และสำนักศึกษามฤคมรกต ก็ล้วนหาเวลาและพลังไม่ได้
ที่ทำให้หลินสวินจนใจถึงที่สุดก็คือ พลังปราณของเขาเต็มขั้นในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางแล้ว แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังหาเวลาไปปิดด่านที่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ไม่ได้เสียที
นี่เทียบได้กับตรงหน้ามีภูเขางดงามอยู่ลูกหนึ่ง แต่ทำได้เพียงมองดู ไม่มีเวลาไปปีนป่ายหรือขุดค้น ความรู้สึกเช่นนั้นอย่าให้พูดเลยว่าอับจนแค่ไหน
ราวกับได้ยินเสียงที่อยู่ในใจของหลินสวิน ในบ่ายวันนั้นหลินเสวี่ยเฟิงก็พาบุรุษวัยกลางคนหลายคนมาเยี่ยมเยียนหลินสวินอย่างตื่นเต้น
เขาแนะนำโดยคร่าว บุรุษวัยกลางคนเหล่านี้ล้วนเป็นเหล่าลุงและอาของหลินเสวี่ยเฟิง เดิมก็ดูแลอำนาจในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรอยู่ก่อนแล้ว มีทั้งพลังและความสามารถ
ก่อนพวกเขามายังได้รับการมอบหมายจากหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหลินไหวหย่วน ให้มารับใช้หลินสวินอย่างถวายชีวิต
หลินสวินเมื่อได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ก็ยินดียิ่ง รีบให้หลินจงจัดที่ทางให้อาและลุงร่วมตระกูลเหล่านี้
จากนั้นหลินสวินก็ไปหาพญาแร้ง สั่งการให้เขานำเรื่องที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึงมอบหมายให้อาและลุงร่วมตระกูลเหล่านั้นแบ่งเบาภาระ
พญาแร้งย่อมไม่ประหลาดใจกับสิ่งนี้ เพียงแต่เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้เข้า สีหน้าเขากลับแปลกไป หัวเราะพลางพูดว่า “หลินไหวหย่วนผู้นี้เป็นคนฉลาดมองการณ์ไกล ปัญญาหลักแหลมคนหนึ่งทีเดียว เขาเลือกเวลานี้ส่งคนมาช่วยเหลือเจ้า ไม่ช้าไม่เร็ว เวลาเหมาะเจาะ ควบคุมจังหวะเวลาได้อย่างเฉียบคมแม่นยำ”
หลินสวินอึ้งไป พูดขึ้นราวกับกำลังขบคิด “พูดเช่นนี้ ถ้าสามารถเชิญท่านอาไหวหย่วนมาที่ภูเขาชำระจิต อาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้”
พญาแร้งหัวเราะพลางส่ายหัว “คนอื่นน่ะมาได้ แต่หากเขามาแล้วก็จะเป็นการล่วงละเมิด บนภูเขาชำระจิตในเวลานี้ ทุกที่มีแต่ลูกหลานตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ถ้าเขามาคุมอำนาจไว้ส่วนหนึ่ง ก็จะขัดแย้งกับอำนาจที่เจ้าถือไว้โดยง่าย จะเกิดเป็นความเข้าใจผิดและความวุ่นวายจำพวก ‘ฮุบอำนาจแย่งตำแหน่ง’ เอาได้ ดังนั้นข้าเดาว่า เมื่อเจ้าได้ครอบครองอำนาจใหญ่โดยแท้จริง ฐานะมั่นคงไม่มีผู้ใดมาสั่นคลอนแล้ว ท่านอาผู้นี้ของเจ้าถึงจะมาได้อย่างสบายใจ”
หลินสวินหรี่ตาลง ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าการวิเคราะห์ของพญาแร้งแม่นยำลึกซึ้งตรงประเด็น ทำให้เขาไม่คล้อยตามไม่ได้
ตอนที่ 400 กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
โดย
ProjectZyphon
“จริงสิ เจ้าจะไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกตเมื่อไร”
พญาแร้งถามขึ้นฉับพลัน
“กำหนดไว้ว่าอีกสิบวัน” หลินสวินเอ่ย
การไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกตครั้งนี้ หลินสวินไม่เพียงต้องรับหน้าที่อาจารย์ สอนวิชาในศาสตร์สลักวิญญาณบางวิชา ยังต้องรับภาระงานของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิด้วย ย่อมต้องยุ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่
“ภูเขาชำระจิตขณะนี้รุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ธุระทุกอย่างมอบให้พวกเราจัดการก็พอแล้ว เจ้ารีบจดจ่อกับการไปรับตำแหน่งเถอะ”
พญาแร้งพึมพำ “แต่เจ้าต้องระมัดระวังไว้หน่อย ออกจากภูเขาชำระจิตแล้ว จูเหล่าซานกับหลินจงไม่อยู่ข้างกาย ถ้าประสบเรื่องยุ่งยากเข้าคงรับมือได้ยาก”
หลินสวินยิ้มพลางพูดว่า “นี่ย่อมแน่นอน”
ในความคิดของเขา แม้สถานที่อย่างสำนักศึกษามฤคมรกตจะอันตรายแค่ไหน ก็ไม่มีทางยอมให้ชีวิตของตนถูกคุกคามแน่
แน่นอนว่าการปลุกปั่นกับเรื่องวุ่นวายบางเรื่องย่อมหลีกหนีได้ยาก
หลินสวินได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว
เพียงแต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเสมอ ค่ำวันนั้นสืออวี่ก็มาเยือนกะทันหัน นำข่าวร้ายเรื่องหนึ่งมาบอกหลินสวิน
“เจ้าต้องระวังตัวไว้ ข้าได้ข่าวมาว่าตระกูลหลินสายรองอย่างธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุถูกบีบจนกลายเป็นหมาจนตรอก เริ่มขอให้คนนอกที่แข็งแกร่งช่วยลงมือแล้ว!”
ใบหน้าของสืออวี่แสดงสีหน้าหนักใจ “ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด อำนาจภายนอกเหล่านี้ก็คือผู้ร้ายที่เคยแบ่งฮุบสมบัติตระกูลหลินของพวกเจ้าไปแต่แรก!”
ในใจของหลินสวินเย็นเยียบ “พวกเขาเป็นใคร”
“ตระกูลจั่วกับตระกูลฉิน” สืออวี่กล่าว
นัยน์ตาหลินสวินพลันหรี่ลง ตระกูลใหญ่สองตระกูลนี้ ล้วนถูกจัดอยู่ในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง!
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวพันไปถึงสองตระกูลใหญ่ในคราวเดียว” สืออวี่ขมวดคิ้ว “ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ก็คงไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นเร็วเกินไป พาให้สถานการณ์พลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา”
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอยู่ดี”
หลินสวินสูดลมหายใจลึก ดวงตาสีดำมีแต่ความสงบนิ่ง “ได้รู้ว่าคนร้ายที่ช่วงชิงสมบัติตระกูลหลินของข้าไปจนหมดในตอนนั้นเป็นใครก็ทำให้ข้าพอใจแล้ว อย่างน้อยตัวข้าก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่า ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและตระกูลฉินจะทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นี้ได้”
“เฮอะ อย่าว่าแต่สองตระกูลนั้นเลย ในนครต้องห้ามแห่งนี้ผู้มีอำนาจหน้าไหนบ้างไม่โหดเหี้ยมโลภมาก”
สืออวี่ยิ้มหยัน เขาเติบโตในอัครการค้ามาแต่อ้อนแต่ออก รู้ซึ้งถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้มีอำนาจพวกนั้นดีที่สุด
“พูดเช่นนี้ พวกเขาคงเตรียมการช่วยสามตระกูลรองโต้กลับแล้วสินะ” หลินสวินเอ่ยถาม
“เปล่า จากข่าวที่ข้าได้มา พวกเขาไม่กล้าออกหน้าต่อกรกับภูเขาชำระจิตหรอก”
สืออวี่ส่ายหัว “อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็เป็นผู้มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของนครต้องห้าม กิตติศัพท์โดดเด่นราวอาทิตย์เที่ยงวัน ใครจะกล้ามีเรื่องกับเจ้าซึ่งหน้าตอนนี้เล่า”
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ “คาดการณ์ได้เลยว่าพวกเขาต้องแอบลอบทำอะไรบางอย่างในที่ลับกับเจ้า ทวนในที่แจ้งหลบง่าย แต่ธนูในที่มืดป้องกันยาก นี่สิกลับยิ่งอันตรายกว่า”
หลินสวินใคร่ครวญแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวข้าก็ไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษามฤคมรกต บนภูเขาชำระจิตยังมีพวกจูเหล่าซานและหลินจงรักษาการณ์อยู่ เพียงระวังหน่อยก็ไม่น่าถูกโจมตีถึงแก่ชีวิตโดยไม่คาดฝันหรอก”
สืออวี่ส่ายหัวอีกครั้ง “ตามข่าวที่ข้าได้มา หากตระกูลจั่วกับตระกูลฉินจะลงมือ ย่อมเป็นที่สำนักศึกษามฤคมรกตแน่!”
“อะไรกัน” หลินสวินแปลกใจ
“เหอะๆ ไม่ต้องแปลกใจเลย ในสำนักศึกษามฤคมรกตมีผู้คนมากหน้าหลายตาปะปนกันไปหมด ผู้เก่งกล้าที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมาจากกลุ่มอำนาจชั้นยอดในนครต้องห้าม ตระกูลจั่วและฉินเองก็ไม่เว้น”
สืออวี่หัวเราะเบาๆ “แต่ก็เหมือนที่เจ้าพูด เพียงระวังตัวหน่อย ไม่ให้พวกเขาฉวยโอกาสได้ ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็ไม่มีใครกล้าจงใจทำร้ายเจ้า อย่างไรเสียสำนักศึกษามฤคมรกตก็เป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ! ขนาดราชวงศ์ยังต้องให้ความเคารพอยู่บ้าง ตระกูลทรงอิทธิพลพวกนั้นคงไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานในนั้นหรอก”
พูดถึงตรงนี้สืออวี่ก็เตือนอย่างจริงจัง “ขอเพียงความสามารถของเจ้ายิ่งโดดเด่น ยิ่งถูกจับตามองมากขึ้นเท่าไร สถานการณ์ก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้นเท่านั้น จะทำตัวราบเรียบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ได้แล้ว ยามที่ควรแสดงความสามารถของตนจะมามัวออมมือไม่ได้เด็ดขาด”
หลินสวินพลันหัวเราะขึ้น “ที่ข้าสร้างเรื่องไว้ที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเมื่อหลายวันก่อนยังไม่เด่นพออีกหรือ”
สืออวี่นิ่งอึ้งไป พลันเอ่ยอย่างโมโห “ข้าลืมไปเลย เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ตั้งแต่เข้านครต้องห้ามมาก็ไม่เคยทำตัวราบเรียบเลยนี่”
สนทนากันอีกครู่หนึ่ง หลินสวินถึงเพิ่งรู้ว่าพวกสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีนั้นเริ่มเรียนกันแล้ว ตอนนี้กำลังฝึกปราณที่สำนักศึกษามฤคมรกต
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ กลุ่มศิษย์ใหม่อย่างพวกสืออวี่ อีกสามวันจะถูกอาจารย์ของสำนักศึกษามฤคมรกตพาไปยังสถานที่โหดร้ายน่ากลัวแห่งหนึ่งในจักรวรรดินามว่า ‘แดนสังหารวิญญาณ’ เพื่อดำเนินการทดสอบฝึกฝนเป็นเวลาสามเดือน
หรือพูดได้ว่า เมื่อหลินสวินเข้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกต อย่างน้อยในสามเดือนก็ไม่มีโอกาสพบหน้าสหายเหล่านี้
…
สำนักศึกษามฤคมรกตตั้งอยู่ชานเมืองฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิ สร้างขึ้นบนภูเขาห่างไกลลูกหนึ่งในบรรดายอดเขาสลับซับซ้อน กินพื้นที่หลายพันหมู่ ขนาดใหญ่โตมโหฬารราวกับเมืองย่อมๆ เมืองหนึ่ง
สิ่งก่อสร้างภายในสำนักศึกษามฤคมรกตล้วนเก่าแก่โบราณ เรียงรายเป็นระเบียบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา
สำนักศึกษาตั้งตระหง่านกลางภูเขาลึกห่างไกลความอึกทึกของโลกมนุษย์ ราวกับสวนท้อที่อยู่นอกโลก เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกปราณในใจของผู้ฝึกปราณทุกคนในจักรวรรดิ
ความจริงแล้วฐานะของสำนักศึกษามฤคมรกตในจักรวรรดินั้นสามารถพูดได้ว่าเกินธรรมดา ไม่เพียงมีอำนาจยิ่งใหญ่และภูมิหลังแข็งแกร่งเท่านั้น เพราะหลายพันปีมานี้สำนักศึกษามฤคมรกตได้บ่มเพาะผู้มีความสามารถที่เป็นเสาหลักโดดเด่นยิ่งรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้แก่จักรวรรดิ
ผู้มีความสามารถเหล่านี้หากไม่เข้ากองทัพจักรวรรดิ ก็เข้าราชสำนัก ไม่ก็กระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศ สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่เพื่อความรุ่งเรืองของจักรวรรดิ
สามารถพูดได้อย่างไม่เกินเลยว่า สำนักศึกษามฤคมรกตเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้มีความสามารถมากมายไม่ขาดสาย ผู้กล้าแน่นขนัดราวผืนเมฆ เพียงเลือกออกมาสักคนหนึ่ง ก็ล้วนขนานนามได้ว่าเป็นคนชั้นยอดของรุ่นเดียวกัน
เมื่อผู้กล้าเหล่านี้รุ่งเรืองเติบโตขึ้น ไม่กลายเป็นเจ้าครองดินแดนสักฝั่งหนึ่ง ก็เป็นผู้โดดเด่นแห่งยุคสมัย ไม่ก็เป็นผู้มีพลังมหาศาลที่แข็งแกร่งราวภูผากลางกระแสน้ำเชี่ยวในโลกา
พวกเขาอาจมีพื้นเพจากกลุ่มอำนาจที่ต่างกันไป แต่ทุกคนล้วนมีฐานะที่เหมือนกันฐานะหนึ่ง ก็คือศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกต!
นี่ก็คือสาเหตุที่แท้จริงของความพิเศษเหนือธรรมดาทางฐานะของสำนักศึกษามฤคมรกต
รูปกวางสีมรกตสง่างามที่ประทับบนเหรียญของจักรวรรดิในปัจจุบัน ก็เป็นตัวแทนของสำนักศึกษามฤคมรกต!
เกียรติยศยิ่งใหญ่ขั้นนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าสำนักศึกษามฤคมรกตมีตำแหน่งไม่ธรรมดาเพียงใดในจักรวรรดิจื่อเย่า
เช้าวันนี้ ฟ้าเพิ่งสาง
เกี้ยวสมบัติงามวิจิตรคันหนึ่งพาหลินสวินไปยังชานเมืองฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิ เคลื่อนไหวเชื่องช้าเข้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกตที่อยู่ในภูเขาลึก
เมื่อลงจากเกี้ยวสมบัติ ประตูใหญ่ที่สร้างจากหินแร่สีเขียวโบราณสูงสามจั้ง กว้างสิบจั้งบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา
ธรรมดามาก
นี่คือความประทับใจแรกของหลินสวิน เขาไม่คิดเลยว่า ประตูใหญ่ของสำนักศึกษามฤคมรกตที่เป็นถึงสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของโลกกลับเรียบง่ายปานนี้
บนยอดประตูใหญ่ถึงกับมีตะไคร่เขียวขึ้นเป็นลายพร้อย
ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า ท่ามกลางตะไคร่ที่ปกคลุมซ้อนทับกันอยู่นั้น แท้จริงแล้วมีรอยอักษรเก่าแก่หยาบกระด้างเข้มแข็งอยู่
เป็นและตาย เหลือบแลด้วยสายตาเย็นชา ผู้ฝึกตน ต้องก้าวไปข้างหน้า!
ใจหลินสวินพลันสะท้านขึ้นมา ประโยคนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่กินความรุ่มรวยว่าเพื่อการฝึกตนแล้ว อย่ากลัวความเป็นตาย ท้าทายโอหังต่อใต้หล้า
“นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าสำนักศึกษาคนแรกทิ้งไว้”
เสียงอบอุ่นจริงใจเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เสิ่นทั่วมายืนรออยู่ที่ข้างประตูใหญ่อยู่ก่อนแล้ว มองดูหลินสวินพร้อมรอยยิ้ม
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสาขาสลักวิญญาณ” เสิ่นทั่วเอ่ยขึ้น
หลินสวินสั่งให้จูเหล่าซานและหลินจงที่ขับเกี้ยวสมบัติมาจากไป แล้วจึงตามเสิ่นทั่วเดินเข้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกต
เช้าตรู่พอดี สำนักศึกษามฤคมรกตเต็มไปด้วยไอหมอกลอยสูง สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬารเรียงรายเป็นระเบียบ โผล่พ้นไอหมอกคลุมเครือราวภาพฝัน
สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นทั้งเก่าแก่ ใหญ่โตมโหฬาร อีกทั้งยังมีมากมาย เมื่อทอดสายตาออกไปถึงกับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ระหว่างทาง เสิ่นทั่วแนะนำข้อมูลพื้นฐานของสำนักศึกษามฤคมรกตให้หลินสวินฟังอย่างใจเย็น
เดิมทีสำนักศึกษามฤคมรกตแบ่งออกเป็นห้าสาขาใหญ่ ได้แก่ สาขามังกรเร้น สาขายุทธ์วิถี สาขายอดยุทธศาสตร์ สาขาสลักวิญญาณและสาขากลยุทธ์เทพ
ศิษย์แรกเข้าสำนักศึกษามฤคมรกต ล้วนต้องฝึกในสาขามังกรเร้น ฝึกตนเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักที่นี่
ผู้มีความสามารถโดดเด่นสามารถผ่านการทดสอบที่จะมีขึ้นปีละครั้ง จะถูกคัดเลือกเข้าไปในสาขายุทธ์วิถี
สาขายุทธ์วิถี หรือถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘สาขาอัจฉริยะ’ หมายความว่าผู้ที่สามารถเข้าสาขายุทธ์วิถีได้นั้น ล้วนเป็นอัจฉริยะที่สำนักศึกษาคัดสรร!
อัจฉริยะเช่นนี้ไม่สามารถเทียบกับคนทั่วไปที่พบเห็นดาษดื่นในท้องถนน แต่เป็นอัจฉริยะโดยแท้ที่เลือกสรรมาจากผู้เก่งกล้าที่มีพรสวรรค์โดดเด่น มีความสามารถเกินธรรมดากลุ่มหนึ่ง!
เช่นฮวาอู๋โยวที่หลินสวินเคยประลงด้วยก่อนหน้านี้ ก็เป็นศิษย์สาขายุทธ์วิถีผู้หนึ่ง
ส่วนสาขายอดยุทธศาสตร์นั้น สูงชั้นกว่าสาขายุทธ์วิถีขั้นหนึ่ง เป็นที่ที่ศิษย์ผู้ครอบครองปราณระดับหยั่งสัจจะฝึกปรือฝีมือ ที่นั่นเป็นสถานที่สำคัญแกนกลางของสำนักศึกษามฤคมรกต ผู้ที่เข้าไปได้มีจำนวนเพียงนับนิ้วได้ ล้วนเป็นผู้กล้าที่มีพลังมหาศาล
ด้านสาขาสลักวิญญาณ แค่ชื่อก็บ่งบอกความหมาย เป็นที่ที่เอาไว้ฝึกฝนศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณ
ส่วนสาขากลยุทธ์เทพนั้น เป็นที่ที่สอนศิษย์จัดวางกองทัพและความสามารถทางการทหาร
โดยทั่วไป ศิษย์ที่สนใจศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ล้วนสามารถมาเรียนควบวิชาสลักวิญญาณที่สาขาสลักวิญญาณได้
สาขากลยุทธ์เทพเองก็เช่นกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร สาขามังกรเร้นก็เป็นสถานที่หลักสำหรับการฝึกปราณและฝึกยุทธ์ของศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกต
สำหรับสาขายุทธ์วิถีและสาขายอดยุทธศาสตร์นั้น ศิษย์ทั่วไปน่ากลัวจะไม่มีคุณสมบัติเข้าไปฝึกได้ยันเรียนจบ
นี่ก็ช่วยไม่ได้ ด้วยเพราะเงื่อนไขในการคัดเลือกนั้นเข้มงวดเกินไปนั่นเอง
…
นอกจากห้าสาขาใหญ่นี้ สำนักศึกษามฤคมรกตยังแบ่งพื้นที่ออกเป็นหอเก็บตำรา หอเก็บโอสถเป็นต้น เพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นในการฝึกฝนของศิษย์
เสิ่นทั่วแนะนำอย่างเข้าใจง่าย ทำให้หลินสวินพอจะเข้าใจภาพรวมคร่าวๆ ของสำนักมฤคมรกต ส่วนรายละเอียดแน่ชัดนั้น อย่างไรเขาก็ต้องไปรับรู้และสัมผัสด้วยตัวเอง
“หืม นั่นอะไรหรือขอรับ”
ฉับพลัน ดวงตาของหลินสวินชำเลืองมองไปโดยไม่ตั้งใจ เห็นว่าที่ไกลลิบๆ มีป้ายศิลาทองอร่ามลอยขึ้นกลางควันเมฆหนาแน่น สูงหลายสิบจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ดูสูงใหญ่สะดุดตา
“นั่นคือรายชื่อกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ศิษย์ระดับมหาสมุทรวิญญาณในสำนักศึกษานี้ มีเพียงผู้มีความสามารถด้านการต่อสู้อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกเท่านั้นถึงจะปรากฏชื่อบนนั้นได้”
เสินทั่วหยุดเดินแล้วอธิบายออกมา
กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ!
ในใจหลินสวินพลันเกิดความสนใจ นี่ไม่ได้หมายความว่า หนึ่งร้อยชื่อที่ปรากฏบนแท่นศิลานั้น คือผู้แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งร้อยคนในหมู่ศิษย์ระดับมหาสมุทรวิญญาณของสำนักศึกษามฤคมรกตหรอกหรือ
ตอนที่ 401 ระดับ ค. ห้องเก้า
โดย
ProjectZyphon
เสิ่นทั่วกล่าวเสริม “ทุกปีสำนักศึกษาจะจัดการประลองใหญ่ขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วใช้สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงรายชื่อที่อยู่ในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ แต่ลำดับบนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ส่วนใหญ่ถูกยึดครองด้วยยอดฝีมือจากสาขายุทธ์วิถี”
หลินสวินครุ่นคิด นี่เป็นเรื่องปกติ ศิษย์สาขามังกรเร้นย่อมไม่มีทางสู้กับยอดฝีมือของสาขายุทธ์วิถีได้อยู่แล้ว
ส่วนศิษย์สาขายอดยุทธศาสตร์นั้น ทุกคนต่างมีปราณระดับหยั่งสัจจะ ล้ำเกินขอบเขตของระดับมหาสมุทรวิญญาณแต่แรกแล้ว ย่อมไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมได้
“ด้วยฐานะของข้าในตอนนี้ สามารถเข้าร่วมการประลองใหญ่เช่นนี้ได้หรือไม่” หลินสวินพลันถามขึ้น
เสิ่นทั่วอึ้งไป “ย่อมได้”
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่กี่เดือนก่อนหลินสวินสามารถเอาชนะฮวาอู๋โยวได้ในการโจมตีเดียว และฮวาอู๋โยวผู้นั้นก็เป็นศิษย์คนหนึ่งในสาขายุทธ์วิถี!
เมื่อคิดคำนวณเช่นนี้ เพียงอาศัยความสามารถในการต่อสู้ของหลินสวินตอนนี้ ดูท่า…จะสามารถแย่งอันดับบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณได้แล้วกระมัง
คิดถึงตรงนี้ขนาดเสิ่นทั่วยังอดพึมพำในใจออกมาไม่ได้ว่าวิปริต ในศาสตร์การสลักรอยวิญญาณก็แสดงให้เห็นพรสวรรค์ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว แต่หลินสวินผู้นี้ในด้านการฝึกยุทธ์ฝึกปราณก็ไม่ดูด้อยไปกว่ากัน ล้วนเรียกได้ว่าสะดุดตาโดดเด่นเหนือธรรมดา
คนร้ายกาจชั้นนี้ สอดส่ายสายตาไปทั่วสำนักศึกษามฤคมรกต คงหาได้ไม่กี่คน!
“ไปเถอะ”
เสิ่นทั่วพาหลินสวินเดินต่อไปข้างหน้า
ไม่นานนักก็เข้าไปในหมู่สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่เสียดฟ้า ต้นไม้ใบหญ้าเขียวครึ้ม สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นเก่าแก่หาใดเปรียบ ประทับไปด้วยร่องรอยด่างพร้อยของกาลเวลา
เมื่อแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งสาดส่อง ก็มีกลิ่นอายเงียบสงบน่าเกรงขาม
ที่นี่ก็คือสาขาสลักวิญญาณ
เสิ่นทั่วนำหลินสวินเข้าไปยังหนึ่งในหมู่อาคารนั้นก่อน ที่นี่คือสถานที่ที่เตรียมไว้ให้อาจารย์พำนัก
ครั้งนี้สำนักศึกษามฤคมรกตย่อมใช้ความพยายามไม่น้อยเพื่อรั้งหลินสวินไว้ ที่พำนักที่จัดให้หลินสวินเป็นห้องที่กว้างขวางใหญ่โตยิ่ง ในห้องประดับประดาอย่างประณีต ทุกที่ล้วนตกแต่งขึ้นอย่างพิเศษ สิ่งของต่างๆ ที่ควรมีก็ครบถ้วน
ในห้องนั้นได้ตระเตรียมชุดสีน้ำเงินเข้มสามชุดที่อาจารย์สวมใส่ ป้ายหยกเขียวที่แทนฐานะอาจารย์สาขาสลักวิญญาณชั้นหนึ่งแผ่นหนึ่ง รวมถึงกุญแจห้องโบราณหนึ่งดอกให้หลินสวินอยู่ก่อนแล้ว
“ในป้ายหยกนี้ยังมีความลี้ลับอีกนะ สามารถใช้บันทึกแต้มที่อาจารย์ได้รับ และแต้มนั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงเอามาแลกสิ่งของอย่างอาวุธวิญญาณ ยาสมุนไพรได้ เมื่อไปยืมตำราที่หอเก็บตำราก็ยังต้องจ่ายแต้มให้”
เสิ่นทั่วอธิบาย “หรือพูดได้ว่า ยิ่งสะสมแต้มเยอะเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสะดวกสบายและผลประโยชน์ในสำนักศึกษามากขึ้นเท่านั้น”
หลินสวินพลันรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าไม่เพียงแต่ศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกตเท่านั้น ขนาดอาจารย์ยังต้องแสวงหาและสะสมแต้มด้วย
นี่ทำให้หลินสวินเหม่อลอยคิดถึงค่ายกระหายเลือด ตอนที่อยู่ที่ค่ายกระหายเลือดก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ
“ในเมื่อเตรียมตัวประมาณหนึ่งแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปห้องเรียน”
เสิ่นทั่วพูดพลางพาหลินสวินที่เปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงินเข้มทั้งตัว เกล้ามวยผมไว้เหนือศีรษะเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์
“ตำแหน่งที่สำนักศึกษาจัดให้เจ้าครั้งนี้คืออาจารย์ชั้นหนึ่ง เจ้าจะรับหน้าที่สอนหนังสือห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า”
อิงตามสิ่งที่เสิ่นทั่วพูด ห้องเรียนในสาขาสลักวิญญาณนั้น แบ่งศิษย์ตามความสามารถในการสลักรอยวิญญาณที่มากน้อยแตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็นสามระดับ คือ ระดับ ก. ข. และ ค.
ห้องเรียนระดับ ก. มีขึ้นเพื่อศิษย์ที่มีคุณสมบัติเป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูง อาจารย์ที่สอนโดยทั่วไปล้วนเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ
อย่างเสิ่นทั่ว ตัวเขาเองแม้เป็นหัวหน้าอาจารย์ แต่เขายังควบสอนในห้องเรียนระดับ ก. ห้องหนึ่งอีกด้วย
ห้องเรียนระดับ ข. มีขึ้นเพื่อศิษย์ที่มีคุณสมบัติเป็นนักสลักวิญญาณชั้นกลาง
ส่วนห้องเรียนระดับ ค. นั้นมีขึ้นเพื่อศิษย์ที่มีคุณสมบัติเป็นนักสลักวิญญาณชั้นต้น
ที่หลินสวินต้องไปสอนก็คือศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้า
ที่ควรยกขึ้นมาพูดก็คือ คะแนนทดสอบของอาจารย์นั้นขึ้นอยู่กับคะแนนทดสอบของศิษย์ คะแนนทดสอบของศิษย์ยิ่งสูงเท่าไร คะแนนของอาจารย์ก็ยิ่งดีตาม แต้มสะสมที่ได้รับก็พลอยมากตามไปด้วย
พูดได้ว่า ถ้ารุ่งเรืองก็รุ่งเรืองตามกัน ถ้าเสียหายก็เสียหายไปด้วยกัน
…
ห้องเรียนระดับ ค. มีทั้งหมดเก้าห้อง กระจายอยู่ในตึกเล็กเก่าแก่สามชั้น
ทุกชั้นมีห้องเรียนสามห้อง แต่ละห้องมีศิษย์สามสิบคน
ห้องเรียนที่หลินสวินต้องสอนตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของชั้นหนึ่งตึกเล็ก บนกำแพงปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เขียวมันปลาบมากมาย ดูแล้ววังเวงนัก
“เหล่าศิษย์รอเจ้าไปสอนอยู่ ไปเถอะ”
เสิ่นทั่วพาหลินสวินมาถึงตรงนี้ก็หยุดเดิน
หลินสวินพยักหน้าแล้วก้าวเท้าขึ้นกำลังจะเข้าไป ทว่าฉับพลันกลับสัมผัสอะไรได้เข้า ดวงตามองไปทั่วทั้งตึกเล็ก ดวงตาสีดำฉายแววครุ่นคิด
และในชั่วพริบตานี้เองที่เขาสัมผัสได้ถึงดวงตาหลายคู่ซึ่งจับจ้องมาที่นี่ บ้างสงสัย บ้างเยาะหยัน บ้างตื่นเต้น หลากหลายยิ่งนัก
หลินสวินถอนสายตากลับมา เดินเข้าไปในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า
…
มองตามเงาร่างหลินสวินที่เดินเข้าไป สีหน้าเสิ่นทั่วกลับเจือแววแปลกประหลาด หยุดอยู่ที่เดิมไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจเสียงเบาแล้วหันกายจากมา
เขาไม่ได้เดินไปไกลนัก แต่หาสถานที่ลับตาคนมองไปยังห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าที่อยู่ไกลออกไป ราวกับกำลังรอคอยอะไรอยู่
“หึ เสียงร้องเก้ามังกรมีอะไรดีเด่นนัก ยังเป็นแค่เด็กน้อยอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งเท่านั้น ประสบการณ์การสอนก็ไม่มี พวกเจ้ากลับให้เขาไปสอนหนังสือห้องเรียนระดับค. ห้องเก้าแทนข้า นี่ไม่ยิ่งทำให้วุ่นวายขึ้นไปอีกหรือ”
ผู้สูงวัยใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่งไม่รู้ว่าเดินมาตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าถมึงทึง ร้องหึแล้วเอ่ยว่า “ข้าล่ะอยากเห็นนัก การสอนครั้งแรกเขาจะสร้างเรื่องตลกได้มากมายขนาดไหน อย่าให้ถูกศิษย์พวกนั้นไล่ออกมาจากห้องเรียนเชียวล่ะ”
น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความโกรธเกลียดและความสนุกบนความทุกข์ของผู้อื่น
เขามีนามว่าฟางจงเจียน เป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงมากประสบการณ์ผู้หนึ่ง เดิมทีห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าก็เป็นเขารับหน้าที่สอน
แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินโผล่มาฉกฉวยไป นี่ทำให้เขาไม่พอใจยิ่ง
“เหล่าฟาง สำนักศึกษาจัดหาอีกตำแหน่งหนึ่งให้เจ้า ตำแหน่งนั้นดีกว่าอาจารย์ไม่น้อย เจ้าอย่าได้พูดจาแดกดันเลย”
เสิ่นทั่วขมวดคิ้ว อย่าได้มองว่าฟางจงเจียนผู้นี้เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นสูงผู้หนึ่ง ประสบการณ์เขากลับมากมายนัก เป็นคนรุ่นเดียวกันกับเสิ่นทั่ว พาให้เสิ่นทั่วพูดอะไรไม่ได้มากนัก
“เหอะๆ เพื่อเชิญเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งก็ถีบหัวส่งข้า นี่อาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนแบบเขาอาจเป็นผู้มีฝีมือเกินธรรมดาในศาสตร์สลักรอยวิญญาณก็จริง แต่ตัวเขาตอนนี้กลับไม่เคยมีผลงานที่แท้จริงสักชิ้นเดียวมาพิสูจน์ความสามารถของตน!”
ฟางจงเจียนพูดอย่างไม่พอใจ “ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่มีประสบการณ์การสอนเลย ให้เขารับหน้าที่เป็นอาจารย์ ชัดเจนว่าเป็นการเอาคนไร้ความสามารถมาขัดขวางการเรียนรู้ของลูกศิษย์ ถ้าเกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น ผลลัพธ์นั้นใครจะรับผิดชอบได้กัน”
เสิ่นทั่วสีหน้านิ่งขรึม “เหล่าฟาง ระวังคำพูดด้วย!”
ฟางจงเจียนพูดฮึดฮัด “ได้ ข้าไม่พูดอะไรอีกแล้ว ก็รอดูว่าประเดี๋ยวเจ้าเด็กนี่จะอับอายอย่างไรก็แล้วกัน!”
เสิ่นทั่วมุ่นคิ้ว ในใจก็อดกังวลไม่ได้
เท่าที่เขารู้มา ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้านั้นเป็นห้องเรียนที่รับมือได้ยากที่สุดห้องหนึ่ง ถ้าคิดจะกลั่นแกล้งหลินสวิน น่ากลัวว่าชั้นเรียนแรกของหลินสวินคงถูกก่อเรื่องเสียจนน่าสลด อับอายต่อหน้าผู้คน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นทั่วหวังจะได้เห็น
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เป็นจริงอย่างที่ฟางจงเจียนกล่าวไว้ หลินสวินแม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งแล้ว ทั้งพรสวรรค์ยังโดดเด่น ชักนำเสียงร้องเก้ามังกรได้ แต่อย่างไรก็เพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ไม่เคยมีประสบการณ์การสอนสักครั้งเดียว
นี่ก็หมายความว่าหากหลินสวินทำผิดพลาดอะไรเข้าในชั้นเรียนแรก ย่อมก่อให้เกิดเรื่องตลกไม่น้อยแน่ ถึงกับสามารถทำให้เสียหน้า เชิดหน้าชูคอต่อหน้าศิษย์พวกนั้นอีกได้ยาก
นี่มันชักจะยุ่งยากเสียแล้ว
แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เสิ่นทั่วก็ได้แต่ภาวนาให้หลินสวินรับมือศิษย์เหล่านั้นได้ เดินออกมาจากชั้นเรียนแรกได้อย่างราบรื่น
“ลืมบอกไป เพราะการมาของหลินสวินในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือศิษย์ทั่วทั้งสาขาสลักวิญญาณ ต่างจับตาดูความเป็นไปของชั้นเรียนแรกของเขา
ฟางจงเจียนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นลอยๆ
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าเสิ่นทั่วเคร่งขรึม แล้วพูดว่า “เป็นเจ้าให้ทุกคนทำเช่นนี้หรือ จงใจขู่หลินสวินตั้งแต่วันแรกที่มารับตำแหน่งเลยหรือ”
ฟางจงเจียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ตอนนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าหลินสวินก็คือปรมาจารย์สลักวิญญาณที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ ข่าวเกี่ยวกับเขายังแพร่สะพัดไปในนครต้องห้ามถึงตอนนี้เลย ลองถามสิ ใครไม่อยากเห็นอัจฉริยะหนุ่มน้อยในคำร่ำลือผู้นี้บ้าง”
คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่ถ้อยคำของเขากลับคลุมเครือ เผยให้เห็นความประชดประชัน พาให้เสิ่นทั่วอดโมโหไม่ได้ “เหล่าฟาง เจ้าพูดเกินไปหน่อยแล้ว!”
“เกินไปหรือไม่ เรื่องราวก็เกิดขึ้นแล้ว พวกเราก็สงบใจดูเรื่องสนุกอยู่ตรงนี้เถอะ” ฟางจงเจียนหัวเราะเบาๆ
เสินทั่วถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่พูดอะไรอีก
ความจริงนั้นก็เป็นไปตามที่ฟางจงเจียนพูด เมื่อได้รู้ว่าวันนี้หลินสวินจะมายังสาขาสลักวิญญาณ ก็ดึงดูดสายตามากมายอย่างเงียบเชียบอยู่ก่อนแล้ว
ทุกสายตาล้วนรอดูว่าหลินสวิน ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่โดดเด่นที่สุดในนครต้องห้ามขณะนี้ จะปฏิบัติตัวอย่างไรในชั้นเรียนแรก
จะอับอายในท้ายที่สุด กลายเป็นตัวตลกตัวหนึ่ง หรือจะหยัดยืนไปได้อย่างราบรื่นกัน
ทุกคนล้วนรอคอยอยู่
…
ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้านั้นกว้างขวางยิ่งนัก โต๊ะเรียนสามสิบตัวเรียงอย่างเป็นระเบียบ ในโต๊ะเรียนมีเด็กหนุ่มเด็กสาววัยเบ่งบานกลุ่มหนึ่งนั่งหลังตรงอยู่
ทุกคนล้วนอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดสีขาวอ่อนแบบเดียวกัน แม้ไม่สามารถสังเกตอะไรได้จากการแต่งกาย
ทว่าเพียงดูท่าทีและสีหน้าที่พวกเขาแสดงออกมานั้น ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนี้ต้องล้วนเป็นผู้มีอันจะกินแน่นอน
ยิ่งไม่ขาดเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีพื้นเพไม่ธรรมดา ดูจากความเย่อหยิ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงออกมาทางสีหน้าของพวกเขาก็พอจะรู้ได้แล้ว
ตั้งแต่หลินสวินเข้ามาในนครต้องห้าม ก็ได้พบลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลมากมาย ดวงตาเฉียบแหลมขึ้นนานแล้ว จะดูเรื่องพวกนี้ไม่ออกได้อย่างไร
ยามหลินสวินประเมินศิษย์เหล่านั้น ฝ่ายหลังเองก็ประเมินหลินสวินเช่นกัน
สายตาเหล่านั้น บ้างเย่อหยิ่ง บ้างจองหอง บ้างสงสัย และบ้างประหลาดใจ ในชั่วเวลาหนึ่ง ห้องเรียนใหญ่โตก็เงียบเชียบหาใดเปรียบ
“ทุกท่าน…”
หลินสวินที่ยืนอยู่บนยกพื้นกำลังจะเริ่มแนะนำตัว ก็ถูกเสียงร้องหนึ่งขัดขึ้น
“เวรเอ๊ย เจ้าก็คือหลินสวินหรือ ดูแล้วก็ไม่เห็นโตกว่าพวกเรานี่หว่า! ขนยังไม่ยาวเลยมั้ง”
เสียงนี้ไร้มารยาทและสามหาวถึงที่สุด ทำให้ถ้อยคำที่หลินสวินเตรียมเอ่ยถูกดึงกลับไปในคออย่างฝืดเคือง
เสียงหัวเราะครืนพลันดังขึ้น
หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตามองออกไป ก็เห็นว่าที่นั่งริมหน้าต่างแถวที่สาม เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวอ้วนหูโตผู้หนึ่งกำลังกอดอก เชิดคางรั้น เหล่ตามาที่ตน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความล้อเลียน
ตอนที่ 402 เสื่อมเกียรติบัณฑิต
โดย
ProjectZyphon
เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่ว ใบหน้าของศิษย์ทุกคนต่างเผยความล้อเลียน
เสียงดังไปถึงนอกห้อง ฟางจงเจียนพลันหัวเราะ “ละครสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
เสิ่นทั่วกลับมุ่นคิ้ว
ในชั้นเรียน หลินสวินยืนเงียบอยู่ครู่แล้วพลันยิ้มน้อยๆ กล่าวต่อ “ยินดีที่ได้พบทุกคน ข้าชื่อหลินสวิน ต่อจากนี้ข้าก็คืออาจารย์วิชาสลักวิญญาณ…”
สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายราวกับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เหนือความคาดหมายของศิษย์หลายคน
เด็กอ้วนคนที่ตัดบทหลินสวินเมื่อครู่ร้องโห่อย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดพร่ำ อยากเป็นอาจารย์ของเรางั้นหรือ แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาก่อนสิ!”
“ใช่ อายุเจ้าก็ไม่ได้มากกว่าพวกเรา แม้บอกว่าผ่านการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว แต่ก็ยังเด็กอยู่ดี ไม่เคยมีประสบการณ์สอน พวกเรากลัวว่าจะถูกเจ้านำทางผิดๆ ซะมากกว่า”
สาวน้อยที่ใบหน้ามีกระหลายจุดโวยขึ้น ท่าทางดูฉุนเฉียวมาก
“ใช่ ขอดูความสามารถที่แท้จริงก่อนซิ ว่าเป็นจริงอย่างที่เล่าขานกันหรือไม่”
ศิษย์คนอื่นๆ ก็โห่ร้องขึ้นตาม
หลินสวินเลิกคิ้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าศิษย์เหล่านี้วางแผนกันมาก่อน ต้องการข่มขวัญเขาอย่างเห็นได้ชัด
แต่ควรรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรหลินสวินไม่ใช่คนที่ยอมอดทนเก็บกลั้นความโกรธอยู่แล้ว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือตัวเอง เขายิ่งปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นมุมปากของเขาจึงยกยิ้มเย็นเยียบ สายตากวาดมองรอบๆ สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มตัวอ้วนคนนั้น ก่อนที่ริมฝีปากจะพ่นคำออกมาเบาๆ ว่า “ขยะ!”
ทุกคนอึ้งงันไปหมด เบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ หลินสวินไม่ตอบโต้ก็แล้วไป บทจะตอบโต้ขึ้นมาก็เปิดปากด่ากันเลย!
ในสำนักศึกษามฤคมรกตแห่งนี้ มีอาจารย์คนไหนที่ด่าลูกศิษย์ตัวเองว่าเป็นขยะในชั้นเรียนแบบนี้บ้าง
นี่มันจองหองเกินไปแล้วหรือไม่
แม้แต่ฟางจงเจียนยังชะงักงัน เด็กคนนี้ทำไม… ทำไม… ถึงไร้มารยาทแบบนี้ ไม่สนใจภาพลักษณ์อาจารย์ของตัวเองสักนิดหรือ แบบนี้ใช้ไม่ได้เลย!
ต่อมาเขาก็พลันยิ้มเยาะ “เสิ่นทั่ว นี่ก็คืออาจารย์พิเศษที่เจ้าเชิญมาหรือ ถูกศิษย์ตั้งข้อสงสัยสองประโยคก็ด่ากันเแล้ว? ช่างเสื่อมเกียรติบัณฑิต! ข้าจะไปร้องเรียนเจ้าสำนัก ต้องถอนสิทธิ์การเป็นอาจารย์ของหลินสวินให้ได้!”
ความจริงเสิ่นทั่วก็อึ้งกับคำพูดของหลินสวินเช่นกัน แต่พอได้ยินฟางจงเจียนกล่าวโทษอย่างไม่เกรงใจ เขาก็อดโมโหไม่ได้ “เหล่าฟาง รอให้จบชั้นเรียนนี้ก่อน เจ้าจะโวยวายอย่างไรก็เชิญ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาตัดสิน!”
ฟางจงเจียนแสร้งยิ้ม “งั้นก็คอยดู”
ในชั้นเรียน เด็กอ้วนที่ถูกหลินสวินด่าว่าขยะลุกพรึ่บขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว จ้องหลินสวินเขม็ง “คนอย่างเจ้าก็เหมาะกับการเป็นอาจารย์ด้วยหรือ”
“ใช่ เจ้าด่ากันแบบนี้ได้อย่างไร”
“ผิดหวัง ผิดหวังจริงๆ”
ศิษย์คนอื่นๆ โวยวายขึ้นตาม ทำเหมือนว่ามีศัตรูคนเดียวกัน
“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายถึงเขาคนเดียว แต่ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นขยะ!”
หลินสวินยิ้มพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ด่าอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
หนุ่มสาวเหล่านั้นไฟสุมอกขึ้นมา พากันด่าทอหลินสวินยกใหญ่จนวุ่นวายไปทั้งชั้น
“ดูสิ เพิ่งมาสอนครั้งแรกก็วุ่นวายขนาดนี้แล้ว ช่างน่าปวดใจจริงๆ ข้าว่าอีกไม่นานชั้นเรียนนี้ต้องถูกยกเลิกแน่”
ฟางจงเจียนมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น
เสิ่นทั่วสีหน้าขมึงทึง ไม่พูดจา
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ไม่ได้เตือนหลินสวินก่อน
“หึ วิชาของคนพรรค์นี้ ไม่เรียนก็ไม่เห็นเป็นไร!”
เด็กหนุ่มตัวอ้วนหัวเราะเสียงเย็นชา พลันเดินสะบัดก้นเตรียมจะออกไป
มนุษย์ล้วนชอบไหลไปตามน้ำ ถ้าปล่อยให้เขาเป็นแกนนำออกไป จะต้องมีศิษย์คนอื่นๆ ตามไปอีกแน่
จุดจบนั้นแทบไม่อยากจินตนาการ
โครม!
เห็นแบบนี้หลินสวินจึงยกมือขึ้นลวกๆ พลังอันน่ากลัวพลันม้วนออกมาราวมังกรยักษ์กระโจนกลางฟ้า กดเด็กอ้วนคนนั้นคุกเข่าทันควัน
พริบตานั้นเสียงเอะอะโวยวายในชั้นเรียนพลันสลายไปเป็นปลิดทิ้ง กลายเป็นเงียบจนน่ากลัว มีเพียงเด็กอ้วนที่ร้องเสียงหลงราวหมูโดนเชือดอยู่บนพื้น
ศิษย์ทุกคนต่างหัวใจเต้นระส่ำ ไม่อยากจะเชื่อว่าอาจารย์อย่างหลินสวินไม่เพียงด่าศิษย์ในชั้นเรียน แต่หากพูดจาไม่เข้าหูเพียงเล็กน้อยก็สยบศิษย์ลงไปคุกเข่ากับพื้น!
บ้าระห่ำเกินไปแล้ว!
เขา…เขาไม่ห่วงชื่อเสียงของสำนักศึกษามฤคมรกตเลยหรือ
“ถ้ายังไม่หุบปากจะเจอหนักกว่านี้”
หลินสวินเผยรอยยิ้มเปล่งประกาย แต่ในสายตาของเด็กอ้วนกลับดูน่ากลัวเหมือนปีศาจร้าย ทำเอาเขาขนลุกซู่ หุบปากไปทันที มีเพียงสีหน้าที่ซีดเซียวไม่เหลือชิ้นดี
ถูกคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างหลินสวินกดลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น ทั้งยังอยู่ต่อหน้าทุกคนแบบนี้ ถือเป็นความอับอายอย่างที่สุด กระตุ้นจนเด็กอ้วนแทบจะคลั่งแล้ว
“เจ้า… เจ้าตีคนได้อย่างไร”
เด็กสาวหน้ากระรวบรวมความกล้า พูดเสียงสั่นขึ้น
“ข้าไม่เพียงแค่กล้าตี ยังกล้าฆ่าด้วย”
หลินสวินเก็บรอยยิ้ม พูดเสียงเรียบ “ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อจะลองดูก็ได้”
“เจ้า…”
เด็กสาวหน้ากระคนนั้นโมโห แต่เมื่อเจอกับสายตาเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกของหลินสวิน ในใจพลันรู้สึกเย็นวาบอย่างอธิบายไม่ถูก ตกใจจนนางพูดไม่ออกอีก
ราวกับว่าหากพูดมากอีกคำ ก็จะถูกหลินสวินฆ่าอย่างไม่ลังเล
ในชั้นเรียนเงียบกริบทันควัน
ศิษย์เหล่านั้นดูอายุห่างจากหลินสวินไม่มากนัก แต่ได้รับการทะนุถนอมอย่างดีตั้งแต่เด็ก ไม่เคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายอันใด แล้วจะเอาอะไรมาสู้กับหลินสวินที่เดินออกมาจากกองซากศพนองเลือด
“ไม่ใช่แค่ด่าศิษย์ แต่ยังลงมือบีบบังคับศิษย์ลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น พูดจาข่มขู่ คนพรรค์นี้มาเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษามฤคมรกตได้อย่างไร ถ้าเผยแพร่ออกไปคนนอกคงหัวเราะเยาะเราเป็นแน่!”
ในที่ไกลออกไปฟางจงเจียนกล่าวฮึดฮัด โกรธจนขอบตาเห่อแดง
แต่ในใจเขากลับปลื้มปริ่มอย่างหาที่สุดไม่ได้ หลินสวินยิ่งเป็นแบบนี้ จุดจบก็ยิ่งไม่สวย เขาอยากให้หลินสวินก่อเรื่องร้ายแรงกว่านี้ด้วยซ้ำ
เสิ่นทั่วใบหน้าเคร่งขรึม ยังคงเงียบไม่เอ่ยวาจา
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าไม่พูดแล้ว ก็ควรถึงทีข้าพูดบ้างแล้วกระมัง!”
หลินสวินหัวเราะเบาๆ เห็นว่าไม่มีใครส่งเสียงแล้ว แต่สายตาของศิษย์เหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล ไม่ยินยอม เห็นได้ชัดว่าในใจไม่มีความเลื่อมใสต่อเขา
“พวกเจ้าน่ะ ยังเด็กเกินไป ครั้งนี้เป็นสำนักศึกษาของพวกเจ้าเป็นฝ่ายเชิญข้ามาเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ข้าเป็นผู้ร้องขอ พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะอยากถ่ายทอดศาสตร์การสลักวิญญาณของตัวเองให้กับ… ขยะอย่างพวกเจ้า”
คำพูดของหลินสวินเต็มไปด้วยความดูถูก โดยเฉพาะคำว่า ‘ขยะ’ ที่ทำเอาพวกศิษย์โกรธจนตัวสั่น
พวกเขาเคยเจออาจารย์ที่อารมณ์ร้าย แต่ไม่เคยเจอคนที่กำเริบเสิบสาน เผด็จการไม่ไว้หน้าใครอย่างหลินสวินมาก่อน
นี่มัน…นี่มันอันธพาลชัดๆ!
“จำไว้ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสงสัยในความสามารถของข้า นอกเสียจากพวกเจ้าจะสามารถผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร และทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ ได้ จำไว้!”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย แต่คำพูดราวกับมีดอันแหลมคมที่ปักลงกลางใจของพวกศิษย์ พาให้พวกเขาทำหน้าไม่ถูก
“หากพวกเจ้าไม่พอใจก็ต้องทน แต่อย่ามาหาเรื่องข้าอีก ตอนนั้นฮวาอู๋โยวผู้นั้นก็เคยไม่พอใจข้ามาก แต่สุดท้าย…”
หลินสวินกวาดสายตามองรอบๆ ในขณะที่เอ่ยเสียงเรียบ “หากไม่ใช่เพราะคนตระกูลฮวาของนางเข้ามาแทรกแซง นางคงสิ้นชีพไปนานแล้ว”
ศิษย์เหล่านั้นใจกระตุกอย่างรุนแรง เพิ่งนึกขึ้นได้เอายามนี้ว่า อาจารย์เด็กหนุ่มที่ใช้วิธีร้ายกาจคนนี้ นอกจากเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว ยังเป็นผู้ฝึกปราณอัจฉริยะที่มีพลังต่อสู้น่าหวาดกลัว!
เรื่องที่เขาซัดลูกหลานสองคนจากตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลซ่งจนร่วง และล้มฮวาอู๋โยวได้ในการโจมตีเดียว สร้างความฮือฮาอย่างมากในนครต้องห้าม
กล้าตีกล้าฆ่าแม้แต่ลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ยังจะมีอะไรที่หลินสวินไม่กล้าอีก
เมื่อเทียบกับบุคคลระดับฮวาอู๋โยวแล้ว ศิษย์อย่างพวกเขา…สู้ไม่ได้เลย!
ทุกคนเงียบไปทันที ความกราดเกรี้ยวและไม่จำยอมบนใบหน้าถูกความหวาดกลัวลึกล้ำเข้ามาแทนที่
ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งรู้สึกกลัว ว่าเหตุใดเมื่อครู่ถึงได้วู่วามไปหาเรื่องคนร้ายกาจใจเหี้ยมราวปีศาจผู้นี้ได้
โดยเฉพาะเด็กอ้วนที่อยู่บนพื้น ยิ่งกลัวจนสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าซีดเซียว
“แน่นอนว่าหากพวกเจ้าไม่กระทำความผิด และทำตามที่ข้าสั่งอย่างเต็มที่ ข้าก็คร้านจะถือสาพวกเจ้า”
หลินสวินพูดถึงตรงนี้ สายตาพลันจับจ้องเด็กอ้วนคนนั้น “เจ้าชื่ออะไร?”
“หลิวฮุย”
“กลับไปนั่งที่ของเจ้า”
เด็กอ้วนรีบลุกกลับไปนั่งที่โดยดี ท่าทางสงบเสงี่ยม ไร้ซึ่งความอวดดีอย่างเมื่อครู่
“ตอนนี้หยิบด้ามสลักและกระดาษของพวกเจ้าออกมา วาด ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปร’ ให้เวลาครึ่งชั่วยาม”
หลินสวินกำชับโดยไม่ต้องคิด “ทางที่ดีจงใช้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง มิเช่นนั้นหากข้าจับได้ว่ามีใครโกง อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
หนุ่มสาวพวกนั้นหลาบจำแล้ว ยังจะมีใครกล้าขัด พลันหยิบกระดาษและด้ามสลักขึ้นมา ก้มหน้าก้มตาเขียนโดยดี
แซ่กๆๆ
ภายในชั้นเรียนเงียบสงัดไปทันที มีเพียงเสียงจากการเสียดสีของกระดาษและด้ามสลักที่ดังขึ้นเบาๆ แต่ไม่ถึงกับไพเราะ
หลินสวินนั่งหลับตาเก็บแรงอยู่บนยกพื้น
เห็นแบบนี้ฟางจงเจียนที่ยืนอยู่ในมุมลับตาคนพลันไม่พอใจขึ้นมา เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้น “ดูสิ เด็กคนนี้อายุเพียงสิบกว่าปีก็กล้าวางอำนาจในชั้นเรียน ข่มให้ศิษย์ยอมก้มหัวให้ อันธพาลชัดๆ! ”
เสิ่นทั่วลอบถอนหายใจ แม้เขาจะคิดว่าวิธีของหลินสวินแข็งกร้าวเกินไป แต่พอเห็นหลินสวินสามารถควบคุมสถานการณ์ในชั้นเรียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาก็โล่งอกไปไม่น้อย
“เจ้าก็รู้ดีว่าในบรรดาศิษย์เหล่านั้นมีพวกหัวโจกอยู่ไม่น้อย หากพวกเขาถูกสั่งให้หาเรื่องหลินสวิน ไม่ว่าหลินสวินนิสัยดีแค่ไหน ก็เกรงว่าคงถูกหาเรื่องจนหัวเสีย!”
เสิ่นทั่วจ้องฟางจงเจียนเขม็ง
สีหน้าของฟางจงเจียนพลันเปลี่ยนไป “เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นคนสั่งให้ศิษย์พวกนั้นทำแบบนี้งั้นหรือ”
“จะใช่หรือไม่ เดี๋ยวก็รู้เอง”
เสิ่นทั่วพูดเสียงขรึม
ยามนั้นไกลออกไปมีเงาร่างห้าหกเงาเดินเข้ามา ล้วนเป็นอาจารย์ของสาขาสลักวิญญาณทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าออกมาดูเพราะเสียงที่ดังขึ้นในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า
ฟางจงเจียนเห็นแบบนั้นก็พลันเดินเข้าไปฟ้องพฤติกรรมร้ายกาจของหลินสวินให้อาจารย์เหล่านั้นฟังเป็นฉากๆ ด้วยท่าทางที่ดูขึ้งโกรธสุดกำลัง
ฉับพลันนั้นเหล่าอาจารย์ก็อดแปลกใจไม่ได้ ขมวดคิ้วไม่หยุด
ตอนที่ 403 ให้คำชี้แนะ
โดย
ProjectZyphon
“หลินสวินกำเริบเกินไปแล้ว มารยาทแย่เช่นนี้ ไม่รักษาภาพลักษณ์อาจารย์ ทำให้สาขาสลักวิญญาณของเราเสียชื่อเสียงจริงๆ!”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หลินสวินผู้นี้ก็ทำเกินไป”
“เฮ้อ นี่ก็คือความสามารถของปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้หรือ ข้าว่าก็ไม่ได้เหนือไปกว่าเฟิงชิงโยวเท่าใด!”
อาจารย์กลุ่มนั้นต่างแสดงความเห็นอย่างไม่พอใจ
“ทุกท่าน ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ศิษย์พวกนั้นอาละวาดหนักมาก จึงทำให้หลินสวินโกรธ”
เสิ่นทั่วเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้วพูด “อีกอย่างตอนนี้หลินสวินกำลังสอนอยู่ ทุกท่านยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดก็วิจารณ์เช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ”
เสิ่นทั่วเป็นหัวหน้าอาจารย์ของสาขาสลักวิญญาณ ตำแหน่งสูงส่ง มากด้วยอำนาจ เห็นเขาออกหน้าปกป้องหลินสวิน ทำให้อาจารย์หลายท่านต่างนิ่งไป
“นอกจากนี้ รอดูความสามารถในการสอนของหลินสวินก่อนแล้วค่อยตัดสิน หากเขาไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นอาจารย์ได้ ข้าไม่มีวันยอมให้คนอย่างเขามาสอนศิษย์ของเราผิดๆ แน่”
จู่ๆ อาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำขึ้น “หากความสามารถในการสอนของเขาสามารถทำให้ข้าพอใจได้ ต่อไปก็จะไม่มีใครว่าเขาอีก”
ได้ยินเช่นนี้ หลายคนก็เห็นด้วย
เห็นเช่นนี้เสิ่นทั่วและฟางจงเจียนต่างรู้ว่าไม่ควรพูดอะไรอีก
“เขากำลังทำอะไรของเขา ให้ศิษย์ฝึกการสลักวิญญาณด้วยตัวเองงั้นหรือ”
อาจารย์ท่านหนึ่งถาม
“เมื่อครู่นี้หลินสวินสั่งให้ศิษย์วาด ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปร’ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาคงอยากวัดระดับความสามารถในการสลักวิญญาณของศิษย์ทุกคน”
เสิ่นทั่วพูดโดยไม่ได้คิดอะไร
“รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรงั้นหรือ พูดเป็นเล่น โดยปกติวิธีทดสอบนักสลักวิญญาณระดับต้นมีเพียงสามวิธี
วิธีแรก ใช้การวาด ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุพื้นฐาน’ มาทดสอบ
วิธีที่สอง ใช้การหลอมอาวุธวิญญาณระดับมนุษย์ ‘เกราะวิญญาณห้าสี’ มาทดสอบ
วิธีที่สาม คือให้อาจารย์และลูกศิษย์ร่วมกันอธิบายรอยสลักวิญญาณตัวต่อตัว เพื่อประเมินความสามารถในการสลักวิญญาณของศิษย์”
อาจารย์ท่านหนึ่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “การทดสอบทั้งสามวิธีนี้ เรียกอีกอย่างว่า ‘การทดสอบสามพรสวรรค์’ ข้าไม่ยักรู้ว่ามีการใช้ ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปร’ ในการทดสอบด้วย ดูไม่เชี่ยวชาญเกินไปหรือเปล่า”
น้ำเสียงแฝงความสงสัยเต็มประดา
“ใช่ การวัดความสามารถในการสลักวิญญาณเป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก วิธีนี้ของเขา ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“นี่เห็นชัดว่าผิดปกติมาก ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปร’ แฝงไว้ด้วยรอยสลักวิญญาณแปรผันหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าลายที่แตกต่างกันเอาไว้ นักสลักวิญญาณชั้นต้นทั่วไปไม่สามารถวาดออกมาได้ด้วยซ้ำ จะเอามาใช้ทดสอบได้อย่างไร”
อาจารย์ท่านอื่นๆ ต่างเสริม
พวกเขาอยู่ในศาสตร์การสลักวิญญาณมานาน ย่อมรู้วิธีทดสอบความสามารถในการสลักวิญญาณเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยได้ยินวิธีพิเรนทร์อย่างที่หลินสวินใช้ นี่ช่างน่าขันนัก
“ข้าว่าเขากำลังก่อเรื่อง!” ฟางจงเจียนไม่เกรงใจที่สุด ต่อว่าหลินสวินว่าก่อเรื่องเสียเลย
“เขาก่อเรื่องงั้นหรือ สามารถก่อเรื่องจนเกิด ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ ได้ ถามหน่อยเถอะว่าพวกเจ้าใครทำได้ขนาดนี้บ้าง”
เสิ่นทั่วอดพูดขึ้นอีกครั้งไม่ได้ เขาเป็นคนเชิญหลินสวินมา ย่อมทนเห็นหลินสวินถูกกล่าวหาและตั้งข้อสงสัยไม่หยุดหย่อนไม่ได้
ทุกคนพลันเงียบเสียงลง ความรู้สึกซับซ้อนเป็นอย่างมาก
เสียงร้องเก้ามังกรเป็นเหมือนป้ายทองของหลินสวิน ไม่ว่าใครคิดกล่าวหาหลินสวิน ถ้าเจอป้ายนี้เข้าก็หมดแรงอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
……
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลินสวินที่หลับตาทำสมาธิอยู่ลืมตาและลุกขึ้นยืน
เขากวาดสายตามองรอบๆ เห็นว่าศิษย์ส่วนใหญ่วาด ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปร’ เสร็จแล้ว เหลือเพียงสี่ห้าคนที่กำลังเร่ง
“วางมือได้แล้ว”
หลินสวินพูด
ศิษย์สี่ห้าคนนั้นก็หยุดวาดทันที เพียงแต่สีหน้ากลับดูกังวล ซึ่งเจ้าอ้วนหลิวฮุยก็เป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับพวกเขา รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรนี้ยากมาก ภายในครึ่งชั่วยามไม่อาจวาดให้เสร็จได้
แม้แต่ศิษย์ที่วาดเสร็จแล้วยังดูกังวล เห็นชัดว่ารู้ตัวว่า แม้จะวาดรอยสลักวิญญาณเสร็จแล้ว แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ผิดพลาดและไม่สมบูรณ์แบบ
ที่พวกเขากังวล ย่อมเป็นเพราะกลัว ‘ราชาปีศาจ’ ที่อารมณ์แปรปรวนอย่างหลินสวินลงโทษ
“เอารอยสลักวิญญาณของตัวเองขึ้นมาหน้าชั้นเรียนทีละคน เริ่มจากคนแรกฝั่งซ้ายมือ”
หลินสวินสั่งลวกๆ แล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้
ศิษย์หลายคนยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าหลินสวินจะทำอะไรกันแน่ กลัวว่าหากเขาไม่ถูกใจอะไรขึ้นมาแล้วจะบันดาลโทสะอีก
“อาจารย์หลิน โปรดตรวจดู”
ศิษย์คนแรกฝั่งซ้ายมือเดินขึ้นมาด้วยสีหน้าหวาดระแวง ยื่นกระดาษที่วาดรอยสลักวิญญาณให้ด้วยสองมือ
หลินสวินถือขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด
ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องเรียนอึดอัดมาก ศิษย์ทุกคนแทบกลั้นหายใจ ดูตื่นเต้นกังวลสุดๆ
“เจ้าชื่ออะไร”
ครู่หนึ่งหลินสวินพลันเงยหน้าขึ้นถาม
“ฟ่านจือชิว”
เด็กหนุ่มคนนั้นกังวลจนกำหมัดแน่น สีหน้าเคร่งเครียด ตอบตะกุกตะกัก “อาจารย์ ข้าเพิ่งเรียนรอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรได้ไม่นาน ข้า…”
ไม่รอให้พูดจบก็ถูกหลินสวินยกมือขึ้นโบกตัดบทเสียก่อน “ไม่ต้องตื่นเต้น ข้าไม่ได้จะจับผิดเจ้า แต่กำลังวัดความสามารถในการสลักรอยสลักวิญญาณของเจ้า ต่อให้ทำได้แย่แค่ไหนข้าก็ไม่โทษเจ้า ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็มิใช่ข้าที่ถ่ายทอดความรู้ด้านการสลักวิญญาณให้เจ้า ถือว่าให้อภัยได้”
ฟ่านจือชิวถอนหายใจยาวทันที
ศิษย์คนอื่นๆ ในชั้นเรียนต่างโล่งอก ไม่ได้ตื่นเต้นกังวลเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
แต่สิ่งที่พวกเขาสงสัยคือ หลินสวินคนนี้คิดอย่างไรถึงใช้ ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปร’ มาวัดความสามารถด้านการสลักวิญญาณของพวกเขา
พวกเขาไม่เคยได้ยินวิธีทดสอบที่แปลกขนาดนี้มาก่อน
ยามนั้นหลินสวินก็ยื่นกระดาษคืนให้ฟ่านจือชิว “เจ้าดูผลงานของเจ้าให้ดี ข้ารู้ความสามารถด้านการสลักวิญญาณของเจ้าคร่าวๆ แล้ว ข้าจะวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งในการวาดรอยสลักวิญญาณของเจ้า หวังว่าเจ้าจะจำให้ขึ้นใจ”
ฟ่านจือชิวสะท้านไปทั้งตัว แทบไม่อยากเชื่อว่าอาศัยรอยสลักวิญญาณเพียงลายเดียว ก็จะรู้จุดแข็งจุดอ่อนในการสลักวิญญาณของตัวเองได้
เหลือเชื่อเกินไปแล้วหรือเปล่า
ศิษย์คนอื่นๆ ต่างเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อเช่นกัน
“เหลวไหล!”
ในที่ห่างออกไป ฟางจงเจียนได้ยินเช่นนี้ก็หลุดขำออกมา เลอะเทอะไปไกลแล้ว ความสามารถในการสลักวิญญาณก็คือความสามารถในการสลักวิญญาณ หาใช่จุดแข็งจุดอ่อนของนักสลักวิญญาณไม่ นี่คือเรื่องที่ทุกคนรู้โดยทั่วกัน
นอกจากว่าเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณมาเอง บางทีอาจทำได้ถึงขั้นนี้ แต่เด็กหนุ่มอย่างหลินสวินที่เพิ่งได้รับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เป็นไปได้อย่างไรที่จะตาถึงและรู้วิธีขนาดนั้น
สร้างเรื่องโกหกชัดๆ!
อาจารย์ท่านอื่นๆ ต่างแปลกใจและสงสัยอย่างมาก แต่พวกเขาต้องสกัดกั้นความสงสัยเอาไว้ ต้องรอดูสถานการณ์ก่อนค่อยตัดสิน
ส่วนเสิ่นทั่ว หลังจากตะลึงงันไปครู่ก็เกิดสงสัยขึ้นมา
หลินสวินพิเศษจริงๆ ไม่เหมือนนักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ที่เขารู้จัก ทุกอย่างที่เขาทำล้วนดูแปลกใหม่ไม่ธรรมดา
แต่ก็เพราะเด็กหนุ่มที่มีความเป็นตัวเองในศาสตร์การสลักวิญญาณคนนี้นี่แหละ ที่ทำให้เกิด ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ เสิ่นทั่วอดคิดไม่ได้ว่า ครั้งนี้หลินสวินจะสามารถสร้างความประหลาดใจให้เขาได้อีกหรือไม่
“ดูให้ดี รอยสลักรอยที่เก้าดูติดขัดเล็กน้อย รอยที่สิบสามความหนาบางไม่เท่ากัน รอยที่สี่สิบสี่หมุนวนผิด รอยที่…”
ในชั้นเรียน หลินสวินพูดเสียงเรียบอย่างคล่องแคล่วมีแบบแผน
แรกๆ ในใจฟ่านจือชิวก็ยังไม่เชื่อ แต่พอหลินสวินชี้ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในการสลักวิญญาณของเขาออกมาได้อย่างแม่นยำในทุกๆ จุด เขาก็ตัวแข็งค้างไปอย่างควบคุมไม่อยู่ ในใจถูกความตะลึงเข้ามาแทนที่
ข้อผิดพลาดเหล่านั้นแม้แต่เขาเองยังมองไม่เห็น แต่พอหลินสวินเตือน แล้วกลับมาย้อนดู ก็เห็นความผิดปกติจริงๆ
อีกทั้งทุกข้อผิดพลาดที่หลินสวินชี้ออกมา ก็ละเอียดไปถึงทุกลายสลัก ราวกับทุกความผิดพลาดล้วนหนีสายตาสับปะรดของเขาไม่พ้น!
เสียงพูดที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของหลินสวินดังก้องไปทั่วห้องเรียน เหล่าศิษย์ต่างสงสัย
แม้พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แน่ชัด แต่จากสีหน้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของฟ่านจือชิวก็รู้ว่า หลินสวินไม่ได้คุยโว แต่มีหลักการและตรงประเด็นทุกคำพูด!
“อาจารย์…หลิน ข้า…ข้า…”
หลินสวินพูดจบ สีหน้าชิงฟ่านจือชิวก็เต็มไปด้วยความละอายใจ เกิดความรู้สึกอับอายจนอยากมุดซ่อน น้ำเสียงก็ตะกุกตะกัก
“ไม่ต้องสนใจ เป็นแค่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ากำลังช่วยวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งในการสลักวิญญาณของเจ้า”
น้ำเสียงของหลินสวินฟังดูสบายๆ
“อาจารย์โปรดชี้แนะด้วย!”
ฟ่านจือชิวสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเผยความเคารพนับถือ
ทุกคนต่างแปลกใจ
“จุดอ่อนของเจ้าไม่น้อยเลย แต่ที่เห็นได้ชัดคือวิธีลงด้ามสลักของเจ้า”
หลินสวินใคร่ครวญพลางจ้องไปที่สองมือของฟ่านจือชิว “วิธีลงด้ามสลักที่เจ้าฝึกมาไม่เหมาะกับเจ้า ข้าแนะนำให้เจ้าเปลี่ยนเป็นการ ‘เก็บรายละเอียดอย่างลึกซึ้ง ปรับลายให้เรียบตรง’”
วิธีลงด้ามสลักมีปัญหางั้นหรือ
ฟ่านจือชิวอึ้งงันไป เขาไม่เคยคิดเลยว่า ข้อผิดพลาดที่ตัวเองติดเป็นนิสัยมีสาเหตุมาจากวิธีการลงด้ามสลัก
นี่เป็นปัญญาเล็กๆ แต่ถูกมองข้ามได้ง่ายที่สุด
ยามนี้ถูกหลินสวินเตือน ฟ่านจือชิวอดตะลึงไม่ได้ เริ่มครุ่นคิด
หลินสวินพูดต่อ “ส่วนจุดเด่นของเจ้าก็ชัดเจนมากเช่นกัน นั่นคือความไว การควบคุมพลังการรับรู้ของเจ้าค่อนข้างโดดเด่น เจ้าคงรู้วิชาลับในการสลักวิญญาณบางอย่างมา ไม่เลว พัฒนาจุดเด่นนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นผลดีต่อการฝึกกระบวนรอยสลักวิญญาณในอนาคตของเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย”
ฟ่านจือชิวตะลึงอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าหลินสวินจะอ่านความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาได้จากรอยสลักวิญญาณลายเดียว!
ไม่ผิด ที่เขาวาดรอยสลักวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว ก็เพราะเขาฝึกฝนวิชาลับซึ่งถ่ายทอดมาในตระกูลวิชาหนึ่ง!
“ลงไปเถอะ คนต่อไปขึ้นมา”
หลินสวินโบกมือ
กลับเห็นฟ่านจือชิวสูดหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่สีหน้าเผยความเคารพนับถือจากใจ พร้อมโค้งคำนับลงต่ำ “ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ!”
น้ำเสียงแฝงความเคารพนับถือ
เห็นเช่นนี้ ศิษย์ในชั้นเรียนพลันสบตากันไปมาด้วยความแปลกใจ
หรือหลินสวินอ่านจุดอ่อนและจุดแข็งของพวกเขาจากรอยสลักวิญญาณเพียงลายเดียวได้จริงๆ?
ไม่นานศิษย์คนที่สองก็มายืนอยู่ตรงหน้าหลินสวิน
ตอนที่ 404 กำราบ
โดย
ProjectZyphon
“จากสถานการณ์นี้ ดูเหมือน…เขาดูจุดแข็งและจุดอ่อนของศิษย์คนนั้นออกจริงๆ?”
ในบริเวณที่ห่างออกไป อาจารย์ท่านหนึ่งแปลกใจ
“เหมือนจะใช่”
อาจารย์ท่านอื่นๆ ก็ประหลาดใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะน่าทึ่งมาก
จากรอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรเพียงลายเดียว ก็สามารถตัดสินความสามารถ วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนในการสลักวิญญาณของศิษย์คนหนึ่งได้ เหลือเชื่อจริงๆ
“หึ เหลวไหล ศิษย์คนนั้นเป็นแค่นักสลักวิญญาณระดับต้น ทั้งยังเกรงกลัวหลินสวิน จะแยกแยะจริงแท้ดีเลวได้อย่างไร”
ฟางจงเจียนแค่นเสียงอย่างเยียบเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็รอดูต่อไป คนเดียวยังตัดสินอะไรไม่ได้ รอให้ครบทุกคนก่อนคงเพียงพอที่จะแยกแยะจริงเท็จได้แล้ว”
เสิ่นทั่วพูดเสียงขรึม
อาจารย์ท่านอื่นๆ ลอบพยักหน้า
ขณะนี้พวกเขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา วิธีการทดสอบของหลินสวินพิเศษมาก เป็นความรู้ใหม่สำหรับพวกเขาทีเดียว
ถ้าวิธีนี้ใช้ได้จริง นั่นหมายความว่า วิธีทดสอบนักสลักวิญญาณระดับต้นได้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวิธี ซึ่งถือเป็นการค้นพบใหม่
……
“เจ้าชื่ออะไร”
“หยางจิ้งเหยา”
“ถือรอยสลักวิญญาณของเจ้าเอาไว้แล้วฟังให้ดี รอยสลักวิญญาณรอยที่เจ็ดสิบสามน้ำหนักไม่คงที่ รอยที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ ช่องไฟระยะห่างขาดความสมดุล…”
ในชั้นเรียน เสียงของหลินสวินดังขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นขั้นเป็นตอน
สีหน้าของเด็กสาวที่ชื่อหยางจิ้งเหยาซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาเปลี่ยนไปแล้ว เห็นได้ชัดว่านางก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า รอยสลักวิญญาณที่ตนวาดขึ้นจะมีความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ซ่อนอยู่มากขนาดนี้
เมื่อพูดถึงตอนท้าย เด็กสาวอายุสิบกว่าปีคนนั้นน้ำตานอง ดวงหน้าเล็กขาวผ่องเห่อแดงขึ้นมาด้วยความอับอาย
นางเม้มริมฝีปากเล็กรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ชวนให้คนรู้สึกสงสาร
ศิษย์ชายหลายคนทนดูไม่ได้ รู้สึกว่าคำพูดของหลินสวินไร้ความปรานี ต่อหน้าเด็กสาวคนหนึ่งจะเปิดเผยข้อผิดพลาดมากขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีเอาซะเลย
หลินสวินเองก็อึ้งงันไป ในใจกำลังคิดว่าตัวเองทำเกินไปหรือเปล่า กลับเห็นหยางจิ้งเหยาสูดหายใจแล้วมองหลินสวินอย่างจริงจัง “อาจารย์หลิน โปรดชี้แนะข้าต่อด้วย”
เสียงกังวานหนักแน่น
เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กสาวที่เข้มแข็งมาก
หลินสวินจึงวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งทั้งหมดในการสลักวิญญาณของนางอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
ได้ยินเช่นนี้ หยางจิ้งเหยาอึ้งงันไปครู่ ดวงหน้าเล็กเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณและเคารพนับถือ พลันโค้งคำนับ “ขอบคุณอาจารย์หลินเป็นอย่างสูง โปรดอภัยที่เมื่อครู่นี้ไม่รู้จักหนักเบา ทำให้อาจารย์เคืองใจ”
เป็นเด็กดีมีมารยาทจริงๆ!
หลินสวินแอบชื่นชม เขากลับลืมไปว่า ถ้านับตามอายุ เขาก็รุ่นราวคราวเดียวกับหยางจิ้งเหยา…
แต่ในด้านของจิตใจ เขาเหมือนเริ่มอยู่ในฐานะของอาจารย์ที่มองศิษย์เป็นเด็ก โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น หลินสวินไม่เพียงแค่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ตอนนี้ยังเป็นถึงเจ้าแห่งภูเขาชำระจิต ควบคุมลูกน้องมากมาย ทั้งฐานะและจิตใจถูกเคี่ยวกรำให้ฉลาดหลักแหลมหนักแน่น แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่คนวัยเดียวกันทั่วไปจะเทียบได้
หลังจากหยางจิ้งเหยาลงไป ศิษย์ทุกคนต่างตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า อาจารย์หลินสวินที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลที่มีความสามารถอย่างแท้จริง!
คนประเภทนี้ไม่สามารถวัดกันด้วยอายุได้ วิธีที่เขาแสดงออกมาตามใจดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่กลับได้ผลอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เหล่าศิษย์ได้เปิดโลกทัศน์
ความรู้สึกของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นศิษย์แต่ละคนผลัดกันขึ้นไปหน้าชั้นเรียน ปฏิกิริยาหลังจากถูกหลินสวินชี้แนะก็ไม่ต่างจากฟ่านจือชิวและหยางจิ้งเหยามากนัก
แรกๆ คือละอายใจ หลังจากได้รับคำชี้แนะจากหลินสวินก็ดูตื่นเต้นดีใจ แต่ไม่มีใครไม่พอใจเลยแม้แต่คนเดียว
ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของเหล่าอาจารย์ที่รอดูอยู่ ตอนนี้พวกเขาไม่สงสัยในวิธีการสอนของหลินสวินอีกต่อไป ภาพแต่ละภาพที่เห็นก็เพียงพอยืนยันความสามารถในการสอนของหลินสวินแล้ว
ทำให้พวกเขาอดถอนหายใจไม่ได้ สมแล้วที่เป็นเด็กหนุ่มปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ทำให้เกิด ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ แสดงฝีมือเพียงเล็กน้อย ก็สร้างความตกตะลึงกับความสามารถอันโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ และยากที่จะไม่นับถือ
แต่พวกเขาแปลกใจว่า จาก ‘รอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปร’ เพียงลายเดียว เหตุใดหลินสวินจึงทำได้ขนาดนี้
หรือในรอยสลักวิญญาณนี้ยังมีความเร้นลับที่พวกเขาไม่เคยค้นพบมาก่อน?
อาจารย์เหล่านั้นล้วนเป็นนักสลักวิญญาณที่มีประสบการณ์ของสาขาสลักวิญญาณ ทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณเหมือนกับเสิ่นทั่ว หลงใหลในศาสตร์การสลักวิญญาณ พอได้เห็นวิธีแปลกใหม่จากหลินสวิน พวกเขาย่อมอยากรู้อยากลอง ต้องการศึกษาให้กระจ่างแจ้งเพื่อคลี่คลายความเร้นลับนี้
มีเพียงฟางจงเจียนที่ใบหน้าปั้นยากหม่นแสงเหมือนคนเสียบุพการี ท่าทางดูไม่จำยอมอย่างที่สุด
“เท่าที่ข้ารู้ ในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า ศิษย์หลายคนไม่มีความสามารถมากพอที่จะวาดรอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรได้ด้วยซ้ำ ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินจะใช้อะไรมาทดสอบความสามารถในการสลักวิญญาณของศิษย์”
ฟางจงเจียนพูดขึ้นเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้าย
“ถ้าอย่างนั้นก็รอดูต่อไป”
เสิ่นทั่วคร้านจะกล่าวไร้สาระด้วย เห็นได้ชัดว่าฟางจงเจียนกำลังหาเรื่อง ไม่พอใจอย่างมากที่หลินสวินแย่งตำแหน่งของเขา ในสถานการณ์เช่นนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
“อาจารย์หลิน ข้า…ข้ายังวาดไม่เสร็จ…”
ในห้องเรียนเด็กอ้วนหูกางหลิวฮุยเดินเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล ท่าทางดูหวาดกลัวอย่างมาก
“เอามาให้ข้าดู”
หลินสวินพูดลวกๆ
หลิวฮุยยื่นกระดาษออกไป หลินสวินกวาดสายตามองรอบหนึ่งแล้วคืนเขาไป
และในขณะที่หลิวฮุยคิดว่าหลินสวินจะด่าทอและลงโทษตนนั้น กลับเห็นหลินสวินพูดขึ้นอย่างตะลึง “คิดไม่ถึงว่าความสามารถด้านการสลักวิญญาณของเจ้าจะมั่นคงขนาดนี้ หาที่ติไม่ได้เลย”
ทุกคนตะลึงงัน
ความสามารถของหลิวฮุยในชั้นเรียนอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางต่ำ อีกทั้งเขายังนิสัยดื้อรั้น ไม่เป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ ทำให้ศิษย์หลายคนคิดไปว่าคราวนี้หลิวฮุยต้องแย่แน่
ใครจะคิดว่าหลินสวินกลับชมตั้งแต่คำแรก ใครเล่าจะกล้าเชื่อ
“อาจารย์หลิน ที่…ที่ข้าเป็นแกนนำหาเรื่องท่านเมื่อครู่ เป็นความผิดของข้าเอง ท่าน… ท่านอย่าล้อข้าเล่นอีกเลย”
หลิวฮุยหน้ามู่ทู่ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าหลินสวินพูดคำตรงข้ามเป็นการเยาะเย้ยเขา
หลินสวินอึ้งไปทันที “ข้าพูดความจริง แม้เจ้าจะวาดรอยสลักวิญญาณได้เพียงครึ่ง แต่ทุกๆ รอยเรียกได้ว่าได้มาตรฐาน ไม่มีที่ติ”
หลิวฮุยตะลึง หรืออาจารย์จะไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ?
หลินสวินพูดต่อ “รู้หรือไม่ว่าอะไรคือคำว่าสมบูรณ์แบบ ก็คือระดับที่ได้มาตรฐานที่สุด จนไม่ว่าใครก็หาที่ติไม่ได้ นั่นแหละที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ!”
ทุกคนอึ้งงัน ไม่คิดว่าหลินสวินจะประเมินหลิวฮุยสูงขนาดนี้!
แม้แต่หลิวฮุยเองยังตกตะลึงที่ได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง ยืนยิ้มโง่ๆ อยู่อย่างนั้น
หลินสวินครุ่นคิดแล้วพูดว่า “แต่จุดอ่อนของเจ้าก็ชัดเจนมากเช่นกัน นั่นคือช้าเกินไป อาจจะเพราะเจ้าขาดการฝึกฝน หรือควรพูดว่าที่ผ่านมาเจ้าฝึกการสลักวิญญาณน้อยมากอย่างแท้จริง ต่อไปข้าแนะนำให้เจ้าทุ่มเทเวลากว่านี้อีกหลายๆ เท่า ตั้งใจสั่งสมประสบการณ์ในการวาด”
หลิวฮุยยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเปลี่ยนไป ครู่ใหญ่ก็เผยความนับถือ กล่าวเสียงดัง “อาจารย์หลิน ข้าหลิวฮุยเลื่อมใสในตัวท่านอย่างยิ่ง!”
เห็นเช่นนี้สายตาของศิษย์ทุกคนที่มองหลินสวินต่างเผยความเคารพนับถือ ไม่หลงเหลือความดูถูกเหยียดหยาม สงสัยในความสามารถ ขัดเคืองและไม่เลื่อมใสเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ตอนนี้ในใจพวกเขา หลินสวินมีคุณสมบัติเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง ทั้งยังดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร ทำให้พวกเขาอดเลื่อมใสไม่ได้
มนุษย์เรามักบูชาคนเก่ง
ในศาสตร์การสลักวิญญาณก็เช่นกัน
ขณะนี้บรรดาอาจารย์ที่อยู่ห่างไปถอนหายใจอย่างไร้ข้อกังขา ชั้นเรียนแรกนี้หลินสวินสอนได้อย่างงดงาม!
แม้อายุน้อยด้อยประสบการณ์ แต่เขามีวิธีของตัวเอง ทำให้ศิษย์เลื่อมใสและสมควรแก่การยกย่อง
วิธีของปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ทำให้เกิด ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ นั้นโดดเด่นไม่เหมือนใครจริงๆ!
ด้านฟางจงเจียนกลับใบหน้าหม่นแสง ตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้ในใจจะไม่จำยอมและเดือดดาลแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนมันลงไป
“เหล่าฟาง ควรวางมือก็วางมือเถอะ แม้หลินสวินยังเด็ก แต่อย่าตัดสินคนที่ภายนอก ต่อไปเด็กคนนี้ต้องเจิดจรัสอย่างแน่นอน ขืนเจ้ายังตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา ต่อไป… เฮ้อ เจ้าลองกลับไปคิดดูให้ดีเถิด”
เสิ่นทั่วตบไหล่ฟางจงเจียน
ฟางจงเจียนเงียบไม่เอ่ยคำ
ในขณะที่พวกเขาคิดจะสลายตัว กลับเห็นว่าภายในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า หลินสวินลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวว่า “ในชั้นเรียนแรก ข้าพอจะจำชื่อและความสามรถในการสลักวิญญาณของทุกคนคร่าวๆ แล้ว ต่อไปข้าจะเจาะจงและให้คำชี้แนะที่แตกต่างกันตามความสามารถของพวกเจ้า แต่ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามส่วนบุคคล ดังคำที่ว่าอาจารย์ชี้ทาง การฝึกฝนขึ้นอยู่กับตัวเอง”
เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดต่อว่า “ตอนนี้ข้าจะอธิบายความเร้นลับของรอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรให้พวกเจ้า หลังจากเลิกเรียน ทุกคนจะต้องเข้าใจและควบคุมรอยสลักวิญญาณลายนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าในการเลื่อนเป็นนักสลักวิญญาณชั้นกลางในอนาคตอย่างแน่นอน”
ในขณะที่พูด หลินสวินพลิกมือไปใช้หินดินสอพองเขียนกระดานดำที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ
ขวับๆๆ
ลายเส้นที่วาดไหลลื่นดุจเมฆลอยสายน้ำไหล ทุกเส้นสายอ่อนช้อยประหนึ่งควันอาหารที่ลอยล่อง ลวดลายนั้นดูเก่าแก่ หนักอึ้ง ลึกล้ำ ราวกับภูเขาที่สลับทับซ้อนอย่างเป็นระเบียบ ราวกับคลื่นทะเลที่ซัดกระหน่ำอย่างเอาแต่ใจ ให้ความรู้สึกงดงามอย่างไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
เหล่าศิษย์หันไปมอง จากแรกๆ ที่ไม่สนใจ ไม่นานก็มองจนไม่สามารถละสายตาได้ จิตใจของพวกเขาถูกกลวิธีอันคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติของหลินสวินดึงดูดอย่างสิ้นเชิง
ความรู้สึกแบบนั้นราวกับดอกบัวที่โผล่พ้นผิวน้ำ เป็นธรรมชาติไร้ซึ่งการแต่งเติม
ความตะลึงงันพลันพลุ่งพล่านขึ้นในใจเหล่าศิษย์อย่างยากจะเก็บกลั้น พลิกมือกลับไปวาดรอยสลักวิญญาณ? แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
พลั่ก!
เพียงครู่เดียวหลินสวินก็โยนหินดินสอพองทิ้ง แต่บนกระดานดำได้อัดแน่นไปด้วยรอยสลักวิญญาณห้าธาตุผันแปรฉบับสมบูรณ์แล้ว
“จำไว้ ก่อนชั้นเรียนหน้าข้าต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจรอยสลักวิญญาณลายนี้ ผลการทดสอบจะนับรวมกับคะแนนสะสมของพวกเจ้า”
หลินสวินพูดง่ายๆ แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องเรียน
ส่วนศิษย์เหล่านั้นยังคงนิ่งอยู่กับที่ จ้องรอยสลักวิญญาณบนกระดานดำราวกับโง่งมไปแล้ว ภายในห้องเรียนอันกว้างใหญ่เงียบกริบไร้เสียง
…………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น