Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 397-398
ตอนที่ 397 ก้าวย่างชือน้ำแข็ง
โดย
ProjectZyphon
สามวันต่อมา ณ ภูเขาชำระจิต
หลินสวินพลันตื่นขึ้นจากการนั่งฌาน ดวงตาฉายแววตระหนก
ก่อนหน้านี้เขาราวกับฝันสวยงามเหนือจินตนา ในฝันเขาเห็นอสูรยักษ์ที่มีอยู่ในตำนานบรรพกาลตนแล้วตนเล่า
บ้างร่างปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร ทั้งตัวโปร่งแสงราวน้ำแข็ง เคลื่อนอยู่บนเก้าชั้นฟ้า กลืนเมฆคายหมอก ท่องไปอย่างโอหังทั่วแปดทิศ!
บ้างแบกศิลาโบราณไว้บนหลัง นั่งรักษาการณ์พื้นพสุธา ชำเลืองไปสุดสี่ทิศ!
บ้างนั่งยองทับภูผานที คำรามครั้งเดียวก็สลายดวงดารา!
บ้างแปลงตัวเป็นสัญลักษณ์ลับ ปล่อยไอพลังยิ่งใหญ่มิอาจประมาณได้ องอาจดังพุ่งทะลุเมฆา!
……
อสูรยักษ์เหล่านั้นบ้างมีหัวมังกร บ้างมีกายมังกร บ้างมีเกล็ดมังกรปกคลุม บ้างก็มีหนวดมังกร กรงเล็บมังกร แปลกประหลาดเหลือล้น ไม่มีตนใดที่ไม่น่ากลัวเลยสักตน!
หลินสวินไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าเหตุใดตนถึงได้ฝันประหลาดเช่นนี้
ทำให้แม้ตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังคงเหม่อลอยตื่นตระหนกอยู่บ้าง
‘นั่นดูเหมือนกับ…ชือน้ำแข็ง ป้าเซี่ย เฉาเฟิง ปี้อั้น… [1]อสูรเทพที่มีตัวตนอยู่เพียงในยุคบรรพกาล…’
หลังจากพอจะสงบจิตใจได้แล้ว หลินสวินไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วลอบพิจารณาที่มาที่ไปของอสูรยักษ์ที่อยู่ในฝัน
นี่ทำให้เขาอดตกใจระคนสงสัยอีกรอบไม่ได้ ทันใดนั้นก็พลันคิดอะไรออก เริ่มตระหนักรู้ถึงห้วงนิมิตแห่งความหยั่งรู้
ในห้วงนิมิตแห่งความหยั่งรู้ นอกจากประตูมรรคาสวรรค์ มุกนักบุญอมตะแล้ว ในตอนนี้ยังมีอักษร ‘เคราะห์’ อันโบราณลึกลับปรากฏออกมาอย่างสุกสกาวดุจโครงร่างฐานทอง
นี่คือสัญลักษณ์อักษรที่ก่อตัวขึ้นหลังผสานกระบวนรอยสลักวิญญาณทั้งเก้าที่แฝงอยู่ในเก้าศิลาประตูมังกร ภายในเก็บกักสิ่งตกทอดมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งไว้ นั่นคือ ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’!
ยามหลินสวินระลึกหยั่งรู้ถึงอดีตกาล ทันใดนั้นราวกับย้อนเวลากลับไปยุคบรรพกาลอีกครั้ง ตรงหน้าเห็นอสูรใหญ่ยักษ์ตนแล้วตนเล่า บ้างท่องไปในนภาอย่างโอหัง บ้างนั่งรักษาการณ์บนพื้นพสุธา…
ในโสตประสาทราวเกิดเสียงคำรามไม่ชัดเจนเสียงแล้วเสียงเล่าสะท้านจิตวิญญาณ
‘ที่แท้ก็เกี่ยวกับสิ่งนี้!’
หลินสวินเห็นเช่นนี้กลับสงบจิตใจลงไม่น้อย สามารถแน่ใจได้แล้วว่าฝันงดงามมหัศจรรย์นั้นได้รับอิทธิพลจากอักษร ‘เคราะห์’
‘ก็ไม่รู้ว่าสิ่งตกทอดนี้ตกลงคืออะไรแน่ เหตุใดถึงซ่อนไว้ภายในเก้าศิลาประตูมังกร ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยถูกพบเข้า’
หลินสวินสงสัย จิตใจจดจ่อเพื่อรับรู้
ในชั่วพริบตาเท่านั้น เงาร่างชือน้ำแข็งตนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสมอง มันเคลื่อนตัวอย่างงดงามทั่วเก้าชั้นฟ้า ท่องไปอย่างโอหังบุ่มบ่าม พุ่งทะลุชั้นเมฆผลุบๆ โผล่ๆ ช่างเป็นภาพที่แท้จริงของของ ‘มังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นตัว’ เสียจริง
ในเวลาเดียวกันนี้เอง บทความปริศนาตกทอดคลุมเครือท่อนหนึ่งท่วมท้นขึ้นในจิตใจของหลินสวินราวกระแสน้ำ
‘ก้าวย่างชือน้ำแข็ง มังกรเคราะห์ร่างแรก ใหญ่ได้เล็กได้ โผล่ได้ซ่อนได้ เมื่อใหญ่พลังจิตแก่กล้าดั่งทะลุเมฆหมอก เมื่อเล็กจะซ่อนรูปเร้นลักษณ์ เมื่อโผล่จะท่องไปอย่างโอหังกลางท้องฟ้าสุดหล้า เมื่อซ่อนจะเก็บงำภายในละอองเล็กในเขาพระสุเมรุ การเปลี่ยนร่างนี้คือเคล็ดลับแห่งการเคลื่อนกาย..’
หนึ่งถ้วยชาให้หลัง
ดวงตาหลินสวินฉายวาบขึ้น สีหน้าตกตะลึง
ก้าวย่างชือน้ำแข็ง!
สิ่งตกทอดของมังกรเคราะห์ร่างแรก นี่ก็คือวิธีก้าวเท้าโบราณที่คลุมเครือซับซ้อนที่สุดท่าหนึ่ง ย่างขึ้นไปสามารถท่องไปในนภา ก้าวลงมาสามารถบทจรไปในสมุทรนที เมื่อใหญ่จะคายเมฆกลืนหมอก เมื่อเล็กจะสามารถซ่อนเร้นในเขาพระสุเมรุ!
เมื่อฝึกถึงขั้นสูงสุด เหยียบย่างไปก้าวเดียวก็เสมือนชือน้ำแข็งทะยานฟ้า ถึงขั้นที่สามารถใช้โจมตีพิฆาตศัตรู!
หลินสวินไม่เคยฝึกวิชาการเคลื่อนกายโดยสมบูรณ์มาก่อน แต่เขามีประสบการณ์ต่อสู้มากล้น จะดูความแข็งแกร่งของก้าวย่างชือน้ำแข็งนี้ไม่ออกได้อย่างไร
ย่อมขนานนามได้ว่าเป็นเคล็ดลับสุดยอดแห่งโลกา!
เมื่อหลินสวินยังต้องการหยั่งรู้ ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ นั้นอีก กลับค้นพบอย่างน่าตกใจว่า อักษร ‘เคราะห์’ นั้นราวกับถูกบดบังด้วยกำแพงไร้รูป ทำให้เขาหยั่งรู้ต่อได้ยาก
“หรือว่าต้องสำเร็จย่างก้าวชือน้ำแข็งโดยสมบูรณ์เท่านั้น ถึงจะเรียนรู้สิ่งตกทอดถัดไปจากร่างแรกได้”
หลินสวินพึมพำ ไม่นานนักก็ส่ายหัว ไม่คิดมากไปกว่านี้อีก
ผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร ทั้งยังได้รับวิชาลับตกทอดโบราณอย่าง ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ โดยเหนือความคาดหมายก็ทำให้หลินสวินพอใจแล้ว
วิธีการต่อสู้ที่เขาเชี่ยวชาญตอนนี้ขาดเพียงวิธีเคลื่อนตัวที่เหมาะสม พูดได้ว่า หลังจากมีก้าวย่างแห่งชือน้ำแข็งแล้ว ก็จะทำให้ฝีมือการต่อสู้ของเขาสมบูรณ์ขึ้นไปอีกขั้น
……
“นายน้อย ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว”
เมื่อหลินสวินเดินออกมาจากห้องฝึกปราณลับก็เห็นว่าหลินจงยืนรอตรงนั้นอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่สีหน้าของเขาเจือแววเป็นทุกข์ พาให้หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้
“ลุงจง หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลินสวินเอ่ยถาม
“นายน้อย ตั้งแต่ท่านเริ่มปิดด่านเก็บตัว ตลอดสามวันมานี้ไม่รู้ว่ามีขุมอำนาจมากน้อยเท่าไรส่งคนมาเยี่ยมเยือน จนถึงตอนนี้แค่เทียบเข้าเยี่ยมก็ได้รับมากองโตแล้ว และด้วยขุมอำนาจเบื้องหลังเทียบเหล่านี้ล้วนไม่อาจดูเบาได้ จึงต้องให้ท่านตัดสินใจด้วยตนเองขอรับ”
หลินจงพูดพลางนำหลินสวินเข้าไปในตำหนักชำระจิต นำเทียบเข้าเยี่ยมกองโตที่จัดระเบียบไว้ก่อนแล้วออกมา มันกองสูงเท่าครึ่งคน อย่างน้อยก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยเทียบ
หลินสวินประหลาดใจ “เยอะขนาดนี้เชียวหรือ”
เขาลองพลิกดู ก็เห็นว่ามีทั้งที่มาจากผู้มีอำนาจมากมายในนครต้องห้าม ทั้งจากขุนนางใหญ่ชายแดน หลากหลายที่มานัก
อีกทั้งนี่ยังเป็นส่วนที่ผ่านการคัดแล้วคัดอีกจากหลินจง ถ้าเอามาทั้งหมดจะต้องมีมากกว่านี้แน่!
“นายน้อย ท่านคงไม่รู้ว่าตอนนี้ชื่อเสียงของท่านในนครต้องห้ามบรรยายได้ด้วยคำว่าดุจตะวันยามเที่ยงเท่านั้น! ผู้คนบนโลกใครเลยจะไม่รู้ว่า เจ้านายแห่งภูเขาชำระจิตของพวกเราเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอายุน้อยที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า”
ยามหลินจงเอ่ยปากมีความภูมิใจแฝงอยู่ในน้ำเสียง ทว่าจากนั้นเขาก็ทำหน้าลำบากใจ “แต่ก็เพราะเช่นนี้ แขกที่มาเยือนภูเขาชำระจิตของพวกเราในช่วงสองสามวันนี้จึงมีมากเสียเหลือเกิน บางคนไล่กลับไปยากนัก ถ้าท่านยังไม่ออกมาอีกล่ะก็ บ่าวคงกังวลใจจนกินไม่ลงแล้วขอรับ”
หลินสวินชะงักไปเล็กน้อยค่อยโยนเทียบเข้าเยี่ยมทิ้ง กล่าวว่า “ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรือ ไม่ว่าใครก็จะไม่พบทั้งนั้น ต่อไปท่านอย่าได้สนใจของพวกนี้เลย”
“เอ่อ นายน้อย เช่นนี้ดูไม่เหมาะกระมังขอรับ”
หลินจงพูดขึ้นอย่างลังเล
“ยามมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไม่เห็นแม้เงาพวกเขา พอวันนี้มีเรื่องงดงามน่ายินดีกลับแย่งกันกระตือรือร้น เทียบเข้าเยี่ยมพวกนี้ไม่สนใจก็ไม่เห็นเป็นไร”
หลินสวินกล่าวต่อ “แล้วอีกอย่าง ตอนนี้พวกเขามาเยี่ยมข้า ไม่ใช่ข้าขอร้องพวกเขาเสียหน่อย สิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ในมือข้า ข้าไม่สนใจพวกเขาแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”
“แต่…เช่นนี้จะถูกผู้อื่นตำหนิตระกูลหลินของพวกเราหรือไม่ขอรับ”
หลินจงเอ่ย
“ก็ปล่อยพวกเขาพูดไปสิ ลุงจง ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว”
พูดถึงตรงนี้หลินสวินพลันนึกอะไรได้แล้วเอ่ยว่า “จริงสิ มีเรื่องหนึ่งที่ยังต้องขอแรงท่านเป็นธุระให้หน่อย”
“เชิญนายน้อยพูดขอรับ”
หลินจงรีบกล่าว
“หลังจากนี้สามวัน เชิญปรมาจารย์อวี๋เป่ยโต้วแห่งภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ ปรมาจารย์เฉิงจิ่งแห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ กับปรมาจารย์เสิ่นทั่วแห่งสำนักศึกษามฤคมรกตให้มาพร้อมกัน”
หลินสวินกล่าวเสียงขรึม
“เช่นนี้ดียิ่งนักขอรับ หลายวันนี้พวกเขาส่งคนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด ตั้งหน้าตั้งตาอยากจะพบท่านเร็วหน่อย”
หลินจงพูดอย่างยินดี
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า “ลุงจง ท่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ให้ข้าฟังที”
หลินจงไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนเล่าสิ่งที่ได้พบเห็นในหลายวันนี้ออกมาโดยละเอียด
ได้รู้ว่าชื่อเสียงของตนในตอนนี้เลื่องลือไปทั่วทั้งนครต้องห้ามแล้ว ก่อให้เกิดความอึกทึกคึกโครมครั้งใหญ่ หลินสวินก็พลันหัวเราะ ไม่ใช่เพราะภูมิใจในตัวเอง แต่เพราะรู้สึกราวได้ยกภูเขาออกจากอก
ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเข้ามาในนครต้องห้าม ในสถานการณ์ที่มีทั้งศึกในศึกนอก เขาก็ง่วนอยู่กับการเอาชีวิตรอดโดยตลอด วิ่งวุ่นไปทั่วทุกแห่ง ใช้สิ้นแรงกายแรงใจ ไม่เคยได้หยุดพักเลยแม้ขณะเดียว
แต่ตอนนี้ ด้วยฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ ในที่สุดก็หยัดยืนอย่างมั่นคงในนครต้องห้ามได้โดยสมบูรณ์ ทำให้สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตดีขึ้นอย่างใหญ่หลวง หลินสวินจะไม่พึงพอใจได้อย่างไร
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ด้วยเรื่องนี้ทำให้หลินสวินมีอำนาจในการพูดมากขึ้น ล้วนเป็นผลดีที่ไม่อาจประเมินค่าได้ต่อการแก้ปัญหาเรื่องบรรลุขั้นของจูเหล่าซาน แก้มารพบเคราะห์ที่อยู่ในกายพญาแร้ง รวมทั้งการสร้างความมั่นคงและแผ่ขยายอำนาจของภูเขาชำระจิตในภายหลัง
นี่ ก็คือการยิงธนูนัดเดียวได้นกหลายตัวที่เขาเคยพูดกับพญาแร้ง!
“นายน้อย บ่าวยังมีเรื่องจะแจ้งอีกเรื่องหนึ่งขอรับ”
หลินจงพลันเอ่ยปาก “เมื่อวานนี้สายตระกูลรองธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุส่งคนมา บอกว่าหากให้พวกเขาได้กลับมายังภูเขาชำระจิต มีสิทธิ์ครอบครองอำนาจในตระกูลส่วนหนึ่งอีกครั้ง พวกเขาจะนำคนในตระกูลกลับมาโดยทันทีขอรับ”
หลินสวินหรี่ตาลงอย่างประหลาดใจเล็กน้อย นิ่งไปครู่หนึ่งค่อยยิ้มหยันเอ่ยว่า “ดูท่าพวกเขาคงใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่อยู่แล้วล่ะสิ”
หลินจงพูดพลางหัวเราะ “แน่นอนขอรับ ได้ยินว่ากิจการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาสามตระกูล ทุกเดือนล้วนเสียหายไปหลายล้านเหรียญทอง โกลาหลไปทั้งสามตระกูล เสียงร้องด้วยความเคียดแค้นดังไปทั่วถนน เกิดเป็นสถานการณ์วุ่นวาย แต่ตอนนี้นายน้อยได้เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณโดยราบรื่น ชื่อเสียงสะเทือนนครต้องห้าม ยังผลให้ชื่อเสียงของภูเขาชำระจิตของพวกเราพลอยดีขึ้นตามไปด้วย ในสถานการณ์ที่ตนตกต่ำอีกฝ่ายกลับรุ่งเรืองเช่นนี้ พวกเขาจะนั่งติดที่อยู่ได้อย่างไรขอรับ”
หลินสวินถามออกไปคล้ายขบคิด “ลุงจง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”
หลินจงกุมมือ “ล้วนให้นายน้อยเป็นผู้ตัดสินใจขอรับ”
หลินสวินชะงักเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “ลุงจง เช่นนั้นท่านก็ไปบอกพวกเขาว่า คิดจะกลับภูเขาชำระจิตงั้นหรือ ง่ายมาก รับปากข้ามาสองข้อก็ได้แล้ว”
หลินจงพูด “เงื่อนไขสองข้อไหนขอรับ”
“ข้อแรก ให้พวกเขานำสมบัติที่ชิงไปจากภูเขาชำระจิตในตอนนั้น คืนมาให้หมด! ห้ามขาดแม้แต่ชิ้นเดียว!”
น้ำเสียงหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาสีดำมีแต่แววเยียบเย็น “สอง ส่งตัวโจรที่ร่วมมือกับศัตรูภายนอก เข้ามาแบ่งฮุบสมบัติของตระกูลหลิน ไม่ว่าใคร ไม่ว่ามีฐานะใด ให้ฆ่าเสียให้เหี้ยน!”
หลินจงใจกระตุกวูบ สีหน้ากลับตื่นเต้นหาใดเปรียบ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ควรทำเช่นนี้ยิ่งขอรับ!”
“ถ้าพวกเขารับปาก ข้ายินดีต้อนรับพวกเขากลับสู่ภูเขาชำระจิตทุกเมื่อ”
หลินสวินสูดหายใจลึกแล้วพูดช้า ๆ ว่า “ถ้าไม่รับปาก ก็รอข้าไปเยือนถึงที่และสะสางเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองทีหลัง!”
“ขอรับ”
หลินจงรับคำสั่งแล้วจากไป
ส่วนหลินสวินนั่งอยู่ในโถงใหญ่เพียงคนเดียว ครุ่นคิดครูหนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆ “คิดจะให้ข้าอภัยให้พวกเจ้าง่ายๆ หรือ เสียสติเพ้อเจ้อ!”
เขาเกลียดคนในตระกูลที่ทรยศในตอนนั้นมากจริงๆ ไม่รู้จักแก้แค้นให้คนในตระกูลที่สิ้นไป กลับสมคบกับคนนอกมาแบ่งสมบัติของตระกูลตน นี่มันควรได้รับพันดาบหมื่นเคราะห์!
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ทำให้จิตใจหลินสวินต้องกล้ำกลืนความแค้นที่ไม่อาจปิดบังได้ไว้ ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะไว้ชีวิตอีกฝ่ายอย่างง่ายดายได้อย่างไร
ไม่นานนักหลินสวินก็ออกจากตำหนักชำระจิต เดินอ้อยอิ่งทั่วภูเขาเสียรอบหนึ่ง
ทุกที่ที่เขาเดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นข้ารับใช้ชายหญิงหรือว่าคนจากสายแสงอุดรเหล่านั้น ล้วนโค้งคำนับให้ ใบหน้าแต้มไปด้วยความเคารพยำเกรงและชื่นชมยกย่อง
นั่นคือความเคารพสยบยอมที่มาจากภายในจิตใจ เห็นชัดว่าหลายวันมานี้พวกเขาก็ได้ยินวีรกรรมที่หลินสวินก่อในนครต้องห้ามมาแล้ว ดังนั้นท่าทีที่มีต่อหลินสวินย่อมแปรเปลี่ยนไป
และในเวลานี้เอง หลินสวินถึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการเป็นเจ้าแห่งยอดเขาหนึ่งอย่างแท้จริง
แน่นอนว่านี่ยังห่างไกลกับที่เขาคาดไว้มากนัก อย่างน้อยรอให้เขาสะสางศึกในศึกนอกของตระกูลหลินได้อย่างแท้จริง ตัวเขาในตอนนั้นจึงจะเป็นนายแห่งตระกูลหลินอย่างเต็มภาคภูมิ!
——
[1] ชือ (ชือเหวิ่น) ป้าเซี่ย เฉาเฟิง และปี้อั้น คือสี่บุตรมังกรจากบุตรมังกรทั้งเก้าที่มีรูปลักษณ์และนิสัยแตกต่างกันไป ทั้งนี้ลำดับและรายนามของบุตรมังกรทั้งเก้าล้วนมีบันทึกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้บันทึกในแต่ละตำรา
ตอนที่ 398 สถานการณ์ไม่สงบ
โดย
ProjectZyphon
ตระกูลหลินแห่งธารประจิม
หลินเทียนหลงเยื้องย่างแช่มช้าโดยลำพัง คิ้วเขาขมวดมุ่น ท่าทางมีเรื่องหนักใจ เหม่อลอยเป็นครั้งคราว
ตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าหลินสวินกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณเมื่อหลายวันก่อน เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอด ไม่เคยได้หยุดขมวดคิ้ว
หลินสวินผงาดรวดเร็วเกินไปแล้ว!
รวดเร็วจนเขาตั้งรับไม่ทัน ยามรับรู้ได้ว่าปัญหารุนแรง ทุกอย่างก็เริ่มไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
อย่างแรก นครต้องห้ามเวลานี้ใครๆ ต่างรู้ว่าพวกเขาตระกูลหลินสายรองทั้งสาม ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุกับหลินสวินนั้นเหมือนน้ำกับไฟ ต่างเป็นศัตรูของอีกฝ่าย
อำนาจของหลินสวินที่รุ่งเรืองขึ้น สำหรับพวกเขาสามสายตระกูลรองแล้วย่อมส่งผลกระทบหนักหน่วงหาใดเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย พาให้สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่สู้ดีนัก
หากมีเพียงเท่านี้ก็คงไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้กิจการที่อยู่ใต้การควบคุมของพวกเขาสามสายตระกูลรองก็ได้รับผลกระทบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกเดือนเสียหายไปอย่างน้อยหลายล้านเหรียญเหรียญทอง!
ความเสียหายเลวร้ายหนักหน่วงนี้เริ่มทำให้พวกเขาเจ็บเนื้อเจ็บตัวแล้ว สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก มีแต่ความวุ่นวายไม่สงบ!
แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าหลินเทียนหลงจะพยายามอย่างไร กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ความรู้สึกนั้นเหมือนนั่งรอความตาย ทรมานเสียจนหลินเทียนหลงใกล้แหลกสลาย
หัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมที่เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะเช่นเขา ในตอนนี้กลับถูกบีบคั้นถึงจุดนี้ ช่าอเนจอนาถยิ่ง
แต่หลินเทียนหลงก็อับจนหนทาง
บนภูเขาชำระจิต ข้างกายหลินสวินมีจูเหล่าซานและหลินจงคุ้มครอง มีการสนับสนุนจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดร คิดจะสังหารหลินสวินก็มีแต่ต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหาใดเทียบ ไม่เช่นนั้นหากเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามย่อมเสียหายขึ้นถึงสองเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจที่หลินสวินมีก็ไม่ได้ธรรมดาเช่นนั้น ข้างกายเขายังมีความช่วยเหลือจากมหาอำนาจอย่างอัครการค้า ตระกูลหนิงกองทัพเลือดเหล็ก ตระกูลกงตุ๊กตาล้มลุก ตระกูลเย่ราชันแห่งทะเลตะวันออกอีก
ในสถานการณ์เช่นนี้จะให้หลินเทียนหลงกล้าเคลื่อนไหวอย่างมุทะลุได้อย่างไร
ที่ต้องรู้ก็คือ หลินสวินเกือบสังหารฮวาอู๋โยวได้ อีกทั้งยังให้จูเหล่าซานทำร้ายฮวาเชียนเฉิงจนบาดเจ็บสาหัส และยังล่วงเกินฮวาชิงหลินอย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายตระกูลฮวาก็ยังไม่กล้าสังหารหลินสวินทันทีมิใช่หรือ
ขนาดลูกหลานสองคนจากตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลซ่งถูกหลินสวินเล่นงานที่หอสรวลทรัพย์ จนถึงท้ายที่สุดก็ไม่มีการสะสางเรื่องราว
ตระกูลฮวาและตระกูลซ่งเป็นถึงสองตระกูลที่อยู่ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด! อำนาจคับฟ้าแค่ไหน เบื้องหลังใหญ่โตเพียงใด
ขนาดพวกเขายังเลือกรามือชั่วขณะ แล้วหลินเทียนหลงจะกล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามได้อย่างไร
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลายวันก่อนเขาส่งมารเฒ่าฉวี่ไปภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ เดิมวางแผนจะร่วมมือกับลิ่งหูซิว คว้าโอกาสควบคุมหลินสวินให้อยู่หมัด
ใครจะคิดว่า สุดท้ายแล้วหลินสวินไม่เพียงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด กลับปลุกปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ ได้จนสะเทือนทั่วนครต้องห้าม กลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่ง ชื่อเสียงรุ่งโรจน์ราวอาทิตย์เที่ยงวัน
ส่วนลิ่งหูซิวกลับพลันตัดสัมพันธ์กับตระกูลหลินสายรองทั้งสามอย่างหมดเยื่อใย แสดงให้เห็นว่ามิตรภาพที่เคยมีมานั้นสิ้นสุดลง ไม่ไปมาหาสู่อีก
ส่วนมารเฒ่าฉวี่ที่ถูกฝากความหวังใหญ่โตนั้นก็หายตัวไปเลย หาร่องรอยไม่พบอีก ต่อให้หลินเทียนหลงโง่เขลากว่านี้ก็รู้ว่ามารเฒ่าฉวี่นั้นกลัวเข้าแล้ว! หนีไปแล้ว!
เรื่องราวที่เกิดขึ้นติดต่อกันนี้ช่างเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด โจมตีหลินเทียนหลงจนรับมือไม่ทัน สับสนวุ่นวาย จะมีใจไปประมือกับภูเขาชำระจิตอีกได้อย่างไร
ไม่เพียงหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซานจากคานเมฆา หลินผิงตู้จากยอดวายุต่างอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับหลินเทียนหลงเลย
ในที่สุดหลังจากทั้งสามละล้าละลังอยู่นาน ก็ตัดสินใจว่าจะ ‘เจรจา’ กับหลินสวินดู!
ขอเพียงหลินสวินยินยอมให้พวกเขากลับไปยังภูเขาชำระจิตอีกครั้ง และควบคุมอำนาจตระกูลส่วนหนึ่ง พวกเขาย่อมนำคนในตระกูลกลับไป
การตัดสินใจนี้น่าอับอายโดยไม่ต้องสงสัย!
ให้พวกเขาผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะก้มหัวให้เด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หากแพร่งพรายออกไป น่ากลัวจะกลายเป็นเรื่องน่าขันอย่างมาก
แต่ทำอย่างไรได้ สถานการณ์ไม่อาจควบคุมได้ พวกเขาไม่ควรคำนึงถึงแค่ตนเองเท่านั้น ยังต้องคิดถึงคนในตระกูลด้วย แม้จะอดสูกว่านี้ก็ต้องยอมรับ
“ก็ดูว่า…เด็กคนนี้จะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วกัน…”
หลินเทียนหลงถอนหายใจยาวอยู่ในใจยามเยื้องย่างในคฤหาสน์ใหญ่โตของตระกูล
หลายวันมานี้เพราะกิจการที่อยู่ใต้การควบคุมถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียหายใหญ่หลวง ยังผลให้หลินเทียนหลงไม่อาจไม่สั่งการให้ประหยัดกินประหยัดใช้ ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ทั้งไล่ข้ารับใช้และผู้ดูแลต่างสกุลออกไปหลายคน
ก็เหมือนตอนนี้ หลินเทียนหลงเดินเยื้องย่างไปทั่วทุกที่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อนแล้ว ถึงกับเห็นเงาร่างของข้ารับใช้ชายหญิงได้น้อย ดูแล้วเหน็บหนาวไร้ชีวิตชีวา
“เฮ้อ ชีวิตแบบนี้อยู่ไม่ได้เลย ข้าไม่ได้ไปเพลิดเพลินที่หอสรวลทรัพย์มาสามเดือนแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้อึดอัดตายแน่”
“ให้ตายสิ พูดไปก็ไม่ชินเลย แต่ก่อนยามข้าออกจากบ้าน ข้ารับใช้มากมายราวผืนเมฆ ปรนนิบัติล้อมหน้าล้อมหลังขึ้นเกี้ยววิจิตร นั่งรถลากงดงาม ไปมายังสถานที่หรูหราชั้นสูง ครั้นเรียกเพื่อนฝูงมา ก็มารวมตัวกันแน่นขนัด แต่ตอนนี้…เฮ้อ อย่าพูดเลยดีกว่า”
เสียงคับแค้นใจดังขึ้นจากที่ไกลๆ
หลินเทียนหลงในใจรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยมีดอย่างโหดเหี้ยม สีหน้าเหยเก
ในที่สุดเขาก็สูดหายใจลึก หันกายออกมาแล้วเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง
ในหลายวันนี้เขาได้ยินเสียงคับแค้นใจลักษณะนี้ไม่เพียงครั้งเดียว ส่วนใหญ่เป็นพวกลูกหลานวัยเยาว์ในตระกูล เมื่อก่อนเคยชินกับชีวิตหรูหรามีกินมีใช้ บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเป็นลำบาก จะไม่ให้จิตใจหม่นหมอง ระบายความรู้สึกไม่พอใจก็เป็นเรื่องยาก
แต่หลินเทียนหลงคิดจะหลีกหนี กลับไม่สามารถทำได้ตามหวังเอาเสียเลย ไม่นานนักก็มีเสียงคับแค้นใจดังขึ้นอีก
“ชิชะ เจ้าหลินสวินนั่นมันเก่งกาจเสียจริง เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุไม่ถึงสิบหกปี ได้ยินว่าขนาดเฟิงชิงโยวยังถูกเขากำราบ”
“แค่นี้เสียที่ไหนกัน ตอนนี้กลุ่มอำนาจใหญ่อย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ และสำนักศึกษามฤคมรกตยังสู้กันเพื่อแย่งตัวหลินสวินเข้าสำนักเลยนะ!”
“เป็นแบบนี้ ภูเขาชำระจิตนั่นคงเจริญขึ้นในเร็ววันแน่ ด้วยความสามารถของหลินสวินในตอนนี้ ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินใช้แล้ว!”
“เฮ่อ ถ้า…ข้าพูดว่าถ้านะ ถ้าพวกเราตระกูลหลินสายธารประจิมเอาอย่างสายแสงอุดร กลับไปยังภูเขาชำระจิตเสียแต่เนิ่นๆ สถานการณ์ของพวกเราจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
สีหน้าหลินเทียนหลงเขียวขึ้นอย่างหาใดเปรียบ เสียงคับแค้นใจเหล่านี้ล้วนมาจากผู้โดดเด่นในหมู่คนในตระกูลรุ่นเยาว์ แต่ตอนนี้พวกเขากลับสรรเสริญและอิจฉาหลินสวินแห่งภูเขาชำระจิต!
นี่มันช่าง…
ช่างเป็นการตบหน้าเขาหลินเทียนหลง!
แต่ท้ายที่สุดหลินเทียนหลงก็สูดหายใจลึก ฝืนตนระงับโทสะในใจ สะบัดแขนเสื้อแล้วหันร่างจากมา ไม่เดินไปเรื่อยอีก
ช่วยไม่ได้ เขากังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนคงโกรธจนกระอักเลือดออกมาแน่!
เมื่อกลับมายังโถงใหญ่ของตระกูล หลินเทียนหลงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยลำพัง นิ่งงันเหม่อลอย
ความร้ายแรงของสถานการณ์ในตระกูลมาถึงจุดอันตรายในขั้นที่ใกล้ล่มสลายแล้ว ใจคนเริ่มแตกกระสานซ่านเซ็น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องให้หลินสวินลงมือ ธารประจิมก็ล่มสลายเองได้!
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเภทภัยที่หลินสวินชักนำมาให้
ที่ทำให้หลินเทียนหลงกังวลใจที่สุดนั้นก็คือ นับตั้งแต่วันที่หลินสวินเข้ามาในนครต้องห้าม เพิ่งผ่านไปครึ่งปีเท่านั้น ในช่วงเวลาอันสั้นนี้หลินสวินสามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อยจะทำได้ถึงขนาดไหน
หลินเทียนหลงพลันนึกขึ้นได้ เมื่อตอนแรกหลินสวินเคยสัญญาไว้ว่าจะให้เวลาสามตระกูลสายรอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุได้พิจารณาสามปี
ขณะนั้นพวกเขายังดูถูกอย่างยิ่ง คิดว่าหลินสวินลำพองเกินไปแล้ว แต่ตอนนี้…
หลินเทียนหลงไม่อาจไม่ยอมรับว่า ไม่ใช่หลินสวินที่ลำพอง แต่เป็นพวกเขาเสียเองที่ผิดพลาดใหญ่โต ประเมินศักยภาพอันน่ากลัวที่หลินสวินมีต่ำเกินไปมาโดยตลอด!
นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีก็ทำให้อำนาจของพวกเขาสามตระกูลตกอยู่ในสภาวะวุ่นวาย จิตใจผู้คนกระสานซ่านเซ็น เห็นเช่นนี้แล้ว ไม่ต้องใช้เวลาถึงสามปีพวกเขาก็ล่มสลายได้โดยสิ้นเชิง
“ท่านหัวหน้าตระกูล มีข่าวจากภูเขาชำระจิตขอรับ!”
ทันใดนั้นนอกโถงใหญ่ก็มีเสียงดังขึ้น ปลุกให้หลินเทียนหลงที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดตื่นขึ้นมา
ใจเขากระตุกไหว ถามอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ว่าอย่างไร”
บ่าวที่มารายงานนั้นมีสีหน้าแปลกไป ลังเลไม่หยุด ราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ใจหลินเทียนหลงพลันเกิดความรู้สึกไม่ดี พูดเสียงขรึมว่า “พูดมา”
“หลินสวินผู้นั้นกล่าวว่า จะให้พวกเรากลับไปยังภูเขาชำระจิตนั้นย่อมได้ แต่ต้องรับปากมาสองข้อ”
บ่าวรับใช้สูดหายใจลึก เอ่ยขึ้นช้าๆ
หลินเทียนหลงร้องอืม “เงื่อนไขอะไร”
“ข้อแรก ส่งคืนสมบัติทั้งหมดที่นำออกไปจากภูเขาชำระจิตในตอนนั้น ขาดไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว”
บ่าวมีน้ำเสียงวิตก
หลินเทียนหลงหรี่ตาลง ฝืนควบคุมโทสะในใจตนไว้แล้วกล่าวว่า “เงื่อนไขนี้แม้จะเกินไปหน่อยแต่ไม่ถึงกับรับปากไม่ได้ แล้วเงื่อนไขข้อที่สองคืออะไร”
“ส่งตัว…โจร…ที่ตอนนั้นร่วมมือกับอำนาจภายนอกสมคบคิด…สมคบคิดกันเข้ามาแบ่งฮุบสมบัติของตระกูลหลิน…มาฆ่าให้หมดขอรับ!”
เสียงนี้เหมือนมีพลังราวพันจิน เมื่อพูดออกมา หน้าผากของบ่าวก็ชโลมไปด้วยเหงื่อเย็น
โครม!
ในชั่วพริบตาเท่านั้น โทสะและความแค้นที่หลินเทียนหลงเก็บอยู่ในใจมานานก็ปะทุขึ้นราวภูเขาไฟระเบิด อดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป ฝ่ามือของเขาตบลงไปบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
เศษไม้ลอยกระจาย สลายกลายเป็นผงระเบิดออก!
ส่วนสีหน้าของหลินเทียนหลงนั้นเขียวบูดเบี้ยวถึงที่สุดแล้ว เขากัดฟันพูดว่า “รังแกกันมากไปแล้ว รังแกกันเกินไปแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่างมาว่าพวกข้าไม่ปราณีก็แล้วกัน! ไป ไปเชิญหัวหน้าตระกูลสายคานเมฆาและยอดวายุมา!”
เสียงพูดเพิ่งเงียบลง ก็พบว่านอกโถงมีเงาร่างสองร่างเดินเข้ามา ที่แท้ก็เป็นหลินเนี่ยนซานกับหลินผิงตู้ ชัดเจนว่าพวกเขารู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้วจึงรีบมา
“เทียนหลง หลังจากเหตุนองเลือดนั้น ที่นำกิจการกับสมบัติออกไปจากภูเขาชำระจิตไม่ได้มีแค่พวกเราสามตระกูล แต่ตอนนี้พวกเราสามบ้านกลับมีภัยร้ายมาเยือน ก็ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มอำนาจพวกนั้นมาออกหน้ากันบ้าง!”
ทันทีที่เข้ามา หลินเนี่ยนซานก็พูดขึ้นอย่างขรึมเคร่ง
“นี่…”
หลินเทียนหลงยังลังเล เขารู้ดีว่าเมื่อตัดสินใจออกไป ก็เท่ากับยืนอยู่ฝั่งเดียวกับกลุ่มอำนาจเหล่านั้นโดยสมบูรณ์ ไม่มีทางย้อนกลับ!
“ไม่อาจลังเลได้อีกแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินนี่เห็นชัดว่าหมายจะสังหารให้ราบคาบ ในเมื่อเขาไร้ความปรานีเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าพวกเราไร้คุณธรรมก็แล้วกัน!”
หลินผิงตู้เอ่ยปาก น้ำเสียงแน่วแน่
“เรื่องนี้ จะปรึกษากับพวกผู้อาวุโสเสียหน่อยหรือไม่”
หลินเทียนหลงขมวดคิ้วแน่น ในใจขัดแย้งกัน
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
ทั้งสองคนที่เหลือเอ่ยปากพร้อมกัน พวกเขารู้ว่า หากถูกพวกผู้อาวุโสล่วงรู้เข้า ย่อมไม่ยินยอมให้ทำเช่นนี้โดยเด็ดขาด
“เช่นนั้น…”
สีหน้าหลินเทียนหลงแปลกไป ครู่ใหญ่จึงพูดพลางกัดฟันกรอดว่า “เช่นนั้นก็ทำอย่างนี้ก็แล้วกัน!”
……………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น