Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 393-396
ตอนที่ 393 แย่งกันเชิญชวน
โดย
ProjectZyphon
เสียงร้องมังกรดังกึกก้องออกจากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและดังไปทั่วทุกสารทิศ
เสียงดังสะเทือนฟากฟ้าจนปุยเมฆแตกกระจายออกจากกัน
ตามถนนตรอกซอกซอย ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างตกใจตัวแข็งค้าง หยุดการเคลื่อนไหวโดยพลัน บรรยากาศที่เดิมทีคึกคักเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง
บรรดาสัตว์วิญญาณและอสูรวิญญาณในเมืองต่างส่งเสียงโอดครวญ ตัวสั่นอยู่กับพื้น
เมื่อเสียงร้องมังกรอันทรงพลังและเก่าแก่ดังกังวานผ่านอาณาเขตผู้มีอำนาจภายในนคร ก็ทำให้เกิดความหวาดผวาไปทั่วเช่นเดียวกัน
“ช่างเป็นพลังที่น่าเกรงขามนัก!”
“เสียงดังสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน จะต้องเป็นปรากฏการณ์อะไรสักอย่างแน่ หรือจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในนครต้องห้าม?”
“มาจากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ!”
“ส่งคนไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ความรู้สึกอันน่าหวาดหวั่นพวกนั้นไหลวนอยู่ในเขตต่างๆ ภายในนครต้องห้าม ต่างรู้สึกถึงความแปลกประหลาดและสะท้านขวัญ
ส่วนพระราชวัง เจ็ดสิบสองยอดเขาของภูเขาแห่งอำนาจ สำนักศึกษามฤคมรกต กรมทหารแห่งจักรวรรดิ… สถานที่ที่มังกรซุ่มพยัคฆ์ซ่อนพวกนี้ ขณะนี้ก็มีการตอบสนองไม่ต่างกัน
เพียงชั่วขณะเดียว เสียงร้องมังกรที่เรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์นี้ได้ทำให้ทั่วทั้งนครต้องห้ามตกอยู่กลางความสั่นสะเทือน บังเกิดความโกลาหลยกใหญ่!
……
แต่ในยามนี้หลินสวินไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้ด้วย
ขณะนี้ในหัวของเขากำลังรับการถ่ายทอดอันเก่าแก่และมหาศาลอยู่!
พลังที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้นมหาศาลเกินไป เจิดจ้าดุจแสงเทพสีทอง ห้อทะยานเลื่อนลั่น ทั้งเก่าแก่และกว้างใหญ่ สุดท้ายได้หลอมรวมเป็นอักษรลับอันเก่าแก่… ‘เคราะห์’!
ตัวอักษรนี้ราวกับเป็นร่องรอยอารยะแห่งมหามรรค รุ่งโรจน์เป็นประกาย กำจายอานุภาพแห่งมังกรอันเก่าแก่และน่าสะพรึง ลึกลับไม่อาจคาดเดา
นี่ก็คือ ‘ความลับ’ ที่หลินสวินได้มาโดยบังเอิญ หลังจากผสานกระบวนวิญญาณทั้งเก้าเข้าด้วยกัน!
สืบทอดความลับที่มีชื่อว่า ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’!
อักษร ‘เคราะห์’ ที่สะท้อนอยู่ในหัวหลินสวินอย่างโดดเด่นเป็นประกายตอนนี้ ก็คือพลังที่ได้รับการสืบทอด หลังจากหลอมรวมกระบวนรอยสลักวิญญาณอันลึกลับซับซ้อนของเก้าศิลา!
แม้แต่หลินสวินเองยังคิดไม่ถึง ว่าหลังเสร็จสิ้นการทดสอบจะได้รับการสืบทอดเช่นนี้
หรือนี่จะเป็นสุดยอดความลับที่ซ่อนอยู่ในเก้าศิลาประตูมังกร
หลินสวินใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่มั่นใจ
ทันใดนั้นความเหนื่อยล้าเกินต้านพลันพุ่งขึ้นในใจ หลินสวินเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองใช้พลังจิตมากเกินไป จนมีทีท่าว่าจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว
ยามนี้เขาไม่กล้าคิดมากอีก สูดหายใจเข้าลึกๆ ลืมตาขึ้นและลุกจากแท่นประตูมังกร
หืม
พอกวาดสายตามองรอบๆ หลินสวินกลับพบอย่างแปลกใจว่า บรรยากาศนั้นช่างวังเวง เงียบสนิทแม้เข็มตกสักเล่มยังได้ยิน
เหล่านักสลักวิญญาณที่อยู่ภายในโถงต่างมีสีหน้าอึ้งงัน บ้างตกใจ บ้างก็เลื่อนลอย บ้างก็ตะลึง หรือไม่ก็ดูหวาดผวา…
ไม่มีใครพูดอะไร!
แต่ละคนราวกับกลายเป็นรูปปั้นไปแล้ว ดูผิดปกติเป็นอย่างมาก
หลินสวินอดมุ่นคิ้วไม่ได้ พอหันมองเหล่าคนตระกูลฉู่ก็พบว่าแต่ละคนสีหน้าหม่นแสง สิ้นหวังและย่ำแย่เกินจะเปรียบ
โดยเฉพาะฉู่ไห่ตงที่ใบหน้าซีดขาว สีหน้าซึมเซา ท่าทางหดหู่ราวกับถูกควักวิญญาณไป ดูผิดแผกอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนฉู่อวิ๋นคงที่อยู่ข้างๆ ฉู่ไห่ตงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ใบหน้าชราเต็มไปด้วยความห่อเหี่ยว เคียดแค้นและไม่จำยอม เจ็บปวดราวกับบิดามารดาสิ้นชีพก็ไม่ปาน
“ผู้อาวุโส ข้านับว่าผ่านการทดสอบแล้วใช่หรือไม่”
สุดท้ายหลินสวินหันสายตาไปทางลิ่งหูซิวที่อยู่ข้างๆ แล้วถามหยั่งเชิง
ทีแรกลิ่งหูซิวก็หน้าตาแข็งทื่อเช่นกัน พอได้ยินเช่นนี้พลันได้สติขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้ารัวๆ “โอ๊ะ อ้อ หา? เจ้า…ฟื้นแล้วหรือ”
เขาเบิกตาโตจ้องหลินสวิน ท่าทางทั้งแปลกประหลาดทั้งตื่นตะลึง
หลินสวินนิ่งเงียบ
ฟื้นแล้วงั้นหรือ?
เขาไม่รู้ว่ายามเกิดเสียงร้องแห่งเก้ามังกรเมื่อครู่นี้ ได้สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้คนในโถงมากเพียงใด แม้แต่ลิ่งหูซิวก็ไม่เว้น
จวบจนถึงตอนนี้จึงได้สติกลับมาอย่างครบถ้วน
ลิ่งหูซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน “หลินสวิน…อย่าได้ข้องใจอีกเลย ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างแท้จริงแล้ว อีกทั้ง…อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่วิเศษที่สุดในประวัติการณ์”
น้ำเสียงก็ซับซ้อนตามสีหน้าของเขาเช่นกัน
ราวกับจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่า ปรากฏการณ์เมื่อครู่นี้จะเกิดขึ้นกับนักสลักวิญญาณชั้นต้นที่อายุเพียงสิบกว่าปี
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ จากคำพูดของลิ่งหูซิวทำให้เขามั่นใจว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ดูเหมือนจะมีเพียงตนเท่านั้นที่ได้รับการสืบทอด ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’!
ฉับพลันนั้นหลินสวินพลันรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย รู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองใช้พลังไปมาก ใกล้จะทรงตัวไม่อยู่แล้ว
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินลงจากแท่นประตูมังกร
“คุณชายหลินสวิน ข้าน้อยเป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงจากโรงไหมทอแห่งนครต้องห้าม ข้ามีคำถามเกี่ยวกับการสลักวิญญาณอยากขอคำชี้แนะจากท่าน ไม่ทราบว่าท่านพอจะชี้แนะให้ข้าได้หรือไม่”
“คุณชายหลินสวิน ข้าน้อยเป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูง…”
“…”
ยังไม่ทันที่หลินสวินจะก้าวลงจากแท่นประตูมังกร ก็ถูกเหล่านักสลักวิญญาณที่เพิ่งได้สติจากความตื่นตะลึงเข้ามาล้อมเอาไว้ด้วยสีหน้าเคารพนับถืออย่างแรงกล้า
โดยเฉพาะชายชราคนหนึ่งในนั้นที่ตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้น “คุณชายหลินสวิน ข้าทึ่งกับฝีมืออันยอดเยี่ยมของท่านมาก และเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง ข้าขอเพียงฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน หวังว่าท่านจะเมตตา!”
ในฐานะนักสลักวิญญาณที่ลุ่มหลงศาสตร์การสลักวิญญาณ หลังจากได้เห็นฝีมือชั้นเลิศของหลินสวิน ใครบ้างจะยังทนไหว
พวกเขามีคำถามเป็นหมื่นล้านที่อยากถามหลินสวิน และหวังว่าจะได้รับการชี้แนะจากหลินสวิน
ยามนี้ในสายตาของพวกเขา หลินสวินไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปีอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นบุคคลที่สร้างปรากฏการณ์ระดับประวัติการณ์ ถึงขั้นสามารถขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณผู้ไร้ที่เปรียบ!
ปรมาจารย์คืออะไร
ก็คือตัวตนที่ก้าวข้ามความสามัญเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพในศาสตร์การสลักวิญญาณนั่นเอง!
“ต้องขออภัยทุกท่านด้วย ตอนนี้ข้าเหนื่อยเล็กน้อย อยากพักสักหน่อย”
หลินสวินอึ้งงันไปก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกลับมา เขารู้ว่าหลังจากผ่านการทดสอบ ทุกคนจะต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขา
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าเหล่านักสลักวิญญาณสูงอายุพวกนี้จะแสดงความกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ นี่ถือว่าเหนือความคาดหมายของเขานัก
“หึ! เป็นนักสลักวิญญาณกลับเสียกิริยาเช่นนี้ นี่จะใช้ได้ที่ไหน”
ทันใดนั้นเสียงเคร่งขรึมหนึ่งดังแว่วขึ้น ทำเอาทุกคนต่างหันสายตาไปมอง ก่อนจะเห็นเป็นอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงฉิ่ง เสิ่นทั่วและเหล่าคนใหญ่คนโตกำลังเดินเข้ามา
เฮือก
เหล่านักสลักวิญญาณในโถงต่างสูดหายใจ พลันสงบเสงี่ยม
แม้แต่เหล่าผู้ทรงอิทธิพลที่มีชื่อเสียงซึ่งปกติยากจะได้เห็นหน้าค่าตาเหล่านี้ยังตื่นตะลึงและมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่!
พวกเขาเงียบทันที ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้น
และสิ่งที่ทำให้พวกเขาถึงกับต้องอึ้งงันไปคือ แม้แต่อวี๋เป่ยโต้วที่ปกติสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึม ตอนนี้กลับเผยรอยยิ้มสดใส ก้าวไปอยู่ตรงหน้าหลินสวินกล่าวว่า “หลินสวิน ผลงานเมื่อครู่นี้ของเจ้าข้าล้วนเห็นทั้งหมด เรียกได้ว่าน่าตะลึงอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจเข้าไปรับตำแหน่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณหรือไม่”
ทุกคนต่างมีสีหน้าประหลาด นี่ยังใช่ปรมาจารย์อวี๋เป่ยโต้วที่พวกเขารู้จักอยู่หรือเปล่า มีใครเคยเห็นเขายิ้มหน้าบานขนาดนี้มาก่อนหรือไม่
“หลินสวินอย่าไปฟังเขามากไป ข้าคือเฉิงจิ่งจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ หากเจ้าเข้าสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือ ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร ขอเพียงสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือของข้าทำได้ รับรองว่าจะตอบสนองทุกความต้องการของเจ้า!”
เฉิงจิ่งก้าวไปอยู่ตรงหน้าหลินสวินเช่นกัน ดวงตาจ้องหลินสวินอย่างร้อนระอุ สายตาคู่นั้นราวกับกำลังมองสมบัติอันล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนอดตะลึงอีกครั้งไม่ได้ ปรมาจารย์เฉิงจิ่งแห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือผู้ที่เรียกได้ว่า ‘เข้มงวด’ มาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขา…เขากลับยื่นข้อเสนออย่างใจกว้างขนาดนี้เพื่อดึงตัวหลินสวิน นี่ผิดปกติมากไปแล้ว!
ทว่ายามเห็นปรมาจารย์เสิ่นทั่วจากสำนักศึกษามฤคมรกตเองก็ลุกขึ้นมา ประกาศตรงไปตรงมาว่าหากหลินสวินเข้าสำนักศึกษามฤคมรกต ไม่ว่ามีเงื่อนไขใดก็ย่อมพูดคุยกันได้ ทำเอานักสลักวิญญาณทั้งโถงต่างอึ้งค้างไปหมด
นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!
ทั้งภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกต… ถ้าเป็นนักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ได้รับการเหลือบแลเพียงเล็กน้อยจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็คงดีใจจนแทบคลั่งแล้ว
แต่ดูตอนนี้ หลินสวินยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ขุมอำนาจสามฝ่ายก็เข้ามาแก่งแย่งกันเอง ทั้งยังยื่นข้อเสนออย่างไม่ยอมแพ้กัน จะไม่ให้นักสลักวิญญาณในโถงอึ้งได้อย่างไร
“อะแฮ่ม หลินสวิน หากเจ้ายอมเข้าร่วม…”
จู่ๆ ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งกระแอมขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าหมายจะพูดแทรกขึ้นเพื่อแย่งตัวหลินสวิน
แต่เขายังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วที่สีหน้าไม่เป็นมิตรผรุสวาทเสียก่อน “ล้ำเส้นไปแล้ว!”
ผู้มีชื่อเสียงคนนั้นถอนตัวออกจากการแข่งขันอย่างจนปัญญาทันที
ทุกคนต่างสบตากันไปมา ในที่สุดก็ตระหนักได้แล้วว่า ผลงานก่อนหน้านี้ของหลินสวินทำให้พวกอวี๋เป่ยโต้วตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะต้องได้ตัวหลินสวินกลับไปไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!
ผลประโยชน์ระดับนี้ เกรงว่าคงมีเพียงหลินสวินคนเดียวที่จะได้รับ…
เหล่านักสลักวิญญาณต่างหดหู่ใจ พวกเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอิจฉา ริษยาก็ไม่ได้ ช่วยไม่ได้ ผลงานของหลินสวินน่าทึ่งจริงๆ ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่ยอมรับ แล้วจะไปริษยาได้อย่างไร
นี่คือฝีมือที่แท้จริง!
ความจริงหลินสวินในยามนี้ก็ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าเหนื่อยล้า พูดพร้อมยิ้มขื่น “ขอบคุณความเอ็นดูจากผู้อาวุโสทุกท่าน เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ขณะนี้ข้าน้อยเหนื่อยเกินไป ต้องการพักผ่อนอย่างเร่งด่วน เช่นนั้นไม่สู้…พวกเราค่อยคุยกันวันหลังดีหรือไม่”
กลับเห็นอวี๋เป่ยโต้วตบหน้าผากตัวเอง พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “เพราะข้าคนเดียว ลืมไปเลยว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังไม่พร้อม เอาอย่างนี้ เจ้าไปพักที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ ข้าจะให้คนไปเอาลูกกลอนโอสถที่สะสมเอาไว้ รับรองว่าเจ้าจะฟื้นตัวอย่างเร็วที่สุด!”
“หากพูดถึงโอสถ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือของข้ามีโอสถที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ หลินสวินเจ้าไปกับข้าตอนนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้ร่างกายเจ้าฟื้นตัว แต่ยังได้รับประโยชน์อย่างที่คิดไม่ถึงเลย!”
เฉิงจิ่งเชื้อเชิญพร้อมรอยยิ้ม
“เหอะๆ ทุกคนล้วนรู้ว่าสำนักศึกษามฤคมรกตของข้ามี ‘สระเทพเร้น’ ที่สามารถฟื้นฟูพละกำลังได้อย่างเหลือเชื่อ หลินสวินเจ้าไม่จำเป็นต้องด่วนตัดสินว่าจะเข้าสำนักศึกษามฤคมรกตหรือไม่ แต่ไปลองสัมผัสกับข้าตอนนี้ก่อนได้ เพียงได้ลองก็รู้แล้วว่ามีประสิทธิภาพอย่างที่ว่าหรือไม่”
เสิ่นทั่วพูดอย่างมั่นใจ
เหล่านักสลักวิญญาณที่อยู่รอบๆ ได้ยินแบบนี้ต่างหัวใจเต้นรัว หายใจหอบถี่ เพียงแค่หลินสวินต้องการพักสักหน่อยเท่านั้นก็ได้รับการดูแลพิเศษถึงเพียงนี้ กวาดตามองทั่วทั้งนครต้องห้าม ไหนเลยจะมีนักสลักวิญญาณคนใดที่ได้รับสิทธิพิเศษระดับนี้
ถูกเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นแบบนี้ ทำเอาหลินสวินแทบรับไม่ไหว
สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธทุกคำเชิญ และประกาศด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวว่าจะกลับไปทำสมาธิที่ภูเขาชำระจิต ไม่อยากเพิ่มภาระให้ทุกท่าน
‘หึ เจ้าหมอนี่หมายจะโก่งราคาชัดๆ ตอนนี้อำนาจตัดสินใจอยู่ในมือเขา จะเรียกแพงแค่ไหนก็ย่อมได้’
ไกลออกไป เฟิงชิงโยวที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ตลอดเห็นเช่นนี้แล้วก็ลอบหัวเราะเยาะในใจอย่างอดไม่ได้ มองจุดมุ่งหมายที่หลินสวินทำเช่นนี้ออก
ตอนที่ 394 ยิงธนูดอกเดียวได้นกหลายตัว
โดย
ProjectZyphon
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ แม้จะถูกหลินสวินปฏิเสธความหวังดี แต่อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วกลับไม่โกรธเลยสักนิด
ทั้งสามต่างรู้ดีว่าการจะได้ตัวยอดฝีมืออย่างหลินสวินไป อาศัยเพียงลมปากเท่านี้เป็นไปไม่ได้แน่
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการเวลากลับไปหารือกับฝ่ายของตัวเอง ว่าควรใช้อะไรเข้าแลกจึงจะได้ตัวหลินสวิน
สุดท้ายตอนที่หลินสวินกลับไป ได้เกิดเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ขึ้น
เหล่าผู้มีชื่อเสียงในศาสตร์การสลักวิญญาณของจักรวรรดิต่างไปส่งหลินสวินขึ้นเกี้ยวสมบัติ มองส่งพร้อมรอยยิ้มจนอีกฝ่ายลับสายตาไป
สิทธิพิเศษเกินเหตุแบบนี้ทำเอาเหล่านักสลักวิญญาณต่างตะลึงจนปากอ้าตาถลน สั่นสะเทือนในใจไม่หยุด
เพียงแต่ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่า หลังจากคนตระกูลฉู่เห็นภาพนี้ แต่ละคนกลับเผยความเศร้าหมองหมดอาลัยตายอยาก
โดยเฉพาะฉู่ไห่ตง พอเห็นหลินสวินได้รับผลประโยชน์ขนาดนี้ก็สะเทือนใจจนกระอักเลือดออกมาอีกคำ ก่อนจะตาเหลือกหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
หลังจากนั้นจึงถูกคนตระกูลฉู่หามออกไปจากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ
ต้องบอกว่าฉู่ไห่ตงโชคร้ายมาก ปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นหนุ่มที่โดดเด่นอย่างเขาควรจะได้รับความสนใจและคำชื่นชม
แต่เขากลับมาเจอหลินสวิน ไม่ว่าสถิติใหม่ที่เขาสร้างจะโดดเด่นแค่ไหน แต่พอเจอกับหลินสวินกลับดูด้อยค่า
นี่เรียกว่าไปเทียบกับคนที่เหนือกว่าก็มีแต่จะทำให้น้อยเนื้อต่ำใจเท่านั้น
ฉู่ไห่ตงไม่ใช่คนใจคอคับแคบ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นไปไม่ได้ที่จะโมโหจนหมดสติไปแบบนี้
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขามีเรื่องบาดหมางกับหลินสวิน ทั้งยังประกาศกร้าวว่าจะใช้ผลการทดสอบของเก้าศิลาประตูมังกรมายืนยันว่า ระหว่างเขากับหลินสวินใครกันแน่ที่โง่เขลาไม่รู้ความ ใครกันแน่ที่เป็นไอ้โง่
ตอนนี้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว หลินสวินกลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ได้รับความสนใจจากเหล่าผู้มีชื่อเสียง ส่วนเขาฉู่ไห่ตง…
ก็กลายเป็น… ไอ้โง่ที่โง่เง่าไม่รู้ประสา!
จะให้ฉู่ไห่ตงทนได้อย่างไร
ต่อไปเมื่อทุกคนในนครต้องห้ามพูดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงความแค้นระหว่างเขากับหลินสวิน และก็จะได้คำตอบว่าสุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่เป็น ‘ไอ้โง่’!
ดังนั้นสุดท้ายฉู่ไห่ตงจึงโมโหจนกระอักเลือดหมดสติไป…
……
หลินสวินกลับไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีผู้ฝึกปราณมาสืบข่าวที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
ล้วนเป็นคนที่ผู้มีอิทธิพลแต่ละฝ่ายส่งมา
เห็นแบบนี้คนใหญ่คนโตอย่างอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วพลันตระหนักได้ว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้สะท้านขวัญเกินไป ย่อมต้องดึงดูดความสนใจของคนทั้งนคร!
พวกเขารั้งอยู่ต่อไม่ได้แล้วจึงต่างแยกย้าย เริ่มหารือวิธีที่จะดึงหลินสวินไปเป็นพวกอย่างเร็วที่สุด
ลิ่งหูซิวกลับยังไม่ไปไหน
สีหน้าของเขาเผยความสับสน ท่าทีเหมือนมีเรื่องหนักอึ้งในใจ ก่อนจะหมุนตัวเลี้ยวเข้าห้องสงบใจห้องหนึ่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ
ในห้องสงบใจมีคนรออยู่ก่อนแล้ว เป็นชายชราในชุดคลุมสีเขียว ใบหน้าเรียวยาว ผอมแห้งดุจกระบอกไผ่ นัยน์ตาเจือความเยียบเย็นเหี้ยมโหด
คนผู้นี้ก็คือมารเฒ่าฉวี่!
ยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะที่เชี่ยวชาญวิชาช่วงชิงวิญญาณ
ครั้งนี้เขาถูกสามตระกูลรองแห่งตระกูลหลิน ธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุส่งตัวมา เดิมจะต้องร่วมมือกับลิ่งหูซิว ฉวยโอกาสตอนที่หลินสวินอยู่คนเดียวจับตัวเขาและช่วงชิงวิญญาณให้เขากลายเป็นหุ่นเชิด
แต่พอเห็นลิ่งหูซิวกลับมาคนเดียว มารเฒ่าฉวี่ก็รู้ทันทีว่าสถานการณ์ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เมื่อครู่นี้มีเสียงร้องมังกรสนั่นขึ้น ราวกับมีเหตุการณ์ใหญ่อันใดเกิดขึ้น นี่มันอะไรกัน”
มารเฒ่าฉวี่พูดด้วยเสียงแหบพร่าราวกับงูพิษ ชวนให้รู้สึกอึดอัด
ลิ่งหูซิวถอนหายใจ ลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
ได้ยินเรื่องทั้งหมด มารเฒ่าฉวี่ก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก ท่าทางตกตะลึง ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงเลือกล้มเลิกแผนการงั้นหรือ”
ลิ่งหูซิวหัวเราะเสียงเย็นทันที “เหลวไหล ไม่ทันพ้นคืนนี้ หลินสวินคนนี้ก็จะกลายเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในนครต้องห้าม จะได้รับความสนใจจากเหล่าผู้มีอำนาจแต่ละฝ่าย ในสถานการณ์แบบนี้ใครกล้าฆ่าเขาก็เท่ากันเป็นศัตรูกับภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกต! ข้ายังไม่อยากตายตอนนี้ ไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้หรอกนะ!”
มารเฒ่าฉวี่เงียบงันไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าสิ่งที่ลิ่งหูซิวพูดเป็นความจริง อิทธิพลที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่หลินสวินทำในวันนี้มิอาจขวางกั้นได้ ในสถานการณ์แบบนี้ หากใครเป็นศัตรูกับเขา ก็รออวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วมาแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งได้เลย!
“ข้าตัดสินใจแล้วว่า ตั้งแต่นี้จะขีดเส้นความสัมพันธ์กับตระกูลหลินแห่งยอดวายุให้ชัดเจน”
ลิ่งหูซิวพูดอย่างมั่นหมาย สีหน้าเด็ดเดี่ยว “ไปหาเรื่องหลินสวินเพื่อพวกเขางั้นหรือ ไม่คุ้มเอาซะเลย! ข้าว่าเจ้าเองก็อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นปัญหาและความขัดแย้งภายในตระกูลหลินของพวกเขา คนนอกอย่างเจ้าเข้าไปแทรก ไม่แน่ว่าวันไหนจะสิ้นชีพเอา”
สีหน้าของมารเฒ่าฉวี่เปลี่ยนไปโดยพลัน พูดเสียงเย็น “ข้าไม่กลัว”
แต่ถัดมาเขากลับถอนหายใจ “แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งจริงๆ ข้าจะลองพิจารณาคำแนะนำของเจ้า”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน
“หากเจ้าจะถอนตัวก็รีบถอยออกมาให้เร็วที่สุด”
ลิ่งหูซิวเตือนอีกประโยค
มารเฒ่าฉวี่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
……
บนเกี้ยวสมบัติ หลินสวินนวดหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะสั่งว่า “ลุงจง หลังจากกลับภูเขาชำระจิตคราวนี้ ไม่ว่าใครมาหาข้าก็ปฏิเสธกลับไปทั้งหมด รอให้ข้าฟื้นตัวก่อนค่อยว่ากัน”
หลินจงพยักหน้า สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ “นายน้อย เสียงร้องมังกรสะเทือนฟ้าเมื่อครู่นี้…”
หลินสวินยิ้ม “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านการทดสอบรับรองการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว จะสร้างความฮือฮาถึงเพียงนี้”
หลินจงหึกเฮิมขึ้นมาทันที สีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา
เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติตั้งแต่ตอนที่เห็นเหล่าผู้ทรงอิทธิพลอย่างอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่ว ส่งหลินสวินออกจากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว
และตอนนี้หลังจากได้รับคำยืนยันจากหลินสวิน ในที่สุดหลินจงก็เชื่อแล้วว่า นายน้อยของเขากลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงแล้ว!
อีกทั้งหลังผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร ยังทำให้เกิดเสียงร้องมังกรสนั่นฟ้า สะเทือนไปทั่วทั้งนครต้องห้าม!
หลินจงยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น สีหน้าเผยความปิติยินดี
อีกสองเดือนนายน้อยของเขาก็จะเพิ่งอายุสิบหก แต่เขากลับกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว! เก่งกาจยิ่งกว่าเฟิงชิงโยวที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนครต้องห้ามเสียอีก ถ้านายท่านและนายหญิงยังอยู่ และได้รับรู้ความสำเร็จของนายน้อยจะดีใจเพียงใด
ถ้าสายเลือดโดยตรงของตระกูลหลินยังมีชีวิตอยู่ จะภาคภูมิใจแค่ไหน
จูเหล่าซานที่ควบคุมเกี้ยวสมบัติอยู่ภายนอก สีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
แต่ในส่วนลึกของหัวใจเขากลับพึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร…เรื่องเล่าขายเมื่อพันปีก่อนเป็นจริงหรือนี่…’
พอกลับถึงภูเขาชำระจิต หลินสวินตรงไปที่ห้องฝึกสงบใจบนชั้นสามของตำหนักชำระจิตและเริ่มพักฟื้นพลังที่เสียไป
เขาเหนื่อยล้ามากเกินไปจริงๆ
ส่วนหลินจงได้พาจูเหล่าซานไปหาพญาแร้ง
“เสียงร้องแห่งเก้ามังกร การรับรองผลการทดสอบระดับสมบูรณ์แบบ ปรมาจารย์สลักวิญญาณอายุเพียงย่างสิบหกปี…”
หลังจากได้รับรู้ความสำเร็จที่หลินสวินทำในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ พญาแร้งเองก็อดอึ้งงันไปไม่ได้ ทั้งตะลึงและเหลือเชื่อ
“ในที่สุดข้าก็เชื่อแล้วว่า ที่เขาบอกว่าจะใช้วิธีสร้างชุดศึกสลักวิญญาณมาช่วยข้าแก้ ‘มารพบเคราะห์’ ที่แท้ก็เป็นความจริง”
เนิ่นนานพญาแร้งจึงพูดอย่างตะลึง
เขาไม่คิดเลยว่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนหลินสวินจะประสบความสำเร็จได้มากเช่นนี้ ไวเกินไปแล้ว!
“เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณก็ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้”
จูเหล่าซานพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องทันควัน “แต่ผู้ที่สามารถปลุกเสียงร้องแห่งเก้ามังกรได้ ในพันปีมานี้มีเพียงเขาคนเดียว”
นี่เป็นครั้งแรกที่จูเหล่าซานร่วมวงสนทนา ทำเอาพญาแร้งอึ้งงันไป พลันถามว่า “แล้วเจ้าคิดว่า สุดท้ายแล้วหลินสวินจะช่วยเจ้า…เข้าไปในหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ในส่วนลึกของพระราชวัง เพื่อแก้ไขปัญหาการบรรลุปราณของเจ้าได้หรือไม่”
จูเหล่าซานเงียบไปครู่ก่อนจะพูดว่า “รอดูก็รู้”
นี่เป็นคำตอบที่รักษาท่าทีที่สุดแล้ว แต่พญาแร้งกลับพอใจมาก อย่างน้อยเขาก็ดูออกว่า ท่าทีของจูเหล่าซานได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ได้ดูนิ่งเฉยไร้ความหวังเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ ตอนนั้นหลินสวินเคยบอกว่า ที่เขาจะสร้างชุดศึกสลักวิญญาณเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกหลายตัว ตอนนี้ดูไปแล้ว เขาได้ประสบความสำเร็จในก้าวแรกแล้ว”
พญาแร้งวิเคราะห์ “แน่นอนว่าการเกิดเสียงร้องแห่งเก้ามังกรต้องกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งนครต้องห้าม นับแต่นี้หลินสวินไม่ใช่เพียงเจ้าแห่งภูเขาชำระจิตแล้ว เขายังเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่เชี่ยวชาญศาสตร์การสลักวิญญาณเหนือธรรมดา! เป็นที่หมายปองจากขุมอำนาจอย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกต!”
หยุดไปครู่เขาก็พูดต่อว่า “มีฐานะเช่นนี้ ก็เพียงพอทำให้เขานั่งตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินได้อย่างมั่นคงแล้ว ทั้งยังคาดการณ์ได้ว่า เมื่อตระกูลรองทั้งสามสายอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ย่อมต้องกระวนกระวาย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการโจมตีอย่างรุนแรงแบบหนึ่งต่อพวกเขามิใช่หรือ”
พูดถึงตรงนี้พญาแร้งพลันระบายยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง “หลินสวินเดิมหมากตานี้ได้ยอดเยี่ยมมาก ข้าจินตนาการออกเลยว่า พรุ่งนี้ชื่อของหลินสวินจะต้องเป็นที่กล่าวถึงทั่วทั้งนครต้องห้าม! และต่อไปขุมอำนาจอย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกตก็จะต้องทอดไมตรีให้หลินสวิน ไม่ว่าหลินสวินจะเลือกเข้าร่วมฝ่ายไหน ก็ล้วนทำให้สถานการณ์ของหลินสวินเปลี่ยนแปลงไปอีกก้าว”
“จริงอย่างที่ท่านกล่าว”
หลินจงอดนับถือไม่ได้ ในเรื่องของการอ่านสถานการณ์ ไม่มีใครทำได้ดีกว่าพญาแร้งเลยจริงๆ
“ฮ่าๆ ข้าก็เพียงวิเคราะห์ไปตามน้ำ คนที่เก่งกาจจริงๆ คือหลินสวิน ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกับตา ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”
พญาแร้งหัวเราะลั่น
หลินจงเองก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ
แม้แต่จูเหล่าซานยามนี้ก็ยังพยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “ท่านเต้าเฉินมีสืบทอดแล้ว”
……
พญาแร้งยังประเมินความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นเพราะหลินสวินต่ำไป ในคืนนั้นเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณได้แพร่สะพัดไปทั่วนครต้องห้ามประหนึ่งพายุคลั่ง!
สร้างความตกตะลึงและเสียงฮือฮาไม่รู้เท่าไรในทันที
ตอนที่ 395 เพลงกลอนบทใหม่เพื่อใครกันเล่า
โดย
ProjectZyphon
ฟ้ายังไม่สว่างดี หลิ่วชิงเยียนก็มาถึงหอเมฆทะยานแล้ว
หลิ่วชิงเยียนนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างหน้าต่างบนชั้นสาม จิบน้ำชาคำเล็กๆ พลางทอดสายตามองนอกหน้าต่างไปด้วย
ท้องถนนในช่วงเช้าตรู่เงียบสงบ ไอหมอกลอยคลุ้ง ดอกไม้ริมทางตรงมุมถนนโยกย้ายไปตามสายลม
ช่วงนี้หลิ่วชิงเยียนปิดด่านเก็บตัวมาโดยตลอด ด้วยกำลังแต่งเพลงบทใหม่
เพราะอีกไม่นานก็จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีแล้ว
หลิ่วชิงเยียนถูกเชิญให้ไปบรรเลงเพลงแด่จักรพรรดินี ซึ่งเพลงที่ว่านี้ก็แต่งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และเพิ่งแล้วเสร็จเมื่อวานนี้
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ แม้จะมีทำนองแล้วแต่ยังไม่มีคำร้อง หลิ่วชิงเยียนจึงมาที่หอเมฆทะยานตั้งแต่เช้าตรู่
นางได้นัดหมายปฐมาจารย์ผู้ประสบความสำเร็จศาสตร์การแต่งเนื้อเพลงอย่างสูงสุดผู้หนึ่ง เพื่อแต่งเนื้อเพลงใหม่ให้กับตน
ไม่นาน ชายชราที่สวมชุดตัวเก่าย้วยก็วิ่งขึ้นหอมา พอเห็นหลิ่วชิงเยียนที่รออยู่ก่อนแล้วเขาพลันหัวเราะแห้งๆ อดถอนหายใจไม่ได้
ชายชราผู้นี้เผ้าผมยุ่งเหยิง กลางหว่างคิ้วเผยความเหนื่อยล้าอย่างเก็บไม่อยู่ สายตายังเต็มไปด้วยเส้นเลือด ท่าทางดูอ่อนแรง
เขาชื่อซูซานสือ เป็นปฐมาจารย์ด้านการแต่งเนื้อเพลง เคยเขียนเพลงอันเป็นที่นิยมชมชอบของมวลชนมามากมาย ทั้งไพเราะเสนาะหู เป็นที่สรรเสริญและชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ถูกขนานนามว่า ‘อาจารย์ซู’
“เฮ้อ ตาเฒ่าอย่างข้าผิดไปแล้ว ในเวลาหนึ่งคืนไม่อาจเขียนเพลงออกมาได้แม้แต่อักษรเดียว ทำให้คุณหนูเยียนต้องผิดหวังแล้ว”
อาจารย์ซูถอนหายใจ
หลิ่วชิงเยียนเชิญเขานั่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอาจารย์ไม่ต้องรู้สึกผิด ชิงเยียนใจร้อนเกินไปเอง”
อาจารย์ซูส่ายหน้า “หามิได้ ข้าสมองไม่แล่นพบเจอทางตัน เหมือนดั่งคำที่ว่าผลงานสร้างสรรค์นั้นมาจากแรงบันดาลใจชั่วขณะ ข้าเร่งรีบอยากให้แล้วเสร็จ สุดท้ายจึงพลาดพลั้ง”
หลิ่วชิงเยียนเองก็จนปัญญา แต่กลับยิ้มปลอบประโลมอาจารย์ซูอย่างอ่อนโยน
“ต้องบอกว่าท่วงทำนองเพลงใหม่ที่คุณหนูเยียนประพันธ์ขึ้นในครั้งนี้ลึกซึ้งสุดจะหยั่ง ทำนองฮึมเหิมเด่นชัดเป็นเอกลักษณ์ หากดูในเชิงศิลปะยิ่งงดงามห้าวหาญ ไม่ด้อยไปกว่าบทเพลง ‘แดงทั่วธาร’ ที่หนิงปู้กุยราชันแห่งเลือดเหล็กประพันธ์ขึ้นเลยสักนิด”
สีหน้าของอาจารย์ซูเจืออาการประหลาด พูดอย่างสลดใจ “จนข้ารู้สึกว่าคำธรรมดาใดๆ บนโลกล้วนไม่เหมาะสมกับทำนองเพลงระดับนี้”
“ท่านชมเกินไปแล้ว”
หลิ่วชิงเยียนยิ้มอย่างถ่อมตัว
ทั้งสองคุยกันอยู่นาน ก่อนจะนัดหมายกันว่า หลังจากอาจารย์ซูแต่งเนื้อเพลงเสร็จแล้วจะกลับมาพบกันที่นี่อีกครั้ง
หลังจากนั้นหลิ่วชิงเยียนเตรียมจะกลับ
แต่ขณะนั้นเอง ชั้นล่างของหอเมฆทะยานกลับมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
“แสงทองทะยานฟ้า! เสียงร้องแห่งเก้ามังกร! นับแต่นี้นครต้องห้ามของเราก็มีปรมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ที่เก่งกาจกว่าเฟิงชิงโยวเพิ่มมาอีกคนแล้ว! เขาก็คือหลินสวินแห่งภูเขาชำระจิตนั่นเอง!”
“หลินสวินอัจฉริยะเกินไปหรือเปล่า อายุเพียงเท่านี้ก็ได้เป็นถึงปรมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว”
“ไม่ใช่แค่ปรมาจารย์นักสสักวิญญาณเท่านั้น เมื่อครู่นี้ที่จอภาพวิญญาณได้รายงานข่าวที่เชื่อถือได้ว่า เมื่อวานระหว่างที่หลินสวินกำลังเข้ารับการทดสอบที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ ด้วยผลการทดสอบที่สมบูรณ์แบบเกินไป สุดท้ายได้ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์เสียงร้องแห่งเก้ามังกรในตำนานจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งนครต้องห้าม!”
“โอ๊ะ จริงหรือนี่”
“ตกข่าวหรือเปล่า ข่าวนี้ได้แพร่ออกไปอย่างดุเดือดแล้ว!”
“ไป รีบไปดูที่จอภาพวิญญาณกันเถอะ!”
เสียงฮือฮาต่างๆ นานาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำลายความเงียบในยามเช้าครู่ให้คึกคักหาใดเปรียบ
หลิ่วชิงเยียนตะลึงงัน หลินสวิน? ปรมาจารย์สลักวิญญาณ? ปรากฏการณ์เสียงร้องแห่งเก้ามังกร?
เงาร่างสูงโปร่ง สายตาลุ่มลึกสุกใส มุมปากที่แฝงรอยยิ้มบางๆ ดูอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัยพลันผุดขึ้นในหัวนาง
หรือจะเป็นเขา?
ยังไม่ทันที่หลิ่วชิงเยียนจะแสดงปฏิกิริยาอันใด ในบริเวณที่ไกลออกไปก็เริ่มมีเสียงฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเป็นระลอกๆ
เห็นเพียงว่าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บนท้องถนนต่างถกเรื่องที่หลินสวินกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณกันอย่างตะลึง ประหลาดใจและตื่นเต้น
ทั้งแสงทองทะยานฟ้า ทั้งเสียงร้องแห่งเก้ามังกร ทำลายสถิติ สร้างตำนานอะไรต่อมิอะไร…ล้วนถูกเล่าขานออกมาจนเห็นภาพ
กระทั่งเรื่องที่ฉู่ไห่ตงหาเรื่องใส่ตัวและกระอักเลือดจนหมดสติก็ยังปูดออกมาด้วย กลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนเรื่องที่หลินสวินถูกภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกตแย่งชิงกัน ก็กลายเป็นข้อวิจารณ์อันน่าอิจฉาและตื่นตะลึง
หลิ่วชิงเยียนยืนอึ้งตะลึงยามได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์อันเร่าร้อนเหล่านั้น
ช่วงที่ผ่านมานี้นางเก็บตัวมาโดยตลอด ย่อมไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่ซ่อมขลุ่ยวิญญาณโบราณให้ตนที่เมืองหมอกอำพรางผู้นั้น ขณะนี้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วนครต้องห้ามแล้ว!
นี่ทำให้หลิ่วชิงเยียนอดสงสัยไม่ได้ว่าใช่หลินสวินคนที่นางรู้จักหรือไม่
ใช่เขาจริงๆ หรือ
หลิ่วชิงเยียนใจลอย
ปัง!
ทันใดนั้นเสียงกังวานเสียงหนึ่งก็เรียกสติหลิ่วชิงเยียนกลับมา
เห็นเพียงว่าสีหน้าของอาจารย์ซูเผยความตื่นเต้นอย่างที่สุด ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ดวงตาทอประกายวาววับ
“เด็กหนุ่มคนนี้เป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ! จู่ๆ ข้านึกเนื้อเพลงใหม่ให้คุณหนูชิงเยียนออกแล้ว!”
พูดพลางใช้นิ้วจุ่มลงในน้ำชาแล้วขีดเขียนบนผิวโต๊ะอย่างไม่สนสิ่งใด
หลิ่วชิงเยียนอดดีใจไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ซูจะเกิดแรงบันดาลใจขึ้นตอนนี้ ช่างเป็นความน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายเหลือเกิน
นางเงยหน้ามองไป เนื้อเพลงหนึ่งก็ออกมาจากปลายนิ้วของอาจารย์ซูจนแล้วเสร็จ!
ตะวันแดงแรกทะยาน ลำแสงหาญสาดเรืองรอง
ธาราธารโคจรคล่อง ไหลเวียนว่องมโหฬาร
มังกรซ่อนทะยานห้อ กรงเล็บล้อระบำหาญ
พยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวิน
อินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอย
บุปผาผลิเคลื่อนคล้อย งามหยดย้อยละลานตา!
เหนือศีรษะจรดฟ้า ใต้บาทาจรดดิน
มากเรื่องราวให้ผ่านผิน ทะลวงถิ่นอันกว้างไกล
อนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอย
งามงดนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า เยาว์วัยไม่แก่เฒ่าดุจท้องนภา!
ห้าวหาญนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า หาญกล้ายิ่งยงดุจผืนปฐพี!
หลิ่วชิงเยียนเผลออ่านออกเสียงโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเพียงว่าแต่ละตัวอักษรล้วนราวกับฟ้าผ่า สะเทือนไปจนถึงจิตวิญญาณ แฝงพลังอันแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ปลุกเร้าอารมณ์ให้ฮึมเหิมได้เป็นอย่างดี เพียงอ่านก็ให้ความรู้สึกกระตือรือร้นและสั่นสะเทือนอย่างบอกไม่ถูก
“เนื้อดี!”
หลิ่วชิงเยียนเอ่ยชมด้วยความดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ เนื้อเพลงนี้ เมื่อจับคู่กับทำนองที่ตนแต่งไว้จะต้องเข้ากันได้เป็นอย่างดีแน่นอน
“ฮ่าๆๆ หากไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยินเรื่องราวของหลินสวินผู้นั้น ข้าก็ยากจะมีแรงบันดาลใจในการเขียนเนื้อได้ขนาดนี้”
อาจารย์ซูเองก็หัวเราะลั่น พลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะได้พึ่งบารมีของเจ้าหมอนั่น…”
มุมปากของหลิ่วชิงเยียนเผยรัศมีโค้งแปลกประหลาด
หลังออกจากหอเมฆทะยาน หลิ่วชิงเยียนไม่ได้ตรงกลับเรือนพัก แต่นั่งเกี้ยวสมบัติเที่ยวชมเมืองก่อน
ระหว่างทาง ไม่ว่าไปถึงไหน ล้วนมีแต่คนพูดถึงชื่อหลินสวินอยู่ทุกแห่งหน!
ราวกับว่าชื่อนี้มีพลังอันเร้นลับซ่อนอยู่ ทำให้ฮือฮากันไปทั่วทั้งนครต้องห้าม
จวบจนถึงตอนนี้ หลิ่วชิงเยียนถึงขั้นได้รู้เรื่องราวที่หลินสวินประสบพบเจอหลังเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามผ่านคำวิจารณ์สารพัดพวกนี้ด้วยซ้ำ!
เช่นหลินสวินถูกเรียกว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่อ่อนแอที่สุดในนครหลวง’ ได้อย่างไร หรือหลินสวินซัดลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่งและฮวาอย่างไร…
หรืออย่างการประลองระหว่างหลินสวินและฮวาอู๋โยวก่อนหน้านี้…
และอย่างสถานการณ์ของหลินสวินในตอนนี้…
ล้วนมีคนกำลังพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์กัน
ทำให้หลิ่วชิงเยียนอดทอดถอนใจไม่ได้ เป็นจริงดั่งคำที่ว่า ไม่พบกันสามวันต้องมองกันใหม่!
หลินสวินในตอนนี้ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาพัฒนาขึ้นด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งนครต้องห้าม!
จนกระทั่งในท้ายที่สุด หลิ่วชิงเยียนหวนนึกถึงเนื้อเพลงที่อาจารย์ซูเขียนขึ้นก่อนหน้านี้ ‘พยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวิน อินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอย!’
ที่กล่าวมาก็คือหลินสวินไม่ใช่หรือ
……
นครต้องห้ามในวันนี้ครึกครื้นอย่างที่สุด เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินเรียกได้ว่าแผ่ลามไปจนทั่วแล้ว
ในทุกตรอกซอกซอย ทุกหอสุรา โรงเตี๊ยม โรงน้ำชา…ล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ราวกับหากไม่พูดถึงหลินสวินจะรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ บนจอภาพวิญญาณยังได้เชิญปรมาจารย์สลักวิญญาณอาวุโสคนหนึ่งมาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ ที่หลินสวินสร้างขึ้น และดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมาก บรรยากาศคึกคักถึงที่สุด
ในอัครการค้า
ปฏิกิริยาแรกหลังจากสืออวี่รู้ข่าวนี้คือสบถคำหยาบออกมา “เชี่ย!”
ต่อมาเขาพลันรู้สึกสับสนขึ้นมา เจ้าหลินสวินนี่มักทำอะไรที่เหนือความคาดหมายเสมอ
เขาถึงขั้นมั่นใจว่าสมบัติวิญญาณ ‘กระบองเมฆาคราม’ ที่หลินสวินเคยให้เขาคู่หนึ่ง ต้องเป็นสมบัติวิญญาณที่หลินสวินหลอมขึ้นเองกับมือแน่!
“มารดามันเถอะ เจ้าเด็กนั่นวิปริตขึ้นทุกวัน คิดจะชนะเขาคงยากขึ้นเรื่อยๆ…”
สืออวี่ยิ้มขื่น
ไม่นานเขาก็ตกอยู่ในห้วงความคิด หลินสวินที่อายุไม่ถึงสิบหกปีกลับสามารถผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้อย่างสมบูรณ์แบบ และไม่ใช่เพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณธรรมดาเท่านั้น แต่ยังทำลายสถิติ สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นเองกับมือ!
การเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณในวัยเยาว์ทั้งยังโดดเด่นเช่นนี้ จะต้องนำพาเกียรติยศและชื่อเสียงมากมายมาให้หลินสวิน ในขณะเดียวกันก็จะได้รับความสนใจและเป็นที่หมายปองของเหล่าผู้มีอิทธิพลอย่างแน่นอน
แต่ที่น่าเสียดายคือ สืออวี่รู้ดีว่า อัครการค้าของพวกเขานอกจากมีเงินแล้ว ก็ไม่อาจเทียบความยิ่งใหญ่ของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกตได้เลย
ซึ่งก็หมายความว่า อัครการค้ายังเล็กเกินไปสำหรับหลินสวิน
มิเช่นนั้นสืออวี่จะดึงหลินสวินมาเป็นคนของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
“ไม่รู้ว่าสุดท้ายเจ้าหนูนั่นจะเข้าร่วมฝ่ายไหน…”
สืออวี่พึมพำ
ไม่รอให้เขาคิดได้กระจ่างก็มีคนมาขอเยี่ยมเยียนถึงหน้าประตู และไม่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่ทยอยมากันอย่างต่อเนื่อง
เมื่อลองถามดูแล้วจึงพบว่า ล้วนเป็นคนที่ถูกส่งมาหว่านล้อมจากขุมอำนาจอย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกตทั้งสิ้น
จุดประสงค์ของพวกเขาเหมือนกันจนน่าตกใจ คืออยากให้สืออวี่ออกหน้า ช่วยโน้มน้าวให้หลินสวินยอมเข้าร่วมฝ่ายของพวกเขา หากสำเร็จจะตอบแทนสืออวี่อย่างงาม
ที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนนี้ภูเขาชำระจิตปิดรับแขก ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้หลินสวินได้ จึงได้แต่ต้องใช้เล่ห์กล มาให้สหายของหลินสวินอย่างสืออวี่ช่วยออกโรง
ยิ่งทำให้สืออวี่รู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ ก่อนหน้านี้ เขาคุณชายสามสือยังเป็นบุคคลผู้สูงศักดิ์ที่ถูกคนเข้ามาฝากตัวเพื่อต้องการพึ่งพิงเส้นสายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนพ่อสื่อแม่ชักไปเสียแล้ว!
สุดท้ายสืออวี่ก็ปฏิเสธกลับไปทั้งหมด ไม่ใช่เพราะหยิ่งยโสอันใด แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงอนาคตของหลินสวิน เขาจะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้!
ตอนที่ 396 เรื่องราวบนโลกดุจหมากกระดาน
โดย
ProjectZyphon
ตระกูลฉือ ภายในห้องหนังสืออันเงียบสงบ
ฉือหลิงเซียวนั่งเงียบอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เขาขมวดคิ้วแน่นราวกับมีเรื่องทุกข์ใจใหญ่โต
อีกด้านฉือฉางเหมยยืนอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อมองอย่างละเอียด สีหน้าในตอนนี้ของนางดูเลื่อนลอยและอึ้งงันอยู่บ้าง
ความจริงนางรู้เรื่องทั้งหมดที่หลินสวินทำในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ตอนนั้นนางตะลึงอย่างมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน แทบไม่อยากจะเชื่อ
เพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ หลินสวินเพิ่งชนะการประลองกับผู้กล้าหญิงอย่างฮวาอู๋โยวได้อย่างสวยงาม ทำให้ชื่อเสียงของเขาสะเทือนไปทั้งนครต้องห้าม จนถูกขนานนามว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกปราณรุ่นเยาว์
เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือนเท่านั้น หลินสวินก็สร้างความฮือฮาเพียงนี้แล้ว จะไม่ให้ฉือฉางเหมยตกตะลึงได้อย่างไร
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ครั้งนี้หลินสวินไม่ได้ชนะด้วยพลังปราณ แต่เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่า…ศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณ!
แสงทองทะยานฟ้าในตำนาน เสียงร้องแห่งเก้ามังกรในตำนาน ปรมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ที่อายุยังไม่ถึงสิบหกด้วยซ้ำ…
ทั้งหมดนี้ราวกับความฝันที่ยากจะเชื่อ หากไม่ใช่เพราะยืนยันแน่นอนหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเป็นเรื่องจริง แม้แต่ฉือฉางเหมยยังรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่ง!
จนกระทั่งวันนี้ หลังจากค่อยๆ ได้สติ ฉือฉางเหมยจึงตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหานี้
หลังจากผ่านเรื่องนี้ ชื่อเสียงของหลินสวินจะยิ่งใหญ่ ประหนึ่งดวงดาราที่ส่องแสงแพรวพราวประดับเหนือฟากฟ้าของนครต้องห้าม ทำให้ทั้งเมืองไหวกระเพื่อม กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งเมือง
เป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะจัดการกับหลินสวินยากขึ้น!
ด้วยเหตุนี้ฉือฉางเหมยจึงมาพบฉือหลิงเซียวบิดาของตนอย่างอดกลั้นไม่อยู่ ด้วยอยากฟังว่าบิดามีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้
เพียงแต่ที่นางคิดไม่ถึงคือ บิดาเองก็เหมือนยากจะปักใจเชื่อเรื่องนี้ ตกใจกับข่าวนี้จนถึงขั้นทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่าคลื่นลมที่หลินสวินสร้างขึ้นคราวนี้น่าเหลือเชื่อเพียงใด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉือหลิงเซียวที่เงียบมาตลอดในที่สุดก็เอ่ยปาก “เด็กคนนี้…ช่างเป็นอัจฉริยะที่เหนือความคาดหมาย เพียงแค่ความเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ ก็เพียงพอที่จะทำให้สถานการณ์ของเขาปลอดภัยและมั่นคงขึ้นไปได้อีกระดับแล้ว”
ฉือฉางเหมยรู้สึกสับสน นางเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้
ตั้งแต่หลินสวินเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะครึ่งปีกว่าเท่านั้น ใครจะคิดว่าเขาที่บ้านแตกสาแหรกขาด หัวเดียวกระเทียมลีบ จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ และประสบความสำเร็จได้มากเพียงนี้
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เขาโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ หากเติบใหญ่น่ากลัวว่าจะทำให้ตระกูลหลินที่พินาศไปตั้งนานแล้วผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง!
“แต่ตอนนี้ผลงานของเขาสะดุดตาเกินไป ย่อมทำให้เหล่าผู้มีอำนาจที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเกรงกลัวเขา นับเป็นเรื่องดีหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา”
ฉือหลิงเซียวเปลี่ยนเรื่อง พร้อมสีหน้าจริงจัง
“ผู้มีอำนาจฝ่ายใดบ้าง”
ฉือฉางเหมยอดถามไม่ได้ คำถามนี้คาใจนางมานานแล้ว
นางแทบไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า เหตุใดเพื่อจัดการหลินสวินเพียงคนเดียว ถึงได้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องราวซับซ้อนมากมายขนาดนั้น
ฉือหลิงเซียวคิดๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ยังจำเรื่องที่ทางตระกูลให้เจ้าส่งคนไปขวางหลินสวินไม่ให้เข้านครต้องห้ามได้หรือไม่”
ฉือฉางเหมยหยักหน้า
ฉือหลิงเซียวสีหน้าแปลกไป “ตระกูลฉือของเรา…เป็นเพียงผู้รับคำสั่งเท่านั้น เจ้าลองคิดดูว่าทั่วทั้งจักรวรรดินี้ คนที่ออกคำสั่งกับตระกูลฉือได้มีกี่คน”
ฉือฉางเหมยหัวใจเต้นระทึก สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “หากไม่ใช่วังหลวง ก็คงเป็นหอดูดาวหลวง?”
ฉือหลิงเซียวไม่ปฏิเสธ เพียงพูดต่อว่า “ไม่ง่ายดายเพียงเท่านี้หรอก ต่อไปเจ้าจะเข้าใจเอง”
ฉือฉางเหมยไม่จำยอม “คำว่าต่อไปที่ว่านี้ต้องรออีกนานเท่าไหร่”
ฉือหลิงเซียวอึ้งงันไป ใคร่ครวญครู่หนึ่ง “อย่างน้อยก็ห้าปี อย่างมากสิบปี”
“เพียงแค่จัดการกับหลินสวินเท่านั้น เหตุใดยังต้องมีการจำกัดด้านเวลาด้วย”
ฉือฉางเหมยสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างมีไหวพริบ
“เพราะทุกคนกำลังรอคำสั่งที่แน่ชัด”
ฉือหลิงเซียวโบกมือพร้อมสีหน้าเรียบเฉย “เจ้ากลับไปเถอะ ตอนนี้หลิงสวินยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ตอนตกลงมาก็ยิ่งสาหัสเท่านั้น อย่าไปใส่ใจนัก”
ฉือฉางเหมยลอบถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
นางรู้ว่าฐานะของตัวเองต่ำต้อยนัก ไม่อาจรู้สายสนกลในอะไรลึกซึ้งได้
ทว่าจากเรื่องนี้ก็สามารถสรุปได้ว่า ในตัวหลินสวินจะต้องมีความลับชวนตะลึงมากมายซ่อนอยู่เป็นแน่ ถึงได้ทำให้สถานการณ์ในที่ลับซับซ้อนถึงเพียงนี้
‘ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องสืบประวัติความเป็นมาของเจ้าให้กระจ่าง!’
ฉือฉางเหมยตัดสินใจอย่างแน่วแน่
นางรู้สึกว่าหลินสวินเหมือนเป็นศัตรูเก่าของนาง มักทำให้นางรู้สึกถึงอันตรายและเกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่จัดการให้สิ้นซาก ชาตินี้นางก็ยากจะอยู่อย่างสงบสุข!
……
ปราสาทรัตติกาล
“การผงาดในครั้งนี้ของหลินสวินปุบปับเกินไป ทำให้ขุมอำนาจทั้งหมดต่างทำอะไรไม่ถูก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่”
“ตาเฒ่าบนหอดูดาวหลวงนั่นมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่มีการเคลื่อนไหวในขณะนี้”
“หึ ความอดทนของเขาสูงจริงๆ เขาควรรู้ดีกว่าใครว่าเด็กหนุ่มที่ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ ได้หมายความว่าอะไร”
ภายในตำหนักมืดอันกว้างขวาง มีเสียงสนทนาระหว่างราชินีแห่งรัตติกาลกับชายชราดังสะท้อนก้อง
สีหน้าของชายชรานอบน้อมและอ่อนโยนเหมือนปกติ ยืนโค้งกายเล็กน้อย มารตฐานด้านพิธีการนั้นไม่มีที่ติ
ทว่ายามนี้เขาคล้ายจะเริ่มลังเล ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “คุณหนู อัจฉริยะอย่างหลินสวินมีค่ามากพอที่เราจะเรียกตัวเข้ามาอยู่ในปราสาทรัตติกาลได้แล้ว”
“ไม่ได้!”
ราชินีแห่งรัตติกาลตอบอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่ลังเล ทำเอาชายชราอดตะลึงไม่ได้
“ฐานะของเขาพิเศษเกินไป หากเข้ามาอยู่ในปราสาทรัตติกาล มีเพียงสองเหตุการณ์ที่จะตามมา ถ้าไม่ใช่ปราสาทรัตติกาลทำให้เขาเดือดร้อน ก็เป็นเขาทำให้ปราสาทรัตติกาลเดือดร้อน และอย่างหลังมีความเป็นไปได้มากกว่า”
เสียงของราชินีแห่งรัตติกาลเจือแววพร่าอย่างเป็นเอกลักษณ์ กังวานก้องลอย “เจ้าคงรู้ดีว่า เขาไม่เพียงเป็นทายาทสายตรงตระกูลหลิน ยังเป็นผู้สืบทอดของลู่ป๋อหยาด้วย”
ลู่ป๋อหยา!
ชายชราเงียบไปทันที เขาไม่ได้รู้จักลู่ป๋อหยามากนัก หรือเรียกได้ว่าไม่รู้จักเลยจะดีกว่า เขาเคยไปสืบประวัติความเป็นมาของลู่ป๋อหยา แต่กลับพบว่าไม่มีเบาะแสอันใดที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
แต่เห็นชัดว่าคนที่ราชินีแห่งรัตติกาลจะระลึกถึงได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
ชายชราเองก็อดสนเท่ห์ไม่ได้ ลู่ป๋อหยาคนนี้เป็นเทพเซียนจากไหนกันแน่ แม้แต่เขายังไม่รู้ชัด และนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งนัก
ถ้าพูดอย่างไม่ถ่อมตัวก็คือ ด้วยฐานะและความสามารถของชายชรา แม้แต่ความลับภายในวังหลวงเขายังสืบจนรู้ได้ แต่เรื่องราวของลู่ป๋อหยากลับไม่มีวี่แวว
เรื่องนี้ดูผิดปกติมาก
“ซย่าจื้อเป็นอย่างไรบ้าง”
จู่ๆ ราชินีแห่งรัตติกาลก็ถามขึ้น
“หลังจากที่ท่านจัดแจงให้นางเข้าไปอยู่ในมิติรัตติกาล พลังในร่างนางก็กำลังตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว…”
ชายชราตอบกลับว่องไว
“อีกนานเท่าไหร่ถึงจะสู้กับยอดฝีมือระดับกระบวนแปรจุติได้”
“อย่างน้อยห้าปี”
ชายชราลังเลอยู่นานก่อนจะตอบ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ
“ช้าเกินไป…”
ราชินีแห่งรัตติกาลถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ก็จริง ปิดด่านกักตนอย่างไรก็สู้เคี่ยวกรำประสบการณ์จากศึกจริงไม่ได้ รออีกหน่อยให้ส่งตัวนางไป ‘สนามรบปีศาจโลหิต’”
“คุณหนู มันอันตรายเกินไป”
ชายชราหรี่ตาลง สนามรบปีศาจโลหิตนั่นเป็นสถานที่อันโหดเหี้ยมอำมหิตที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปง่ายๆ!
“ยิ่งอันตรายก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นพลังภายในตัวนาง ทำตามอย่างที่ข้าสั่งเถอะ”
ราชินีแห่งรัตติกาลพูดเสียงเรียบ
ชายชราอึ้งไปครู่ ก่อนจะตระหนักบางอย่างขึ้นได้ฉับพลัน เขาเงยหน้าขึ้นมองบัลลังก์กระดูกขาวอันสูงส่งที่ตั้งอยู่กลางตำหนัก “คุณหนู ท่าน…”
“เวลาที่เหลือให้ข้ามีไม่มากแล้วจริงๆ”
ราชินีแห่งรัตติกาลเหมือนรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร จึงเอ่ยเสียงเบา “เคราะห์นี้ ข้าต้องผ่านมันไปให้ได้”
สีหน้าของชายชราดูสับสนเกินจะเปรียบ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดคุณหนูจึงบอกว่าพลังของซย่าจื้อฟื้นตัวช้าเกินไป…
…….
ณ หอดูดาวหลวงสูงร้อยจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาจื่อจิงที่สูงนับพันจั้ง
ดูจากบนนี้สามารถเห็นทิวทัศน์เกือบทั่วนครต้องห้าม
ไม่ใช่ยามรัตติกาล แต่ราชครูกลับปรากฏตัวบนยอดหอดูดาวหลวง ร่างกายอันผอมแห้งของเขาพิงอยู่บนระเบียง รับสายลมอันเย็นยะเยือกในขณะที่ทอดสายตามองผืนปฐพี
ผมขาวพลิ้วไปตามสายลม เผยให้เห็นใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่สายตาของเขากลับกระจ่างใสบริสุทธิ์ประหนึ่งเด็กน้อย
ไม่มีใครรู้ว่านับตั้งแต่รู้ข่าวของหลินสวินเมื่อคืนก่อน ราชครูก็ขึ้นมาในหอดูดาวหลวงเพียงลำพัง และยืนอยู่เช่นนั้นทั้งคืน
ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“หากไม่มีเหตุนองเลือดในตอนนั้นคงดี…”
จวบจนกระทั่งพระอาทิตย์สีแดงก่ำลับขอบฟ้าไป ราชครูจึงส่งเสียงถอนหายใจออกมา เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสุดท้ายก่อนอาทิตย์ตกดิน รอยเหี่ยวหย่นเหล่านั้นยิ่งดูยุ่งเหยิงและโชกโชน
เสียงฝีเท้าพลันดังแว่วขึ้น
ราชครูยืนนิ่งไม่ขยับ แต่สีหน้ากลับคืนสู่ความเฉยชาดังเดิม เขาราวกับรู้อยู่แล้วว่าผู้มาเป็นใคร “องค์ชายเก้า ท่านนั่งไม่ติดแล้วหรือ”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีหยกเหลืองปรากฏตัวบนหอดูดาวหลวง เขาโค้งคำนับให้ชายชราที่ยืนพิงระเบียงก่อนจะพูดราวเยาะเย้ยตัวเอง “เจอเรื่องใหญ่แบบนี้ ใครเล่ายังอยู่เฉยได้”
เขาหยุดไปครู่ สูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง สายตาจ้องมองแผ่นหลังอันผอมแห้งของชายชรา “ราชครู หากท่านไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับข้า ข้า…คงได้แต่ต้องจัดการเองแล้ว”
“จัดการเอง?”
ราชครูหมุนตัวกลับไปมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาใสกระจ่าง
ทันใดนั้นสีหน้าของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าองค์ชายเก้าพลันเปลี่ยนไป ร่างกายหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตัวแข็งทื่ออย่างควบคุมไม่อยู่
แต่เขากลับยังกัดฟันพูดว่า “ไม่ผิด ข้ารอต่อไปไม่ไหวแล้ว หลินสวินนั่นไม่ควรเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามตั้งแต่แรกแล้ว!”
“ท่านกำลังโทษข้าอยู่งั้นหรือ?”
ราชครูพูดเสียงเรียบ
องค์ชายเก้าตัวสั่นขึ้นคำรบหนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาด สัมผัสได้ถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเขาแทบหยุดหายใจ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนกดข่มความรู้สึกไม่สงบ “ข้า…ไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
ราชครูเก็บสายตากลับมาและมองทิวทัศน์อีกครั้ง ก่อนพูดโดยไม่เจือความรู้สึกใด “ตั้งแต่วันนี้ ท่านก็ปิดด่านกักตนอยู่แต่ในจวนเถิด ข้าจะส่งคนไปดูแลความเป็นอยู่ของท่าน รอให้ท่านสงบใจลงได้เมื่อไหร่ ค่อยมาพบข้าก็ยังไม่สาย”
คำพูดนี้ทำเอาองค์ชายเก้าราวกับถูกฟ้าผ่า ใบหน้าขาวซีดโดยพลัน พูดเสียงหลง “ราชครู เพราะเหตุใด ท่าน…ท่านจะกักบริเวณข้าหรือ”
“ทุกเรื่องบนโลกเสมือนหมากกระดาน ไม่มีอะไรแน่นอน เรื่องบางเรื่องท่านยังไม่เข้าใจ”
ชายชราโบกมือน้อยๆ
พลังน่าหวาดหวั่นที่ยากจะพรรณาได้แผ่ตัวขึ้นมา และพาตัวองค์ชายเก้าจากไปทั้งอย่างนั้น โดยที่เขายังไม่ทันได้ต่อต้านด้วยซ้ำ
ส่วนชายชรายังคงยืนอยู่หน้าระเบียงเพียงลำพังต่อ เฝ้ามองท้องฟ้ารัตติกาลไกลๆ จมสู่ความเงียบงัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น