Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 385-392

 ตอนที่ 385 เก้าศิลาประตูมังกร

โดย

ProjectZyphon

ห้องโถงโอ่อ่า เสาหินทุกต้นตั้งตระหง่าน พื้นที่กว้างขวางไม่อาจจินตนาการได้


โดยรอบๆ ห้องโถงมีเก้าอี้วางเรียงอยู่ ส่วนตำแหน่งตรงกลางนั้นกลับมีเวทีหยกดำรัศมีประมาณร้อยจั้ง


บนเวทีหยกดำมีแท่นหินเก้าแท่นเรียงรายอยู่


ทุกแท่นล้วนสูงราวสิบจั้ง มีรอยด่างพร้อยทั้งผืน เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวันเวลาราวกับตั้งตระหง่านน่าเกรงขามตั้งแต่บรรพกาลมาถึงปัจจุบัน


ที่นี่ก็คือโถงทดสอบระดับปรมาจารย์!


เวทีหยกดำแห่งนั้นมีนามว่า ‘เวทีประตูมังกร’ แท่นหินเก่าแก่เก้าแผ่นที่อยู่บนเวทีก็คือ ‘เก้าศิลาประตูมังกร’ ที่มีชื่อเสียงระบือใต้หล้า พาให้นักสลักรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนเคารพบูชาอย่างบ้าคลั่ง!


ยามข้ารับใช้นำทางหลินสวินมาถึงที่นี่ ที่นั่งในห้องโถงก็มีเงาร่างมากมายแน่นขนัดนั่งอยู่ก่อนแล้ว


เงาร่างเหล่านี้ถ้าไม่เป็นคนวัยกลางคนท่าทางไม่ธรรมดา สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ก็เป็นผู้ชราผมหงอกขาว


เมื่อเทียบกันแล้วคนรุ่นหนุ่มมีน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินยิ่งน้อยลงไปอีก กวาดมองไปทั้งสี่ทิศล้วนหาเจอเพียงไม่กี่คน


“คุณชาย เชิญรอตรงนี้ก่อนขอรับ เมื่อการรับรองเริ่มขึ้นท่านเพียงต้องปฏิบัติตามกติกา ไปยังเวทีประตูมังกรเพื่อดำเนินการทดสอบก็เรียบร้อยแล้วขอรับ”


ข้ารับใช้อธิบายเสียงค่อยแล้วรีบร้อนจากไป


หลินสวินหาที่นั่งตามใจแล้วนั่งลง ดวงตามองไปยังเวทีประตูมังกรที่อยู่ตรงกลางโถง


ก่อนมาที่นี่เขาได้รับรู้มาแล้วว่า ถ้าต้องการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ ก็ต้องผ่านการทดสอบ ‘เก้าศิลาประตูมังกร’


คนนอกไม่สามารถแทรกแซงระหว่างทดสอบ ดังนั้นจึงรับประกันความยุติธรรมในการทดสอบได้


แน่นอนว่าหากพลังของนักสลักวิญญาณไม่เพียงพอ ก็ย่อมไม่สามารถอาศัยการทุจริตผ่านการทดสอบได้ นี่เป็นการตัดปัญหาไม่ให้มีกรณีผู้ไร้ความสามารถเข้ามาปะปนกับผู้มีความสามารถเกิดขึ้น


กล่าวได้ว่านักสลักวิญญาณที่ผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร ย่อมเป็นผู้เก่งกาจมีเกียรติสมความสามารถ ไม่มีคนธรรมดาเลยสักคน


ทว่าคิดจะผ่านการทดสอบไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น


ฉับพลันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังไกลออกไปก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน


“ได้ยินว่าวันนี้ขนาดท่านผู้อาวุโสเฉิงจิ่งปรมาจารย์สลักวิญญาณชั้นสูงจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือ ผู้อาวุโสเสิ่นทั่วหัวหน้าปรมาจารย์สลักวิญญาณแห่งเรือนสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต รวมถึงคนสำคัญที่ครอบครองความรู้ลึกล้ำเหนือธรรมดาในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ตอนนี้ล้วนมาถึงภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณแล้ว”


“เหอะๆ มีเพียงคนที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างไห่ตงถึงดึงดูดคนสำคัญมากมายขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้นได้”


“ใช่ เจ้าเด็กไห่ตงคนนี้หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์การสลักวิญญาณมาสิบกว่าปีแล้ว ครั้งนี้น่าจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้โดยราบรื่น!”


ฝูงชนแลกเปลี่ยนความเห็น ถ้อยคำล้วนมีแต่ความชื่นชม ดวงตามองไปยังเด็กหนุ่มในชุดดำท่าทางโดดเด่น คิ้วทั้งสองราวหมึก ดวงตาเปล่งประกาย รูปลักษณ์หล่อเหลามีสง่ายิ่งนัก


เมื่อเผชิญหน้ากับคำชมของผู้คน เขาระบายยิ้มกุมมือคารวะแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านยอข้าเกินไปแล้ว ข้าฉู่ไห่ตงมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะได้ผู้อาวุโสทุกท่านตั้งใจอบรมบ่มเพาะขอรับ”


“โถ ไห่ตงถ่อมตัวไปแล้ว”


“นั่นสิ ที่พวกข้ามาคราวนี้ก็เพื่อมาส่งแรงใจให้เจ้า ต้องแสดงฝีมือให้ดีนะ”


ชายชราและคนวัยกลางคนเหล่านั้นล้วนเอ่ยปาก ถ้อยคำมีแต่ให้กำลังใจและชื่นชม


ตระกูลฉู่?


หลินสวินอึ้งไป ในนครต้องห้ามมีตระกูลนักสลักวิญญาณใหญ่อยู่สามตระกูล ได้แก่ตระกูลฉู่ ตระกูลเฟิงและตระกูลโม่


เด็กหนุ่มนามฉู่ไห่ตงผู้นั้น ในเมื่อกล้ามารับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เกรงว่าคงจะมาจากตระกูลฉู่ที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ


นี่ทำให้หลินสวินพลันนึกถึงฉู่เฟิงที่อยู่ในเมืองหมอกอำพราง ฉู่เฟิงก็มาจากตระกูลฉู่เช่นกัน แต่เพราะความวุ่นวายบางอย่างทำให้เขาถูกขับออกจากตระกูลฉู่ ต้องหลบหนีมาอยู่ในเมืองหมอกอำพราง


คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ใจเต้น ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉู่เฟิงจึงถูกขับออกมากันแน่ ถ้ามีโอกาสเขาก็อยากไปสืบดูเรื่องราวเกี่ยวกับฉู่เฟิง


แต่ตอนนี้หลินสวินยังไม่คิดจะทำเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายที่ไม่จำเป็น


ในเวลาต่อมา จากการสังเกตของหลินสวินก็พอจะประเมินฐานะของคนอื่นๆ ที่อยู่ในโถงได้


ที่ทำให้หลินสวินแปลกใจก็คือ บรรดาผู้คนเหล่านี้มีเพียงสี่ห้าคนที่จะทดสอบการรับรองฐานะปรมาจารย์ในวันนี้ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็รวมฉู่ไห่ตงเข้าไปด้วย


ส่วนคนอื่นนั้นเป็นนักสลักวิญญาณแทบทุกคน ถ้าไม่ใช่มาสังเกตการณ์เพื่อเรียนรู้ ก็มาให้กำลังใจผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบอย่างพวกฉู่ไห่ตง


อย่างชายชราและคนวัยกลางคนที่อยู่ข้างฉู่ไห่ตงราวสิบกว่าคนนั้น ล้วนมาจากตระกูลฉู่ ทุกคนต่างเป็นนักสลักวิญญาณ นั่งอยู่ตรงนั้นดูดึงดูดสายตานัก


จากจุดนี้ก็ทำให้ดูออกว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ ภูมิหลังของตระกูลฉู่ในศาสตร์สลักรอยวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่ปานใด


“เอ๋ หลินสวิน!?”


ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกลออกไป เจือด้วยความประหลาดใจ


หลินสวินชะงักไปก่อนหเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าในที่นั่งที่ไม่ไกลมากนักมีบุรุษแปลกหน้าชุดเหลืองผู้หนึ่งมองมาทางตนด้วยสีหน้าตะลึง


หลินสวิน?


ผู้คนมากมายชำเลืองมองด้วยถูกเสียงนี้ดึงดูด


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ คงไม่ได้…มาเข้าร่วมทดสอบรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณด้วยใช่ไหม”


บุรุษชุดเหลือนผู้นั้นตื่นตระหนก เสียงก็ดังนัก พาให้คนอื่นไม่อาจไม่สนใจได้


ไม่ทันที่หลินสวินจะได้เอ่ยปากก็มีคนชิงพูดขึ้นก่อนว่า “พี่ชาย ที่เจ้าพูดนี่หลินสวินคนไหน”


“ยังจะมีใครเล่า ก็หลินสวินที่เพิ่งกำราบฮวาอู๋โยว หลินสวินที่ชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งนครต้องห้ามคนนั้นอย่างไรเล่า”


บุรุษชุดเหลืองดูฮึกเหิมนัก เหมือนได้ค้นพบความลับใหญ่โตสะเทือนสวรรค์


เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในที่นั้น


“ที่แท้เขาก็คือหลินสวิน ยังเยาว์เหมือนข่าวลือเลย”


“การประลองครั้งนั้นของเขากับฮวาอู๋โยวทำให้เกิดความครึกโครมไปทั้งนครต้องห้าม ถูกขนานนามว่าเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ แต่ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่นี่ได้”


เสียงสนทนาดังขึ้น ดวงตาหลายคู่ล้วนมองไปยังหลินสวิน ท่าทางสงสัยราวกับมองดูสัตว์ประหลาด


หลินสวินหัวเราะขื่นอยู่ในใจ ที่แท้ตอนนี้ตนก็มีชื่อเสียงขนาดนี้แล้ว นี่ทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก


“หลินสวิน เจ้า…เจ้ามาเข้าร่วมการทดสอบรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณจริงๆ หรือ”


บุรุษชุดเหลืองผู้นั้นถามย้ำอีกครั้ง


หลินสวินเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย เป็นความสงสัยโดยแท้ ก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบกลับ


แต่การกระทำของเขากลับทำให้ชายชุดเหลืองผู้นั้นตื่นเต้นขึ้นอย่างหาใดเปรียบโดยพลัน ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “สวรรค์ เจ้าแห่งภูเขาชำระจิตอันยิ่งใหญ่ ผู้กล้าวัยเยาว์ผู้โดดเด่นยิ่ง กลับมารับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ นี่ถ้าข่าวนี้กระจายออกไปในนครต้องห้ามคงเกิดความครึกโครมไปทั่ว!”


สีหน้าของเขายกยอชื่นชม เสียงดังอย่างยิ่ง พาให้ผู้ที่อยู่ในที่นั้นตื่นตัวไปครู่หนึ่ง หลายคนเผยสีหน้าตกตะลึงทำใจเชื่อได้ยากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่


หลินสวินผู้นี้มารับรองคุณสมบัติปรมาจาย์สลักวิญญาณจริงหรือนี่


นี่คาดไม่ถึงเกินไปแล้ว!


ใครจะกล้าคิดว่ายอดผู้กล้าวัยเยาว์ที่มีคุณลักษณะดึงดูดสายตาในการฝึกปราณ กลับพลันพลิกตัวมาขอรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณในศาสตร์สลักรอยวิญญาณเสียแล้ว


นี่…พาให้ผู้ที่ได้ยินตกใจยิ่ง!


หลินสวินเข้าใจจุดนี้ อย่างไรเสียขนาดยามพญาแร้งรู้ถึงการตัดสินใจของตนก็อึ้งไปนานนัก


ท่ามกลางเสียงฮือฮาตื่นตระหนกนี้เอง ฉับพลันมีคนหัวเราะหยัน “ตลกน่า เด็กน้อยอายุสิบกว่าปี ยังเพ้อฝันคิดเรื่องเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณงั้นหรือ น่าขันเกินไปแล้ว!”


นี่คือชายชราผมหงอกขาวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างฉู่ไห่ตง


ฝูงชนในที่นั้นจำได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้เป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงคนหนึ่งในตระกูลฉู่นามว่าฉู่อวิ๋นคง ลำดับอาวุโสในตระกูลสูงยิ่ง


เห็นฉู่อวิ๋นคงเอ่ยปากเหน็บแนมอย่างไม่ไว้หน้า พลันทำให้ผู้คนไม่น้อยรู้สึกตัวขึ้นมา นั่นสิ หลินสวินผู้นี้อายุเพิ่งสิบกว่าปีเท่านั้น จะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณได้อย่างไร


หลินสวินยิ้มน้อยๆ ขี้คร้านจะอธิบายอีกฝ่าย


แต่เมื่อเขาไม่พูด กลับยิ่งทำให้ฉู่อวิ๋นคงผู้นั้นยิ่งแน่ใจว่า ที่หลินสวินมาคราวนี้เพื่อเป็นเพียงตัวประกอบ ไม่ได้มีคุณสมบัติโดยแท้จริง


เขาหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “แทบทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นนักสลักวิญญาณ คิดจะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งนั้นยากเย็นขนาดไหน ก็คงราวกับคูน้ำสวรรค์ ผู้ที่ก้าวข้ามได้นั้น ในหมื่นคนหามีไม่!”


หลายคนแอบพยักหน้า แน่ล่ะ ปรมาจารย์สลักวิญญาณไม่ธรรมดาเกินไป ต้องมีทั้งพรสวรรค์กับความเชี่ยวชาญในการศาสตร์สลักรอยวิญญาณที่วิเศษยิ่ง ถึงจะมีความสามารถมากพอให้มาถึงจุดนี้ได้


ฉู่อวิ๋นคงพูดต่อ “ข้าผู้แซ่ฉู่ไม่มีพรสวรรค์ ถูกจำกัดด้วยความสามารถสามัญ ใช้สิ้นทั้งความพยายามและจิตวิญญาณ ไม่เคยไปถึงขั้นปรมาจารย์สลักวิญญาณ ในตอนนี้ยังเป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นสูงดังเดิม”


เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยยิ้มกล่าวถากถาง “ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กน้อยอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งกลับคุยโตว่าจะมาขอรับรองคุณสมบัติปรมาจารย์สลักวิญญาณ นี่…น่าตลกขนาดไหน! โอหังขนาดไหน! ทั้งโง่เง่าไม่รู้ความขนาดไหน!”


เอ่ยคำแรกๆ ยังดีอยู่ แต่คำหลังที่เอ่ยออกมานั้นไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับชี้หน้าด่าหลินสวินตรงๆ เลย


ฝูงชนอดตกใจระคนสงสัยไม่หยุดหย่อน แม้วาจาของฉู่อวิ๋นคงจะระคายหูไม่น่าฟัง แต่ที่พูดก็เป็นความจริง หลินสวินเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น จะเอาอะไรมากล้าขอรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ


หรือเขานึกว่าใครก็สามารถเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณได้?


ทันใดนั้นสายตาที่ผู้คนมองไปยังหลินสวินก็เปลี่ยนไป


ถูกตาแก่คนหนึ่งต่อว่าอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทั้งถูกผู้คนจ้องมองด้วยสายตาเคลือบแคลง ต่อให้เป็นคนที่ใจกว้างกว่านี้ก็เกรงว่าคงทนได้ยาก


นับประสาอะไรกับหลินสวินผู้ไม่ใช่คนใจกว้าง


ตรงกันข้าม ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบผู้ใด มีแค้นต้องชำระ


“ท่านลุงผู้นี้ เอาความอาวุโสมากดข่มผู้เยาว์เช่นนี้ไม่ดีนะ แก่ปูนนั้นแล้วยังควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ไม่รู้หรือว่าปากพาซวยเป็นอย่างไร เคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ ที่พูดกันว่าแก่แล้วยังไม่ตาย…ถือเป็นภัยร้าย!”


หลินสวินเริ่มโต้กลับ เสียงพูดราบเรียบแต่ทุกคำกลับดังเข้าไปในโสตประสาทของทุกคนในที่นั้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง


ทันใดนั้นหลายคนพากันตื่นตะลึง การโต้กลับของหลินสวินนั้นร้ายกาจยิ่ง ถึงกับด่าฉู่อวิ๋นคงว่าแก่แต่ไม่ตายเสียที!


ตามคาด เห็นฉู่อวิ๋นคงสีหน้าถมึงทึงเกรี้ยวโกรธ “ไอ้เด็กน้อย เจ้า…กำเริบเสิบสาน!”


พวกคนในตระกูลฉู่ข้างกายเขาก็มีสีหน้าถมึงทึง ดวงตาฉายแววไม่เป็นมิตร


แต่หลินสวินไม่สนใจเลยสักนิด ยิ้มยิงฟันแล้วพูดว่า “ท่านลุง ทุกคนดูอยู่นะ เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย ท่านกลับเหน็บแนมต่อว่าข้าเสียหลายยก ท่านว่าใครกำเริบเสิบสานกว่ากัน ข้าหลินสวินเคารพผู้ใหญ่รักผู้น้อย ให้เกียรติอาจารย์เชื่อฟังคำสอน น่าเสียดายที่ท่านลุงไม่รู้จักรักตัวเอง ปากสาระแนนัก ข้าจึงไม่อาจให้ท่านเล่นละครร้องรำอยู่คนเดียวได้”


“เจ้า…!”


ฉู่อวิ๋นคงผู้นั้นจะคิดได้ที่ไหนว่าวาจาหลินสวินจะร้ายกาจยากรับมือเช่นนี้ จึงโกรธเสียจนตาถลน ปอดแทบระเบิด


เวลานี้ฉู่ไห่ตงอดขมวดคิ้วไม่ได้ ชิงพูดก่อน “หลินสวิน เมื่อกี้ถ้อยคำของท่านลุงข้าอาจรุนแรงไปบ้าง แต่ทุกอย่างที่พูดล้วนเป็นความจริง ถ้าเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เห็นต้องเอาจริงเอาจังเช่นนี้”


เห็นฉู่ไห่ตงผู้นี้ออกหน้ามาด้วย หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ มุมปากของเขาพลันเผยแววดูถูก โพล่งออกมาสองคำ “ไอ้โง่!”


“เจ้ารนหาที่ตาย!”


ฉู่ไห่ตงดวงตาเย็นชา เอ่ยออกมาอย่างเดือดดาล


หลินสวินยักไหล่ ยิ้มพูดขึ้นว่า “ดูสิ ที่ข้าพูดก็เป็นความจริง ถ้าเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เห็นต้องเอาจริงเอาจังเช่นนี้”



ตอนที่ 386 ชิงโยวแห่งตระกูลเฟิง

โดย

ProjectZyphon

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน!


คำว่า ‘ไอ้โง่’ ของหลินสวิน ด่าออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ประโยคต่อมายิ่งเป็นการพูดอย่างเลิศล้ำ นำความของผู้นั้นย้อนใส่ตัวเขาเอง ดุดันเด็ดเดี่ยว งดงามคล่องแคล่ว


ฝูงชนอดแสดงสีหน้าประหลาดออกมาไม่ได้ หลินสวินผู้นี้ก็กล้าเสี่ยงเสียจริง!


ฉู่ไห่ตงพลันหน้าเขียว กัดฟันกรอดจนฟันแทบหัก กล่าวว่า “นี่เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลฉู่ของข้าหรือ”


หลินสวินยิ้มกล่าว “นั่นก็ต้องดูท่าทีของพวกเจ้าแล้ว”


“ดี ดีมาก! วันนี้ข้าจะดูว่า ด้วยความสามารถของเจ้าจะสามารถผ่านการรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณได้หรือไม่!”


ฉู่ไห่ตงสูดหายใจลึก ควบคุมตัวเองไว้ไม่แสดงความเกรี้ยวกราดออกมา แต่ใช้น้ำเสียงเย็นเยียบพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เมื่อผลออกมา ก็จะพิสูจน์ได้ว่าใครกันแน่ที่โง่งมไม่รู้ความ และใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่!”


สองคำสุดท้ายนั้นเหมือนเค้นลอดไรฟันออกมา


คำพูดนี้แสดงชัดถึงความแข็งกร้าวและการดูถูก หมายใช้วิธียุติธรรมมาพิสูจน์ความไม่เหมาะสมและความจองหองของหลินสวิน


ที่ฉู่ไห่ตงมั่นใจเช่นนี้ เพราะเดิมทีก็ไม่เชื่ออยู่แล้วว่า เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีอย่างหลินสวินจะสามารถผ่านการทดสอบรับรองคุณสมบัติปรมาจารย์สลักวิญญาณ


อย่างไรเสียการทดสอบของเก้าศิลาประตูมังกรก็ซับซ้อนยุ่งยากยิ่งนัก หลายร้อยปีมานี้มีเพียงเฟิงชิงโยวผู้เดียวที่เคยเข้าสอบด้วยอายุเพียงสิบเจ็ดปีแล้วผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้


นอกจากเฟิงชิงโยวแล้วก็ไม่มีใครทำได้ถึงขั้นนี้อีก!


ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉู่ไห่ตงย่อมไม่คิดว่าหลินสวินจะทำได้เช่นเดียวกับเฟิงชิงโยว สามารถสร้างสถิติและปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้อีกครั้ง


ดังนั้นเขาจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่าเมื่อผลออกมาหลินสวินจะต้องอับอายขายขี้หน้า และได้ลิ้มรสความเสียหายจากเรื่องที่ตนก่อเอง!


ไม่เพียงฉู่ไห่ตงผู้เดียวเท่านั้น นักสลักวิญญาณมากมายที่นั่นก็แคลงใจว่าหลินสวินไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำถึงขั้นนี้ได้อยู่แล้ว


แต่หลินสวินกลับสีหน้าสงบนิ่ง ยิ้มพลางพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่ใช่ข้าแน่”


“หึ!”


ฉู่ไห่ตงไม่พูดอะไรอีก ต่อล้อต่อเถียงกับหลินสวินก็รังแต่จะถูกวาจาร้ายกาจของอีกฝ่ายทำให้โมโห ไม่คุ้มเอาเสียเลย


เพียงใช้ความจริงเท่านั้นจึงจะกำราบความถือดีของหลินสวินให้สิ้นได้!


นักสลักวิญญาณตระกูลฉู่เหล่านั้นล้วนมีสีหน้าถมึงทึง มีท่าทีว่าอีกเดี๋ยวจะให้หลินสวินได้เห็นดีกัน


โดยเฉพาะฉู่อวิ๋นคงที่ผมหงอกขาวผู้นั้น เขาเพิ่งถูกหลินสวินด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย โมโหจนแทบคลั่ง เวลานี้ในใจกำลังแอบวางแผนอยู่ว่า รออีกครู่หลังหลินสวินไม่ได้รับการรับรอง จะเยาะเย้ยเจ้าเด็กนี่อย่างไร้ความปราณีอย่างไรดี


ความชุลมุนครั้งนี้ใกล้ปิดฉากลง แต่บรรยากาศในห้องโถงกลับเงียบเชียบ


ทุกคนต่างรู้ว่าความแค้นระหว่างหลินสวินและฉู่ไห่ตงนั้น น่ากลัวจะปะทุขึ้นโดยพลันหลังจากการทดสอบ!


ในเวลาเดียวกันนี้เอง ที่เรือนหรูหรางามสง่าอีกหลังหนึ่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ


มีจอภาพม่านแสงปรากฏขึ้น แสดงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโถงทดสอบระดับปรมาจารย์เมื่อครู่นี้อย่างหมดสิ้น


ผู้ชราหกเจ็ดคนที่รูปลักษณ์เครื่องแต่งกายแตกต่างกันไปนั่งตัวตรงอยู่ตรงข้ามจอภาพ


คนสูงวัยเหล่านี้ มีทั้งอวี๋เป่ยโต้วประธานภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ เฉิงจิ่งปรมาจารย์สลักวิญญาณชั้นสูงแห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ เสิ่นทั่วหัวหน้าคณาจารย์แห่งเรือนสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต…


ทุกคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคนสำคัญชั้นแนวหน้า! มีชื่อเสียงยิ่งในจักรวรรดิ ได้รับความเคารพบูชาจากนักสลักวิญญาณนับไม่ถ้วน


ที่พิเศษก็คือ เบื้องหลังเสิ่นทั่วหัวหน้าคณาจารย์แห่งเรือนสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต ยังมีเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ผมสีดำขลับยุ่งเหยิง ท่าทางเฉื่อยชา ทว่ารูปลักษณ์งดงามผุดผ่องผู้หนึ่งยืนอยู่


ดวงตาสดใสของนางราวภาพฝัน ตื่นตะลึงเหม่อลอย ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


หากมีศิษย์จากสำนักศึกษามฤคมรกตอยู่ตรงนี้ ต้องจำได้แน่นอนว่านางก็คือเฟิงชิงโยวที่ในศาสตร์สลักรอยวิญญาณได้รับการเรียกขานว่า ‘เด็กสาวอัจฉริยะ’!


นางมาจากตระกูลเฟิงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ บิดาของนางเป็นหัวหน้าตระกูลเฟิง และตอนนี้นางยังกลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของหัวหน้าเรือนสลักวิญญาณ!


พูดได้ว่าฐานะของสตรีผู้นี้ก็สูงส่งมีเกียรติถึงที่สุด


“หลินสวินคนนี้ปากคอร้ายกาจไปแล้ว ถึงคำพูดของฉู่อวิ๋นคงผู้นั้นจะลำเอียง แต่อย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสกว่า หลินสวินเพียงอดกลั้นสักนิด ความวุ่นวายนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”


เวลานี้เมื่อได้เห็นทุกอย่างที่ฉายบนจอภาพ อวี๋เป่ยโต้วก็อดส่ายหัวต่อว่าไม่ได้


“เหอะๆ เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายนัก หลินสวินผู้นี้ถ้าใจไม่กล้า จะกล้าทำร้ายลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลซ่ง หรือถึงกับกล้าประลองกับฮวาอู๋โยวได้อย่างไร”


เฉิงจิ่งหัวเราะเบาๆ


บุคคลสำคัญคนอื่นๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ ก็จริง หลินสวินคนนี้เป็นคนที่รับมือได้ยากนัก ในนครต้องห้ามแห่งนี้คงไม่มีใครกล้าได้อย่างเขา ไม่ทันไรก็ไปมีเรื่องกับขุมอำนาจชั้นสูงสองตระกูลเสียแล้ว


ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีอยู่ดีมีสุข ทั้งไม่ได้ประสบหายนะใด พาให้คนสงสัยเสียจริง


“ข้าว่าเจ้าหมอนี่เป็นอันธพาลตัวน้อย”


เฟิงชิงโยวหยอกเย้าขึ้นมา การกระทำเมื่อครู่ของหลินสวินนางก็ได้เห็นกับตา โดยเฉพาะตอนที่หลินสวินด่าฉู่ไห่ตงว่า ‘ไอ้โง่’ นั้น นางแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ผู้ที่ด่าคนอื่นออกไปตรงๆ เช่นนี้มีเสียที่ไหน หลินสวินนี่ยังเป็นถึงเจ้าแห่งภูเขาชำระจิต ปากคอร้ายกาจไปแล้ว


“พอพูดขึ้นมา หลินสวินผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ ถึงได้กล้ามาทดสอบรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ”


มีคนสงสัยขึ้น


คนใหญ่คนโตอื่นๆ ล้วนนิ่งไป นั่นสิ เจ้าเด็กนี่อายุเพิ่งสิบกว่าปี แม้จะเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกปราณ แต่เด็กหนุ่มอ่อนวัยพรรค์นี้จะไปเข้าใจศาสตร์สลักรอยวิญญาณได้อย่างลึกซึ้งทะลุปรุโปร่งได้อย่างไร


“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินรายงานจากข้ารับใช้ว่า หลินสวินผู้นี้เมื่อตอนอยู่เมืองหมอกอำพรางก็ผ่านการรับรองนักสลักวิญญาณชั้นต้นแล้ว คิดดูแล้วเขาเองก็มีพรสวรรค์ในศาสตร์สลักวิญญาณอยู่นะ”


อวี๋เป่ยโต้วพึมพำ


“นักสลักวิญญาณระดับต้น?”


คนใหญ่คนโตไม่น้อยประหลาดใจ ไม่คิดว่าหลินสวินจะประสบความสำเร็จในด้านการสลักวิญญาณด้วย


“ถึงเป็นเช่นนี้ก็ยังน่าขันเกินไป เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นเท่านั้น นักสลักวิญญาณชั้นกลางหรือชั้นสูงรึก็ไม่ใช่ เขายังจดจ่อกับการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณในเร็ววันหรือ เห็นชัดว่าโอหังไม่ประมาณตน ใฝ่สูงเกินตัว”


คนใหญ่คนโตบางคนส่ายหัว


แน่นอนว่าการที่หลินสวินคิดจะรีบประสบความสำเร็จในเร็ววันเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


โดยเฉพาะในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ไม่เคยมีความสำเร็จภายในชั่วพริบตาเดียวให้เห็น


“เจ้าเด็กนี่อาจจะมาลองเล่นสนุกก็เป็นได้ แค่อยากลองดู เกรงว่าขนาดตัวเขาเองคงไม่คิดว่าตนจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้”


เสิ่นทั่วเอ่ยปากวิเคราะห์และได้รับความเห็นพ้องไม่น้อย นี่เป็นการสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว


“เฮอะ มาเพื่อเล่นสนุกงั้นหรือเจ้าคะ ข้าว่าเขามาก่อกวนล่ะสิไม่ว่า เจ้าคนนี้ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่จริงใจ”


เฟิงชิงโยวเม้มปาก พูดพลางหัวเราะคิกคัก เสียงอ่อนหวานรื่นหู เผยให้เห็นความน่ารักไร้เดียงสาที่มีเฉพาะในเด็กสาว


“ช่างเถอะ ประเดี๋ยวผลทดสอบออกมาก็รู้เองนั่นล่ะ”


อวี๋เป่ยโต้วกวักมือเรียกข้ารับใช้ผู้หนึ่งแล้วสั่งการว่า “ไป ไปบอกลิ่งหูซิวว่าเริ่มการทดสอบได้แล้ว”


ข้ารับใช้ผู้นั้นพลันรับคำสั่งแล้วจากไป


……


โถงใหญ่ทดสอบปรมาจารย์


บุรุษวัยกลางคนในเสื้อผ้าหรูหรา ใต้คางไว้เคราสามสายคล้ายใบหลิว ท่าทางสง่าผ่าเผย เยื้องย่างไปบนเวทีประตูมังกร


บุคคลผู้นี้มีนามว่าลิ่งหูซิว เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ดำรงตำแหน่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเช่นเดียวกัน!


เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว บรรยากาศในโถงพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เงียบเชียบไร้เสียง ดวงตาทุกคู่พากันจับจ้องไปที่ร่างของลิ่งหูซิว


“ให้ทุกท่านรอเสียนานเลย การทดสอบจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ วันนี้ผู้ที่ลงชื่อเข้าร่วมทดสอบมีทั้งสิ้นห้าคน ได้แก่ ฉู่ไห่ตง หูหลินชวน โหลวคุน เยวี่ยเผิง…และหลินสวิน”


ลิ่งหูซิวเอ่ยปาก เสียงกังวานกระจ่างชัดดังก้องไปทั้งโถง


เมื่ออ่านถึงชื่อหลินสวิน หลินสวินรู้สึกได้ฉับไวว่าดวงตาลิ่งหูซิวผู้นี้กวาดมองมาทางตนอย่างไม่ตั้งใจ เหลือบมองครั้งเดียวแล้วถอนสายตากลับไป


นี่ทำให้หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ หรือว่าเจ้าคนนี้จะรู้จักตน?


เพียงแต่เมื่อหลินสวินสังเกตดูอีกครากลับไม่พบเรื่องผิดปกติอะไร ไม่นานจึงไม่คิดมากอีก


ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณแห่งนี้ ต่อให้ตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลฮวาส่งคนมาก็ไม่อาจทำร้ายตนได้แน่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถึงสถานที่สำคัญของจักรวรรดิ ได้รับการคุ้มครองโดยราชวงศ์แห่งองค์จักรพรรดิ!


“คิดว่าทุกท่านที่นี่คงรู้กฎดีแล้ว ผู้น้อยจะไม่อธิบายให้มากความอีก การทดสอบจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ สหายร่วมศาสตร์ทั้งห้าที่เข้าร่วมการรับรองไม่ต้องยึดติดกับลำดับ ใครมีความมั่นใจก็สามารถขึ้นเวทีประตูมังกรเป็นคนแรก รับการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้เลย”


ลิ่งหูซิวพูดจบก็ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง รอคอยเงียบๆ


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้แซ่หูคนนี้ก็ไม่เกรงใจล่ะ”


ชายชราผมเทาผู้หนึ่งพูดพลางลุกขึ้น กระโจนร่างออกไปแล้วพุ่งขึ้นเวทีประตูมังกร จากนั้นสูดหายใจลึก นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโดยหันหน้าเข้าหาแท่นศิลาโบราณทั้งเก้า


หูหลินชวน!


เมื่อได้เห็นเขาปรากฏตัวขึ้น นักสลักวิญญาณในที่นั้นล้วนเผยสีหน้าแฝงความนัยอย่างอดไม่ได้ หูหลินชวนผู้นี้เป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในนครต้องห้าม


ที่ชื่อเสียงเขาโด่งดังเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะครอบครองความรู้ความสามารถด้านการสลักรอยวิญญาณที่ล้ำลึก แต่เพราะเขาเข้าร่วมทดสอบรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณมาแล้วหลายสิบครั้ง แล้วก็ล้มเหลวทุกครั้งไปต่างหาก


แต่เขายังไม่ยอมแพ้ แม้อายุจะมากก็ยังคงยึดติดกับสิ่งนี้ ดังนั้นถึงทำให้นักสลักวิญญาณมากมายล้วนรู้จักคนโดดเด่นเช่นเขา


“นี่เป็นครั้งที่สามสิบแปดแล้วกระมัง”


“เหอะๆ ประมาณนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าหูหลินชวนคนนี้จะดวงขึ้นผ่านการทดสอบครั้งได้หรือไม่”


“ยาก ยากเกินไป พรสวรรค์เขามีจำกัด ศักยภาพก็ดึงมาใช้จนหมดสิ้น อยากเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”


“เฮ้อ เจ้าหมอนี่…จริงๆ ก็น่าสงสารยิ่ง”


เมื่อได้ยินฝูงชนแสดงความเห็นเสียงเบา หลินสิวนถึงได้รู้ว่าชายชราผมเทาที่ขึ้นเวทีไปคนแรกนี้เคยเข้าทดสอบมาหลายครั้งขนาดนี้แล้ว


เห็นเงาร่างผอมกะหร่องที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเวทีประตูมังกรของอีกฝ่ายแล้ว ในใจหลินสวินก็มีความชื่นชมก่อตัวขึ้นอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่


หนทางยากลำบากแต่จิตใจแน่วแน่ ต่อสู้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เอ่ยยอมแพ้ก็เพียงพอให้ผู้คนเคารพยกย่องแล้ว!


วู้ม~


ฉับพลันบนเวทีที่ครอบคลุมพื้นที่ร้อยจั้งก็พลันปรากฏคลื่นโบราณคลุมเครือสะท้อนไปทั่ว


ทันใดนั้นพื้นผิวแท่นศิลาลายพร้อยที่ประหนึ่งตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันผ่านเดือนปีมาเป็นเวลานานทั้งเก้า ก็เต็มไปด้วยประกายแสงเทพมหัศจรรย์ราวภาพฝัน พวยพุ่งโอบล้อม


ส่วนร่างของหูหลินชวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็ถูกประกายแสงเทพแวววาวเข้าปกคลุม


ในชั่วพริบตาเท่านั้น ฝูงชนโดยรอบก็มองเงาร่างของหูหลินชวนได้ไม่ชัดเจนอีก เห็นเพียงลำแสงพวยพุ่งออกมาลำแสงหนึ่ง กับแท่นศิลาโบราณเก้าแท่นที่ราวกับถูกปลุกขึ้นจากห้วงนิทรา


การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว!


หลินสวินจ้องตาไม่กะพริบ สลัดความคิดวุ่นวายทั้งหมดทิ้ง รวบรวมสมาธิมองไปยังเวทีประตูมังกร ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายมหัศจรรย์ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูด พาให้เขาอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้



ตอนที่ 387 ความขยันสามารถชดเชยพรสวรรค์ได้

โดย

ProjectZyphon

เก้าศิลาประตูมังกรมีที่มาอันลึกลับ เล่ากันว่ามีมาตั้งแต่โบราณจวบจนวันนี้ ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไร


เก้าศิลานี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณที่มีความลับซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง แสดงให้เห็นถึงลักษณ์ประหลาดอันลึกลับมากมายของรอยสลักวิญญาณ


ที่วิเศษที่สุดคือ หากนักสลักวิญญาณสามารถผ่านการทดสอบของเก้าศิลาประตูมังกร ก็เท่ากับมีคุณสมบัติและฐานะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างเต็มตัว


ในขณะนี้หูหลินชวนก็เข้ารับการทดสอบนี้!


“คราวก่อนหูหลินชวนพลาดศิลาหลักที่หก ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้เขาจะผ่านไปได้กี่หลัก”


มีคนพูดขึ้นด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา


“ไม่จำเป็นต้องเดาหรอก อย่างไรหูหลินชวนก็แก่แล้ว ความสามารถถูกงัดออกมาใช้จนหมดแล้ว ความหวังที่คราวนี้จะทำสำเร็จต่ำมาก”


และมีบางคนที่มั่นใจมาก


เก้าศิลาประตูมังกร ในทุกหลักศิลาล้วนเป็นมิติลึกลับ และในทุกมิติลับก็ล้วนมีรอยสลักวิญญาณประหลาดแตกต่างกันออกไป


ถ้าอยากผ่านการทดสอบของแต่ละศิลา ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาจะต้องเข้าใจและยึดกุมแก่นของรอยสลักวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบหนึ่งลาย จากในรอยสลักพิสดารนั้น


จนกระทั่งสามารถผ่านการทดสอบทั้งเก้าศิลา จึงจะเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างแท้จริง


แม้ดูเหมือนง่ายแต่ความจริงไม่ง่ายเลยสักนิด ตั้งแต่ศิลาหลักที่หนึ่ง รอยสลักวิญญาณพิสดารที่แฝงอยู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้น ยิ่งยากต่อการหยั่งถึงขึ้นเรื่อยๆ


อีกทั้งเวลาในการหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณพิสดารในแต่ละหลักก็มีจำกัด เพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น


เท่านี้ก็พอจะรู้ว่า การจะผ่านการทดสอบทั้งเก้าศิลานั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากเพียงใด


ยิ่งศิลาหลักที่เก้าที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ศิลาแห่งคูน้ำสวรรค์’ รอยสลักวิญญาณพิสดารที่ซ่อนอยู่เรียกได้ว่าวิปริต ราวกับคูน้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ยากจะข้ามผ่านมันไปได้!


นักสลักวิญญาณที่เข้าร่วมการทดสอบที่ผ่านๆ มา มีมากมายที่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลมากความสามารถ แต่เกือบทั้งหมดพ่ายแพ้ให้กับศิลาหลักที่เก้า


สามารถพูดได้อย่างไม่เกินจริงว่า นักสลักวิญญาณที่ผ่านการทดสอบจนถึงศิลาหลักสุดท้ายนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย!


และนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ในปัจจุบันมีปรมาจารย์สลักวิญญาณน้อยมาก


แม้หลินสวินจะเข้าใจทั้งหมดนี้ แต่ก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์อย่างแท้จริง ทำให้เขาในยามนี้เพ่งสมาธิไปที่เก้าศิลาประตูมังกรโดยไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นๆ


ไม่ทันไรรุ้งวิเศษสีทองสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนศิลาหลักที่หนึ่งพร้อมเสียงอื้ออึงประหลาด เปล่งประกายแสบตาประหนึ่งสายฟ้าสีทอง


นี่หมายความว่าหูหลินชวนสามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณที่ซ่อนอยู่บนศิลาหลักที่หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วหนึ่งลาย!


ทุกคนต่างไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เพราะแม้หูหลินชวนจะพ่ายแพ้กลับไปหลายครั้ง แต่ประสบการณ์นั้นมากมาย ถ้าแม้แต่ศิลาแรกยังไม่สามารถผ่านได้ต่างหากถึงจะเรียกว่าแปลก


หนึ่งถ้วยชาผ่านไป


สุดท้ายหูหลินชวนหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบห้าลาย บนศิลาหลักแรกจึงปรากฏรุ้งสีทองต่อเนื่องกันห้าสาย ดูมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก


เหล่านักสลักวิญญาณที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ ต่างกำลังประเมินผลการทดสอบจากจำนวนรุ้งทองบนหลักศิลา


“เท่าที่ข้ารู้มา สถิติสูงสุดของศิลาหลักแรกคือรุ้งทองเก้าเส้น หูหลินชวนทำได้ถึงห้าเส้นถือว่าไม่เลวเลย”


มีคนพูดขึ้น


แต่เสียงหนึ่งปฏิเสธขึ้นมาทันควัน “ตาเฒ่าคนนี้เข้าร่วมการทดสอบไปตั้งหลายครั้งแล้ว ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ต่างหากถึงจะเรียกว่าแปลก”


คนมากมายต่างถากถางอย่างอดไม่อยู่


มีเพียงหลินสวินที่สีหน้าเรียบเฉย ประสบการณ์มากมายก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถเช่นกัน ดังคำที่ว่าความขยันสามารถชดเชยพรสวรรค์ได้ นี่ไม่ควรค่าให้เอามาล้อเลียน


การทดสอบศิลาหลักที่สองได้เริ่มขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน


คราวนี้ด้วยเวลาหนึ่งถ้วยชา เขาสามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณสมบูรณ์แบบสี่ลายจนผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้


จากนั้นหูหลินชวนก็ผ่านการทดสอบของศิลาหลักที่สาม สี่และห้าไปได้อย่างราบรื่น เพียงแต่รอยสลักวิญญาณที่หยั่งถึงอย่างสมบูรณ์แบบมีเพียงแค่ประมาณสองลายเท่านั้น


ตอนที่หูหลินชวนเริ่มทดสอบศิลาหลักที่หก ผู้คนต่างเงียบและเพ่งสมาธิไปที่แท่นประตูมังกร


ก่อนหน้านี้หลายครั้ง หูหลินชวนล้วนพ่ายแพ้ให้กับศิลาหลักที่หก ครั้งนี้…เขาจะผ่านการทดสอบไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่


ยากมาก!


คนส่วนใหญ่ต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของหูหลินชวนไม่ดีนัก ดังจะเห็นได้จากผลการทดสอบในห้าศิลาแรก ที่จำนวนรุ้งทองมีแนวโน้มว่าน้อยลงเรื่อยๆ


เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ จนเกือบจะครบหนึ่งถ้วยชาแล้ว แต่บนศิลาที่หกยังคงไร้การเคลื่อนไหว ทำให้หลายคนต่างอดส่ายหน้าและถอนหายใจไม่ได้


และก็มีคนที่เผยรอยยิ้มราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้


แม้แต่หลินสวินยังขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจรู้สึกกังวลแทนหูหลินชวน


วู้ม!


และในตอนที่ใกล้ครบหนึ่งถ้วยชา บนศิลาหินหลักที่หกพลันเกิดเสียงอื้ออึง พร้อมกับรุ้งทองที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจ ตื่นตะลึงและไม่อยากจะเชื่อของทุกคน


ถึงกับ… สำเร็จแล้ว!


เสียงฮือฮาดังไปทั่ว


พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับหูหลินชวนในวินาทีสุดท้าย!


หลินสวินแอบโล่งอก แต่เขาไม่คิดว่าเป็นเพียงปาฏิหาริย์ เพราะถ้าไร้ซึ่งความพยายามและความทุ่มเทของหูหลินชวน ก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้


ถ้าจะบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ ก็ควรเรียกว่าผลตอบแทนในความพยายามจากฟ้าดีกว่า!


แต่ที่น่าเสียดายคือ สุดท้ายหูหลินชวนก็ยังล้มเหลวให้กับการทดสอบของศิลาหินหลักที่เจ็ด


บนแท่นประตูมังกร แสงประกายเลือนหายไปกลับคืนสู่ความเงียบเชียบ เงาร่างของหูหลินชวนสะท้อนเด่นอยู่ในสายตาของทุกคน


เขาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นหลั่งท่วมตัว ผมยาวสีเทาตกลู่แนบอยู่บนใบหน้าอันผอมซูบ ดูสะบักสะบอมและอ่อนแรง


แต่แววตาของเขากลับสว่างไสวอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ราวกับไม่ได้เสียใจกับความล้มเหลวเลยสักนิด


เพราะสำหรับเขาแล้ว สามารถผ่านการทดทดสอบศิลาหินหลักที่หกได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิตแล้ว!


นักสลักวิญญาณจำนวนไม่น้อยเห็นท่าทางแบบนี้ของหูหลินชวนแล้วประทับใจเป็นอย่างมาก พลันอดปรบมือให้เขาไม่ได้ ความเพียรพยายาม ความมุ่งมั่น และความเด็ดเดี่ยวในการไล่ตามสิ่งที่ต้องการของหูหลินชวนถือว่าน่านับถือมาก!


หลินสวินเองก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ ความพากเพียรสามารถชดเชยพรสวรรค์ได้ ไม่ว่าพรสวรรค์จะน้อยเพียงใด พื้นฐานจะมีจำกัดอย่างไร ขอเพียงแค่ไม่ย่อท้อก็ย่อมสามารถก้าวหน้าได้เช่นกัน


แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็ยังเป็นความก้าวหน้า ไม่ใช่นิ่งอยู่กับที่ ยิ่งไม่ใช่ถอยหลัง!


ภายในเรือนใหญ่อีกหลัง


เห็นผลงานของหูหลินชวนแล้ว เสิ่นทั่วหัวหน้าอาจารย์เรือนสลักวิญญาณแห่งสำนักศึกษามฤคมรกตอดชื่นชมไม่ได้ “หูหลินชวนคนนี้…ก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง!”


เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ก็ทำให้คนไม่น้อยเห็นด้วย


บนโลกนี้ผู้คนมากมายต่างให้ความสนใจกับพวกอัจฉริยะ อิจฉาพวกอัจฉริยะ เคารพนับถือพวกอัจฉริยะ แต่น้อยคนนักที่จะสังเกตว่า บนโลกนี้พวกอัจฉริยะนั้นมีเป็นส่วนน้อย แต่ผู้ฝึกปราณธรรมดาๆ อย่างหูหลินชวนต่างหากที่มีมากกว่า


ทว่าในจำนวนคนอันมากมายมหาศาลนั้น จะมีเสียกี่คนที่ต่อให้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เคยยอมแพ้เช่นหูหลินชวน


“เสียดายที่วิถีปราณนั้นแสนจะรันทด ศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณก็ยิ่งโหดร้ายยิ่งกว่า แม้หูหลินชวนคนนี้จะมีความพยายาม แต่ความสำเร็จในชีวิตนั้น เกรงว่าจะหยุดอยู่เพียงศิลาหลักที่หกของประตูมังกรแล้ว”


คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งทอดถอดใจ


นี่คือความจริง ทำให้คนอื่นๆ ไม่สามารถปฏิเสธได้


……


หูหลินชวนเดินลงจากแท่นท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคน


แต่ในขณะนั้นเองกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คนฉลาดย่อมรู้จักประมาณตน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องคำนึกถึงความสามารถ”


คนพูดคือฉู่อวิ๋นคง เขายังคงพูดเสียงเรียบต่อ “สำหรับข้า การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการไม่รู้จักประมาณความสามารถของตัวเอง คำว่าไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาก็เป็นเช่นนี้แหละ”


ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กัน กว่าหูหลินชวนจะผ่านการทดสอบมาจนถึงศิลาหลักที่หกไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องทำลายขวัญกำลังใจกันเช่นนี้?


เห็นเพียงสีหน้าของหูหลินชวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากอึ้งงันไปครู่ก็ส่ายหน้าแล้วหมุนตัวจะเดินจากไป เขาถูกหัวเราะเยาะแบบนี้มานานปีจนชินไปนานแล้ว


“หูหลินชวน แม้คำพูดข้าอาจจะรุนแรงไป แต่ที่พูดก็เพราะหวังดีกับเจ้า อยากให้เจ้าเลิกฝันลมๆ แล้งๆ อย่าได้ดันทุรังจนกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง” ฉู่อวิ๋นคงพูดขึ้นอีกครั้ง


เห็นเช่นนี้ทุกคนต่างไม่พอใจอยู่บ้าง ฉู่อวิ๋นคงอายุปูนนี้แล้ว เหตุใดจึงยังพูดจาทิ่มแทงผู้อื่นเช่นนี้


นี่ทำให้พวกเขานึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ที่ฉู่อวิ๋นคงพูดจาถากถางด่าว่าหลินสวินแบบนี้เช่นกัน


หูหลินชวนไม่ได้สนใจ ไม่นานก็หายไปจากโถง


“เหอะๆ ตัวเองไม่มีความสามารถ ยังคิดจะดึงคนอื่นลงมาตกต่ำด้วย วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ”


จู่ๆ หลินสวินก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา


เขารังเกียจฉู่อวิ๋นคงเข้าไส้แล้วจริงๆ ไม่พูดถึงเรื่องใช้ความอาวุโสข่มผู้อื่น ยังจงใจพูดจาทิ่มแทงคนอื่นอีก คนพรรค์นี้อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้โดยไม่ถูกฆ่าตาย ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว


“เจ้าเด็กบ้า เจ้าหมายถึงใคร!?”


เมื่อเห็นว่าเป็นหลินสวินอีกแล้ว สีหน้าของฉู่อวิ๋นคงก็มืดทะมึนโดยพลัน หนี้ใหม่แค้นเก่าทะลักท่วมใจ ทำให้เขาชิงชังจนอยากตบหลินสวินให้ตายคามือไปเสียเลย


ทุกคนอดตะลึงไม่ได้ แอบคิดว่าหลินสวินช่างใจกล้าอย่างยิ่ง ท้าทายคนตระกูลฉู่ครั้งแล้วครั้งเล่า หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ใครเล่าจะกล้า?


“ข้าว่าถ้าตาแก่ไม่ยอมตายอย่างเจ้ามีความสามารถจริง ก็ลองไปทดสอบบนแท่นประตูมังกรสักหน่อยเป็นไร แม้ผู้อาวุโสหูหลินชวนจะไม่ได้มีพรสวรรค์ แต่เขามีความพยายาม ทว่าตาแก่ไม่ยอมตายอย่างเจ้าอายุปูนนี้แล้ว ปรมาจารย์สลักวิญญาณหรือก็ไม่ใช่ มีคุณสมบัติอะไรไปว่าคนอื่น”


หลินสวินพูดเสียงเย็นโดยไม่รักษาน้ำใจ “คนอย่างเจ้า หากไม่ใช่เพราะมีตระกูลฉู่คอยคุ้มกะลาหัว คงถูกฆ่าตายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว!”


“เจ้า!”


ฉู่อวิ๋นคงโกรธจนตัวสั่น ใบหน้าเห่อแดงแทบจะกระอักเลือด


คนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าแปลกประหลาด ทว่าเพราะเกรงอำนาจตระกูลฉู่จึงไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไร คำพูดของหลินสวินก็ทำให้พวกเขารู้สึกสะใจมาก


ในโถงใหญ่อีกห้อง แม้แต่เหล่าบุคคลชั้นแนวหน้าอย่างพวกอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่ง เสิ่นทั่วต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด หลินสวินคนนี้… ช่างกล้าพูดจริงๆ!


ส่วนเฟิงชิงโยวนั้นหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่นานแล้ว รอยยิ้มราวกับบุปผาที่ผลิบานหลังฝนตก ในความบริสุทธิ์ใสแฝงความงดงามน่ารัก


นางพลันรู้สึกว่านิสัยไม่กลัวฟ้าดินของหลินสวินก็น่าสนใจดี


“หลินสวิน เมื่อครู่เจ้าเอ่ยลบหลู่ข้า มาตอนนี้ยังพูดจาท้าทายผู้อาวุโสตระกูลฉู่ของข้า เจ้าคิดว่าตระกูลฉู่เราไม่กล้าทำอะไรเจ้าจริงๆ งั้นหรือ”


ฉู่ไห่ตงพลันลุกขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยียบ สายตาคมปลาบราวกับใบมีด


เขาจ้องหลินสวินก่อนจะพูดออกมาทีละคำ “อีกเดี๋ยวเรามาสู้กันในการทดสอบบนแท่นประตูมังกร! ความจริงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่โง่เขลาไร้ยางอาย ใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่!”



ตอนที่ 388 เจิดจ้าเรืองรอง

โดย

ProjectZyphon

ถ้าหลินสวินจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉู่ไห่ตงพูดจาแบบนี้กับตน


เขาระบายยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ ในขณะที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่างกลับเห็นฉู่ไห่ตงก้าวเท้าขึ้นไปบนแท่นประตูมังกร


เห็นได้ชัดว่าหลินสวินทำฉู่ไห่ตงโมโหแล้ว รีบร้อนจะใช้การกระทำพิสูจน์ทุกอย่างเพื่อเย้ยหยันและโจมตีหลินสวิน


“ผู้อาวุโสลิ่งหู ข้าขอเป็นผู้รับการทดสอบคนต่อไป” ฉู่ไห่ตงประสานมือคารวะ


ลิ่งหูซิวที่ยืนอยู่อีกด้านพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ความวุ่นวายเมื่อครู่นี้อยู่ในสายตาเขาทั้งหมด แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงห้ามและไม่แสดงปฏิกิริยาอันใด จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่


แต่หลินสวินก็ยังคงสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าตอนที่ตัวเองปะทะฝีปากกับฉู่อวิ๋นคงและฉู่ไห่ตง สายตาที่ลิ่งหูซิวมองตนเจือแววแปลกประหลาดเล็กน้อย


หากไม่ใช่เพราะพลังจิตวิญญาณของหลินสวินในตอนนี้ผ่านการเคี่ยวกรำจนแข็งแกร่งอย่างที่สุด ก็คงยากจะสังเกตเห็นความผิดแผกนี้


‘คนผู้นี้ดูเหมือนจะสนใจท่าทีของข้ามาก…’


หลินสวินงุนงงในใจ ไม่ใคร่เข้าใจนัก


ฮู้ม~~~


บนแท่นประตูมังกร คลื่นพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งลอยออกมา และแผ่กระจายแสงประกายอันน่าพิศวงออกเป็นวงกว้างราวกับคลื่นน้ำ


เห็นเพียงสีหน้าของฉู่ไห่ตงที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันเคร่งขรึมลง ทั้งแน่วนิ่งและตั้งใจ ค่อยๆ หลับตาลง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะถูกแสงเปล่งประกายนั่นปกคลุม


เห็นแบบนี้เหล่านักสลักวิญญาณที่ชมดูอยู่รอบๆ ต่างหยุดทุกความคิดและมองไปที่ประตูมังกรอย่างจดจ่อ


เรียกได้ว่าการที่เหล่านักสลักวิญญาณมารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ ก็เพราะฉู่ไห่ตงโดยเฉพาะ!


ชายผู้นี้อายุเพียงยี่สิบต้นๆ แต่กลับประสบความสำเร็จในศาสตร์การสลักวิญญาณเป็นอย่างมาก ถูกยกย่องให้เป็นแม่ทัพในบรรดาหนุ่มสาวยุคใหม่ของตระกูลฉู่


ในขณะเดียวกัน เขายังถูกมองว่าเป็นผู้มีหวังผ่านการทดสอบรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สุด!


ด้วยอายุอย่างเขา แต่มีความสามารถและสติปัญญาโดดเด่นขนาดนี้ เรียกว่าเป็นผู้กล้าในศาสตร์การสลักวิญญาณได้เลย


ในบรรดาหนุ่มสาวตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณอย่างตระกูลเฟิง ฉู่และโม่ แม้ชื่อเสียงของฉู่ไห่ตงจะโด่งดังสู้เฟิงชิงโยวไม่ได้ แต่นอกจากเฟิงชิงโยวก็ไม่มีใครเทียบฉู่ไห่ตงได้อีก


ด้วยเหตุนี้ตอนที่รู้ว่าวันนี้ฉู่ไห่ตงจะเข้าร่วมการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เหล่านักสลักวิญญาณจึงมารวมตัวกันเพื่อชื่นชมความสามารถของฉู่ไห่ตงด้วยตาของตัวเอง


พอสังเกตเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไป รวมทั้งเหล่านักสลักวิญญาณที่ดูตั้งหน้าตั้งตาและจดจ่อกันมาก ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า แม้ฉู่ไห่ตงจะดูหยิ่งผยองไปหน่อยแต่ก็มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง


และในโถงใหญ่ที่อยู่อีกฝั่ง


เหล่าผู้มีชื่อเสียงเริ่มใจจดใจจ่อ ที่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะมาดูว่าความสามารถในศาสตร์การสลักวิญญาณของแม่ทัพยุคใหม่ของตระกูลฉู่ผู้นี้แน่เพียงใด


แน่นอนว่าถ้าเป็นไปได้ พวกเขาอยากฉวยโอกาสนี้ดึงฉู่ไห่ตงเข้าไปอยู่ในขุมอำนาจของตนมากกว่า!


อย่างเช่นอวี๋เป่ยโต่วที่เป็นตัวแทนของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ


เฉิงจิ่งที่เป็นตัวแทนของสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ


หรือเสิ่นทั่วที่เป็นตัวแทนของเรือนสลักวิญญาณแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต


ถ้าฉู่ไห่ตงทำได้ดี ผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้ พวกเขาพร้อมจะแสดงความจริงใจอย่างเต็มที่ เพื่อเชิญฉู่ไห่ตงกลับไปเป็นพวกเดียวกัน


เพราะถึงอย่างไรในจักรวรรดินี้ปรมาจารย์สลักวิญญาณก็หาได้ยากนัก สามารถเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณตั้งแต่ยังหนุ่มแบบนี้ยิ่งมีน้อยมาก


ถ้าได้ฉู่ไห่ตงไปเป็นพวกเดียวกัน ไม่แน่ว่าในอาจเป็นการเลี้ยงดูปฐมาจารย์ในอนาคตก็เป็นได้!


แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าฉู่ไห่ตงทำผลงานได้ดีพอ สามารถผ่านการทดสอบไปได้อย่างราบรื่น มิเช่นนั้นทุกอย่างล้วนเป็นเพียงความเพ้อฝัน


……


แสงประกายงดงามแผ่กระจายไปทั่วแท่นประตูมังกร และปกคลุมเงาร่างของฉู่ไห่ตงเอาไว้ ทำให้ศิลาโบราณทั้งเก้าหลักยิ่งดูลึกลับ


ฟุ่บ!


การทดสอบเพิ่งจะเริ่มขึ้น ก็เห็นรุ้งทองปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่าบนศิลาหลักที่หนึ่ง


“ใช้เวลาเพียงเท่านี้ก็หยั่งถึงรอยสลักวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบได้ลายหนึ่งแล้ว คราวนี้คุณชายคงจะเตรียมทำลายสถิติใช่หรือไม่”


มีคนตระกูลฉู่แผดเสียงขึ้นอย่างตื่นเต้น


“แข็งแกร่งกว่าหูหลินชวนนั่นมาก”


คนตระกูลฉู่อีกคนพูดถึงพร้อมรอยยิ้ม และเอาไปเทียบกับหูหลินชวนทันที ฟังดูช่างขัดหูนัก


แต่วินาทีนี้ไม่มีใครมีกะจิตกะใจมาถือสาเขา เพราะต่างกำลังเฝ้าดูผลงานของฉู่ไห่ตงอยู่


มีเพียงหลินสวินที่ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ที่คนตระกูลฉู่กล้าพูดแบบนี้ แสดงให้เห็นชัดว่าเมื่อก่อนล้วนผยองจนเคยตัว คิดว่ามีคนคอยหนุนหลังจึงไม่รู้จักเกรงกลัวใคร


สำหรับเรื่องนี้อันที่จริงก็เข้าใจได้ง่ายมาก ด้วยฐานะของคนตระกูลฉู่ที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ อย่างน้อยในหมู่นักสลักวิญญาณก็มีน้อยคนนักที่กล้ามีเรื่องกับพวกเขา


ฟิ้ว~


ในขณะที่หลินสวินตกอยู่ในห้วงความคิด บนศิลาหินหลักที่หนึ่งพลันมีรุ้งทองอีกสายเปล่งประกายทะยานออกมา


นี่เหมือนเป็นชนวนระเบิดอย่างไรอย่างนั้น เวลามาก็มีรุ้งทองปรากฏตามมาอีกหลายสาย เพียงพริบตาบนศิลาหินก็เต็มไปด้วยรุ้งทอง!


ทำให้นักสลักวิญญาณจำนวนมากต่างหวั่นไหว ในใจตื่นตะลึง สมคำร่ำลือจริงๆ ฉู่ไห่ตงคนนี้สมแล้วที่เป็นบุคคลระดับผู้กล้า หาใช่คนธรรมดาจะเทียบได้


วู้ม~


เพียงไม่นาน บนศิลาก็มีรุ้งทองปรากฏขึ้นอีกเส้นจนผู้คนตกใจร้องเสียงหลงไปตามๆ กัน


“รุ้งทองเส้นที่เก้า!”


“นี่ถือว่าเท่ากับสถิติสูงสุดที่เคยมีมาแล้ว!”


“อีกตั้งนานกว่าจะถึงหนึ่งถ้วยชา หรือว่าฉู่ไห่ตงจะทำสถิติใหม่ได้จริงๆ”


ผู้คนตะลึงกันทั้งสนาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ความสามารถที่ฉู่ไห่ตงแสดงออกมานั้นเก่งกาจมาก เพียงแค่ผลงานในศิลาหลักแรกก็เพียงพอแสดงให้เห็นว่าความเชี่ยวชาญในศาสตร์การสลักวิญญาณของเขาโดดเด่นเพียงใด


แม้แต่หลินสวินยามนี้ยังอดหรี่ตาไม่ได้ ในใจลอบตะลึง ความสามารถของฉู่ไห่ตงเหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้างจริงๆ


แต่ก็เพียงเหนือความคาดหมายเท่านั้น หลินสวินยังไม่ใจกว้างถึงขนาดดีใจแทนคู่ต่อสู้


ฮู้ม~


ยามครบเวลาหนึ่งถ้วยชา บนศิลาหลักแรกก็มีรุ้งทองอีกเส้นปรากฏ!


ซึ่งก็หมายความว่า ฉู่ไห่ตงสามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณสิบลายได้อย่างสมบูรณ์แบบภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งถ้วยชา!


เสียงฮือฮาดังสนั่นไปทั่ว ทำสถิติใหม่ได้แล้วจริงๆ


สายตาที่นักสลักวิญญาณมากมายมองฉู่ไห่ตงพลันเปลี่ยนไป เจือไปด้วยความเลื่อมใสและอิจฉา ตอนเฟิงชิงโยวยังทำไม่ได้ถึงขั้นนี้เลย แต่ตอนนี้ฉู่ไห่ตงกลับทำได้!


“ฮ่าๆๆ ไห่ตงทำได้ดีมาก!”


เหล่าคนตระกูลฉู่ต่างร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นที่ยากจะเก็บงำ


“แบบนี้ถึงเรียกว่าความสามารถที่แท้จริง ไม่เหมือนบางคนที่เก่งแต่ปาก!”


ฉู่อวิ๋นคงหัวเราะเสียงเย็น


เห็นได้ชัดว่ากำลังเยาะเย้ยหลินสวิน


แต่ครั้งนี้หลินสวินคร้านจะถือสาเขา ตาเฒ่านี่เป็นพวกกำเริบเสิบสานมาแต่กำเนิด เหมือนไม่ได้พูดจาเสียดสีเย้ยหยันคนอื่นแล้วจะอยู่ไม่ได้


ในอีกห้องโถงหนึ่ง


เหล่าคนใหญ่คนโตต่างหวั่นไหว ได้มาเห็นการทำลายสถิติกับตาตัวเองแบบนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่งนัก


ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้ที่ทำลายสถิติเป็นเพียงแค่คนหนุ่มในช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์!


“ไม่ว่าฉู่ไห่ตงจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรหรือไม่ ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณของข้าก็ต้องเอาตัวไปให้ได้!”


อวี๋เป่ยโต้วพูดอย่างหมายมั่น


“พี่อวี๋ ใจร้อนไปจะเสียการณ์เอานะ ตระกูลฉู่กับสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิของข้ามีความสัมพันธ์อันดีกันมาโดยตลอด เชื่อว่าพ่อหนุ่มนั่นจะต้องเลือกอย่างฉลาดแน่นอน”


เฉิงจิ่งยิ้มพูด เปิดศึกช่วงชิงกัน


“หึ เช่นนั้นก็คอยดูแล้วกัน” อวี๋เป่ยโต้วถลึงตา


“ย่อมได้” เฉิงจิ่งยิ้มน้อยๆ


เห็นทั้งสองแย่งฉู่ไห่ตงกันอย่างเปิดเผยแล้ว เสิ่นทั่วที่อยู่ข้างๆ ได้แต่ยิ่งเงียบ จากนั้นหันไปพูดกับเฟิงชิงโยวที่อยู่ข้างหลัง “เจ้าดูซิ พอฉู่ไห่ตงสร้างสถิติใหม่ได้ก็เนื้อหอมเพียงนี้แล้ว”


เฟิงชิงโยวขานรับในลำคออย่างไร้ชีวิตชีวา พูดอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ตอนข้าผ่านการทดสอบเพิ่งอายุเพียงสิบเจ็ดปี ท่านเอาเขามาเทียบกับข้าหรือ เหอะๆ”


นิ้วเรียวยาวอันขาวผ่องราวกับต้นหอมเล่นปอยผมงามข้างหู ใบหน้าอันใสซื่อบริสุทธิ์ดูไม่แยแสใดๆ


เสิ่นทั่วระบายยิ้มออกมาทันที จริงอย่างว่า เฟิงชิงโยวผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ส่วนฉู่ไห่ตงตอนนี้อายุยี่สิบกว่าแล้ว อย่างไรก็สู้เฟิงชิงโยวไม่ได้


……


การทดสอบบนแท่นประตูมังกรยังคงดำเนินอยู่


ผ่านศิลาหินหลักแรกไปได้ ทั้งยังทำสถิติใหม่ ทำให้ฉู่ไห่ตงได้หน้าไปเต็มๆ สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งโถง เสียงฮือฮาดังกระหน่ำขึ้น


และหลังจากนั้นผลงานของเขาก็น่าชื่นชมมาก ผ่านทุกด่านไปได้อย่างผ่อนคลายด้วยความสามารถอันเก่งกาจ


ศิลาหลักที่สอง


ศิลาหลักที่สาม


ที่สี่…


จนกระทั่งไปถึงเบื้องหน้าศิลาหลักที่เก้า ฉู่ไห่ตงสามารถผ่านทุกการทดสอบไปได้อย่างราบรื่นราวกับไม่มีอะไรขวางกั้น


อีกทั้งผลงานก็โดดเด่นมาก ตั้งแต่ศิลาหลักที่สองจนถึงหลักที่แปด จำนวนรุ้งทองที่ปรากฏล้วนไม่ต่ำกว่าห้าสาย!


นี่พาให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า โดยเฉพาะเหล่าผู้คนในตระกูลฉู่ที่เรียกได้ว่าตื่นเต้นจนสติแตก แต่ละคนสีหน้าเบิกบานเปรมปรีดิ์


ส่วนฉู่อวิ๋นคงผู้นั้นก็ไม่อยู่เฉย คอยพูดจาเสียดสีหลินสวินอยู่เป็นระยะๆ


หลินสวินเพียงมองตาแก่นั่นเป็นพวกต่ำช้า และไม่สนใจเขาอีก


แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ฉู่อวิ๋นคงก็ยิ่งได้ใจ นึกว่ากำลังใจของหลินสวินถูกทำลายไปแล้ว จึงไม่กล้าอวดดีกับตนอีก


ตอนที่ฉู่ไห่ตงทดสอบมาถึงศิลาหลักที่เก้า บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบในทันที


เพราะทุกคนล้วนรู้ดีว่าด่านสุดท้ายนี้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ด่านแห่งคูน้ำสวรรค์’ ในอดีตบรรดาผู้มีความสามารถไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ต้องพ่ายแพ้ให้กับศิลาหลักนี้และกลับไปพร้อมความแค้นเคือง


ทุกคนจึงไม่กล้าฟันธงว่าฉู่ไห่ตงจะผ่านด่านสุดท้าย


วินาทีนี้แม้แต่คนใหญ่คนโตที่สังเกตการณ์ทุกอย่างในโถงอีกแห่งยังเพ่งสมาธิมองดูการทดสอบโดยไม่พูดคุยกัน


ฉู่ไห่ตงไม่ทำให้ผิดหวัง เวลายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็มีรุ้งทองปรากฏขึ้นบนศิลาหลักที่เก้า


ยามครบหนึ่งถ้วยชา ก็มีรุ้งทองปรากฏขึ้นอีกสาย


ซึ่งก็หมายความว่า ในการทดสอบด่านที่เก้า ฉู่ไห่ตงหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์สองลาย สามารถผ่านด่าน ‘คูน้ำสวรรค์’ กลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงได้!


ยามนี้บรรยากาศภายในโถงโหมคลั่งถึงที่สุด เหล่านักสลักวิญญาณมากมายต่างปรบมือและส่งเสียงร้องแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า


แม้แต่ลิ่งหูซิวยังก้าวเข้ามาแสดงความยินดีกับฉู่ไห่ตงด้วยตัวเอง!


ภายใต้สายตาที่จ้องมองของผู้คน ฉู่ตงไห่ในยามนี้ดูเจิดจ้าเรืองรอง โดดเด่นไร้ที่เปรียบ กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนตอนที่ 389 ยอดฝีมือนั้นหายาก

โดย

ProjectZyphon

ภายในโถงอีกแห่งหนึ่ง


อวี๋เป่ยโต้วเริ่มอารมณ์เสีย “เฉิงจิ่ง เจ้าคิดจะแย่งกับข้าจริงๆ งั้นหรือ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือของพวกเจ้ามียอดฝีมือมากมาย ยังต้องการฉู่ไห่ตงอีกรึ”


เฉิงจิ่งถอนหายใจกล่าว “แม้สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือของเราจะเต็มไปด้วยยอดฝีมือ แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกตาเฒ่า ขาดคนหนุ่มอย่างฉู่ไห่ตง ดังนั้นข้าจะไม่วางมือ”


“เจ้า…”


อวี๋เป่ยโต้วถลึงตา ครู่หนึ่งจึงพูดลอดไรฟัน “ผลึกวิญญาณหลุมวารีสามเม็ด แลกกับเจ้าหนุ่มคนนี้!”


เฉิงจิ่งยิ้มแต่ไม่พูดอะไร


อวี๋เป่ยโต้วโกรธจนกัดฟันกรอด กดเสียงต่ำคำราม “บวกกับหญ้าขุมสวรรค์อีกต้น! นี่ถือเป็นขีดจำกัดของข้าแล้ว ตาเฒ่าอย่างเจ้าอย่างให้มันเกินไปนัก!”


เฉิงจิ่งขานรับในลำคอ ก่อนแค่นเสียง “ของเหล่านี้ข้าให้เจ้าได้ทั้งหมด เจ้ายกฉู่ไห่ตงให้ข้าได้หรือไม่”


สีหน้าของอวี๋เป่ยโต้วเปลี่ยนไปทันที เอ่ยว่า “ต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ”


เฉิงจิ่งพูดอย่างจริงจัง “ยอดฝีมือนั้นหายาก แน่นอนว่าต้องเช่นนี้”


อวี๋เป่ยโต้วกล่าวอย่างกราดเกรี้ยว “งั้นพวกเรามาประลองกันสักตั้ง! ดูว่าใครจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด!”


เฉิงจิ่งยิ้มพูด “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”


คนใหญ่คนโตอื่นๆ เห็นทั้งสองแก่งแย่งกันจนหน้าดำหน้าแดงก็หมดคำจะพูด


แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าได้ฉู่ไห่ตงไปเป็นพวกจริงๆ แม้ต้องแลกกับอะไรก็คุ้มค่าทั้งนั้น


เพราะปรมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุเพียงเท่านี้ถือว่าหายากมาก ทั่วทั้งนครต้องห้ามนี้จะมีเสียกี่คน


ที่เป็นเช่นนี้ หนึ่งเพราะศาสตร์แห่งการสลักวิญญาณนั้นลำบากแสนเข็ญ ใช่ว่าคนทุกคนจะทำได้ จึงทำให้จำนวนของนักสลักวิญญาณนั้น ‘ขาดแคลน’ มาโดยตลอด


สอง เพราะฉู่ไห่ตงถือเป็นคนที่นับว่าโดดเด่นในบรรดาหนุ่มสาวรุ่นใหม่ อย่างน้อยๆ ความสำเร็จในด้านการสลักวิญญาณก็ยากที่จะหาใครเทียบได้


จึงไม่แปลกที่บุคคลชั้นแนวหน้าระดับอวี๋เป่ยโต้วและเฉิงจิ่งจะขัดแย้งกันเพราะต้องการแย่งตัวฉู่ไห่ตง


“เสิ่นทั่ว เหตุใดเจ้าไม่เข้าไปแย่งชิงด้วย”


คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งพูดขึ้น


คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างตระหนักขึ้นมาได้


จริงด้วย คนที่จะเรียกตัวฉู่ไห่ตงไปเป็นพวกได้ ไม่ใช่แค่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิเท่านั้น ยังมีสำนักศึกษามฤคมรกตด้วย!


แต่กลับเห็นเสิ่นทั่วยิ้มพูด “แย่งไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉู่ไห่ตงเป็นคนตระกูลฉู่ เขาอยากอยู่ที่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่การสนับสนุนของวงศ์ตระกูล ข้าไม่มั่นใจเท่าไรว่าจะดึงเขาเข้าสำนักศึกษามฤคมรกตได้”


ทุกคนกระจ่างทันที


มีเพียงเฟิงชิงโยวที่รู้อยู่แก่ใจ มีหรือเสิ่นทั่วจะไม่แย่ง เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะนั่งดูผู้อื่นตีกันจนเจ็บหนักไปทั้งคู่ ตัวเองค่อยเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ถ้าไม่ถึงท้ายที่สุดเขาจะไม่ยอมปล่อยมือแน่


และนี่ก็คือผลประโยชน์ที่ฉู่ไห่ตงจะได้รับในตอนนี้ สามารถผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรจนกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงได้ตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ หากเรื่องนี้แพร่ไปทั่วนครต้องห้าม ต้องเป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมาก


การจะได้รับผลประโยชน์พิเศษเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก


……


เจิดจ้าเรืองรองท่ามกลางสายตาของทุกคน!


ยามนี้ฉู่ไห่ตงที่ยืนอยู่บนแท่นประตูมังกรเองก็รู้สึกยินดีปรีดาเช่นกัน ดื่มด่ำกับเกียรติยศที่สมควรได้รับอย่างย่ามใจ


แต่พริบตาต่อมา ยามสายตาของเขากวาดมองไปที่หลินสวิน ความแค้นก่อนหน้านี้พลันผุดขึ้นในใจ


ฉู่ไห่ตงก้าวลงจากแท่นประตูมังกรโดยไม่ลังเล สายตามองไปยังหลินสวินพร้อมพูดเสียงเรียบ “หลินสวิน เจ้าขอขมาตอนนี้ยังไม่สาย ขอเพียงแค่เจ้ายอมรับว่าตัวเองโง่เขลาไม่รู้ความต่อหน้าทุกคน ข้าก็จะไม่ถือสาเจ้า เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าข้าฉู่ไห่ตงรังแกเด็กอย่างเจ้า”


ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ บรรยากาศที่เดิมทีพลุ่งพล่านพลันเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาด


ทุกคนต่างตระหนักได้ว่าฉู่ไห่ตงเริ่มแก้แค้นหลินสวินแล้ว!


สีหน้าของคนจำนวนมากต่างเผยความเห็นใจทันที


ก่อนหน้านี้หลินสวินหมิ่นประมาทฉู่ไห่ตงอย่างไม่ไว้หน้า แต่ตอนนี้ฉู่ไห่ตงผ่านการทดสอบแล้ว ทั้งยังสร้างสถิติใหม่ แบบนี้ถ้าหลินสวินไม่แสดงฝีมือสักหน่อยคงพ่ายแพ้ให้ฉู่ไห่ตงอย่างราบคาบ


แต่ประเด็นสำคัญคือ ในสถานการณ์แบบนี้หากไม่ใช้พลังยุทธ์ หลินสวินจะเอาอะไรไปสู้ฉู่ไห่ตง?


สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างตะลึงงันคือ แม้เผชิญหน้ากับฉู่ไห่ตงที่เย่อหยิ่งแข็งกร้าว หลินสวินไม่เพียงไม่เผยความลนลานล้มเหลว กลับยังเผยยิ้มออกมา


หลังจากนั้นคำสองคำก็ออกมาจากปากเขาแผ่วเบา “ไอ้โง่”


คำนี้มีพลังรุนแรงนัก โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ฉู่ไห่ตงได้เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงแล้ว!


แต่หลินสวินกลับด่าอีกฝ่ายว่าไอ้โง่อย่างไม่เกรงใจ นี่มัน…


บ้าดีเดือดเกินไปหรือเปล่า


ผู้คนต่างตื่นตะลึงกันไปทั่ว สีหน้าแปลกประหลาด


แม้แต่เหล่าผู้มีชื่อเสียงที่นั่งอยู่ในอีกโถงยังอดกระตุกมุมปากไม่ได้ เด็กคนนี้…จะว่าอย่างไรดีนะ


อย่างเฉิงจิ่งเองยามนี้ก็กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “หลินสวินคนนี้จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว หยาบคายประหนึ่งอันธพาลต่ำช้า แบบนี้ดูได้ที่ไหนกัน”


ทันใดนั้นผู้ทรงอิทธิพลกลุ่มหนึ่งพลันพูดขึ้น “เด็กคนนี้ทำเกินไปจริงๆ นิสัยหยิ่งผยองแบบนี้ ไม่นานภูเขาชำระจิตต้องพินาศคามือเขาแน่”


“ในเรื่องการต่อสู้ฉู่ไห่ตงอาจจะสู้หลินสวินไม่ได้ แต่นี่คือการสลักวิญญาณ เขาจะเอาอะไรไปสู้ผู้กล้าที่เพิ่งกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณเล่า”


“เด็กวัยรุ่นก็วู่วามแบบนี้แหละ แต่แม้คำพูดจะอวดดีแค่ไหน ก็ต้องวัดกันที่ความสามารถที่แท้จริง”


ยามนั้นเสิ่นทั่วก็เอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม “ครั้งนี้หลินสวินก็มารับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณมิใช่หรือ เรารอดูผลการทดสอบของเขาก็สามารถเอาไปเทียบกับฉู่ไห่ตงได้แล้ว”


ทุกคนพลันพยักหน้าเห็นด้วย


“ข้ากลับรู้สึกว่า ที่หลินสวินกล้าพูดแบบนี้เพราะมีความมั่นใจอยู่ในระดับหนึ่ง”


จู่ๆ เฟิงชิงโยวก็พูดขึ้น


ทุกคนชะงักงันไปครู่ก่อนจะส่ายหน้าไม่เห็นด้วย หลินสวินอายุเพียงเท่าไหร่ และเป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นเท่านั้น จะผ่านการการทดสอบรับรองการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณได้อย่างไร


แม้จะพูดโดยยอมถอยสักหมื่นก้าว ว่าสุดท้ายเขาสามารถผ่านการทดสอบได้ แต่เขาจะสู้ฉู่ไห่ตงได้เหรอ อย่าลืมว่าฉู่ไห่ตงเพิ่งจะทำสถิติใหม่เมื่อครู่นี้!


พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาล้วนไม่เชื่อว่าหลินสวินจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้!


……


และในเวลาเดียวกันนี้ เมื่อได้ยินหลินสวินใช้คำว่า ‘ไอ้โง่’ มาเย้ยหยันตัวเองเป็นครั้งที่สอง ฉู่ไห่ตงแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง


ให้ตายเถอะ เจ้าเด็กนี่ตาบอดหรือไง


ไม่เห็นหรือว่าเขาเพิ่งผ่านการทดสอบกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริง ไม่เห็นหรือว่าตัวเขาเพิ่งสร้างสถิติใหม่


เขา…ไม่รู้จักเกรงกลัว ไม่รู้จักยอมก้มหัวสักหน่อยเลยหรือ


สีหน้าของฉู่ไห่ตงพลันเขียวคล้ำเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาพยายามข่มกลั้นไว้สุดชีวิต คงได้เข้าไปเปิดศึกกับหลินสวินจนแตกหักกันไปแล้ว


แต่กลับเห็นว่าหลินสวินลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า สายตากวาดมองรอบๆ ในขณะที่พูดว่า “มีใครจะทดสอบเป็นคนต่อไปหรือไม่”


คำพูดนี้ทำเอาผู้คนเงียบกันไปทั้งโถง


ทีแรกยังมีนักสลักวิญญาณอีกสองคนรอรับการทดสอบอยู่ แต่พวกเขามีหรือจะกล้าเข้าไปยุ่งกับวังวนความแค้นนี้


ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้สายตาของฉู่ไห่ตงยังจ้องพวกเขาราวกับคมมีด ประหนึ่งกำลังบอกว่า ให้หลินสวินขึ้นไปก่อน ใครกล้าแย่งได้มีเรื่องกับตระกูลฉู่แน่!


นักสลักวิญญาณทั้งสองต่างส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล ยอมให้หลินสวินขึ้นไปก่อน


“รีบขึ้นไปเถอะ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก!”


เสียงของฉู่ไห่ตงราวกับลอดผ่านไรฟันออกมา


“โอ้ ไม่คิดเลยว่าด่าเจ้าว่าไอ้โง่แล้วเจ้ายังทนได้ สมแล้วที่เป็นผู้สืบสกุลของตระกูลฉู่ ความอดทนสูงมาก”


หลินสวินยิ้มพูด


“ไอ้เด็กอวดดี เจ้าจะจะจบได้หรือยัง”


ฉู่อวิ๋นคงลุกขึ้นตะเบ็งเสียงอย่างเกรี้ยวโกรธ


“ตาแก่ ข้าให้เจ้าขึ้นไปก่อน เจ้ากล้าหรือไม่”


หลินสวินย้อนถาม


“เจ้า…”


ฉู่อวิ๋นคงโกรธจนสุดจะทน ดวงตาเบิกถลน อยากจะแล่เนื้อหลินสวินออกเป็นชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้


แต่สุดท้ายเขาถูกฉู่ไห่ตงรั้งเอาไว้ไม่ให้เถียงต่อ


เพราะฉู่ไห่ตงรู้ดีว่าต่อปากต่อคำกันไปมีแต่จะทำให้หลินสวินได้เปรียบ หลินสวินไม่ห่วงหน้า แต่จะให้ตระกูลฉู่ของพวกเขายอมขายหน้าทิ้งเกียรติอย่างเขางั้นหรือ


แบบนี้ต่างอะไรกับพวกชั้นต่ำ


เห็นแบบนี้หลินสวินพลันเผยรอยยิ้ม ราวกับว่าในที่สุดก็ได้คำตอบที่พอใจ จึงก้าวขึ้นแท่นประตูมังกรไปโดยไม่พูดอะไรอีก


เหล่านักสลักวิญญาณที่อยู่ในโถงต่างแปลกใจ เด็กคนนี้…กล้าขึ้นไปจริงๆ หรือ เขาไม่กลัวว่าสุดท้ายจะล้มเหลวแล้วต้องขายหน้าอย่างถึงที่สุดหรือไร


แม้กระทั่งเหล่าผู้มีอิทธิพลที่อยู่ในโถงใหญ่อีกแห่งยังนับถือใจ แม้หลินสวินจะปากเสียไปหน่อย แต่ก็ห้าวหาญใช่ย่อย


ดูสิ เห็นชัดว่าสถานการณ์ไม่เอื้อต่อตัวเองก็ยังไม่ยอมก้มหัว ยังก้าวเข้าไปทดสอบ ไม่ให้นับถือใจคงยาก


แต่ทุกคนก็รู้ดีว่า คราวนี้หากหลินสวินล้มเหลวก็เท่ากับว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิง ถ้าความแค้นระหว่างเขากับฉู่ไห่ตงถูกแพร่สะพัดไปทั่วนครต้องห้ามอีก เขาก็จะกลายเป็นตัวตลกที่ไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้อย่างถึงที่สุด


ตอนที่หลินสวินเดินผ่านฉู่ไห่ตงไป ฝ่ายหลังพลันกดเสียงเบา พูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ “หลินสวิน ข้ารอดูเจ้าอยู่นะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”


น้ำเสียงข่มขู่เต็มประดา


หลินสวินยิ้มน้อยๆ และขึ้นแท่นประตูมังกรไปโดยไม่พูดอะไร


“เจ้าหนุ่ม เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”


ลิ่งหูซิวที่ยืนอยู่อีกด้านมาตลอดเอ่ยปาก แววตาลึกล้ำเจือแววประหลาดมองจ้องหลินสวิน


“อืม”


หลินสวินพยักหน้าแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหน้าศิลาโบราณทั้งเก้า


เขานั่งหลังตรง ยามที่นั่งลงรอยยิ้มตรงมุมปากก็ถูกความเงียบสงบเคร่งขรึมเข้าแทนที่ สงบนิ่งไร้คลื่นลม


“เหอะๆ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าเด็กต่ำทรามปากไม่มีหูรูด คำพูดหยาบช้านี้ จะล้ทเหลวในการทดสอบนี้ถึงเพียงไหน!”


น้ำเสียงของฉู่อวิ๋นคงเต็มไปด้วยความแค้นเคือง


“ถ้าเด็กคนนี้ผ่านการทดสอบจริงๆ ให้ข้าคุกเข่าสำนึกผิดยังได้!”


“หึ เขาเป็นแค่ขยะที่เก่งแต่ปากจะผ่านการทดสอบไปได้อย่างไร เห็นชัดว่าอยากเป็นจุดสนใจ ไม่ต่างอะไรกับตัวตลก!”


คนตระกูลฉู่เหล่านั้นก็พากันหยามขึ้นมา


นักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ต่างสบสายตากัน แม้พวกเขาไม่ได้ดูถูกหลินสวินแต่ก็ไม่ได้ชื่นชมเช่นกัน


ช่วยไม่ได้ หลินสวินยังเด็กเกินไป อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่นักสลักวิญญาณชั้นต้น จะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้อย่างไร


เหล่านักสลักวิญญาณต่างลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่ายามหลินสวินล้มเหลวจะถูกตระกูลฉู่โจมตีอย่างไร…


วู้ม~


ไม่นานระลอกคลื่นลึกลับที่คุ้นเคยก็ได้แผ่ประกายแสงออกมาปกคลุมแท่นประตูมังกรอีกครั้ง เงาร่างของหลินสวินเองก็ถูกแสงประกายอันแรงกล้านั่นกลืนเข้าไปด้วย



ตอนที่ 390 แสงทองทะยานฟ้าในตำนาน

โดย

ProjectZyphon

สายตาของทุกคนต่างรวมอยู่ที่หลินสวินด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป


คนตระกูลฉู่ต่างยิ้มอย่างเย็นเยียบ รอดูความอับอายของหลินสวิน


ส่วนนักสลักวิญญาณคนอื่นๆ บ้างก็ดูเห็นใจ บ้างก็ขมวดคิ้ว


แม้กระทั่งเหล่าผู้มีชื่อเสียงภายในโถงใหญ่อีกแห่ง ขณะนี้ต่างก็มองด้วยความไม่ใส่ใจไม่มากก็น้อย


และในเวลาเดียวกันนั้น หลินสวินเพียงรู้สึกว่าพลังลึกลับนั้นปกคลุมทั่วร่างกายของตน จิตวิญญาณรู้สึกวูบไหวอย่างรุนแรง


ระหว่างนั้นราวกับได้เข้าไปอยู่ในแดนฮุ่นตุ้น ดินแดนโบราณเมื่อครั้งบรรพกาลอย่างไรอย่างนั้น ทุกที่ล้วนเป็นหมอกเทา มีเพียงศิลาหนึ่งหลักตั้งตระหง่านอยู่


ด้านบนยันฟ้า ด้านล่างจรดดิน!


สังเกตดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าหลักศิลานั้นสูงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ดำสนิททั่วทั้งหลัก ประหนึ่งสะพานแห่งสวรรค์


บนตัวศิลาสลักรอยสลักวิญญาณแปลกประหลาด หงิกงอราวกับไส้เดือน เบียดแน่นเต็มพื้นผิวของศิลาราวกับดวงดาราที่ประดับเต็มฟ้า ส่องสะท้อนประกายแสงอันลึกลับ


เมื่อมองไปก็ราวกับมองเห็นร่องรอยแห่งมหามรรคมากมายวิ่งเวียนอยู่บนผิวศิลา ทำให้รู้สึกยิ่งใหญ่และชวนตื่นตะลึงอย่างบอกไม่ถูก


หลินสวินรู้ทันทีว่านี่ก็คือรอยสลักพิสดารที่ซ่อนอยู่ในศิลาหินประตูมังกร!


เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นด้วยวิธีอันมหัศจรรย์เพียงนี้ ราวกับได้เข้าสู่มิติเก่าแก่อันลึกลับ เหมือนได้กลับไปอยู่ในอดีต


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก สลัดความคิดในหัว เขาเริ่มสงบจิตสงบใจพยายามสังเกตรอยสลักพิสดารแน่นขนัดที่ปรากฏบนศิลา


เพียงพริบตาเท่านั้นเขาก็พบว่าวงโคจรของรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนที่อยู่ในนั้น พวกมันล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สลับพันซับซ้อน


สำหรับนักสลักวิญญาณคนหนึ่ง การจะหยั่งถึงและเรียนรู้รอยสลักวิญญาณหนึ่งแบบได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆ


แม้แต่หลินสวินก็ยังอดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีทดสอบที่พิเศษถึงเพียงนี้


แต่ไม่นานเขาก็ดื่มด่ำอยู่กับมัน


ในศาสตร์การสลักวิญญาณ เขามีความรอบรู้เหนือกว่าคนธรรมดา เริ่มซึมซับรับรู้มาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่ถูกการทดสอบตรงหน้าหยุดยั้ง


เพียงครู่เดียวหลินสวินก็หยั่งถึงรอยสลักวิญญาณหนึ่งลายท่ามกลางรอยสลักพิสดารแน่นขนัด


แทบจะในเวลาเดียวกัน รอยสลักวิญญาณที่เขาหยั่งถึงในหัวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นศิลาพร้อมด้วยแสงสีทองระยิบระยับ


จู่ๆ หลินสวินก็ตระหนักได้ว่า ขอเพียงเขาพยักหน้า รอยสลักวิญญาณนี้ก็จะกลายเป็นคะแนนในการทดสอบของเขาและปรากฏสู่แท่นประตูมังกร


ในขณะที่หลินสวินเตรียมจะทำแบบนี้ จู่ๆ เขากลับมุ่นคิ้ว


ไม่ถูกต้อง!


ไม่น่าจะง่ายขนาดนี้


หลินสวินคิดๆ แล้วไม่ได้เร่งรีบพยักหน้า แต่รวบรวมสมาธิกลับมาที่รอยสลักพิสดารบนศิลาอีกครั้ง


ไม่นานเขาก็สังเกตถึงความแตกต่าง และหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณที่สมบูรณ์อีกหนึ่งลาย อีกทั้งรอยสลักวิญญาณนี้ยังเป็นรอยสลักที่สอดรับกับรอยสลักแรกอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นรอยสลักวิญญาณลายใหม่…


ไม่สิ ควรเรียกว่าเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณ!


ทว่าหลินสวินค้นพบอย่างรวดเร็วว่า แม้จะกลายเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ควรจะง่ายขนาดนี้ ราวกับว่ากระบวนรอยสลักวิญญาณนี้ยังต้องเติมรอยสลักอีกมาก จึงจะเปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่และแน่นขนัด


เขาลองอ่านและสังเกตอย่างละเอียดอีกครั้ง


ซึ่งก็ตามคาด ไม่นานหลินสวินก็มีการค้นพบใหม่ที่ยืนยันว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขาถูกต้อง!


กระบวนรอยสลักวิญญาณนี้ยังสามารถเสริมรอยสลักวิญญาณเข้าไปได้อีก


‘ดูท่าวงโคจรรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนบนศิลาหลักที่หนึ่งนี้ ดูแล้วเหมือนแตกต่างกัน แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์คือ พวกมันไม่ใช่แค่รอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบ แต่ทุกรอยสลักขอเพียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างพิเศษก็จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่ง ผสมกันอยู่ในกระบวนรอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบ…’


‘ก็เหมือนกับลำดับขีดในการเขียนตัวอักษร แม้ลำดับขีดมาก แต่กลับสามารถรวมกันเป็น ‘อักษร’ ที่แตกต่างกัน และ ‘อักษร’ เหล่านั้นแม้ดูสับสนไม่เป็นระเบียบ แต่ถ้าเอามาประกอบเข้าด้วยกันตามลำดับก็สามารถเป็น ‘คำศัพท์’ หรือ ‘ประโยค’ …จนกระทั่งกลายเป็น ‘บทความ’ อันสวยงามได้!’


ความคิดของหลินสวินค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา เกิดความตระหนักรู้อย่างชัดแจ้ง และดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางเขตแดนของการหยั่งถึงรอยสลักพิสดาร จนลืมไปว่าตอนนี้เขากำลังเข้ารับการทดสอบอยู่


……


เวลาผ่านเลยไปเรื่อยๆ


บนแท่นประตูมังกร ศิลาหลักแรกยังคงเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหว


สีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดอย่างเก็บไม่อยู่ หลินสวินเขา…คงไม่ล้มเหลวตั้งแต่ด่านแรกหรอกนะ


นี่มันน่าอนาถเกินไปแล้ว!


หลายคนอดลอบถอนหายใจไม่ได้ หลินสวินคนนี้เหตุใดต้องหาเรื่องด้วย เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นเท่านั้น ไม่ใช่ชั้นกลางหรือชั้นสูงด้วยซ้ำ กลับเพ้อฝันคิดจะมารับรองคุณสมบัติความเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ แบบนี้มันหาเรื่องใส่ตัว สร้างเรื่องขายหน้าให้ตัวเองชัดๆ ไม่ใช่หรือ


ไม่รู้จักประเมินความสามารถตัวเองเกินไปแล้ว!


“ฮ่าๆ เวลาหนึ่งถ้วยชากำลังจะผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กนี่กลับยังไม่สามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบได้เลยแม้แต่ลายเดียว ช่างน่าตลกนัก”


คนตระกูลฉู่คนหนึ่งหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่


“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้เขายังทำอวดดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ เห็นจะไม่ผ่านตั้งแต่ด่านแรกแล้ว ขายหน้า ขายหน้ายิ่งนัก!”


“เดี๋ยวหลังจากเขาล้มเหลวแล้ว ข้าจะเยาะเย้ยเขาให้หนัก แก้แค้นแทนไห่ตงให้สาสม”


“ไม่เพียงแค่สร้างความอัปยศให้เขา แต่ต้องให้คนทั้งนครต้องห้ามรู้ ทำให้เขาหลินสวินกลายเป็นตัวตลกสำหรับคนใต้หล้านับแต่นี้ไป จนไม่สามารถสู้หน้าใครได้!”


“ยังจะเพ้อพกคิดเทียบเคียงคุณชายไห่ตง ตลกนัก!”


คนอื่นๆ ในตระกูลฉู่ต่างหัวเราะเสียงเย็นไปตามๆ กัน


โดยเฉพาะฉู่อวิ๋นคงที่กำหมัดสองข้างแน่นอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าได้เห็นภาพยามหลินสวินล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ชื่อเสียงพังทลายแล้วก็ไม่ปาน


และฉู่ไห่ตงก็มีท่าทางเช่นเดียวกัน


รอถึงเวลาที่หลินสวินล้มเหลว ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอะไรด้วยซ้ำ ก็สามารถทำให้ทุกคนก็รู้ชัดว่า ระหว่างเขากับหลินสวินใครกันแน่ที่เบาปัญญาไม่รู้ความ และใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่!


“เจ้าหลินสวินนี่…ไม่รู้ควรพูดว่าอย่างไรแล้ว บ้าระห่ำก็ส่วนบ้าระห่ำ แต่อวดดีจนไม่ประสีประสาแบบนี้ช่างดูโง่งมชัดแจ้ง”


ผู้มีชื่อเสียงภายในโถงใหญ่อีกแห่งหลุดขำออกมา


“นี่ก็คือค่าตอบแทนของการดูถูกเก้าศิลาประตูมังกร เขาที่เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้น แต่บังอาจคิดว่าจะผ่านการทดสอบได้ ช่างไม่รู้จักประมาณตน”


ผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ บางส่วนต่างทอดถอนใจ ผลงานของหลินสวินทำให้พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ไม่ผ่านตั้งแต่ด่านแรกแบบนี้ เห็นจะ…แปลกไปหน่อย


“ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าเขามาเพื่อให้คนอื่นยกยอปอปั้น”


แม้แต่เฉิงจิ่งยังอดส่ายหน้าไม่ได้


“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…จากเรื่องที่หลินสวินเคยทำในนครต้องห้าม ดูไม่เหมือนคนที่บ้าระห่ำไม่รู้ความเลยนะ…”


เสิ่นทั่วมุ่นคิ้ว เขาค่อนข้างแปลกใจ ผลงานของหลินสวินดูน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ ซึ่งมันดูแปลกประหลาดเกินไป


เฟิงชิงโยวที่อยู่ข้างๆ เองก็ลอบส่ายหน้า นางมีความคิดเดียวกันกับเสิ่นทั่ว มักรู้สึกว่าหลินสวินในตอนนี้ดูผิดปกติ


เห็นอยู่ว่าเวลาหนึ่งถ้วยชากำลังจะผ่านไป แต่บนศิลาหลักที่หนึ่งก็ยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว


นี่ทำเอาฉู่ไห่ตงยังยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หลินสวินหนอหลินสวิน ครั้งนี้เจ้าพ่ายแพ้ยับเยินเกินไปแล้ว!


เขากำลังแอบวางแผนในใจว่าเดี๋ยวจะเยาะเย้ยหลินสวินอย่างไร จึงจะสามารถระบายแค้นภายในใจได้


แต่ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น “นั่นอะไร”


พริบตาต่อมา เสียงร้องตกใจพลันก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กึกก้องไปทั่วทั้งโถง


“สวรรค์!”


“นี่…นี่มันอะไรกัน?”


ฉู่ไห่ตงอึ้งงันไป เพิ่งรู้สึกตัวในยามนี้ว่าตรงฐานศิลาหลักที่หนึ่งมีแสงทองอร่ามที่ส่องแสงเป็นประกายแผ่ตัวขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสายน้ำสีทองที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีท่าทีว่าจะท่วมทั้งศิลา!


“นี่มัน…”


ฉู่ไห่ตงเองก็ตะลึงไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


จากที่ผ่านมา การทดสอบของเก้าศิลาประตูมังกรไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน!


ทั้งโถงตกอยู่ท่ามกลางความตะลึงและงุนงง


เวลาหนึ่งถ้วยชามาถึงแล้ว บนผืนศิลายังคงไม่มีรุ้งทองปรากฏ แต่กลับมีคลื่นสีทองท่วมทะลักสูง นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ


ลิ่งหูซิวที่ยืนอยู่อีกด้านยามนี้สั่นไปทั้งตัว ดวงตาเบิกโพลง เขาเหมือนตระหนักบางอย่างได้ จนไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป


ภายในอีกโถง เหล่าผู้มีชื่อเสียงรู้สึกตัวก่อนใคร แต่ก็ตะลึงจนร้องเสียงหลงไม่ต่างกัน


“แสงทองทะยานฟ้า! ถึงกับเกิดตำนานนี้ขึ้นจริง!”


“เล่ากันว่าหากสามารถหยั่งถึงและควบคุมรอยสลักพิสดารทั้งหมดในศิลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ จะสามารถปลุกพลังต้นกำเนิดในศิลาขึ้นมา กลายเป็นแสงทองอร่ามทะยานขึ้นสู่ท้องนภาราวกับคลื่นใหญ่! เด็กคนนี้…ถึงกับ…ถึงกับทำได้ขนาดนี้เชียว?”


“ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เห็นปรากฏการณ์ในตำนานกลายเป็นความจริง หลินสวินคนนี้…ช่างเป็นตัวประหลาด!”


เหล่าผู้ทรงอิทธิพลต่างส่งเสียงฮือฮา สีหน้าเผยความตื่นเต้น ต่างพากันยืนขึ้นพร้อมเบิกตาโต ท่าทางคลุ้มคลั่งเหมือนได้เห็นปาฏิหาริย์


อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วเองก็หัวใจกระเพื่อมไหวไม่ต่างกัน


พวกเขาเข้าใจความหมายของ ‘แสงทองทะยานฟ้า’ อย่างลึกซึ้ง นี่หมายความว่าในการทดสอบศิลาหลักที่หนึ่ง หลินสวินทำผลงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ!


ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่ได้ใส่ใจ เห็นว่าหลินสวินบ้าระห่ำเกินไป ถึงขั้นที่โง่เขลาหาเรื่องใส่ตัวด้วยซ้ำ


แต่ต่อมากลับเกิด ‘แสงทองทะยานฟ้า’ กับหลินสวิน!


เช่นนี้ราวกับมีฝ่ามือล่องหนตบลงบนใบหน้าของเหล่าผู้ทรงอิทธิพลอย่างเจ็บแสบ ความรู้สึกพลันสับสนขึ้นมา ทั้งตะลึงทั้งอับอาย


แต่พวกเขาก็สลดใจเช่นกัน ใครจะคิดว่าหลินสวินที่อายุเพียงสิบกว่าปี หลินสวินที่เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นจะทำได้ขนาดนี้


เก่งกาจเกินคนไปแล้ว!


เฟิงชิงโยวอึ้งค้างอยู่กับที่ นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมาสักระยะแล้ว แต่ไม่คิดว่าหลินสวินจะสร้างผลงานที่น่าทึ่งได้มากเพียงนี้


นางในตอนนั้น…ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย!


“ช่างเป็นเด็กที่แปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์จริงๆ”


เฟิงชิงโยวลอบพึมพำ


และในขณะนั้นเอง ผู้คนในโถงทดสอบต่างยังตั้งตัวจากความตื่นตะลึงไม่ได้ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินตำนานแสงทองทะยานฟ้าด้วยซ้ำ แน่นอนว่าต้องไม่เข้าใจว่าผลงานที่หลินสวินสร้างขึ้นในตอนนี้วิปริตเพียงใด


ในบรรดาคนที่ไม่เข้าใจก็รวมฉู่ไห่ตงและฉู่อวิ๋นคงด้วย


สีหน้าของทั้งสองต่างเปลี่ยนแปลงไปมา ท่าทางเหมือนตกตะลึงควบคุมตัวไม่อยู่ สรุปว่าเด็กนี่…ผ่านการทดสอบหรือไม่?


“พี่ลิ่งหู นี่มันอะไรกัน” ฉู่อวิ๋นคงอดถามไม่ได้


ขวับ!


ทุกคนพลันหันมองลิ่งหูซิวเป็นตาเดียวกัน พวกเขาอยากรู้คำตอบแทบไม่ไหวแล้ว


ลิ่งหูซิวสีหน้าเลื่อนลอย ครู่หนึ่งจึงตั้งสติได้ เขาพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงซับซ้อน


“นี่… ก็คือแสงทองทะยานฟ้าในตำนาน!”


ฉู่อวิ๋นคงอึ้ง “มันคืออะไรเล่า”


ลิ่งหูซิวลอบหัวเราะเยาะในใจ ตาเฒ่านี่ โง่เขลาอย่างที่หลินสวินว่าจริงๆ อายุปูนนี้แล้ว กระทั่งแสงทองทะยานฟ้ายังไม่เคยได้ยิน


แต่เพราะเห็นแก่ที่อีกฝ่ายเป็นคนตระกูลฉู่ ลิ่งหูซิวจึงอดทนอธิบาย “ก็หมายความว่าหลินสวินเขา…ทำผลงานการทดสอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ!”


เฮือก


เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจดังสนั่นไปทั่ว



ตอนที่ 391 ร่างกายราวกับถูกดูดวิญญาณ

โดย

ProjectZyphon

ผลการทดสอบสมบูรณ์แบบ!


ปรากฏการณ์ในตำนาน ‘แสงทองทะยานฟ้า’!


หลังจากรู้ผลจากปากลิ่งหูซิว นักสลักวิญญาณที่อยู่ภายในโถงต่างอึ้งจนพูดไม่ออก ทำหน้าเหมือนเห็นผี


น่าทึ่งเกินไปแล้ว เดิมคิดว่าหลินสวินจะพ่ายแพ้ตั้งแต่ด่านแรกจนชื่อเสียงป่นปี้ ถูกตระกูลฉู่เยาะเย้ย


ใครจะคิดว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้


บรรยากาศอึมครึม เงียบจนน่ากลัว


พอมองฉู่ไห่ตงอีกครั้ง เขายิ้มค้างตรงมุมปาก ดวงตาเบิกโพลง ตัวแข็งค้างอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า


ผลลัพธ์แบบนี้ประหนึ่งฟ้าผ่าจริงๆ ทำเอาเขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก


ทำไม…ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้?


ภายในใจเขาร้องคำรามดุจสัตว์เดรัจฉาน ไม่อาจรับความจริงได้


“นะ นี่…นี่ไม่ใช่ของจริงใช่ไหม”


สีหน้าของฉู่อวิ๋นคงเปลี่ยนไป ท่าทางเหมือนไม่ตายใจ จึงเอ่ยเสียงสั่นขึ้นมา


เขารอแก้แค้นหลินสวินอยู่นะ ไหนเลยจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน เกิดจุดเปลี่ยนอันชวนตะลึงเพียงนี้


ได้ยินแบบนี้ลิ่งหูซิวหน้าขรึมทันที พูดอย่างไม่พอใจ “แสงทองทะยานฟ้าจะปลอมได้อย่างไร หากเจ้าไม่เชื่อก็ขึ้นมาทดสอบบนแท่นประตูมังกรดู หากสามารถทำให้เกิดแสงทองทะยานฟ้า ข้าจะขอโทษเจ้าเดี๋ยวนี้!“


ฉู่อวิ๋นคงตัวสั่นไปหมด ถูกโจมตีจนขวัญหนีดีฝ่อ ในที่สุดก็ยอมเชื่อว่าทั้งหมดนี้มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง!


บรรยากาศภายในโถงยิ่งวังเวงเข้าไปใหญ่ ทุกสายตาที่มองไปยังคนตระกูลฉู่ต่างดูแปลกประหลาด


ก่อนหน้านี้พวกเขายังประกาศอย่างมาดมั่นอยู่เลยว่า ไม่มีทางที่หลินสวินจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร ทั้งยังเย้ยหยันหลินสวินทุกทาง


แต่ตอนนี้พอเกิดแสงทองทะยานฟ้า ราวกับเป็นการตบหน้าคนตระกูลฉู่อย่างแรง!


……


ในอีกโถงหนึ่ง บรรยากาศดูคลุมเครือมาก


เหล่าผู้มีชื่อเสียงต่างนิ่งเงียบ มีความคิดที่แตกต่างกันไป สีหน้าเผยความอึดอัดไม่มากก็น้อย เพราะเมื่อครู่นี้พวกเขายังคิดว่าหลินสวินยังเด็กจึงบ้าระห่ำ ไม่รู้จักประมาณความสามารถของตัวเอง


ถึงขั้นประกาศว่า หากหลินสวินทำแบบนี้ต่อไปภูเขาชำระจิตจะต้องพินาศคามือเขาแน่!


ทว่าตอนนี้…


ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!


อีกทั้งจุดเปลี่ยนนี้ยังชวนตะลึงมาก ‘แสงทองทะยานฟ้า’ ในตำนาน กลับเกิดขึ้นกับเด็กอายุสิบกว่าปีอย่างหลินสวินที่ยังเป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้น ใครจะกล้าคิดเล่า


ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ฉู่ไห่ตงได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมา แต่เมื่อเจอกับปรากฏการณ์ ‘แสงทองทะยานฟ้า’ แล้ว ถือว่าเล็กน้อยมาก!


“นี่มัน…”


ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งส่งเสียงขึ้น แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร


“ครั้งนี้ทุกคนต่างมองพลาดไป เฮอะ อยู่มาจนปูนนี้คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าหนุ่มนี่หลอกตา”


อวี๋เป่ยโต้วหัวเราะน้อยๆ พูดเยาะหยันตัวเอง


“อวี๋เป่ยโต้ว ฉู่ไห่ตงยกให้เจ้าก็ได้ แต่สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิต้องได้ตัวหลินสวิน!”


เฉิงจิ่งพูดเสียงขรึมอย่างเด็ดขาด


“อย่าได้ฝันไปเลย!”


ไม่คิดเลยว่าสีหน้าของอวี๋เป่ยโต้วจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “ยอดฝีมือระดับประวัติการณ์แบบนี้ ข้าจะยอมให้คนอื่นได้อย่างไร”


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีของแต่ละคนแล้ว แต่ข้ารับรองได้เลยว่า สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือของข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวหลินสวินมา!”


สีหน้าของเฉิงจิ่งเผยความหมายมาด


ในชั่วพริตาทั้งสองก็ทะเลาะกันอีกครั้งเพื่อช่วงชิงตัวหลินสวิน ทำเอาผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ต่างยิ้มเศร้าสบประสานสายตากัน


และในขณะนั้นเอง เสิ่นทั่วก็พูดขึ้น “ทั้งสองท่าน ก่อนหน้านี้สำนักศึกษามฤคมรกตของข้าไม่ได้แย่งชิงฉู่ไห่ตงกับพวกท่าน แต่ตอนนี้เพื่อให้ได้ตัวยอดฝีมืออย่างหลินสวิน สำนักศึกษามฤคมรกตก็ขอเข้ามาช่วงชิงด้วย”


ทุกคนอึ้งงันไปทันที ในใจพลันรู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้


พวกเขาเองก็อยากได้ตัวหลินสวิน แต่เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ และสำนักศึกษามฤคมรกตแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว!


ยิ่งเห็นตอนนี้ทั้งอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วต่างทำท่าว่าหากไม่ได้ตัวหลินสวินก็จะไม่ยอมรามือเด็ดขาด จะให้พวกเขากล้าเข้าไปแทรกแซงได้อย่างไร


“ผู้อาวุโสทุกท่าน นี่เพิ่งจะผ่านการทดสอบด่านแรกไป พวกท่านด่วนตัดสินเพียงนี้เห็นจะ…ใจร้อนเกินไปหรือเปล่า”


เฟิงชิงโยวอดเตือนไม่ได้


ทันใดนั้นทั้งอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วพลันถูกเรียกสติกลับคืนมา ต่างฝ่ายต่างสบตากันด้วยท่าทางเหมือนกำลังบอกว่า ‘คอยดูเถอะ’


ทำเอาเฟิงชิงโยวอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ตอนที่นางผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรก็เคยได้รับเกียรติเช่นนี้ แต่ตอนนั้นไม่ได้ดุเดือดเพียงนี้…


……


“ไห่ตง ทำอย่างไรดี”


ฉู่อวิ๋นคงหน้าถอดสี พูดขึ้นอย่างหวาดหวั่น


ฉู่ไห่ตงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนกัดฟันพูดด้วยเสียงต่ำ “ยังไวไป! นี่เพิ่งจะด่านแรกเท่านั้น กลัวอะไร แม้หลินสวินจะร้ายกาจเพียงใด ก็ใช่ว่าจะผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงหลังจากนี้ได้!”


“ใช่!”


ฉู่อวิ๋นคงตั้งสติ “แสงทองทะยานฟ้าแล้วอย่างไร ยังเหลือการทดสอบอีกแปดศิลาบนประตูมังกร ไม่ว่าเด็กนั่นจะเก่งมาจากไหน ใครจะมั่นใจได้ว่าเขาจะไม่พลาด”


แม้จะพูดเช่นนี้แต่ฉู่ไห่ตงและฉู่อวิ๋นคงกลับไม่มั่นใจเลยสักนิด เพราะถึงอย่างไรแสงทองทะยานฟ้าก็น่าตกตะลึงมาก!


ยามนี้หลังจากผ่านความตะลึงและเสียงฮือฮาในตอนแรก เหล่านักสลักวิญญาณในโถงต่างค่อยๆ กลับสู่ความสงบและเพ่งสายตาไปที่แท่นประตูมังกรอีกครั้ง


หลินสวินกำลังเข้ารับการทดสอบบนศิลาหลักที่สอง


โดยไม่รับรู้เลยว่า ด้านล่างแท่นประตูมังกรเกิดเสียงฮือฮาดุเดือดเพราะผลงานอันน่าทึ่งของเขา


เหมือนกับตอนที่หยั่งถึงรอยสลักพิสดารในศิลาหลักที่หนึ่ง เพียงแต่รอยสลักพิสดารบนศิลาหลักที่สองดูลึกลับและซับซ้อนกว่าอย่างเห็นได้ชัด


แต่ก็ทำอะไรหลินสวินไม่ได้


เขาในยามนี้กำลังมัวเมาอยู่ในมิติอย่างลืมตัว ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณล้วนจดจ่อกับโลกของรอยสลักวิญญาณอันมหัศจรรย์


สำหรับเขาแล้ว การได้หยั่งถึงและเรียนรู้รอยสลักวิญญาณเหล่านี้ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ความรู้สึกนั้นดีงามประหนึ่งปลาได้น้ำ


ที่แตกต่างจากรอบที่แล้วคือ ครั้งนี้เพียงเวลาครึ่งถ้วยชา หลินสวินก็สามารถหยังถึงและควบคุมรอยสลักพิสดารทั้งหมดบนศิลาหินหลักที่สองได้อย่างสมบูรณ์แบบ และหลอมรวมกลายเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณอันลึกลับ!


และในเวลาเดียวกันนั้นเอง แสงทองสายหนึ่งได้ปรากฏสู่สายตาของทุกคนอีกครั้ง ไหลท่วมออกมาจากฐานศิลาหลักที่สองประหนึ่งน้ำหลั่ง!


ฮู้ม~~


เพียงพริบตาเดียว ศิลาโบราณหลักที่สองก็ถูกแสงทองอร่ามเปล่งประกายนั้นปกคลุม ส่องสว่างเจิดจ้า ระยิบระยับเกรียงไกร!


นี่มันน่าตะลึงยิ่งนัก ตอนศิลาหลักที่หนึ่งหลินสวินใช้เวลาหนึ่งถ้วยชากว่าจะทำให้เกิดแสงทองทะยานฟ้าได้


แต่เมื่อเผชิญกับศิลาหลักที่สองที่ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนี้ เวลาที่หลินสวินสามารถหยั่งถึงได้กลับน้อยลงไปกว่าครึ่ง!


คนมากมายต่างตื่นตะลึงจนยากจะสงบลงได้


สีหน้าของฉู่ไห่ตง ฉู่อวิ๋นคงและเหล่าผู้คนใสตระกูลฉู่ต่างย่ำแย่อย่างถึงที่สุด จนแทบจะพังทลายลงมาแล้ว


ส่วนในอีกหนึ่งโถง เหล่าผู้มีชื่อเสียงล้วนอดลุกขึ้นยืนไม่ได้ ในขณะที่สีหน้าเผยความตื่นเต้นอย่างที่สุด


แสงทองทะยานฟ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง!


และก็เป็นอีกครั้งที่ปรากฏการณ์ในตำนานเกิดขึ้นจริง!


ถ้าจะบอกว่ารอบแรกหลินสวินทำได้เพราะโชคช่วย แต่ครั้งที่สองนี้ก็อ้างไม่ได้แล้วว่าเป็นเพราะโชค!


เพียงแต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตื่นตะลึงไวเกินไป


เพราะหลังจากนั้นหลินสวินราวกับถูกวิญญาณเซียนเข้าสิง สามารถผ่านการทดสอบแต่ละศิลาหลักแล้วหลักเล่าได้อย่างราบรื่น และอัตราความเร็วที่เขาผ่านการทดสอบยังไวขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด!


ช่างเป็นการเปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง ที่ผ่านมานักสลักวิญญาณคนใดก็ล้วนรู้สึกว่าเก้าศิลาประตูมังกรนั้นยากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละด่าน


แต่ดูหลินสวินสิ อัตราความเร็วที่เขาผ่านการทดสอบกลับไวขึ้นเรื่อยๆ เหลือเชื่อจริงๆ!


แน่นอนว่าสิ่งที่ชวนตะลึงมากที่สุดคือ ทุกครั้งที่หลินสวินผ่านการทดสอบล้วนเกิดแสงทองทะยานฟ้า!


อย่างไม่มีข้อยกเว้น!


เหล่านักสลักวิญญาณในโถงล้วนรู้สึกเหมือนแทบจะคลั่งแล้ว หัวใจเต้นระทึกจนแทบทนไม่ไหว น่ากลัวมาก ใครจะคิดว่าความสำเร็จในศาสตร์การสลักวิญญาณของหลินสวินจะร้ายกาจถึงเพียงนี้


นี่ไม่เพียงสร้างปาฏิหาริย์แล้ว เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เลยเชียว!


ต่อไปภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณจะต้องบันทึกผลงานในวันนี้ของหลินสวินเข้าไปในหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ จนกลายเป็นเรื่องเล่าขานรุ่นสู่รุ่นแน่!


เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยมีนักสลักวิญญาณคนใดที่เป็นเหมือนหลินสวิน อายุเพียงสิบกว่าปี กลับมีความเชี่ยวชาญและความรู้ลึกซึ้งน่าหวาดกลัวเช่นนี้!


และในอีกโถง ผู้มีอิทธิพลอย่างอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วต่างลมหายใจถี่กระชั้น สายตาดูบ้าคลั่ง หัวใจเต้นระทึกรุนแรง ไม่อาจควบคุมตัวเองอยู่


เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


หลินสวินคนนี้ช่างเก่งเกินมนุษย์!


พวกเขากำลังคิดคำนวณในใจว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด จึงจะได้ผู้กล้ามากความสามารถอย่างหลินสวินมาอยู่ภายใต้อำนาจของตัวเอง


“เขา…”


เฟิงชิงโยวเองก็อึ้งงันอยู่กับที่ ใบหน้างดงามบริสุทธิ์เผยความตะลึงเต็มประดา ดวงตาเป็นประกายวิบวับ ไม่ได้มีท่าทางเกียจคร้านและผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


นางเองก็ตะลึง ถึงขั้นตกใจแล้ว


เมื่อก่อนความสำเร็จในด้านการสลักวิญญาณของนาง ได้รับการยอมรับให้เป็นแม่ทัพในบรรดาหนุ่มสาว ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ได้รับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วทั้งจักรวรรดิ


แต่ขณะนี้กลับมีคนที่สุดยอดกว่านางโผล่มา เด็กหนุ่มที่โดดเด่นกว่า ยอดเยี่ยมกว่า ถึงขั้นทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้ในหนทางแห่งนักสลักวิญญาณ


……


ศิลาหลักที่เก้า!


ศิลาที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ด่านคูน้ำสวรรค์’


ทุกคนยังไม่ทันตั้งสติจากความตะลึงได้ด้วยซ้ำ หลินสวินก็ผ่านการทดสอบไปได้อย่างราบรื่นแล้ว!


วินาทีที่เห็นแสงทองท่วมล้นศิลาหลักที่เก้าราวกับคลื่นน้ำ เหล่านักสลักวิญญาณที่ถูกความตะลึงครอบงำมาตั้งนานแล้วต่างอดส่งเสียงฮือฮากันอย่างดุเดือดไม่ได้!


ผ่านแล้ว!


หลินสวินผ่านการทดสอบด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อและรักษามาตรฐานคงเส้นคงวา ผ่านทั้งเก้าศิลาประตูมังกรได้ในรวดเดียว!


ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ บนศิลาหลักที่เก้าก็เกิดแสงทองทะยานฟ้าด้วยเช่นกัน!


ทั้งหมดนี้ราวกับความอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกในอนาคตมาปรากฏให้เห็นตรงหน้า แรงสะเทือนนั้นหาที่เปรียบมิได้!


หลินสวินในยามนี้ ใครกล้าบอกว่าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริง คงจะกลายเป็นเรื่องน่าขำและน่าเหยียดหยามอย่างที่สุด


พลั่ก!


และในตอนนั้นเอง ฉู่ไห่ตงพลันล้มลงบนเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาทั้งสองเลื่อนลอย


ผลการทดสอบสมบูรณ์แบบน่าตะลึงของหลินสวินราวกับค้อนขนาดใหญ่ ทุบลงกลางหัวใจของเขาจนแตกเป็นเสี่ยงๆ!


ฉู่ไห่ตงรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้ามืดสลัวลง ร่างกายราวกับถูกดูดวิญญาณ…



ตอนที่ 392 เสียงร้องแห่งเก้ามังกร

โดย

ProjectZyphon

“ทั้งสองท่านคิดจะฉีกหน้ากันจริงๆ หรือ”


“หึ อย่าพูดเพ้อเจ้อ หลินสวินคนนี้สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือของข้าหมายมั่นไว้แล้ว อย่าว่าแต่ฉีกหน้ากันเลย ยิ่งกว่านี้ข้าก็ทำได้!”


“ข้าเชื่อว่าถ้าหัวหน้าสำนักศึกษาของพวกเรารู้ความเก่งกาจของหลินสวิน ย่อมต้องสนับสนุนข้าทุกทางอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทั้งสองท่านจะลองดูก็ได้ ดูซิว่าสำนักศึกษามฤคมรกตของข้าจะยอมหรือไม่!”


“พวกเจ้า…รังแกกันเกินไปแล้ว!”


ภายในโถง ทั้งอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วต่างเถียงกันหน้าแดงคอโป่ง ถลึงตาจับจ้องอย่างขุ่นข้อง ไม่มีใครยอมใคร


เหล่าผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกอันสับสน


พวกเขาไม่มีอารมณ์มาชมดูความคึกครื้นแล้ว หากเป็นไปได้พวกเขาก็อยากเข้าไปแย่งชิงด้วยอย่างไม่ลังเล ต่อให้ต้องแย่งกันจนหัวแตกไปข้างก็ไม่เสียดาย!


ถึงอย่างไรหลินสวินก็ผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรในรวดเดียวด้วยปรากฏการณ์แสงทองทะยานฟ้า เด็กหนุ่มปรมาจารย์สลักวิญญาณที่โดดเด่นแบบนี้ย่อมคุ้มค่ากับสิ่งที่พวกเขาต้องจ่ายออกไป


แต่ที่น่าเสียดายคือ…


เมื่อเทียบกับพวกอวี๋เป่ยโต้วแล้ว พวกเขาไม่มีสิทธิ์ไปแย่ง!


นี่ต่างหากที่ทรมานที่สุด


เฟิงชิงโยวยืนอยู่เพียงลำพัง จิตใจตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


ผลทดสอบการรับรองสิทธิ์ออกมาแล้ว ความจริงได้พิสูจน์ว่าหลินสวินเป็นผู้มีความสามารถเหนือสามัญในศาสตร์การสลักวิญญาณอย่างไม่อาจมีใครเทียบเคียงได้!


แม้แต่นางยังสู้ไม่ได้!


เฟิงชิงโยวในตอนนั้นผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรตอนอายุสิบเจ็ด กลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า


แต่ตอนนี้หลินสวินผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรด้วยอายุสิบหกปี ทั้งยังสร้างผลงานอันสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด่าน!


แบบนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างปาฏิหาริย์เท่านั้น แต่ไม่ต่างอะไรกับการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่!


เมื่อเทียบกันแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงชิงโยวรู้สึกถึงคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะบังเอิญมาที่ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ แม้แต่นางเองก็คงไม่อาจเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้


‘เจ้าหมอนี่เป็นตัวประหลาดแบบใดนะ’


เฟิงชิงโยวอดหันมองหลินสวินในจอภาพอีกครั้งไม่ได้ แต่วินาทีต่อมานางพลันอึ้งงันไป


หลินสวินที่ผ่านการทดสอบแล้วยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นประตูมังกร เงาร่างราวกับหินแกร่ง สงบนิ่งไม่ขยับ!


นี่มัน…


เฟิงชิงโยวเพ่งสายตามองไป แล้วอดส่งเสียงขึ้นมาไม่ได้ “ผู้อาวุโสทุกท่าน เรื่องทั้งหมด…เหมือนจะยังไม่จบ!”


ได้ยินเช่นนี้อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วที่กำลังแก่งแย่งกันอย่างลืมตัว รวมทั้งคนใหญ่คนโตในโถงต่างอึ้งงัน พอเห็นการกระทำแปลกๆ ของหลินสวินต่างอดแปลกใจไม่ได้ เด็กคนนี้กำลังทำอะไรอยู่


“หืม แปลกนะ การทดสอบจบลงแล้ว เหตุใดหลินสวินจึงยังไม่ขยับ”


ไม่นานเหล่านักสลักวิญญาณที่อยู่หน้าแท่นประตูมังกรก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ และส่งเสียงงุนงงออกมา


“เกิดอะไรขึ้นกับเด็กนั่นหรือเปล่า” คนตระกูลฉู่คนหนึ่งคาดการอย่างเลวร้าย


“ฟ้าอิจฉาคนเก่ง หรือผลงานเมื่อครู่นี้ของเขาโดดเด่นเกินไปจนชักนำความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันขึ้น”


“คงจะเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่ลงจากแท่นประตูมังกร”


คนตระกูลฉู่คนอื่นๆ ต่างเสริมขึ้น


ในที่สุดฉู่ไห่ตงที่ทรุดนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ได้สติจากอาการอึ้งงันขึ้นมาบ้าง เห็นแบบนี้ในใจก็อดตื่นเต้นไม่ได้


ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลินสวิน นั่นคงจะดีมาก!


ไม่ว่าอย่างไร ชั่วขณะนี้ทุกสายตาต่างหยุดอยู่ที่หลินสวินอีกครั้ง แววตาเคลือบแคลง ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังประสบกับอะไรอยู่


……


การทดสอบจบลงแล้วหรือ


ยัง!


อย่างน้อยสำหรับหลินสวินแล้ว มันยังไม่จบ


การหยั่งถึงรอยสลักพิสดารครั้งนี้ ทำให้เขาควบคุมกระบวนรอยสลักวิญญาณอันลึกลับซับซ้อนจากศิลาหินทั้งเก้าหลักได้


ในศิลาทุกๆ หลักล้วนเรียกได้ว่าเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณขนาดใหญ่ที่หาดูได้ยาก


แต่สุดท้ายหลินสวินยังคงรู้สึกว่ามันยังไม่สมบูรณ์ เขาสัมผัสได้รางๆ ว่า ถ้าผสานกระบวนรอยสลักวิญญาณทั้งเก้าศิลาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน บางทีนี่อาจจะเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งซ่อนอยู่ใน ‘เก้าศิลาประตูมังกร’!


ด้วยเหตุนี้เขาจึงนั่งนิ่งอยู่บนแท่นประตูมังกรไม่ยอมขยับตัว


ในสมองพลังความคิดอันแรงกล้ากำลังพลุ่งพล่านรุนแรง พัฒนากระบวนรอยสลักวิญญาณอันซับซ้อนในแต่ละศิลา


ราวกับภาพวาดโบราณอันลึกลับเก้าภาพปรากฏขึ้นในหัว กลายเป็นภาพรอยสลักวิญญาณที่เรียกได้ว่าซับซ้อนและยิ่งใหญ่


ไม่นานหลินสวินก็เริ่มรับรู้ได้ถึงความลำบาก มันซับซ้อนเกินไป ความลับอันแสนวิเศษที่ซ่อนอยู่ภายใต้กระบวนรอยสลักวิญญาณทั้งเก้าเรียกได้ว่าอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก ถ้าอยากผสานพวกมันให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ ยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์!


แต่หลินสวินไม่เคยลังเล เขาจมอยู่ในการตระหนักรู้หยั่งถึง ไม่สามารถทนหยุดกลางคันแบบนี้เด็ดขาด


‘กระบวนรอยสลักวิญญาณที่อยู่ตัวหยุดนิ่งแล้วไม่สามารถผสานรวมได้!’


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดหลินสวินก็ได้ข้อสรุป แต่จู่ๆ เขากลับตระหนักได้ว่า ‘หากสามารถทำให้กระบวนรอยสลักวิญญาณเหล่านี้โคจรเคลื่อนไหว จะมีโอกาสผสานรวมกันเองหรือไม่’


ก็เหมือนกับ ‘รอยสลักเวทเรืองแสง’ ที่แต่ละลายเส้นโคจรล้วนแสดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลง หากใช้การเปลี่ยนแปลงทำนองเดียวกัน จะสามารถทำให้กระบวนรอยสลักวิญญาณทั้งเก้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้หรือไม่


คิดถึงตรงนี้ หลินสวินพลันลงมือพิสูจน์อย่างไม่ลังเล!


……


เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป


หลินสวินนั่งนิ่งไม่ขยับราวกับเป็นรูปปั้น


นี่ทำให้ทุกคนล้วนเคลือบแคลงใจว่าเด็กคนนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่


ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็เป็นการยืนยันว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลินสวินแน่นอน ทำให้คนตระกูลฉู่ต่างรอคอย อยากให้หลินสวินพบเจอหายนะ และถ้าตายไปเลยจะดีที่สุด!


โดยเฉพาะฉู่ไห่ตง เขารู้สึกว่าตราบใดที่หลินสวินยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่สามารถสู้หน้าใครได้อีก ชาตินี้ทั้งชาติคงเป็นได้แค่เงาของเจ้าหมอนี่ ซึ่งเขาทนไม่ได้เด็ดขาด


เวลายังคงผ่านเลยไป คราวนี้แม้กระทั่งผู้ทรงอิทธิพลอย่างอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วต่างก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติและอดกังวลไม่ได้


หลินสวินถือเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในศาสตร์การสลักวิญญาณ หากเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นกับเขา…ถือเป็นความสูญเสียอย่างมหันต์!


“ทุกท่านจำได้หรือไม่ว่า เมื่อพันปีที่แล้วในจักรวรรดิเคยมีข่าวลือหนึ่ง”


จู่ๆ เสิ่นทั่วก็เหมือนฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ พลันส่งเสียงขึ้น


“ข่าวลืออันใด”


เหล่าผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ต่างสงสัย


“ว่ากันว่า ในเก้าศิลาประตูมังกรนี้มีความลับที่ยังไม่เคยถูกเปิดเผยมาตลอด หากใครสามารถคลี่คลายมันได้ ก็จะทำให้เกิดเสียงร้องแห่งเก้ามังกรดังกึกก้องไปทั่วหล้า!”


เสิ่นทั่วกล่าวเสียงขรึม


เสียงร้องแห่งเก้ามังกร!


เหล่าคนใหญ่คนโตต่างอึ้งงันโดยพร้อมเพรียงกัน และในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินเรื่องเล่าเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่มันเหลือเชื่อเกินไป และยังไม่เคยได้รับการยืนยัน จึงมิได้ชักนำให้เกิดคลื่นลมอันใดขึ้น


และคำเล่าลือนี้ก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว


แต่ตอนนี้จู่ๆ เสิ่นทั่วก็พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้พวกเขาต่างตระหนักได้ว่า หรือบางทีสิ่งที่หลินสวินกำลังทำตอนนี้ ก็คือคลี่คลายความลับที่ซ่อนอยู่ในศิลาเก้ามังกร?


“นั่นเห็นชัดว่าไม่มีทางเป็นเรื่องจริงแน่ การทดสอบสิ้นสุดลงแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะ…ที่จะเกิดเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ขึ้นอีก”


“ใช่แล้ว เสียงร้องแห่งเก้ามังกรที่ว่าท้ายที่สุดแล้วก็เป็นแค่เรื่องลวงโลก ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงตั้งแต่อดีตกาลจนถึงตอนนี้”


คนใหญ่คนโตบางส่วนโต้เถียงอย่างไม่เห็นด้วย


เสิ่นทั่วอดพูดขึ้นไม่ได้ “ความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผย แน่นอนว่าต้องไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…”


เพียงแต่ไม่รอให้เขาจะพูดจบ เสียงร้องอันทรงพลัง เก่าแก่และลึกล้ำพลันดังขึ้นบทแท่นประตูมังกร!


วินาทีนั้นผู้มีชื่อเสียงทุกคนในโถงต่างหัวใจสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงความกดดันยากบรรยายออกมาเป็นคำพูด ทั้งตัวสั่นเทา เกิดความเกรงกลัวอันยากจะควบคุมได้


เพราะเสียงนั้นเก่าแก่และกังวานเกินไป เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล ราวกับสวรรค์ส่งสารลงมาสู่มวลมนุษย์!


และภายในโถงทดสอบ ยามนี้เหล่านักสลักวิญญาณและคนตระกูลฉู่ทุกคนต่างตัวสั่นระริก ถูกพลังอันน่าเกรงขามเข้าครอบงำทั้งกายและใจ


พวกที่มีความสามารถไม่สูงพอทรุดลงกองกับพื้น สีหน้าซีดเซียว ใบหน้าเผยความหวาดกลัว เสียงร้องอันเก่าแก่โบราณนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว!


ฮู้ม~~


และในเวลาเดียวกันนั้น เสียงร้องมังกรดังกึกก้องไปทั่วทั้งแท่นประตูมังกร แสงสีทองอร่ามทะลักล้นออกจากศิลาทั้งเก้าหลักโอบล้อมร่างหลินสวินไว้ภายใน ราวกับพิรุณแสง เสมือนหนึ่งภาพฝัน ยากจะมองเห็นเงาร่างนั้นได้ชัดเจน


มหัศจรรย์เกินไปแล้ว ราวกับการเกิดปรากฏการณ์โบราณฉากขึ้น ทำให้ทุกคนตะลึง จมสู่ความหวาดหวั่นสั่นสะท้านที่ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูด


“นี่มัน…”


เหล่าผู้มีชื่อเสียงต่างสะท้านไหว


“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เคยมีใครเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนหรือไม่”


มีคนตื่นตะลึงขึ้นมา


“หรือนี่จะเป็น…เสียงร้องแห่งเก้ามังกรในตำนาน”


บางคนเผยสีหน้าคลุ้มคลั่ง


แต่กลับไม่มีใครตอบได้ว่า เหตุใดจู่ๆ จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับหลินสวิน ที่ผ่านมาเขาเคยผ่านเรื่องมหัศจรรย์อันใดมาบ้างกันแน่


ไม่นานก็มีเสียงร้องมังกรดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง กึกก้องกังวาน ทรงพลังไม่มีที่สิ้นสุด!


สั่นสะเทือนไปทั้งโถง แสงทองอร่ามที่ถาโถมออกมาบนแท่นประตูมังกรดุคลื่นคลั่ง พลิกม้วนพุ่งลอยอย่างน่าตื่นตะลึง


วันนี้จะต้องเป็นวันที่ทุกคนยากจะลืมไปทั้งชีวิต!


เพราะหลังจากนั้นเสียงร้องมังกรได้ดังขึ้นเป็นระลอก ราวกับมังกรบรรพกาลสำแดงฤทธิ์ สะเทือนไปทั่วหล้า


ส่วนหลินสวินถูกแสงทองที่ทะลักล้นออกมาปกคลุมไปทั้งตัว ถึงขั้นที่ทั้งแท่นประตูมังกรล้วนส่องแสงสีทองอร่าม งดงามราวกับภาพมายา


“เสียงร้องแห่งเก้ามังกร! มีจริงดั่งคำเล่าขาน!”


เสิ่นทั่วตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่!


“นั่นก็หมายความว่า เมื่อครู่นี้หลินสวินได้คลี่คลายความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ซ่อนอยู่ในเก้าศิลาประตูมังกรอย่างนั้นหรือ”


“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้กับเก้าศิลาประตูมังกรมาก่อน!”


“แสงทองทะยานฟ้า เสียงร้องแห่งเก้ามังกร… ปรากฏการณ์ระดับประวัติการณ์เช่นนี้กลับเกิดขึ้นพร้อมกัน นี่…ใครจะกล้าคิด”


“หรือหลินสวินจะเป็นลูกรักที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพแห่งการสลักวิญญาณ”


ผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ต่างร้องเสียงหลง ตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดวงตาเบิกโพลง จิตใจถูกความตื่นตะลึงครอบงำจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้


‘วิปริต… วิปริต… วิปริตชัดๆ… สวรรค์…ช่างไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว…’


เฟิงชิงโยวเม้มริมฝีปากในขณะที่ลอบพึมพำในใจอย่างเหี้ยมโหด


พรวด!


ฉู่ไห่ตงที่เฝ้ามองทุกอย่างอยู่ภายในโถงทดสอบตัวแข็งค้างไปนาน สุดท้ายก็กระอักเลือดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่!


แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเสียงร้องแห่งเก้ามังกรคืออะไร แต่เขารู้ดีว่ามีปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับหลินสวินอีกแล้ว!


จะให้ฉู่ไห่ตงรับไหวได้อย่างไร


ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางความเคียดแค้นที่โจมตีฉู่ไห้ตงอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเขาก็โกรธจนกระอักเลือด ตัวสั่นระลอกหนึ่งจนเกือบเป็นลมล้มพับไป


“ไห่ตง!”


คนตระกูลฉู่พลันลนลานขึ้นมา รีบเข้าไปพยุง


——

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)