Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 382-384
ตอนที่ 382 บรรจุวิญญาณ
โดย
ProjectZyphon
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ท่าทางสั่นสะท้านกราดเกรี้ยวถึงที่สุดของหลินเทียนหลงจึงสงบลงได้ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำหาใดเปรียบ
“รังแกกันมากไปแล้ว! รังแกกันมากไปแล้ว!”
ในที่สุดหลินเทียนหลงก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ คำรามเสียงดังราวอสูร พาให้ข้ารับใช้ทั้งสองตกใจจนคุกเข่าดังตุ้บลงบนพื้น
“คิดว่าใช้วิธีการสามานย์เช่นนี้ ก็จะทำให้ตระกูลหลินแห่งธารประจิมของข้าศิโรราบหรือ อย่าได้คิดเลย!”
ปึ้ง!
หลินเทียนหลงตบมือลงไป ตั่งที่อยู่เบื้องหน้าแตกละเอียดจนสลายกลายเป็นผง
เขาในเวลานี้ปราณพลุ่งพล่านไปทั้งตัว ราวกับอสูรร้ายที่ถูกกระตุ้นให้คลั่งโดยฉับพลัน ดวงตาแดงก่ำดั่งกระหายเลือด น่ากลัวถึงขีดสุด
แต่ครู่ใหญ่หลินเทียนหลงก็กลับไปนั่งเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ดวงตาไร้วิญญาณ สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เพียงอัครการค้าที่เดียวก็น่ากลัวพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีตระกูลหนิงกองทัพเลือดเหล็ก ตระกูลกงตุ๊กตาล้มลุก รวมถึงตระกูลเย่ราชันแห่งทะเลตะวันออกมาเพิ่มอีก นี่ทำให้หลินเทียนเลิกล้มความคิดจะต่อต้านไปโดยสิ้นเชิง!
แข็งแกร่งไปแล้ว!
ต่อให้รู้ว่าคู่ต่อสู้คือพวกเขา แต่หลินเทียนหลงก็รู้เช่นกันว่าอาศัยกำลังของตระกูลหลินสายธารประจิม หรือแม้แต่ร่วมกับคานเมฆา ยอดวายุอีกสองสาย ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา!
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินเทียนหลงดีใจก็คือ นี่เป็นเพียงการขาดทุนทางการค้าเท่านั้น อีกฝ่ายยังไม่เผยท่าทีต้องการต่อกรซึ่งหน้ากับตระกูลหลินแห่งธารประจิมของพวกเขา
แต่ถ้าสถานการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป สักวันหนึ่งก็คงทำให้พวกเขาตระกูลหลินแห่งธารประจิมยืนหยัดต่อไปไม่ได้อีก!
ตระกูลหนึ่งจำเป็นต้องมีแหล่งรายได้ค้ำจุนไว้ หากไม่มีรายได้ก็จะล่มสลายลงได้ง่าย
หลินสวิน! ล้วนเป็นหลินสวินผู้นี้!
ตั้งแต่ไอ้คนสมควรตายผู้นี้กลับมายังภูเขาชำระจิตก็ไม่มีวันไหนได้หยุดหย่อน ถ้าไม่ฆ่ามันทิ้งเสีย คงยากจะขจัดความเกลียดชังในจิตใจ!
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลินเทียนหลงเกลียดคนคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก หลินสวินเก็บตัวอยู่ในภูเขาชำระจิต และข้างกายก็มีผู้มีความสามารถปกป้อง ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย
ทำอย่างไรดี
หลินเทียนหลงจิตใจว้าวุ่น ตกอยู่ในภวังค์ความคิดล้ำลึก
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดกับตระกูลหลินแห่งธารประจิมเท่านั้น แต่ในขุมอำนาจตระกูลหลินสายคานเมฆาและยอดวายุทั้งสองสายก็มีให้เห็นเช่นกัน
นี่คือการแก้แค้นจากหลินสวิน
โดยมีสืออวี่เป็นผู้เสนอ ร่วมกับหนิงเหมิง กงหมิง เย่เสี่ยวชี ใช้อำนาจตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคน มาแก้แค้นอำนาจตระกูลหลินสายรองสามสายคือ ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุ
ไม่ต้องสู้กันซึ่งหน้าก็สร้างความเสียหายใหญ่หลวงหาใดเปรียบได้
แผนนี้หลินสวินรับรู้ แต่ทุกอย่างได้สืออวี่ไปดำเนินการตามแผน ดังนั้นหลินสวินในเวลานี้จึงไม่รู้ว่าสายตระกูลทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย รับความขมขื่นที่ถูกกดขี่อย่างเต็มที่
…
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว จากตอนที่หลินสวินทบทวนศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณก็ผ่านไปสองเดือนเต็มๆ แล้ว
บนภูเขาชำระจิต ด้วยการดำเนินการตามแผนทั้งหมดของพญาแร้ง ทุกเรื่องกำลังดำเนินไปอย่างมีระเบียบแบบแผน กิจการรุ่งเรือง มีเค้าว่าจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนล้วนงานล้นมือ ขนาดเจ้าจิ๊บจิ๊บยังถูกหยางหลิงขอตัวไปรับหน้าที่เป็น ‘ปรมาจารย์การหลอม’ ที่โรงหลอมอาวุธ
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินในตอนนี้
ตัวเขาในเวลานี้ผมยาวระไหล่ หนวดเคราเผ้าผมรุงรัง ดูมอมแมมปล่อยเนื้อปล่อยตัว มีเพียงดวงตาสีดำเท่านั้นที่เปล่งประกายลุ่มลึก
หลินสวินนั่งยองบนผืนโคลน สีหน้าสงบนิ่งแน่วแน่ นิ้วมือที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นลากเส้นบนพื้นตามใจนึก
เห็นเป็นพลังวิญญาณสีฟ้าอ่อนราวรอยพู่กันเรียบง่ายเส้นหนึ่ง ถูกพลังรับรู้จิตวิญญาณที่เอ่อล้นควบคุมอยู่ สลักออกมาเป็นวงโคจรเส้นแล้วเส้นเล่า
วงโคจรนั้นราวเมฆเหินน้ำไหล ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ ราวกับดำรงอยู่ตรงนั้นตามธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมดา
ไม่นานนักหลินสวินก็ยกนิ้วออกแล้วลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะออกไป ในจิตใจเขาพลันเกิดลางสังหรณ์ เงาร่างหยุดนิ่ง ดวงตากลับไปเพ่งมองผืนโคลนนั้นใหม่อีกครั้ง
บนรอยสลักวิญญาณที่เขาเพิ่งสลักลงไป มีต้นอ่อนสีเขียวอ่อนผลิออกมาจากดินโคลนแล้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แตกกิ่งก้านใบหน่อ…
ในชั่วพริบตาลำต้นก็สูงหนึ่งฉื่อกว่า หญ้าหางไก่ที่มีก้านใบสีเขียวอ่อนก็เติบโตเต็มที่ เริงระบำพลิ้วไหวไปกับสายลม
เมื่อดูที่พื้น ภาพสลักวิญญาณนั้นหายไปแล้ว
รอยยิ้มหนึ่งระบายขึ้นบนริมฝีปากของหลินสวิน
รอยยิ้มของเขาดูสดใสผิดหูผิดตา เพราะภาพนี้แสดงให้เห็นว่าในเส้นทางการสลักรอยสลักวิญญาณเขามาถึงขั้น ‘บรรจุวิญญาณ’ แล้ว!
บรรจุวิญญาณที่ว่า ก็คือการใช้พลังมหัศจรรย์ของรอยสลักวิญญาณให้กำเนิดจิตวิญญาณ!
เช่นหญ้าหางไก่ต้นเมื่อครู่นี้ก็ถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นด้วย ‘รอยสลักวิญญาณไม้เขียว’ เกิดเป็นจิตวิญญาณที่มีเอกลักษณ์ราวมีชีวิต เติบโตอย่างรวดเร็วในพริบตา!
นี่ก็เหมือนกับเสกหินให้เป็นทอง ดูเล็กน้อยไม่สะดุดตา แต่มีพลังที่เปลี่ยนซากปรักหักพังให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้
พลังเช่นนี้ในศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณเรียกว่า ‘บรรจุวิญญาณ’!
บนโลก ณ ตอนนี้ มีเพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติหยั่งรู้และครอบครองพลังอันมหัศจรรย์แห่งการบรรจุวิญญาณ
และปรมาจารย์สลักวิญญาณที่เชี่ยวชาญการบรรจุวิญญาณก็มีน้อยคนยิ่ง ถือเป็นผู้ที่หาได้ยากราวขนปักษาเพลิงเขากิเลน
เพราะย่างก้าวนี้ยากยิ่งนัก ประหนึ่งเทพผู้สร้างสรรพสิ่ง ใช้วิธีสลักรอยสลักวิญญาณมอบจิตวิญญาณให้กับสิ่งของบางสิ่ง ทำให้ของสิ่งนั้นประหนึ่งมีวิญญาณและชีวิต นั่นช่างซับซ้อนและมหัศจรรย์ยิ่ง
ปรมาจารย์สลักวิญญาณบางส่วนพยายามฝึกทั้งชีวิต แต่หากพรสวรรค์ไม่มากพอ อย่างไรก็ไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูการบรรจุวิญญาณได้อยู่ดี!
เท่าที่หลินสวินรู้มา ด้วยระดับความสามารถสลักรอยวิญญาณของเหล่าโม่ อีกนิดเดียวก็ครอบครองการบรรจุวิญญาณได้
แต่อย่ามองว่าแค่นิดเดียว ให้เทียบเสียว่าประตูที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้านั้น ด้านในประตูคือโลกด้านหนึ่ง ส่วนด้านนอกประตูคือฟ้าดินแห่งใหม่!
เป็นโลกสองใบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในจักรวรรดินี้มีเพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ครอบครองการบรรจุวิญญาณเท่านั้น ถึงเป็นที่ยอมรับโดยกว้างขวางว่ามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณได้
และมีเพียงทำได้ถึงขั้นนี้เท่านั้น ถึงจะมีทรัพยากรในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้!
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ก็จินตนาการได้ว่า นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเกินธรรมดาเพียงใดเมื่อหลินสวินที่อ่อนวัยเช่นนี้กลับครอบครองวิธีบรรจุวิญญาณแล้ว
ถึงขนาดที่ว่าถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป น่ากลัวจะไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้จะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถบรรจุวิญญาณได้!
ทว่าทั้งหมดนี้สำหรับหลินสวินแล้ว เป็นเพียงเรื่องยากเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเป็นเรื่องสุดยอดแต่อย่างใด
เพราะเมื่อเขายังเด็ก ท่านลู่ก็เคยแสดงวิธีบรรจุวิญญาณให้เขาดูไว้มากแล้ว
ท่านลู่เคยพูดประโยคเช่นนี้ออกมาด้วยวาจาไม่ใส่ใจเท่าไร ‘บรรจุวิญญาณรึ หึ ไม่เห็นจะมีอะไร เป็นเพียงเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าได้เป็นนักสลักวิญญาณที่ผ่านเกณฑ์แล้วก็เท่านั้น หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก’
ประโยคนี้หลินสวินยังจำได้ดี
เมื่อครั้งเยาว์วัย เขายังนึกว่าต้องสามารถบรรจุวิญญาณได้ ถึงจะทำให้ตนเติบโตจากนักสลักวิญญาณฝึกหัด ไปเป็นนักสลักวิญญาณที่ได้รับความเคารพผู้หนึ่งได้
แต่ตอนนี้เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าสำหรับท่านลู่นั้น บางทีการบรรจุวิญญาณอาจไม่นับเป็นอะไร แต่สำหรับนักสลักวิญญาณส่วนใหญ่ในโลกนี้ นี่ถือเป็นคูน้ำธรรมชาติที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้โดยง่าย!
“เริ่มเตรียมการได้แล้ว…”
หลินสวินสูดลมหายใจแล้วพึมพำขึ้น
ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นสุกสว่างและแน่วแน่ ฉายแววเปล่งประกายยากบรรยาย ไม่บ้าคลั่งมึนงงเหมือนหลายวันก่อนแล้ว
ส่วนในใจนั้น ความรู้สึกท่วมท้นเกี่ยวกับศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณซึ่งได้รับรู้และฝึกฝนในช่วงเวลาหลายวันมานี้ล้วนสงบนิ่งลง แปรเปลี่ยนเป็นพลังสลักรอยสลักวิญญาณของหลินสวินเอง
ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจที่สุดก็คือ ผ่านการเคี่ยวกรำในหลายวันนี้ พลังปราณในร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเข้มข้นจนเต็มขั้นแล้ว มีเค้าลางจะก้าวข้ามไประดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางเมื่อใดก็ได้!
ที่สำคัญกว่านั้น พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านทั่วกายเขาโคจรไปมา จะเก็บจะปล่อยได้ดังใจ ราวควบคุมสั่งการได้โดยสมบูรณ์ ทั้งไม่มีร่องรอยที่เกิดขึ้นเพราะควบคุมพลังปราณซึ่งปะทุล้นไว้ไม่อยู่เหมือนอย่างตอนแรก
นี่ก็คือผลพลอยได้ที่ได้จากการฝึกสลักรอยสลักวิญญาณ!
ทุกครั้งที่สลักรอยสลักวิญญาณ ต้องควบคุมบังคับพลังวิญญาณในกายตนอย่างแม่นยำ นี่ก็เหมือนกับการฝึกดาบ เมื่อต้องผ่านการฝึกกรำนับร้อยนับพันครั้งย่อมเปลี่ยนเป็นแคล่วคล่องคุ้นมือ ยามใช้ดาบสามารถเก็บหรือปล่อยออกได้ดังใจ
……
เจ็ดวันให้หลัง โรงหลอมอาวุธ
หยางหลิงมองไปยังโครงอาวุธวิญญาณที่หลอมเสร็จแล้วสิบสองชิ้นซึ่งวางอยู่ตรงหน้า ใบหน้าอดแสดงรอยยิ้มพึงพอใจมิได้
โครงอาวุธวิญญาณทั้งสิบสองชิ้นนี้มีทั้งดาบ ทวน กระบี่ หอก ยังมีขวานสั้น ขวานศึก ตะขอ ง่าม ทั้งลักษณะและประเภทต่างกันโดยสิ้นเชิง
นี่คือสิ่งที่หลินสวินสั่งให้เขาช่วยหลอมออกมา วัสดุของทุกชิ้นล้วนสามารถถูกนักสลักวิญญาณนำมาหลอมขึ้นเป็นอาวุธวิญญาณระดับปฐพีอย่างแท้จริงได้!
เพียงแต่ที่ทำให้หยางหลิงสงสัยก็คือ หลินสวินจะนำโครงอาวุธวิญญาณเหล่านี้ไปทำอะไรกัน
ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏตัวขึ้นในโรงหลอมอาวุธ เมื่อเห็นโครงอาวุธวิญญาณที่หยางหลินได้เตรียมไว้ เขาก็พอใจยิ่ง
ในศาสตร์การหลอมอาวุธนั้น หยางหลิงถือว่าเป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง อย่างน้อยโครงอาวุธวิญญาณที่หลอมออกมาพวกนี้ก็ถือว่าเป็นของชั้นเลิศแล้ว
หลินสวินในตอนนี้รวบผมยาวขึ้นแล้ว หนวดเคราโกนอย่างเกลี้ยงเกลา ร่างสูงสง่า บุคลิกราวละกิเลสเกินธรรมดา
เขาเก็บโครงอาวุธวิญญาณทั้งสิบสองชิ้นพลางสั่งว่า “ช่วงเวลาหลังจากนี้ท่านก็ช่วยข้าหลอมโครงอาวุธวิญญาณต่อไป ให้ใช้มาตรฐานของอาวุธวิญญาณระดับปฐพีหลอมขึ้นทั้งหมด ข้าจะส่งคนมารับโดยเฉพาะ”
พูดจบหลินสวินก็รีบร้อนจากไป
หยางหลิงอึ้งไป งุนงงไปหมด หรือนายน้อยผู้นี้ยังคิดจะไปหลอมอาวุธวิญญาณด้วยตัวเอง?
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินว่าตัวหลินสวินเองก็เป็นนักสลักวิญญาณ เรือรบวีรชนม่วงรุ่นล่าสุดของจักรวรรดิก็ได้เขาเป็นผู้ออกแบบ
เพียงแต่หยางหลิงยังไม่เข้าใจว่า หลินสวินที่มีฐานะเป็นเจ้าของภูเขาชำระจิต ทั้งยังเป็นผู้มีความสามารถด้านการฝึกปราณ เหตุไฉนถึงได้ไม่ปฏิบัติหน้าที่หลัก กลับเทียวไปเทียวมาเล่นเช่นนี้
นี่ไม่เพียงไม่ปฏิบัติหน้าที่หลัก ยังถือได้ว่ามีเค้าลางจะติดเล่นจนหลงลืมอุดมการณ์ไปเสียแล้ว
ในที่สุดหยางหลิงก็อดกลั้นไม่อยู่ นำความคิดของเขาบอกแก่ผู้เฒ่าเตียว ผู้เฒ่าเตียวเองก็ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าหลินสวินต้องการทำอะไร
ดังนั้นผู้เฒ่าเตียวจึงบอกชื่อเซวี่ยอีก…
ไม่นานนักผู้คนทั้งภูเขาชำระจิตก็รู้กันทั่วว่า หลินสวินนายน้อยตระกูลหลินผู้ครอบครองภูเขาชำระจิตผู้นี้ไม่ทำงานหลักกลับหนีไปหลอมอาวุธเสียแล้ว!
นี่ทำให้หลายคนแสดงความเป็นห่วง ภูเขาชำระจิตในปัจจุบันนี้ดีขึ้นทุกวัน ถ้าผู้นำอย่างหลินสวินไม่ทำการทำงาน แต่ไปมัวเมาอยู่กับเรื่องอื่น เช่นนั้นจะทำอย่างไร
มีเพียงเสี่ยวเคอผู้เดียวที่รู้ชัด หลินสวินละเลยการงานเสียที่ไหน เจ้าเด็กนี่เดิมทีก็เป็นนักสลักวิญญาณที่มีพรสวรรค์เกินธรรมดาน่าตกตะลึงอยู่แล้วไหม!
แน่นอนว่าในใจเสี่ยวเคอเองก็สงสัยนักว่า หลินสวินที่เตรียมตัวมาหลายเดือนนี้ ตอนนี้เขาจะหลอมสมบัติอะไรอีก
ด้านพญาแร้งรู้เหตุผลบางประการแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ อย่างไรเสียการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณนี้ก็น่าจะทำให้ทั่วหล้าตื่นตะลึงกันมากไป ถ้าพูดออกไปย่อมก่อให้เกิดเหตุวุ่นวายใหญ่โต
แน่นอนว่าพญาแร้งยังมั่นใจอีกว่า สิ่งที่หลินสวินจะหลอมขึ้นในตอนนี้ ย่อมไม่ใช่ชุดศึกสลักวิญญาณ เพราะชุดศึกสลักวิญญาณไม่ต้องอาศัยโครงอาวุธวิญญาณก็หลอมออกมาได้
เช่นนั้นแล้วหลินสวินจะทำอะไรกันแน่
ขนาดพญาแร้งยังอดสงสัยมิได้
ตอนที่ 383 ดำเนินการหลอมอาวุธอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
โดย
ProjectZyphon
ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน เวลาก็ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน
หลินสวินเก็บตัวอยู่บนชั้นสามของตำหนักชำระจิตมาโดยตลอด ไม่ก้าวเท้าออกจากห้อง ไม่เคยโผล่หน้าออกมาเลย ผู้อื่นก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
หลายคนหมดความอดทนลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงคนไม่กี่คนอย่างเสี่ยวเคอ พญาแร้งที่จับตาดูอยู่ตลอด
วันนี้เอง หลินจงเดินออกมาจากตำหนักชำระจิต
ดวงตาเสี่ยวเคอและพญาแร้งล้วนพากันมองไป ในเจ็ดวันนี้หลินจงรอฟังคำสั่งอยู่ในตำหนักชำระจิตชั้นสามตลอด
และวันนี้ในที่สุดเขาก็เดินออกมา หรือว่าหลินสวินจะออกมาแล้ว?
แต่ที่ทำให้เสี่ยวเคอและพญาแร้งแปลกใจก็คือ สีหน้าของหลินจงในเวลานี้แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหม่อลอย ราวไปพบกับเรื่องราวน่าสะเทือนขวัญถึงที่สุดทั้งยังไม่อาจแก้ไขได้เข้า
“นี่มันอย่างไรกัน” เสี่ยวเคออดเอ่ยปากถามไม่ได้
แต่กลับเห็นว่าหลินจงราวกับเพิ่งตื่นจากห้วงนิมิต ร้องอ๋าออกมาคราหนึ่งถึงค่อยตื่นเต็มตา อดหัวเราะขื่นมิได้ แล้วพูดพลางถอนใจว่า “จินตนาการได้ยากนัก”
เขาพูดพลางพาเสี่ยวเคอและพญาแร้งเข้าไปในห้องลับห้องหนึ่ง โบกแขนเสื้อหนึ่งที อาวุธวิญญาณที่ส่องประกายสิบสองชิ้นก็ปรากฎขึ้น
ฉับพลันนั้นเอง ในห้องก็สว่าไสวไปด้วยแสงประกายที่ส่องสะท้อน ดูงดงามน่าดึงดูด
ดาบ หอก กระบี่ ทวน ขวานสั้น ขวานศึก ตะขอ ง่าม… อาวุธวิญญาณทั้งหมดสิบสองชิ้น แต่กลับปล่อยไอพลังสิบสองแบบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะดาบวิญญาณเล่มหนึ่งที่อยู่ในนั้นกำลังส่งเสียงไพเราะกลางห้วงอากาศไม่หยุดหย่อน พวยพุ่งไปด้วยไอควันสีม่วงราวกับอยู่ในนิมิต ประหนึ่งมีชีวิต ปลดปล่อยไอพลังร้ายกาจคุกคามออกมา
ห้วงอากาศรอบๆ มันต่างเกิดเสียงฉีกขาดราวกับร้องครวญอื้ออึงไปหมด!
ไม่จำเป็นต้องฟังหลินจงอธิบาย สีหน้าของเสี่ยวเคอและพญาแร้งก็ปรากฏความสะท้านขวัญ นิ่งอึ้งมองเขม็งไม่พูดจา
“อาวุธวิญญาณระดับปฐพีสิบสองชิ้น!”
ครู่ใหญ่เสี่ยวเคอก็สูดหายใจลึกแล้วพูดออกมาช้าๆ
ไม่ต้องสงสัย ตลอดเจ็ดวันมานี้หลินสวินกำลังหลอมอาวุธวิญญาณ เพียงแต่ที่นางไม่อาจคาดคิดได้คือ เวลาแค่เจ็ดวัน หลินสวินก็หลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีได้ถึงสิบสองชิ้นเต็มๆ แล้ว!
หรือพูดได้ว่า ราวหนึ่งวันเขาหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีได้สองชิ้น ความเร็วในการหลอมอาวุธน่าตกใจไปแล้วจริงๆ
อาวุธวิญญาณระดับปฐพีเทียบกับอาวุธวิญญาณระดับมนุษย์ไม่ได้เลย!
อาวุธวิญญาณระดับนี้ มีเพียงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณถึงจะควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำแดงพลานุภาพทั้งหมดของมันออกมาได้ แต่การจะหลอมขึ้นมานั้นกลับเป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง
โดยทั่วไปแล้วปรมาจารย์สลักวิญญาณที่มีประสบการณ์คนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันจึงจะหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีออกมาได้หนึ่งชิ้น
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ก็รู้ได้ว่าความเร็วในการหลอมอาวุธของหลินสวินวิปริตผิดธรรมดาไปแล้ว
ที่ทำให้เสี่ยวเคอตระหนกตกใจก็คือ นางจำได้ชัดเจนว่า คราวก่อนที่หลินสวินไปหาหยางหลิงได้เอาโครงอาวุธวิญญาณสิบสองชิ้นออกมาด้วย แต่ตอนนี้กลับมีอาวุธวิญญาณระดับปฐพีจำนวนสิบสองชิ้นเท่าเดิมแขวนอยู่ตรงหน้า
นี่หมายความว่าอย่างไร
ก็หมายความว่ายามหลินสวินหลอมอาวุธนั้น เขาประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง!
ความเร็วในการหลอมอาวุธที่วิปริตผิดธรรมดา อัตราการประสบความสำเร็จเกินคาดคิด… ทั้งหมดนี้กลับเกิดขึ้นกับหลินสวิน นักสลักวิญญาณรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง นี่ทำให้เสี่ยวเคออดสะท้านไหวไม่ได้
แม้ว่านางจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าความสามารถในการสลักรอยสลักวิญญาณของหลินสวินนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ยังคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำได้ถึงขั้นนี้จริงๆ เกินคาดไปแล้ว!
ขณะที่จิตใจของเสี่ยวเคอหวั่นไหวไม่สงบอยู่นั้น พญาแร้งก็เอ่ยปากพูด ในดวงตากระจ่างของเขาเต็มไปด้วยแววตาประหลาด “ในนั้นมีชิ้นหนึ่ง หรือว่า…เป็นสมบัติวิญญาณระดับปฐพี!”
สมบัติวิญญาณ!
นี่เป็นสมบัติที่ได้มาโดยบังเอิญไม่อาจร้องขอ มีอานุภาพเกินจินตนาการ ราวกับสวรรค์ประทานโชคลาภ วิเศษมหัศจรรย์ถึงที่สุด
ทั้งจักรวรรดินี้ มีปรมาจารย์สลักวิญญาณที่มีความรู้ด้านการสลักรอยสลักวิญญาณแก่กล้าลึกซึ้งไม่น้อย แต่คนที่สามารถหลอมสมบัติวิญญาณออกมาได้นั้นมีเพียงนับนิ้วได้!
แต่หลินสวินไม่เพียงหลอมอาวุธวิญญาณได้สิบสองชิ้นในเจ็ดวัน อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังมีสมบัติวิญญาณสวรรค์ประทาน นี่ทำให้พญาแร้งไม่อาจนิ่งเฉยต่อไปได้
เมื่อคิดให้ดียิ่งน่าสะพรึงกลัวนัก!
บนโลกในขณะนี้ นักสลักวิญญาณวัยเยาว์อายุสิบห้าปีแม้มีน้อย แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย ทว่าคนที่ทำได้อย่างหลินสวิน ที่แทบจะเหมือนกับหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีได้สองชิ้นในวันเดียว ทั้งหนึ่งในนั้นยังให้กำเนิดสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น กลับหาไม่เจอเลยสักคน!
เวลานี้เสี่ยวเคอและพญาแร้งจึงเข้าใจได้ในที่สุดว่า เหตุใดยามเพิ่งพบหลินจง สีหน้าของเขาถึงได้เหม่อลอยเช่นนั้น
ไม่ว่าใครเห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าคงไม่มีทางสงบใจได้กระมัง
อย่างไรเสียทั้งหมดนี้ก็ช่างดูเหนือความคาดหมาย
“นายน้อยกล่าวว่า นอกจากดาบวิญญาณม่วงแล้ว อาวุธวิญญาณอื่นล้วนมอบให้ท่านจัดการ จะใช้เป็นของรางวัลไว้มอบให้กับผู้ทำความดีความชอบก็ได้”
ครู่หนึ่งหลินจงถึงได้เอ่ยปาก
“เขาตัดสินใจได้ดี อาวุธวิญญาณมีค่าชั้นนี้จะขายออกไปไม่ได้โดยเด็ดขาด” พญาแร้งเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“ของรางวัลงั้นหรือ เขาฉลาดนะนี่ เพียงจัดการทดสอบขึ้น ใช้อาวุธวิญญาณเหล่านี้เป็นของรางวัล ก็คัดเลือกผู้มีความสามารถที่แท้จริงส่วนหนึ่งออกมาได้แล้ว”
เสี่ยวเคอราวกับมีความคิดบางอย่าง เดิมทีนางถือกำเนิดในค่ายกระหายเลือด เรื่องกติกาการทดสอบและรางวัลเหล่านี้ ย่อมพูดได้ว่านางเข้าใจแจ่มแจ้ง
มีอาวุธวิญญาณเหล่านี้เป็นของรางวัล ภายหลังหากต้องการเลือกสรรผู้มีพรสวรรค์ที่สามารถพัฒนาฝีมือขัดเกลาได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้โดยง่าย
ไม่นานนักหลินจงก็จากไป มุ่งหน้าไปยังโรงหลอมอาวุธเพื่อรับโครงอาวุธวิญญาณที่หลอมเสร็จอยู่ก่อนแล้วสิบหกชิ้นจากมือหยางหลิง จากนั้นก็กลับมาตำหนักชำระจิตชั้นสาม นำโครงอาวุธวิญญาณเหล่านี้มอบให้หลินสวิน
……
ผ่านไปอีกเจ็ดวัน
หลินจงเดินออกมาจากตำหนักชำระจิตอีกครั้ง
นี่พาให้เสี่ยวเคอและพญาแร้งอดแปลกใจมิได้ เดิมทีพวกเขานึกว่า คราวที่แล้วหลินสวินหลอมอาวุธสิบสองชิ้นใช้เวลาไปเจ็ดวัน ครั้งนี้ต้องการจะหลอมอาวุธวิญญาณสิบหกชิ้น เวลาที่ใช้ก็ควรจะมากขึ้น
แต่เห็นชัดว่าพวกเขาทายผิดเสียแล้ว
ที่เกินจากที่พวกเขาคาดที่สุดคือ หลินจงก็ถือเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ทั้งยังได้เห็นความเหนือธรรมดาของการสลักรอยสลักวิญญาณของหลินสวินตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว
แต่เมื่อเดินออกมาจากตำหนักชำระจิตครั้งนี้ สีหน้าหลินจงก็ยังคงเหม่อลอย ตื่นตระหนกไม่หยุด นี่ย่อมผิดธรรมดาไปแล้ว
ไม่นานนักหลินจงก็บอกคำตอบออกมา ในเวลาเจ็ดวัน หลินสวินหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีสิบหกชิ้นได้อย่างราบรื่น ไม่ล้มเหลวเลยสักชิ้นเดียว
ที่ไม่เหมือนรอบที่แล้วก็คือ ครั้งนี้มีสมบัติวิญญาณถือกำเนิดขึ้นสองชิ้น!
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ นัยน์ตาเสี่ยวเคอกับพญาแร้งต่างหดรัด จิตใจสะท้านหวั่นไหว
สมบัติวิญญาณเป็นสิ่งที่แม้พบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ ตลอดชีวิตนักสลักวิญญาณผู้หนึ่งสามารถหลอมสมบัติวิญญาณมาได้สักชิ้นก็เพียงพอให้อวดดีได้แล้ว
แต่สำหรับหลินสวิน การหลอมสมบัติวิญญาณประหนึ่งว่าไม่ใช่ปัญหายากที่แตะต้องไม่ได้อีกต่อไป!
“ครั้งที่แล้วใช้เวลาเจ็ดวัน เขาหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีได้สิบสองชิ้น ในนั้นมีสมบัติวิญญาณอยู่ชิ้นเดียว”
พญาแร้งถอนหายใจยาวแล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่า “แต่ตอนนี้ เวลาเจ็ดวันเท่ากัน เขาหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีได้สิบหกชิ้น ในนั้นมีสองชิ้นเป็นสมบัติวิญญาณ ความเร็วของพัฒนาการในศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณนี้เหนือธรรมชาติจริงๆ!”
เสียวเคอก็ถอนหายใจไร้คำพูดไปครู่หนึ่ง
สมบัติวิญญาณสองชิ้นที่หลอมขึ้นในครั้งนี้ถูกหลินสวินเก็บไว้เช่นเดิม แบ่งออกเป็นกระบองสำริดหนึ่งคู่กับเกราะหน้าอกหนึ่งชิ้น ส่วนอาวุธวิญญาณชิ้นอื่นนั้นให้หลินจงมอบให้พญาแร้ง ยกให้เขาเป็นคนจัดการ
เวลาล่วงเลยไป ผ่านไปอีกเจ็ดวัน
ครั้งนี้หลินสวินหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีได้สิบเก้าชิ้นถ้วน แต่คราวนี้สมบัติวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นมีสองชิ้นเท่าเดิม ไม่ได้ทำลายสถิติแต่อย่างใด
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังคงทำให้เสี่ยวเคอและพญาแร้งตระหนกตกใจซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียอาการหาที่สิ้นสุดไม่ได้
ยังดีที่เมื่อหลอมอาวุธครั้งนี้เสร็จแล้ว หลินสวินก็เสร็จสิ้นการดำเนินการหลอมอาวุธอันสะเทือนเลื่อนลั่นนี้ ทำให้เสี่ยวเคอและพญาแร้งล้วนลอบถอนหายใจ
พูดตามความจริง ถ้าหลินสวินยังคงหลอมอาวุธต่อไป พวกเขาต่างสงสัยว่าจิตใจของตนจะยังรับความตื่นตระหนกระลอกแล้วระลอกเล่าได้หรือไม่
อีกทั้งจากการสังเกตการณ์ในหลายวันมานี้ก็ทำให้พญาแร้งไม่คลางแคลงหลินสวินเช่นก่อนหน้านี้ ว่าเขาสามารถหลอมชุดศึกวิญญาณได้จริงหรือไม่
ถึงขนาดที่ในใจเขายังอดรอคอยไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ความเชี่ยวชาญด้านการสลักรอยสลักวิญญาณที่หลินสวินครอบครอง ก็พิสูจน์ได้ว่าเขามีศักยภาพพอหลอมชุดศึกสลักวิญญาณแล้ว!
หากลองเปลี่ยนเป็นนักสลักวิญญาณผู้อื่น ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าจะไม่มีทางมีคุณสมบัติถึงขั้นนี้
……
ในห้องฝึกปราณลับชั้นสามตำหนักชำระจิต
หลินสวินนอนราบอยู่บนพื้นหอบหายใจ หน้าผากผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ในปากเขาเคี้ยวโสมหิมะหยกหนึ่งราก ฤทธิ์ยาบริสุทธิ์มหาศาลกำลังเสริมพลังวิญญาณในกายที่ถูกเผาผลาญจนเกือบหมดไม่หยุดหย่อน
หลายวันมานี้นอกจากนั่งสมาธิฝึกปราณแล้ว เขาก็หลอมอาวุธอย่างบ้าคลั่ง ฝึกความสามารถด้านการสลักรอยสลักวิญญาณของตนอย่างไม่หยุดหย่อน
การเคี่ยวกรำฝึกฝนขั้นสูงและแข็งแกร่งนี้ให้ผลลัพธ์น่าตื่นตะลึงเช่นกัน ไม่เพียงหลอมอาวุธวิญญาณระดับปฐพีชั้นดีได้มากมาย ยังหลอมสมบัติวิญญาณออกมาได้อีกห้าชิ้น!
นอกจากนี้ พลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นของเขาที่เต็มขั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็บรรลุอย่างง่ายดาย ก้าวเข้าสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง!
ด้วยความสามรถในการต่อสู้ของเขาในตอนนี้ ถ้าไปสู้กับฮวาอู๋โยวอีกคงชนะนางราบคาบได้อย่างง่ายดายแน่ และคงไม่ลำบากยุ่งยากเหมือนคราวก่อน
ในเวลาเดียวกัน พลังปราณที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้พลังจิตวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในห้วงนิมิตตอนนี้มีดวงดาวแห่งจิตสว่างขึ้นถึงเก้าร้อยดวงแล้ว!
แสงดาวส่องประกายราวภาพนิรมิตฉายเต็มท้องฟ้า หากอาบชโลมจิตวิญญาณ ก็จะปรากฏเป็นภาพมหัศจรรย์หาใดเปรียบ
การยกระดับขึ้นของพลังจิตวิญญาณ ส่งผลให้ผลลัพธ์ของการหลอมอาวุธวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ทำให้ยามหลินสวินวาดรอยสลักวิญญาณ สามารถควบคุมด้ามสลักและหมึกวิญญาณได้อย่างแม่นยำคล่องมือ
ดังเช่นช่วงนี้ที่ความเร็วในการหลอมอาวุธวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้น ก็เพราะหลังพลังปราณเลื่อนขั้นแล้ว พลังจิตวิญญาณก็แข็งแกร่งขึ้น กระตุ้นให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นตาม
รากโสมหิมะหยกเส้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ถูกหลอมละลายหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
จุดชี่ไห่ที่เหือดแห้งในร่างหลินสวินกลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง ถูกพลังวิญญาณสีฟ้าอ่อนราวมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลเติมเต็ม ตะวันจันทราประชันแสง ดาราล้อมรอบ พายุร้ายหมุนเกลียวพาดระหว่างฟ้าดิน พลังยิ่งใหญ่บังเกิด
หลินสวินลุกขึ้นยืน นัยน์ตาดำสงบนิ่ง ร่างสูงโปร่งยามเคลื่อนไหวร่างกายมีลักษณะสงบนิ่งดุจธารน้ำลึกล้ำ ประหนึ่งขุนเขาตระหง่าน ละกิเลสเกินธรรมดาอยู่รางๆ
หลินสวินเดินออกมาจากห้องฝึกปราณลับโดยไม่ร่ำไร ตรงมายังตำหนักชำระจิตและหาหลินจงเจอ
“ลุงจง สมบัติวิญญาณเหล่านั้นเตรียมไว้หมดแล้วใช่ไหม” หลินสวินถาม
“เรียนนายน้อย เตรียมไว้แล้วขอรับ”
“อืม ให้คนนำของพวกนั้นแบ่งไปส่งให้สืออวี่ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี และกงหมิง”
หลินสวินกำชับ ก่อนพูดขึ้นอีกว่า “เมื่อทำธุระทั้งหมดเสร็จแล้ว ท่านกับจูเหล่าซานออกไปข้างนอกกับข้าสักหน่อยเถอะ”
“นายน้อยจะไปที่ไหนขอรับ”
หลินจงอึ้งไป
ตั้งแต่ประลองกับฮวาอู๋โยว จนตอนนี้ผ่านมาแล้วสามเดือน หลินสวินเก็บตัวในภูเขาชำระจิตมาโดยตลอด ไม่เคยออกข้างนอกแม้สักครั้ง คราวนี้เขาจะออกไปทำอะไรกันนะ
หลินสวินคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากพูดโดยไม่ปิดบัง “ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ”
ตอนที่ 384 การทดสอบระดับปรมาจารย์
โดย
ProjectZyphon
อัครการค้า
สืออวี่นั่งไขว่ห้าง ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปยังหลินเสวี่ยถิงที่อยู่ตรงหน้า
หลินเสวี่นถิงยิ้มบางๆ สีหน้าแน่วนิ่ง
เขาเป็นญาติผู้น้องของหลินเสวี่ยเฟิง เป็นคนฉลาดเฉลียว ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเก่ง ครั้งนี้ถูกหลินจงมอบหมายให้มามอบของขวัญจากหลินสวินชิ้นหนึ่งให้สืออวี่
ของขวัญนั้นผนึกอยู่ในกล่องหยกทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือหลินเสวี่ยถิง
“อย่าหาว่าข้าพูดอะไรไม่เกรงใจ เจ้าหลินสวินนี่ก็เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ เหตุใดถึงคิดส่งของขวัญให้ข้ากะทันหันเสียล่ะ”
สืออวี่สงสัยเล็กน้อย
หลินเสวี่ยถิงเอ่ยอย่างให้เกียรติ “ข้าน้อยเพียงเป็นธุระมาส่งให้ เรื่องอื่นไม่แน่ใจแล้ว คุณชายท่านเปิดกล่องหยกดูของขวัญที่อยู่ภายใน อาจพอดูอะไรออกนะขอรับ”
สืออวี่พลันหัวเราะขึ้น สีหน้าแสดงความยโส “เจ้าคิดว่าอัครการค้าของข้ายังขาดสมบัติอะไรอีกหรือ เอาไปๆ กลับไปบอกหลินสวินว่าถ้าครั้งหน้ายังเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้ ภายหลังก็ไม่ต้องมาพบข้าแล้ว”
หลินเสวี่ยถิงกลับหัวเราะอย่างจนใจแล้วพูดว่า “ถ้าคุณชายไม่รับไว้ ข้าน้อยกลับไปคงรายงานภารกิจมิได้”
สืออวี่ส่งเสียงหึหยัน “โอ้โห หลินสวินผู้นี้ตอนนี้มันขี้โมโหเสียจริงเชียว!”
หลินเสวี่ยถิงรีบส่ายหัว “คุณชายเข้าใจผิดแล้ว น้องหลินสวินไม่ได้หมายความเช่นนั้น ถึงท่านจะไม่รับไป อย่างน้อยก็ขอให้ดูสักหน่อย ถ้าของขวัญภายในไม่สามารถทำให้ท่านพึงพอใจได้ เช่นนั้นข้านำกลับไปก็สามารถรายงานภารกิจได้แล้ว”
สืออวี่พูดอย่างหมดความอดทน “ก็ได้ เจ้าเปิดสิ ข้าจะดูว่าเจ้าหลินสวินนี่มันจะเล่นลูกไม้อะไร”
หลินเสวี่ยถิงเปิดกล่องหยกนั้นออกทันที
ชั่วพริบตา แสงวิญญาณสีฟ้าเข้มเยียบเย็นพลันปรากฏขึ้น เต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือกบาดกระดูก พาให้ห้วงอากาศจับตัวเป็นน้ำค้างแข็งขึ้นชั้นหนึ่ง
หืม
ในตอนแรกสืออวี่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงคิดจะดูสักครั้งแล้วไล่หลินเสวี่ยถิงกลับไป ในใจยังรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำที่เห็นเป็นคนอื่นคนไกลของหลินสวินเล็กน้อย
แต่เมื่อได้เห็น ตาเขาก็มองค้างอยู่เช่นนั้น จ้องตรงไปในกล่องหยก ไม่อาจเบนสายตาไปได้แม้แต่น้อย
เห็นกระบองสำริดคู่หนึ่งวางนิ่งอยู่ในกล่องหยก กระบองสำริดยาวสองฉื่อสี่ชุ่น หนาเท่าลำเทียน ทั้งเล่มประทับไปด้วยลายสลักวิญญาณคลุมเครือซับซ้อน เต็มไปด้วยแสงวิญญาณสีฟ้าเข้มเยียบเย็นพาให้ใจคนหวาดหวั่น
อาวุธที่สืออวี่ถนัดที่สุดก็คือกระบองสำริด ที่เขาใช้อยู่นั้นก็เป็นกระบองสำริดชั้นเลิศคู่หนึ่ง นามว่า ‘กระบองหยกผนึกมังกร’ ถูกหลอมขึ้นโดยปรมาจารย์สลักวิญญาณมีชื่อท่านหนึ่ง ล้ำค่าหาได้ยาก
แต่เมื่อเทียบกับกระบองสำริดคู่ที่อยู่ในกล่องหยกนั้น กลับพลันดูหมองกว่ามาก ถึงกับ…ไม่น่ามองเลยทีเดียว!
สืออวี่ลุกขึ้นยืน นำกระบองสำริดคู่ที่อยู่ในกล่องหยกออกมาประเมินคร่าวๆ ดวงตาพลันฉายประกายวาบ
สมบัติวิญญาณ!
สมบัติวิญญาณระดับปฐพีคู่หนึ่งนี่!
ความตื่นเต้นที่ปกปิดได้ยากพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสืออวี่ ดวงตาเคลิบเคลิ้ม กระบองสำริดคู่นี้สมบูรณ์แบบไปแล้ว เพียงถืออยู่ในมือก็พาให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดผูกพันขึ้น
“คุณชายพึงพอใจหรือไม่” หลินเสวี่ยถิงถามเสียงค่อย
“พอใจ พอใจมากเลย ไอ้บ้าหลินสวินนี่สร้างความประหลาดใจพาให้ข้าคาดไม่ถึงเสียจริง!”
สืออวี่หัวเราะเสียงดัง สีหน้าตื่นเต้นดีใจยิ่ง
สมบัติวิญญาณชั้นนี้พบเห็นได้น้อยนัก ไม่ใช่เพียงแค่ราคาสูง แต่ยังหาได้ยากยิ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นของที่ไม่อาจร้องขอได้!
“สมบัตินี้มีนามว่าอะไร”
“ยังไม่เคยตั้งชื่อขอรับ น้องหลินสวินบอกว่า ให้คุณชายตั้งชื่อเองถึงเหมาะสมที่สุด”
“ฮ่าๆๆ เจ้าหลินสวินผู้นี้รู้ใจข้าดังคาด เช่นนั้นก็เรียกมันว่า ‘กระบองทรัพย์เมฆาคราม’ ก็แล้วกัน”
“เยื้องย่างบนเมฆาคราม[1] ชื่อดียิ่ง!”
หลินเสวี่ยถิงพูดไปยิ้มไป
ในใจเขาก็เกิดความภูมิใจที่ควบคุมไม่ได้ ราวกับได้รับเกียรติไปด้วย
เรื่องทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับหนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชี หลินสวินมอบ ‘ทวนเงินประสานเดือน’ หนึ่งเล่ม ‘พลองหินกล้า’ หนึ่งเล่ม รวมทั้ง ‘ดาบโค้งประดับวสันต์’ หนึ่งเล่มให้แต่ละคน
ล้วนเป็นสมบัติวิญญาณระดับปฐพีทั้งสิ้น!
พาให้พวกหนิงเหมิงยินดีและประหลาดใจถึงที่สุด ชอบจนวางมือไม่ได้ ราวได้รับสมบัติล้ำค่าสูงสุด
นี่ก็คือการตอบแทนจากหลินสวิน
ด้วยช่วงนี้พวกสืออวี่ช่วยผสมโงอยู่ลับๆ พุ่งเป้ากดดันกิจการของสามตระกูลรองของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ขุมอำนาจทั้งสามสายนี้ตกอยู่ในวังวนแห่งความยากลำบาก เกิดเรื่องยุ่งยากไม่ว่างเว้น
มิตรภาพเช่นนี้มีหรือหลินสวินจะลืมได้
ดังนั้นยามหลอมอาวุธวิญญาณ จึงตั้งใจหลอมอาวุธวิญญาณให้พวกเขาแต่ละคนโดยเฉพาะ ถือเป็นของขวัญจากใจของตน
แน่นอนว่าหลินสวินก็หลอมดาบศึกใหม่ให้ตัวเองด้วย เป็นอาวุธระดับปฐพีนามว่า ‘วิญญาณม่วง’!
ส่วน ‘ดาบเวทเรืองแสง’ แม้เป็นสมบัติวิญญาณแต่ก็เป็นเพียงสมบัติวิญญาณระดับมนุษย์ อานุภาพไม่อาจเติมเต็มหลินสวินที่มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางได้
…
เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งเคลื่อนออกจากภูเขาชำระจิต พาหลินสวินเดินทางไปยังภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ
ไม่นานเท่าใดนัก หัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมหลินเทียนหลงก็ได้รับข่าวคราวนี้
จิตใจเขาพลันสั่นรัว กัดฟันคำราม “ไอ้เด็กนี่มันโผล่หัวออกมาได้เสียที! ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้ไปเชิญเจ้าบ้านสายคานเมฆาและยอดวายุมาโดยเร็ว มีเรื่องใหญ่ต้องหารือกัน!”
ผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชา
หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ก็รีบร้อนมาถึง เมื่อรู้ว่าหลินสวินที่หดหัวอยู่ในภูเขาชำระจิตนับเดือนในที่สุดก็โผล่หัวออกมาแล้ว ทั้งสองก็ตื่นเต้นเช่นกัน
ชีวิตของพวกเขาสามตระกูลทุกวันนี้น่าอนาถนัก กิจการที่อยู่ภายใต้การควบคุมก็ถูกขัดขวางอยู่บ่อยครั้ง ทุกเดือนเสียหายไปเกือบล้านเหรียญทอง ทำให้ในตระกูลของพวกเขาแต่ละสายมีเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เกิดเรื่องยุ่งยากไปทั่วทุกแห่ง ลำบากยากเข็ญไม่ได้กินไม่ได้นอน
ทั้งหมดนี้แม้เกิดจากกลุ่มอำนาจใหญ่อย่างพวกอัครการค้าร่วมกันลงมือ แต่ถ้าสืบสาวราวเรื่อง ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินมอบให้!
ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาจะไม่ชิงชังได้อย่างไร
จนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่หวังจะแย่งชิงภูเขาชำระจิตกลับมาอีกแล้ว คิดแต่ว่าจะฆ่าหลินสวินอย่างไรดี เพื่อคลี่คลายหายนะที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้สิ้น!
“ทุกท่าน ในที่สุดวันนี้เจ้าเด็กนี่ก็ออกจากภูเขาชำระจิต สำหรับพวกเราแล้วเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะฆ่ามันอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลินเทียนหลงสีหน้าเย็นชาถมึงทึง จิตสังหารกระจายไปทั่ว “ทว่าข้างกายเขามีจูเหล่าซานกับหลินจงตามคุ้มครองตลอด ถ้าสู้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังผลลัพธ์คงยากจะคาดเดา ไม่ทราบว่าทั้งสองมีแผนการรับมือหรือไม่”
จูเหล่าซาน!
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ความฮึกเหิมของหลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้พลันลดลงไปกว่าครึ่ง เขาเป็นคนโหดเหี้ยมดุร้ายหาได้เปรียบผู้หนึ่ง สามารถกำราบฮวาเชียนเฉิงโดยง่าย กล้าต่อกรซึ่งหน้ากับฮวาชิงหลินหนึ่งในห้าพยัคฆ์ร้ายแห่งจักรวรรดิ ธรรมดาเสียที่ไหน
ส่วนหลินจง อย่าได้มองว่าเขาเป็นข้ารับใช้แก่ที่เฝ้าภูเขาชำระจิตผู้หนึ่ง ตัวเขานั้นก็เป็นผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะเช่นกัน!
มีพวกเขาสองคนคอยคุ้มครอง แค่คิดก็รู้ว่าการฆ่าหลินสวินนั้นยากขนาดไหน
“ถ้าสามารถเชิญผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งในสามสายตระกูลเราลงมือได้ ไม่แน่…ปัญหานี้อาจแก้ไขได้โดยง่าย”
หลินเนี่ยนซานพูดขึ้นอย่างลังเล
“ไม่ได้!”
หลินเทียนหลงปฏิเสธโดยพลัน “พวกผู้อาวุโสต้องบัญชาการทั้งตระกูล หากลงมือไป แล้วในตระกูลเกิดเรื่องอะไรเข้า ผลลัพธ์นั้นยากคาดเดา แผนนี้เสี่ยงอันตรายเกินไป ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“เช่นนั้น…เชิญพวกร้ายกาจระดับหยั่งสัจจะมาร่วมกันลงมือกับเราไหม” หลินผิงตู้เอ่ยขึ้นเสียงขรึม
“ไม่ได้ ยังเสี่ยงไปอยู่ดี นี่ไม่ใช่เวลามาพังพินาศลงไปพร้อมกับหลินสวินเสียหน่อย” หลินเทียนหลงปฏิเสธอีกครั้ง
หลินเนี่ยนซานกับหลินผิงตู้ล้วนเงียบไป ในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว แต่กลับพบกับความท้าทายชิ้นใหญ่ยิ่ง นี่ทำให้พวกเขาไม่รู้จะทำเช่นใดดี
เวลานี้เองข้ารับใช้คนหนึ่งก็มารายงานว่าหลินสวินไปยังภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ
เมื่อได้ยินหลินเทียนหลงก็อึ้งไป “เจ้าเด็กนี่ไปทำอะไรที่นั่นกัน หรือว่าเขาคิดจะหานักสลักวิญญาณมารับใช้เขาอีก”
ทว่าหลินเนี่ยนซานราวกับคิดอะไรออก หัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยปากออกมาว่า “ข้ามีวิธีแล้ว!”
หลินเทียนหลงและหลินผิงตู้มองไปยังหลินเนี่ยนซานโดยพร้อมเพรียง “วิธีอะไร”
“ข้ามีสหายคู่ใจอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งอยู่ในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณนั่นล่ะ เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งเลย ในมือมีอำนาจใหญ่โต ถ้าขอให้เขาช่วยลงมือ อาจถึงกับควบคุมหลินสวินนั่นได้อยู่หมัดโดยไม่เกิดรอยแผลเลยก็ได้นะ!”
ดวงตาหลินเนี่ยนซานลุกโชน สีหน้าฮึกเหิม
“คำพูดนี้เป็นจริงหรือ” หลินเทียนหลงเผยสีหน้ายินดีเช่นกัน
“เฮอะๆ จุดนี้ข้ากล้ารับรองได้ เมื่อเข้าไปในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ เจ้าจูเหล่าซานกับหลินจงก็ไม่มีทางคุ้มครองเจ้าเด็กนั่นได้แล้ว พวกเราเพียงส่งมารเฒ่าฉวี่ไปร่วมมือกับสหายรู้ใจผู้นั้นของข้า…”
หลินเนี่ยนซานพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม “ถึงเวลานั้น หลินสวินต้องพบเจอเภทภัยยากหลบหนีแน่นอน!”
“ไม่รู้ว่าสหายรู้ใจของเจ้าผู้นั้นคือ?” หลินผิงตู้อดถามไม่ได้
“รอจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกท่านสองก็รู้เอง”
หลินเนี่ยนซานยิ้มบางๆ ปล่อยให้ทั้งสองสงสัย
หลินเทียนหลงพลันตบโต๊ะ “เอาตามนี้ก็แล้วกัน ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว ตอนนี้เริ่มลงมือกันเถอะ!”
……
ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ
“พ่อหนุ่ม เจ้าก็มารับรองฐานะนักสลักวิญญาณหรือ” ชายชราคนหนึ่งมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างประหลาดใจ
“ใช่”
หลินสวินพยักหน้า
“เหอะๆ เยี่ยมจริงๆ นักสลักวิญญาณฝึกหัดที่อ่อนวัยเช่นเจ้า ถ้าผ่านการรับรองก็จะได้เป็นนักสลักวิญญาณที่แท้จริง นั่นถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเรื่องหนึ่ง”
ชายชราพูดเจือรอยยิ้มว่า “มาเถอะๆ จ่ายค่าใช้จ่ายหนึ่งพันเหรียญทองแล้วรับป้ายไป…”
ยังไม่ทันรอให้พูดจบ หลินสวินก็ยิ้มพลางส่ายหัว “ขออภัย ข้ามารับรองฐานะปรมาจารย์สสลักวิญญาณ”
“อะไรนะ” ชายชราตื่นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง มีท่าทางไม่กล้าเชื่อ
หลินสวินยื่นป้ายแสดงฐานะนักสลักวิญญาณชั้นต้นออกไปแล้วพูดว่า “เชิญท่านดู”
ชายชรารับป้ายไว้ในมือแล้วดูรอบหนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างประหลาด “ที่แท้ยังหนุ่มเช่นนี้ก็เป็นนักสลักวิญญาณแล้ว”
ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหัวไปมา พูดขึ้นด้วยสีหน้าทำใจเชื่อได้ยากว่า “แต่ว่า… แต่ว่าอายุน้อยขนาดนี้จะไปรับรองระดับปรมาจารย์สลักวิญญาณจริงหรือ เจ้าไม่ได้เข้าใจผิดนะ?”
หลินสวินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
เห็นเช่นนี้ชายชราก็สูดลมหายใจลึก ไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วกวักมือเรียกข้ารับใช้ผู้หนึ่งมา สั่งความไปว่า “พาคุณชายท่านนี้ไปโถงทดสอบระดับปรมาจารย์”
ข้ารับใช้อึ้งไป มองหลินสวินรอบหนึ่งด้วยสายตาประหลาด แต่สุดท้ายก็ยับยั้งความสงสัยในใจแล้วพาหลินสวินออกไป
“เฮ้อ คนหนุ่มสมัยนี้ใจคอหุนหันพลันแล่นเสียจริง เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้น นักสลักวิญญาณชั้นกลางหรือชั้นสูงก็ไม่ใช่ กลับกล้ามาร้องเอะอะจะขอรับการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ นี่…นี่มันจะน่าตลกเกินไปแล้ว”
ชายชราหัวเราะเย้ยหยันพลางส่ายหัว
เขาเข้าใจแล้ว เด็กหนุ่มผู้นั้นอ่อนวัยขนาดนี้ก็สามารถได้รับการรับรองเป็นนักสลักวิญญาณชั้นต้นได้ แปลว่าพรสวรรค์ในศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณย่อมดีมาก แต่นิสัยใจคอกลับคุยโวโอ้อวดเกินไป การรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณมันผ่านกันง่ายดายเสียที่ไหน
บนเส้นทางการสลักวิญญาณ ไม่เคยมีเรื่องดีๆ อย่างการประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดหรอก!
………………………………………..
[1] เยื้องย่างบนเมฆาคราม เป็นสำนวนจีน หมายถึงขึ้นตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น