Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 380-381
ตอนที่ 380 หนทางยากลำบาก
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินก้าวเข้าไปพร้อมพูดอย่างฉงน “ท่านเหมือนจะมีเรื่องทุกข์ใจ?”
พญาแร้งยังคงมองท้องฟ้า สีหน้าราบเรียบกล่าวว่า “ไม่ถึงกับเป็นเรื่องทุกข์ใจ เพียงแค่ชีวิตสงบสุขเกินไปจนระแวง บางอย่างก็ควรเตรียมพร้อมเอาไว้บ้าง”
หลินสวินนั่งลงที่พื้นข้างๆ ลวกๆ สองแขนกอดเข่า ดวงตาดำขลับทอดมองฟ้า “ท่านจะแบ่งปันกับข้าได้หรือไม่”
“จะว่าไป เรื่องพวกนี้ก็เกี่ยวกับเจ้าทั้งสิ้น”
“ข้าหรือ”
“ใช่”
พญาแร้งเก็บสายตาแล้วหันมองเสี้ยวหน้าคมคายของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ “ภูเขาชำระจิตในตอนนี้ดูแล้วเจริญรุ่งเรือง เรื่องที่คั่งค้างได้รับการสะสาง ทว่าความจริงมีภัยร้ายบางอย่างซ่อนอยู่”
หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย “ท่านพูดตามจริงได้เลย”
“อย่างไรภูเขาชำระจิตก็ยังขาดกำลังหลักในการบัญชาการภาพรวมอย่างแท้จริง”
พญาแร้งพูดอย่างหนักใจ “เจ้าคงรู้ดีว่าสักวันจูเหล่าซานต้องไปจากที่นี่ แม้ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุนยังอยู่ แต่เขาวางตนเป็นบ่าวรับใช้ เกรงว่าจะแบกรับภาระใหญ่โตไม่ได้”
“ย้อนกลับไปมองที่สามตระกูลรองของตระกูลหลิน แม้ตอนนี้จะยังทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ในตระกูลของพวกเขามียอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะอยู่มากมาย ถึงขนาดมีผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติเป็นผู้บัญชาการ ขอเพียงพวกเขามีโอกาส ย่อมต้องโจมตีภูเขาชำระจิตอย่างไม่คิดไว้ชีวิตแน่”
หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย
“หากไม่จัดการภัยร้ายนี้ สักวันทุกสิ่งทุกอย่างที่ภูเขาชำระจิตสร้างมาคงกลายเป็นของคนอื่น”
นัยน์ตาของพญาแร้งฉายประกายแห่งสติปัญญา “แม้ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แต่ถึงตอนนั้นพวกเขาก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
หลินสวินเงียบไปครู่ “ท่านมีแผนการแก้ไขใดหรือไม่”
พญาแร้งครุ่นคิดอยู่นานค่อยกล่าว “ยากเกินไป นอกเสียจากเจ้าจะสามารถเชิญเจ้าของกระบี่โบราณเหมยคดมาช่วยเจ้าได้”
“เป็นไปไม่ได้”
หลินสวินปฏิเสธทันควัน อีกฝ่ายเพียงคอยหนุนหลังตน แต่ถ้าอยากให้ช่วยแก้ไขปัญหา นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ส่วนตำหนักรัตติกาล หลินสวินเองก็ไม่อาจคาดหวัง อีกฝ่ายช่วยตนมามากพอแล้ว อีกทั้งในนครต้องห้ามนี้ ผู้อาวุโสท่านนั้นได้พูดชัดแล้วว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของเขาอีก
ในสถานการณ์แบบนี้หลินสวินต้องแก้ปัญหาทั้งหมดด้วยตัวเองเท่านั้น
พญาแร้งกล่าวอย่างไตร่ตรอง “ถ้าเจ้าสามารถทำให้จูเหล่าซานอยู่ที่นี่ตลอดไปได้ ขณะเดียวกันก็หาผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมาใช้งาน บางทีอาจจะแก้ปัญหานี้ได้”
ให้จูเหล่าซานอยู่ต่อ!
หลินสวินตาทอประกาย ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดเรื่องนี้ เพียงแต่ตลอดมายังคิดวิธีดีๆ ไม่ออกเท่านั้น
“ท่านมีวิธีหรือไม่” หลินสวินอดถามไม่ได้
พญาแร้งระบายยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเรื่องนี้มาตลอด แม้จะยังไม่มีวิธีที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าเจ้าสามารถสนองความต้องการได้ตรงจุด บางทีอาจจะทำให้จูเหล่าซานติดตามเจ้าได้”
หลินสวินจมสู่ห้วงความคิดทันที อยากชนะใจผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ต้องเอาอะไรออกมาล่อเล่าจึงจะทำให้จูเหล่าซานอยู่ต่อ?
หลินสวินคิดไม่ออกจริงๆ
ผู้หญิง เงินทอง อำนาจ… เรียกได้ว่าของทั่วๆ ไปเหล่านี้ไม่สามารถดึงดูดยอดฝีมือระดับจูเหล่าซานได้
“เจ้าไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงต่ำลึกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ไม่รู้ว่าร่างสูงใหญ่กำยำของจูเหล่าซานมายืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลที่ห่างออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่
หลินสวินอึ้งไปทันที
พญาแร้งกลับยิ้มบางๆ ราวกับเดาออกตั้งนานแล้วว่าจูเหล่าซานต้องปรากฏตัว
“ระดับมหาสมุทรวิญญาณมีอายุขัยสามร้อยปี ระดับหยั่งสัจจะมีอายุขัยหกร้อยปี ตอนนี้อายุขัยของข้าเหลือไม่ถึงสองปี แม้เจ้าให้ข้าอยู่ต่อ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของเจ้าได้”
จูเหล่าซานเอ่ยปากอย่างราบเรียบ
หลินสวินคาดไม่ถึง ในใจพลันรู้สึกสับสน ไม่คิดเลยว่าจูเหล่าซานจะเหลืออายุขัยไม่ถึงสองปี!
แต่นี่ก็คือความจริง!
หนทางที่ผู้ฝึกปราณแสวงหานั้น ถ้าไม่นับชื่อเสียงและพลัง เป้าหมายพื้นฐานที่สุดก็เพื่อยืดอายุขัย เพื่อชีวิตอันเป็นอมตะ!
แต่หนทางนั้นแสนจะโหดร้าย นับตั้งแต่โบราณกาล ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือมากมายเท่าไรที่สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับกาลเวลา เพราะไม่สามารถทะลวงระดับปราณได้ ทำให้อายุขัยดับสูญ พลังปราณดับสลายไปพร้อมความคั่งแค้น
ตัวอย่างแบบนี้มีให้เห็นมากมาย
โดยเฉพาะยิ่งระดับพลังปราณสูงเท่าไหร่ การจะบรรลุขั้นต่อไปก็ยิ่งยาก ถ้าไม่สามารถทะลวงขั้นได้ ต่อให้เป็นบุคคลที่มีอำนาจมากเพียงใด สุดท้ายก็ต้องหยุดก้าวเดินและสูญสลายไปในที่สุด
สิ่งที่จูเหล่าซานเผชิญในตอนนี้ ก็คือปัญหาใหญ่ของอายุขัยที่กำลังจะดับสูญ!
แม้จะเห็นว่าพลังปราณของเขาโดดเด่นเพียงใด แข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อเผชิญหน้ากับกาลเวลากลับดูเล็กจ้อยเกินกว่าจะต้านทาน
นี่ก็คือหนทางที่ต้องก้าวเดิน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยขวากหนาม ทุกย่างก้าวล้วนลำบากยากเข็ญ ต้องต่อสู้กับวันเวลา หากพ่ายแพ้ก็จำต้องหยุดเดิน!
หลินสวินยังเด็ก พลังแฝงไร้ขีดจำกัด อีกทั้งพลังปราณยังไต่ระดับอย่างรวดเร็ว จึงยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้
ทว่ายามรู้ว่าอายุขัยชองจูเหล่าซานกำลังจะหมดลงแล้ว ก็ยังกระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างหนัก ทำให้จิตใจสับสน ไม่เป็นตัวเอง
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ พญาแร้งกลับพูดขึ้นมาโดยพลันว่า “หากเจ้าสามารถบรรลุขั้นปราณได้ ปัญหานี้ก็จะแก้ไขได้โดยง่าย”
หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ แต่พริบตาต่อมากลับลอบส่ายหน้า ถ้าสามารถบรรลุขั้นได้ จูเหล่าซานคงไม่รอถึงตอนนี้
ดังคาด จูเหล่าซานกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย “เป็นไปไม่ได้ พลังแฝงของข้ามาสุดทางแล้ว อีกทั้งหลายปีมานี้ยังทดลองทะลวงขั้นมาแล้วสามสิบเจ็ดครั้ง ทุกครั้งล้วนล้มเหลว ที่สามารถมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ ข้าถือว่าเป็นบุญแล้ว”
“ใครบอกว่าเป็นไปไม่ได้”
พญาแร้งเผยรอยยิ้มคลุมเครือตรงมุมปาก “ข้าเคยได้ยินมาว่า ในส่วนลึกของพระราชวังมีสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘หอคอยกระบวนแปรจุติ’ ถ้าสามารถเข้าไปในนั้นได้ อย่างน้อยก็มีโอกาสครึ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นได้”
หอคอยกระบวนแปรจุติ ในส่วนลึกของพระราชวัง!
หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย พอจะตระหนักได้ว่าพญาแร้งกำลังช่วยเขารั้งจูเหล่าซานอยู่ รวมถึงชี้ลู่ทางให้เขาด้วย
“ที่นั่นมันพระราชวัง เป็นเหมือนพื้นที่ต้องห้าม หอคอยกระบวนแปรจุตินั่นยิ่งเป็นที่ต้องห้ามในสถานที่ต้องห้าม แม้แต่เชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไป วิธีนี้ที่เจ้าพูดอย่างไรก็เป็นเพียงความเพ้อฝัน”
จูเหล่าซานเงียบไปครู่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เขาเหมือนปล่อยวางไปแล้ว ไม่คาดหวังใดๆ ต่อการทะลวงขั้นปราณอีก
“เจ้าทำส่วนนี้ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าหลินสวินทำไม่ได้”
พญาแร้งสีหน้าเรียบเฉย พูดขึ้นช้าๆ “คอยดูเถอะ ก่อนที่จะหมดอายุขัยของเจ้าบางทีอาจมีจุดเปลี่ยน ถึงตอนนั้นขอให้เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ”
จู่เหล่าซานเงียบไปนาน สุดท้ายก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่ แต่ขอเพียงเขาไม่ได้ปฏิเสธ นี่ก็ถือเป็นท่าทีที่ดีแบบหนึ่ง
“เป็นอย่างไร รู้สึกว่าการจะทำได้ถึงจุดนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์อีกใช่หรือไม่” พญาแร้งหันสายตามามองหลินสวิน
“ยากเย็นอย่างแท้จริง แต่ว่าข้าจะลองพยายามดูสักตั้ง”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก พลันนึกถึงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในพระราชวังผู้นั้น บางที…อาจไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้?
“ไม่ต้องรีบ ยังเหลือเวลาอีกปีกว่า รอเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำเรื่องนี้หรือไม่ก็ยังไม่สาย”
พญาแร้งพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
หลินสวินพยักหน้า จู่ๆ ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ สายตาจ้องเขม็งไปที่พญาแร้ง “ผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่าท่านถูกพิษ ‘มารพบเคราะห์’ พิษนี้ไม่มียารักษาหรือ”
คำพูดนี้ทำให้พญาแร้งเดาออกทันทีว่าหลินสวินคิดจะทำอะไร จึงโบกมืออย่างหมดคำพูด “เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลา พิษชนิดนี้ต่อให้เป็นในจักรวรรดิมืดก็ยังมีน้อยคนนักที่สามารถแก้ได้ ชาตินี้ข้าไม่หวังให้พลังปราณคืนกลับมาอีกแล้ว”
“แต่ข้าคิดว่าลองดูก็ไม่เสียหาย” หลินสวินยิ้มน้อยๆ “คืนนี้หากไม่ได้ท่านเตือน ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้วว่า ขอเพียงแก้ปัญหาบนตัวท่านได้ ภูเขาชำระจิตแห่งนี้ก็จะมียอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะเพิ่มมาอีกคนไม่ใช่หรือ”
พญาแร้งกล่าวอย่างแปลกใจ “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมาก?”
หลินสวินเอ่ย “ข้าเพียงแต่เพิ่งนึกวิธียิงธนูนัดเดียวให้ได้นกสองตัวออกก็เท่านั้น”
“วิธีใด” พญาแร้งถาม
หลินสวินพูดออกมาอย่างแผ่วเบา “เสนอรางวัล! รวบรวมผู้มีสติปัญญาทั่วหล้า มาคิดหาวิธีแก้ ‘มารพบเคราะห์’ ให้ท่าน!
พญาแร้งยิ้มเยาะ “เจ้าจะเสนอรางวัลใด รางวัลที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วหล้าได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย เจ้าไปเอาความมั่นใจจากไหนมาพูดแบบนี้”
เขาดูไม่เชื่อถืออย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “ยามข้าฝึกปราณอยู่ที่เมืองหมอกอำพราง เคยได้รับการดูแลจากสหายระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เขาไม่เพียงช่วยชีวิตข้าไว้หนึ่งครั้ง ยังช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง ตอนที่ข้าอยากตอบแทน อีกฝ่ายกลับบอกว่า ต่อไปหากข้ามีความสามารถมากพอ ให้ช่วยสร้างชุดศึกสลักวิญญาณให้เขาสักชุดก็พอ”
“ตอนนั้นข้าจึงตระหนักได้ว่า ชุดศึกสลักวิญญาณเป็นของเลอค่าที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขึ้นไปตื่นตะลึงได้!”
เขาเว้นจังหวะไปครู่ค่อยกล่าวต่อ “ท่านว่า ถ้าข้าประกาศทั่วใต้หล้าว่า หากใครสามารถขจัดมารพบเคราะห์ได้ข้าจะสร้างชุดศึกสลักวิญญาณให้คนผู้นั้น เช่นนั้นจะมีใคร…ปฏิเสธงั้นหรือ”
สร้างชุดศึกสลักวิญญาณ!
ต่อให้เป็นพญาแร้งที่สุขุมจิตใจมั่นคง ยามนี้ก็อดสูดหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้ แววตาฉายประกายแปลกประหลาด ทั้งตกตะลึง ทั้งไม่อยากจะเชื่อ
เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินจะกล้าโอ้อวดว่าสามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้! นี่มันเพ้อฝันเกินไปแล้ว!
ชุดศึกสลักวิญญาณคืออะไรน่ะหรือ
นั่นเป็นของล้ำค่าแม้แต่กับตระกูลทรงอิทธิพล ถึงขั้นที่ตระกูลทรงอิทธิพลบางส่วนยังไม่สามารถครอบครองชุดศึกสลักวิญญาณสักชุดได้!
เหตุผลเพราะของล้ำค่านี้สร้างได้ยากเกินไป ต่อให้เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ โอกาสที่จะสำเร็จยังต่ำมาก
ปัจจุบันสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิได้รวบรวมปรมาจารย์สลักวิญญาณฝีมือโดดเด่นที่สุดเอาไว้ ทั้งยังมีบุคคลระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณเป็นหัวหอก
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงสามเดือนจึงจะสร้างชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งได้สำเร็จ!
ที่สำคัญที่สุดคือ ทันทีที่เปิดตัวชุดศึกวิญญาณที่สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิสร้างขึ้น ก็จะถูกราชวงศ์ กรมทหาร และตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดแย่งไปจนหมด ไม่หลงเหลือสู่โลกภายนอก!
ของที่หายากย่อมมีราคาแพง
แล้วนับประสาอะไรกับสมบัติล้ำค่าสะเทือนฟ้าอย่างชุดศึกสลักวิญญาณเล่า
ปัจจุบันในจักรวรรดินี้ หากมีใครกล้าบอกว่าสามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะเลย ต่อให้เป็นระดับกระบวนแปรจุติก็เกรงว่าจะไปรุมแย่งตัวจนหัวแตกกันไปข้าง!
นี่ก็คือคุณค่าของชุดศึกสลักวิญญาณ
ทว่าหลินสวินกลับพูดออกมาเช่นนี้ จะไม่ให้พญาแร้งหวั่นไหวได้อย่างไร
ตอนที่ 381 บุปผาเบ่งบานและโรยร่วง กาลเวลาผันผ่านเนิ่นนาน
โดย
ProjectZyphon
หลังอึ้งไปนาน พญาแร้งก็อดถามไม่ได้ “เจ้า…ทำได้จริงหรือ”
หลินสวินตอบตามตรง “ยังไม่เคยลองหลอมดู ยังไม่รู้”
พญาแร้งกลอกตาใส่โดยพลัน คนที่สุขุมมั่นคงอย่างเขา ยามนี้กลับกลอกตาใส่ เท่านี้ก็พอจะบ่งบอกได้ว่าเขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเพียงใด
“แต่ข้าลองดูได้ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นคนออกแบบเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ของจักรวรรดิ”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ เขาต้องสร้างความมั่นใจให้พญาแร้งสักหน่อย ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าตนเป็นเพียงเด็กที่ดีแต่พูดโอ้อวดเกินจริง
พญาแร้งเตือนอย่างจริงจัง “แต่เรือรบวีรชนม่วงไม่เหมือนชุดศึกสลักวิญญาณ”
หลินสวินคิดๆ แล้วหยิบดาบเวทเรืองแสงของตัวเองออกมายื่นให้พญาแร้ง
พญาแร้งตะลึงงัน มองดาบเวทเรืองแสงในมือเพียงครู่เดียวแววตาของเขาก็ทอประกาย “สมบัติวิญญาณ?”
เพียงสองคำง่ายๆ ก็ยืนยันได้แล้วว่าสายตาของพญาแร้งนั้นเฉียบคมเพียงใด
หลินสวินพยักหน้า “นี่เป็นดาบที่ข้าหลอมเมื่อครั้งอยู่เมืองหมอกอำพราง คราวนี้ท่านคงจะเชื่อแล้วกระมังว่าข้ามีความสามารถในการสร้างชุดศึกสลักวิญญาณ”
พญาแร้งพยักหน้าเล็กน้อย “ก็จริง นี่สามารถยืนยันได้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์และความสามารถในด้านการสลักวิญญาณ แต่…”
พูดถึงตรงนี้เขาพลันเผยความเย้ยหยันอย่างเก็บไม่อยู่ “เจ้าอย่าหาว่าข้าทำลายขวัญกำลังใจของเจ้า แต่ชุดศึกสลักวิญญาณนั้นแตกต่างจากสมบัติวิญญาณเช่นกัน”
ไม่รอให้หลินสวินได้พูดอะไร พญาแร้งสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่า ที่เจ้าบอกว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัวหมายความว่าอย่างไร”
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ย “อีกหน่อยท่านจะเข้าใจเอง พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ รอให้ข้าสร้างชุดศึกสลักวิญญาณให้สำเร็จจริงๆ ก่อนถึงจะทำแบบนั้นได้”
พญาแร้งอึ้งงันไป ครู่ใหญ่จึงค่อยยิ้มพูด “ได้ เช่นนั้นข้าจะคอยดู”
หลังจากได้คุยกับหลินสวิน ลึกๆ ในใจเขาก็มีความหวังขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ อยากเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะสร้างปาฏิหาริย์เหนือความคาดหมายให้เขาได้จริงๆ หรือไม่!
……
ตั้งแต่วันนั้นหลินสวินจึงจัดแผนการฝึกปราณในทุกวันของตัวเองใหม่ โดยโยกช่วงกลางวันมาทุ่มเทกับการทบทวนและฝึกฝนการสลักรอยสลักวิญญาณ
รอยสลักวิญญาณ เป็นศาสตร์หนึ่งที่หลินสวินคุ้นเคยมากที่สุดมาตั้งแต่เด็ก
ตลอดเวลาที่ฝึกอยู่กับท่านลู่ ทำให้หลินสวินมีความรู้แน่นมากเกี่ยวกับพื้นฐานรอยสลักวิญญาณ รวมทั้งวิธีสลักอันเหนือจินตนาการ
ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเฟยอวิ๋น เขาใช้การสลักวิญญาณช่วยคนในหมู่บ้านกำจัดแมลงร้ายในนาข้าววิญญาณจนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในหมู่บ้านเฟยอวิ๋น
ตอนที่อยู่ในค่ายกระหายเลือด เขาช่วยเหล่าโม่ออกแบบเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่รวมถึงสร้างอาวุธวิญญาณออกมา จึงได้รับความสนใจรอบด้านจากทั้งเสี่ยวหม่าน เสี่ยวเคอ สวีซานชีและเหล่าโม่
เหล่าโม่พูดอยู่บ่อยๆ ว่าหลินสวินมีพรสวรรค์และความสามารถในด้านการสลักวิญญาณ จนเทียบหญิงอัจฉริยะอย่าง ‘เฟิงชิงโยว’ แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตได้ หรืออาจถึงขั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำ!
ตอนนั้นก็เพราะความสามารถด้านการสลักวิญญาณที่เผยออกมาของหลินสวิน ทำให้สวีซานชีเสียดายความสามารถ จึงไม่ปล่อยให้หลินสวินถูกซินหรูเถี่ยพาตัวไป
ส่วนเหล่าโม่เป็นคนที่แบกรับคลื่นลมและผลกระทบที่ไม่จำเป็นบางอย่างแทนหลินสวิน
หลังจากนั้นตอนที่อยู่ในเมืองหมอกอำพราง หลินสวินก็ได้ใช้วิธีสลักวิญญาณผ่านการทดสอบของภาคีนักสลักวิญญาณจนได้ผูกมิตรกับฉู่เฟิง
แม้แต่ผู้ฝึกปราณสายศิลป์ระดับแนวหน้าของจักรวรรดิอย่างหลิ่วชิงเยียนยังให้หลินสวินซ่อมขลุ่ยวิญญาณโบราณให้ และการซ่อมก็เป็นไปอย่างราบรื่น
ตอนนั้นเองที่สมบัติวิญญาณอย่างดาบเวทเรืองแสงที่หลินสวินสร้างขึ้นได้สร้างความตะลึงให้เสวี่ยจินและท่านย่าลมครวญโดยถ้วนหน้า และยอมรับว่าความสามารถด้านการสลักรอยสลักวิญญาณของหลินสวินเรียกได้ว่าพบเห็นได้ยาก!
เพียงแต่ตอนที่ออกจากเมืองหมอกอำพรางและเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามจนถึงตอนนี้ หลินสวินภารกิจรัดตัวจนไม่มีเวลาว่างพอไปฝึกด้านการสลักวิญญาณ
แต่ตอนนี้ ไม่ว่าทำเพื่อแก้ปัญญาการบรรลุปราณของจูเหล่าซานหรือช่วยพญาแร้งขับพิษมารพบเคราะห์ วิธีเดียวที่หลินสวินคิดออกก็คือศาสตร์การสลักวิญญาณ!
ขอเพียงสามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้ ก็จะมีความหวัง
……
ด้ามสลัก หมึกวิญญาณ ตัวนำ
ช่วงกลางวันของทุกวัน หลินสวินราวกับฤาษีเฒ่าที่นั่งสมาธิเปล่าเปลี่ยว
เขานั่งตัวตรงอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ ใช้พลังการรับรู้จิตวิญญาณอันพลุ่งพล่านเป็นตัวกระตุ้น ใช้ด้ามสลักและหมึกวิญญาณเป็นสื่อกลาง และสลักรอยสลักวิญญาณไว้บนหนังสัตว์ อิฐหิน ใบไม้ กระดาษ เศษผ้า
ทุกเรื่องในภูเขาชำระจิต ทุกเสียงอึกทึกภายนอก ราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลินสวินอีกแล้ว
ในสายตาของเขามีเพียงรอยสลักวิญญาณ ในใจมีเพียงร่องรอยอันลึกลับของรอยสลัก ในขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยกระบวนรอยสลักวิญญาณอันสลับซับซ้อนแต่ละลาย
สิบวันหลังจากนั้น
หลินสวินไม่นั่งสันโดษนั่งในห้องอีก เขาเดินเล่นอยู่ในภูเขาชำระจิตพร้อมสองมือที่ว่างเปล่า บางทีวนเวียนอยู่ตรงหน้าน้ำตก บางทีก็นั่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ใบหญ้า บางครายืนอยู่บนหน้าผาอย่างสง่า บางครั้งก็ไปอยู่ระหว่างภูเขาหินอันขรุขระ
เขาใช้นิ้วแทนพู่กัน ใช้การรับรู้ในการควบคุม ใช้พลังวิญญาณของตัวเองเป็นแหล่งพลัง วาดรอยสลักวิญญาณอันลึกลับซับซ้อนเหล่านั้นบนหินบ้าง บนดินบ้าง บนใบไม้บ้าง
จากนั้นเขาเริ่มลงมือวาดรอยสลักท่ามกลางก้อนเมฆ น้ำตก หมอก
ประหนึ่งยันต์ผีวาดอย่างไรอย่างนั้น ในสายตาของคนอื่นหลินสวินราวกับถูกปีศาจร้ายครอบงำ ทุกวันเอาแต่วิ่งวนอยู่บนภูเขาชำระจิตวาดรอยสลักวิญญาณที่คนอื่นต่างไม่เข้าใจ การกระทำดูผิดแผกยิ่งนัก
แม้จะดูแปลกแต่ก็ไม่มีใครห้ามเขา เพราะพญาแร้งได้กำชับไว้ และก็มีเพียงพญาแร้งที่รู้ว่าหลินสวินทำอะไรอยู่
……
กาลเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว
สิ้นสุดฤดูใบไม้ร่วงและเข้าสู่ฤดูหนาว ต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาชำระจิตแห้งเหี่ยว เหลือเพียงดอกไม้วิเศษและหญ้าประหลาดบางอย่างที่ยังพลิ้วไหวตามสายลม
หลินสวินเอาแต่เก็บตัวราวกับหายเข้ากลีบเมฆไป ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเขาไม่ครึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้นานแล้ว
ถึงอย่างไรนครต้องห้ามก็เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ มีเรื่องแปลกใหม่มาสร้างความฮือฮาไม่เว้นแต่ละวัน จะให้ใครมานึกถึงทุกวันก็คงเป็นไปไม่ได้
ในช่วงที่ผ่านมา เรื่องที่สร้างความฮือฮามากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องที่สำนักคนเถื่อนวารีแห่งเผ่าพ่อมดเถื่อนได้ส่งขบวนราชทูตขนาดใหญ่มาเยือนนครต้องห้าม
ระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อนนั้นมีความแค้นอันยิ่งใหญ่ต่อกัน มักเปิดศึกนองเลือดต่อกันเสมอมา
การที่จู่ๆ ขบวนราชทูตของสำนักคนเถื่อนวารีมาเยือน ย่อมต้องเป็นที่จับตาของทุกฝ่ายและสร้างความฮือฮาอย่างดุเดือดไปทั่วทั้งนครต้องห้าม
ผู้มีอำนาจหลายฝ่ายต่างคาดเดาจุดประสงค์การมาของขบวนราชทูตแห่งสำนักคนเถื่อนวารี แต่ที่น่าแปลกคือ หลังจากขบวนมาถึงนครต้องห้ามก็เข้าพักในตึกโบราณที่ราชสำนักเสนอมาโดยเฉพาะแห่งหนึ่งแล้วไม่ออกมาอีกเลย และไม่ยอมปริปากถึงจุดประสงค์การมาเยือนนครต้องห้ามของตัวเองในครั้งนี้
การกระทำที่ดูผิดปกติแบบนี้ทำให้ผู้คนในนครต้องห้ามต่างมึนงง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เพราะความแค้นระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน ทำให้คนหนุ่มเลือดร้อนมากมายต่างวิ่งไปหาเรื่องที่ ‘คฤหาสน์เถื่อน’ ไม่เว้นแต่ละวัน ประกาศกร้าวว่าจะฆ่าพวกเผ่ามืดเพื่อแก้แค้นให้กับทหารหาญของจักรวรรดิที่ตายในสนามรบ
‘คฤหาสน์เถื่อน’ นี้ ก็คือที่พำนักของคณะทูตสำนักคนเถื่อนวารี จากชื่อก็รู้ว่าจักรวรรดิมีท่าทีอย่างไรต่อทูตต่างแดนเหล่านี้
แต่ไม่ว่าจะไปหาเรื่องอย่างไร คณะทูตแห่งสำนักคนเถื่อนวารีก็ไม่ยอมโผล่หัวออกมา เก็บเนื้อเก็บตัว ทำทีเหมือนจะมาอยู่นครต้องห้ามในระยะยาวอย่างไรอย่างนั้น
ท่าทีของราชสำนักอันเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิเองก็แปลกมาก ไม่ถามไม่ไถ่คณะทูตกลุ่มนี้ ทำเหมือนพวกเขาเป็นอากาศธาตุ
ดูผิดปกติอย่างชัดเจน
ที่น่าเสียดายคือไม่มีใครรู้สาเหตุของเรื่องทั้งหมด พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่คณะทูตแห่งสำนักคนเถื่อนวารีก็ไม่มีการกระทำที่ผิดแผกอันใด เหล่าผู้มีอำนาจในนครต้องห้ามจึงเลิกสนใจไป
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ในช่วงนี้ตระกูลรองทั้งสามของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุประสบปัญหาไม่หยุดหย่อน วุ่นวายอลหม่านกันถ้วนหน้า
ช่วงที่ผ่านมากิจการทั้งหมดของพวกเขาถูกคู่แข่งกดดันอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นที่จงใจกดราคาจนกระทบต่อรายได้ของพวกเขาอย่างรุนแรง
ในวันนี้ หัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมหลินเทียนหลงฟังรายงานข่าวล่าสุดจากข้ารับใช้เหมือนปกติ
“หัวหน้าตระกูล เมื่อวานนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับแร่วิญญาณ ‘เหล็กยอดโลหิต’ ที่อยู่ในการครอบครองของเรา เหล็กยอดโลหิตทั้งหมดที่ผลิตออกมาถูกคู่ค้าปฏิเสธเหมือนกับช่วงก่อนหน้านี้ บอกว่าเหล็กยอดโลหิตของพวกเราคุณภาพแย่เกินไป เรียกร้องให้พวกเราขายในราคาสามสิบเหรียญทองต่อหนึ่งชั่ง แต่หากทำเช่นนั้นอย่าว่าแต่กำไรเลย แม้แต่ต้นทุนยังยากจะรักษาไว้”
“นอกจากนี้ร้านธัญพืชวิญญาณทั้งหกแห่งทางตะวันตกของเมือง กับร้านยาสามแห่งทางใต้ก็ซบเซา ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย”
“เมื่อคำนวณเช่นนี้ เพียงแค่เดือนเดียวพวกเราก็ขาดทุนถึงสามแสนเก้าหมื่นเหรียญทอง! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ถึงหนึ่งปีกิจการพวกนี้ของเราคง…คงดำเนินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ข้ารับใช้คนนั้นทำการค้าได้ยากลำบาก ใบหน้ามู่ทู่
สีหน้าของหลินเทียนหลงเองก็เขียวคล้ำเช่นกัน เต็มไปด้วยความเยียบเย็น โกรธจนกัดฟันกรอด รังแกกันเกินไปแล้ว ต้องมีคนจงใจกลั่นแกล้งพวกเขาอยู่แน่!
เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมาสักระยะแล้ว แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาถึงได้มั่นใจว่านี่เป็นการโจมตีที่มีการวางแผนไว้ก่อนแล้ว!
“ท่านหัวหน้า ไม่เพียงแต่ตระกูลหลินแห่งธารประจิมของเรา กิจการของทั้งคานเมฆาและยอดวายุต่างถูกโจมตีอย่างหนักไม่ต่างจากเรา”
ข้ารับใช้คนนั้นเอ่ยเตือนว่า “แต่มีเพียงกิจการของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรที่ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดีขึ้นกว่าเดิม แบบนี้มันดูผิดปกติ ท่านว่า…จะเป็นฝีมือของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรกับเด็กหนุ่มบนภูเขาชำระจิตนั่นร่วมมือกันหรือไม่”
“เหลวไหล! ต่อให้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา แต่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาแน่!”
หลินเทียนหลงตะเบ็งเสียงอย่างกราดเกรี้ยว เขาแทบจะควบคุมเพลิงโกรธในใจไม่อยู่ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้างเช่นกัน คนที่สามารถใช้วิธีร้ายกาจขนาดนี้มาโจมตีพวกเขา ต้องไม่ใช่ผู้มีอำนาจทั่วๆ ไปแน่
ด้วยความสามารถของเจ้าเด็กหลินสวินนั่น แม้จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแต่ก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้แน่!
และในตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนในชุดเทาผู้หนึ่งพุ่งปราดเข้าพร้อมสีหน้าร้อนรน
เขายังเดินมาไม่ถึงเสียงรายงานก็นำมาก่อนแล้ว “ท่านหัวหน้า สืบได้ความแล้วขอรับ คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเราในช่วงที่ผ่านมาคือกลุ่มอำนาจตระกูลสือแห่งอัครการค้า ตระกูลหนิงแห่งกองทัพเลือดเหล็กจักรวรรดิ รวมทั้ง ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ตระกูลกง และ ‘ราชันแห่งทะเลตะวันออก’ ตระกูลเย่ขอรับ!”
ได้ยินชื่อขุมอำนาจยาวเป็นหางว่าวนี้ หลินเทียนหลงรู้สึกเพียงว่ากำลังหูดับ ตัวแข็งค้างอยู่กับที่ประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ดูเสียการควบคุมไปทั้งตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น