Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 372-378

ตอนที่ 372

 

 เคล็ดวิชาฝนบุปผาผลาญวิญญาณ

โดย

ProjectZyphon

หลินสวิน!


ผู้คนมากมายในสนามไม่คิดว่าหลินสวินจะกล้ามาประลองจริงๆ


ชั่วขณะหนึ่ง กลับมีคนไม่น้อยลอบนับถือ อย่างน้อยในแง่ความกล้าหาญ หลินสวินก็ควรค่าได้รับความเคารพ


ทว่าผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นว่าหลินสวินมาถึงกลับแสดงสีหน้าดีใจกับความโชคร้ายของผู้อื่น ด้วยเห็นว่าเขามาครั้งนี้ไม่ต่างกับรนหาที่เอง


แววตาเห็นใจ ยิ้มเย็นชา ดูถูก ขบคิด เยาะหยัน ราวตาข่ายใหญ่โตที่ปกคลุมไปทั่วร่างหลินสวิน


ภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่นนี้ หลินสวินมีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวขึ้นลานประลองอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไป


เงาร่างผอมบางสูงโปร่ง สวมชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำรวบไว้ที่หลังศีรษะอย่างลวกๆ ขณะเคลื่อนไหวมีกลิ่นอายสุขุมเยือกเย็นราวเยื้องย่างในสวนอย่างไรอย่างนั้น


ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นั้นได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหลินสวินเป็นครั้งแรก คิดว่าอีกฝ่ายแม้ยังเยาว์ แต่ท่าทางกลับเหนือธรรมดามาก จึงอดประหลาดใจไม่ได้


ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ว่า นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ถ้าคู่ต่อสู้ของฮวาอู๋โยวต่างชั้นกันเกินไป เช่นนั้นแล้วการประลองครั้งนี้ก็คงไม่มีอะไรน่าดู


ยิ่งหลินสวินแสดงออกอย่างแข็งแกร่ง เมื่อต่อสู้กัน ถึงจะทำให้ทุกคนได้เห็นความสามารถในตัวฮวาอู๋โยว


แน่นอนว่าแม้คิดเช่นนี้ ผู้คนในลานประลองส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับหลินสวินดังเดิม เพียงหวังไม่ให้เขาอ่อนแอเกินไป…


ในห้องรับรองห้องหนึ่ง สืออวี๋ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี และกงหมิงรวมตัวกันที่นั่น ตามองการปรากฏตัวของหลินสวิน


“พูดตามจริง ข้าเป็นห่วงแทนเขาอยู่บ้างจริงๆ” สืออวี่ถอนหายใจยาว


“ข้าก็ด้วย” หนิงเหมิงกลับไม่คัดค้านอย่างเห็นได้ยากนัก สีหน้าหนักใจ “ผู้หญิงอย่างฮวาอู๋โยวแม้จะน่าชิงชัง แต่ความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งนัก”


กงหมิงกับเย่เสี่ยวชีแม้ไม่เอ่ยปาก แต่สีหน้าของพวกเขาเหมือนกับสืออวี่และหนิงเหมิง เห็นได้ชัดว่าในใจก็กังวลแทนหลินสวิน


เวลานี้ชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พูดเสียงเบาว่า “นายน้อย ไปสืบมาแน่ชัดแล้วขอรับ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงที่มาสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ครั้งนี้ นอกจากตระกูลฉินกับหานสองตระกูลนี้แล้ว ตระกูลอื่นอีกห้าตระกูลล้วนมีคนใหญ่คนโตมาดูด้วยตนเองของรับ”


“นอกจากนี้ มีคนของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางกับชั้นล่างมาดูมากนัก สรุปจำนวนได้ยากขอรับ”


“ที่แน่ใจได้ก็คือพวกไป๋หลิงซี จ้าวหยินล้วนมากันหมด รวมถึงพวกคนเก่งกาจจากสำนักศึกษามฤคมรกตบางคนก็มาด้วย”


“เพราะผู้มีอำนาจที่มาดูการประลองครั้งนี้มีมากยิ่ง ร่องรอยยากติดตาม จึงทำให้แยกแยะได้ยากว่าพวกเขาถูกฮวาอู๋โยวดึงดูด หรือตั้งใจมาเพราะคุณชายหลินสวินขอรับ”


เมื่อฟังมาถึงตอนนี้ สืออวี่สีหน้าเรียบนิ่ง เขาคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ อย่างไรเสียผู้ฝึกปราณในสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ก็มีมากนัก ลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลก็มีไม่น้อย จะแยกแยะจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่นั้น ย่อมเป็นเรื่องยากอย่างเห็นได้ชัด


ทว่าเมื่อชายชราพูดประโยคต่อมา กลับทำให้นัยน์ตาสืออวี่หดรัด


“ที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ได้ยินว่าในราชวงศ์ก็มีสมาชิกชั้นสูงมาดูด้วยคนหนึ่งขอรับ!”


สืออวี่ใจสะท้าน ถึงกับดึงดูดความสนใจของราชวงศ์เลยหรือ


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่!”


ดวงตาสืออวี่เปล่งประกาย “แค่การประลองของเด็กรุ่นเยาว์คู่หนึ่งเท่านั้น ต่อให้ครึกโครมแค่ไหน จะดึงดูดผู้มีอิทธิพลมามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร เบื้องหลังของทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินแน่!”


“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร” หนิงเหมิงอดถามไม่ได้ เวลานี้ชายสูงวัยผู้นั้นจากไปอย่างเงียบเชียบ


“คนทั้งโลกล้วนนึกไปว่า หลินสวินมีเรื่องกับตระกูลซ่ง ตระกูลฮวาสองตระกูลนั้นภายในคืนเดียว คิดว่าเขาใจกล้าคับฟ้า ไม่รู้ดีชั่ว ความจริงที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ก่อนหลินสวินจะเข้ามาในนครต้องห้าม เขาก็ผูกแค้นกับตระกูลฉือไปแล้ว!”


ดวงตาของสืออวี่เคร่งขรึมลง “เดิมทีข้าก็แปลกใจอยู่ว่าหลังจากหลินสวินเข้ามาในนครต้องห้าม ทำไมจู่ๆ ตระกูลฉือก็ไม่ลงมือกับหลินสวินอีก แต่พอดูสถานการณ์ในวันนี้ก็รู้ว่า เบื้องหลังของทุกอย่างนี้ต้องเก็บงำเรื่องลับที่พวกเราไม่อาจรับรู้ไว้มาก”


“และเรื่องลับเหล่านี้ย่อมเกี่ยวข้องกับหลินสวิน ต่อให้ฮวาอู๋โยวคนนั้นจะโดดเด่นสะดุดตาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกจับตามองมากเช่นนี้!”


เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีก็ตกใจระคนสงสัยนัก เบื้องหลังการต่อสู้ครั้งนี้ จะยังมีคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นมากมายเพียงนี้ได้หรือ



บนลานประลองขณะนี้ เงาร่างหลินสวินหยุดอยู่ห่างไปจากฮวาอู๋โยวสิบจั้ง


“เจ้ากล้ารับคำท้าประลอง ทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง แต่ถ้าเจ้าไม่มา ที่จะเสื่อมเสียไม่จบสิ้นก็คงเป็นตัวเจ้าเองและทุกสิ่งที่เจ้าครอบครอง เมื่อมองจุดนี้ เจ้าถือว่าเลือกได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่ต้องสงสัย” ฮวาอู๋โยวเอ่ยอย่างเรียบเฉย


ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดาวของนางเย็นเยียบราวคมดาบ ปล่อยรังสีเย็นชาไหลออกมา จ้องมองหลินสวินอยู่ไกลๆ เผยให้เห็นพลังคุกคามน่าเกรงกลัว


ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น น่ากลัวว่าพอถูกนางกวาดสายตาใส่ก็คงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ความตั้งใจต่อสู้มลายสิ้น


แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ พูดขึ้นว่า “ที่เจ้านัดประลองที่นี่ ก็เพื่อมาพูดจาไร้สาระเช่นนี้หรือ”


นี่แสดงให้เห็นว่าไม่เกรงใจ


ผู้ฝึกปราณที่ประสาทหูตาเฉียบคมเมื่อได้ยินเข้าก็อดอึ้งไปไม่ได้ หลินสวินผู้นี้คิดจะรีบตายหรือไงนะ ถึงได้กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา หรือไม่กลัวว่าจะยั่วให้ฮวาอู๋โยวโมโห จนกำจัดเขาทิ้งให้สิ้นซากเสีย


เวลานี้เสียงเซ็งแซ่ในลานประลองพลันแผ่วลง เปลี่ยนไปเป็นเงียบเชียบ ทุกคนล้วนจับจ้องทุกอิริยาบถของหลินสวินและฮวาอู๋โยว


ทว่าฮวาอู๋โยวกลับไม่เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “ดูออกว่าเจ้าเตรียมใจพร้อมตายแล้ว นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้โง่เขลา ที่จริงแล้วครั้งนี้ข้าก็ไม่คิดให้เจ้ารอดออกไปจากที่นี่ได้”


ประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งลานประลองสูดหายใจเย็นเยียบ โหดเหี้ยมยิ่งนัก ฮวาอู๋โยวกล้าพูดเช่นนี้ ย่อมกล้าทำแน่นอน!


พวกสืออวี่ หนิงเหมิงสะท้านในใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าฮวาอู๋โยวคิดจะฆ่าหลินสวิน นี่เป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว!


ส่วนหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซาน หลินผิงตู้ที่อยู่ในห้องรับรองอีกหลังหนึ่งสีหน้าล้วนขรึมขึ้น พวกเขาไม่ได้หวังให้หลินสวินถูกฆ่า นี่ย่อมส่งผลเสียต่อการแย่งชิงภูเขาชำระจิตของพวกเขาแน่


เพราะหากหลินสวินตายแล้ว สิทธิ์ควบคุมภูเขาชำระจิตจะถูกราชวงศ์ยึดกลับไป ถึงเวลานั้นตระกูลรองอย่างพวกเขาก็อย่าได้หวังจะได้กลับไปที่ภูเขาชำระจิตอีกเลย


“ดังนั้น การประลองครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย ไม่เจ้าตาย ก็เป็นข้าเองที่ตาย”


ฮวาอู๋โยวน้ำเสียงเย็นชา ตั้งแต่เริ่มจนจบ ดวงตาที่นางมองไปยังหลินสวินไม่มีอารมณ์หวั่นไหวใดๆ ราวกับที่จ้องอยู่นั้นเป็นคนตายคนหนึ่ง


“ศึกชี้เป็นชี้ตายงั้นหรือ”


หลินสวินย่อมประหลาดใจอยู่บ้าง ทันใดนั้นในใจก็อดยิ้มหยันไม่ได้ ฮวาอู๋โยวผู้นี้คิดว่าหมายหัวตนได้แล้วหรือ


“เจ้าคงไม่ได้คิดใช่ไหมว่า ที่ข้าอุตส่าห์เสียแรงท้าประลองกับเจ้าที่นี่เพียงเพื่อทำร้ายเจ้าสักรอบ”


ดวงตาราวดาราของฮวาอู๋โยวหรี่ลง “อย่าคิดว่าตัวจะบังเอิญโชคดีอีก หาเรื่องคนตระกูลฮวาของข้า ไม่มีสักคนที่มีชีวิตรอดบนโลกนี้ไปได้! มีแต่ตายเท่านั้นที่เป็นวิธีชำระโทษเพียงหนึ่งเดียว”


ถึงตอนนี้ผู้คนในที่นั้นก็มั่นใจได้แล้วว่า การท้าประลองครั้งนี้ของฮวาอู๋โยวท้า หมายใจจะสังหารจริงๆ!


ชั่วเวลาหนึ่ง ดวงตาหลายคู่ที่มองมายังหลินสวินนั้นไม่ได้เห็นใจ แต่เวทนา


“เช่นนี้ก็ดี” ที่เกินคาดก็คือ หลินสวินกลับหัวเราะเสียงดัง มีท่าทีพึงพอใจ


พาให้ทุกคนต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่เขาทำเช่นนั้นเพราะมีความสามารถจริง หรือรู้ดีว่าตนต้องตาย เลยปลดปล่อยออกมาจนหมดกันแน่


“ฮ่าๆๆ หลินสวินเจ้าก็มีวันแบบนี้ได้!” ในห้องรับรองในลานประลองนั้น ฮวาอู๋เหินหัวเราะเสียงดังอย่างแค้นเคือง เขาถูกหลินสวินทำร้ายกลางถนน เสียหน้ายับเยิน ถ้าฆ่าหลินสวินไม่ได้ เช่นนั้นต่อไปเขาคงเชิดหน้าไม่ได้อีก


ครั้งนี้มีฮวาอู๋โยวออกหน้าแทนเขา จะสังหารหลินสวินก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป


“รอเอาเถอะ หลังฆ่าเจ้าได้แล้ว ข้าจะไปทำลายหลินเสวี่ยเฟิงเพื่อระบายความแค้นที่อยู่ในใจซะ!”


ฮวาอู๋เหินกัดฟันกรอด สีหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัว


“อย่าพูดพร่ำทำเพลงอีกเลย เริ่มเถอะ”


บนลานประลอง รอบกายหลินสวินเอ่อล้นไปด้วยแสงวิญญาณสีฟ้าอ่อน เสื้อผ้าปลิวไหว ท่าทีพลันเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความดูถูก


ดวงตาหลายคนเปล่งประกาย พลังเช่นนี้…ไม่ใช่ว่าระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นทั่วไปจะมีได้ เจ้าเด็กนี่ถึงจะโอหังไม่สนใจสิ่งใด แต่ของดีในตัวชัดเจนว่าไม่ด้อย


“ในเมื่อรนหาที่ตาย ข้าก็จะสงเคราะห์ให้เจ้า” ท่ามกลางน้ำเสียงเรียบเฉย ร่างสีเพลิงของฮวาอู๋โยวก็กระโจนขึ้นกลางอากาศ นิ้วมือขาวโพลนเรียวยาวประสานกัน


พรึ่บ!


ฝนดอกไม้สีแดงหม่นราวเลือดพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศลอยละล่องไปทั่ว ห้วงอากาศราวถูกย้อมด้วยสีเลือด เปี่ยมไปด้วยความงามตระการตา


“เคล็ดวิชาฝนบุปผาผลาญวิญญาณ! หนึ่งในหกวิชาใหญ่ที่สืบทอดกันมาในตระกูลฮวา!”


ทั้งลานประลองตื่นตระหนก ล้วนไม่คิดว่าฮวาอู๋โยวจะเร่งรัดถึงเพียงนี้ ทันทีที่ลงมือก็ใช้กระบวนท่าพิฆาตอย่างแท้จริงแล้ว


ฝนดอกไม้เต็มฟ้านั้นดูเหมือนอ่อนโยนนุ่มนวล แต่หากแตะต้องเข้าก็จะเกิดพลังทำลายล้างขึ้น ส่งผลร้ายแรงทำให้จิตวิญญาณไม่สามารถฟื้นคืนได้


ชัดเจนว่าที่ฮวาอู๋โยวทำเช่นนี้เพราะไม่ต้องการเปลืองเวลา และไม่ต้องการให้โอกาสหลินสวินได้ต่อสู้


อย่างไรเสียในสายตาฝูงชนนับหมื่นในลานประลองต่างเห็นว่า หากยอมให้หลินสวินต่อสู้ได้ สำหรับฮวาอู๋โยวแล้วถือเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง!


ครืน!


ฝนดอกไม้ที่ลอยละล่องบนฟ้าย้อมสีแดงก่ำดุจโลหิตไปทั่วฟ้ากว้าง งดงามเย็นชา บอบบางแต่สง่า ทว่าซ่อนจิตสังหารหาที่สุดไม่ได้


หลินสวินไม่หลบไม่หนี รอบกายพลันเกิดแสงยวงสีฟ้าอ่อนนับหมื่นพันระเบิดพลุ่งพล่าน แสงทั้งมวลนั้นไหลเข้ามาในหมัดแล้วโจมตีออกไป


กระบวนท่าทลายสมุทร!


พลังหมัดนั้นราวภูเขาถล่มทะเลทลาย บดขยี้ห้วงอากาศเสียงครั่นครืนไม่มีผู้ใดต้านทานได้ ในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ฝนดอกไม้ที่ลอยทั่วท้องฟ้าก็ถูกบดขยี้จนสลายไปราวฝุ่นผง


ฝูงชนพลันตกตะลึง นี่มันวิชาหมัดอะไรกัน ถึงได้สลายเคล็ดวิชาฝนบุปผาผลาญวิญญาณด้วยพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ได้


เห็นเช่นนี้แล้ว หลินสวินผู้นี้ก็ถือว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง


“หึ!”


เกิดประกายเยียบเย็นขึ้นในตาของฮวาอู๋โยว ผมดำขลับของนางปลิวไสว ทั้งใบหน้าปรากฏจิตสังหาร มือขาวสะอาดเรียวยาวแกว่งกวัดไปในอากาศ


ดอกไม้เลือดสีสันสดสวยดอกหนึ่งบานขึ้นกลางอากาศ งดงามสะดุดตาราวกับจะดูดกลืนวิญญาณ งามจนสะท้านจิตสะเทือนวิญญาณ


ผู้ฝึกปราณในที่นั้นไม่น้อยล้วนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถูกรบกวนด้วยพลานุภาพที่การโจมตีนี้ปล่อยออกมา ราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน


หลินสวินในตอนนี้มีดวงดาวแห่งจิตกว่าเจ็ดร้อยยี่สิบดวงลอยในห้วงนิมิต จิตวิญญาณแข็งแกร่งจนไม่อาจหยั่งรู้ว่าอยู่ระดับใดได้นานแล้ว จะถูกภาพภาพนิมิตชั้นนี้รบกวนได้อย่างไร


สีหน้าของเขาสงบนิ่ง กระโจนตัวขึ้นใช้กระบวนท่าทลายวิญญาณโจมตีออกไปหมายสังหาร


ปัง!


ใครจะคิดว่า ไม่ทันรอให้พลังหมัดนั้นเข้าใกล้ ดอกไม้โลหิตงดงามสดสวยพลันระเบิดออกกลางอากาศ ยิงแสงวิเศษสีโลหิตแถบหนึ่งกวาดม้วนออกมา


ภาพการณ์นั้น เหมือนทะเลโลหิตเชี่ยวกรากถาโถมออกมาจากห้วงอากาศหมายจะท่วมทับโลก!


นี่ก็คือ ‘บุปผานิรมิตรทะเลโลหิต’! หนึ่งในกระบวนท่าสังหารของเคล็ดวิชาฝนบุปผาผลาญวิญญาณ ดอกไม้ราวภาพอัศจรรย์ เก็บกักจิตสังหารนับไม่ถ้วนไว้ภายใน!


เพียงพริบตาเดียวหลินสวินก็สะท้านไปทั้งร่าง ถูกพลานุภาพมหาศาลที่ร้อนแรงน่าสะพรึงกลัวกระแทกเข้าอย่างโหดเหี้ยมจนซวนเซถอยออกไปไม่หยุด


ฝูงชนร้องออกมาด้วยความตกตะลึง หรือว่าหลินสวินจะพ่ายแพ้เช่นนี้เสียแล้ว


พวกสืออวี่ หนิงเหมิงล้วนจิตใจหดรัด กังวลขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 373

 

กระบี่เลื่องชื่อ เมฆาสีชาด

โดย

ProjectZyphon

เมื่อทั่วร่างหลินสวินกำลังจะถูกแสงที่ราวทะเลเลือดแถบนั้นปกคลุม ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนออกมาจากปากหลินสวิน


“ปล่อย!”


ครืน พลังหมัดน่าสะพรึงกลัวหาใดเปรียบปรากฏออกมา ราวไฟชำระกดทับ ชั่วพริบตาเท่านั้นก็ระเบิดแสงสีเลือดแถบนั้นทิ้ง


ชัดเจนว่านี่ก็คือกระบวนท่าทลายอเวจี!


ในเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างของหลินสวินก็พุ่งไปในอากาศเสียงหวีดหวิว เข้าสู้กับฮวาอู๋โยวอย่างโหดเหี้ยม


ทั้งลานประลองฮือฮา เจ้าเด็กนี่เก่งกาจนัก! ถึงกับหลบพ้นกระบวนท่าสังหารของฮวาอู๋โยวได้ นี่มันเกินความคาดหมายของพวกเขาแล้ว


“ยังไม่ตายหรือ…”


ฮวาอู๋โยวขมวดคิ้ว ราวประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของหลินสวิน


ทันใดนั้นทั่วร่างของนางก็มีเปลวไฟลุกโชนโหมขึ้น ท่าทางยิ่งดูน่าสะพรึงกลัว กระโจนร่างขึ้นเข้าสู้ระยะประชิดกับหลินสวิน


โครม!


ฮวาอู๋โยวฟาดลงไปด้วยมือเดียว ฉีกทลายห้วงอากาศดุจฟาดฟันด้วยคมดาบโลหิต กดททับไปที่หัวของหลินสวินในชั่วพริบตา


สีหน้าหลินสวินไม่เปลี่ยนไป เงาร่างของเขาปรากฏเพียงภาพวูบไหวกลางอากาศ กระบวนท่าทลายมังกรหวีดร้องออกมา ราวมังกรกล้าแต่โบราณกัดทึ้งท้องฟ้ากว้าง


ตูม! ตูม! ตูม!


เพียงชั่วพริบตาทั้งสองปะทะกันสิบกว่าครั้ง เห็นเป็นลำแสงวิเศษระเบิดกระจายราวดอกไม้ไฟระบำบ้าคลั่ง สาดซัดไปบนลานประลองกว้างใหญ่


ห้วงอากาศสั่นสะเทือน คลื่นคลั่งซัดสาด เสียงและพลังสะท้านใจผู้คน


ฝูงชนนับหมื่นจิตใจสั่นไหว ตื่นตะลึงไม่หยุดหย่อน เดิมนึกว่าหลินสวินจะถูกกำราบอย่างง่ายดายในชั่วพริบตา ใครจะคิดว่าเขากลับสามารถรับมือกับฮวาอู๋โยวได้ถึงตอนนี้!


เพียงจุดนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าหลินสวินไม่ธรรมดาขนาดไหน


สวบ!


โดยไม่คาดคิด เท้าของฮวาอู๋โยวเดินไปตามตำแหน่งก้าวย่างดารา ราวลอยระบำบนท้องฟ้า เงาร่างอาบไล้ไปด้วยแสงวิญญาณสีชาด เปล่งประกายดังดวงอาทิตย์สีเลือด เข้าโจมตีอย่างแข็งกร้าว


รุ้งวิเศษสีโลหิตทะลักล้นออกมาจากร่างของนาง พุ่งออกมาดุจวัวกระทิง บดอัดห้วงอากาศ เกิดเป็นพลังทำลายล้างน่าสะพรึงกลัว


นี่คือวิชาลับสุดยอดวิชาหนึ่งของตระกูลฮวาผู้ทรงอิทธิพล ‘รุ้งโลหิตพิฆาตฟ้า’!


โจมตีครั้งเดียว ก็กวาดทลายขุนเขา สลายห้วงอากาศ!


“ฮวาอู๋โยวผู้นี้มีพรสวรรค์น่าตกใจนัก ถึงกับใช้วิชาลับของตระกูลทรงอิทธิพลตระกูลฮวาติดต่อกันสองวิชาได้!”


คนใหญ่คนโตสูงวัยผู้หนึ่งอดตื่นตะลึงไม่ได้


ทว่าหลินสวินกลับสงบนิ่งไม่หวั่นกลัว เริ่มย่างก้าวดุจผลักเคลื่อนภูผา ระหว่างนิ้วมือสาดคลื่นพลังวิญญาณน่าสะพรึงกลัวออกมา เคลื่อนไหวทีหลังแต่ไปถึงก่อน


กระบวนท่าทลายสวรรค์!


นี่เป็นหนึ่งในสามกระบวนท่าใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ซับซ้อนน่ากลัวยิ่ง เช่นเดียวกับกระบวนท่าทลายอเวจีและทลายจักรวาล


เมื่อหลินสวินปล่อยหมัดออกไป ห้วงอากาศเบื้องหน้าราวถูกกลืนกิน เกิดเป็นเค้าลางพังทลาย บดขยี้ครั่นครืน


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


ในสายตาของฝูงชน ห้วงอากาศตรงนั้นราวคันฉ่องเปราะบางที่รับน้ำหนักไม่ไหว ปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นับไม่ถ้วนจนน่าตกใจ ราวกับจะกลืนสิ้นทุกสิ่ง


ภาพแปลกตานี้ยังให้จิตใจผู้คนมากมายเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่หยุดหย่อน ที่หลินสวินผู้นี้ฝึก ตกลงเป็นวิชาน่ากลัวระดับไหนกันแน่ ทำไมถึงแข็งแกร่งได้ปานนี้


“นี่ไม่ใช่วิชาลับที่สืบทอดมาในตระกูลหลินแน่ๆ!”


คนใหญ่คนโตผู้มากประสบการณ์ตัดสินออกมา สีหน้าตกใจระคนสงสัย เห็นชัดว่าถูกพลังยุทธ์ของหลินสวินทำให้ตื่นตะลึง


เสียงปะทะสะท้านฟ้าดินสะเทือนออกไปทั้งสี่ทิศ


ยังดีที่อยู่ในลานประลอง หากเป็นภายนอก ในรัศมีหลายสิบลี้น่ากลัวจะกลายสภาพเป็นทุ่งสังหารอ้างว้างเป็นแน่!


นี่คือการประลองระหว่างผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ ย่อมต่างจากระดับจิตผสานวิญญาณโดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกปราณควบคุมพลังมหาศาลในใต้หล้า พลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นทั่วห้วงอากาศก็ย่อมน่ากลัวเกินจินตนาการ


เมื่อผ่านการโจมตีนี้ไป ฮวาอู๋โยวไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทว่ายามเห็นว่ารุ้งโลหิตพิฆาตฟ้าที่ตนปล่อยออกมาถูกหลินสวินสลายไป ทำให้ดวงตาราวดาราของนางอดแข็งทื่อขึ้นไม่ได้ จิตสังหารรอบกายยิ่งลุกโชน


ส่วนอีกฝ่าย ในใจหลินสวินเองก็ตระหนกอยู่ลึกๆ ที่แท้ฮวาอู๋โยวผู้นี้ก็เก่งกาจสมคำร่ำลือ ความสามารถในการต่อสู้ของนางมีมากเกินกว่าที่เขาคาดไว้เช่นกัน


สามารถกล่าวได้ว่า หลังจากเลื่อนขึ้นเป็นระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว ฮวาอู๋โยวคือคู่ต่อสู้ชั้นยอดคนแรกที่หลินสวินได้พบ!


“หลินสวินผู้นี้…ทำให้ผู้คนเปลี่ยนความคิดไปเลยทีเดียว!”


“แน่นอนว่าในฐานะผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น กลับห้ำหั่นกับฮวาอู๋โยวได้ถึงตอนนี้ ใช่ว่าผู้มีพรสวรรค์ทั่วๆ ไปจะทำได้”


“ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยนะ มิน่าหลินสวินผู้นี้ถึงกล้าโอหังวางโตเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นผู้มีความสามารถที่หาตัวจับยาก มีของดีในตัว!”


ในที่นั้นเสียงฮือฮาดังไปทั่ว ไม่มีใครไม่ประหลาดใจกับความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมา


อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่คาดหวังในตัวหลินสวินเท่าใดนัก และไม่คาดคิดเลยว่าเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นอย่างเขาจะสู้มาถึงขั้นนี้ได้


ฮวาอู๋โยวเวลานี้ไม่ออมมืออีกแล้ว นางได้รับรู้แล้วว่าหลินสวินไม่ใช่คนธรรมดา คิดจะสังหารเขา น่ากลัวต้องใช้ฝีมือร้ายกาจที่แท้จริง


ฟุ่บ!


เงาร่างนางทะยานขึ้น พลังรอบตัวก็เพิ่มขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับจะเข้าประสานกับท้องฟ้า แสงเพลิงหมุนวนรอบกาย ประหนึ่งปักษาเพลิงอาบไฟโผบิน พลานุภาพหาใดเทียม


เพียงชั่วอึดใจการโจมตีของหลินสวินก็ถูกข่ม พลังที่สำแดงออกมาถูกฮวาอู๋โยวปิดทับสิ้น สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นอันตราย


“ศิษย์พี่ฮวาโมโหเข้าแล้ว นี่สิถึงเป็นพลังที่แท้จริงของนาง ข้าเคยเห็นนางบันดาลโทสะที่เรือนยุทธ์วิถี ท่าทางเหมือนตอนนี้ไม่มีผิด น่าหวั่นกลัวยิ่ง”


มีศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตร้องขึ้นอย่างตระหนก สีหน้าแสดงออกว่าเลื่อมใส


“นางยักษ์ผู้นี้น่ากลัวไปแล้ว พลานุภาพราวไร้ที่สิ้นสุดไม่อาจประมาณได้!”


ผู้ชมมากมายในลานประลองอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ จิตใจสั่นไหว ฮวาอู๋โยวสมเป็นฮวาอู๋โยว พลังภายในที่เก็บไว้แกร่งกล้า น่าเกรงกลัวนัก


แต่ที่ผิดคาดไปก็คือ แม้ถูกฮวาอู๋โยวข่มทับ แต่หลินสวินไม่เพียงไม่มีทีท่าต้านรับไม่ได้ กลับมีเค้าลางจะโจมตีกลับซ่อนเร้นอยู่


นี่ทำให้ฮวาอู๋โยวหรี่ตาลง ขนาดนางยังคิดไม่ถึงว่า หลินสวินที่เป็นเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นผู้นี้จะจัดการยากเช่นนี้


“ทลาย!”


นางตะโกนเสียงชัด แสงไฟสีชาดกลุ่มหนึ่งส่งเสียงฟิ้วแล้วเปลี่ยนเป็นใบมีดคม พุ่งปลายมีดไปยังหลินสวิน การโจมตีนี้คือ ‘วิชามีดอรุณสีชาด’ เฉียบไวหาใดเปรียบยิ่ง เร้นลับยากป้องกัน!


ฝูงชนจิตใจบีบคั้น ในสมองเกิดความคิดเดียวกันว่า น่ากลัวหลินสวินจะสิ้นท่าเสียแล้ว


ใครจะคิดว่ายังไม่ทันที่ความคิดนี้จะหายไป บนร่างหลินสวินพลันระเบิดประกายดุจแสงเทพน่ากลัว พุ่งชนฟากฟ้าราวพายุหมุน


ร่างเขาดุจเหวลึกที่ปะทุหินหนืด พลังพายุกรรโชกปั่นป่วนสภาพอากาศ เมื่อกระแทกหมัดออกมา ฟ้าดินก็เปลี่ยนสีเพราะหมัดนี้!


นั่นเป็นพลังหมัดยากบรรยาย เต็มไปด้วงกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างและความสิ้นหวัง ราวกับจะผลาญพลังชีวิตทั้งมวลให้สิ้น น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก


หลายคนอดอกสั่นขวัญแขวนมิได้ พ่นลมหายใจเยียบเย็นออกมา อานุภาพที่หมัดนี้ปล่อยออกมามีพลังมหาศาลที่สั่นสะท้านจิตวิญญาณซ่อนเร้นอยู่!


นี่ ก็คือกระบวนท่าทลายจักรวาล!


กระบวนท่าสุดท้ายในเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ และเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย!


เสียงปังดังปะทุขึ้น บนลานประลองตกอยู่ในสภาวะอลหม่าน แสงเทพหมุนวนม้วนตัว เกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ทำให้รอบลานประลองทั้งสี่ทิศเกิดสัญลักษณ์รอยสลักวิญญาณขึ้น


เห็นได้ชัดว่า การปะทะครั้งนี้ทำให้ค่ายกลป้องกันรอบลานประลองทั้งสี่ทิศถูกกระตุ้นไปด้วย โคจรหมุนวนขึ้นมา มิเช่นนั้นคลื่นพลังที่ล้นออกมาระดับนั้นย่อมพุ่งทะลุข่ายป้องกันของลานประลองแล้วซัดสาดไปทั่ว!


เงาร่างฮวาอู๋โยวโยกไหวกลางอากาศ สุดท้ายถูกกระเทือนจนซวนเซถอยกลับไปหลายก้าว บนใบหน้าพริ้มพรายปรากฏสีแดงขึ้น


ครั้นหันมองฝ่ายตรงข้าม หลินสวินเองก็ไม่ต่างกัน เงาร่างซวนเซ มุมปากมีเลือดซึม สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย


เฮือก!


ทั้งสนามสูดลมหายใจเย็นเยียบไม่หยุดหย่อน สีหน้าตื่นตระหนก การปะทะครั้งนี้น่าสะพรึงไปแล้ว!


ที่ทำให้พวกเขาผิดคาดที่สุดคือ หลินสวินเขา…กลับสกัดการโจมตีนี้ได้!


อีกทั้งเมื่อดูท่าทางของฮวาอู๋โยว ก็เห็นชัดว่าถูกการโจมตีนี้ซัดให้กระเทือนถอยออกไป ราวกับไม่ทันได้ตั้งรับ เกินจินตนาการได้ยิ่ง


ใครจะคิดว่าหลินสวินที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการยอมรับ จะมีความสามารถในการต่อสู้เหนือธรรมดาเช่นนี้


ที่ทำให้ผู้คนต้องตกใจเมื่อได้ยินก็คือ เขาเพิ่งมีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นเท่านั้นเอง ก็สามารถเผชิญหน้ากับฮวาอู๋โยวที่มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางได้ถึงตอนนี้ เกินความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ไปโดยสิ้นเชิง


แข็งแกร่ง!


ไม่ต้องสงสัย หลินสวินผู้นี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศโดยแท้ ด้วยอายุเพียงสิบกว่าปีก็สามารถทำได้ขนาดนี้ มองไปทั่วนครต้องห้าม น่ากลัวจะหาได้เพียงไม่กี่คน!


“เวรเอ๊ย ไม่เจอกันสองปี เจ้าหมอนี่ยิ่งวิปริตไปแล้ว!”


หนิงเหมิงอดกลั้นไม่อยู่โพล่งสบถออกมา ก่อนหน้านี้ยังกังวลแทนหลินสวินอยู่เลย ใครจะไปคิดว่าหลินสวินกลับแสดงอานุภาพน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ออกมาได้


สืออวี่ กงหมิงและเย่เสี่ยวชีก็แสดงท่าทีเห็นด้วยอยู่ลึกๆ หลินสวินเจ้าหมอนี่มีความกล้าเหนือมนุษย์ไม่ต่างจากตอนนั้น สมกับที่…สร้างเรื่องบ้าๆ ราวปาฏิหาริย์ในค่ายกระหายเลือดอยู่บ่อยครั้ง!


“เด็กคนนี้…ทำไมเก่งกาจได้ขนาดนี้นะ”


หลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ที่อยู่ในห้องรับรองหนึ่งแสดงสีหน้าหวั่นไหว ก่อนหน้านี้พวกเขายังสับสน เพราะกลัวว่าฮวาอู๋โยวจะฆ่าหลินสวินในเวลาอันสั้น


แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นหลินสวินและฮวาอู๋โยวต่อสู้กันอย่างสูสี พวกเขาก็ไม่สบายใจเสียแล้ว


ถึงขั้นที่ในใจเกิดจิตสังหารรุนแรงขึ้น เพราะพวกเขารับรู้ได้ว่า หลินสวินที่อ่อนวัยเช่นนี้ยังน่าตื่นตะลึงได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเขาเติบใหญ่ขึ้นมาแล้วจะขนาดไหน


แต่ในที่สุดพวกเขาก็อดกลั้นไว้ได้ การต่อสู้ยังไม่จบลง ตอนนี้ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรยังนับว่าเร็วไปนัก


“น่าชังนัก! น่าชังนัก! เจ้าหลินสวินนี่ต้องตาย ปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไปไม่ได้เด็ดขาด!”


ฮวาอู๋เหินตะโกนเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงสะท้อนก้องห้องรับรองไม่หยุดหย่อน การแสดงออกของหลินสวินทำให้เขารู้สึกได้ถึงเภทภัยรุนแรง


ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ที่ต้องการสังหารหลินสวินก็เพื่อรักษาหน้า เช่นนั้นตอนนี้ ไม่เพียงเพราะรักษาหน้าเท่านั้น แต่ต้องการกำจัดอันตรายใหญ่หลวงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ให้สิ้นซาก!


คิดดูเถิด หลินสวินที่เพิ่งมีอายุได้สิบกว่าปีก็เป็นปีศาจเช่นนี้แล้ว ถ้าฆ่าเขาไม่ได้ ภายหลังย่อมกลายเป็นหนามยอกอกชิ้นใหญ่แน่นอน!


ยามนี้ จากความแข็งแกร่งที่หลินสวินแสดงออกมา ทำให้คนใหญ่คนโตมากมายรวมถึงผู้โดดเด่นรุ่นเยาว์ที่ชมการต่อสู้นี้อยู่ต่างเกิดความคิดมากมายแตกต่างกัน


ฮวาอู๋โยวก็เช่นกัน


จิตสังหารในใจยิ่งลุกโชนและแน่วแน่ยิ่งขึ้น


เมื่อแรกเริ่มประลองนางไม่เคยเห็นหลินสวินในสายตาสักนิด แต่ตอนนี้นางเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามเป็นปีศาจน้อยที่น่าเกรงกลัวเพียงใด


ชิ้ง!


กระบี่วิญญาณที่แผดเผาแดงชาดปานโลหิตทะยานขึ้นกลางอากาศ แล้วหล่นลงสู่มือขาวสะอาดราวหยกของฮวาอู๋โยว สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดหาใดเทียบ


ในเวลาเดียวกันนั้น จิตกระบี่ท่วมท้นยากบรรยายก็หมุนควงครืนครันออกมาจากร่างสูงโปร่งของนาง สั่นสะเทือนห้วงอากาศ


แค่เพียงพลังอำนาจก็พาให้อากาศทั้งสี่ทิศเกิดเสียงครวญ!


กระบี่เลื่องชื่อ ‘เมฆาสีชาด’


กระบี่ชื่อดังเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากบรรพชนตระกูลฮวา!


เสียงอึกทึกในที่นั้นพลันเงียบเชียบ ทุกคนมองตาค้าง รับรู้ได้ว่าฮวาอู๋โยวบันดาลโทสะถึงที่สุดแล้ว ต่อจากนี้นางย่อมแสดงฝีมือก้นกรุที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา!


 

 

 


ตอนที่ 374

 

 ประหนึ่งเซียนประทับดาบ

โดย

ProjectZyphon

กระบี่เมฆาสีชาดอยู่ในมือ ฮวาอู๋โยวยิ่งปราดเปรียวดุดัน


สวบ!


ในเสี้ยววินาทีนั้น เงากระบี่เต็มฟ้าแหวกขึ้นกลางอากาศ ราวแสงเพลิงยิงพุ่งปะทะทั่วฟ้าดิน ปกคลุมหลินสวินไปทั้งตัว


“กระบี่เงาชาดไร้รูปของตระกูลฮวา!”


“เพียงคนเดียวกลับฝึกสามวิชาใหญ่ที่สืบทอดมาในตระกูลฮวา พลังแท้จริงกับพรสวรรค์น่าตกใจนัก!”


“วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะหลินสวิน น่ากลัวว่าคนคงไม่คิดว่าวิชาสังหารที่แท้จริงของฮวาอู๋โยวจะเป็นเคล็ดวิชาดาบโบราณที่สืบทอดมาหรอก”


ในขณะทั่วลานประลองเต็มไปด้วยความตกตะลึงในวิชาที่ฮวาอู๋โยวแสดงออกมานั้น ก็ได้ยินเสียงดาบครวญราวมังกรคำรามดังขึ้น


ชิ้ง!


ลำแสงสีดำราวรัตติกาลนิรันดร์ปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศ ดาบเวทเรืองแสงเวลานี้พุ่งออกจากฝักอย่างอุกอาจ


ในเวลาเดียวกัน พลังน่ากลัวราวภูเขาไฟที่คุกรุ่นมานานก็พลันระเบิดออกมาจากร่างหลินสวิน


แต่ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจก็คือ ยามพลังของเขาเพิ่มสูงขึ้นถึงขีดสุด กลับปรากฏกลิ่นอายเรียบง่ายว่างเปล่าของ ‘หมื่นลักษณ์ไร้รูป’ แบบหนึ่ง


ถ้ากล่าวว่าหลินสวินก่อนหน้านี้เป็นพายุสูงใหญ่ที่ทำลายล้างอย่างป่าเถื่อนบ้าคลั่ง เช่นนั้นหลินสวินที่ยกดาบขึ้นในตอนนี้ ท่าทีกลับแปรเปลี่ยนเป็นละสิ้นกิเลสเหนือธรรมดา


กลิ่นอายราวเมฆาลอยละล่องกระจัดกระจาย เงียบเชียบราวเซียนประทับดาบ ไม่แปดเปื้อนมลทินแม้สักนิด


ผู้คนอดตื่นตะลึงไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าสู้มาถึงเวลานี้ หลินสวินที่เพิ่งอยู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นก็ซุกซ่อนพลังไว้ไม่แสดงออกมาเช่นกัน!


เมื่อมองดูท่วงท่ายามเขาถือดาบ ดูสงบนิ่งสุขุมราวเมฆาล่องลอย แต่กลิ่นอายที่ไม่เหมือนใครนั้นกลับพาให้ทุกคนยิ่งหวาดกลัว


โครม!


หลินสวินจับดาบในมือ เงาดาบเริงระบำ ราวมหาสมุทรกว้างถาโถมรุนแรง ดั่งทางช้างเผือกม้วนตลบ ในชั่วพริบตาก็ทำให้ฝนกระบี่เพลิงเต็มฟ้านั้นสลายเป็นผุยผง หายไปอย่างไร้ร่องรอย


เห็นท่าทางผ่อนคลายสบายใจของเขา ทำให้ทุกคนไม่กล้าเชื่อว่า กระบี่เงาชาดไร้รูปที่ได้ชื่อว่าเป็นวิชาลับที่สืบทอดมาในตระกูลฮวาจะถูกสลายได้อย่างง่ายดายปานนี้


“ชนรุ่นหลังน่ากลัวนัก!”


มีผู้อาวุโสถอนหายใจรำพึงรำพัน


ไม่ว่าจะเป็นฮวาอู๋โยวหรือหลินสวิน ตั้งแต่เริ่มต่อสู้มาถึงตอนนี้ ล้วนแสดงความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัวเกินธรรมดาออกมา น่าตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ พาให้ผู้คนสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน


แม้การต่อสู้ครั้งนี้จะยังไม่ปิดฉากลง แต่ก็เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองคนนี้เหนือล้ำปานใด ในรุ่นเดียวกันนั้น สามารถเรียกได้ว่าโดดเด่นยอดเยี่ยม!


“หึ!”


ฮวาอู๋โยวมีสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง ยกกระบี่ขนานกับท้องฟ้า ห่ากระบี่สีชาดราวพายุคลั่งหมุนวนไร้รูปร่าง พาให้คนไม่สามารถคาดเดาได้


แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะย้อนกลับในเวลานี้!


หลินสวินถือดาบไว้ในมือ ท่วงท่าละกิเลสราวเซียนที่ถูกขับลงสู่โลกมนุษย์ เยื้องย่างบนลานประลอง คมดาบสง่างามยากสังเกต ราวละมั่งเร้นกายไม่อาจตามรอย


ตูม! ตูม! ตูม!


แทบจะไม่ต่างจากที่คาด เห็นเพียงห่ากระบี่เพลิงที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อนนั้นถูกบดสลายไปทีละแถบ ราวเพลิงลุกโชนผลิบานบนพื้นลานประลอง


ส่วนหลินสวินเดินฝ่าเข้าไปกลางห่าฝนราวกับเยื้องย่างในสวน ทุกที่ที่คมดาบแหวกว่าย ล้วนถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง


น่ากลัวไปแล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นกระบวนท่าดาบธรรมดา แต่พออยู่ในมือหลินสวินกลับระเบิดพลังเกินจินตนาการโดยสิ้นเชิงออกมา


ความเข้าใจและการควบคุมวิชาดาบของเขาพาให้คนใหญ่คนโตมากมายล้วนใจสั่นระรัว มองตาค้าง อึกอักพูดอะไรไม่ออก


วิชากระบี่เงาชาดไร้รูปของฮวาอู๋โยวนั้นน่ากลัวปานใด หากเป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณรุ่นหลังทั่วไป น่ากลัวคงถูกสังหารสิ้นกลางลานประลองในพริบตา


แต่ตอนนี้ ต่อหน้าหลินสวิน กลับดูประหนึ่งไม่ใช่การโจมตีด้วยซ้ำ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงสักนิด!


การพลิกผันนี้รวดเร็วยิ่งนัก พาให้คนมึนงง


ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แม้หลินสวินจะสามารถสู้กับฮวาอู๋โยวได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกเล่นงานอยู่ตลอด


แต่บัดนี้ ทุกอย่างพลิกผันไปแล้ว!


ตูม! ตูม! ตูม!


ยามห่ากระบี่ทั่วฟ้าปรากฏ ก็ถูกหนึ่งคมดาบบดขยี้ แสดงให้เห็นถึงพลังแข็งแกร่งเพียงไหน ภาพการณ์เช่นนั้นพาให้คนตื่นตะลึง


มาถึงตอนนี้ ผู้คนในที่นั้นล้วนนั่งไม่ติด เสียงร้องตกตะลึงดังไปทั่ว สีหน้าเต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน


ความแข็งแกร่งของหลินสวินเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปอีกครั้ง เกินจินตนาการนัก!


โครม


ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮวาอู๋โยวถูกคมดาบทำให้ไหวสะเทือนถอยไป ใบหน้าพริ้มพรายพลันซีดขาว


เวลานี้สีหน้าของนางไม่ได้หยุดอยู่ที่เย็นเยียบ แต่เป็นแข็งทื่ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาราวดารานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะเชื่อได้


เป็นไปได้อย่างไร!


เด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นเช่นเขา เหตุใดถึงได้ครอบครองพลังดาบที่น่ากลัวขนาดนี้ได้


ฮวาอู๋โยวตกใจระคนสงสัย ยิ่งไม่ชอบใจ การลงมือปราดเปรียวดุดันน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น ราวอสุรีที่บันดาลโทสะถึงขีดสุด กระบี่เมฆาสีชาดในมือส่งเสียงกระบี่คำรามหนักหน่วง


แต่ไม่นานนักนางกลับถูกผลักกระเด็นถอยไปอีกครั้ง ผมดำขลับข้างหูถูกตัดออก อีกนิดเดียวก็จะตัดคอนางขาด!


ฮวาอู๋โยวหวาดหวั่น ใบหน้างามพริ้งเขียวคล้ำ นางกัดฟันกรอด ในใจเอ่อล้นไปด้วยไฟโทสะและความรู้สึกไม่ยินยอม บุกเข้าสู้ต่อ


ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ พรสวรรค์นางโดดเด่นเหนือใคร พ่ายแพ้น้อยครั้งนัก ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ล้ำเลิศในหมู่คนรุ่นเยาว์ในตระกูล ถ้าครั้งนี้มาแพ้เด็กหนุ่มอย่างหลินสวินท่ามกลางสายตานับหมื่น ย่อมเป็นความอับอายครั้งใหญ่!


การต่อสู้ยิ่งโหดร้ายยิ่งขึ้น


หนึ่งดาบ หนึ่งกระบี่ ผลัดกันห้ำหั่นกลางลานประลอง สะเทือนสภาพอากาศแปดทิศ ผู้ชมในลานประลองล้วนดวงตาพร่างพราย จิตใจไหวหวั่นแทบลืมหายใจ


ศึกนี้ไม่เพียงตื่นตาตื่นใจ ยังเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แท้จริง!


เพียงแต่ว่า ทุกสายตาในตอนนี้กลับจับจ้องไปที่หลินสวิน


เกินความคาดหมายไปแล้ว!


ใครก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่า หลินสวินที่พวกเขาเห็นว่าอ่อนแอรนหาที่ตาย ไม่เพียงสามารถต่อสู้กับฮวาอู๋โยวอย่างสมน้ำสมเนื้อ ในท้ายที่สุดกลับพลิกสถานการณ์ใหญ่โตเกินความคาดหมาย!


ผู้ใดก็คาดไม่ถึง


“วิปริตแล้ว วิปริตไปแล้ว! เวรเอ๊ย! ถ้าเขาไปเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรก่อนหน้านี้ได้ อาศัยความสามารถในการต่อสู้ขั้นนี้ คงคว้าห้าอันดับแรกมาได้ง่ายเหมือนล้วงกระเป๋าหยิบของแน่!”


หนิงเหมิงร้องเสียงหลงไม่หยุดหย่อน ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกภายในจิตใจได้อีกแล้ว


“ให้ตายสิ! ก่อนหน้านี้ทำให้ข้ากังวลแทนเขาแทบตาย มาดูตอนนี้ เจ้าบ้านี่มั่นใจอยู่ก่อนแล้ว จงใจให้ข้าเป็นตัวตลกล่ะสิ!”


สืออวี่ก็กัดฟันกรอด


กงหมิงกับเย่เสี่ยวชีอดยิ้มเจื่อนไม่ได้ พวกเขาก็ไม่คิดเช่นกันว่า ไม่ได้พบกันสองปี หลินสวินจะร้ายกาจกว่าสมัยอยู่ค่ายกระหายเลือดเสียอีก ดูเอาเถอะ ใช้ปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นก็เริ่มกำราบฮวาอู๋โยวได้ ใครจะไปเชื่อ


ในอีกห้องรับรองหนึ่ง หลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ล้วนสีหน้าคล้ำเคร่งนิ่งขรึม บรรยากาศเงียบเชียบจนน่ากลัว


“เด็กคนนี้…เด็กคนนี้…ควรฆ่าให้ตาย! ต่อให้ไม่ได้ภูเขาชำระจิต ก็ปล่อยให้ภัยร้ายแบบเขาเติบใหญ่ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นคงทำให้ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่!”


ครู่หนึ่งหลินเทียนหลงก็พูดประโยคนี้ลอดไรฟันออกมา สีหน้าถมึงทึงบูดเบี้ยว เผยให้เห็นจิตสังหารหนาแน่นไร้ที่สิ้นสุด


ความสามารถของหลินสวินโดดเด่นสะดุดตาเกินไป อายุเพิ่งสิบกว่าปีเท่านั้น ก็สามารถกำราบฮวาอู๋โยวผู้ลือชื่อทั่วนครต้องห้ามอยู่ก่อนแล้วได้


ถ้าปล่อยให้หลินสวินเติบใหญ่ แล้วจะร้ายกาจขนาดไหน


ถ้อยคำนี้ของหลินเทียนหลงทำให้สีหน้าหลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้เคร่งเครียดยิ่งขึ้น จิตใจว้าวุ่นไม่สงบ


“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ทำไม ทำไมกัน”


ในเวลาเดียวกันนั้น ฮวาอู๋เหินราวถูกฟ้าผ่า สีหน้าแปรปรวน ไม่อาจคาดคิดได้ว่าพี่รองฮวาอู๋โยวที่เก่งกล้าสามารถราวกับเทพีสงครามนั้น จะไม่เพียงสังหารหลินสวินไม่ได้ กลับตกอยู่ในอันตรายในขณะนี้!


เช่นนี้ฮวาอู๋เหินจะรับได้อย่างไรกัน


เสียงถกเถียง เสียงเซ็งแซ่ เสียงร้องตกใจพวกนี้ เวลานี้ดังขึ้นทั่วสังเวียนสวรรค์ยุทธ์เสียงแล้วเสียงเล่า เห็นได้ว่าอานุภาพของหลินสวินเกินธรรมดา พาให้พวกเขาสั่นสะท้านเพียงใด


“เริ่มสัมผัสประตูของขอบเขตการฝึกยุทธ์แล้วสินะ ในด้านนี้ฮวาอู๋โยวด้อยกว่าเขาแล้ว”


มีคนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสวิเคราะห์


“พูดว่าวิถียุทธ์ของเด็กคนนี้มหัศจรรย์อาจเป็นการกล่าวเกินจริงไปบ้าง แต่กระนั้นก็ไม่ห่างชั้นกันมากนัก ข้าเคยชมการทดสอบระดับอาณาจักรก่อนหน้านี้ไม่นาน หนุ่มสาวที่ได้ห้าอันดับแรก ไม่มีสักคนที่จะทำได้ถึงขั้นนี้”


“สายเลือดท่านเต้าเฉินมีผู้สืบทอดแล้วสิ!”


“ถ้าเด็กคนนี้โผล่ขึ้นมากะทันหัน เหตุนองเลือดวุ่นวายเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นน่ากลัวจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เกรงว่า…หลายคนไม่ต้องการเห็นภาพนั้นเกิดขึ้น”


คนใหญ่คนโตบางคนแลกเปลี่ยนกัน


เวลานี้ ในลานประลองพลันเกิดเสียงร้องตกใจดังขี้น


เห็นเพียงบนลานประลองนั้น ดาบของหลินสวินแผ่กลิ่นอายไร้มลทินดุจแสงเรือง เพียงชั่วพริบตาก็บีบจนฮวาอู๋โยวต้องกระโดดหลบ!


ไม่ทันไรทั่วร่างของฮวาอู๋โยวก็เกิดบาดแผลจากคมดาบมากมาย เลือดสีแดงสดไหลริน ดูน่าสะท้านขวัญ


ฮู้ม!


และในเวลานี้เอง บนคมดาบของหลินสวินพลันเกิดประกายแสงราวราตรีนิรันดร์ ดั่งรัตติกาลคลี่ม่านเข้าปกคลุม ดวงดาวสุกสกาวร่วงหล่น เกิดเป็นภาพนิมิตวันสิ้นโลกที่สามารถทลายฟ้าดินได้


กระบวนท่าคว้าดารา!


ลึกลงไปในดวงตาของหลินสวินเต็มไปด้วยจิตสังหารเยียบเย็นโหดเหี้ยม ศึกชี้เป็นชี้ตาย ย่อมชี้ขาดว่าใครจะตายใครจะอยู่ เขาไม่มีทางแสดงความเมตตาเด็ดขาด


ในใจหลินสวินมิแบ่งชายหญิง เพียงแบ่งตนและศัตรู!


นอกจากนี้ ฮวาอู๋โยวผู้นี้ก็หวังจะฆ่าเขาที่นี่อยู่แล้ว เขาจะไว้ชีวิตอีกฝ่ายอย่างไม่จริงใจไปได้อย่างไรเล่า


ดังนั้นในชั่วขณะที่ดีที่สุดนี้ หลินสวินจึงใช้กระบวนท่าคว้าดารา!


ชั่วพริบตา เสียงอึกทึกในสังเวียนสวรรค์ยุทธ์พลันเงียบกริบ ตกอยู่ในบรรยากาศเงียบสนิท ทุกคนเบิกตากว้าง ไม่อาจทำใจเชื่อได้


หลินสวินผู้นี้…จะลงมือฆ่าคนจริงๆ หรือ!?


หรือเขาไม่กลัวจะผิดใจใหญ่หลวงกับตระกูลฮวา


อย่าว่าแต่ผู้อื่น แม้แต่พวกสืออวี่ หนิงเหมิงล้วนตกใจเกินคาด ความบ้าคลั่งร้ายกาจของหลินสวินพวกเขารู้มานานแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะยอมแตกหักขนาดนี้ได้!


แต่คิดไปคิดมา แค้นแล้วฆ่าศัตรูได้โดยไม่ต้องสนใจผลกระทบใดๆ เลย ความรู้สึกนี้…ช่างสาแก่ใจนัก!


“ไม่…!”


ที่น่าตลกก็คือ พวกหลินเทียนหลงในเวลานั้นกลับล้วนมีสีหน้าพรั่นพรึง ไม่ต้องการเห็นภาพฮวาอู๋โยวถูกฆ่าเกิดขึ้น


“พี่รอง!” ฮวาอู๋เหินสติกระเจิดกระเจิง ร้องเสียงหลง


แม้พูดแล้วเหมือนช้า ทว่าความจริงนั้นรวดเร็วยิ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว ในเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้ ดวงตาฮวาอู๋โยวอดฉายแววเลื่อนลอยไม่ได้


ไม่คาดคิดเลยว่าตนจะพ่ายแพ้จริงๆ นอกจากนี้ยังมีความตายเป็นจุดจบ…


“เจ้าหนุ่ม! เลิกแผลงฤทธิ์เสีย!”


เห็นเพียงดาบนี้ของหลินสวินลดลง ไม่ได้สังหารฮวาอู๋โยว ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า แรงกดดันน่ากลัวหาใดเปรียบสายหนึ่งจะพลันปกคลุมลานประลอง


เสียงตูมดังขึ้น ร่างหลินสวินไหวสะเทือนราวถูกฟ้าผ่า ดาบในมือพลันสลายไป


แทบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างผู้สูงวัยผอมแห้งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าฮวาอู๋โยว


ชายสูงวัยผู้นี้แต่งกายชุดม่วงทั้งตัว หนวดเคราผมเผ้าสีขาวเงิน นัยน์ตาในกระบอกตาลึกวาบประกายหมุนวนราวอสนีบาต


ฮวาเชียนเฉิงผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะแห่งตระกูลฮวา!


ผู้ชมในลานประลองฮือฮา ล้วนหน้าตาเหวอ ไม่คิดว่าผู้แข็งแกร่งตระกูลฮวาจะไม่สนหน้าตาเช่นนี้ ลงมือแทรกแซงการประลองระหว่างผู้ฝึกรุ่นเยาว์ด้วยตัวเอง!

 

 

 


ตอนที่ 375

 

 พยัคฆ์ร้ายแห่งจักรวรรดิ

โดย

ProjectZyphon

อึก!


หลินสวินกระอักเลือด เจ็บปวดไปทั่วร่าง


เมื่อกี้เขาโดนโจมตีกะทันหัน ถูกพลังน่าสะพรึงกลัวของระดับหยั่งสัจจะกดทับ ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย


ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเก็บดาบหลบออกมาได้ในช่วงเวลาสำคัญ เพียงการโจมตีเดียวนี้ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้!


พลังระดับหยั่งสัจจะ ได้เห็นเพียงส่วนเดียวก็รับรู้ถึงความแข็งแกร่งแล้ว!


ฮวาเชียนเฉิงเข้าโจมตีกะทันหัน ทำให้ทั้งลานประลองประหลาดใจ นี่เป็นศึกชี้เป็นชี้ตายที่ฮวาอู๋โยวเสนอขึ้น แต่ตอนนี้ พวกเขาตระกูลฮวากลับละเมิดกฎ น่าขายหน้าเกินไปแล้ว


ทว่าที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงคือ พอฮวาเชียนเฉิงพุ่งเข้าไปในลานประลองแล้วกลับไม่ได้ไปช่วยฮวาอู๋โยว แต่กลับกระโจนร่างเงื้อฝ่ามือแหวกอากาศซัดไปยังหลินสวิน


นี่มันเกินไปแล้ว!


“หน้าไม่อาย!” ผู้แข็งแกร่งอาวุโสหลายคนในที่นั้นเองก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้ แบบนี้เห็นชัดว่าต้องการใช้โอกาสนี้สังหารหลินสวินในคราวเดียว!


“น่ารังเกียจ!” พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเย็นเยียบไปทั่วร่าง ราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ความไม่ละอายและความร้ายกาจโหดเหี้ยมของฮวาเชียนเฉิงทำให้พวกเขาผิดคาดไป


“ต่ำทราม!” ขนาดผู้ชมที่ดูถูกหลินสวินก่อนหน้านี้บางคน เมื่อได้เห็นภาพนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ตระกูลฮวานี้กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!


ตูม!


แต่มาพูดอะไรเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว เห็นเพียงเมฆแสงน่าสะพรึงกลัวรวมตัวเป็นมือใหญ่สีดำตบลงมา บดขยี้ห้วงอากาศครั่นครืน


หลินสวินที่มีเพียงปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว เลือดลมราวถูกแช่แข็ง ประหนึ่งมีภูเขาเทพสูงตระหง่านกดทับร่างไว้


ไร้ทางหลบหนี!


ถึงขั้นที่พลังน่าสะพรึงกลัวที่เต็มเปี่ยมอยู่ในมือนี้ ทำให้หลินสวินยากจะมีความคิดจะต่อต้าน


ทว่า เผชิญเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ สีหน้าหลินสวินกลับไม่ตื่นตระหนก ยังคงสงบนิ่งอย่างเคย


เงาร่างของเขายืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ดวงตาสีดำปรากฏแววเยียบเย็นอย่างถึงที่สุด ในมือเขาปรากฏไข่มุกดำขลับแวววาวเพิ่มขึ้นมาเม็ดหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร


ฟิ้ว~


ไข่มุกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า โคจรหมุนคว้างเป็นวงกลม ปรากฏเป็นลวดลายลับที่สลับซับซ้อนและน่าพรั่นพรึง คลื่นขมุกขมัวน่ากลัวตลบอบอวลตามมา


ตูม!


เสียงดังสะท้านฟ้าดินกระหึ่มขึ้น บนลานประลองราวกับภูเขาทลายคลื่นยักษ์ซัดสาด เสาลำแสงทำลายล้างน่าหวาดหวั่นเสาหนึ่งพุ่งขึ้นมา บดขยี้ห้วงอากาศ ทำลายล้างกระแสลม


ลานประลองทั้งลานในเวลานี้สั่นสะเทือนไปทั่ว บังเกิดเสียงหวีดหวิวแหลมคมไม่อาจรับแรงไหวออกมา


ภาพนี้น่ากลัวยิ่งนัก ประหนึ่งผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะชั้นยอดกำลังแสดงพลานุภาพ ต้องการผลาญสิ้นฟ้าดิน กำราบภูผานทีอย่างกราดเกรี้ยว!


พลังทำลายล้างเกินจินตนาการนั้นพาให้ผู้ฝึกปราณทั้งลานประลองหลายคนส่งเสียงหวีดร้องพรั่นพรึงออกมา ตกตะลึงไม่หยุดหย่อน


ขนาดคนใหญ่คนโตเหล่านั้นยังอดสะท้านสะเทือน จิตใจสั่นไหวไปด้วยมิได้


ปัง!


ท่ามกลางฝุ่นละอองตลบอบอวล เงาร่างผอมแห้งของฮวาเชียนเฉิงถูกซัดกระเด็น ส่งเสียงร้องเจ็บปวดอย่างตื่นตระหนกและโมโห


เกิดเสียงดังตุ้บ ผู้ฝึกปราณยิ่งใหญ่ระดับหยั่งสัจจะเช่นเขากลับกระเด็นลงมาบนพื้นอย่างยับเยิน ปากพลันกระอักเลือดสีแดงสดออกมา!


ทั้งลานประลองนิ่งงัน ตาเบิกค้างพูดไม่ออก


หลินสวินผู้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต เดิมไม่มีแรงต้านทานได้นั้น กลับอาศัยเพียงไข่มุกเม็ดเดียวก็สลายเภทภัยที่จะปลิดชีพตนได้!


ทั้งยังทำร้ายฮวาเชียนเฉิงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะผู้ยิ่งใหญ่อย่างสาหัส!


นี่ก็คือพลังของไข่มุกสะเทือนสวรรค์


ไข่มุกนี้ก็คือสมบัติวิเศษที่ตะพาบเขียวหลอมขึ้นเพื่อฆ่าเวลาเมื่อครั้งถูกขังที่โบราณสถานบรรพกาล ตลอดเวลาพันปี ตะพาบเขียวหลอมออกมาเพียงเก้าเม็ดเท่านั้น อานุภาพแข็งแกร่ง เพียงพอที่จะทำร้ายผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะอย่างสาหัสได้!


ยามออกมาจากโบราณสถานบรรพกาล ตะพาบเขียวมอบให้หลินสวินอย่างใจกว้างไว้สามเม็ด หลินสวินเก็บไว้กับตัวมาโดยตลอด ไม่เคยมีโอกาสได้นำออกมาใช้


ทว่าตอนนี้ ฉับพลันที่นำออกมาใช้ ความแกร่งกล้าของพลานุภาพยังพาให้ใจหลินสวินสั่นไหวไม่หยุด แข็งแกร่ง แข็งแกร่งไปแล้ว! สมกับนาม ‘สะเทือนสวรรค์’!


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ถึงกับร้ายกาจปานนี้ วันนี้ข้าจะไม่สนเกียรติภูมิ อย่างไรก็ต้องสังหารเจ้าเสียที่นี่เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู!”


ฮวาเชียนเฉิงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ในสายตาผู้คนนับหมื่น เขามีฐานะเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะผู้ยิ่งใหญ่ กลับถูกหลินสวินทำร้ายกระเจิดกระเจิงด้วยไข่มุกเม็ดเดียว ถือเป็นความอัปยศอดสูยิ่ง!


โครม!


เสียงพูดไม่ทันเงียบลง ฮวาเชียนเฉิงก็ออกโจมตีอีกครั้ง หนวดเคราเผ้าผมของเขาสยายออกบ้าคลั่ง ดวงตาดุร้ายราวสายฟ้าฟาดแปลบปลาบ ความแข็งแกร่งของพลานุภาพพาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี


“เศษสวะ!”


เพียงแต่ชั่วขณะนี้ฮวาเชียนเฉิงได้สูญเสียโอกาสไปเสียแล้ว ระหว่างที่เขากำลังลงมือก็ได้ยินเสียงเย็นชาเคร่งขรึมดังขึ้น


เสียงนั้นราวกับเสียงปรามาสของเทพอัสนี สะท้านสะเทือนไปทั้งวิญญาณ


ฝูงชนเพียงรู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว เงาร่างสูงตระหง่านโหดเหี้ยมร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนลานประลอง มือใหญ่ดั่งพัดเข้าตะปบ


บังเกิดเสียงดังตูม ห้วงอากาศระเบิดกระจุย ร่างของฮวาเชียนเฉิงราวถูกมือใหญ่ไร้รูปร่างกุมไว้แล้วทุ่มลงพื้นอย่างโหดเหี้ยม กระดูกทั้งกายไม่รู้แตกไปกี่ซี่ ทั้งร่างหดเกร็ง เลือดไหลไม่หยุด


ทั้งลานประลองเงียบสนิทไร้เสียง


ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังเงาร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก


ฮวาเชียนเฉิงเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ พลังแข็งแกร่งมหาศาลขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ในมือบุรุษร่างสูงตระหง่านผู้นี้ กลับเหมือนไม่มีฝีมือสมกับที่ร่ำลือ ถูกการโจมตีเดียวกำราบลงกับพื้น


โหดเหี้ยมดุดันเกินไปแล้ว!


พาให้คนไม่กล้าคาดคิด


เงาร่างสูงใหญ่นี้ก็คือจูเหล่าซาน เขามาด้วยกันกับหลินสวิน ย่อมไม่อาจทนเห็นฮวาเชียนเฉิงทำร้ายหลินสวินได้


“จูเหล่าซาน ฆ่าเขาซะ!”


หลินสวินเอ่ยปากอย่างไม่ลังเลด้วยเสียงเยียบเย็น


การประลองชี้เป็นชี้ตายแต่เดิม กลับถูกตาแก่นี่ยื่นมือเข้ามาขัดขวาง ไม่เพียงทำให้หลินสวินเสียโอกาสสังหารฮวาอู๋โยว ทั้งเกือบเอาชีวิตหลินสวินไปด้วย


ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินจะเกรงใจอยู่ได้อย่างไร


จูเหล่าซานพยักหน้าน้อยๆ แล้วย่างสามขุมไปยังฮวาเชียนเฉิง สีหน้าเย็นชา ใบหน้าไร้อารมณ์ เงาร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม เผยให้เห็นความหาญกล้าหาใดเทียม พาให้ฝูงชนทั้งลานประลองอดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้


หลินสวินผู้นี้โหดเหี้ยมเสียจริง!


ส่วนฮวาเชียนเฉิงผู้นั้นน่ากลัวจะคิดไม่ถึงว่า การที่เขาแทรกแซงเข้ามาในการต่อสู้นี้อย่างไม่สนหน้าตา กลับก่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้นกระมัง


“เจ้าสารเลวกำเริบเสิบสาน หรือจะรังแกจนตระกูลฮวาของข้าไร้คนไปเลย”


เสียงทุ้มต่ำน่ากลัวดังกึกก้องขึ้น ก็เห็นว่ามีบุรุษน่าเกรงขามสวมชุดสีขาวยืนอยู่ด้านหน้าฮวาเชียนเฉิงแล้ว


เขาสวมชุดแขนกว้างคาดเอวด้วยเข็มขัดหนา ท่วงท่าสง่างาม ยืนอย่างสบายอยู่ตรงนั้น มีความน่ายำเกรงไร้รูปร่างแบบหนึ่ง ราวราชันผู้อยู่เบื้องบนมานานมองลงมายังใต้หล้า


ฮวาชิงหลิน!


ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะที่มีชื่อเสียงร่ำลือแห่งตระกูลฮวา ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพโทแห่งกรมทหาร ออกศึกมาห้าสิบปี ฆ่าศัตรูไม่รู้เท่าไร มือทั้งสองย้อมไปด้วยเลือด ถือเป็นหนึ่งใน ‘พยัคฆ์ร้ายทั้งห้าแห่งจักรวรรดิ’!


เห็นฮวาชิงหลินออกหน้า ผู้คนในลานประลองอดสูดลมหายใจเย็นเยียบไม่ได้ เรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในการประลองวันนี้ นั้นน่าตื่นตระหนกไปแล้ว!


“เฮอะๆ เป็นพวกเจ้าต่างหากที่รังแกคนอื่นมากไป”


หลินสวินหัวเราะเบาๆ ในดวงตาดำมีแต่ความเย็นชา “กฎนั้นพวกเจ้าตระกูลฮวาเป็นผู้กำหนด แต่กลับถูกพวกเจ้าทำลายเอง ไร้ยางอายไปแล้ว”


หลินสวินชั่วขณะนี้เดือดดาลเสียแล้ว ไม่สนใจสักนิดว่าฮวาชิงหลินผู้นั้นมีฐานะชั้นใด “ถ้าเพียงเท่านี้ก็คงไม่เป็นอะไรมากนัก แต่พวกเจ้าตระกูลฮวากลับให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมาฆ่าข้าที่เป็นผู้เยาว์คนหนึ่ง เหอะๆ ข้ายังไม่เคยพบเคยเห็นคนแก่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน”


วาจาไร้ความเกรงใจ ขาดแค่ไม่ได้ชี้หน้าด่าเท่านั้น


คิดไปก็จริงอยู่ ที่นี่เป็นถึงสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ในเมื่อนัดประลองแล้วก็ต้องทำตามกฎ!


แต่ในสายตาฝูงชนนับหมื่นนี้ ตระกูลฮวากลับพูดอย่างทำอย่าง เหยียบย่ำกฎเกณฑ์ ดูหมิ่นทุกสิ่ง เรื่องเช่นนี้หากเกิดกับผู้ใดเข้าจะไม่เดือดดาลได้อย่างไร


ฮวาชิงหลินหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าหนู เจ้านี่รนหาที่ตาย!”


เขาดูเหมือนสง่าผ่าเผย แต่แท้จริงกลับเป็นคนโหดเหี้ยม มิเช่นนั้นคงไม่สามารถถูกจัดอยู่ใน ‘พยัคฆ์ร้ายทั้งห้าแห่งจักรวรรดิ’ ได้


เสียงเพิ่งเงียบลง บรรยากาศรอบกายเขาพลันเปลี่ยนผัน ราวกับแปลงกายเป็นราชันที่ออกศึกในสนามรบ เต็มไปด้วยจิตสังหารกระหายเลือดร้ายกาจ


แทบจะในเวลาเดียวกัน ดวงตาของจูเหล่าซานฉายแววเยียบเย็นน่าตกใจ ร่างสูงใหญ่สะเทือนเลือนลั่นเต็มไปด้วยไอพิฆาตเลือดเหล็ก


“หือ ดูออกว่าเจ้าก็เป็นมือดีในสนามรบ เหตุใดถึงเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเจ้าเด็กนี่ ถอยไปซะ มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษประหารเจ้าตามกฎทหาร!”


เมื่อสัมผัสได้ถึงไอพลังของจูเหล่าซาน ฮวาชิงหลินหรี่ตาลง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นราวกับแม่ทัพผู้บัญชาพลหมื่นม้ากำลังออกคำสั่ง


“ข้าออกจากกองทัพมาหลายปีแล้ว เจ้าคิดจะให้ข้าถอย คงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ” จูซานเฉยชา


“เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!” ฮวาชิงหลินส่งเสียงฮึเยียบเย็น


ขณะที่การประลองระหว่างยอดผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะกำลังจะปะทุ ในเวลานี้เองมีเสียงถอนหายใจดังขึ้น


“แม่ทัพฮวา สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ไม่ใช่อาณาเขตของพวกเจ้าตระกูลฮวาเสียหน่อย”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมชุดแพรหรูหรา ท่าทางมั่งมี สวมหมวกกลมเล็กบนหัว ปรากฏตัวขึ้นบนลานประลอง


สองมือของเขาซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ราววาณิชผู้สัตย์ซื่อคนหนึ่ง แสดงสีหน้าจนใจ


แต่คนที่รู้จักชายวัยกลางคนผู้นี้กลับไม่มีใครกล้าดูแคลนเขา เพราะเขาแซ่จ้าว นามว่าไท่ไหล เป็นเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์แห่งนี้!


ที่สำคัญที่สุดคือ จ้าวไท่ไหลยังเป็นราชนิกุล!


เมื่อเขาปรากฏตัว ผู้คนมากมายล้วนอดประหลาดใจไม่ได้ จ้าวไท่ไหลเป็นคนไหลลื่นไม่ล่วงเกินใคร น้อยนักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งขั้นนี้


แต่ตอนนี้เขากลับปรากฏตัวขึ้นอย่างผิดวิสัย ทั้งยังเข้าห้ามฮวาชิงหลิน นี่ช่างพิกลนัก


“เจ้า…ต้องการหยุดข้าหรือ”


ฮวาชิงหลินอดขมวดคิ้วไม่ได้


“เป็นพวกเจ้าตระกูลฮวาละเมิดกฎก่อน ข้ามาเพราะไม่อยากให้เรื่องนี้เลวร้ายลงไปอีก”


จ้าวไท่ไหลถอนหายใจอย่างไม่พอใจ


“ถ้าข้าไม่ยอมเล่า”


ฮวาชิงหลินสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง คนอื่นอาจหวั่นเกรงฐานะของจ้าวไท่ไหล แต่เขาไม่กลัว ราชนิกุลก็มีหลายประเภท บังเอิญว่าราชนิกุลอย่างจ้าวไท่ไหลไม่ควรค่าให้เขาได้ยำเกรง


ฝูงชนในที่นั้นล้วนตะลึงไปพอควร ฮวาชิงหลินผู้นี้ก็แข็งกร้าวนัก เห็นกันอยู่ว่าพวกเขาตระกูลฮวามีความผิดซึ่งหน้า แต่ยังคงโอหังไม่เกรงกลัวดังเดิม พาให้คนประหลาดใจ


แต่นี่เป็นบุคลิกของคนในตระกูลฮวา ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด ตระกูลฮวานั้นขึ้นชื่อเรื่องความวางโตมาตลอด


“ไม่ ครั้งนี้แม่ทัพฮวาท่านต้องยอมรับ”


ที่เกินคาดคือจ้าวไท่ไหลในเวลานี้หนักแน่นถึงที่สุด สีหน้าไม่หวั่นไหว “นี่ไม่ได้เป็นท่าทีของข้าแต่เพียงผู้เดียว ขอให้แม่ทัพฮวาไตร่ตรองให้ดี”


ฮวาชิงหลินจิตใจสั่นวาบ ตกอยู่ในความนิ่งเงียบ


ฝูงชนในที่นั้นล้วนดูออกว่าคำนี้มีนัยแอบแฝง จ้าวไท่ไหลยับยั้งฮวาชิงหลินอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ ที่แท้ที่เขาแสดงออกมานั้น…


ย่อมไม่ใช่ท่าทีของเขาเพียงผู้เดียว!


พูดง่ายๆ ก็คือ มีคนให้จ้าวไท่ไหลออกหน้าแทนเพื่อยับยั้งทุกสิ่ง


แต่ว่าเป็นใครกันถึงสามารถสั่งการจ้าวไท่ไหลเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ผู้นี้ได้


“หึ!”


ในที่สุดฮวาชิงหลินส่งเสียงฮึดฮัด ดวงตาเย็นเยียบดั่งคมดาบกวาดไปยังหลินสวินรอบหนึ่ง แล้วพาฮวาเชียนเฉิงและฮวาอู๋โยวออกไปนอกลานประลอง


เห็นเช่นนี้ผู้ชมทั้งลานประลองก็ล้วนถอนใจโล่งอกเงียบๆ ถ้าฮวาชิงหลินบันดาลโทสะในเวลานี้ก็คงน่ากลัวยิ่งนัก


เห็นว่าการประลองคลี่ลายลงได้เช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว


อย่างไรเสีย ไม่ว่าอย่างไรหลินสวินก็รักษาชีวิตจากการเผชิญหน้ากับตระกูลฮวา ตระกูลทรงอำนาจที่แข็งกร้าวใช้อำนาจบาตรใหญ่ไว้ได้ ผลลัพธ์เช่นนี้ถือว่าดีมากแล้ว


แต่กระนั้นใครก็คาดไม่ถึงว่า ในเวลานี้จู่ๆ หลินสวินกลับเอ่ยปากอย่างหนักแน่นกังวาน “คิดจะไปงั้นหรือ ง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหน จูเหล่าซาน จัดการเขาให้ข้า!”


 

 

 


ตอนที่ 376

 

“คิดจะไปงั้นหรือ ง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหน จูเหล่าซาน จัดการเขาให้ข้า!”


เสียงดังกึกก้องทรงอำนาจ พลันก่อให้เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วลานประลอง


หรือเจ้าเด็กหลินสวินคนนี้ท่าจะบ้าไปแล้ว


ฮวาชิงหลินถอยกลับไปแล้ว เขากลับไม่คิดวางมือดังเดิมเช่นนี้ หรือต้องการสู้ชี้เป็นชี้ตายกับตระกูลทรงอำนาจอย่างตระกูลฮวาในเวลานี้จริงๆ


บ้าคลั่งเกินไปแล้ว!


“เจ้านี่ คิดอะไรอยู่กันแน่” พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างไม่เข้าใจ ตื่นตระหนกกับท่าทีใจกล้าของหลินสวิน


“เจ้าเด็กนี่ ใจมันหาที่ตาย!” พวกหลินเทียนหลงต่างงุนงง แล้วยิ้มหยัน พวกเขาหวังใจยิ่งให้หลินสวินทำเช่นนี้ ดีที่สุดคือให้ตระกูลทรงอำนาจอย่างตระกูลฮวาหมายหัวให้ตายไปเลย


“เจ้าหนูนี่ ไว้หน้าให้ก็ไม่เอา!”


ฮวาชิงหลินพลันหยุดเดิน สีหน้าสุภาพปรากฏจิตสังหารที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้


โครม!


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น จูเหล่าซานเคลื่อนไหวโดยไม่มีความลังเลใจใด พุ่งเข้าสังหารฮวาชิงหลิน


ราวกับเขาไม่สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว เชื่อฟังเพียงคำสั่งหลินสวิน ต่อให้หลินสวินสั่งให้เขาไปตาย ก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้สักนิด


เวลานี้ขนาดจ้าวไท่ไหลเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตะลึงงันอยู่เช่นนั้น


ใช่แล้ว เขาไม่คิดจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มหลินสวินผู้นี้จะโหดเหี้ยมร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ท่าทางราวไม่สนใจสิ่งใดเกินจากที่เขาคาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง


“ก่อเรื่องกันมากแล้ว พอเสียทีเถอะ!”


ไม่ทันที่ฮวาชิงหลินกับจูเหล่าซานจะเข้าต่อสู้กัน กลับมีสายรุ้งเส้นหนึ่งบินมาจากท้องฟ้าอย่างเหนือความคาดหมาย


นั่นเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง!


ตัวกระบี่คดงอดังกิ่งเหมย ทั้งเล่มขมุกขมัว เต็มไปด้วยรอยสนิมพร่างพร้อย


กระบี่ปรากฏขึ้นเหมือนตกลงมาจากฟากฟ้า


กระบี่ลดลงปักเข้าที่กลางลานประลอง ระหว่างฮวาชิงหลินกับจูเหล่าซานพอดี


ชั่วเสี้ยวลมหายใจ ทั้งสองคนต่างหยุดเท้า


แทบจะในเวลานั้นเอง เสียงสูงวัยดังแว่วขึ้น สะท้อนออกไปสี่ด้านแปดทิศ ผู้คนไม่อาจรู้ได้ว่าเปล่งออกมาจากที่ใด


ถึงกระนั้นฝูงชนในลานประลองเมื่อได้ยินเสียงนี้เข้า ใจก็เกิดความเกรงกลัว วิญญาณสั่นระรัว ไม่กล้าเอ่ยปากอีก


บรรยากาศกลับแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสนิทหาใดเปรียบในทันใด!


เมื่อมองกระบี่ประหลาดรูปร่างเหมือนกิ่งเหมยเต็มไปด้วยสนิมนี้ สีหน้าของฮวาชิงหลินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับทั้งตกใจและไม่ยินยอม


ส่วนจูเหล่าซานในเวลานี้ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นอีก


ราวกับกระบี่นี้มีเวทมนต์น่าสะพรึงกลัว เป็นตัวแทนของอำนาจไร้รูปร่าง ทำให้ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะอย่างฮวาชิงหลินและจูเหล่าซานต่างหวาดกลัวหาใดเปรียบ


คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสที่อยู่ในที่นั้นบางคนต่างหน้าเปลี่ยนสีเหมือนรู้ที่มาของกระบี่นี้ พากันตกอยู่ในความเงียบงัน


ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักกระบี่นี้นั้น เมื่อได้เห็นภาพนี้เข้าก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหา ตกใจระคนสงสัย


หลินสวินเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของกระบี่นี้เช่นเดียวกัน แต่เขาพอคาดเดาอะไรในใจได้แล้ว ดวงตาสีดำลุ่มลึกตกอยู่ในห้วงความคิด


ก่อนหน้านี้ที่เขาให้จูเหล่าซานลงมือโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้หวังจะตัดสินชี้เป็นชี้ตายกับฮวาชิงหลินจริงๆ


จุดมุ่งหมายแท้จริงก็เพื่อลองดูว่า ยามตนก่อเรื่องโดยไม่สนใจสิ่งใดนั้น จะดึงดูดคนใหญ่คนโตบางคนที่หลบซ่อนอยู่ออกมาได้หรือไม่


ดูจากตอนนี้ เขาได้ทำสำเร็จแล้ว


กระบี่ประหลาดลายพร้อยรูปร่างเหมือนกิ่งเหมย ย่อมเป็นสัญลักษณ์แทนฐานะอย่างหนึ่งแน่!


ที่หลินสวินอนุมานได้ถึงจุดนี้ ก็เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจ้าวไท่ไหล


เมื่อใคร่ครวญกับตนเองดู เขาไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน แต่อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาสุดท้าย สลายการต่อสู้ทวงแค้นของฮวาชิงหลิน


อีกทั้งจ้าวไท่ไหลยังพูดว่า ที่เขาทำทั้งหมดนี้ ‘ไม่ได้เป็นท่าทีของเขาแต่เพียงผู้เดียว’ นั่นย่อมพิสูจน์แล้วว่า มีคนบงการให้จ้าวไท่ไหลทำเช่นนี้!


ชั่วพริบตานั้นก็ทำให้หลินสวินสงสัยว่า ผู้ที่อยู่ในเงามืดนั้นน่ากลัวจะเป็นคนใหญ่คนโตจากเบื้องลึกสุดของราชวงศ์!


ภาพตรงหน้าทั้งหมด ได้พิสูจน์จุดนี้รางๆ โดยไม่ต้องสงสัยแล้ว


“แยกย้ายเถอะ!” เสียงสูงวัยนั้นแว่วขึ้นราวออกคำสั่ง


ฮวาชิงหลินสูดหายใจลึก ถึงขั้นประสานมือขึ้นคารวะกระบี่เหมยลายพร้อยบนพื้นนั้นแล้วค่อยหันกายเดินออกไป


“กลับมาเถอะ จูเหล่าซาน”


หลินสวินก็เอ่ยปาก เขาบรรลุเป้าหมายแล้ว รามือได้แล้ว


เห็นเช่นนี้ฝูงชนในที่นั้นก็ราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน สีหน้าทั้งสะท้านตกใจและงุนงง การประลองระหว่างคนรุ่นเยาว์ เหตุใดจึงพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้


แต่ไม่ว่าอย่างไร การประลองครั้งนี้ก็ปิดฉากลง ณ จุดนี้


จบลง ก็หมายความว่ารู้ผลแพ้ชนะแล้ว


ฮวาอู๋โยวย่อมพ่ายแพ้ แม้ว่าสุดท้ายนางจะไม่ถูกสังหาร แต่การต่อสู้วันนี้ สำหรับนางแล้วย่อมเป็นการกระทบกระเทือนที่หนักหน่วงถึงที่สุด


ส่วนหลินสวินนั้น ย่อมอาศัยชัยชนะจากการต่อสู้นี้สร้างชื่อสะเทือนนครต้องห้าม กลายเป็นผู้กล้าที่ไม่อาจมีใครเพิกเฉยได้ผู้หนึ่ง!


เช่นเดียวกัน ในการประลองนี้ ชื่อเสียงของตระกูลมากอำนาจอย่างตระกูลฮวาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เป็นถึงหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง กลับผิดคำพูดตนเอง เหิมเกริมเหยียบย่ำกฎการประลอง นี่เป็นมลทินที่ไม่อาจชำระออกไปได้ เป็นการกระทำน่ารังเกียจ


โดยเฉพาะฮวาเชียนเฉิงและฮวาชิงหลิน ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะทั้งสองคนที่ปรากฏกายบนลานประลองอย่างต่อเนื่อง หมายจะทำร้ายผู้เยาว์อย่างหลินสวิน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ โหดร้ายไร้เหตุผลเกินไป


แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ตระกูลฮวาอย่างไรก็เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เสมือนสิ่งของมหึมาที่ไม่อาจทำให้สั่นคลอนได้ นอกจากได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีแล้ว ไม่มีทางโจมตีพวกเขาได้อย่างแท้จริง



“เจ้าหนู ตอนนี้พอใจแล้วล่ะสิ”


เมื่อหลินสวินออกมาจากลานประลองก็พบเข้ากับจ้าวไท่ไหล ฝ่ายหลังสีหน้าไม่พอใจยิ่ง ราวกับโทษที่หลินสวินหาเรื่องให้ตนลำบาก


“ไม่พอใจขอรับ”


ใครจะคาดคิด หลินสวินกลับหัวเราะแล้วพูดว่า “นอกจากท่านจะบอกข้าว่า เหตุใดกันแน่ท่านถึงต้องออกหน้ายับยั้งทุกอย่างนี้”


“เจ้าตรึกตรองเอาเองเถิด!”


สีหน้าของจ้าวไท่ไหลเหนื่อยหน่าย “ไปๆๆ เจ้าหนูเจ้าก่อเรื่องขนาดนี้ หาเรื่องให้ข้าวุ่นวายยกใหญ่ เป็นตัวหายนะดีๆ นี่เอง ข้าล่วงเกินไม่ไหว หรือกระทั่งจะหลบเลี่ยงก็หลบไม่ได้เลยหรือ”


หลินสวินหัวเราะขื่น ถูกไล่ตลอดทาง


ทว่าก่อนจากไป จ้าวไท่ไหลกลับพลันพูดขึ้นว่า “ถ้าคิดก่อเรื่อง ภายหน้าก็ไปก่อเรื่องที่สำนักศึกษามฤคมรกตสิ ถ้าเจ้าก่อเรื่องที่นั่นจนสะเทือนฟ้าดิน ถึงจะเรียกได้ว่ามีของจริงๆ”


หลินสวินอึ้งไป “ผู้อาวุโส นี่เป็นคำพูดที่คนอื่นไหว้วานให้ท่านฝากถึงข้าหรือขอรับ”


จ้าวไท่ไหลกลับไม่สนใจเขาอีก หันหน้าเดินจากมาแล้วหายลับไป


หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตกอยู่ในห้วงความคิด


ก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินหรือ


ก่อนเขาเหยียบย่างเข้านครต้องห้าม ก็เคยมีคนใหญ่คนโตจากราชวงศ์ส่งจดหมายบอกเขาว่า ในนครต้องห้ามนี้ เขาสามารถก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้เต็มที่!


เมื่อเชื่อมโยงทุกสิ่งที่ได้ประสบในวันนี้ รวมถึงท่าทีคลุมเครือของจ้าวไท่ไหล หลินสวินสังหรณ์ว่า ทั้งหมดนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตในราชวงศ์ท่านนั้น!


‘การประลองครั้งนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้มีอำนาจมากมายเช่นนี้ได้ เบื้องหลังย่อมไม่ธรรมดาแน่…’


หลินสวินขบคิด



หอสรวลทรัพย์ ในพลับพลานพนภา


สถานที่เดียวกัน เมื่อเทียบกับสามวันก่อน มีเพียงสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิง เย่เสี่ยวชีและหลินสวินห้าคน แต่บรรยากาศครึกครื้นกว่าวันนั้นมากนัก


บุรุษอยู่ด้วยกันย่อมหนีไม่พ้นการร่ำสุรา


ก็เหมือนยามสตรีอยู่ด้วยกัน ย่อมหนีไม่ไม่พ้นการพูดคุยเรื่องความสวยความงาม


เพื่อฉลองให้หลินสวิน สืออวี่นำ ‘น้ำค้างหยกเปลวน้ำแข็ง’ ที่เทพเศรษฐีบิดาของตนเก็บถนอมไว้อย่างดีมาด้วยสองไหเต็มๆ ราคายากประเมินนัก ทุกคนดื่มกินกันอย่างเต็มที่ สนุกสนานครื้นเครง


การต่อสู้วันนี้ของหลินสวินถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ลือลั่นที่สุดในนครต้องห้ามปีนี้ การต่อสู้นี้มีจุดน่าสนใจมากมายนัก และหลินสวินในฐานะที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด ทำให้เพื่อนอย่างพวกสืออวี่ล้วนภูมิใจ ราวกับได้รับเกียรติไปด้วย


ดื่มกินมานานพอสมควร งานเลี้ยงใกล้เลิกรา


สืออวี่ดวงตาฉ่ำเยิ้มพร่ามัวพูดขึ้นว่า “ตอนออกมาจากสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ข้าบังเอิญเจอไป๋หลิงซีกับจ้าวหยินเข้า พวกเจ้ารู้ไหมว่าไป๋หลิงซีวิจารณ์การต่อสู้นี้ไว้เช่นไร”


ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ ไป๋หลิงซีถือเป็นผู้กล้าหญิงชั้นยอดของค่ายกระหายเลือด ทั้งยังได้ลำดับที่สามในการทดสอบระดับอาณาจักร ภูมิหลังใหญ่โต ถ้าได้ฟังความเห็นของนาง คงดีไปกว่านี้มิได้แล้ว


“แหะๆ นางบอกว่าหลินสวินเหมือนเมื่อก่อนเลย” สืออวี่พูดปนขำในลำคอ


พวกหนิงเหมิงตะลึงงัน “หมายความว่าอย่างไร”


“ก็วิปริตน่ะสิ!”


สืออวี่มีท่าทางเหมือนคนโง่


ทุกคนหัวเราะครืน หลินสวินกลับอึ้งอยู่บ้าง อดกล่าวไม่ได้ว่า “ถ้าพูดถึงความวิปริต นางคงเหนือกว่าข้าขั้นหนึ่งกระมัง”


สืออวี่ยิ้มแป้นแล้วพูดว่า “ชายวิปริตคนหนึ่ง กับหญิงวิปริตอีกคนหนึ่ง ลองหาโอกาสดู พวกเจ้าตีกันสักครั้ง ไม่แน่อาจจะตีกันจนเกิดบุพเพสันนิวาส ถ้าเจ้าได้ไป๋หลิงซีไป ก็นับวันรอตระกูลหลินของเจ้ารุ่งเรืองได้เลย!”


พวกหนิงเหมิงพากันหัวเราะเสียงดัง สีหน้าหยอกเย้า


หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย แต่ในเวลาต่อมาก็ดวลเหล้าสืออวี่อย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็คว่ำเขาได้


เห็นเช่นนี้ หนิงเหมิง กงหมิง เย่เสี่ยวชีต่างรู้ว่าท่าไม่ดี คิดจะขอตัวกลับก่อน แต่กลับถูกหลินสวินรั้งไว้ดวลเหล้าอีกรอบ


ในที่สุดเด็กหนุ่นเหล่านี้ก็เมามาย แต่ละคนนอนกระจัดกระจายอยู่เช่นนั้น ปากเอ่ยถ้อยคำอู้อี้ไม่ชัดเจน


ไม่สนฐานะหรืออำนาจอิทธิพล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่ห์เหลี่ยมและสติปัญญา สุดท้ายพวกเขาก็ยังเยาว์ อยู่ในช่วงวัยที่กำลังเฟื่องฟู มีความสามารถโดดเด่น


ในภายภาคหน้า พวกเขาอาจกระจัดกระจายไปคนละทิศ ได้ผูกสัมพันธ์กับผู้คนที่ต่างออกไป ไล่ตามวิถีทางฝึกปราณคนละทาง


แต่ไม่ว่าอย่างไร มิตรภาพที่สร้างขึ้นในวัยเยาว์ก็ย่อมลืมเลือนได้ยากนัก



ในค่ำคืนเดียวกันนั้น


ฉือฉางเหมยเดินอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในสมองยังมีภาพที่เกิดขึ้นในสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ปรากฏเป็นฉากๆ


ในใจเกิดความว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก หลินสวินผู้นี้ เติบโตรวดเร็วไปแล้ว!


ที่น่ากลัวที่สุดคือ เบื้องหลังของเขายังมีพลังมหาศาลที่ทำให้คนดูไม่ออกซุกซ่อนเอาไว้ นี่สิที่เป็นปัญหาที่สุด


“เจ้าว่า หลินสวินกับฉางเฟิงเทียบกันแล้วใครเก่งกว่ากัน”


ทันใดนั้นฉือฉางเหมยถามขึ้น ฉางเฟิงที่นางเอ่ยถึง ย่อมหมายถึงฉือฉางเฟิง


ข้ารับใช้ชราที่ติดตามข้างๆ มาตลอดทางเอ่ยเสียงขรึม “หลินสวินผู้นี้ด้อยกว่าขั้นหนึ่งขอรับ ในกายนายน้อยฉางเฟิงมีเส้นปราณดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง ไม่ถึงสามปีก็สามารถเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะได้ ในรุ่นเดียวกันนั้น ผู้ที่พอจะเทียบเคียงได้มีน้อยนัก กลับกันเมื่อดูหลินสวิน แม้สุดท้ายจะชนะฮวาอู๋โยวได้ แต่รากฐานการฝึกปราณและพรสวรรค์กลับด้อยกว่าอยู่มากขอรับ”


ฉือฉางเหมยเลิกคิ้ว “เจ้าพูดเช่นนี้มีอคติเข้าข้างฉางเฟิงชัดเจน อีกอย่าง ฉางเฟิงสามารถเข้าระดับหยั่งสัจจะได้ในสามปี ในสามปีนี้หลินสวินจะไม่เหยียบย่างเข้าไปสักก้าวเลยหรือ”


พูดถึงตรงนี้นางก็สูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “กลับกัน ข้ามีสังหรณ์ว่า ด้วยสิ่งที่หลินสวินแสดงออกมาในวันนี้ ภายในเวลาสามปี ถ้าเขาไม่ตาย พวกที่เรียกว่าเป็นผู้กล้าและปีศาจในนครต้องห้ามแห่งนี้ น่ากลัวจะไม่มีใครบดบังรัศมีเขาได้น่ะสิ!”


และก็เป็นเวลานี้ ไกลออกไปบนถนนเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมราวฟ้าผ่าดังขึ้น


ความคิดของฉือฉางเหมยถูกขัดจังหวะ อดนิ่วหน้าไม่ได้ ดวงตามองออกไป ที่แท้บนจอภาพวิญญาณนั้นกำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ของหลินสวินกับฮวาอู๋โยวอยู่…

 

 

 


ตอนที่ 377

 

แม้เป็นยามรัตติกาลเบื้องหน้าจอภาพวิญญาณก็ยังคงมีผู้คนเนืองแน่น ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง


ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกลุ่มที่ซื้อตั๋วเข้าไปดูการประลองระหว่างหลินสวินและฮวาอู๋โยวไม่ทัน จึงตั้งใจมารอฟังผลอยู่หน้าจอภาพวิญญาณ


ฉือฉางเหมยอึ้งงันไป จู่ๆ นางก็อยากรู้ว่าเหล่าผู้ฝึกปราณในนครมีความเห็นต่อการประลองครั้งนี้อย่างไร


ในขณะที่คิด นางก็เดินเข้าไปใกล้


“ร้ายกาจ! หลินสวินคนนี้ต้องเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากแน่ ใครจะคิดว่าเพิ่งจะบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น ก็สามารถสยบผู้กล้าหญิงระดับฮวาอู๋โยวได้ซะแล้ว”


“จากคนนอกสายตา จนกระทั่งจู่โจมได้อย่างงดงามในท้ายที่สุด การประลองในครั้งนี้น่าตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย เสียดายที่ไม่ได้ไปเห็นความผ่าเผยของหลินสวินด้วยตัวเอง”


“แฮะๆ ข้าจะคอยดูว่าต่อไปใครยังจะกล้าเรียกหลินสวินว่า ‘เจ้าตระกูลทรงอำนาจที่อ่อนแอที่สุดในนครต้องห้าม’”


“ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินมีวิธีการฝึกพลังปราณอย่างไรถึงได้เก่งกาจเพียงนี้ ด้วยกำลังต่อสู้ของเขา ต่อให้เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรก็คงติดหนึ่งในห้าแหละมั้ง”


วินาทีที่จอภาพวิญญาณรายงานว่าสุดท้ายหลินสวินสามารถเอาชนะฮวาอู๋โยวได้ เสียงฮือฮาพลันดังสนั่นไปทั่ว เหล่าผู้ฝึกปราณต่างตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ทั้งยังแสดงความทึ่ง เหนือความคาดหมายและเคารพนับถือที่มีต่อหลินสวินอย่างไม่ปกปิด


แทบไม่มีเสียงใดเลยที่ดูหมิ่น


นี่ทำให้ฉือฉางเหมยอดถอนหายใจไม่ได้ จะว่าไปก็จริง ลูกหลานตระกูลฮวาแต่ละคนขึ้นชื่อเรื่องความอันธพาลอยู่แล้ว ฮวาอู๋โยวนั่นยังได้รับฉายาว่าเป็น ‘นางยักษ์’ อีกต่างหาก


เห็นหลินสวินใช้ฐานะที่ต่ำกว่าล้มฮวาอู๋โยวไปได้อย่างสวยงาม จะไม่ให้นับถือคงยาก


แต่ไม่นาน พอได้ยินจอภาพวิญญาณรายงานว่าในตอนท้ายฮวาเชียนเฉิงลงมือกับหลินสวินอย่างดุดันโดยไม่สนกฎกติกา เสียงฮือฮาภายในสนามพลันเปลี่ยนเป็นเสียงด่าทอ


“คนตระกูลฮวาทำเกินไปแล้ว! หน้าไม่อายจริงๆ!”


“ชู่ว! เบาเสียงหน่อย หากคนตระกูลฮวามาได้ยินเข้าเจ้านั่นแหละที่จะเอาตัวไม่รอด”


“ตลกแล้ว เขาหน้าด้านทำเรื่องไร้ยางอายแบบนั้น ทำไมจะว่าไม่ได้? เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ แต่กลับหน้าไม่อายไปลงมืออย่างเหี้ยมโหดกับเด็กอย่างหลินสวิน ทั้งยังแหกกฎการประลองอย่างป่าเถื่อน การกระทำน่ารังเกียจแบบนี้สมควรโดนต่อว่าแล้ว”


“ตระกูลฮวามีอำนาจมากจริงๆ โชคดีที่หลินสวินเป็นคนดีผีคุ้ม สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส มิเช่นนั้นถ้าหลินสวินเป็นอะไรขึ้นมา นครต้องห้ามก็จะสูญสิ้นยอดอัจฉริยะไปอีกคน!”


“ช่างน่าเกลียด! น่าเกลียดยิ่งนัก!”


ได้ยินเสียงก่นด่าพวกนี้ ฉือฉางเหมยกลับนิ่งมาก ด่าไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? อย่างไรก็ไม่ได้เกิดผลกระทบอันใดต่อตระกูลฮวาอยู่แล้ว


อย่างมากก็แค่ตอกย้ำชื่อเสียงความอันธพาลและร้ายกาจของตระกูลฮวาก็เท่านั้น


แต่ฉือฉางเหมยยอมรับว่า การประลองในครั้งนี้หลินสวินไม่เพียงไม่เสียเปรียบ แต่ยังชนะใจและได้เสียงปรบมือชื่นชมจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นคำชื่นชมที่ใช่ว่าจะได้กันง่ายๆ


เรื่องนี้ย่อมเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตั้งตัวและขยายอำนาจในนครต้องห้ามของเขาต่อไป


“อะไรนะ? แม้แต่ฮวาชิงหลินยังออกโรงงั้นหรือ?”


“ศึกนี้สร้างความฮือฮาเพียงนี้เชียวหรือ? น่าเสียดายจริง ถ้ารู้แต่แรก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรข้าก็จะต้องเข้าไปดูที่สนามประลองด้วยตาตัวเองให้ได้”


“บุคคลผู้ลึกลับงั้นหรือ? กระบี่โบราณลายพร้อยที่ราวกับกิ่งเหมยงั้นหรือ? เป็นอาวุธติดตัวของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดกัน ถึงได้ทำให้ฮวาชิงหลินหยุดชะงักไม่กล้าลงมือเสียดื้อๆ”


“คิดไม่ถึง เดาไม่ออก เดาไม่ออกจริงๆ!”


ได้ยินเพียงเท่านี้ ฉือฉางเหมยก็รู้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องฟังต่อไป เพราะไม่ว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีทางเดาความจริงออก


เพราะแม้แต่นางที่เป็นถึงทายาทของตระกูลฉือ จนป่านนี้ยังไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แล้วนับประสาอะไรกับผู้ฝึกปราณธรรมดาเหล่านี้?


“กระบี่โบราณเหมยคด…”


ฉือฉางเหมยเดินพลางใคร่ครวญ ‘นี่เป็นอาวุธที่จำศีลในพระราชวังมานานปี ทำไมวันนี้จู่ๆ ถึงมาปรากฏที่นี่ หรือว่า…หลินสวินมีอำนาจของราชวงศ์อยู่เบื้องหลังด้วย?’


แม้จะคิดไม่ตก แต่ฉือฉางเหมยกลับมั่นใจว่า หลังจากเรื่องนี้ไม่ว่าตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลฮวาจะแค้นเคืองหลินสวินมากเพียงใด แต่ตราบใดที่ยังไม่แน่ใจเรื่องอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของหลินสวิน ย่อมไม่กล้ากระทำอันใดโดยไม่ยั้งคิด


วินาทีต่อมาฉือฉางเหมยกลับอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ อย่าว่าแต่ตระกูลฮวาเลย แม้แต่ตระกูลฉือของพวกเขาก็เช่นกัน


ถ้าพูดถึงความเสียหาย เหตุการณ์ที่ตระกูลฉือของพวกเขาลอบสังหารหลินสวินย่อมมากกว่า!


จวบจนกระทั่งเดินขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวสมบัติ ระหว่างทางกลับตระกูล ฉือชางเหมยจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ สกัดกั้นความคิดอันสับสนวุ่นวายของตัวเองไปเสีย


ในขณะเดียวกันนางก็รู้ดีว่า แม้เบื้องหลังหลินสวินจะซ่อนขุมอำนาจบางอย่างไว้ แต่ขุมอำนาจที่คิดจะฆ่าเขาก็มีแต่จะยิ่งมากขึ้น!


อยากอาศัยศึกนี้วางรากฐานในนครต้องห้ามงั้นหรือ


ไม่มีทางเสียหรอก!


……


หลินสวินกลับจากหอสรวลทรัพย์ฟ้าก็เกือบจะสางแล้ว เขาดื่มจนเมา ถูกหลินจงหามขึ้นเกี้ยวสมบัติพากลับภูเขาชำระจิต


“เมาหรือ”


เห็นหลินสวินในอาการเมา เสี่ยวเคอพลันอดมุ่นคิ้วไม่ได้


“เมาก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันว่า ศึกครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ชนะอย่างสวยงามก็คงแพ้อย่างราบคาบ มิเช่นนั้นในสถานการณ์ปกติเขาย่อมไม่ปล่อยตัวแบบนี้”


พญาแร้งยิ้มน้อยๆ


“จริงอย่างท่านว่า นายน้อยท่านชนะ”


หลินจงยิ้มตอบ ก่อนจะเล่ารายละเอียดการประลองในวันนี้


“กระบี่โบราณเหมยคดงั้นหรือ”


ฟังจบ นัยน์ตากระจ่างของพญาแร้งพลันเผยความแปลกใจ “ไม่แปลกที่บีบให้พยัคฆ์ร้ายอย่างฮวาชิงหลินถอยทัพไปได้”


หลินจงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น พาหลินสวินที่ดื่มจนเมาจากไปก่อน


“กระบี่นั่นมีที่มาอย่างไร” เสี่ยวเคออดถามไม่ได้


“ว่ากันว่าอาวุธชิ้นนี้เป็นกระบี่คู่กายที่ปฐมจักรพรรดิใช้ในสงคราม เพราะผ่านการฆ่าฟันมามากและเปื้อนเลือดอย่างหนัก ต่อมากระบี่เล่มนี้จึงถูกผนึกไว้ในส่วนลึกของพระราชวัง”


พญาแร้งกล่าวเสียงขรึม “กระบี่นี้ไม่ได้ปรากฏสู่สายตาผู้คนมาเกือบพันปีแล้ว วันนี้จู่ๆ มาโผล่อยู่ในการประลองระหว่างหลินสวินและฮวาอู๋โยว ความนัยในนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ เชื่อว่าฮวาชิงหลินเองก็มองเรื่องนี้ออก จึงไม่กล้าลงมือโดยพลการ”


“ท่านหมายความว่าหลินสวินมีคนใหญ่คนโตในราชวงศ์หนุนหลังอยู่งั้นหรือ”


เสี่ยวเคอแปลกใจ


“ยังไม่แน่ใจ แต่ต้องมีความเกี่ยวโยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะที่มาของกระบี่นั่นไม่ธรรมดา เป็นกระบี่คู่กายปฐมจักรพรรดิ ถูกผนึกไว้ในพระราชวังมานานปี ผู้ที่สามารถเอามาใช้ได้ ย่อมไม่ใช่สมาชิกในราชวงศ์ธรรมดาๆ แน่”


พญาแร้งพูดถึงตรงนี้พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ “จำเรื่องที่หลินสวินเคยบอก ว่าเขาเคยถูกตระกูลฉือลอบสังหารขณะเดินทางมานครต้องห้ามได้หรือไม่”


เสี่ยวเคอพยักหน้า แน่นอนว่านางต้องจำได้อยู่แล้ว


“แต่หลังจากหลินสวินเข้าสู่นครต้องห้าม ตระกูลฉือกลับนิ่งเฉย บางทีตระกูลฉือเองก็อาจจะรู้ดีว่า หลินสวินมีอำนาจอันไม่สามารถดูแคลนได้อยู่เบื้องหลัง มิเช่นนั้นด้วยอิทธิพลระดับพวกเขา การจะฆ่าหลินสวินย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”


พญาแร้งเผยรอยยิ้มอันคลุมเครือตรงมุมปาก “สิ่งที่ข้ามั่นใจในตอนนี้คือ ในมือหลินสวินจะต้องมีไพ่ตายบางอย่างที่พวกเราไม่รู้แน่!”


“แต่ศัตรูของเขาก็มากเช่นกัน”


เสี่ยวเคอเตือน


“เพราะฉะนั้น ถ้าเขาอยากฟื้นฟูตระกูลหลินขึ้นมาใหม่ สถานการณ์ก็จะยิ่งซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด…”


พญาแร้งพูดด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา


……


ตามคาด ข่าวที่หลินสวินชนะฮวาอู๋โยวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครต้องห้ามเพียงค่ำคืนเดียว ทำให้เกิดเสียงฮือฮาอย่างหนักหน่วง


มีทั้งคนที่ตกตะลึงในความเก่งกาจของหลินสวิน และมีคนที่ดูถูกและก่นด่าการกระทำอันต่ำช้าของตระกูลฮวา


มีคนกำลังวิเคราะห์ว่า กระบี่โบราณที่รูปร่างคล้ายกิ่งเหมยคดโค้งนั่นมีที่มาอย่างไร


และมีคนตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่า ฐานะของหลินสวินไม่ใช่เพียงแค่ผู้สืบทอดสายตรงของภูเขาชำระจิตแน่


เอาเป็นว่า ชื่อของหลินสวินโด่งดังไปทั่วทั้งนครต้องห้าม เป็นที่รู้จักและเป็นจุดสนใจที่ถูกพูดถึงอย่างไม่จบไม่สิ้น


ประวัติความเป็นมา ฐานะและความสามารถของเขากลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์อันดุเดือดของผู้คน


ยามรับรู้ข่าวทั้งหมดนี้ เสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยวดังอยู่ในโถงประชุมของตระกูลหลินแห่งธารประจิมไปหนึ่งวันเต็ม


ทุกคนต่างอ้ำอึ้ง ไม่มีใครกล้าพูดถึงชื่อ ‘หลินสวิน’


แต่ทุกคนในตระกูลรองของตระกูลหลินล้วนรู้ดีว่า ขณะนี้หลินสวินแห่งภูเขาชำระจิตคนนั้น ได้กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงสะท้านนครต้องห้ามไปแล้ว!


มีทั้งคนที่ขึ้งโกรธ คนที่ตื่นตะลึงและอื่นๆ แตกต่างกันไป


แต่ถ้าอยากให้ตระกูลรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุยอมจำนนเพียงเท่านี้ เห็นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


เพียงแต่ผู้คนจำนวนมากต่างตระหนักได้ว่า ถ้าหลินสวินผงาดขึ้นทีละก้าวๆ ในทิศทางนี้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์ของพวกเขาเข้าสู่วิกฤติขึ้นทีละก้าวๆ เช่นเดียวกัน


ทำอย่างไรดี?


ไม่มีใครรู้ เพราะแม้แต่หัวหน้าตระกูลรองทั้งสามของตระกูลหลินอย่างหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ ขณะนี้ก็เดือดดาลจนไม่อาจสงบสติอารมณ์ คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาที่แน่ชัดไม่ได้


แต่สถานการณ์ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรกลับแตกต่าง แม้ไม่ถึงกับดีใจแทนหลินสวิน แต่ลึกๆ ก็ภาคภูมิใจไม่น้อย


หลังจากเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ชื่อเสียงของตระกูลหลินก็ตกต่ำลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งแตกแยกกันไปคนละทิศละทางและล่มจมไปในที่สุด


ทำให้ผู้คนจำนวนมากในนครต้องห้ามลืมเลือนตระกูลหลินของพวกเขาไป


ทว่าตอนนี้ ความแข็งแกร่งของหลินสวินที่ผงาดขึ้นมา ทำให้ตระกูลหลินกลับคืนสู่สายตาของผู้คนและได้รับความสนใจมากอย่างไม่ต้องสงสัย


แม้นหนทางที่จะหวนคืนสู่ความรุ่งเรืองยังอีกยาวไกล แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะปลุกปลอบความฮึกเหิมให้คนตระกูลหลินแล้ว!


เช้าวันถัดมา หลินเสวี่ยเฟิงออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังภูเขาชำระจิตพร้อม ‘ความจริงใจ’ ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร


……


หลินสวินตื่นมาอีกที ท้องฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในยามเช้าสาดเข้าห้องมา อากาศรอบๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น


ไม่ว่าจะนึกอย่างไร หลินสวินก็นึกไม่ออกว่าเมื่อคืนที่หอสรวลทรัพย์ ใครกันที่เป็นผู้เมาล้มไปเป็นคนสุดท้าย


จากนั้นหลินสวินพลันส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ


“นายน้อย คุณชายเสวี่ยเฟิงมาเยี่ยม รออยู่ที่หอแสงอุดรขอรับ”


หลินสวินเพิ่งอาบน้ำเสร็จไม่นาน หลินจงก็ยกสำรับเช้ามาให้พร้อมรายงานเรื่องที่หลินเสวี่ยเฟิงมาเยี่ยม


หลินสวินอึ้งงันไป ก่อนจะพูดอย่างครุ่นคิด “หอแสงอุดรงั้นหรือ หากข้าจำไม่ผิด ที่นั่นเคยเป็นที่พำนักของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรใช่หรือไม่”


หลินจงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่านายน้อยจะเดาถูกแล้ว คราวนี้คุณชายเสวี่ยเฟิงอาจจะมาพร้อมข่าวดี”


หลินสวินระบายยิ้มพร้อมลุกขึ้นยืน “ไป พวกเราไปดูสักหน่อย”


ทั้งสองออกจากตำหนักชำระจิต มุ่งหน้าไปทางหอแสงอุดรตามเส้นทางปูหินอันคดเคี้ยว

 

 

 


ตอนที่ 378

 

ตระกูลหลินในอดีต ทั้งตระกูลรองและตระกูลหลักต่างอยู่ร่วมกันบนภูเขาชำระจิต สถานที่อย่างหอแสงอุดร เดิมเป็นที่พำนักของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร


ในขณะเดียวกัน ภูเขาชำระจิตยังมีที่พำนักที่ใช้ชื่อว่า ‘ธารประจิม’ ‘คานเมฆา’ ‘ยอดวายุ’ ซึ่งเป็นที่พำนักของตระกูลรองอื่นๆ อีกสามตระกูล


หอแสงอุดร


นี่เป็นอาคารโบราณหลายหลังที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ล้วนถูกทิ้งร้าง แต่จากขนาดก็ดูออกได้ไม่ยากว่า ในอดีตที่นี่เคยคึกคักมากเพียงใดและมีคนในตระกูลอาศัยอยู่มากเพียงใด


ตอนที่หลินสวินไปถึง กลับพบอย่างแปลกใจว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาที่หอแสงอุดรอย่างตื่นเต้นดีใจเช่นกัน


คนเหล่านี้เป็นคนในตระกูลที่ผู้อาวุโสเป่ยกวงส่งตัวมาก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ล้วนยังหนุ่มสาวและดูอันธพาลเสเพลอย่างมาก


หลายวันก่อนหน้านี้ ชื่อเซวี่ยยังมาเอาผิดกับหลินสวินเรื่องที่คนพวกนี้ไปทำลายโอสถวิญญาณในสวนโอสถอยู่เลย


ตอนนั้นหลินสวินใช้พลังยุทธ์กำราบพวกเสเพลพวกนั้นทันทีโดยไม่เสียเวลาพูดอะไร ทั้งยังจัดให้พวกเขาไปทำงานของข้ารับใช้ตามส่วนต่างๆ ของภูเขาชำระจิต


หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นจนเก็บไม่อยู่แบบนี้


พอเห็นหลินสวิน บางคนถึงกับอดร้องโวยไม่ได้ “หลินสวิน เจ้าให้พวกข้าไปทำงานของข้ารับใช้ คราวนี้จะต้องให้พี่เสวี่ยเฟิงคืนความเป็นธรรมให้พวกข้า!”


“ใช่ เจ้าไม่เห็นพวกเราเป็นคนในตระกูลเลยสักนิด!”


หนุ่มสาวกลุ่มนั้นเดือดดาล เป็นคนตระกูลหลินแท้ๆ แต่กลับถูกใช้ให้ไปเป็นข้ารับใช้ทั่วภูเขาชำระจิต ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายยิ่งนัก


ก่อนหน้านี้เพราะเกรงบารมีหลินสวิน และมีเสี่ยวเคอคอยจับตาอยู่ พวกเขาไม่สามารถหนีออกจากภูเขาชำระจิตได้ จึงจำต้องทนต่อไป


แต่วันนี้กลับแตกต่าง เพราะพวกเขาได้ยินว่าหลินเสวี่ยเฟิงจะมา จึงดีใจจนเก็บไม่อยู่ คิดว่ามีตัวช่วยแล้ว มีหรือที่จะยอมทนต่อไป


พวกเขาจึงรวมตัวกันและรีบมาหาอย่างตื่นเต้น


หลินสวินอึ้งงันไป ก่อนจะระบายยิ้ม พวกนี้หาเรื่องจริงๆ ที่ให้พวกเขาไปทำงานหนักก็เพราะต้องการปราบนิสัยแย่ๆ ในตัวพวกเขาไงเล่า


“หืม พวกเจ้าทำอะไรกัน”


ขณะนั้นเอง เงาร่างหนึ่งพลันเดินออกจากเรือนหลักของหอแสงอุดร เป็นหลินเสวี่ยเฟิงนั่นเอง


“พี่เสวี่ยเฟิง เจ้าเด็กนี่รังแกกันเกินไปแล้ว ไม่ได้เห็นพวกเราเป็นคนในตระกูลเลยสักนิด!”


“พวกเรามาที่ภูเขาชำระจิตเพื่อทำการใหญ่ แต่เจ้าหมอนี่กลับบีบให้พวกเราทำงานของข้ารับใช้ ทั้งยังส่งหญิงดุร้ายคนหนึ่งมาจับตาดูพวกเรา ต่อต้านเพียงเล็กน้อยก็โดนเฆี่ยนตี พี่ต้องทวงคืนความเป็นธรรมให้พวกเรานะ!”


หนุ่มสาวกลุ่มนั้นร้องโหวกเหวก ท่าทางดูเคียดแค้นอย่างที่สุด


แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาคือ หลังจากฟังจบ หลินเสวี่ยเฟิงไม่เพียงไม่ออกโรงช่วยพวกเขา แต่สีหน้าตอนที่มองพวกเขากลับไม่น่าดูอย่างมาก


“คุกเข่า!”


ไม่รอให้พวกเขาตระหนักได้ หลินเสวี่ยเฟิงพลันแผดเสียงเย็นขึ้นมา ทำเอาหนุ่มสาวกลุ่มนั้นต่างขนลุกซู่ไปทั้งตัวราวกับถูกฟ้าผ่า สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง


นี่ นี่…นี่มันอะไรกัน?


บางคนคิดว่าตัวเองหูฟาดไป “พี่เสวี่ยเฟิง พี่ให้หลินสวินคุกเข่าลง หรือว่า…”


เพี๊ยะ!


หลินเสวี่ยเฟิงฟาดฝ่ามือลงไปกลางอากาศอย่างแรง ตบจนคนผู้นั้นร้องด้วยความตกใจ กระเด็นออกไปไกลถึงสิบกว่าจั้ง ก่อนจะร้องโอดครวญไม่ขาดสาย


ทุกคนพลันลนลานขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ


“คุกเข่า!”


หลินเสวี่ยเฟิงย้ำอีกครั้ง คราวนี้หนุ่มสาวกลุ่มนั้นไม่กล้าต่อต้าน พลันคุกเข่าลง ใบหน้ามู่ทู่ราวกับมะเขือยาวเหี่ยวไปตามๆ กัน


“พวกไร้ประโยชน์ ที่ส่งพวกเจ้ามาก็เพื่อทำงานให้ภูเขาชำระจิตอยู่แล้ว พวกเจ้ากลับเกี่ยงงาน บ่นไม่หยุด ช่างเป็นความอับอายของตระกูลหลิน!”


หลินเสวี่ยเฟิงไฟสุมอกโดยแท้ เขาไม่คิดเลยว่าคนในตระกูลตัวเองจะแย่ได้ถึงขนาดนี้


“เรื่องนี้เจ้าจัดการแล้วกัน ข้ารอเจ้าข้างใน”


หลินสวินคิดว่าไม่เหมาะที่จะยืนเป็นผู้ชม เพราะนี่ถือเป็นเรื่องภายในของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ให้หลินเสวี่ยเฟิงจัดการก็พอแล้ว หากเขายืนดูอยู่ข้างๆ เกรงว่าจะสร้างความกระอักกระอ่วน


“ได้ รอข้าสักครู่” หลินเสวี่ยเฝิงพยักหน้า


หลินสวินเพิ่งเดินออกไป สีหน้าของหลินเสวี่ยเฟิงพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขากวาดสายตามองคนในตระกูลที่คุกเข่าอยู่ ทั้งโกรธทั้งปวดหัว


“พี่เสวี่ยเฟิง ทำไม…ทำไมพี่ถึงไม่สั่งสอนเขาให้พวกเรา แบบนี้มัน…เกินไปหรือเปล่า หลินสวินนั่นไม่เห็นเราเป็นคนในตระกูลเลยนะ!”


ขณะนั้นเอง มีคนรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นถาม


“เจ้าโง่!”


หลินเสวี่ยเฟิงก่นด่าชุดใหญ่อย่างไม่คิดเกรงใจ “หากไม่เห็นพวกเจ้าเป็นคนในตระกูล คิดว่าพวกเจ้าจะมีสิทธิ์เข้ามาเหยียบในภูเขาชำระจิตหรือ เพียงแค่การกระทำอย่างเมื่อครู่ของพวกเจ้า คงตายแล้วเกิดใหม่นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว!”


ทุกคนตัวแข็งค้างอยู่กับที่ ท่าทางดูสับสน ดูออกว่าคงไม่เชื่อนัก


หลินเสวี่ยเฟิงเห็นแบบนี้ สีหน้ายิ่งทวีความเย็นเยียบ “จะบอกอะไรให้นะ เมื่อวานขนาดนี้ฮวาอู๋โยวยังเกือบตายคามือหลินสวินมาแล้ว หรือพวกเจ้าคิดว่าชีวิตของตัวเองสูงค่ากว่าฮวาอู๋โยว”


ได้ยินแบบนี้คนเหล่านั้นต่างหัวใจสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า ตกตะลึงกันถ้วนหน้า กล้าฆ่าแม้กระทั่งฮวาอู๋โยวงั้นหรือ


เจ้าหลินสวินนี่อวดดีเกินไปหรือเปล่า


เห็นสีหน้าพวกเขา หลินเสวี่ยเฟิงก็รู้ว่าเจ้าพวกนี้ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนครต้องห้ามในช่วงหลายวันนี้


มิเช่นนั้น ไม่ว่าจะเก่งมาจากไหนก็คงไม่กล้าเสียมารยาทกับหลินสวิน!


“จะบอกพวกเจ้าไว้ นับตั้งแต่วันนี้ ใครกล้าเสียมารยาทกับหลินสวินอีก ข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่! พวกเจ้าคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ตรงนี้แหละ!”


หลินเสวี่ยเฟิงคร้านจะอธิบายให้มากความ หลังจากทิ้งประโยคเยียบเย็นนี้ไว้ก็หมุนตัวเดินเข้าหอแสงอุดรไป


หนุ่มสามกลุ่มนั้นต่างมองตาค้างไปทันที


……


เรือนหลักหอแสงอุดร


“ต้องขออภัยที่คนในตระกูลพวกนี้ไม่เอาไหน ทำให้เจ้าต้องหัวเราะเยาะ”


หลินเสวี่ยเฟิงประสานมือกล่าวขอโทษทันทีที่เข้ามา


“ไม่เป็นไร อย่างไรก็คนในตระกูลเดียวกัน สั่งสอนพวกเขาสักหน่อยก็พอ”


หลินสวินโบกมือพร้อมรอยยิ้ม


หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงอีกฝั่งพลางยิ้มพูด “ที่ข้ามาคราวนี้ เพราะได้รับการไหว้วานจากท่านพ่อและท่านปู่ ตัดสินใจจะคืนของบางส่วนที่อยู่ในความดูแลของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรสู่ภูเขาชำระจิต”


หลินสวินตะลึงงัน พลันพูดอย่างดีใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”


หลินเสวี่ยเฟิงยิ้มพูด “ของพวกนั้นเป็นของภูเขาชำระจิตอยู่แล้ว เพียงแค่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ตกอยู่ในความดูแลของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าของภูเขาชำระจิต ย่อมต้องส่งคืนตามเดิม”


ในขณะที่พูด เขาก็หยิบกำไลเก็บของวงหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน


“ในนี้มีตำราทั้งหมดหนึ่งพันเจ็ดร้อยสามสิบสามเล่น มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฝึกปราณ การฝึกยุทธ์ เม็ดโอสถ ตำรายาและอื่นๆ”


“นอกจากนี้ยังมีเตาโอสถระดับสวรรค์สามใบ เมล็ดโอสถวิญญาณระดับหนึ่งสามสิบหกขวด อาวุธวิญญาณระดับมนุษย์หนึ่งพันเจ็ดสิบเจ็ดชิ้น อาวุธวิญญาณระดับปฐพีหกร้อยห้าสิบชิ้น อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์หนึ่งร้อยสิบชิ้น…”


ได้ยินถึงตรงนี้ สายตาของหลินสวินพลันค่อยๆ ทอประกายขึ้น คราวนี้ ‘ความจริงใจ’ ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรถือว่ามากพอแล้ว!


เห็นได้ชัดว่าหลังจากประลองกับฮวาอู๋โยวเมื่อวาน ทำให้ท่าทีของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! จากที่รักษาท่าที พวกเขาเริ่มมีแนวโน้มสนับสนุนตนแล้ว!


หลินเสวี่ยเฟิงพูดต่อว่า “นอกจากนี้ยังมีของมีค่าหายากหลายแบบอีกสิบหีบ สัตว์วิญญาณเจ็ดสิบเจ็ดตัว อสูรวิญญาณสี่สิบสองตัว…”


และร่ายรายการมาอีกยาวเหยียด หลินเสวี่ยเฟิงจึงตบท้ายว่า “พวกสัตว์วิญญาณและอสูรวิญญาณไม่สามารถพกมาได้ แต่ช่วงบ่ายท่านพ่อของข้าจะให้คนเอามาให้”


วินาทีนี้หลินสวินไม่เพียงดีใจ แต่ตะลึงงัน ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรใจป้ำจริงๆ!


เขาเคยให้หลินจงคำนวณสมบัติที่ภูเขาชำระจิตถูกปล้นไป จึงรู้ดีว่าสมบัติที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคืนมาคราวนี้ คือสมบัติส่วนใหญ่ที่พวกเขาเอาออกไปจากภูเขาชำระจิต!


หลินสวินลุกขึ้นยืน ก่อนจะยกมือประสานคารวะอย่างจริงจัง “ท่านพี่ ฝากขอบคุณท่านปู่ห้าและท่านอาไหวหย่วนแทนข้าด้วย และฝากบอกว่าภูเขาชำระจิตมีที่ว่างสำหรับตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเสมอ!”


หลินเสวี่ยเฟิงเองก็เผยรอยยิ้ม เขารอคอยที่จะได้ยินคำนี้จากหลินสวิน


“เราคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจ”


หลินเสวี่ยเฟิงเชิญหลินสวินกลับไปนั่งที่เดิมแล้วจึงพูดต่อว่า “หลินสวิน ข้าตัดสินใจแล้วว่า นับตั้งแต่วันนี้ข้าจะมาทำงานอย่างถวายชีวิตให้เจ้าที่ภูเขาชำระจิต แน่นอนว่าอีกสักระยะข้าจะต้องไปฝึกปราณที่สำนักศึกษามฤคมรกต แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่านับตั้งแต่วันนี้ ข้าจะสนับสนุนการครอบครองภูเขาชำระจิตของเจ้าอย่างเต็มที่!”


หลินเสวี่ยเฟิงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ไม่ได้ล้อเล่นแน่


หลินสวินอึ้งงันไปก่อนจะหัวเราะลั่น “มีพี่คอยช่วย ข้ายังต้องห่วงอันใดอีก?”


หลินเสวี่ยเฟิงเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หายาก แม้ตอนนี้พลังปราณของเขาจะยังสู้ฮวาอู๋เหินหรือฮวาอู๋โยวไม่ได้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้กล้าที่ผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรคนหนึ่ง!


ในขณะเดียวกันเขายังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หากได้รับการสนับสนุนจากเขาอย่างเต็มที่ ย่อมเป็นผลดีอย่างมากสำหรับหลินสวิน


หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่ หลินเสวี่ยเฟิงก็ขอตัวออกไป


ส่วนหลินสวินได้พาหลินจงไปที่หอเก็บตำรา เพื่อทำความสะอาด ปัดฝุ่นและหยากไย่ก่อนจะเรียกตำราแต่ละเล่มจากกำไลเก็บของที่หลินเสวี่ยเฟิงให้มาจัดวางไว้ที่เดิม


ระหว่างนี้หลินสวินเอาแต่เงียบ สีหน้านิ่งขรึม ไม่ส่งเสียงใด


เขาเคยมาที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงภูเขาชำระจิตแล้ว และสาบานกับตัวเองว่าจะทวงคืนทุกสิ่งที่เคยเป็นของตระกูลหลิน!


ต้องการให้ศัตรูทั้งหมดที่เคยทำร้ายตระกูลหลินชดใช้อย่างสาสม!


ตอนนี้เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งปี ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จไปก้าวใหญ่แล้ว!


ถ้าบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงโกหก


แต่หลินสวินที่ผ่านการฝึกมาอย่างรอบด้าน เรียนรู้ที่จะเก็บความรู้สึกภายในใจแล้ว จึงทำให้ดูสุขุมและมีวุฒิภาวะมากขึ้น


ที่สำคัญที่สุดคือ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น!


สีหน้าของหลินจงเผยความตื่นเต้น ถ้าบอกว่าการปรากฏตัวครั้งแรกของหลินสวินที่ภูเขาชำระจิตทำให้เขามองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่ง


ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็มีเหตุผลมากพอที่จะเชื่อว่า สักวันหลินสวินจะนำพาภูเขาชำระจิตให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง!


พญาแร้งและเสี่ยวเคอเองก็ได้รู้เรื่องนี้ในวันเดียวกัน และต่างอึ้งกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร


แต่ฉับพลันพญาแร้งราวกับกระจ่างแจ้ง อดทอดถอนใจไม่ได้ “สรรพสิ่งยากที่การเริ่มต้น ในที่สุดหลินสวินก็กำราบหนอนในตระกูลหลินได้ตัวหนึ่งแล้ว ถ้าค่อยๆ มุ่งไปตามทิศทางนี้อย่างมั่นคง การจัดการสามตระกูลรองที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)