Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 368-370

ตอนที่ 368

 

 ทำตามอำเภอใจ

โดย

ProjectZyphon

เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งโถง


เหตุใดถึงมีคนมาหาเรื่องหลินสวินอีกแล้ว


ทุกคนต่างชะงักงัน หยุดการเคลื่อนไหวและมองไปที่ประตูโถงใหญ่โดยพร้อมเพรียงกัน


เห็นหญิงสาวผู้เย็นเยียบดั่งธารน้ำแข็ง รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบาง ใบหน้างดงามเย้ายวนในชุดเสื้อคลุมแดงเพลิงเดินเข้ามา


นางเดินเข้ามาอย่างดุดันวางมาด ราวกับเพลิงอันเจิดจ้า หว่างคิ้วแฝงความหยิ่งผยอง ท่าทางดูอันธพาลมากโข


ฮวาอู๋โยว!


นางมาทำไม?


คนส่วนใหญ่จำนางได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น จึงอดรู้สึกเกร็งในใจไม่ได้


ฮวาอู๋โยว เป็นผู้มีฝีมือแข็งแกร่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ในตระกูลฮวาอันเป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด สอบเข้าสำนักศึกษามฤคมรกตด้วยผลคะแนนอันน่าทึ่งได้ตั้งแต่ปีที่แล้ว


ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี นางก็ใช้พรสวรรค์ถีบตัวเองเข้าไปเป็นศิษย์สายในของ ‘เรือนยุทธ์วิถี’ แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตได้!


หญิงผู้นี้นิสัยหยิ่งผยอง ทำอะไรตามอำเภอใจ หากใครทำให้ไม่พอใจ รับรองว่าจบไม่สวยแน่ ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘นางยักษ์’ ที่ชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลแห่งนครต้องห้าม


ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดคือ เมื่อครึ่งปีที่แล้วมีบุตรชายเสเพลจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางคนหนึ่งถูกเล่นงานจนสาหัส พลังปราณเกือบถูกทำลาย เพียงเพราะเอ่ยหยอกเย้าฮวาอู๋โยวประโยคเดียวในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำเอาผู้คนตื่นตะลึงกันไปทั้งงาน


นับตั้งแต่นั้นมา ฮวาอู๋โยวจึงได้รับฉายาว่า ‘นางยักษ์’


ตอนนี้ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะจัดการซ่งชงเฮ่อและซ่งเจ๋อไป ก็มีนางยักษ์มาตามหาหลินสวินอีกคน!


เหลือเชื่อจริงๆ ทำเอาทุกคนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเจ้าหลินสวินนี่มันอย่างไรกันแน่ มีเรื่องกับลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลซ่งไม่พอ แม้แต่นางยักษ์แห่งตระกูลทรงอิทธิพลเช่นตระกูลฮวาที่เลื่องลือยังกล้ามีเรื่องด้วย


สองตระกูลนี้ ต่างเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งสิ้น!


ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ มีเรื่องกับหนึ่งในนี้ก็กระวนกระวายไม่เป็นอันกินอันนอนแล้ว แต่หลินสวินกลับมีเรื่องกับลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสองตระกูลในทีเดียว เหลือเชื่อจริงๆ


ที่สำคัญที่สุดคือ ฐานะของฮวาอู๋โยวสูงส่งกว่าซ่งชงเฮ่อเป็นไหนๆ อีกทั้งนางยังเป็นพวกทำอะไรตามอำเภอใจ ถ้าทำให้นางไม่พอใจเข้า ผลที่ตามมาย่อมรุนแรงกว่ามาก


“พี่รอง เป็นเจ้าหมอนั่น!”


เสียงที่แฝงความขึ้งโกรธดังขึ้น


ทุกคนจึงเพิ่งสังเกตเห็นชายหนุ่มในชุดหรูหราที่ตามฮวาอู๋โยวมา ยามนี้กำลังจ้องหลินสวินเขม็งด้วยสายตาเคียดแค้นเต็มประดา


ชายหนุ่มคนนั้นหน้าบวมเขียว เผ้าผมยุ่งเหยิง เนื้อตัวยังเปื้อนเลือดอยู่ไม่น้อย ท่าทางดูสะบักสะบอมอย่างที่สุด เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านเรื่องชกต่อยมา


เป็นฮวาอู๋เหิน!


เห็นแบบนี้ทุกคนพลันกระจ่างทันที ว่าหลินสวินต้องตีฮวาอู๋เหินนั่นอย่างหนักแน่ ถึงได้ทำให้นางยักษ์ฮวาอู๋โยวออกโรง!


ทว่าตอนนี้พอเห็นฮวาอู๋เหินและฮวาอู๋โยวปรากฏตัวพร้อมกัน และพุ่งตรงเข้ามาหาหลินสวินอย่างดุดันแบบนี้ ทำให้สีหน้าของหลินเสวี่ยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปทันที


เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการแก้แค้นของตระกูลฮวาจะมาถึงไวขนาดนี้ และไม่คิดว่าฮวาอู๋เหินจะเร่งรีบมาแก้แค้นโดยไม่ห่วงหน้าแบบนี้


ทันใดนั้นหลินเสวี่ยเฟิงทั้งหัวเสียทั้งโทษตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


“เจ้าเองเหรอ หลินสวิน?”


สายตาของฮวาอู๋โยวราวกับสายฟ้าที่สาดประกาย จ้องหลินสวินอย่างเย็นชา ใบหน้าเย็นยะเยือกราวกับธารน้ำแข็งเผยไอสังหาร


เพี๊ยะ!


ไม่เห็นว่านางจะเคลื่อนไหวอันใด แต่แส้ยาวที่แดงปลั่งวาดผ่านกลางอากาศดุจฟ้าแลบ แทรกสอดด้วยพลังวิญญาณอันน่ากลัว


เป้าหมายคือศีรษะของหลินสวิน!


การโจมตีที่แฝงพลังทำลายล้างมหาศาลนี้รวดเร็วราวกับฟ้าผ่าลงมาจนไม่ทันตั้งตัว ราวกับจะกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า ดูน่ากลัวอย่างที่สุด


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


ทันทีที่เข้ามาในโถงก็เริ่มสะบัดแส้จะฆ่าฟันโดยไม่คิดสนใจอะไรทั้งนั้น ราวกับทุกคนที่นั่งอยู่เป็นเพียงธาตุอากาศ!


คำว่าทำตามอำเภอใจเป็นอย่างไร?


ก็เป็นแบบนี้ไงล่ะ!


การโจมตีนี้แสดงให้เห็นความหมายของฉายานางยักษ์อย่างชัดเจน


ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยา แส้นี้ก็พุ่งมาที่กลางศีรษะของหลินสวินแล้ว


หลินสวินเองก็ตั้งตัวไม่ติดเช่นกัน เมื่ออันตรายมาเยือน เขาจึงทำได้เพียงยกหมัดฝืนตั้งรับ


พลันได้ยินเสียงระเบิดโครม โต๊ะตรงหน้าหลินสวินถูกหวดพังจนแหลกละเอียดเป็นเศษผง ตัวเขาถูกโจมตีจนสะเทือนเซถอยหลังไป


แม้จะตั้งรับการโจมตีนี้ไว้ได้ แต่กำปั้นข้างขวาของหลินสวินกลับถูกหวดฟาดเป็นรอยแผลเลือดไหลออกมา เนื้อหนังฉีกขาดจนเห็นเอ็นกระดูกขาวอยู่รางๆ


ความรู้สึกเจ็บแสบลามไปทั่วทั้งแขนขวา ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาเคยได้รับการฝึกมาอย่างหนักจนแข็งแกร่งทนทาน แส้เดียวนี้คงทำให้เขาเสียแขนขวาไปแล้ว!


ทันใดนั้นแววตาของหลินสวินสาดประกายเย็นเยียบ ส่วนลึกของแววตาเผยไอสังหารอันน่ากลัว ผู้หญิงคนนี้เผด็จการนัก!


สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าฮวาอู๋โยวจะไม่เกรงใจกันขนาดนี้


ทว่ากลับเห็นฮวาอู๋โยวมุ่นคิ้วน้อยๆ อย่างแปลกใจ ก่อนจะแค่นเสียงอย่างเย็นชา “มิน่าถึงกล้ารังแกน้องเล็กของข้ากลางถนน ก็ถือว่าพอมีฝีมือ แต่วันนี้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”


เพี๊ยะ!


พูดยังไม่ทันจบนางก็โจมตีอีกครั้ง แส้ยาวแดงเพลิงสะดุดตาราวกับสายฟ้าที่ผ่ากลางอากาศ ส่งเสียงหวีดดังออกมา


เห็นเพียงเท่านี้ก็รู้เลยว่า พลังในการต่อสู้ของฮวาอู๋โยวไม่ใช่สิ่งที่ซ่งชงเฮ่อและซ่งเจ๋อจะเทียบได้!


สีหน้าของฮวาอู๋เหินที่ยืนอยู่ห่างออกไปเผยความตื่นเต้น แววตาย่ามใจชั่วร้าย ที่เขาไปหาพี่รองฮวาอู๋โยว ก็เพราะมีเพียงฮวาอู๋โยวเท่านั้นที่ยอมออกหน้าแทนเขาโดยไม่มีข้อแม้!


“ฮวาอู๋โยว เจ้าทำเกินไปแล้ว!”


เพียงแต่ยังไม่ทันที่แส้ของฮวาอู๋โยวจะฟาดลงมา สืออวี่ที่โกรธจนสุดจะทนก็ชิงลงมือก่อน กวัดแกว่งเหล็กท่อนสำริดคู่หนึ่งโจมตีออกไปอย่างดุดัน


หนิงเหมิงที่อยู่อีกฝั่งก็เคลื่อนไหวแทบจะในเวลาเดียวกัน รูปร่างสูงใหญ่ราวกับภูเขาเทพเปล่งประกายแสง ปล่อยหมัดฉับพลันราวกับสายฟ้า!


สืออวี่และหนิงเหมิงไวแล้ว แต่มีคนไวกว่าพวกเขา!


เคร้ง!


ไป๋หลิงซีที่เดิมนั่งนิ่งอยู่ไม่รู้ว่าลุกขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือถือกระบี่วิญญาณหิมะที่ประหนึ่งโปร่งแสงได้เล่มหนึ่งชี้ไปที่ฮวาอู๋โยว


ปลายกระบี่สาดแสงประกายวาววับแฝงปราณกระบี่น่าสะพรึงกลัว ราวกับแสงดวงดาราที่พร่างพราว


“หึ!”


แต่กลับเห็นว่า ฮวาอู๋โยวลงมืออย่างดุดัน แส้ยาวที่ประหนึ่งเพลิงผลาญร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง ได้ยินเสียงปึงๆๆ ดังสนั่นหู


เหล็กท่อนของสืออวี่สะเทือนจนกระเด็นออก


พลังหมัดของหนิงเหมิงถูกแส้ตีกระจุย


และประกายกระบี่ที่ราวกับแสงแห่งดาราของไป๋หลิงซีก็สลายไปเฉกเช่นเดียวกัน


แม้เผชิญกับการโจมตีจากหนุ่มสาวยุคใหม่ผู้โดดเด่นถึงสามคน ฮวาอู๋โยวก็ไม่กลัวเลยสักนิด


เพียงแต่หลังสลายการโจมตีทั้งหมดนี้ ร่างของนางเองก็สะเทือนจนถอยร่นไปหลายก้าว ใบหน้าอันเย็นเยียบเห่อแดงขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นเหมือนเดิม


ทุกคนตะลึงงัน สู้กันหนึ่งต่อสาม แต่ฮวาอู๋โยวกลับยังสามารถตีคู่อย่างสูสีได้ ความสามารถนั้นน่าสะพรึงกลัวนัก


แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าสืออวี่ หนิงเหมิงและไป๋หลิงซีได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาหรือยัง ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอที่จะดูออกว่าฮวาอู๋โยวนั้นไม่ธรรมดา


สิ่งที่ทุกคนแปลกใจที่สุดคือการลงมือของไป๋หลิงซี กระบี่ที่มาพร้อมแสงประกายอันเย็นเยียบ ราวกับแสงจากดวงดารา พลังที่ปรากฏอยู่บนกระบี่ชวนตะลึงอย่างที่สุด


ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าไป๋หลิงซีจะลงมือ!


รวมทั้งจ้าวหยิน ที่ตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปอีกเล็กน้อย หว่างคิ้วเผยความเหี้ยมเกรียม ออกตัวปกป้องหลินสวินอีกแล้ว! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?


“ฮวาอู๋โยว นี่เป็นงานเลี้ยงที่ข้าจัดขึ้น เจ้าไม่เพียงบุกเข้ามาโดยพลการ ยังคิดจะฆ่าคน คิดว่าที่นี่เป็นตระกูลฮวาของเจ้าหรืออย่างไร”


สื่ออวี่เอามือไขว้หลัง พูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ปกปิดโทสะของตัวเองแม้แต่น้อย


“จะฆ่าเขา ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า เหตุใดจึงต้องอธิบายกับเจ้าด้วย”


ฮวาอู๋โยวพูดเสียงเย็น แววตาเผยความหยิ่งผยองเต็มประดา สายตากวาดมองไปทั่ว สุดท้ายก็หยุดมองที่ไป๋หลิงซีอย่างอดไม่อยู่คราหนึ่ง


จากนั้นนางเบือนสายตาไปที่หลินสวิน “ข้าจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง อีกสามวัน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ ‘สังเวียนสวรรค์ยุทธ์’ ในนครต้องห้าม หากเจ้าไม่มา ข้ารับรองว่าจะทำลายทุกสิ่งที่เป็นของเจ้าให้พินาศ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!”


เห็นได้ชัดว่าฮวาอู๋โยวดูออกแล้วว่า ยามนี้ยากจะมีโอกาสเล่นงานหลินสวินได้อีก จึงเลือกที่จะถอนตัว แล้วเอ่ยท้าประลอง


พูดจบก็พาฮวาอู๋เหินที่สีหน้าดูไม่จำยอมหมุนตัวเดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว


“คิดจะหนีไปง่ายๆ แบบนี้งั้นหรือ” สืออวี่ใบหน้าอึมครึม


“ทำไม เจ้าอยากให้ข้าอยู่ต่องั้นหรือ”


ฮวาอู๋โยวถามเสียงเรียบโดยไม่คิดจะหันไปมองด้วยซ้ำ


“พวกผู้หญิงหน้าเหม็น หยิ่งผยองนัก!” หนิงเหมิงตะเบ็งเสียง


“ทำไมจะให้เจ้าอยู่ต่อไม่ได้?”


สืออวี่โกรธจนไฟสุมอกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ทันที่เขากับหนิงเหมิงจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ก็ถูกหลินสวินขวางเอาไว้เสียก่อน “พอเถอะ ให้พวกเขากลับไปเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”


สายตาของเขาเรียบเฉย แววตานิ่งขรึมไร้คลื่นลมจนอ่านความรู้สึกภายในใจไม่ออก เพียงแต่น้ำเสียงกลับแสดงนัยอย่างชัดเจน


สืออวี่และหนิงเหมิงประสานสายตากัน สุดท้ายเพียงถอนหายใจโดยไม่พูดอะไรอีก


ส่วนฮวาอู๋โยวราวกับคาดเดาทุกอย่างได้อยู่ก่อนแล้ว พลันหัวเราะเสียงเย็นอย่างดูถูก ก่อนจะพาฮวาอู๋เหินผู้เป็นน้องชายจากไปอย่างรวดเร็ว


นางมาไวไปไว เข้ามาในโถงพลับพลานพนภาก็ลงมืออย่างคลุ้มคลั่ง พอเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็ถอยทัพอย่างเด็ดเดี่ยว เรียกได้ว่าทำตามอำเภอใจอย่างถึงที่สุด คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป


นี่ทำให้สีหน้าของพวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างดูอึมครึมขึ้นพอดู


“ขออภัยทุกท่าน งานเลี้ยงจบเพียงเท่านี้ เราค่อยนัดกันวันหลัง”


เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้อารมณ์ของสืออวี่ดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด และไม่มีกะจิตกะใจจัดงานเลี้ยงต่อไปแล้ว


ทุกคนที่นั่งอยู่สบสายตากันไปมา ก่อนจะค่อยๆ ทยอยกันบอกลา


พวกเขาเองก็รู้ดี ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ทำลายบรรยากาศของงานเลี้ยงจนไม่เหลือสภาพ ขืนยังอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรน่าสนุกแล้ว


ไม่นานหนุ่มๆ สาวๆ ในโถงก็กลับไปกว่าครึ่งแล้ว ไป๋หลิงซีเองก็ลุกขึ้นขอตัวกลับอย่างรวดเร็ว


สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือนางไม่พูดกับหลินสวินอีกเลยแม้แต่คำเดียว ราวกับว่าทุกสิ่งที่นางทำเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การผดุงความเป็นธรรม ไม่ใช่เพื่อปกป้องหลินสวินแต่อย่างใด


แต่นี่ก็ไม่เหมือนนิสัยของนาง มันน่าแปลกนัก


พอไป๋หลิงซีกลับไป จ้าวหยินก็บอกลาตามกันทันที เพียงแต่ก่อนจากไปกลับยิ้มพูดกับหลินสวินทีเล่นทีจริง “หลิงซีก็เป็นคนแบบนี้แหละ ทนเห็นเรื่องอยุติธรรมไม่ได้ เจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่นหรือรู้สึกรับผิดชอบอันใดเลย”


พูดจบก็มองหลินสวินอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะจากไปอย่างผ่าเผย


“เฮ้ย เจ้านี่กำลังเตือนเจ้าว่า อย่าได้เสน่หาไป๋หลิงซีเชียว ไม่อย่างนั้นคุณชายจ้าวหยินอย่างเขาจะโกรธ”


หนิงเหมิงหลุดขำ


ขณะนี้ภายในโถงเหลือเพียงแค่เขา สืออวี่ หลินสวินและหลินเสวี่ยเฟิงเท่านั้น จะพูดอะไรก็ไม่จำเป็นต้องระวังขนาดนั้นแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 369

 

บรรลุด้วยยุทธ์

โดย

ProjectZyphon

ประโยคนั้นของจ้าวหยินมีความหมายว่าอย่างไรนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก ตอนนี้สิ่งที่ทำให้สืออวี่มุ่นคิ้วคือ หลินสวินจะตัดสินใจอย่างไรกับคำท้าประลองของฮวาอู๋โยว


ถ้าหลินสวินไม่ไปตามคำท้า ด้วยนิสัยทำตามอำเภอใจของฮวาอู๋โยว ย่อมกล้าทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!


“ให้ตาย ผู้หญิงคนนั้นน่ารำคาญจริงๆ” สืออวี่อดก่นด่าไม่ได้


“ข้าบอกแล้วว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าคนเดียวก็พอ”


หลินสวินพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ แผลบนแขนขวาของเขาประสานกันด้วยความเร็วจนน่าตกใจ ตอนนี้บนแขนขวาเหลือเพียงรอยแผลเป็นบางๆ


เพียงแต่แผลสามารถประสานเข้ากันได้ แต่คำท้าทายและการโจมตีของฮวาอู๋โยว หลินสวินไม่มีวันลืมง่ายๆ แน่


ฝึกปราณมาถึงวันนี้ เขาผ่านการฆ่าฟันอย่างเหี้ยมโหดมาแล้วมากมาย เคยถูกดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังเอากระบี่จี้คอขู่ เคยถูกฉือฉางเฟิงดูถูกกดขี่


และวันนี้ก็ยังถูกฮวาอู๋โยวจู่โจมเข้ามาสังหารตามอำเภอใจ ถ้ายังทนต่อไปอีก เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเต่าหดหัวแล้ว!


“การประลองครั้งนี้ ข้าต้องไป!”


น้ำเสียงของหลินสวินหนักแน่นอย่างไม่เปิดโอกาสให้สงสัย


“นี่…”


สืออวี่และหนิงเหมิงต่างลังเล


ไม่ว่าฮวาอู๋โยวจะน่าชิงชังเพียงใด แต่นางก็เป็นบุคคลที่เก่งกาจมาก ดังจะเห็นได้จากการที่นางสามารถเข้าไปเป็นศิษย์สายใน ‘เรือนยุทธ์วิถี’ แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตได้ภายในเวลาเพียงปีเดียว


แม้ตอนนี้นางเป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง แต่กระทั่งผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลายก็ยังสู้นางไม่ได้!


ในบรรดาลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลในนครต้องห้าม ถ้าจัดอันดับความสามารถของเหล่าหนุ่มสาวผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ ฮวาอู๋โยวถือว่าเป็นหนึ่งในร้อยเลยเชียว!


การจัดอันดับนี้เหมือนจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่อย่าลืมว่าตระกูลทรงอิทธิพลภายในนครต้องห้ามมีเป็นร้อยเป็นพัน หนุ่มสาวยุคใหม่ที่มากความสามารถก็มีนับไม่ถ้วน การที่ติดหนึ่งในร้อยของระดับมหาสมุทรวิญญาณ ถือว่าโดดเด่นมากในคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว


ส่วนหลินสวินเพิ่งจะบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น แม้พลังการต่อสู้จะเปลี่ยนไปมาก แต่ถ้าเทียบกับฮวาอู๋โยว เห็นได้ชัดว่ายังด้อยกว่ามาก


ในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้สืออวี่และหนิงเหมิงต่างไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลินสวิน


“ข้าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ย่อมต้องเป็นข้าแบกรับมันไว้ หลินสวิน เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากกับเรื่องนี้ ต่อไปเจ้ายังต้องดูแลตระกูลหลินทั้งตระกูล จะปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!”


หลินเสวี่ยเฟิงที่เงียบมาโดยตลอดกัดฟันพูด สีหน้าเผยความเด็ดเดี่ยวเต็มประดา


สืออวี่และหนิงเหมิงต่างอึ้ง ไม่คิดเลยว่าปัญหาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหลินสวิน แต่เพราะญาติผู้พี่คนนี้ของเขา!


ทว่าหลินสวินกลับพูดเสียงเย็น “ถ้าข้ามีความคิดแบบนี้ ตอนนั้นคงไม่ช่วยเจ้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับข้า!”


สีหน้าของหลินเสวี่ยเฟิงเปลี่ยนไปทันที ความรู้สึกในใจซับซ้อนพูดไม่ออก ทั้งขึ้งโกรธ รู้สึกผิด เสียใจ ซาบซึ้งใจ…


“ข้า…”


หลินเสวี่ยเฟิงอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกหลินสวินตบไหล่และยิ้มพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”


“เอาเถิด ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ก็จัดการตามนั้น” สืออวี่เองก็พูดขึ้น เห็นชัดว่าดูออกเช่นกัน ว่าเปลี่ยนใจหลินสวินไม่ได้แล้ว


“ให้พวกเราพี่น้องช่วยเล่นงานหญิงบ้าคนนั้นจนไม่สามารถไปประลองได้ดีหรือไม่”


หนิงเหมิงเสนอ


แผนนี้แม้จะเป็นการลอบกัดอยู่บ้าง แต่ก็เป็นแผนที่ได้ผลมาก ทำให้สืออวี่และหลินเสวี่ยเฟิงต่างตาเป็นประกาย


“ไม่ต้อง”


หลินสวินกลับส่ายหน้าปฏิเสธ นัยน์ตาลึกล้ำของเขาวูบไหวคล้ายขบคิดอะไรอยู่ “การประลองในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับข้า”


“โอกาสอันใด” หนิงเหมิงแปลกใจ


สืออวี่หยุดคิดไปครู่ก็กระจ่าง “เจ้าจะใช้การประลองในครั้งนี้ สร้างบารมีในนครต้องห้ามงั้นหรือ”


“ประมาณนั้น”


หลินสวินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ความคิดของเขามีมากกว่านั้น ถ้าชนะ อาศัยการกำราบฮวาอู๋โยวสร้างฐานบารมี จะเป็นผลดีอย่างมากต่อการปกครองภูเขาชำระจิตของเขาในอนาคต!


ให้ฉายาที่ว่า ‘ผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลที่อ่อนแอที่สุดในนครต้องห้าม’ อะไรนั่นหายไปซะ!


“ข้าไม่ได้ตั้งใจหักหาญน้ำใจกันหรอกนะ แค่อยากรู้ว่า ถ้า…”


หนิงเหมิงเพิ่งจะอ้าปาก หลินสวินก็รู้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร “ศึกนี้ ข้าไม่เผื่อใจให้ความพ่ายแพ้!”


น้ำเสียงหนักแน่นยิ่ง


“ก็ดี! รอให้เจ้าชนะ ข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จให้เจ้าที่หอสรวลทรัพย์แห่งนี้อีก!”


สืออวี่พูดขึ้น


หลินสวินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “ข้าไม่กล้ามาร่วมงานเลี้ยงที่เจ้าจัดอีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างคืนนี้อีก ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ”


สืออวี่ใบหน้าแข็งทื่อไป ในขณะที่หนิงเหมิงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่


……


ยามหลินสวินออกจากหอสรวลทรัพย์ก็ดึกแล้ว


จูเหล่าซานบังคับเกี้ยวสมบัติไปส่งหลินเสวี่ยเฟิงที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรก่อน แล้วจึงพาหลินสวินกลับภูเขาชำระจิต


ระหว่างทางหลินจงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอสรวลทรัพย์แล้วก็ทั้งโกรธทั้งกังวล


หลินจงไม่เห็นด้วยที่หลินสวินตัดสินใจจะไปตามนัดการท้าประลองของฮวาอู๋โยว แต่เขาเองก็รู้ว่าห้ามหลินสวินไม่ได้


“ลุงจง เดี๋ยวกลับถึงภูเขาชำระจิต ท่านนำหนึ่งล้านเก้าแสนเหรียญทองนี้ไปให้พญาแร้ง บอกเขาว่าจะต้องยกระดับความสามารถของภูเขาชำระจิตขึ้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด”


หลินสวินพูดพร้อมยื่นถุงใบหนึ่งให้หลินจง


เหรียญทองมหาศาลนี้ได้มาจากสืออวี่ ซึ่งก็คือรายได้จากการประมูลสมบัติวิญญาณล้ำค่าทั้งเจ็ดชนิดที่หลินสวินฝากสืออวี่ไปก่อนหน้านี้


ความจริงได้ทั้งหมดสองล้านสองแสนเหรียญทอง แต่หลังจากหักล้างกับสามแสนเหรียญทองที่ยืมจากสืออวี่ ก็เหลือหนึ่งล้านเก้าแสนเหรียญทอง


ลองคำนวณดูก็จะรู้ว่าสมบัติวิญญาณทุกชิ้น ล้วนประมูลออกไปในราคาที่สูงสามแสนกว่าเหรียญต่อชิ้น!


เงินก้อนโตนี้ ถือว่าช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้หลินสวินได้บ้าง อย่างน้อยภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ยังไม่ต้องเครียดเรื่องเงิน


“เพราะอะไรหรือนายน้อย” หลินจงอึ้ง


“ข้ามีลางว่า วันคืนข้างหน้าจะต้องเจอปัญหาที่มากกว่านี้แน่ และเราก็มีเวลาไม่มากแล้ว”


หลินสวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเคร่งขรึม “หากตระกูลหลินของเราต้องการเชิดหน้าชูตาขึ้นมา ไม่เพียงแค่จะถูกตระกูลรองอื่นๆ ปฏิเสธและต่อต้าน ยังต้องรับมือกับการก่อกวนจากภายนอกอีกมากมาย เรา…ต้องรีบเตรียมพร้อมรับมืออย่างครอบคลุม”


หลินจงแววตานิ่งขรึม มองใบหน้าที่แน่วแน่และสงบนิ่งของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ แล้วอดสะท้านใจไม่ได้ หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำในช่วงที่ผ่านมา นายน้อยดูต่างจากวันแรกที่ก้าวเข้าสู่ภูเขาชำระจิตอย่างชัดเจน…


เขาเริ่มคุ้นชินกับฐานะของตัวเอง เริ่มสั่งสมความน่าเกรงขามและบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง


และนี่ก็คือเส้นทางการเปลี่ยนแปลง ที่ผู้ควบคุมอำนาจแห่งตระกูลทรงอิทธิพลทุกคนต้องเผชิญ!


……


พอกลับถึงภูเขาชำระจิต หลินสวินก็ไปเก็บตัวอยู่หน้าผายอดภูเขา คืนนี้จันทร์กระจ่างดาราหลบเร้น พยับเมฆมืดครึ้ม สายภูเขาเย็นเยียบ พัดพาผมของเด็กหนุ่มให้พลิ้วไหว


เคร้ง!


หลังจากนั้นไม่นาน หลินสวินก็ลุกขึ้นพร้อมดาบ เงาร่างร่ายรำพลิ้วไหว เริ่มฝึกวิชาดาบกลางท้องฟ้าและสายลม


ดาบคือยุทธ์ ยุทธ์คือดาบ


บรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน การฝึกยุทธ์ก็เปลี่ยนตามไปด้วย เริ่มตระหนักรู้และควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินได้


จวบจนขณะนี้เอง หลินสวินจึงพบว่าอานุภาพของ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ ที่ตัวเองฝึกมา เพิ่งจะสําแดงฤทธิ์ออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง


เช่นกระบวนท่าคว้าดารา แม้เมื่อก่อนจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยากจะทำอะไรยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ เหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะกระบวนท่านี้มีพลังจำกัด แต่เป็นเพราะพลังปราณของเขาน้อยเกินไป


ส่วนตอนนี้ ถ้าใช้กระบวนท่าคว้าดารา ก็จะเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน พลังระดับนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนไม่ใช่แค่หนึ่งเท่า!


หรือจะเป็นกระบวนท่าสอยจันทรา พลานุภาพยิ่งยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบและไม่มีที่สิ้นสุด หากใช้ร่วมกับพลังแห่งจันทรา ย่อมมีพลังที่สามารถสะเทือนภูเขาแม่น้ำ ทำลายล้างสรรพสิ่งได้


และตอนนี้หลินสวินก็กำลังฝึกกระบวนท่าสอยจันทราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ


ภายใต้แสงจันทร์ เด็กหนุ่มเคลื่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ ผมยาวปลิวพลิ้ว ดาบคมเปล่งประกาย สะท้อนแสงจันทร์เต็มฟ้า


สีหน้าของเขานิ่งสงบ ดวงตาสีดำราบเรียบ ราวกับได้ลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหอสรวลทรัพย์ จ่อมจมอยู่ในสภาวะลืมสิ้นทุกสิ่ง


จดจ่อจนลืมตัว


ในโลกของการฝึกปราณ เรียกสิ่งนี้ว่าจดจ่อจนลืมตัว!


เหมือนเช่นหลินสวินในตอนนี้ที่วาดดาบไปตามใจ ล่องลอยดุจจันทร์กระจ่างและสายลมเย็น ไหลเคลื่อนราวกับหมู่เมฆและธารน้ำ ไร้ซึ่งร่องรอย เปี่ยมไปด้วยความสงบ


“เขายังคงกำลังฝึกดาบเหมือนที่ผ่านมา ไม่ได้รีบเร่งใช้เวลาทั้งหมดกับการทะลวงขั้นปราณ ดูเหมือนว่าการนัดประลองในอีกสามวันข้างหน้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลยสักนิด”


พญาแร้งที่ยืนอยู่ไกลออกไปคล้ายกำลังใคร่ครวญ


เสี่ยวเคอเองก็แอบพยักหน้า


สภาวะของหลินสวินในตอนนี้ก็คือการลืมตัวตน ท่าทางสงบไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้ ถ้ามีเรื่องที่ยังผูกมัดตัดไม่ขาดอยู่ ไม่มีทางนิ่งสงบขนาดนี้ได้แน่


ในอีกด้านของยอดเขามีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง ตรงหน้ากระท่อมหลินจงทอดสายตามองไปที่ยอดผาบนเขา แววตาวาบประกายแปลกประหลาด


“การฝึกยุทธ์ก็คือวิถีแห่งยุทธ์ นายน้อยเริ่มใช้ยุทธ์บรรลุวิถี เพื่อควบคุมนัยอันแท้จริงของการต่อสู้”


หลินจงพึมพำ “ปีนั้นหลังจากข้าบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลาย ถึงเพิ่งจะเข้าใจหลักการนี้… ก็ไม่รู้ว่าตอนที่นายน้อยบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ จะได้ครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรคในระดับใด…”


“ใครบอกว่าพลังแห่งสัจจะมหามรรคต้องบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะก่อนถึงจะครอบครองได้”


จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังแว่วออกมาจากในกระท่อม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นจูเหล่าซาน


“เมื่อครั้งฆ่าฟันอยู่ในสนามรบ ข้าเคยพบคนหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถควบคุมสัจวิถีธาตุไฟซึ่งอยู่ในมหาวิถีปัญจธาตุได้ทั้งที่อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง หนึ่งกระบี่ทำลายล้างสรรพสิ่ง ไม่มีผู้ใดเทียบได้”


จูเหล่าซานเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับสร้างความประทับใจให้หลินจง “ใครกัน?”


“ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิ รู้เพียงว่าเขาชื่อเฉินเสียนตู้”


หลินจงอึ้งงันไป สายตาจ้องไปที่หลินสวินซึ่งสะบัดดาบร่ายรำท่ามกลางหมู่เมฆและแสงจันทร์บนยอดเขา กล่าวอย่างคล้ายขบคิด “ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดว่านายน้อยจะได้ครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรคตั้งแต่ยังไม่บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะงั้นหรือ”


“ไม่รู้”


จูเหล่าซานตอบตรงมาก ทำให้ใบหน้าหลินจงแข็งทื่อไปทันที


ครู่ใหญ่หลินจงจึงเปรยว่า “ต่อให้นายน้อยไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่ด้วยพลังยุทธ์ของเขา ย่อมเพียงพอที่จะเป็นบุคคลผู้น่าภาคภูมิในระดับมหาสมุทรวิญญาณ!”


ในท่าทางนั้นปรากฏความรู้สึกหยิ่งผยองภาคภูมิอย่างบอกไม่ถูก

 

 

 


ตอนที่ 370

 

 ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน

โดย

ProjectZyphon

ในคืนเดียวกัน


หลังจากกลับถึงตระกูล หลินเสวี่ยเฟิงก็ตรงไปที่เรือนพักของหลินไหวหย่วนผู้เป็นบิดาทันที


“ท่านพ่อ ลูกมีเรื่องจะรายงาน” หลินเสวี่ยเฟิงสีหน้าจริงจัง


“ว่ามา” หลินไหวหย่วนยิ้มพูด


“ลูกตัดสินใจแล้วว่า ต่อไปจะสนับสนุนน้องหลินสวินในการครองอำนาจในภูเขาชำระจิตอย่างเต็มที่!”


หลินเสวี่ยเฟิงพูดอย่างมาดมั่น


รอยยิ้มบนมุมปากของหลินไหวหย่วนชะงักค้าง ครู่ใหญ่จึงพูดว่า “บอกเหตุผลข้ามา”


จากนั้นหลินเสวี่ยเฟิงก็เล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ รวมทั้งเรื่องที่ตัวเองเกือบตายคามือฮวาอู๋เหินอย่างไม่คิดปิดบัง


เมื่อทราบเรื่องทั้งหมด สีหน้าของหลินไหวหย่วนพลันเผยความสับสน ครู่ใหญ่จึงถอนหายใจ “ข้าเข้าใจแล้ว”


จากนั้นก็อดถามไม่ได้ “แต่เจ้า…แน่ใจแล้วหรือว่าจะทำแบบนี้ อย่าลืมว่าถ้าหลินสวินแพ้การประลองกับฮวาอู๋โยว เจ้าก็จะยิ่งมีโอกาสกลับไปชิงอำนาจการครอบครองภูเขาชำระจิต…”


พูดยังไม่ทันจบหลินเสวี่ยเฟิงพลันแทรกขึ้นมาอย่างขึ้งโกรธ “ท่านพ่อ หลินสวินออกไปประลองแทนลูก ท่าน…ท่านพูดแบบนี้ได้อย่างไร”


หลินไหวหย่วนกลับยิ้มอย่างปล่อยวาง “ข้ามั่นใจแล้วว่าเจ้าละวางสิ่งที่ยึดมั่น และหันไปช่วยหลินสวินอย่างจริงใจ”


หลินเสวี่ยเฟิงอึ้งงันไป เพิ่งเข้าใจว่าที่บิดาพูดเมื่อครู่นี้เพราะต้องการจะลองใจเขา จึงอดรู้สึกผิดไม่ได้ “ท่านพ่อ ลูกทำให้ท่านพ่อผิดหวังแล้ว”


หลินไหวหย่วนยกมือขึ้นโบก “เจ้าอย่าได้คิดแบบนี้ เพราะถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าก็จะตัดสินใจแบบเดียวกัน เจ้าทำดีมากแล้ว ข้าภูมิใจมาก เรื่องนี้ข้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างแน่นอน”


หลินเสวี่ยเฟิงสะท้าน พลันพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านพ่อที่เข้าใจ!”


“แต่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะยอมจำนนต่อหลินสวินในทันที เขามีสัญญากับท่านปู่ของเจ้า เรื่องนี้ต้องเป็นไปตามความต้องการของท่านปู่ของเจ้า”


หลินไหวหย่วนพูดอย่างจริงจัง


“ลูกเข้าใจ” หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้า


“ไปเถอะ”


หลินไหวหย่วนยกมือขึ้นโบก มองลูกชายจนลับสายตาไปแล้วจึงถอนหายใจคราหนึ่ง


ยังมีอีกเรื่องที่หลินไหวหย่วนไม่ได้พูดออกมา เมื่อหลินเสวี่ยเฟิงตัดสินใจจะสนับสนุนหลินสวินอย่างเต็มกำลัง ก็เท่ากับว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของพวกเขาได้ยอมจำนนต่อหลินสวินแล้ว ส่วนเรื่องที่จะยอมเชื่อฟังอย่างสุดใจเมื่อไร นั่นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น


“หลินสวินผู้นี้…ถือว่าเป็นเด็กอัจฉริยะที่หายาก ถ้าเขาชนะการประลองกับฮวาอู๋โยวจริงๆ ย่อมสร้างความตื่นตะลึงอย่างยิ่งใหญ่ รวมถึงเป็นการกล่าวเตือนตระกูลสาขาทั้งสามอย่างแน่นอน”


หลินไหวหย่วนนั่งครุ่นคิดเพียงลำพัง


จากการสนทนากับหลินเสวี่ยเฟิง ทำให้เขาตระหนักได้ว่า การที่สามารถอยู่ร่วมกับหนุ่มสาวยุคใหม่มากความสามารถอย่างสืออวี่ หนิงเหมิง ไป๋หลิงซี จ้าวหยินได้ ความสามารถของหลินสวินย่อมไม่อาจมองข้ามได้เด็ดขาด!


……


ณ ตระกูลหลินแห่งธารประจิม


แสงไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งห้องประชุมในยามดึก


หลินเทียนหลงหัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมเก็บข่าวที่เพิ่งได้รับมาก่อนหัวเราะเสียงดังไม่หยุด “ดีๆๆ ในที่สุดมันก็เจอของจริง! ไม่เพียงแค่มีเรื่องกับฮวาอู๋เหิน แต่ถึงขั้นทำร้ายสองพี่น้องตระกูลซ่งจนสาหัสที่หอสรวลทรัพย์ แบบนี้ก็เท่ากับเขามีเรื่องกับตระกูลทรงอิทธิพลถึงสองตระกูลในคราเดียว!”


“ที่เด็ดที่สุดคือ เขาดันไม่รู้จักประมาทตน ไปรับคำท้าของฮวาอู๋โยว ฮวาอู๋โยวนั่นเป็นนางยักษ์เผด็จการที่ทำอะไรตามอำเภอใจและมีชื่อเสียงมากในสำนักศึกษามฤคมรกต คิดไปประลองกับนางถือว่ารนหาที่ตายชัดๆ”


อีกด้านหลินเนี่ยนซานหัวหน้าตระกูลหลินแห่งคานเมฆาเองก็ขำเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่


“แบบนี้เรียกว่ากรรมตามสนอง หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นหรอก ด้วยความเหี้ยมโหดของนางยักษ์ ถ้าหลินสวินแพ้ ไม่ตายก็คงพิการ บางทีเราอาจจะฉวยโอกาสตอนนั้นลงมือช่วงชิงภูเขาชำระจิตกลับมา!”


หลินผิงตู้หัวหน้าตระกูลหลินแห่งยอดวายุพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน


ช่วงที่ผ่านมาพวกเขาต่างอัดอั้นกันมาก ทีแรกวางแผนกันเอาไว้ว่าจะฉวยโอกาสควบคุมหลินสวินให้มาเป็นหุ่นเชิดของพวกเขา


ใครจะคิดว่าหลินสวินจะเก็บตัวอยู่แต่ในภูเขาชำระจิตไม่ยอมออกมา พอออกมาแต่ละที ก็พายอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินจงและจูเหล่าซานออกมาด้วยทุกครั้ง ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้ลงมือ


จวบจนกระทั่งตอนนี้ ในขณะที่พวกเขากำลังรู้สึกผิดหวังกลับมีข่าวดีเช่นนี้ จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร


“แต่เส้นสายของเจ้านี่ก็ดูถูกไม่ได้เชียว ในข่าวบอกว่า ในงานเลี้ยงที่หอสรวลทรัพย์ที่เขาเข้าร่วมครั้งนี้ แม้กระทั่งหนุ่มสาวมากความสามารถอย่างสืออวี่ หนิงเหมิง ไป๋หลิงซี จ้าวหยินยังออกหน้าแทนเขา จนซ่งชงเฮ่อและซ่งเจ๋อต้องหนีกระเจิงออกมา ถือว่าไม่ธรรมดาเลยเชียว”


หลินเทียนหลงเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึม


ได้ยินแบบนี้ ความตื่นเต้นของหลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้พลันหดหายไปไม่น้อย สีหน้ากลับมาสงบนิ่ง


“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าเขาสนิทกับคนหนุ่มสาวเหล่านั้นมากเพียงใด แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะไม่ว่าอำนาจเบื้องหลังของหนุ่มสาวเหล่านี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด อำนาจเหล่านั้นก็ไม่มีทางหันมาสนับสนุนหลินสวินเพียงเพราะความคิดของคนเหล่านี้แน่”


หลินเนี่ยนซานแจงเสียงเย็น “ก็เหมือนสืออวี่ แม้เขาจะเป็นบุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐีสือ แต่ถ้าจะให้อัครการค้าสนับสนุนหลินสวินอย่างเต็มกำลังก็คงเป็นไปไม่ได้”


“ไม่เพียงเท่านี้ แค่เรื่องที่หลินสวินล่วงเกินลูกหลานของตระกูลซ่งและตระกูลฮวา ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาพินาศได้!”


หลินผิงตู้พูดอย่างเย็นชา “เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือ รอดูความพ่ายแพ้ของมันแล้วฉวยโอกาสเข้าควบคุมมันซะ!”


“สามวันหลังจากนี้ เราไปดูการประลองที่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์กันดีหรือไม่” หลินเทียนหลงเสนอ


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ตอบรับอย่างยินดี


……


คืนนี้ไม่เพียงแค่ตระกูลรองทั้งสี่ของตระกูลหลิน แต่ตระกูลทรงอำนาจทรงอิทธิพลมากมายในนครต้องห้ามต่างได้รับข่าวพวกนี้


ถึงอย่างไรเรื่องที่ลูกหลานตระกูลฮวาโดนซัดจนร่วงกลางถนน และลูกหลานตระกูลซ่งถูกทำร้ายจนสาหัสนั้นช่างชวนตะลึงยิ่ง ประเด็นหลักคือ คนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ยังเป็นคนเดียวกัน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจจากขุมอำนาจททั้งหมดแล้ว


“หลินสวินคือใคร?”


“ได้ยินว่าเป็นทายาทสายตรงของท่านเต้าเฉิน ตอนนี้อาศัยอยู่ที่ภูเขาชำระจิต”


“เหอะๆ น่าสนใจ! หลังจากเหตุการณ์นองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็ไม่ค่อยยินข่าวเกี่ยวกับตระกูลหลินอีกเลย”


……


“เด็กคนนี้ถือว่าเอาเรื่อง มีเรื่องกับลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลถึงสองตระกูลในคืนเดียว ก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจจากไหนมา”


“ใช่ อีกสามวันเขาจะไปประลองกับนางยักษ์ฮวาอู๋โยวที่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งนัก”


“ก็ไม่รู้ว่าตระกูลฮวาและตระกูลซ่งจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”


“ถึงเวลานั้นพวกเราไปดูกันดีไหม”


“ก็ดีเหมือนกัน สมัยก่อนท่านเต้าเฉินเป็นบุคคลระดับตำนานที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แม้แต่จักรพรรดิคนปัจจุบันยังเคารพนับถือเขาเป็นอย่างมาก ข้านึกสงสัยนักว่าทายาทสายตรงของท่านเต้าเฉินคนนี้จะมีความโดดเด่นอะไรบ้างหรือไม่”


……


“ใคร? เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่อ่อนแอที่สุดในนครหลวงนั่นน่ะหรือ”


“ใช่ เขานั่นแหละ!”


“เด็กนี่กล้าดีเดือดนัก กล้าหาเรื่องแม้กระทั่งนางยักษ์อย่างฮวาอู๋โยว รนหาที่ชัดๆ”


“เหอะๆ ข้ามีลางว่า หลังจากพรุ่งนี้นครต้องห้ามจะต้องสั่นสะเทือนเพราะเรื่องนี้!”


“แน่นอนอยู่แล้ว คนที่กล้าหาเรื่องลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลสองตระกูลพร้อมกันแบบนี้ไม่ได้มีมานานแล้ว”


……


ยามราตรี คำวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครต้องห้ามด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ ชักนำให้เกิดเสียงฮือฮามากมาย


และในเช้าวันถัดมา


ฟ้าเพิ่งจะสร่าง จอภาพวิญญาณขนาดใหญ่ใจกลางนครต้องห้ามก็เริ่มฉายข่าวนี้


หญิงสาวบุคลิกสง่างาม ใบหน้าสวยผ่องยองใย กำลังรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอสรวลทรัพย์เมื่อคืนที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบอย่างฉะฉาน


ความโกลาหลบังเกิดทันควัน เสียงฮือฮาดังขึ้นไม่ขาดสาย


“หลินสวินคนนี้เก่งกาจขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร”


“ไร้สาระ ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาแล้วไม่ใช่หรือว่าเขามีเรื่องรัดตัว ไม่สามารถเข้าร่วมได้ ไม่อย่างนั้นในการทดสอบระดับอาณาจักรครั้งนี้ต้องมีที่ยืนสำหรับเขาอยู่แล้ว!”


“หึ เก่งแค่ไหนก็เท่านั้นแหละ บังอาจหาเรื่องตระกูลฮวาและตระกูลซ่งก็มีแต่ตายกับตาย สงสารเจ้าหนุ่มคนนี้จริงๆ เพิ่งได้ครองอำนาจภูเขาชำระจิตแท้ๆ คราวนี้ไม่เพียงเขาที่พินาศ คิดว่าภูเขาชำระจิต…ก็คงต้องเปลี่ยนเจ้าของซะแล้วกระมัง”


“เฮ้ย แค่พูดก็พูดได้สิ ต่อให้หลินสวินจะแย่แค่ไหน แต่เขาก็กล้าซัดลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลจนร่วง เจ้ากล้าหรือเปล่า ไม่กล้าก็เงียบไป”


“เหอะๆ ต่อให้เขาจะเก่งแค่ไหน แต่จะสู้นางยักษ์อย่างฮวาอู๋โยวได้หรือ คอยดูเถอะ หลินสวินในอีกสามวันให้หลังต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ชื่อเสียงป่นปี้แน่!”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา เกิดขึ้นไม่ขาดสาย ข้อวิจารณ์เกี่ยวกับตัวหลินสวินยิ่งกลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา


นี่ถือเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับหลินสวินอ้อมๆ เกรงว่าอีกไม่นานคงแพร่ไปทั่วนครต้องห้าม และกลายเป็นที่รู้จักของผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วน


ส่วนการประลองของหลิงสวินและฮวาอู๋โยวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า ยิ่งเป็นที่รอคอยและตื่นเต้นของผู้คน


ทุกคนต่างวิ่งแจ้นไปสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ด้วยความเร็วดั่งห้อม้าทันทีที่รู้ข่าวนี้ แต่กลับพบอย่างตะลึงว่า ตั๋วเข้าสนามประลองในอีกสองวันขายหมดไปแล้ว!


เท่านี้ก็รู้แล้วว่าการประลองในครั้งนี้ได้รับความสนใจมากเพียงใด


แม้แต่ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็มีศิษย์จำนวนไม่น้อยให้ความสนใจกับการประลองครั้งนี้ เพราะฮวาอู๋โยวเป็นศิษย์สายในคนหนึ่งของ ‘เรือนยุทธ์วิถี’ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง


ด้วยฐานะระดับนาง อยากจะท้าประลองกับใคร จะให้เงียบเชียบไม่เป็นที่สนใจคงทำได้ยาก


ไม่นานศิษย์มากมายก็เริ่มสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหลินสวิน จนรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ทั้งยังไม่เคยเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร จึงอึ้งไปตามๆ กัน


คนแบบนี้คู่ควรให้ประลองกับฮวาอู๋โยวงั้นหรือ


แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็น ศิษย์จำนวนหนึ่งตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปดูให้เห็นกับตา ว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินสวินคนนั้นจะแน่แค่ไหนกันเชียว และหวังว่าจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง


หลินสวินไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย


ตั้งแต่กลับสู่ภูเขาชำระจิตเมื่อคืนเขาก็เข้าสู่การฝึกเหมือนที่ผ่านมา นั่งขัดสมาธิ ฝึกดาบ ชื่นชมธรรมชาติ ใช้ชีวิตอย่างราบเรียบอิสระ ราวกับการประลองกับฮวาอู๋โยวไม่ส่งผลอะไรต่อเขาเลยสักนิด


จวบจนกระทั่งวันประลอง หลินสวินกินอาหารเช้าอันหลากหลายฝีมือเสี่ยวเคอท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นแล้วบิดขี้เกียจอย่างพอใจ ก่อนจะบอกลาเสี่ยวเคอและพญาแร้งพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “รอเมื่อข้ากลับมาค่อยไปโรงหลอมอาวุธของหยางหลิงด้วยกัน จู่ๆ ข้าก็คิดวิธีทำเงินดีๆ ออก”


พูดจบเขาจึงออกจากภูเขาชำระจิตไปพร้อมกับหลินจงและจูเหล่าซาน


“เจ้าเด็กนี่ดูผิดปกติหน่อยๆ หรือไม่ จะประลองวันนี้อยู่แล้ว เขายังมีกะจิตกะใจห่วงเรื่องหาเงินอีกหรือ” หว่างคิ้วสวยของเสี่ยวเคอเผยความตะลึง


“ฮ่าๆ ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน ยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเขามั่นใจกับการประลองในครั้งนี้”


พญาแร้งอมยิ้ม กลางนัยน์ตากระจ่างเต็มไปด้วยแววเฉียบคม


“อ้อ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”


เสี่ยวเคอคล้ายครุ่นคิด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)