Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 358-363
ตอนที่ 358
โอกาสทองถึงสองครั้ง
ยามหลินสวินกำลังจะกล่าวลา กลับถูกหลินเป่ยกวงเรียกเอาไว้
“บนเขามหัตหลวงของตระกูลหลินที่อยู่นอกนครต้องห้ามหนึ่งพันเจ็ดร้อยลี้มีสายแร่ระดับสาม ในแต่ละเดือนจะได้กำไรห้าแสนเหรียญทอง ต่อไปรายได้จากสายแร่เหมืองแห่งนี้จะถูกส่งไปที่ภูเขาชำระจิตตามเวลา”
หลินเป่ยกวงครั้นเอ่ยปากก็ให้ของขวัญชิ้นใหญ่ออกมา
“ต่อไปถ้าความสามารถของเจ้ายิ่งแข็งแกร่งขึ้น ข้าก็จะทยอยยกกิจการของตระกูลหลินให้อยู่ในการควบคุมของภูเขาชำระจิต”
หลินสวินหัวใจสะท้าน จ้องหลินเป่ยกวงอึ้งๆ ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เชื่อว่าท่านปู่ห้าผู้นี้ของตนไม่ได้จงใจใช้คำว่า ‘บททดสอบ’ มากลั่นแกล้ง
“ขอบพระคุณท่านปู่ห้า” หลินสวินโค้งคำนับ
“นอกจากนี้ มีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาเจ้า”
หลินเป่ยกวงใคร่ครวญแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้ามีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ข้างกายกลุ่มหนึ่ง และต่างเป็นคนนอก นี่ไม่ดีต่อการปกครองตระกูลของเจ้าในอนาคต เพราะอย่างไรคนนอกก็คือคนนอก เรื่องในตระกูลควรให้คนในตระกูลจัดการ”
หลินสวินเองก็เคยคิดเรื่องนี้ ถึงขั้นที่พญาแร้งเคยวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้ให้เขาฟัง
ดังนั้นหลังจากได้ยินหลินเป่ยกวงพูดเช่นนี้ เขาพลันตระหนักได้และพูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านปู่ห้ามีคำแนะนำอย่างไร”
หลินเป่ยกวงเอ่ย “ข้าคิดว่าจะส่งลูกหลานวัยเยาว์ในตระกูลไปที่ภูเขาชำระจิต เจ้าจะอนุญาตหรือไม่”
ถ้าเป็นคนทั่วไปได้ยินแบบนี้คงต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการสอดแทรกอำนาจของตระกูลหลินแห่งแสงอุดมไว้ข้างกายหลินสวิน!
ถ้าวันหนึ่งคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดมเหล่านี้ควบคุมทุกอย่างในภูเขาชำระจิตได้ ก็อาจจะควบคุมเจ้าของอย่างหลินสวินไปด้วย!
เพียงแต่หลินสวินคิดๆ แล้วกลับพูดว่า “แน่นอนว่าต้องยินดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ภูเขาชำระจิตกำลังรกร้างรอวันฟื้นตัว ขาดกำลังคนที่ไว้ใจได้อย่างมาก หากมีคนในตระกูลให้ความช่วยเหลือ ย่อมสามารถแบ่งเบาภาระของข้าได้ไม่น้อย”
หลินเป่ยกวงยิ้มอย่างคลุมเครือแล้วเอ่ยว่า “อยากจะครอบครองอำนาจทั้งหมดในตระกูล ก็ต้องมีวิธีในการใช้อำนาจ หลังจากคนเหล่านั้นไปถึงภูเขาชำระจิต ดูซิว่าเจ้าจะรับมือกับพวกเขาได้หรือไม่”
หลินสวินเองก็ยิ้ม “สำหรับข้า มีตระกูลหลินเพียงตระกูลเดียว ไม่มีการแบ่งแยกตระกูลสาขาและตระกูลหลักอย่างธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุและแสงอุดร หากข้าสามารถใช้งานได้ ข้าจะถือเป็นคนกันเอง แต่ถ้าไม่…”
“เจ้าจะทำอย่างไร?”
นัยน์ตาของหลินเป่ยกวงลึกซึ้ง จ้องหลินสวินอย่างไม่ละสายตา
หลินสวินกลับยิ้มแล้วย้อนถาม “ท่านปู่ห้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร”
หลินเป่ยกวงอึ้งไป ก่อนจะโบกมือพูด “ช่างเถอะ เจ้าตัดสินใจเองแล้วกัน ข้าหวังเพียงว่าตอนที่ต้องตัดสินใจอะไร เจ้าจะยึดส่วนรวมเป็นหลัก”
“ส่วนรวมงั้นหรือ” หลินสวินเลิกคิ้ว
หลินเป่ยกวงพูดอย่างจริงจัง “ใช่ ส่วนรวม”
“ได้” หลินสวินรับคำสบายๆ
เขาตอบอย่างผ่อนคลายและเรียบเฉยเกินไป ทำให้หลินเป่ยกวงยากจะตัดสินได้ในชั่วขณะว่าคำพูดนี้ของหลินสวินเชื่อได้แค่ไหน
ครู่หนึ่งหลินเป่ยกวงจึงโบกมือพร้อมกล่าว “ไปเถอะ เจ้าแบกรับภาระอันใหญ่โต ไม่เพียงแค่ศึกใน แต่ยังมีศึกนอก หวังว่า…สักวันหนึ่งเจ้าจะสามารถแก้แค้นให้ตระกูลหลินได้จริงๆ และพาตระกูลหลินผงาดเหนือนครต้องห้ามอีกครั้ง!”
สีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงกลับเหมือนกำชับ
หลินสวินพลันโค้งคำนับลา
ตั้งแต่ออกจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรกลับไปยังภูเขาชำระจิต หลินสวินคิดไตร่ตรองตลอดทาง
หลังจากเรื่องนี้ ทำให้หลินสวินรู้ท่าทีของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่อตนในระดับหนึ่งแล้ว
แม้คนส่วนใหญ่ในตระกูลไม่ชื่นชมในตัวเขา แต่หลินสวินเชื่อว่าขอเพียงแค่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่เห็นตนเป็นศัตรู สักวันตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะต้องกลับคืนสู่ภูเขาชำระจิตโดยดี!
นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย
ในบรรดาตระกูลสาขาทั้งสี่ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไปแล้ว ทำให้การจัดการ ‘ศึกใน’ ของหลินสวินก้าวไปอีกก้าวใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
ส่วนเรื่องที่จะจัดการกับอีกสามตระกูลสาขาที่เหลืออย่างไร หลินสวินไม่รีบ แต่เขาได้รับปากเอาไว้แล้วว่า จะให้เวลาพวกเขาคิดสามปี
หลังสามปี ถ้าพวกเขายังดื้อดึงไม่ยอมรับ ยืนยันว่าจะเป็นศัตรูกับตน งั้นหลินสวินก็จะไม่ปรานี!
……
ภูเขาชำระจิต
หลังจากหลินสวินกลับมา ก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรให้พญาแร้งฟัง
“การต่อต้านและปฏิเสธทั้งหลายยากจะหลีกเลี่ยง รอให้เจ้ามีพลังที่แข็งแกร่งก่อน ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรก็จะยอมจำนนต่อเจ้า”
พญาแร้งสรุป
หลินสวินเองก็เห็นด้วย “ข้าก็คิดเช่นนี้”
“หลังจากการเตรียมการในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ห้องหลอมยาของชื่อเซวี่ย ฐานหลอมอาวุธของหยางหลิงก็กำลังจะเริ่มทำแล้ว ฝั่งผู้เฒ่าเตียวก็เริ่มเตรียมการวางค่ายกลให้กับภูเขาชำระจิตแล้ว”
พญาแร้งพลันเปลี่ยนเรื่อง “ไม่รู้ว่าเจ้ามีการวางแผนเรื่องนี้อย่างไรบ้าง”
หลินสวินคิดๆ แล้วพูดอย่างจนปัญญา “ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ คงต้องรบกวนท่านช่วยจัดการด้วยตัวเอง”
พญาแร้งบื้อใบ้ไปชั่วขณะ ค่อยพยักหน้าพูด “ช่างเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน”
จู่ๆ เขาก็คิดอะไรออก พลันพูดว่า “หลินสวิน หลังจากที่เสี่ยวเคอได้ไปสืบมาอย่างละเอียด มั่นใจแล้วว่าตระกูลสาขาทั้งสามของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุคงไม่มีใครยอมจำนนต่อเจ้า”
หลินสวินพูดสบายๆ “ข้าเข้าใจ อย่างไรข้าก็ให้เวลาพวกเขาคิดสามปี หลังจากสามปีค่อยตัดสินจากท่าทีของพวกเขาเป็นพอ”
พญาแร้งส่ายหน้า “ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว พวกเขาไม่มีทางยอมเจ้า”
“เพราะเหตุใด?”
“ง่ายมาก ในเหตุนองเลือดบนภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกเขาทั้งสามตระกูลเคยแอบไปสมคบกับขุมอำนาจภายนอกเพื่อช่วงชิงและแบ่งทรัพย์สินของตระกูลหลิน!”
หลินสวินหรี่ตา เงียบไปครู่จึงพูดว่า “ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรมีส่วนร่วมในการสมคบศัตรูภายนอกหรือไม่?”
“ไม่”
พญาแร้งส่ายหน้า
หลินสวินแอบโล่งใจ ถ้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเคยคบคิดกับศัตรูภายนอกมาก่อน ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าจะทำอย่างไร?” พญาแร้งถาม
“ในเมื่อข้าเคยสัญญากับพวกเขาว่าจะให้เวลาคิดสามปี แน่นอนว่าจะคืนคำไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ข้าให้อภัยความผิดที่พวกเขาเคยทำ กลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาดำขลับแฝงความเย็นเยียบ
……
กลางดึก
หลินสวินนั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือบนชั้นสองของภูเขาชำระจิตเพียงลำพัง
ดูจากตอนนี้ ในที่สุดเรื่องวุ่นวายของภูเขาชำระจิตก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
ภายในมีพญาแร้ง เสี่ยวเคอคอยช่วย ทั้งยังมีหลินจงและจูเหล่าซานคอยควบคุมสถานการณ์ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะรับประกันได้ว่าทุกอย่างในภูเขาชำระจิตจะขับเคลื่อนไปตามปกติ
ในขณะเดียวกันท่านปู่เป่ยกวงก็รับปากแล้วว่าจะส่งห้าแสนเหรียญทองมาให้ทุกเดือน สำหรับหลินสวินที่กำลังขัดสนเรื่องเงิน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียแรงออกไปวิ่งเต้นหาเงินอีก
อีกอย่างรอให้เรื่องที่พวกชื่อเซวี่ยและหยางหลิงกำลังเร่งอยู่เปิดใช้งานอย่างราบรื่น ย่อมสร้างรายได้ให้กับภูเขาชำระจิตในระดับหนึ่ง
ส่วนปัญหาของตระกูลสาขาทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ หลินสวินยังไม่คิดจะวู่วามทำอะไรตอนนี้
รอให้กำลังของภูเขาชำระจิตค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นจนถึงระดับหนึ่งก่อน แน่นอนว่าหลินสวินจะต้องลงมือแก้ไขปัญหาศึกภายในตระกูลให้จบ
แต่หลินสวินก็รู้ดีว่า การที่ตนไม่ได้ลงมือ ไม่ได้หมายความว่าตระกูลสาขาทั้งสามจะยอมหยุดเพียงเท่านี้
ถึงขั้นที่ว่า จากที่พญาแร้งวิเคราะห์ ทั้งสามตระกูลสาขาได้เริ่มลงมือไปอย่างเงียบๆ แล้ว หมายจะควบคุมหลินสวินให้กลายเป็นหุ่นเชิดในมือพวกเขา
ถ้าเป็นแบบนั้นไม่เพียงไม่ทำให้หลินสวินถึงแก่ชีวิต ยังสามารถทำให้พวกเขาได้กลับมาครอบครองอำนาจสูงสุดบนภูเขาชำระจิต เรียกได้ว่าเป็นแผนการที่ร้ายกาจเหลือเกิน
เหมือนกับเหตุการณ์ที่หลินสวินถูกลอบทำร้ายระหว่างทางกลับจากอัครการค้าเมื่อหลายวันก่อน หากไม่ใช่เพราะหลินจงสำแดงฤทธิ์ก็คงแย่
การลอบทำร้ายในครั้งนั้นเป็นแผนของตระกูลสาขาทั้งสาม ผู้ที่ลงมือคือยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะที่ได้รับฉายาว่าเป็น ‘มารเฒ่าฉวี่’
คนผู้นี้ชำนาญวิชาการช่วงชิงวิญญาณที่สุด
จากเรื่องนี้สามารถคาดการได้ว่า ที่ตระกูลสาขาทั้งสามทำเช่นนี้ เหมือนที่พญาแร้งวิเคราะห์ว่าไม่ใช่เพื่อฆ่าหลินสวินให้ตาย แต่ต้องการควบคุมดวงวิญญาณของเขา ให้เป็นหุ่นเชิดสูญเสียความนึกคิด!
ก็เพราะเรื่องนี้ เหตุผลหลักๆ ที่คราวนี้หลินสวินพาจูเหล่าซานและหลินจงไปที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรด้วย ก็เพื่อป้องกันการลอบโจมตีจากตระกูลสาขาทั้งสาม
ทว่าขอเพียงแค่อยู่ในภูเขาชำระจิต หลินสวินก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้
เหตุผลนั้นง่ายมาก ในฐานะที่ภูเขาชำระจิตเป็นหนึ่งในยอดเขาแห่งอำนาจทั้งเจ็ดสิบสอง ย่อมต้องมีข้อห้ามอันน่ากลัวอยู่ในตัว ถ้าหลินสวินไม่อนุญาต คนนอกก็อย่าคิดว่าจะบุกรุกเข้ามาได้
‘สิ่งเดียวที่ต้องทำตอนนี้คือการยกระดับกำลังของภูเขาชำระจิต ทั้งหมดนี้ล้วนสามารถมอบหมายให้พญาแร้งเป็นคนจัดการได้…’
หลินสวินใคร่ครวญ ‘และสิ่งที่ข้าต้องทำก็คือยกระดับความสามารถ เพิ่มพูนชื่อเสียง ทำทุกวิถีทางเติมเต็มรากฐานของตัวเอง’
หลินสวินรู้ดีว่า ในฐานะผู้สืบทอดภูเขาชำระจิต ความสามารถและชื่อเสียงเป็นพื้นฐานที่สุด ถ้าไม่มีทั้งหมดนี้ อย่างอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง!
หืม?
จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ตนบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว และนี่ก็หมายความว่ายังมีอีกสองโอกาสวางอยู่ตรงหน้าตน!
ไม่ผิด ไม่ใช่แค่โอกาสเดียว แต่เป็นสองโอกาส!
โอกาสที่หนึ่งคือเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์!
คราวที่แล้วตอนที่ออกจาก ‘ด่านที่สามแห่งทางเดินเมฆาหยก’ เขาได้รับคำเตือนว่า การเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์คราวหน้า พลังปราณต้องอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ
และตอนนี้เขาก็ได้บรรลุสู่ระดับที่ว่าแล้ว!
การเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ในครั้งนี้จะมีบททดสอบและรางวัลอะไรรอเขาอยู่นะ?
หลินสวินตื่นเต้นมาก
แต่คิดๆ แล้วเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปรับบททดสอบในโถงมรรคาสวรรค์ตอนนี้
เขาเพิ่งจะบรรลุ ยังไม่สามารถควบคุมพลังทั้งหมดในระดับมหาสมุทรวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ เข้าไปรับบททดสอบตอนนี้เสี่ยงเกินไป อีกทั้งยังสิ้นเปลืองโอกาสในการทดสอบ ได้ไม่คุ้มเสีย
คิดถึงตรงนี้ หลินสวินก็หยิบแหวนสีดำธรรมดาๆ วงหนึ่งที่ราวกับทำจากเหล็กดำและไม่มีความพิเศษขึ้นมา
แต่ที่มาของแหวนวงนี้กลับไม่ธรรมดา!
แหวนวงนี้มีชื่อว่า ‘ประสานมายา’ เป็นสมบัติที่บรรพบุรุษของตระกูลหลินสืบทอดต่อกันมา มีเพียงผู้สืบทอดที่เป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลหลินเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ควบคุมมัน
คนในตระกูลสาขาและคนนอกล้วนไม่สามารถครอบครองสิ่งนี้ได้ เพราะแหวนวงนี้พิเศษมาก มีเพียงพลังจากสายเลือดโดยตรงเท่านั้น จึงจะสามารถปลุกให้พลังของมันปรากฏขึ้นได้
จากที่หลินจงบอกมา แหวนประสานมายาวงนี้ต่างหากที่เป็นรากฐานที่แท้จริงที่ตระกูลหลินสามารถอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้
เพราะมีเพียงอาศัยแหวนวงนี้ จึงจะได้ครอบครองตำราชั้นสูงที่อยู่ภายใต้ร่มธงตระกูลหลิน… ‘คัมภีร์ประสานมายา’!
ตอนที่ 359
เสียงธรรมอันลึกลับ
หลินสวินออกจากห้องอ่านหนังสือไปที่ห้องฝึกสงบใจบนชั้นสาม
ภายในห้องโถงอันว่างเปล่า หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนเบาะทรงกลมใบเดียวที่มีอยู่ในห้อง สูดหายใจเข้าลึกๆ เคลื่อนพลังและเลือดลมรอบกาย
จวบจนกระทั่งตอนที่เลือดลมทั่วร่างกายราวกับถูกหลอมเหลวจนเดือดคลั่ง ในที่สุดแหวนประสานมายาที่กำอยู่กลางฝ่ามือก็เกิดการเปลี่ยนแปลง!
มันเกิดแรงสั่นสะเทือน ตอบสนองกับพลังภายในเส้นเลือดของหลินสวินอย่างน่าอัศจรรย์
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ทั้งร่างกายและจิตใจของหลินสวินก็ถูกพลังอันลึกลับและไม่คุ้นเคยครอบงำ
ในหัวมีเสียงที่ดังชัดเจนกังวานราวกับเสียงระฆังในยามรุ่งสาง คล้ายกำลังท่องคัมภีร์ดังก้องอยู่ในห้วงจิตของหลินสวิน
สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ เสียงที่กำลังท่องอยู่ชัดเจนมากแท้ๆ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใดก็ฟังไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าใจความลี้ลับที่ซ่อนเร้นอยู่ได้
ความรู้สึกนั้นเหมือนกำลังฟังคัมภีร์สวรรค์ก็ไม่ปาน
จนสุดท้ายหลินสวินก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำความเข้าใจ ตั้งใจฟังอย่างสงบ เหมือนกำลังฟังคำโบราณที่คลุมเครือและลึกลับบทหนึ่ง
ท่ามกลางความงุนงง หลินสวินเริ่มนั่งสมาธิตามจิตใต้สำนึก เคลื่อนพลังปราณฝึกฝน จิตใจว่างเปล่า ล่องลอยอยู่ในห้วงจิตไม่คลาย
ในสมองของเขา เสียงที่ชัดเจนกังวานนั้นยังคงท่องต่อไปเรื่อยๆ ประดุจเสียงระฆังก้องกังวานไม่รู้หยุด
……
เช้าตรู่ของวันถัดมา หลินสวินตื่นจากสมาธิและลืมตาขึ้น ร่างกายรู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ตัวเบาราวกับขนนก
ทันใดนั้นเขาพลันตกตะลึง พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งที่พลุ่งพล่านเหมือนมหาสมุทรในร่างกายของเขา เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ฝึกเพียงคืนเดียว กลับได้ผลเทียบเท่าการฝึกสิบวันของที่ผ่านมา!
และไม่เพียงเท่านี้ การขับเคลื่อนของพลังก็เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา สติรับรู้เฉียบคม จิตใจปลอดโปร่ง รอบๆ ตัวทั้งภายในและภายนอกราวกับถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์เหนือโลกีย์
หลินสวินเพิ่งบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณเมื่อวาน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าพื้นฐานยุทธ์ในตัวเขาแข็งแกร่งอย่างมาก กระชับมั่นคง ราวกับได้ผ่านการต่อสู้และเคี่ยวกรำมาอย่างโชกโชนมาแล้วก็ไม่ปาน
นี่มัน…
หลินสวินเองยังไม่อยากจะเชื่อ
เหลือเชื่อจริงๆ!
การฝึกเพียงแค่ค่ำคืนเดียว ไม่เพียงทำให้พลังปราณได้รับการกลั่นเกลาและพัฒนาขึ้น แม้แต่จิตใจและวิญญาณยังราวกับถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์เหนือโลกีย์
การเปลี่ยนแปลงระดับนี้น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว
ไม่นานหลินสวินพลันตระหนักได้ว่า นี่น่าจะเป็นความดีความชอบของแหวนประสานมายา!
เมื่อคืนที่ผ่านมา ‘เสียงธรรม’ ที่ชัดเจนดังก้องอยู่ในสมองเขา ยังคงยืนยงและก้องกังวานไม่รู้จบ แม้เขาจะฟังไม่ออก ไม่เข้าใจความหมายอันลึกลับที่ซ่อนอยู่ก็ตาม
แต่ภายใต้อิทธิพลของพลังจาก ‘เสียงธรรม’ กลับทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อในการฝึก!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงพลังปราณในชั่วข้ามคืนของเขา ต้องเกี่ยวข้องกับ ‘เสียงธรรม’ นั่นอย่างแน่นอน
‘ดูเหมือนว่าสิ่งที่เสียงนั่นท่องคงจะเป็น ‘คัมภีร์ประสานมายา’! แต่ที่ฟังความลึกลับที่ซ่อนอยู่ไม่ออก อาจจะเพราะระดับพลังปราณของข้ายังตื้นเขินนัก…’
หลินสวินเหมือนใคร่ครวญขบคิด
คัมภีร์ประสานมายาเป็นอีกหนึ่งสมบัติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลหลิน มีเพียงสายเลือดโดยตรงที่เป็นผู้นำของตระกูลหลินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถฝึกได้
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ก็เพราะ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ทำให้ตระกูลหลินได้เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงของนครต้องห้าม!
หลินสวินมั่นใจอย่างยิ่งว่า ผลประโยชน์ที่ตนได้รับในตอนนี้ถือว่าเล็กน้อยมาก ถ้าเข้าถึงความลึกลับของ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ อย่างแท้จริง อาจจะสามารถเข้าใจความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ได้!
‘ต่อไปในการฝึกปราณ สามารถใช้แหวนประสานมายาเข้าช่วย ฟังและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เชื่อว่าสักวัน จะต้องเข้าใจความลึกลับนี้’
‘ในขณะเดียวกัน การฝึกด้วยวิธีนี้ก็ให้ข้อดีอันใหญ่หลวงต่อการฝึกของเรา อย่างน้อยความเร็วของการฝึกก็มากขึ้นจากเดิมไปอีกระดับอย่างเห็นได้ชัด!’
หลินสวินหายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจ
……
บนยอดภูเขาชำระจิต
สายลมเย็นเยียบ เมฆลอยคล้อยผ่าน
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แสงอาทิตย์สีทองอร่ามส่องผ่านชั้นเมฆ สาดประกายแสงอันเจิดจ้า
สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเงาร่างสองเงากำลังประลองกันกลางอากาศ!
โครม!
แรงหมัดราวกับสายฟ้า ฟาดฟันผ่านชั้นเมฆ ราวกับสายฟ้าผ่าที่รวดเร็ว บริสุทธิ์ และเผยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว
ผมสีดำประบ่าของเสี่ยวเคอแผ่สยาย ดวงหน้าที่งดงามละเอียดลออยามนี้กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร ให้ความรู้สึกดุร้ายกดดัน
ร่างของนางลอยเหินฟ้า การเคลื่อนไหวรวดเร็วเฉียบไว นางใช้วิชามวยที่เรียบง่าย แต่กลับสามารถสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ว
กลางอากาศตรงข้ามกับเสี่ยวเคอ มีเงาร่างของหลินสวินพลิ้วไหว ดูสะบักสะบอมไม่น้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของ ‘เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์’ ยิ่งใหญ่เกินไร้ที่เปรียบ คิดว่าเขาคงถูกเสี่ยวเคอจู่โจมจนตกจากกลางอากาศแล้ว
โครม!
ลมหมัดกระหน่ำมาราวกับสายฟ้าแห่งการทำลายล้าง ฉีกชั้นบรรยากาศหลายสิบจั้งออกเป็นเสี่ยงๆ
หลินสวินหมดทางหนี ทำได้แค่ฝืนสู้ รู้สึกเพียงว่าแขนทั้งสองข้างชาวาบ เลือดลมทั้งร่างเดือดพล่าน ร่างกายสะท้านจนกระเด็นออกไป
เขาเพิ่งจะทรงตัวได้ เสี่ยวเคอก็โจมตีอีกครั้ง
“หยุด!”
หลินสวินตะโกนอย่างไม่ลังเล
โครม!
เห็นเพียงว่าลมหมัดที่เผด็จการราวกับสายฟ้านั่นถูกเสี่ยวเคอเก็บกลับไปอย่างกะทันหัน หายไปอย่างไร้ร่องรอย เรียกได้ว่าสั่งได้ดั่งใจ
“ไม่เลว เพิ่งจะบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ พลังที่มีอย่างน้อยๆ ก็สามารถเทียบกับผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางแล้ว”
ร่างของเสี่ยวเคอมาหยุดอยู่บนยอดเขา ในขณะที่วิจารณ์เสียงเรียบ
ความจริงในใจนางไม่ได้สงบเลยสักนิด แม้หลินสวินถูกตีจนสะบักสะบอม จนสุดท้ายต้องสั่งหยุดอย่างจนปัญญา แต่มีเพียงเสี่ยวเคอที่รู้ดีว่า ฝีมือของหลินสวินใช้คำว่ายอดเยี่ยมเปรียบเทียบไม่ได้แล้ว แต่ต้องเรียกว่าปีศาจ!
เขาเพิ่งจะบรรลุเมื่อวาน วันนี้ก็สามารถสู้กับตนได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ!
เสี่ยวเคอคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับที่หลินสวินทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดยามบรรลุปราณเมื่อวานแน่นอน
พื้นฐานของเด็กคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว จนตอนนี้เสี่ยวเคอยังจำได้ว่า ตอนที่หลินสวินบรรลุสู่ขั้นผสานใจแห่งระดับจิตผสานวิญญาณที่ค่ายกระหายเลือด ทำให้ทั้งทะเลสาบจิตผสานสะเทือนจนเกือบจะแห้งขอด
ตอนนั้นเสี่ยวเคอและสวีซานชีต่างคิดว่า บ่อพลังวิญญาณที่หลินสวินกลั่นหลอมขึ้นจะต้องอยู่ในขั้นหนึ่งเป็นแน่ หรืออาจถึงขั้นที่แข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
เมื่อสรุปทุกอย่าง บวกกับความสำเร็จของหลินสวินในวันนี้ เสี่ยวเคอก็ตระหนักได้ว่าเด็กคนนี้เป็นปีศาจ จะวัดตามมาตรฐานธรรมดาได้อย่างไร?
“ครูฝึก บอกจุดที่ข้ายังด้อยจะดีกว่า จู่ๆ ชมข้าแบบนี้ กลับทำให้ข้ารู้สึกหวาดหวั่น”
หลินสวินหายใจหอบลงไปนั่งกองกับพื้น เมื่อครู่นี้เขาถูกโจมตีรุนแรงมาก แต่ในใจกลับรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก ราวกับได้กลับไปที่ค่ายกระหายเลือด
ตอนนั้นเขาก็มักจะถูกเสี่ยวเคอพาฝึกตัวต่อตัว แน่นอนว่าเขาเป็นฝ่ายที่โดนเล่นงานตลอด
“เจ้าแน่ใจนะ?”
เสี่ยวเคอถามเรียบๆ
“แน่ใจ”
หลินสวินพยักหน้า ที่เขาให้เสี่ยวเคอมาประลองด้วย ก็เพื่อจะดูว่าหลังจากบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว ความสามารถพัฒนาไปถึงระดับไหน
ในขณะเดียวกันก็จะได้คุ้นชินกับพลังแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณให้เร็วที่สุด
เพราะระดับที่ต่างไปจากเดิม วิธีการต่อสู้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้อยู่แค่บนพื้นดิน แต่สามารถขึ้นไปต่อสู้กลางอากาศได้แล้ว สังหารจากระยะไกลได้แล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความคุ้นเคยสำหรับหลินสวิน
เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ลอยตัวเหนือเวหา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กลางอากาศ
เสี่ยวเคอมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ชั้นยอด มีครูฝึกแห่งค่ายกระหายเลือดที่ชำนาญการต่อสู้อย่างนางมาฝึกให้ตัวต่อตัว ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้อาจารย์ท่านหนึ่งมาชี้แนะ ข้อดีนั้นย่อมไม่อาจประเมินได้
“ได้ ถ้าพูดถึงจุดบกพร่องของเจ้า ถือว่ามีไม่น้อยเลย ทั้งยังเป็นจุดสำคัญทั้งสิ้น”
เสี่ยวเคอใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนเสียงอันเรียบเฉยเย็นเยียบจะดังขึ้น “ข้อแรก วิธีเคลื่อนไหวกลางเวหาของเจ้ายังไม่ดีพอ การตอบสนองไม่เพียงพอ หากข้าเป็นศัตรู สามารถสังหารเจ้ากลางอากาศได้ภายในกระบวนท่าเดียว”
“ข้อสอง การควบคุมพลังของเจ้าไม่ดีเลย ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยความแม่นยำช่ำชอง ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองพลังที่มากเกินไป ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ จุดบกพร่องนี้ทำให้ถึงตายได้”
ฟังถึงตรงนี้ ความได้ใจเสี้ยวหนึ่งในใจหลินสวินพลันหายวับไป แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ที่แท้ในสายตาของยอดฝีมืออย่างครูฝึกเสี่ยวเคอ ตนยังด้อยถึงเพียงนี้…
ฟังดูอย่างละเอียดแล้ว หลินสวินเองก็ต้องยอมรับว่าจุดบกพร่องที่เสี่ยวเคอพูดถึงนั้นตรงจุดตรงประเด็น ล้วนแต่จับจุดอันตราย ทำให้เขาไม่อาจไม่นับถือ
“ยังมีอีก การใช้พลังแห่งฟ้าดินของเจ้าก็ตื้นเขินเกินไป ยอดฝีมือที่แท้จริง สามารถใช้พลังแห่งฟ้าดินสังหารศัตรูในขณะที่พูดคุยกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียแรงเลยสักนิด”
เสี่ยวเคอพูดต่อว่า “โดยรวมแล้ว เจ้ามีพลังที่พอจะเทียบได้กับระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง แต่ประสบการณ์การต่อสู้กลับไม่เพียงพออย่างมาก”
หลินสวินถูกวิจารณ์จนรู้สึกอัดอั้น ยิ้มขื่นพูด “ครูฝึก ข้าแย่ขนาดนั้นจริงๆ หรือ”
เสี่ยวเคอย้อนถาม “เจ้าอยากฟังจุดบกพร่องมิใช่หรือ?”
หลินสวิน “…”
“เอ่อ ถ้าเอาข้าไปเทียบกับผู้ฝึกปราณในระดับเดียวกัน ความสามารถของข้าเป็นอย่างไร?” หลินสวินอดถามไม่ได้
แต่กลับเห็นเสี่ยวเคอพูดเสียงเย็น “เจ้ามีพลังเทียบเท่ากับขั้นกลางแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว สายตายังจะเอาแต่จ้องคนในระดับเดียวกันอีกหรือ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนขี้ขลาดแบบนี้”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่หลินสวินก็ยิ้มออก
เขาเข้าใจแล้ว ในสายตาเสี่ยวเคอ ในบรรดาผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น มีน้อยคนนักที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้!
คนที่ตนควรให้ความสำคัญจริงๆ คือยอดฝีมือขั้นกลางแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
นับตั้งแต่วันนั้นหลินสวินก็ฝึกปราณทุกคืน กลางวันก็คว้าทุกโอกาสเพื่อประลองกับเสี่ยวเคอ ชีวิตผ่านไปอย่างสงบเรียบง่าย
แม้จะถูกตีอย่างหนักและสะบักสะบอมไม่เหลือสภาพทุกครั้ง แต่หลินสวินกลับสัมผัสได้ว่า การควบคุมพลังระดับมหาสมุทรวิญญาณของตนพัฒนาไปมากในแต่ละวัน!
ถึงขั้นที่หลินสวินยังอึ้งในความสามารถด้านการเรียนรู้ของตนเอง ราวกับว่าจู่ๆ หัวสมองก็ปลอดโปร่ง ประสาทการรับรู้เป็นเลิศ ทุกปัญหาที่พบเจอล้วนถูกคลี่คลายอย่างง่ายดาย
ความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจอันน่ากลัวแบบนี้ เมื่อก่อนไม่เคยมีมาก่อน!
นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ที่ตนฟังทุกคืน เสียงธรรมอันลึกลับนั่นกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเขาอย่างเงียบๆ…
เวลาครึ่งเดือนก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้หลังจากประลองกับเสี่ยวเคอ หลินสวินกำลังทบทวนข้อบกพร่องของตนในการต่อสู้ แต่จู่ๆ เสี่ยวเคอกลับพูดขึ้นว่า “ต่อไปไม่จำเป็นต้องประลองแล้ว วิธีการต่อสู้ที่ควรจะควบคุมได้ เจ้าก็ควบคุมได้หมดแล้ว ต่อไปต้องพึ่งการหมั่นฝึกฝนของเจ้า”
หลินสวินอึ้ง “เท่านี้หรือ?”
เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเคอดูลนลานอยู่บ้าง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม ข้าถ่ายทอดทุกอย่างให้ขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะสงสัยว่าข้าซ่อนความสามารถอีกหรือ”
หลินสวินรีบส่ายหน้า พูดด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ใครจะกล้า”
เสี่ยวเคอแค่นเสียงคราหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ไม่นานร่างสันโดษสูงเพรียวก็หายไป ทิ้งให้หลินสวินงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าเสี่ยวเคอเป็นอะไรไป
เขาไม่รู้หรอกว่าการประลองในช่วงที่ผ่านมา เพราะพัฒนาการที่ไวจนเกินเหตุของเขาทำให้เสี่ยวเคอรู้สึกตกใจ
เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับตัวประหลาด ที่ไม่ว่าจะสอนหรือให้คำแนะนำอะไรไปก็เรียนรู้ได้ทันที ทำให้เสี่ยวเคออดรู้สึกไม่ยุติธรรมไม่ได้
เป็นผู้ฝึกปราณเหมือนๆ กัน เหตุใดเด็กคนนี้ถึงเรียนรู้ได้ดีขนาดนี้?
ช่างวิปริต!
——
ตอนที่ 360
ร่วมงานเลี้ยง
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินกลับตำหนักชำระจิต อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสะอาดเอี่ยม ผ่อนคลายไปทั้งตัว
การประลองกับเสี่ยวเคอในช่วงนี้ ทำให้เขาสามารถควบคุมวิธีการต่อสู้ของผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถสำแดงพลังของตนได้อย่างเต็มที่
นี่ทำให้หลินสวินพอใจมาก
ทว่าการพัฒนาของพลังปราณไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ แต่ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
หลินสวินเองก็ไม่ได้รีบ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ ที่เขาฝึก ควบคู่กับผลลัพธ์อันอัศจรรย์ของ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ เพียงพอที่จะทำให้การฝึกของเขาไวกว่าคนส่วนใหญ่แล้ว!
พูดง่ายๆ ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้หลินสวินยากจะบรรลุพลังปราณได้อีก เขาจึงไปให้ความสำคัญกับการฝึกยุทธ์
ตอนนี้ในการฝึกยุทธ์ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ หลินสวินเริ่มเข้าใจ ‘กระบวนท่าสอยจันทรา’ แล้ว กระบวนท่านี้กว้างขวางลึกซึ้งและไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งกว่า ‘กระบวนท่าคว้าดาว’
ด้วยการตระหนักรู้ของหลินสวิน ตอนนี้เรียนรู้กระบวนท่าสอยจันทราถึงเพียงแค่ ‘ขั้นเข้าถึง’ เท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนั้น พลังระดับนี้ก็ยังร้ายกาจกว่าขั้นสมบูรณ์แห่งกระบวนท่าคว้าดาวไปหนึ่งระดับ!
ด้านการฝึก ‘เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์’ เรียกได้ว่ามีพัฒนาการรวดเร็วถึงที่สุด ตอนนี้มาถึง ‘ขั้นแม่นยำ’ แล้ว อานุภาพนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก
วิชานี้ไม่เหมือนกับเพลงดาบวัฏจักรฟ้า เป็นการทดสอบพลังปราณของผู้ฝึกปราณ พลังปราณยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ อานุภาพที่สำแดงออกมาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น
โดยเฉพาะระหว่างเก้ากระบวนท่าใหญ่ของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ยังสามารถผสมผสานเป็นกระบวนท่าใหม่ได้ ถือว่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
เมื่อหลินสวินสามารถผสานทั้งเก้ากระบวนท่าใหญ่ของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์เข้าด้วยกัน และสำแดงออกมาในการโจมตีเดียวได้ ก็จะเรียกได้ว่าการฝึกสมบูรณ์แบบแล้ว
การโจมตีครั้งเดียวนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘หนึ่งเดียวสะเทือนสวรรค์’!
เพียงแต่ตอนนี้หลินสวินยังห่างจากจุดนั้นอีกไกลมาก
อย่างไรก็ตามการฝึกยุทธ์ก็เหมือนการฝึกปราณ ล้วนเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด ต้องการให้ผู้ฝึกค้นหาไปเรื่อยๆ
ในขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญถึงการฝึกยุทธ์ หลินจงก็เข้ามาอย่างเร่งรีบ
“นายน้อย คุณชายสืออวี่เพิ่งให้คนเอาเทียบเชิญมาให้ขอรับ” พูดจบก็ยื่นเทียบเชิญลายทองใบหนึ่งให้หลินสวิน
หลินสวินหยิบมาอ่าน เป็นเทียบเชิญให้หลินสวินไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ เมื่อถึงเวลานั้นศิษย์มากมายที่เคยฝึกในค่ายกระหายเลือดก็จะมาร่วมด้วย
หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ไปอัครการค้าคราวก่อน สืออวี่เคยบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงหลังจบการทดสอบระดับอาณาจักร นัดรวมตัวลูกศิษย์แห่งค่ายกระหายเลือดเมื่อปีนั้น
“ลุงจง คืนนี้ท่านกับจูเหล่าซานไปกับข้าหน่อยเถิด”
หลินสวินสั่งความง่ายๆ
……
เวลาโพล้เพล้
หลินสวิน หลินจงและจูเหล่าซานลงจากภูเขาชำระจิต
ภูเขาชำระจิตในวันนี้ ในที่สุดก็ดูครึกครื้นขึ้นมา ภายใต้การจัดการของพญาแร้ง ห้องหลอมยาของชื่อเซวี่ย โรงหลอมอาวุธของหยางหลิงก็เริ่มดำเนินการแล้ว
แม้แต่ผู้เฒ่าเตียวเองยังงานยุ่ง เริ่มวางค่ายกลวิญญาณทั้งบนล่างของภูเขาชำระจิต
นอกจากนี้พญาแร้งยังได้คัดเลือกข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์เชื่อถือได้ คล่องแคล่วมีไหวพริบมากลุ่มหนึ่ง คอยช่วยจัดการงานยิบย่อยให้พวกชื่อเซวี่ย
ข้ารับใช้เหล่านี้ล้วนถูกจ้างมา จำนวนห้าสิบกว่าคน มีเสี่ยวเคอคอยจับตาดูทุกวัน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ระหว่างทางหลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้ ในที่สุดภูเขาชำระจิตก็ไม่รกร้างอีกต่อไปแล้ว เริ่มมีร่องรอยที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง แม้จะน้อยนิด แต่ถ้าพยายามไปทีละก้าวๆ สักวันจะต้องพลิกโฉมหน้าใหม่ทั้งหมดได้แน่!
เพียงแต่ไม่รอให้หลินสวินได้ทอดถอนใจต่อ ก็เห็นชื่อเซวี่ยพุ่งเข้ามาจากไกลๆ อย่างกระหืดกระหอบ
“หลินสวิน เจ้าดูแลไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่นยังไงเนี่ย? พวกมันทำลาย ‘ดอกเลือดผีเสื้อ’ สิบหกต้นที่ข้าปลูกขึ้นมาอย่างยากลำบากไปหมดแล้ว!”
ชื่อเซวี่ยหน้าเขียวหน้าดำ ตะโกนอย่างขึ้งโกรธ
เขาเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ อีกทั้งยังเป็นนักหลอมยาที่มีทักษะสูง ทำให้เขาโกรธขนาดนี้ได้ แสดงให้เห็นว่า ‘ดอกเลือดผีเสื้อ’ นี้สำคัญต่อเขาเพียงใด
“ใคร?” หลินสวินอึ้ง
“ยังจะมีใครอีกล่ะ ก็ไอ้พวกสารเลวที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งมาไงล่ะ! พวกลูกผู้ลากมากดี แต่ละคนยโสโอหัง ไม่เอาการเอางาน พฤติกรรมย่ำแย่ ไม่รู้ว่าเจ้าอนุญาตให้พวกเขามาอยู่ที่ภูเขาชำระจิตได้อย่างไร!” ชื่อเซวี่ยโวย
เขาหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด ระบายเพลิงโกรธทั้งหมดมาที่หลินสวิน
หลินสวินเข้าใจทันที หว่างคิ้วเผยความเย็นเยียบ กล่าวว่า “ชื่อเซวี่ย พาข้าไปพบพวกเขา ข้าจะให้ความเป็นธรรมกับเจ้า”
หลายวันก่อนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้ส่งลูกหลานวัยเยาว์กลุ่มหนึ่งมาที่ภูเขาชำระจิต ตามคำสั่งของหลินเป่ยกวง
ในนามคือมาช่วยหลินสวิน ฟังคำสั่งจากหลินสวิน
แต่ด้วยความรอบคอบ หลินสวินจึงไม่รีบหางานให้คนในตระกูลพวกนี้ทำ แต่คิดว่าจะสังเกตพวกเขาไปก่อนสักระยะ รอให้รู้นิสัยและตื้นลึกหนาบางของพวกเขาก่อนค่อยว่ากัน
ตอนนั้นหลินสวินได้ออกกฎสามข้อกับคนในตระกู ลเหล่านั้น คือห้ามเข้าใกล้ตำหนักชำระจิต ห้ามพาคนเข้ามาในภูเขาชำระจิตโดยพลการ และห้ามก่อความวุ่นวายบนภูเขาชำระจิต
หลินสวินเองก็รู้ดีว่า อาศัยเพียงกฎสามข้อนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้คนในตระกูลพวกนั้นยอมเชื่อฟังโดยง่าย
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่คนพวกนั้นเข้ามาอยู่ในภูเขาชำระจิต ก็เอาแต่ดื่มกินสนุกสนาน ไม่เอาการเอางาน ทั้งยังพากันเล่นการพนันอยู่บ่อยๆ ทำให้เขตที่พักของพวกเขากลายเป็นที่มั่วสุม
นี่ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตที่หลินสวินรับได้ ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงอะไร เขาเองก็คร้านจะถือสา และเลี่ยงไม่ให้ท่านปู่ห้าหลินเป่ยกวงคิดว่า เขาจงใจสร้างความลำบากใจให้คนในตระกูลเหล่านี้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความอดทนของเขาจะทำให้พวกนั้นปีกกล้าขาแข็งขึ้น
ถึงขนาดกล้าทำลายสวนโอสถวิญญาณของชื่อเซวี่ย หลินสวินทนไม่ได้จริงๆ!
ไม่นานชื่อเซวี่ยก็นำหลินสวินไปเจอพวกลูกหลานวัยหนุ่มสาวที่มาจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
มีประมาณสิบกว่าคน มีทั้งหญิงทั้งชาย ตอนนี้พวกเขานั่งกับพื้นบนฝั่งลำธาร ดื่มไปพลางหยอกล้อกัน ดูเป็นอิสระมาก
พอเห็นชื่อเซวี่ยพาหลินสวินมา ชายหญิงพวกนี้ก็อึ้งไปครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาในวินาทีต่อมา
“ก็แค่เด็ดดอกไม้ไม่กี่ดอกที่เจ้าปลูก ถึงกับวิ่งไปหาตัวช่วยเลยหรือ เจ้าตระหนี่เกินไปแล้ว”
ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างนักเลง น้ำเสียงดูเย้ยหยัน
“ใช่แล้ว พวกข้าดื่มเหล้า ต้องการกลิ่นดอกไม้หอมๆ มาดื่มด่ำ เป็นบุญของเจ้าแล้วที่เราเห็นค่าดอกไม้ที่เจ้าปลูก แต่เจ้ากลับไม่รู้จักสำนึก เสียอารมณ์จริงๆ”
ชายอีกคนเห็นได้ชัดว่าเมาแล้ว คำพูดคำจาก็วางโตขึ้น “เจ้าคิดว่าเจ้าพาหลินสวินมาแล้วเราจะกลัวงั้นหรือ พูดเป็นเล่น เขาใหญ่มาจากไหนถึงจะหยุดพวกข้าได้”
ชายหญิงที่อยู่รอบๆ หัวเราะกันไม่หยุด
ชื่อเซวี่ยโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผากแทบแตก กัดฟันพูด “หลินสวินเจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ไอ้พวก…ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่นที่เจ้าพากลับมา ช่างไม่รู้จักกลัวฟ้ากลัวดินเลย!”
“เจ้าด่าใครว่าโง่เง่าเต่าตุ่น? อยากตายหรือไง?“
ชายหนุ่มที่ถุงใต้ตาบวมคนหนึ่งลุกขึ้น ชี้หน้าด่าชื่อเซวี่ยอย่างรุนแรง
หลินสวินถอนหายใจ พลันตบไหล่ชื่อเซวี่ยแล้วพูด “เป็นความผิดของข้าเองที่คิดไม่ถึงเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“เหอะๆ หลินสวินเจ้าพูดเกินไปแล้ว พวกข้าแค่เด็ดดอกไม้ไม่กี่ดอก เจ้าก็ยังจะยุ่ง? ช่าง…’
ชายหนุ่มถุงใต้ตาบวมคนนั้นพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกหลินสวินถีบเข้าหน้าท้องแล้ว
เห็นเพียงว่าร่างของเขาเหมือนว่าวที่สายขาด ลอยละล่องแล้วกระแทกลงบนหินที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้งเสียงดังพลั่กจนหินแตกกระจาย เห็นได้ว่าแรงถีบนี้เหี้ยมเพียงไหน
ชายหนุ่มคนนั้นเกร็งไปทั้งตัว น้ำลายฟูปากแล้วสลบไปทั้งอย่างนั้น
หนุ่มสาวคนอื่นๆ พลันตกใจกันถ้วนหน้า สีหน้าแปรเปลี่ยน พากันลุกขึ้นจ้องหลินสวินอย่างขึ้งโกรธ
“เจ้ากล้าลงมือหรือ”
“จะบอกให้นะ แม้ภูเขาชำระจะเป็นถิ่นของเจ้า แต่ถ้าเจ้ากล้าทำไม่ดีกับพวกเรา ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่เอาเจ้าไว้แน่!”
“อย่าคิดว่าเจ้าชนะพี่หลินเสวี่ยเฟิงแล้ว เจ้าก็จะไม่กลัวฟ้ากลัวดินได้ อยากให้เราเชื่อฟังงั้นหรือ? ไม่มีทาง!”
พวกเขาแผดเสียงตะโกน ดูเหมือนเย่อหยิ่งอย่างมาก แต่แท้จริงแล้วสายตาที่มองหลินสวินกลับแฝงความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็กังวลว่าหลินสวินจะลงมือรุนแรงกับพวกเขา
ฮูม~
หลินสวินคร้านจะพูดมาก สะบัดแขนเสื้อออกไปคราหนึ่ง พลังวิญญาณสีฟ้าอ่อนอันน่าสะพรึงกลัวแปลงเป็นฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งปกคลุมลงมาจากกลางอากาศ
พลันได้ยินเสียงเผียะๆๆ ระลอกหนึ่งดังก้อง หนุ่มสาวสิบกว่าคนนั้นถูกตบจนลงไปคุกเข่ากับพื้น โอดครวญไม่หยุด
“ฟังให้ดี ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นต่อปากต่อคำกับพวกเจ้า ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งพวกเจ้ามาเพื่อทำงานให้ข้า ไม่ใช่มาก่อกวนข้า”
เสียงของหลินสวินเยียบเย็น เต็มไปด้วยแรงกดดัน ความน่าเกรงขามแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณนั่น ทำให้หนุ่มสาวพวกนั้นตัวสั่น ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงโอดครวญ
“จำไว้ จะไม่มีครั้งที่สอง!” พูดจบหลินสวินหันหลังจากไป
ระหว่างทางเขาสั่งหลินจง “ต่อไปให้ไอ้สารเลวพวกนั้นเริ่มทำงานให้หมด ข้ารับใช้ในภูเขาชำระจิตทำอะไร ก็ให้พวกเขาทำอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อฟังก็ให้เสี่ยวเคอจัดการโดยตรง ข้าไม่เชื่อว่าจะเอาพวกเขาไม่อยู่”
“นายน้อย ที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งพวกหัวโจกที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งพวกนี้มา เห็นได้ชัดว่าต้องการทดสอบความสามารถในการเป็นผู้นำของท่าน หากท่านทำแบบนี้…”
ไม่รอให้หลินจงพูดจบ หลินสวินก็หัวเราะเสียงเย็น กล่าวว่า “นี่คือวิธีการเป็นผู้นำของข้า กับพวกเสเพลที่ยโสโอหังพวกนี้ ก็ควรจะกำราบพวกเขาให้อยู่หมัดก่อน!”
หลินจงอึ้งไป แล้วไม่พูดอะไรอีก
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ยามนี้ชื่อเซวี่ยหายโกรธบ้างแล้ว จึงประสานมือกล่าวลา
หลินสวินมองเขาจนลับสายตาไป ค่อยเอ่ยคล้ายครุ่นคิด “ลุงจง ชื่อเซวี่ยเป็นถึงยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญญาณ อีกทั้งเขายังเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ ความสามารถไม่ธรรมดา แต่ต่อให้เขาโกรธถึงเพียงนี้ ก็ไม่เคยลงมือกับพวกสารเลวพวกนั้นโดยพลการ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
“เพราะเมื่อเทียบกับพวกสารเลวที่ยโสโอหังพวกนั้น อย่างไรเขาก็ถือเป็นคนนอก คนนอกคนหนึ่งถ้ามาสั่งสอนคนในตระกูลหลิน ก็เห็นจะเกินไป จะทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา เขาเองก็เข้าใจจุดนี้ดี จึงมาหานายน้อยให้ท่านเป็นคนจัดการ”
หลินจงคิดๆ แล้วเข้าใจทันที
“ไม่ผิด ตอนนี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดพญาแร้งจึงเสียแรงขนาดนั้นเพื่อเชิญพวกชื่อเซวี่ยมาช่วยข้า คนที่ไม่เพียงแค่มีความสามารถเก่งกาจ แต่ยังวางตัวเป็นมองเรื่องราวออกเช่นนี้มีไม่มากจริงๆ”
หลินสวินชื่นชม
ตอนที่พูด พวกเขาได้ออกจากภูเขาชำระจิตแล้ว
“ไปที่หอสรวลทรัพย์”
หลินสวินสั่งจูเหล่าซานแล้วขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวสมบัติพร้อมหลินจง โดยมีจูเหล่าซานเป็นคนขับเคลื่อน รีบมุ่งหน้าออกไปตอนที่ยังพลบค่ำ ท้องฟ้าไม่ถึงกับมืดมิด
ตอนที่ 361
อู๋เหินแห่งตระกูลฮวา
โดย
ProjectZyphon
หอสรวลทรัพย์ เป็นสถานที่ที่สืออวี่จัดงานเลี้ยงในครั้งนี้ และเป็นสถานที่นัดรวมตัวสังสรรค์ชั้นนำของนครต้องห้าม
ระหว่างทางหลินสวินอดคิดถึงคืนวันเวลาที่ฝึกในค่ายกระหายเลือดไม่ได้ เดิมทีเขาตั้งใจชวนเสี่ยวเคอมาด้วย แต่เสียดายที่เสี่ยวเคอปฏิเสธโดยไม่หยุดคิดด้วยซ้ำ
ในขณะที่หลินสวินกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงฮือฮาพลันดังแว่วขึ้น
“ดูสิ ใช่คุณชายฮวาจริงๆ ด้วย! เขาเป็นบุคคลผู้โดดเด่นในบรรดาคนรุ่นใหม่ของตระกูลฮวาที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลมหาอำนาจเชียวนะ ได้อันดับที่เจ็ดสิบสามจากการทดสอบระดับอาณาจักรที่เพิ่งจบไปเมื่อหลายวันก่อน!”
“เป็นถึงลูกหลานตระกูลฮวาเชียวหรือนี่!”
“เหอะๆ หลินเสวี่ยเฟิงซวยแล้ว หาเรื่องใครไม่หา ดันไปหาเรื่องฮวาอู๋เหิน นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่หรอกหรือ”
“หลินเสวี่ยเฟิงก็ไม่เลวนะ”
“ความสามารถของหลินเสวี่ยเฟิงเองก็ไม่เลว แต่ฐานะของเขาจะสู้ฮวาอู๋เหินได้อย่างไร? เจ้าเชื่อไหมว่า แม้ฮวาอู๋เหินฆ่าเขาตาย ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรนั่นก็ไม่กล้าทำอะไรหรอก!”
หลินสวินตะลึงงัน เอ่ยขึ้นว่า “จูเหล่าซาน หยุด”
พูดจบ เขาก็ลงจากเกี้ยวสมบัติ
เห็นผู้คนมากมายบนถนนที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก และกลางฝูงชนกำลังมีการประลองกัน!
สองฝ่ายที่ประลองกันนั้น ฝ่ายหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวในชุดคลุมแขนกว้างสีดำ ศีรษะสวมเกี้ยวครอบผมหยกทอง นัยน์ตาเจือสีทองจางๆ อานุภาพน่าเกรงขามยิ่ง
คู่กรณีของเขาอยู่ในชุดขาวทั้งตัว เส้นผมสีดำขลับพลิ้วไหว แสงวิญญาณหมอกพิรุณแพร่กระจายทั่วร่าง แน่นอนว่าต้องเป็นหลินเสวี่ยเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
การประลองของทั้งสองดุเดือดอย่างมาก ชี้ฟ้ากระแทกดิน ประกายพลังวิ่งว่อนสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
ที่นี่คือถนนใหญ่ที่คึกคักของนครต้องห้าม และทั้งสองล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นในบรรดาผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณรุ่นหนุ่มสาว ทำให้จินตนาการได้ว่าพลังทำลายล้างที่สร้างขึ้นนั้นจะรุนแรงเพียงใด
แต่สิ่งที่ทุกคนแปลกใจก็คือ ในบริเวณที่ทั้งสองต่อสู้กันกลับมีพลังป้องกันล่องหนที่แผ่ลงมาจากฟ้า กั้นสิ่งก่อสร้าง ถนนหนทางรวมทั้งผู้คนออกไปทั้งหมด
แบบนี้แม้ทั้งสองจะประลองกันดุเดือดแค่ไหน ก็ไม่กระทบต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเลยสักนิด
นี่ก็คือนครต้องห้าม!
ทุกพื้นที่ในนครล้วนถูกปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามอันลึกลับ ตัวอย่างเช่นแสงป้องกันชั้นนี้ที่จะไม่ถูกทำลายจากการต่อสู้
เพราะในนครมีผู้ฝึกปราณมากมาย เกิดการต่อสู้และฆ่าฟันวันละไม่รู้กี่รอบ ถ้าไม่มีมาตรการป้องกัน ทั่วทั้งนครต้องห้ามคงถูกทำลายอย่างรุนแรงจนเหลือแต่ซากแล้ว
“หลินเสวี่ยเฟิง ความสามารถแค่นี้ของเจ้า ก็คิดจะแย่งผู้หญิงกับข้า?”
ทันใดนั้นฮวาอู๋เหินในชุดคลุมสีดำก็หัวเราะเยาะ รอบกายมีสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองนับหมื่นพุ่งออกมาพาดขวางกลางอากาศ ฟาดใส่หลินเสวี่ยเฟิงอย่างรุนแรงราวกับสายโซ่
เสียงโครมดังสนั่นขึ้น หลินเสวี่ยเฟิงถูกสยบลงกับพื้น กระอักเลือดออกจากปาก
หลายคนอดอุทานด้วยความตะลึงไม่ได้
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ในการทดสอบระดับอาณาจักร ฮวาอู๋เหินและหลินเสวี่ยเฟิงได้อันดับที่เจ็ดสิบสามและเจ็ดสิบเก้าตามลำดับ ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่อันดับเท่านั้น
แต่ความสามารถของฮวาอู๋เหินเหนือกว่าหลินเสวี่ยเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย!
“คนที่อวิ๋นเอ๋อร์ชอบคือข้า!”
หลินเสวี่ยเฟิงพยายามลุกขึ้น สีหน้าอึมครึม สายตาเต็มไปด้วยความดุดัน หนึ่งกระบี่ดุจสายฟ้าจู่โจมออกไปกลางอากาศ
โครม!
กลับเห็นฮวาอู๋เหินยื่นมือออกไปคว้า ผนึกสีทองอันใหญ่ตกลู่ลงมา บดขยี้อากาศจนแหลกละเอียด และทำลายประกายดาบจนเป็นฝุ่นผง
จากนั้นก็กระแทกเข้าตัวหลินเสวี่ยเฟิงด้วยพลังที่ไม่แผ่วไปจากเดิมเลย
เสียงปังดังลั่น หลินเสวี่ยเฟิงถูกกดจนทรุดลงพื้นอีกครั้ง ใบหน้าไร้สีเลือด ดิ้นรนอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น
เหตุผลเพราะผนึกสีทองอันใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของหลินเสวี่ยเฟิง มันสาดประกายแสงสีทองระยิบระยับ เกิดเป็นพลังคุมขังอันน่ากลัว
“สมบัติที่สืบทอดกันมานับตั้งแต่บรรพบุรุษของตระกูลฮวา…ผนึกประกายทอง! ว่ากันว่าได้รวบรวมพลังแห่งแสงอาทิตย์เอาไว้ สามารถสยบมารได้ทุกชนิด!”
มีคนอุทานอย่างตะลึงด้วยจำที่มาของสมบัติลึกลับชิ้นนี้ได้
“คนไร้ค่าอย่างเจ้าน่ะหรือจะคู่ควรกับอวิ๋นเอ๋อร์”
ฮวาอู๋เหินพลิ้วตัวลงสู่พื้นดิน มองเหยียดไปทางหลินเสวี่ยเฟิง สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “พูดอย่างไม่เกรงใจ ตระกูลหลินในตอนนี้เป็นตัวตลกในนครต้องห้าม ล่มจมขนาดนี้แล้ว ข้าสงสัยจริงๆ เลยว่า เจ้าไปเอาความกล้าที่ไหนมาคิดไม่ซื่อกับอวิ๋นเอ๋อร์?”
“หยุดพูดจาไร้สาระซะที แน่จริงก็ฆ่าข้าเสีย!” หลินเสวี่ยเฟิงกัดฟันกรอด โกรธจนเส้นเลือดฝอยนัยน์แตก
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?”
ประกายทองวงหนึ่งพุ่งวาบในนัยน์ตาของฮวาอู๋เหิน เผยไอสังหารเต็มประดา
โครม!
พลันเห็นผนึกประกายทองนั่นสงเสียงครวญ ส่องสว่างเจิดจ้า บีบอัดอากาศทุกพื้นที่ลงมาบนตัวของหลินเสวี่ยเฟิง
กร๊อบๆ
หลินเสวี่ยเฟิงอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัส เอ็นกระดูกทั่วร่างเกิดเสียงปะทุอย่างรับไม่ไหว
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างสูดหายใจอย่างอดไม่ได้ ไม่อยากจะเชื่อว่าฮวาอู๋เหินคิดอยากจะฆ่าหลินเสวี่ยเฟิงจริงๆ กล้าเกินไปแล้ว!
“ให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ก้มหัวยอมแพ้แต่โดยดี แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า มิเช่นนั้นวันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครอบรอบวันตายของเจ้า!”
ฮวาอู๋เหินกล่าวเสียงเย็น
“ฝันไปเถอะ!”
หลินเสวี่ยเฟิงตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล
“เหอะๆ คนตระกูลหลินของพวกเจ้าช่างไร้ยางอาย ปีนั้นถูกไล่ออกจากภูเขาชำระจิต ก็ขายหน้าบรรพบุรุษในตระกูลจนไม่เหลือซากแล้ว ตอนนี้กลับยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอบอกไว้เลยนะ แม้ฆ่าเจ้าตายแล้ว ด้วยความขี้ขลาดตาขาวของตระกูลหลินอย่างพวกเจ้า อย่างไรก็ไม่กล้ามาแก้แค้นกับข้าหรอก!”
คำพูดนี้เย่อหยิ่งมาก เหมือนไม่เห็นตระกูลหลินอยู่ในสายตา ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างอดตะลึงไม่ได้
มีแค่คนที่เกิดในตระกูลทรงอิทธิพลอย่างฮวาอู๋เหินเท่านั้นที่กล้าพูดแบบนี้
“ผู้ชายตระกูลหลิน ยอมตายก็ไม่ยอมก้มหัว! ฮวาอู๋เหิน เจ้าหยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว บอกว่าอยากทำให้ข้าขายหน้าหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้ แม้วันนี้ข้าต้องตาย ก็ไม่มีทางยอมให้เจ้าสมหวังแน่!”
หลินเสวี่ยเฟิงยิ้มเยาะ
สีหน้าของเขาขาวซีด เจ็บไปทั้งตัว แต่ความเด็ดเดี่ยวนั้นกลับทำให้หลายคนอดหวั่นไหวไม่ได้
“เหอะๆ เจ้ารนหาที่เอง!”
มุมปากฮวาอู๋เหินผลิยิ้มอำมหิต ผนึกประกายทองส่งเสียงคำรามโดยพลัน กดทับลงมาอย่างแรง
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะฆ่าจริงๆ แล้ว!
คนรอบข้างต่างกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ในใจตื่นตะลึง ถ้าหลินเสวี่ยเฟิงถูกฆ่าจริงๆ ไม่นานต้องเกิดคลื่นลมครั้งใหญ่ในนครต้องห้ามอย่างแน่นอน!
เพราะต่อให้ตระกูลเบื้องหลังหลินเสวี่ยเฟิงจะตกต่ำแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาก็ผ่านการทดสอบระดับอาณาจักร และได้เป็นศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกตแล้ว ฐานะย่อมแตกต่างไป
แต่เห็นได้ชัดว่าฮวาอู๋เหินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้!
ในขณะที่ผนึกประกายทองกำลังจะบดทับบนตัวหลินเสวี่ยเฟิง จู่ๆ ก็มีฝ่ามือเรียวยาวข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ตบเบาๆ หนึ่งคราด้วยความเร็วปานสายฟ้า
พลันเห็นว่าผนึกประกายทองนั่นราวกับถูกฟ้าผ่า ทรุดตัวกระแทกลงพื้นอย่างแรง เกิดเสียงครืนครัน
หืม?
ใบหน้าดุจคมมีดของฮวาอู๋เหินหันขวับไปโดยพลัน เห็นเด็กหนุ่มดูหล่อเหล่าสะอาดสะอ้านที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่คนหนึ่ง
ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างตั้งสติได้ในยามนี้ พากันส่งเสียงด้วยความตกตะลึงอย่างควบคุมไม่อยู่ นี่เป็นใครกันอีก ถึงได้กล้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้?
“หลิน…หลินสวิน…ทำไมถึงเป็นเจ้า?”
บนพื้นดิน หลินเสวี่ยเฟิงที่หลับตารอความตายอยู่พลันลืมตาขึ้น ตอนที่เห็นว่าเป็นหลินสวินก็อึ้งค้างอยู่กับที่
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หลินสวินจะปรากฏตัวในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้
“รนหาที่ตาย!” ฮวาอู๋เหินสะบัดแขนเสื้อ ผนึกประกายทองส่องแสงจ้าทันที ระเบิดพลังออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พุ่งเข้าไปหมายสังหารหลินสวินให้สิ้น
เห็นเพียงหลินสวินไม่ได้หลบ แต่ก้าวเท้าขึ้นหน้า พลังสีฟ้าอ่อนวิ่งพล่านอยู่ทั่วร่างกาย ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ผนึกประกายทองนั่นพลันถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป
ภาพอันทรงพลังน่าสะพรึงกลัวนั่น ทำให้หลายคนตกใจจนหนังหัวชาวาบ
นั่นมันสมบัติลับที่บรรพบุรุษตระกูลฮวาสืบทอดต่อกันมาเชียวนะ ทรงพลังอย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ตอนนี้กลับประหนึ่งไม่อาจต้านทานการโจมตีเดียวได้ กระเด็นออกไปง่ายๆ แบบนี้ มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าฮวาอู๋เหินได้รับแรงสะท้อนกลับ เขากระอักเลือดอย่างกลั้นไม่อยู่ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยามนี้ถึงค่อยตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันผู้นี้ไม่ธรรมดา
“เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมายุ่งเรื่องของข้าฮวาอู๋เหิน? ข้าว่าเจ้าอย่ารนหาที่เลยดีกว่า ไสหัวออกไปซะ!” ฮวาอู๋เหินถามเสียงเย็น
โครม!
แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็เห็นหลินสวินปล่อยหมัด ประกายแสงสีฟ้าอ่อนกวาดผ่านฟ้า กลายเป็นปักษาตัวใหญ่ที่กู่ร้องสะเทือนเก้าสวรรค์ พุ่งออกไปสังหาร
กระบวนท่าทลายปักษาเพลิง!
ฮวาอู๋เหินเดือดดาล เคลื่อนพลังทั่วร่างกาย พลันเห็นรุ้งทองศักดิ์สิทธิ์นับหมื่นพันปรากฏขึ้นอย่างร้อนแรงสะดุดตา อานุภาพไม่ธรรมดา
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิชาลับอันแข็งแกร่ง ทำให้อากาศแปรปรวน เกิดเป็นภาพอันน่ากลัว
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงก็คือ วิชาลับที่ฮวาอู๋เหินใช้นั้น เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นฝุ่นผง ลอยกระจายออกไป
ส่วนตัวเขายิ่งถูกกระบวนท่าทลายปักษาเพลิงโจมตีจนเลือดออกจมูกปาก ล้มลงไปคุกเข่ากับพื้นทั้งอย่างนั้น
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
ถูกตีจนลงไปคุกเข่ากับพื้นต่อหน้าสาธารณะ ความอับอายรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นี้กระตุ้นให้ฮวาอู๋เหินโกรธจัด หน้าเขียวน่ากลัว
ผู้คนบริเวณนั้นต่างหัวใจสะท้าน เด็กหนุ่มคนนี้โผล่มาจากไหนกันแน่ ไม่เพียงแค่ความสามารถเก่งกาจ ถึงขนาดกล้าสยบฮวาอู๋เหินถึงเพียงนี้ เขาไม่กลัวโดนแก้แค้นหรือไง?
เพี๊ยะ!
หลินสวินไม่พูดอะไรสักคำก็สะบัดฝ่ามือกลางอากาศ ตบฮวาอู๋เหินให้โอดครวญอีกครา ร่างล้มลงไปกองกับพื้น โกรธจนเกือบจะเป็นลมพับไป
รังแกกันเกินไปแล้ว!
เขาตะเบ็งเสียงอย่างขึ้งโกรธ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
ยามนี้เอง ในที่สุดสีหน้าอันเรียบเฉยของหลินสวินก็มีการตอบสนอง เขาระบายยิ้มเล็กน้อยพลางพูด “รู้”
เพิ่งจะสิ้นเสียง เขาก็ถีบใส่หน้าอกฮวาอู๋เหินอีกครา ฮวาอู๋เหินส่งเสียงร้องแหลมด้วยความเจ็บปวดออกมาก่อนจะกระอักเลือดคำใหญ่ ตัวงอราวกับกุ้งตัวใหญ่ที่ถูกต้มจนเดือด ท่าทางดูเจ็บจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
ทุกคนอดรู้สึกกลัวไม่ได้ รู้ฐานะของฮวาอู๋เหินแล้วยังกล้าลงมือรุนแรงเช่นนี้ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?
ส่วนหลินเสวี่ยเฟิงมองจนตาค้างไปแล้ว
ต้องรู้ว่าหลินสวินเพิ่งจะบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณเมื่อสิบกว่าวันก่อน แต่ตอนนี้พลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งจนถึงขั้นเอาชนะฮวาอู๋เหินได้อย่างสิ้นเชิง!
สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยเฟิงตะลึงมากที่สุดคือ หลินสวินไม่สนฐานะของฮวาอู๋เหินเลยสักนิด ลงมืออย่างไม่เกรงกลัว ภาพนั้นช่างดูสบายๆ เหมือนกำลังสั่งสอนลูกหลานของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ทำให้หลินเสวี่ยเฟิงแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
เขา…ไม่กลัวฮวาอู๋เหินแก้แค้นเลยจริงๆ หรือ?
ในที่สุดหลินสวินก็หยุดมือในยามนี้ เพราะถ้าขืนตีอีก ฮวาอู๋เหินได้พิการแน่ ซึ่งไม่ใช่จุดประสงค์ของหลินสวิน
“ฟังให้ดี ข้าชื่อหลินสวิน อยู่บนภูเขาชำระจิต ถ้าอยากแก้แค้นก็มาหาข้าได้เลย”
หลินสวินจ้องฮวาอู๋เหินที่ราวกับสุนัขตายข้างถนนด้วยสายตาเฉยเมย “คราวหน้าถ้าได้ยินเจ้าดูถูกตระกูลหลินอีก ข้าเอาชีวิตเจ้าแน่!”
พูดจบเขาก็หมุนตัวพาหลินเสวี่ยเฟิงออกไป โดยไม่หันกลับมามองฮวาอู๋เหินอีกเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนที่ 362
หอสรวญทรัพย์
โดย
ProjectZyphon
“คุณชาย!”
ขณะที่หลินสวินเพิ่งจากไป ชายสูงวัยในชุดดำผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น มองไปยังฮวาอู๋เหินที่หมอบนิ่งอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขด้วยสีหน้าตะลึงขึ้งโกรธ
ทันใดนั้นสีหน้าพลันเขาถมึงทึง พูดลอดไรฟันว่า “คุณชาย! นี่เป็นเจ้าสารเลวจากที่ไหน ในนครต้องห้ามแห่งนี้ ยังมีใครกล้าแตะคนตระกูลฮวาได้”
ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ลมหายใจน่าหวาดหวั่น น่าพรั่นพรึงจนคนรอบข้างสะท้านไปทั้งตัว
“ยังไม่ต้องยุ่งเรื่องพวกนี้ พาข้าไปหาพี่รองก่อน” ฮวาอู๋เหินพูดพลางหอบหายใจ
“คุณชาย ตอนนี้ท่านควรกลับบ้านก่อน…”
ไม่รอให้พูดจบ ก็ถูกฮวาอู๋เหินแทรกขึ้นอย่างโมโห “ข้าบอกว่าจะไปหาพี่รอง!”
“ขอรับ”
ชายสูงวัยชุดดำจนใจ พูดเสียงค่อยว่า “คุณชาย คุณหนูรองไปงานเลี้ยงรวมตัวเหล่าสหายที่หอสรวลทรัพย์ขอรับ ท่าน…”
“ก็ไปหอสรวลทรัพย์สิ!” ฮวาอู๋เหินเอ่ยด้วยน้ำเสียงดื้อดึง
จากนั้นชายสูงวัยชุดดำจึงพาฮวาอู๋เหินออกไปจากที่นั่น
จนเมื่อพวกเขาออกไปแล้ว ฝูงชนที่รายล้อมอยู่ถึงถอนหายใจยาวออกมา
“ไม่คิดว่าการต่อสู้วันนี้จะเร้าใจยิ่งนัก เริ่มจากฮวาอู๋เหินผู้นั้นเกือบสังหารหลินเสวี่ยเฟิง ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะมีตัวละครที่ร้ายกาจยิ่งกว่าโผล่มา ซัดฮวาอู๋เหินเสียเปิดเปิง น่ากลัวไปแล้ว!”
“ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นโผล่มาจากไหน ไม่กลัวโดนเอาคืนหรือไงนะ ตระกูลฮวาเป็นถึงหนึ่งในตระกูลมหาอำนาจทั้งเจ็ด มองไปรอบจักรวรรดิ น้อยคนนักจะกล้ามีเรื่องด้วย”
“ไม่ได้ยินที่เจ้านั่นพูดหรือ เขาชื่อหลินสวิน มาจากภูเขาชำระจิต”
ฝูงชนอุทานตกใจ วิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
เวลานี้พลันมีคนร้องขึ้นเสียงดัง “ข้ารู้แล้ว ที่แท้ก็เขานั่นเอง! หลินสวินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดียวที่สุดในนครต้องห้าม’ ผู้นั้น!”
“ใช่แล้ว! ภูเขาชำระจิต นั่นไม่ใช่อาณาเขตที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหลินหรอกหรือ”
“มิน่าถึงได้ออกหน้าแทนหลินเสวี่ยเฟิง ที่แท้ก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน แต่ว่า…ตระกูลหลินตอนนี้เสื่อมอำนาจแล้ว เต็มที่คงเป็นได้เพียงตระกูลผู้มีอำนาจระดับล่าง หลินสวินผู้นั้นไปเอาความกล้าหาญมาจากไหนถึงกล้าทำร้ายฮวาอู๋เหินเช่นนี้”
“ใครจะรู้ล่ะ ที่ข้าสงสัยจริงๆ ก็คือ ความสามารถในการต่อสู้ที่หลินสวินผู้นั้นแสดงออกมาในวันนี้ ก็เพียงพอจะผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรได้แล้ว แต่ทำไมปีนี้เขาไม่ได้เข้าร่วมเล่า”
“ใช่แล้ว ในเมื่อหลินสวินผู้นี้สามารถสู้ชนะผู้กล้าระดับฮวาอู๋เหินได้อย่างง่ายดาย แค่คิดก็รู้ว่าหน่วยก้านและพรสวรรค์จะน่ากลัวเพียงไหน แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ พาให้คนแปลกใจเสียจริง”
“เหอะๆ ไม่ว่าอย่างไร เกิดเรื่องนี้อย่างวันนี้เข้า ภายหน้านครต้องห้ามคงได้เห็นเรื่องอึกทึกครึกโครมกันล่ะ คิดดูสิ ฮวาอู๋เหินผู้นั้นถูกทำร้าย คนตระกูลฮวาจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร”
ความเห็นต่างๆ ดังเซ็งแซ่ขึ้นไม่หยุดหย่อน
หลายคนรับรู้ได้ว่า เกรงว่าไม่นานนัก ข่าวคราวเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้จะกระจายไปทั่วนครต้องห้าม!
อย่างไรเสียฐานะของฮวาอู๋เหินก็พิเศษนัก!
ส่วนหลินสวินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดียวที่สุดในนครต้องห้าม’ ก็เป็นตัวละครที่น่าจับตามองมากเช่นกัน
ขณะนี้ทั้งสองผูกความแค้นต่อกันแล้ว ภายหลังไม่รู้ว่าจะสร้างความโกลาหลได้กี่มากน้อย
…
ราตรีเริ่มมาเยือน
เกี้ยวสมบัติหลังงามเคลื่อนไปตามถนนพลุกพล่านเต็มไปด้วยแสงสี มุ่งหน้าไปยังหอสรวลทรัพย์อย่างเนิบช้า
ทว่าบนเกี้ยวสมบัติกลับเงียบเชียบ
ครู่หนึ่งหลินเสวี่ยเฟิงก็พูดขึ้นอย่างลังเล “เมื่อครู่นี้…เจ้ามุทะลุไปแล้ว ข้าไม่ได้จะต่อว่าเจ้า แต่ฐานะของฮวาอู๋เหินผู้นั้นสูงส่งยิ่ง ทำร้ายเขาก็รังแต่หาเภทภัยไม่จบสิ้นมาสู่ตัวเจ้าเอง”
หลินสวินอึ้งไป ก่อนจะยิ้มขึ้นทันใดแล้วพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลหลิน ข้าทนดูเจ้าถูกรังแกกับตาไม่ได้”
คำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้หลินเสวี่ยเฟิงสะท้านไปทั้งตัว มองหลินสวินอย่างตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าอ่านยากว่า “ในที่สุดข้าก็มั่นใจได้ว่า เจ้าเหมาะสมครอบครองภูเขาชำระจิตกว่าข้า”
สีหน้าของเขาหม่นลง
เมื่อก่อนเขาถูกปลูกฝังเลี้ยงดูอย่างผู้สืบทอดตระกูลหลินมาโดยตลอด ถูกคนทั้งตระกูลจับตามอง ส่วนตัวเขาเองก็คาดหวังว่าตนจะรวมตระกูลหลินเป็นหนึ่งได้ในสักวัน พาตระกูลหลินกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ฟื้นคืนเกียรติภูมิในวันวาน
แต่ความเป็นจริงกลับไร้ความปรานีเช่นนี้
เพียงเขาประสบกับการเหยียดหยามของฮวาอู๋เหินก็เกือบโยนชีวิตตัวเองทิ้ง สิ่งนี้กระทบจิตใจหลินเสวี่ยเฟิงอย่างหนักโดยไม่ต้องสงสัย
“อย่าท้อแท้หมดกำลังใจไป ข้าเห็นการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าความสามารถในการต่อสู้ไม่พอ แต่เพราะของวิเศษห่างชั้นกันต่างหาก” หลินสวินเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องมาปลอบข้า ของวิเศษเป็นส่วนหนึ่งในพลังทั้งหมดของผู้ฝึกปราณ สู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ ข้าไม่หลอกตัวเองหรอก”
หลินเสวี่ยเฟิงถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามาก ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า ภายหลังจะทดแทนคืนให้”
หลินสวินยิ้มบางๆ
ที่เขาช่วยหลินเสวี่ยเฟิงไว้นั้น แท้จริงไม่ได้ไตร่ตรองมากนัก แต่เขามีฐานะเป็นผู้นำตระกูลหลินในอนาคต ไม่สามารถนิ่งดูดายได้
แม้ว่าฐานะของฮวาอู๋เหินจะสูงส่ง แต่กับเรื่องที่ข้องเกี่ยวถึงเกียรติของตระกูลเช่นนี้ หลินสวินไม่ลังเลแต่อย่างใด
ทว่าหลินสวินเพิ่งได้พบว่า หลังจากช่วยชีวิตหลินเสวี่ยเฟิง แม้อาจจะล่วงเกินตระกูลฮวา แต่ได้รับการยอมรับจากหลินเสวี่ยเฟิงกลับมา!
เท่านี้ก็พอแล้ว!
หลินเสวี่ยเฟิงเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ขอเพียงได้รับความเชื่อถือจากเขา ย่อมมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการควบคุมตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในภายภาคหน้า!
นี่เรียกได้ว่าเภทภัยก็ชักนำโชคดีมาได้
“เจ้าจะไปไหนหรือ” ทันใดนั้นหลินเสวี่ยเฟิงถามขึ้น
“หอสรวลทรัพย์” หลินสวินเปรย “ไปงานเลี้ยงรวมตัวมิตรสหาย ไปด้วยกันสิ”
“อืม”
หลินเสวี่ยตอบรับโดยง่ายดายแต่ก็พลันอึ้งไปเล็กน้อย เขาเพิ่งรู้สึกได้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการจัดการของหลินสวิน ตัวเขาช่างปฏิเสธได้ยากยิ่ง!
ไม่นานหลินเสวี่ยเฟิงก็ไม่คิดมากอีก ในใจเขากลับรู้สึกสงสัย งานเลี้ยงรวมตัวที่หลินสวินจะไปร่วมนั้นจะเป็นของสหายกลุ่มใดหนอ
หอสรวลทรัพย์เป็นแหล่งละลายทรัพย์อันดับหนึ่งของนครต้องห้าม ค่าใช้จ่ายที่นั่นแพงหูฉี่ แม้แต่ลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจอย่างหลินเสวี่ยเฟิงยังไม่สามารถไปได้โดยง่าย
เขาถึงขนาดรู้ชัดว่า ลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจพวกนี้ในนครต้องห้ามก็ไม่ต่างจากเขามากนัก นอกเสียจากบังเอิญเป็นคนที่ร่ำรวยเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นใครจะไปเป็นประจำได้เล่า
ช่าวยไม่ได้ ค่าใช้จ่ายที่นั่นแพงมากเกินไปน่ะสิ!
ทว่าตอนนี้หลินสวินกลับจะไปสังสรรค์ที่หอสรวลทรัพย์ นี่ย่อมทำให้หลินเสวี่ยเฟิงสงสัย เหล่าสหายที่เชื้อเชิญหลินสวินไปงานเลี้ยงนั้น จะเป็นผู้วิเศษจากที่ไหนกันนะ
…
ไม่นานนักเกี้ยวสมบัติหลังงามก็หยุดลง
ขณะที่เดินลงมาหลินสวินก็อดหรี่ตาไม่ได้
เขามองเห็นว่าสถานที่ที่ไม่ไกลออกไปนักเป็นทะเลสาบที่มีคลื่นใหญ่สุดลูกหูลูกตา ดวงจันทร์ลอยเด่น สะท้อนเงาสว่างไสวลงกลางทะเลสาบ น้ำค้างระเหยขึ้นปะทะเข้ากับแสงจันทร์ งดงามราวภาพฝัน
กลางทะเลสาบนั้นมีหอคอยสูงราวร้อยจั้งตั้งตระหง่านอยู่ ราวกับตำหนักงดงามหรูหราลอยเหนือทะเลสาบ
หอคอยนั้นเรืองแสงไปทั่วทั้งอาคาร ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นจากสิ่งใด ทอแสงวิญญาณอ่อนโยนสวยงามเปี่ยมเสน่ห์ลงมาภายใต้แสงจันทร์ที่ปกคลุม ช่างเหมือนสถานที่งามวิจิตรอันเป็นที่พำนักของเซียน ไม่อาจพบได้บนโลกมนุษย์!
หลินสวินตะลึงงัน เพิ่งได้สติกลับมาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ค่าใช้จ่ายที่นี่คงแพงมากสินะ”
หลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ด้านข้างกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ใช่แค่แพงมาก แต่แพงถึงขั้นลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจทั่วๆ ไปอุดหนุนไม่ไหว! ยิ่งผู้ฝึกปราณทั่วไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง!
ไม่กลัวว่าจะพูดเรื่องน่าขันออกมา ในนครต้องห้ามนี้ เป้าหมายทั้งชีวิตของผู้ฝึกปราณบางคนไม่ใช่การฝึกปราณจนบรรลุวิชา มีอายุยืนนาน แต่เป็นการได้เข้ามาเที่ยวเล่นในหอสรวลทรัพย์แห่งนี้เพียงครั้งเดียว…
“ไปเถอะ”
หลินสวินตั้งสติ ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
หน้าทะเลสาบนั้นมีสะพานโค้งที่สร้างขึ้นจากหยกขาวกว้างขวางยิ่ง ตัดผ่านไปถึงหอสรวลทรัพย์ที่อยู่กลางทะเลสาบ
แต่ยามหลินสวินเพิ่งเดินไปบนสะพานโค้งนั้น ก็มีเงาร่างใหญ่โตกำยำพุ่งพรวดใส่หน้า กระแทกหมัดมาทางเขา
ตูม!
ลมหมัดหนักแน่น ร้ายกาจดุดันทะยานขึ้นฟ้า พลังมหาศาลหาใดเทียม
หลินสวินหรี่ตาแล้วตวัดมืออกไปส่งๆ
ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังปึง ลมแรงพัดโหม
ทว่าที่ทำให้หลินสวินตกใจอยู่เงียบๆ ก็คือ แม้เขาดูเหมือนโบกมือออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่ความจริงใช้พลังไปแล้วเจ็ดส่วน ใครจะคาดคิดได้ว่าร่างสูงใหญ่กำยำนั้นสั่นไหวเพียงเล็กน้อย ราวกับไม่เป็นไร
ครั้นเห็นหลินสวินเตรียมลงมืออีกครั้ง เงาร่างกำยำนั้นก็ตะโกนร้องออกมาว่า “ไม่สู้แล้วๆ ให้ตายสิ ไม่ได้เจอแค่สองปี เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ร้ายกาจถึงขั้นนี้แล้วหรือ!”
น้ำเสียงหยาบกระด้างหนักแน่น
เห็นเพียงคนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มยิงฟัน เผยให้เห็นใบหน้าหนักแน่นองอาจอย่างนักรบ ไม่ใช่หนิงเหมิงแล้วจะเป็นใครได้เล่า
“หนิงเหมิงรึ” หลินสวินนิ่งไปครู่หนึ่ง
หลินเสวี่ยเฟิงที่เดิมเตรียมตั้งท่าป้องกันเคร่งเครียดอยู่ด้านข้างพลันถอนหายใจยาว เพิ่งรู้ว่าหลินสวินกับฝ่ายตรงข้ามรู้จักกัน
แต่สีหน้าหลินจงกลับแปลกไป ถามจูเหล่าซานที่อยู่ข้างๆ เสียงเบาว่า “เมื่อกี้ทำไมเจ้าไม่ออกรับการโจมตีแทนนายน้อย”
จูเหล่าซานสีหน้านิ่งเฉยราวหินผา ตอบเสียงทุ้มว่า “ยามเจ้านั่นลงมือ ไม่มีจิตสังหาร ชัดเจนว่าต้องการหยั่งเชิง”
หลินจงพยักหน้าแล้วพูดว่า “รู้สึกเหมือนข้า”
“เป็นอย่างไรล่ะ แปลกใจหรือเปล่า สองปีมานี้ข้าเปลี่ยนไปมาก ใครเห็นก็ล้วนประหลาดใจทั้งนั้น” หนิงเหมิงพูดอย่างได้ใจ
“ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกว้าเจ้าแก่ขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อน เมื่อกี้เกือบนึกว่าคนวัยกลางคนที่ไหนอยากมาปองร้ายข้าเสียอีก”
ประโยคนี้ของหลินสวินทำให้หนิงเหมิงโกรธจนกัดฟันกรอด พลันคว้าคอของหลินสวินแล้วตะโกนว่า “ปากเจ้านี่มันร้ายกว่าแต่ก่อนเสียอีก!”
หลินสวินหัวเราะออกมา เจ้าหนิงเหมิงผู้นี้ ยังเหมือนแต่ก่อน ดื้อด้านไร้กฎเกณฑ์ ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น
“ท่านนี้คือ?”
หนิงเหมิงกวาดตาผ่านหลินจงกับจูเหล่าซาน แล้วมองไปยังหลินเสวี่ยเฟิง
ดูจากท่ายืนกับการแต่งกายเขาก็พอดูออกว่า หลินจงกับจูเหล่าซานเป็นผู้คุ้มกัน ส่วนหลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้ชัดเจนว่าต่างออกไป น่าจะเป็นสหายที่มากับหลินสวิน
“ญาติผู้พี่ข้า หลินเสวี่ยเฟิง” หลินสวินพูดออกมาง่ายๆ “นี่คือหนิงเหมิง เพื่อนข้าเอง”
หลินเสวี่ยเฟิงกุมมือคารวะ
หนิงเหมิงกลับโบกมืออย่างผ่าเผย “คนกันเองทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจกันเลย ไปๆๆ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว ครั้งนี้มีคนคุ้นหน้ามาไม่น้อย ให้ตายสิ น่าเสียดายเจ้าจ่างซุนเหิงไม่มา ทำข้าผิดหวังชะมัด”
แขนเขาโอบไหล่หลินสวินไว้พลางเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เดินไปพลางส่ายหัวถอนใจ
หลินสวินนึกขึ้นได้ หนิงเหมิงกับจ่างซุนเหิงเป็นศัตรูคู่แค้น ก่อนหน้านี้ที่ค่ายกระหายเลือด หนิงเหมิงก็ไม่ถูกกับจ่างซุนเหิงอยู่ตลอด
หลินเสวี่ยเฟิงที่เดินอยู่ข้างหลังราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาที่มองไปทางหนิงเหมิงมีแววประหลาดใจระคนสงสัย
หนิงเหมิง?
เขา…คงไม่ใช่หลานคนโตของหนิงปู้กุยราชันเลือดเหล็กหรอกกระมัง
ยังมีจ่างซุนเหิงผู้นั้นอีก เหมือนจะเป็น…หลานชายของจ่างซุนสยงหย่วนแห่งกรมทหารที่ได้รับฉายา ‘เสาหลักของจักรวรรดิ’!
ตอนที่ 363
สหายผู้มีเกียรติพร้อมหน้า
โดย
ProjectZyphon
หลินเสวี่ยเฟิงลอบสูดหายใจ เขาสังหรณ์ลึกๆ ว่าสมมติฐานของตนน่าจะถูกต้อง ที่นี่คือหอสรวลทรัพย์เชียวนะ!
มีเพียงคนระดับหลานชายของราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยเท่านั้น ถึงมีกำลังมากพอจะจัดงานเลี้ยงรับรองเพื่อนจากทุกสารทิศที่นี่ได้
ถ้าเป็นตาสีตาสา น่ากลัวว่าประตูหอสรวลทรัพย์ยังเข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!
‘คิดไม่ถึงว่าญาติผู้น้องผู้นี้ ที่แท้ยังผูกมิตรกับคนระดับนี้ด้วย ภายหลังถ้าเขาได้ควบคุมตระกูลหลิน อาจจะสามารถนำพาให้คนในตระกูลรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งได้จริงๆ…’
เขาดูอออกว่าความสัมพันธ์ของหลินสวินกับหนิงเหมิงไม่ธรรมดา ไม่ใช่คบกันโดยผิวเผินแน่นอน นี่เพียงพอทำให้ไม่ว่าใครก็อิจฉา
สำหรับลูกหลานตระกูลใหญ่แล้ว แม้ว่าเรื่องฝึกปราณจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด แต่เส้นสายและวงสังคมเองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ดังเช่นหลินสวินที่มีสหายวัยเยาว์ผู้แข็งแกร่งที่มีพื้นเพมั่นคงอย่างหนิงเหมิง ผลดีที่ได้นั้นคงมากเกินธรรมดา!
ว่ากันอย่างง่ายที่สุด ถ้าภายหน้ามีใครรังแกหลินสวิน คงต้องไตร่ตรองดีๆ ว่าจะผิดใจกับหนิงเหมิงได้หรือไม่!
ถ้าพูดไปอีกขั้น ผลดีที่ได้นั้นมากเหลือเกิน คงต้องดูว่าหลินสวินจะใช้ประโยชน์จากเส้นสายนี้อย่างไร
แน่นอนว่าที่หลินเสวี่ยเฟิงคำนึงถึงทั้งหมดนี้เลี่ยงไม่พ้นแง่ของผลประโยชน์ เห็นชัดว่าเป็นความคิดของมนุษย์ทั่วไป แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดานัก
ในวงสังคมของลูกหลานตระกูลใหญ่ เส้นสายกับความสัมพันธ์ที่ว่านี้โดยมากล้วนมีฐานอยู่บนผลประโยชน์ หากตำแหน่งและสถานะไม่เท่ากัน เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเที่ยวเล่นกับพวกเขาได้!
ก็เหมือนก่อนหน้านี้ หากไม่ได้หลินสวิน หลินเสวี่ยเฟิงคงไม่ได้รู้จักหนิงเหมิง!
แม้หลินเสวี่ยเฟิงกับหนิงเหมิงจะเพิ่งมีโอกาสได้พบหน้ากัน แต่ภายหลังหากหลินเสวี่ยเฟิงประสบเรื่องใดเข้า เมื่อไปพบหนิงเหมิง เพียงแจ้งชื่อหลินสวิน ก็จะย่อมได้รับการดูแล
นี่ล่ะเส้นสาย
หลินเสวี่ยเฟิงก็รู้ว่า หากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับหนิงเหมิงอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ย่อมหนีไม่พ้นหลินสวิน
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหลินสวินกับหนิงเหมิงไม่ได้เป็นเพื่อนที่คบกันโดยผิวเผิน เขาถึงได้ตกใจเช่นนี้
ครุ่นคิดไปตลอดทาง ไม่ทันรู้ตัวก็มาถึงภายในหอสรวลทรัพย์แล้ว หลินเสวี่ยเฟิงพลันตื่นจากภวังค์ ไม่กล้าวอกแวกอีก
หลินจงกับจูเหล่าซานถูกทิ้งไว้ มีหญิงรับใช้ที่หน้าตาสะสวยมารยาทงามนำทางพาไปพักผ่อนที่เรือนที่จัดไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะอีกเรือนหนึ่ง
เห็นเช่นนี้ ใจหลินเสวี่ยเฟิงก็พลันตกตะลึง เงินหนาชะมัด! ที่นี่เป็นหอสรวลทรัพย์เชียวนะ เจ้าภาพที่จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ ถึงกับจัดเตรียมเรือนรับรองโดยเฉพาะไว้สำหรับข้ารับใช้ที่ติดตามมาด้วย!
หลินเสวี่ยเฟิงยิ่งสงสัย ใครกันที่จัดงานเลี้ยงนี้ขึ้น
…
หอสรวลทรัพย์สูงร้อยจั้ง ภายในงดงามโอ่โถง หรูหราสว่างไสว!
ที่ปูลาดอยู่บนพื้นเป็นหินวิญญาณสมุทรสีฟ้าที่ขนมาจากทะเลตะวันออก ก้อนหนึ่งราคาหลักร้อยเหรียญทอง แต่ตอนนี้กลับถูกนำมาปูลาดทั่วพื้น เมื่อเดินบนหินเหล่านี้ ราวกับเดินบนพื้นผิวของทะเลสีคราม คลื่นน้ำกระทบไปมา เต็มไปด้วยแสงวิญญาณ
เมื่อดูเครื่องตกแต่งรอบทิศ มีโคมแปดเหลี่ยมที่หลอมจากเหล็กดาวมังกรทอง กรอบหน้าต่างที่แกะสลักจากไม้จื่อหยิน โต๊ะเก้าอี้ที่เจียรจากหยกเสวียนชิงหานทั้งก้อน
จากเสาคานสลักเสลางดงาม จรดกระถางต้นไม้ตกแต่ง ทุกสิ่งล้วนถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน มีที่มาที่ไป ความหรูหราเลิศเลอทั้งหมดนี้ ไม่ว่าใครคงตกตะลึง
นี่ยังเป็นเพียงแค่เครื่องตกแต่งเท่านั้น แก่นภายในของหอสรวลทรัพย์คงไม่เรียบง่ายเพียงเท่านี้แน่
ที่สถานที่แห่งนี้เป็นหอละลายทรัพย์อันดับหนึ่งของนครต้องห้ามได้นั้น ย่อมมีสิ่งที่โด่ดเด่นเหนือธรรมดามากมาย
ทว่าหลังผ่านความตื่นตาตื่นใจเมื่อหะแรกแล้ว ไม่นานหลินสวินก็สงบอารมณ์ ไม่สนใจอีก
ตกแต่งหรูหราแค่ไหน อย่างไรก็ยังเป็นแค่การตกแต่ง
ในความคิดของเขา วัสดุวิญญาณราคาเกินธรรมดามากมายเช่นนั้นกลับกลายเป็นของตกแต่ง ย่อมเป็นการนำของมีค่ามาทำให้เสียของเสียเปล่า
“ถึงแล้ว”
มีหนิงเหมิงนำทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงชั้นเก้าของหอสรวลทรัพย์ ที่นี่มีโถงใหญ่เพียงห้องเดียว นามว่า ‘พลับพลานพนภา’
ก่อนพวกหลินสวินมาถึง ในพลับพลานพนภามีชายหญิงยี่สิบกว่าคน แต่ละคนล้วนหล่อเหลางดงาม บุคลิกโดดเด่นมีเอกลักษณ์ ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
พวกเขาต่างนั่งหน้าตั่ง กำลังดื่มเหล้าพลางสนทนา
และในนั้นมีที่นั่งไม่น้อยว่างอยู่ เห็นชัดว่าแขกที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงครั้งนี้ยังมาไม่ครบ
เมื่อพวกหลินสวินปรากฏตัวขึ้น ฉับพลัน ดวงตาทุกคู่ในโถงก็หันมามอง
หนิงเหมิงฉีกยิ้มกว้าง มือก็ผลักหลินสวินไปข้างหน้า ตะโกนก้องว่า “ทุกท่าน พวกเจ้ายังจำเจ้าหนูนี่ได้รึไม่”
“หลินสวินรึ”
“ที่หนึ่งของค่ายกระหายเลือดเมื่อปีนั้น ใครจะไม่รู้จักเล่า”
“ที่แท้ก็หลินสวินนี่เอง เขามาจริงๆ ด้วย”
เสียงดังขึ้นในโถง ราวกับทุกคนล้วนประหลาดใจ
มีคนหัวเราะกึ่งจริงกึ่งเล่นพลางพูดว่า “ตอนที่อยู่ค่ายกระหายเลือด ไม่มีใครรู้ฐานะและที่มาของหลินสวิน แต่ตอนนี้ข้าได้ยินมาว่า ภูเขาชำระจิตที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองยอดเขาแห่งอำนาจ มี ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดี่ยวที่สุดในนครต้องห้าม’ ท่านหนึ่ง คงไม่ใช่คนเดียวกับหลินสวินกระมัง”
“ฮ่าๆ” ผู้คนไม่น้อยหัวเราะขึ้น
หลินสวินกวาดสายตาไป ก็พบว่าในที่นั่งนั้นโดยมากล้วนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างกงหมิง เย่เสี่ยวชี
นอกจากนี้ยังมีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอีกประปราย แม้หลินสวินรู้จักชื่อ แต่สมัยอยู่ในค่ายกระหายเลือดกลับไม่ได้คบหาพูดคุยกับคนเหล่านั้นเท่าไรนัก
เหตุผลก็ง่ายดาย ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในค่ายกระหายเลือดถูกแบ่งไปอยู่ในค่ายหมายเลขต่างกัน อีกทั้งมีศิษย์ถูกคัดออกทุกวัน ชีวิตการฝึกตึงเครียดลำบากยากเข็ญทุกวี่วัน ย่อมไม่มีโอกาสให้เหล่าศิษย์ได้คบหาสมาคมกันมากนัก
แม้เป็นเช่นนี้ ในใจหลินสวินก็อดซาบซึ้งไม่ได้ ไม่ได้เจอกันสองปี ไม่เพียงแค่ตนเท่านั้น เงาร่างคุ้นเคยที่นั่งอยู่เหล่านั้นล้วนเปลี่ยนไปมาก
คิดไปคิดมาก็ควรจะเป็นเช่นนั้น สมัยที่พวกเขาฝึกอยู่ที่ค่ายกระหายเลือด ยังเป็นเด็กหนุ่มสาวอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เป็นช่วงเวลาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของวัยเร็วที่สุด เวลาสองปีก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนลักษณะท่าทางของคนได้มากแล้ว
แน่นอนว่าหลินสวินก็ดูออกว่าในที่นั่งนั้นมีบางคนเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง คิดว่าถ้าไม่ใช่แขกที่สืออวี่เชิญมา ก็เป็นคนที่มากับแขกคนอื่น
เวลานี้สืออวี่ที่นั่งในตำแหน่งประธานลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้ว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเดินมาตรงหน้าหลินสวิน พูดว่า “มาๆๆ ตอนอยู่ค่ายกระหายเลือดเมื่อสองปีก่อน ทุกคนคงไม่ได้รู้จักฐานะของกันและกันนัก ตอนนี้ข้ามาแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักสักครั้ง”
เขาพูดพลางพาหลินสวินไปด้วย ชี้ไปยังชายหน้าตาพื้นๆ ท่าทีเฉื่อยชาแล้วพูดว่า “กงหมิง มาจากตระกูลใหญ่สกุลกง ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ที่ชื่อเสียงระบือไปทั้งจักรวรรดิ ตอนสอบประจำเดือนครั้งแรกที่ค่ายกระหายเลือด ‘กระบองพิทักษ์กายเก้าขุมวิญญาณ’ ที่เจ้านี่ฝึกเล่นข้าเสียอ่วม”
กงหมิงลุกขึ้น ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มพูดว่า “หลินสวิน ไม่ได้เจอนานเลย มาพบกันครั้งนี้ต้องคุยกันดีๆ เชียว”
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน “แน่นอน”
“เจ้านี่คือเย่เสี่ยวชี…”
สืออวี่กำลังจะแนะนำเด็กหนุ่มอ้วนเตี้ยที่อยู่ข้างกงหมิง ฝ่ายหลังก็ยิ้มตาหยีแล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ต้องให้เจ้าแนะนำข้าก็จำหลินสวินได้แม่นเชียวล่ะ”
“อ้อ ข้าก็จำได้ ตอนแรกเจ้าเอาแต่พูดว่าอยากแลกหมัดกับข้าอีกสักรอบ” หลินสวินพูดพลางยิ้ม
“ใช่!”
เย่เสี่ยวชีดวงตาเปล่งประกายขึ้น ราวกับหมายจะต่อสู้ “ไงล่ะ หลังงานเลี้ยงจบพวกเรามาสู้กันสักรอบไหม”
สืออวี่ขัดขึ้น “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกัน หลินสวิน เจ้าจำเจ้าอ้วนนี่ไว้ พ่อเขาคือผู้อาวุโสเย่จั้นคง ‘ราชันแห่งทะเลตะวันออก’ ตระกูลเย่ของพวกเขาเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่งในหมู่อันดับหนึ่งของมณฑลตงไห่ เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าจากทะเลไว้มากมาย”
“บ้าจริง ตระกูลเย่ของข้าจะไปอู้ฟู่เท่าอัครการค้าของบ้านเจ้าได้อย่างไร” เย่เสี่ยวชีกลอกตา
ถัดมา สืออวี่ก็แนะนำผู้อื่นให้หลินสวินต่ออีก โดยจงใจเลือกจากชาติตระกูลและที่มาที่ไปของพวกเขา
หลินสวินนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรนัก แต่หลินเสวี่ยเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกลับใจเต้นโครมคราม แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เขาจะไปคิดได้ที่ไหนว่าผู้ที่จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นก็คือสืออวี่ คุณชายสามแห่งอัครการค้านั่นเอง! นี่เป็นถึงบุตรชายสายตรงของ ‘เทพเศรษฐี’ แห่งจักรวรรดิเชียวนะ!
แค่อาศัยอำนาจของอัครการค้า ก็เพียงพอที่จะเทียบกับเจ็ดตระกูลมหาอำนาจได้แล้ว
และเห็นชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินสวินกับสืออวี่นั้นไม่ใช่ผิวเผินเช่นกัน!
นอกจากนี้ เมื่อได้รู้ว่าในหมู่คนที่นั่งอยู่มีลูกหลานตระกูลใหญ่สกุลกง ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ มีบุตรชายคนโตของเย่จั้นคง ‘ราชันแห่งทะเลตะวันออก’ รวมถึงลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจอยู่หลายคน หลินเสวี่ยเฟิงก็ไม่อาจสงบใจได้
ผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเป็นคนธรรมดาเลย!
อีกทั้งอำนาจอิทธิพลเบื้องหลังของแต่ละคนที่นั่งอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่ตระกูลใหญ่มากอำนาจที่มีชื่อเสียงลือลั่นนครต้องห้าม ก็เป็นคนใหญ่โตที่ควบคุมจักรวรรดินี้อยู่ทั้งนั้น
เทียบกันเช่นนี้แล้ว หลินเสวี่ยเฟิงเพิ่งค้นพบว่า ฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของตนนั้นดูจืดชืดหม่นสีถึงเพียงนี้
ไม่มีทางเทียบได้อยู่แล้ว!
ในเวลานี้ ต้องรวมอำนาจของตระกูลหลินสายรองให้เป็นหนึ่ง จึงจะพอฝืนยกฐานะขึ้นมาเป็นตระกูลผู้มีอำนาจระดับล่างได้ ถ้าเพียงอาศัยตระกูลหลินแห่งแสงอุดรสายเดียว ต้องด้อยกว่าไม่น้อยแน่
แน่นอนว่าหลินเสวี่ยเฟิงก็ไม่ได้ดูถูกตัวเองเกินไป แต่ที่ทำให้เขาสะท้านใจก็คือ หลินสวินนั้นรู้จักกับลูกหลานชนชั้นสูงมากมายที่นั่งอยู่ที่นี่!
ต่อให้ความสัมพันธ์จะผิวเผินกว่านี้ แต่อย่างไรก็ถือว่ารู้จักกัน ไหนเลยจะเหมือนกับเขาหลินเสวี่ยเฟิง ขนาดโอกาสจะทำความรู้จักยังไม่มี…
ชั่วขณะนี้ ในที่สุดหลินเสวี่ยเฟิงได้รู้แล้วว่า ญาติผู้น้องที่ครอบครองภูเขาชำระจิตอย่างโดดเดี่ยวนั้น ที่แท้ยังมีเส้นสายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ มิน่าเขาถึงกล้ามาท้ารับภาระของตระกูลหลินด้วยกำลังของตนเพียงผู้เดียว!
ขณะที่หลินเสวี่ยเฟิงเหม่อลอยอยู่นั้นเอง ฉับพลันมีเสียงบาดหูดังขึ้นกลางโถง “คุณชายสามสือ เจ้าแนะนำทีละคนแบบนี้ จะแนะนำไปถึงเมื่อไหร่กันแน่หา”
ถ้อยคำนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ
ดวงตาหลายคู่ในโถงพลันมองไป กลับเห็นว่าผู้ที่พูดนั้นเป็นเด็กหนุ่มท่าทางยโสโอหังสวมชุดสีดำผู้หนึ่ง
สืออวี่ขมวดคิ้วขึ้นอย่างยากจะสังเกตเห็น แต่ยังคงยิ้มพลางพูดกับหลินสวินว่า “ท่านผู้นี้คือซ่งชงเฮ่อ มาจากตระกูลซ่งที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลมหาอำนาจ ซ่งอี้ที่ได้ที่หนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ก็เป็นญาติผู้พี่ของคุณชายชงเฮ่อ”
แต่ซ่งชงเฮ่อกลับหัวเราะเย็นชา “ไม่ต้องแนะนำข้า ครั้งนี้ข้ามาเพื่อพบแม่นางไป๋หลิงซี คนอื่นเป็นใคร ข้าไม่สนหรอก”
คำพูดนี้เอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ ไม่เห็นผู้อื่นในสายตา
หลายคนที่อยู่ที่นั่นขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ขนาดหลินสวินยังตะลึงไป เหตุใดสืออวี่ถึงเชิญเจ้าคนหัวสูงเย่อหยิ่งเช่นนี้มานะ
ทว่าสืออวี่กลับหัวเราะเสียงดัง “ช่างเถอะ รอคนมากันครบแล้ว ข้าค่อยแนะนำทีละคนก็ไม่ติดขัด มา หลินสวิน เข้ามานั่งสิ”
เขาพูดพลางลากหลินสวินมาด้วย แล้วเดินไปทางซ้ายมุ่งหน้าไปที่นั่งประธาน เห็นชัดว่าไม่คิดจะหาความกับซ่งชงเฮ่อ
ใครจะคิดว่าซ่งชงเฮ่อจะไม่รามือง่ายๆ ยิ้มเย็นอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายสามสือ ที่นั่งประธานจะให้ใครที่ไหนนั่งมั่วๆ ได้อย่างไรกัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น