Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 356-357
ตอนที่ 356
เกิดภาพแปลกตาไม่หยุดหย่อน พลังมหาศาลลงมาจากฟากฟ้า
โดย
ProjectZyphon
หลินเสวี่ยเฟิงลุกขึ้นอย่างเคืองแค้นราวบ้าคลั่ง
เด็กหนุ่มผู้นี้ลำพองใจว่าตลอดการฝึกปราณนั้นตนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลหลินแห่งแสงอุดร การทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อไม่นานนี้ก็ได้อับดับที่เจ็ดสิบเก้า และถูกรับเข้าศึกษาในสำนักศึกษามฤคมรกตโดยราบรื่น
คนเช่นนี้ เป็นที่ยอมรับโดยกว้างขวางอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแต่เพียงผู้เดียว
แต่ตอนนี้เมื่อได้ประลองกับหลินสวิน เขาไม่เพียงกำราบคู่ต่อสู้ไม่ได้ หนำซ้ำยังถูกโจมตีกลับจนได้รับบาดเจ็บ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นการเหยียดหยามดูหมิ่นอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มขั้นผสานฟ้า อายุอานามหรือก็น้อยกว่าเขา กลับโจมตีให้เขาบาดเจ็บในการประลองได้ เช่นนี้แล้วหลินเสวี่ยเฟิงจะไม่ขัดเคืองได้หรือ
“ก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าไว้ต่ำไปจริงๆ แต่ว่าการประลองนี้ยังไม่จบ!” ดวงตาหลินเสวี่ยเฟิงฉายแววเย็นชาราวคมดาบ เย็นเยียบดูน่ากลัว เขาถูกยั่วให้โมโหจริงๆ แล้ว
แต่หลินสวินที่อยู่ตรงข้ามกลับยิ้มน้อยๆ ร่างเขาอาบไปด้วยเลือด รอยแผลนับไม่ถ้วน เลือดยังหยดติ๋งลงบนพื้นไม่ขาดสาย ดูน่าสะพรึงถึงที่สุด
นี่ทำให้คนมากมายคิดว่าถ้าการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป หลินสวินที่ใช้พลังทั้งหมดแล้วต้องปราชัยแน่นอน
ทว่าตอนนี้ ในช่วงเวลาที่โหดร้ายสาหัสเช่นนี้ เขากลับยิ้มออกมาอย่างผิดคาด!
เหตุใดถึงยิ้มออกมาได้เล่า
ผู้คนโกรธเคืองหน้าเสีย คิดในใจว่า หรือเจ้าเด็กนี่จะยิ้มเยาะพวกเขาอยู่
“เสวี่ยเฟิง ถอยไปเถอะ เกินร้อยกระบวนท่าแล้ว การประลองนี้…ไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินต่อไปอีกแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงเคร่งขรึมทรงอำนาจดังขึ้นจากที่ไกลๆ เป็นหลินไหวหย่วนเอ่ยปากแล้ว
ทั้งลานพลันตกตะลึง ทำสีหน้าไม่ถูก ครั้นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตั้งแต่เริ่มประลองจนถึงตอนนี้ก็เกินข้อตกลงร้อยกระบวนท่ามาแล้วจริง
และตามกฎแล้ว เพียงหลินสวินทนได้ถึงร้อยกระบวนท่าโดยไม่ล้มลงไปก็ถือว่าชนะ
ชั่วขณะนั้นเอง แม้แต่สีหน้าของหลินเสวี่ยเฟิงยังแย่ลงไปอย่างหาใดเปรียบ ดวงตาเต็มไปด้วยไฟขัดเคือง เขากลับลืมจุดนี้ไปได้!
หรือว่า…ตนต้องยอมแพ้เจ้าเด็กขั้นผสานฟ้านี่จริงๆ
หลินเสวี่ยเฟิงรู้สึกลำบากใจ ทรมานใจราวต้องกินแมลงวัน เกียรติยศและความภาคภูมิของเขาไม่อาจทำให้เขายอมก้มหัวในเวลานี้ได้!
ถึงขนาดที่เขาไม่อยากรามือเช่นนี้ในเวลานี้เลย
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง จะไม่เป็นการพิสูจน์ว่าหลินเสวี่ยเฟิงพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มขั้นผสานฟ้าผู้หนึ่งหรอกหรือ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คงได้กลายเป็นเรื่องขบขันในนครต้องห้ามแน่!
บรรยากาศเงียบเชียบ
เวลานี้เองฝูงชนรู้แล้วว่าเหตุใดหลินสวินจึงพลันยิ้มขึ้น นั่นคือรอยยิ้มของผู้ชนะ ดูช่างบาดตานัก
หลินจงที่อยู่ไกลออกไปก็หัวเราะขึ้น ยินดีราวเสียสติ พูดกับหลินต้าหงที่อยู่ด้านข้างว่า “ไง ท่านคิดว่านายน้อยบ้านข้าเป็นอย่างไร”
หลินต้าหงสีหน้าหม่นหมอง มาถามเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า เขาคับแค้นใจ ทำได้เพียงส่งเสียงหึเจื่อนๆ ออกมา
หลินจงยิ่งหัวเราะชอบใจ ฝีมือของนายน้อยในวันนี้ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา อดเปลี่ยนความคิดไม่ได้
เขาถึงกับคิดว่า ถ้านายน้อยไม่พลาดการทดสอบระดับอาณาจักร ด้วยความสามารถในการต่อสู้เช่นนี้ น่ากลัวจะผ่านการทดสอบได้โดยราบรื่นแล้ว!
ไม่ทันให้หลินจงได้ดีใจ หลินสวินที่อยู่ในลานฝึกยุทธ์พลันพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ยอมแพ้หรือ”
หืม?
ฝูงชนล้วนตกตะลึง สีหน้าหลายคนพลันนิ่งขึงขึ้น การประลองก็จบลงแล้ว ใยเจ้าเด็กนี่ยังเอาสถานะผู้ชนะเข้าข่มอีกเล่า
หลินเสวี่ยเฟิงส่งเสียงหึหยัน ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาราววารี เขาสาบานไว้ในใจ ถ้าหลินสวินกล้าเอ่ยวาจาลบหลู่เขา เขาจะละเมิดกฎอย่างไม่ถือสา พุ่งเข้าต่อยอีกฝ่ายให้เต็มแรงหนึ่งหมัด!
ที่เกินคาดคือหลินสวินหุบยิ้มลง พูดเสียงเรียบว่า “ถ้าไม่พอใจ อีกหนึ่งถ้วยชาข้าจะให้โอกาสเจ้าประลองอีกครั้งหนึ่ง”
อะไรนะ?
ทั้งลานส่งเสียงอื้ออึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เจ้าเด็กนี่มันบ้าไปแล้วหรือ ตอนนี้เขาเจ็บหนักแบบนี้แล้ว ยังกล้าท้าหลินเสวี่ยเฟิงประลองต่ออีก
หนึ่งถ้วยชาเนี่ยนะ!
ให้เวลาเท่านี้ น่ากลัวจะฟื้นร่างกายกลับมาไม่ได้หรอก!
“นายน้อยบ้านเจ้านี่ใจกล้าเอาเรื่องเลยนะ” หลินต้าหงที่อยู่ไกลออกไปพลันยิ้ม
คราวนี้เป็นหลินจงที่สีหน้าเคร่งเครียดเสียแล้ว ใจเขาร่ำร้องอย่างเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน ไม่เข้าใจว่าในเมื่อหลินสวินได้รับชัยชนะแล้ว เหตุใดจึงต้องสู้อีกยกหนึ่ง
ขนาดหลินไหวหย่วนที่อยู่ไกลออกไปยังอดตะลึงไม่ได้ หลินสวินผู้นี้…คิดอะไรอยู่กันแน่
“เจ้าแน่ใจนะ?”. หลินเสวี่ยเฟิงสงสัย
“สัตบุรุษไม่อาจพูดเล่น ในเมื่อต่อไปข้าจะควบคุมตระกูลหลินทั้งหมด ย่อมไม่อาจนำเรื่องพรรค์นี้มาล้อเล่นได้” หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
ควบคุมตระกูลหลิน!
ใจหลินเสวี่ยเฟิงบังเกิดไฟแค้นที่ไม่อาจควบคุมได้ขึ้น กัดฟันพูดว่า “ไม่ต้องเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาหรอก ให้เจ้าพักฟื้นฟูเต็มที่ เจ้าพร้อมสู้อีกเมื่อไร ข้าจะสู้กับเจ้าจนถึงที่สุด!”
คำพูดนี้ดูเอ่ยออกมาอย่างงดงาม แต่ด้านอำนาจนั้นอ่อนด้อยกว่าหลินสวินไปขั้นหนึ่ง
ด้วยอย่างไรเสียตามเงื่อนไขก่อนหน้านี้หลินเสวี่ยเฟิงก็พ่ายแพ้ไปแล้ว เวลานี้เขายังยืนยันจะสู้อีก เห็นชัดว่าไม่โสภาเท่าไร
แต่ที่นี่คือตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเย้ยหยันหลินเสวี่ยเฟิง
ในทางกลับกัน เพราะหลินสวินพูดขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้ผู้คนในลานไม่น้อยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหลินสวิน เห็นว่าต่อให้เขาจะโอหังเช่นไร แต่ความกล้าเช่นนี้ก็หาคนเทียบเทียมได้ยาก
ทั้งลานเงียบสงบ ดวงตาทุกคู่มองไปยังหลินสวินที่ยืนอยู่โดดเดี่ยวตรงนั้น
ต่างกับที่ฝูงชนคาดไว้ หลินสวินไม่ได้นั่งขัดสมาธิฟื้นปราณ ไม่ได้กลืนยาวิญญาณเพื่อรักษาตน เพียงยืนนิ่งเช่นนั้น
เลือดย้อมสาบเสื้อ มือยันดาบกับพื้นยืนมั่น!
สายลมพัดมา ผมยาวปลิวสยาย บนใบหน้าคมสันหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาตอนนี้เพียงแสดงสีหน้ายากบรรยายออกมา
ตึง!
ทันใดนั้น พลังแข็งแกร่งหาใดเทียบพลันเอ่อล้นออกมาจากร่างของเขา พุ่งทะยานขึ้นไปยังท้องนภา สั่นสะเทือนเมฆา!
เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น ราวพื้นราบเกิดพายุหมุน แปรผันสภาพอากาศ เปลี่ยนสภาพฟ้าดินโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
“นี่…” ผู้คนมากมายร้องออกมาอย่างตื่นตะลึง
บุคคลเช่นหลินไหวหย่วน หลินจง จูเหล่าซานประหนึ่งรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง ดวงตาเปล่งประกายน่าหวั่นใจ
ทันใดนั้นหลินสวินเงยหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีดำล้ำลึกมองไกลออกไปยังเวิ้งฟ้า
ชั่วพริบตา ฝูงชนก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในใจ หลินสวินคล้ายรออะไรบางอย่าง บนเวิ้งฟ้านั้น ราวกับกำลังจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
จริงดังคาด!
พลันได้ยินเสียงโครมดังกระหึ่มขึ้นราวกับเทพสายฟ้าคำรามโกรธแค้น ครั่นครืนสะท้อนเวิ้งฟ้า สะเทือนฟ้าดิน ทำให้ผู้คนทั้งลานสะเทือนขวัญ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ไม่นานนักก็เห็นว่าบนเวิ้งฟ้านั้นมีสายรุ้งวิเศษสีฟ้าอ่อนรวมกลุ่มกันอยู่ ราวกลับเป็นแสงเทพมายา ตกลงมาจากจักรวาลกว้างใหญ่สู่โลกมนุษย์
พวกมันถักทอเข้าหากัน ลอยอยู่กลางห้วงอากาศ แสดงพลังโดดเด่นยากบรรยายออกมา อาบชโลมไปทั่วร่างของหลินสวิน
ร่างของหลินสวินเวลานี้ราวพายุสูงใหญ่ กลืนกินสายรุ้งวิเศษสีฟ้าอ่อนที่ทอลงมาเป็นสายอย่างบ้าคลั่ง พลังปราณที่ออกมาจากกายเขาเพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด…
“ปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้า?”
ผู้คนมากมายในลานร้องเสียงหลงอย่างตกใจ ไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าจะได้รับแรงกดดันน่ากลัวที่มาจากฟากฟ้า ทำให้จิตใจพวกเขาไหวระรัว
บุคคลระดับหลินไหวหย่วน หลินจง จูเหล่าซานทั้งสามต่างก็ประทับใจ ในความรับรู้ของพวกเขา พลังที่อยู่รอบหลินสวินนั้นกำลังถูกพลังยิ่งใหญ่จากฟากฟ้าชำระล้าง!
ตึง! ตึง! ตึง!
พายุหมุนราวคลุ้มคลั่ง ใช้หลินสวินเป็นศูนย์กลาง กลืนกินฟ้าดิน!
ภาพเช่นนี้เรียกได้ว่าสะท้านโลกา
หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ดวงตาปิดลงตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ พายุรอบกายทะยานขึ้นไปบนฟ้า ร่างกลับถูกสายรุ้งสีฟ้าอ่อนเกี่ยวกระหวัดไว้ สว่างจ้าราวตะวัน แสบตาหาใดเปรียบ
ผู้คนมากมายมองเห็นไม่ชัดเจน เพียงเห็นว่าบนเวิ้งฟ้ามีรุ้งวิเศษเกี่ยวกระหวัดกัน กลางฟ้าดินนั้นมีพายุใหญ่หมุนคว้างอยู่
ลึกไปในพายุ เงาร่างหลินสวินจมอยู่ในแสงวาววับโดยสมบูรณ์แล้ว
เวลาเดียวกันนั้น เลือดเนื้อ กล้ามเนื้อ กระดูก อวัยวะภายในของหลินสวิน…ทุกกระเบียดนิ้วล้วนราวกับอาบไล้ด้วยเพลิงนิพพาน ถูกพลังมหึมาหล่อหลอมชำระล้าง เกิดความเปลี่ยนแปลงราวเกิดใหม่
โครม!
ในกายหลินสวิน พลังวิญญาณพุ่งพล่านราวกระแสน้ำเชี่ยวคลั่ง ท่วมทะลัก และถูก ‘หินโม่พายุ’ ลับคมกดอัดอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดก็รวมกันอยู่เป็นทะเลปราณ
‘เปิด!’ หลินสวินเอ่ยเสียงเบาในใจ
ในทะเลปราณที่ปั่นป่วนอยู่นั้นเกิดเสียงระเบิดเปรี๊ยะดังขึ้น ราวเกราะป้องกันไร้รูปร่างถูกตีแตก ประหนึ่งตรวนที่มองไม่เห็นสลายไป เผยให้เห็นโลกใบใหม่
ครืน~
พลังมหาศาลที่เดิมรวมตัวในทะเลปราณ เวลานี้ดูราวกับพบทางระบายออก ส่งเสียงโครมพลางอาบท่วมกลางทะเลปราณ
ฉับพลัน แม่น้ำพลังวิญญาณสายยาวก่อรูปร่างขึ้น
ไม่นานนักก็เกิดแม่น้ำพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นหลายสาย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นร้อยเป็นพันสาย
ภายหลัง แม่น้ำพลังวิญญาณที่หนาแน่นนี้ซัดสาดไหลบ่า รวมกันที่จุดเดียว เปลี่ยนรูปเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่!
ประหนึ่งมหาสมุทร!
ทะเลปราณ รากฐานของปราณ ราวมหาสมุทรไร้ขอบเขต
ทะเลปราณก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มก้อนไร้รูปร่างไม่อาจสัมผัสได้ ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นมหาสมุทรพลังวิญญาณกว้างใหญ่เอ่อล้นรุนแรง
นี่ก็คือปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
เมื่อถึงระดับนี้ ก็พูดได้ว่าปลดเปลื้องโซ่ตรวนที่จำกัดคนทั่วไปไว้โดยแท้ สามารถเรียกลมขอฝน เคลื่อนกายในเวิ้งฟ้า เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ ครอบพลังอำนาจที่ไม่อาจคาดคิดได้
ในช่วงยี่สิบกว่าวันที่หลินสวินฝึกปราณที่ยอดภูเขาชำระจิตนั้น เขามีโอกาสจะก้าวข้ามขั้นเลื่อนระดับเมื่อใดก็ได้ แต่เขากลับอดกลั้นไว้ เพราะต้องการตั้งจิตรับพลังมหาศาลของฟ้าดินอย่างสมบูรณ์
ทว่าตอนนี้ เมื่อต่อสู้กับหลินเสวี่ยเฟิง แม้ทำให้หลินสวินเจ็บหนักถึงจุดที่แทบรับมือไม่ไหว แต่ในการต่อสู้นี้เอง กลับทำให้พลังมหาศาลของฟ้าดินที่หลินสวินปลุกให้ตื่นนั้นได้รับการขัดเกลาและพิสูจน์!
ในที่สุดเขาก็ไม่อาจอดทนต่อไปได้ ก้าวเข้าไปยังระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
อีกทั้งยามทะลวงขั้นยังเหนี่ยวนำปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้า!
การเลื่อนขั้นนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ รุ้งวิเศษสีฟ้าอ่อนที่ตกลงมาจากเบื้องบนยังเป็นพลังโดดเด่นมหัศจรรย์ ดำเนินการชำระล้างอย่างยากจะได้เห็นแก่หลินสวิน
ตูม!
ในที่สุดพลังต่างๆ ก็เอ่อล้นทั่วทั้งภายในภายนอก ทั้งร่างกายจิตใจ เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
หลินสวินในเวลานี้รู้สึกได้ว่าร่างของตนราวกับใกล้ระเบิด อดมองฟ้าแล้วร้องออกมาไม่ได้ เสียงร้องราวมังกรและพยัคฆ์ สั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า!
ปึงๆๆ!
พื้นดินใต้เท้าของเขาแยกออกจมลงไป แล้วกระจายออกรอบทิศ
คนจำนวนมากในลานตื่นตะลึง สะท้านขวัญจนถอยร่นออกไป
แต่หลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ตรงข้ามกับหลินสวินนั้นมีสีหน้าเหม่อลอยอยู่ก่อนแล้ว ราวกับวิญญาณหลุดลอย ถูกภาพการฟื้นพลังมหึมานี้ทำให้หวั่นไหวจนในหัวขาวโพลนไปหมด
ไม่รู้นานเท่าไร เวิ้งฟ้ากลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง พายุหมุนถูกเก็บเข้าไปรวมไว้ในกายหลินสวิน พื้นที่โดยรอบจึงค่อยๆ กลับสู่ความสงบ
“เกิดปรากฏการณ์ประหลาด พลังมหาศาลจากฟากฟ้า นายน้อยบรรลุขั้นครานี้ สามารถกล่าวได้ว่าแตกต่างจากทุกผู้!”
หลินจงมีสีหน้าตื่นเต้น ดวงตาวาววับ ห้ามตนไม่ให้หัวเราะเสียงดังไม่ได้
ชั่วขณะนี้ใจเขาเต้นระส่ำ คิดถึงนายท่านนายหญิงที่สิ้นไป คิดถึงคนในตระกูลหลินสายตรง คิดถึงช่วงเวลามืดมนที่ตนคุ้มครองภูเขาชำระจิตเพียงลำพังสิบกว่าปีมานี้…
ทว่าตอนนี้ การปรากฏตัวของนายน้อย ทำให้เขาเห็นแสงสว่างแล้ว
ตอนที่ 357
คำว่าเป็นที่ยอมรับ
โดย
ProjectZyphon
ภายในลานเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ในใจต่างเต็มไปด้วยความตะลึง
แม้แต่จูเหล่าซานที่เย็นชานิ่งขรึม ยามนี้ยังเผยสีหน้าหวั่นไหว ส่วนลึกของสายตาสาดประกาย เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่มั่นคงอย่างมาก
เท่าที่เขารู้ คนที่หยัดดาบยืนมั่น อาศัยเพียงพลังปราณก็ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้ายามบรรลุขั้นเหมือนกับหลินสวินนั้นมีน้อยมาก
มีเพียงแค่ในอดีตโบราณ จึงมีเรื่องราวอันเป็นตำนานเช่นนี้ปรากฏ
น่าทึ่งเกินไปแล้ว
ต่อให้ไม่พูดว่าเป็นที่หนึ่งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครเสมอเหมือน!
สีหน้าของหลินไหวหย่วนที่อยู่ห่างออกไปเผยความสับสน หว่างคิ้วแฝงความตะลึงและดูอึมครึมอย่างไม่อาจควบคุมได้
ครั้งนี้หลินสวินแสดงฝีมือออกมาได้อย่างน่าทึ่งเหลือเกิน บาดเจ็บหนักจนยากจะสู้ต่อแล้วแท้ๆ ใครจะคิดว่าเขาสามารถบรรลุพลังปราณไปอีกขั้นด้วยวิธีที่แข็งแกร่งเพียงนี้ต่อหน้าทุกคน
รุ้งศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏบนท้องฟ้า พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม…
ช่างเหมือนกับในตำนาน!
เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกชายของเขาหลินเสวี่ยเฟิงด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ภายในลานฝึกยุทธ์หลินสวินลืมตาขึ้น ชั่วพริบตานั้นราวกับมีสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าอ่อนปรากฏภายในนัยน์ตาเขาแล้วสะท้อนสู่ท้องนภา อัศจรรย์เกินคาดเดา
ตอนนี้พลังวิญญาณในตัวเขาราวกับผืนน้ำกว้าง ร่างกายและจิตวิญญาณใสสะอาด ผิวพรรณเปล่งประกาย ในห้วงนิมิตสว่างสดใส มีดวงดาวแห่งจิตเจ็ดร้อยยี่สิบดวงแขวนอยู่
ดวงดาวแห่งจิตมากกว่าปกติเป็นสิบเท่า!
นี่ก็หมายความว่าหลังจากบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว พลังแห่งจิตวิญญาณของหลินสวินแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว
หลินสวินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังระหว่างฟ้าดินและปราณของตัวเองได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เหมือนกับตอนอยู่ในขั้นผสานฟ้าแห่งระดับจิตผสานวิญญาณเลยสักนิด
พลังของเขาได้ก้าวไปสู่ขั้นใหม่อีกขั้น โลกที่เห็นก็ดูแตกต่างไปจากเดิม มีความงดงาม ความศักดิ์สิทธิ์และการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ที่ผ่านมาไม่เคยสังเกต
ดังเช่นการมองไปยังเมฆบนฟากฟ้าในตอนนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเกินเอื้อมเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ตรงกันข้าม ขอเพียงเขาต้องการ ขอเพียงแค่มีความปรารถนา ก็สามารถขึ้นไปเหยียบได้!
นี่ก็คือระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
ระดับที่ทุบกำแพงภายในดวงจิตและกายหยาบธรรมดาอย่างสิ้นเชิงและหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์โลกสามัญ ไม่ได้ถูกจำกัดพื้นที่เพียงบนพื้นดิน แต่เริ่มโอบกอดท้องฟ้าและท่องไปสู่จักรวาล!
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว ก้าวนี้ถึงจะเป็นก้าวที่พิเศษที่สุดท่ามกลางหนทางแห่งการฝึกตน ก้าวออกไปเพียงก้าวเดียวก็เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้าดิน
หลินสวินกำลังรับสัมผัสของตนเงียบๆ ภายในลานเงียบสนิทไม่มีใครกล้าส่งเสียงฮือฮา ราวกับไม่มีใครกล้าทำลายบรรยากาศอันเคร่งขรึมนี้
สุดท้ายหลินสวินก็เก็บความคิด เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
สายตาของเขามองไปที่หลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ห่างออกไป พลันพูด “ไม่มากไม่น้อย หนึ่งก้านธูปพอดี หากเจ้าไม่ยอมแพ้ก็สู้กันต่อเถอะ”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่เมื่อผนวกกับอานุภาพแห่งฟ้าดินที่เขาชักนำให้เกิดตอนบรรลุปราณเมื่อครู่นี้แล้ว ทำให้คำพูดนี้แฝงความน่าเกรงขามไปโดยปริยาย
ได้ยินเช่นนี้ หลินเสวี่ยเฟิงเหมือนตื่นจากฝัน ตื่นจากความตะลึงอันว่างเปล่า มองหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขารู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่รู้และไม่ทราบสาเหตุ สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่มั่นคง
สีหน้าของทุกคนก็ดูแปลกไปเช่นกัน
จะสู้อย่างไรต่อ?
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินสวินยังไม่ทะลวงขั้นยังสามารถทำให้หลินเสวี่ยเฟิงบาดเจ็บได้
ตอนนี้เขาได้บรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว อีกทั้งตอนที่บรรลุก็เกิดปรากฏการณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในสถานการณ์นี้หลินเสวี่ยเฟิงจะยังใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกหรือ?
แม้ในใจจะไม่จำยอม แต่ทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การประลองในครั้งนี้รู้ผลตั้งแต่ตอนที่หลินสวินบรรลุพลังปราณแล้ว
“เสวี่ยเฟิง ถอยไปเถอะ”
เสียงทอดถอนหายใจของหลินไหวหย่วนดังจากบริเวณที่ไกลออกไป
“ข้า…” หลินเสวี่ยเฟิงสับสน สุดท้ายก็ส่ายหน้า ก่อนจะประสานมือคารวะหลินสวิน “ข้า…สู้เจ้าไม่ได้!”
พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป
เขายอมแพ้ตรงๆ แบบนี้ ทำให้หลินสวินแปลกใจไม่น้อย ในใจอดชื่นชมหลินเสวี่ยเฟิงไม่ได้
เห็นเช่นนี้ทุกคนล้วนเผยสีหน้าสับสนอย่างกลั้นไม่อยู่
ก่อนหน้านี้หลินสวินเป็นคนที่ถูกพวกเขาหาเรื่อง ปฏิเสธและเย้ยหยัน คิดว่าเขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงขั้นที่บีบให้หลินสวินมอบอำนาจการปกครองภูเขาชำระจิต
แต่ตอนนี้หลินสวินใช้ความจริงที่ราวกับเหล็กกล้ายืนยันว่า อย่างน้อยๆ ในเรื่องของความสามารถและพลังปราณ แม้แต่บุคคลที่พวกเขายกย่องให้เป็นผู้ถูกเลือกอย่างหลินเสวี่ยเฟิงยังด้อยกว่าหลินสวินไปหนึ่งขั้น!
นี่ก็เหมือนการตอกกลับอย่างไร้เสียง ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก
“หลินสวิน เจ้าตามข้ามา”
หลินไหวหย่วนที่อยู่ห่างออกไปส่งเสียงอีกครั้ง สีหน้ากลับคืนสู่ความน่าเกรงขามแล้ว
หลินสวินรู้ทันทีว่า การชนะการประลองในครั้งนี้ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าพบท่านปู่ห้าหลินเป่ยกวงแล้ว!
……
หลินสวินและหลินไหวหย่วนเดินเคียงข้างกันไปบนทางเดินเศษหินอันเงียบสงบ
หลินจงและจูเหล่าซานไม่ได้ตามมาด้วย เพราะคนที่หลินสวินกำลังจะไปพบเป็นบุคคลระดับตำนานของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
“ก่อนที่เจ้าจะมา ข้าทุ่มเททุกอย่างกับเสวี่ยเฟิง หวังว่าเขาจะสามารถเติบโตขึ้นมาแบกรับภาระอันหนักหน่วงในการกอบกู้ตระกูลหลิน”
ระหว่างทางหลินไหวหย่วนพูดขึ้นช้าๆ “คนทั้งตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างคิดว่า ด้วยพรสวรรค์ของเสวี่ยเฟิง ในอนาคตย่อมสามารถเติบโตเป็นคนที่เก่งกาจ แก้ไขปัญหาภายในของตระกูลหลิน หวนคืนสู่ภูเขาชำระจิตได้”
“เพราะฉะนั้นพอรู้ว่าเจ้าโผล่ออกมา หลายคนก็รับไม่ได้และไม่สามารถก้มหัวให้ได้ เพราะถ้ายอมรับฐานะของเจ้า ก็เท่ากับทำให้เสวี่ยเฟิงต้องสูญเสียอะไรมากมาย”
หลินสวินฟังเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรมาก
“แต่ใครจะคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถและพรสวรรค์ที่เก่งกาจกว่าและโดดเด่นกว่าเสวี่ยเฟิง” หลินไหวหย่วนถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของเสวี่ยเฟิง”
“ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา” จู่ๆ หลินสวินก็พูดจาแปลกๆ
หลินไหวหย่วนอึ้งงันไป ก่อนส่ายหน้าพูด “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้วกัน เสวี่ยเฟิงเป็นคนชอบเอาชนะ แต่จิตใจดี หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามประลอง”
หลินสวินจึงพูด “ในฐานะคนตระกูลหลินด้วยกัน แน่นอนว่าข้าจะไม่ถือสาเรื่องพวกนี้”
หลินไหวหย่วนมองหลินสวินอย่างลึกซึ้ง แต่กลับต้องผิดหวังเพราะสีหน้าของหลินสวินเรียบเฉย ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคำพูดของหลินสวินนั้นมาจากใจจริงหรือไม่
ไม่นานหลินไหวหย่วนก็พาหลินสวินเดินเข้าไปในสวนเรือนขนาดเล็กที่เรียกได้ว่าเรียบง่าย
กระท่อมหลังหนึ่ง โต๊ะหินหนึ่งตัว ต้นไหวโบราณหนึ่งต้น แม้จะดูเรียบง่าย แต่เงียบสงบและสะอาดสะอ้านอย่างมาก
ชายชรารูปร่างสูงผอมในชุดธรรมดา กำลังนั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะหิน หรี่ตาเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ชายชราท่านนี้ก็คือหลินเป่ยกวง ท่านปู่ห้าของหลินสวิน!
“หลินสวินคารวะท่านปู่ห้า!”
หลินสวินเดินเข้าไปในสวนเรือนแล้วโค้งคำนับทำความเคารพ หลินไหวหย่วนได้เดินห่างออกไปแล้ว เพราะนี่เป็นการพบกันเป็นการส่วนตัวระหว่างหลินสวินและหลินเป่ยกวง
“เหมือนพ่อของเจ้ามาก”
หลินเป่ยกวงเคลื่อนสายตาขึ้น ดวงตาเจิดจรัสจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดคล้ายถอดถอนหายใจ “รีบมานั่งเร็ว”
หลินสวินเดินเข้าไปนั่งลงอย่างสบายๆ
“การประลองระหว่างเจ้ากับเสวี่ยเฟิงเมื่อครู่นี้ข้าเห็นหมดแล้ว แม้แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่า ในบรรดาลูกหลานตระกูลหลินทั้งหมด ถ้าพูดถึงเรื่องพรสวรรค์และความสามารถ ไม่มีใครเทียบเจ้าได้”
สายตาของหลินเป่ยกวงเผยแววประหลาด
“ท่านปู่ห้าท่านชมเกินไปแล้ว” หลินสวินรีบประสานมือคารวะ
“มิได้ชมเกินไป นี่เป็นความจริง ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เจ้าบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ในนครต้องห้ามนี้ก็หาคนที่ทำได้อย่างเจ้าไม่กี่คนหรอก”
หลินเป่ยกวงพูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่ถ้าเพียงเท่านี้ ข้ายังไม่อาจวางใจยกตระกูลหลินแห่งแสงอุดรให้เจ้าได้”
หลินสวินหรี่ตา รู้ว่าได้เวลาคุยเรื่องจริงจังแล้ว
“ตอนที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรย้ายออกจากภูเขาชำระจิต ได้นำหนังสือโบราณ โอสถ และอสูรวิญญาณจำนวนมากที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาด้วย ในขณะเดียวกันก็ได้ควบคุมกิจการสามสิบเจ็ดแห่งของตระกูลหลินที่กระจายอยู่ทั่วจักรวรรดิ”
หลินเป่ยกวงเอ่ยต่อ “ตอนนั้นที่ข้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อเก็บสมบัติที่บรรพบุรุษสืบทอดลงมาเอาไว้ ไม่ให้ขาดการสืบทอดต่อไป”
หลินสวินไม่ได้พูดอะไรมาก
หลินเป่ยกวงราวกับอ่านใจเขาออก พูดอย่างราบเรียบ “แน่นอนว่าเจ้าอาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ คิดว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ต่างอะไรกับตระกูลสาขาอื่นๆ ที่ฉกฉวยโอกาสแบ่งทรัพย์สินของตระกูล”
สีหน้าของหลินสวินเผยความอึดอัดเล็กน้อย คำพูดนี้ตรงเกินไปจนเขาไม่รู้จะต่อคำอย่างไร
แต่กลับเห็นหลินเป่ยกวงโบกมือพูด “แม้ข้าจะแก่แล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับเลอะเลือน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะปกครองตระกูลหลิน เช่นนั้นข้าก็จะส่งคืนสมบัติและทรัพย์สินทั้งหมดที่ข้าเอามากลับสู่ภูเขาชำระจิต!”
หลินสวินหัวใจสะท้าน ยากจะเชื่อได้
รับปากง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?
ทว่าต่อมาหลินสวินพลันรู้ว่าตนคิดน้อยไป
เพราะหลินเป่ยกวงพูดต่อว่า “แต่ข้าว่าด้วยความสามารถในตอนนี้ของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะรักษาสมบัติเหล่านั้น และยังไม่สามารถทำให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรทั้งตระกูลกลับไปอยู่ภายใต้ตระกูลหลินได้”
หลินสวินมุ่นคิ้ว “เช่นนั้นไม่ทราบว่า ท่านปู่ห้าคิดว่าเมื่อไหร่ข้าจะมีความสามารถระดับนั้น”
หลินเป่ยกวงหัวเราะออกมาทันที พลันตบไหล่หลินสวิน “เด็กคนนี้ อย่าใจร้อนเกินไปเดี๋ยวเสียการใหญ่ อีกหน่อยเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าทำ เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าชื่นชมเจ้ามาก แต่ก็เพียงเท่านั้น ถ้าอยากได้การสนับสนุน เจ้าก็ต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงของเจ้าออกมาให้ข้าเห็น!”
พูดถึงตรงนี้สายตาของเขาก็สาดประกาย “จำไว้ว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลิน ถ้าแม้แต่บททดสอบเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ยังผ่านไม่ได้ ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลินคงไม่ถึงมือเจ้า”
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่ง พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าดูหนักแน่ “ท่านปู่ห้า ข้าเพียงอยากได้คำยืนยันเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามา”
“นับตั้งแต่วันนี้ ถือว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรอยู่ข้างภูเขาชำระจิตแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถให้เจ้าเข้ามาควบคุมได้ นอกเสียจากว่าวันหนึ่งเจ้ามีกำลังที่สามารถปกครองตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แม้แต่ข้าก็จะอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้า”
“ได้”
หลินสวินพยักหน้า ถือว่าโล่งใจไปไม่น้อย
ขอเพียงแค่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนก็พอแล้ว สำหรับเรื่องที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือหรือไม่ หลินสวินไม่สนใจ
มีพญาแร้ง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน ชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวคอยช่วย บวกกับความพยายามของตัวเอง ก็เพียงพอที่จะทำให้ภูเขาชำระจิตพัฒนาขึ้นจากเดิม!
เมื่อภูเขาชำระจิตกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง จึงจะเป็นวินาทีที่หลินสวินมีอำนาจควบคุมสูงสุดของตระกูล!
ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่อยากทำอะไรก็ต้องผ่าน ‘บททดสอบ’ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ แบบนี้ช่างทำให้รู้สึกจนปัญญาและอัดอั้นนัก
แต่หลินสวินก็รู้ว่า นี่คือความจริง ไม่อยากยอมรับอย่างไรก็ต้องยอมรับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น