Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 351-353

 ตอนที่ 351

 

ตามนัด

โดย

ProjectZyphon

นายน้อยบรรลุแล้วอย่างนั้นหรือ?


หลินจงหัวใจกระเพื่อมไหว แต่พอสังเกตอย่างละเอียดแล้วกลับไม่พบกลิ่นอายเฉพาะของระดับมหาสมุทรวิญญาณบนตัวหลินสวิน


ทำให้เขาอึ้งไม่น้อย


ตอนนี้ปราณบนร่างของนายน้อยทรงพลังมาก ร่างกายราวกับหุบเหวขนาดใหญ่ที่มีพายุหมุนวน ไม่เหมือนกลิ่นอายที่ผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าจะมีได้


ทั้งที่เป็นเช่นนี้ แต่นายน้อยกลับเหมือนยังไม่บรรลุ


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


วงพายุที่พัดโหมอยู่ภายในนัยน์ตา ลึกล้ำและสงบลงอีกครั้ง พร้อมกับพลังรอบตัวของหลินสวินที่ค่อยๆ ผ่อนลงเช่นเดียวกัน


เขาลุกขึ้นยืนบนขอบหน้าผาอย่างผ่าเผย ผมยาวยุ่งเหยิงพลิ้วไปตามสายลมที่พัดโชย ดูโดดเด่นเป็นสง่า


หลินสวินหยิบมีดศึกออกมาสะบัดไม่กี่ครั้ง ผมยาวและหนวดเคราที่ราวกับหญ้ารกถูกตัดขาด ก่อนจะใช้เชือกเส้นหนึ่งมัดผมส่วนที่เหลือขึ้นกลางศีรษะลวกๆ


พอมองนายน้อยอีกครั้ง กลับพบว่าท่าทางของเขาดูไม่ต่างจากเดิมเลยสักนิด แม้กระทั่งความทุกข์ระทมบนหว่างคิ้วยังถูกความสดใสเข้ามาแทนที่


“นายน้อย สรุปว่าท่านทะลวงขั้นหรือยัง?” หลินจงอดถามไม่ได้


หลินสวินชะงักงัน ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบ ข้ายังสังเกตลักษณ์แห่งฟ้าดินไม่พอ รอยามจำเป็นค่อยก้าวข้ามทะลวงขั้นตอนนั้นก็ไม่สาย”


น้ำเสียงเรียบเฉยแต่เปี่ยมไปด้วยความสุขุมและมั่นใจ ราวกับว่าสำหรับเขาแล้ว การจะบรรลุทะลวงขั้นนั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเล็กน้อยไร้กังวล


หลินจงรู้สึกแปลกๆ นายน้อยที่อยู่ตรงหน้าดูไม่ต่างไปจากเดิม แต่หลินจงมักรู้สึกว่าในช่วงยี่สิบกว่าวันที่เก็บตัวฝึก นายน้อยเหมือนมีอะไรเปลี่ยนไป


ดูมั่นคงขึ้น สุขุมขึ้น และคาดเดาได้ยากขึ้น


“ลุงจง ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าช่วงนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง” หลินสวินเดินไปตามทางเล็กคดเคี้ยวที่ทอดยาวจากขอบหน้าผาอย่างผ่อนคลาย


“นายน้อย ระหว่างนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่น้อยเลยจริงๆ…” หลินจงรีบขนาบข้างตามไป พร้อมอธิบายเรื่องต่างๆ


จวบจนกระทั่งกลับไปถึงห้องหนังสือบนชั้นสองของตำหนักชำระจิต หลินสวินก็ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้เป็นส่วนใหญ่แล้ว


การที่งานประมูลของอัครการค้าจบลงอย่างราบรื่นเป็นเรื่องดีสำหรับหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย รอเมื่อไปเยือนอัครการค้าครั้งหน้า ก็จะได้รู้แล้วว่าสมบัติพวกนั้นของตนประมูลออกไปด้วยราคาเท่าไหร่


ส่วนเรื่องอีเนี่ยนภิกษุอาณาจักรวงจันทราประลองกับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง หลินสวินไม่ได้สนใจนัก


แต่พอได้ยินว่าฝีมืออีเนี่ยนสูสีกับเซี่ยอวี้ถังจนไม่อาจประเมินแพ้ชนะ นี่ถือว่าเหนือความคาดหมายของหลินสวินอยู่บ้าง


เท่าที่เขารู้มาอาณาจักรวงจันทราเป็นอาณาจักรเล็กๆ ห่างจากจักรวรรดิไปทางตะวันตกหมื่นกว่าลี้ ถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกปราณของภิกษุ


ถ้าพูดถึงอำนาจโดยรวมของอาณาจักร ยังด้อยกว่าจักรวรรดิจื่อเย่าอยู่มาก ในความทรงจำของผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ อาณาจักรวงจันทราเป็นเพียงแค่อาณาจักรอันคับแคบที่ไม่มีความน่าสนใจใดๆ


แต่การปรากฏตัวของอีเนี่ยนได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อาณาจักรภายนอกจักรวรรดิก็มีผู้ประสบความสำเร็จที่โดดเด่นมากเช่นเดียวกัน


สิ่งที่หลินสวินสนใจจริงๆ ก็คือการทดสอบระดับอาณาจักรที่จบไปตั้งนานแล้วต่างหาก


ในบรรดาอันดับหนึ่งถึงสามของการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ มีสองคนที่หลินสวินเคยเจอมาแล้ว อย่างไป๋หลิงซี หลานสาวคนโตของจิ้งไห่โหว หลินสวินเคยได้รู้จักกับไป๋หลิงซีผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็น ‘หญิงงามจากสวรรค์’ ตอนฝึกปราณอยู่ที่ค่ายกระหายเลือด


เขารู้ถึงขั้นจำได้แม่นว่าไป๋หลิงซีมีคุณลักษณะพรสวรรค์ ‘ดารานิรันดร์’ แต่กำเนิด


พรสวรรค์วิญญาณที่ลึกลับชนิดนี้ถือว่าหาได้ยาก


ตามการแบ่งคุณลักษณะพรสวรรค์ในจักรวรรดิ ‘ดารานิรันดร์’ ถูกจัดคร่าวๆ ว่าอยู่ในระดับสี่


แม้จะเป็นเพียงแค่ระดับสี่ แต่สามารถมีคุณลักษณะพรสวรรค์นี้ได้ก็ถือว่าเป็นเลิศเหนือผู้ฝึกปราณจำนวนมากแล้ว!


เหตุผลก็เพราะว่า ทั่วทั้งจักรวรรดินี้ผู้ฝึกปราณที่มีคุณลักษณะพรสวรรค์มีน้อยมาก เรียกได้ว่าหนึ่งในหมื่น ล้ำค่าและหายากเป็นที่สุด


อีกทั้งตอนที่ไป๋หลิงซีบรรลุสู่ขั้นผสานใจได้สร้างบ่อพลังวิญญาณเหนือกว่าระดับหนึ่งได้สำเร็จ!


เรื่องนี้เป็นความลับที่ไป๋หลิงซีบอกหลินสวินแค่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าความสามารถและเส้นสนกลในของไป๋หลิงซีน่าเกรงขามมากเพียงใด


แต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า ในการทดสอบระดับอาณาจักรครั้งนี้ไป๋หลิงซีจะคว้าอันดับสามมาได้!


ในช่วงสองปีที่ออกจากค่ายกระหายเลือด พลังปราณของไป๋หลิงซีก้าวกระโดดสู่ระดับที่สูงขึ้นจากเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย


ส่วนอันดับสองอย่างฉือฉางเฟิงก็ทำเอาหลินสวินขมวดคิ้วทันที เขาจำได้ว่าเจ้านั่นเหมือนจะอายุน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถคว้าอันดับสองในการทดสอบระดับอาณาจักรไปได้ เห็นได้ว่าเด็กนั่นมีดีมากพอที่จะผยองจริงๆ


คนที่หลินสวินไม่คุ้นเคยเลยแน่นอนว่าคืออันดับหนึ่งอย่างซ่งอี้ เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกที่สุดยอดเพียงใด ถึงได้ชนะบุคคลระดับฉือฉางเฟิงและไป๋หลิงซี ช่างน่าตื่นตะลึงมาก


ด้วยเหตุนี้ทำให้หลินสวินทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ บนโลกนี้ไม่เคยขาดนางมารและวีรบุรุษที่โดดเด่นในแต่ละยุคสมัย เหนือฟ้ายังมีฟ้า คำนี้ช่างจริงแท้แน่นอน


“นายน้อย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องรายงานท่าน แม่นางเสี่ยวเคอสืบจนได้ความแล้วว่า เหตุการณ์ลอบทำร้ายเราในคืนที่กลับจากอัครการค้าเป็นฝีมือของธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ สามตระกูลรองตระกูลหลิน” หลินจงที่อยู่ข้างๆ เอ่ย


“ยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะที่เป็นแกนนำนั่น ได้รับฉายาว่ามารเฒ่าฉวี่ เป็นปีศาจเฒ่าที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ในจักรวรรดิ ชำนาญในเคล็ดวิชาเสาะหาและช่วงชิงวิญญาณที่สุด”


หลินสวินหรี่ตา ทีแรกเขาคิดว่าคนร้ายที่ลอบสังหารในคืนนั้นเป็นคนของตระกูลฉือ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประมาณความเลวทรามของตระกูลรองอื่นๆ ในตระกูลหลินต่ำไป!


“จากที่ท่านพญาแร้งวิเคราะห์ ตระกูลรองทั้งสามของตระกูลหลินของเราคงอยากใช้วิธีสกปรกมาควบคุมท่านให้เป็นหุ่นเชิดของพวกเขา เพราะแบบนี้ไม่เพียงไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของท่าน พวกเขายังสามารถหวนกลับมาสืบทอดอำนาจของตระกูลที่ภูเขาชำระจิตได้ ช่างเป็นแผนการที่ร้ายกาจยิ่งนัก”


หลินจงพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงพลันแฝงความเย็นเยียบ เห็นได้ชัดว่าเขาก็แค้นเคืองกับวิธีชั่วช้าของอีกฝ่ายไม่ต่างกัน


“นั่นหมายความว่าขอเพียงแค่ข้าก้าวออกจากภูเขาชำระจิต ก็อาจจะถูกพวกเขาจู่โจมหรือลอบสังหารได้ตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ”


ดวงตาดำขลับของหลินสวินเผยความเย็นเยียบ


“เป็นเช่นนั้นขอรับ”


หลินจงพูดเสียงต่ำ “ท่านพญาแร้งแนะนำว่าทางที่ดีให้ท่านพาจูเหล่าซานออกไปด้วย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิด”


หลินสวินขานรับในลำคอ กล่าวคล้ายขบคิดอะไรอยู่ “ลุงจง หากข้าคิดจะฆ่าคนตระกูลหลินบางส่วน ท่าน…จะห้ามข้าหรือไม่”


หลินจงชะงักงัน สีหน้าดูสับสนยากจะเดาความรู้สึกออก ครู่ใหญ่จึงเอ่ย “นายน้อย ตอนนี้นายน้อยเป็นเจ้าของภูเขาชำระจิต ข้าน้อยไม่มีทางขัดความปรารถนาท่านแน่ เพียงแต่…ถึงตอนนั้นข้าน้อยขอให้นายน้อยโปรดยั้งมือ ฆ่าฟันกันเองอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์”


หลินสวินเผยยิ้มเย็นเยียบตรงมุมปาก “ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”


หลินจงลอบถอนหายใจ รู้ว่าตระกูลรองทั้งสามของตระกูลหลินได้ล่วงเกินหลินสวินเข้าอย่างจังแล้ว



เช้าวันถัดมา


หลินสวินนั่งบนเกี้ยวสมบัติที่สืออวี่ให้มา ออกจากภูเขาชำระจิตไปพร้อมกับหลินจง


สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ จูเหล่าซานเป็นผู้ควบคุมเกี้ยว


วันนี้เป็นวันที่นัดหมายไว้กับตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลินสวินจะต้องไปประลองกับหลินเสวี่ยเฟิงที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดร


สำหรับการเดินทางไปยังตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้ หลินสวินไม่กล้าประมาทเลยสักนิด


ที่พาจูเหล่าซานและหลินจงเดินทางมาด้วยในครั้งนี้ ไม่เพียงป้องกันการลอบทำร้ายของธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุตระกูลรองทั้งสามแห่งตระกูลหลิน


ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลินสวินไม่มั่นใจว่า การไปเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้จะเจออันตรายอะไรหรือไม่!


แม้ว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะมีท่าทีที่เป็นมิตรกับเขามากกว่า แต่ใครจะมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่แปรพักตร์กะทันหัน?


อย่าลืมว่าที่ที่หลินสวินไปในครั้งนี้ เป็นฐานหลักของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ถ้าพวกเขาคิดเปลี่ยนใจคุมตัวหลินสวินเอาไว้ จุดจบคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิด


แม้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้จะต่ำมาก แต่หลินสวินต้องป้องกันไว้ก่อน


ตอนนี้มีจูเหล่าซานและผู้ที่เคยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทั่นฮวาม้าขาว’ ติดตามไปด้วย หลินสวินมั่นใจว่า แม้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะมีความคิดไม่ซื่อกับตน ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรโดยไม่ดูตาม้าตาเรือแน่


“นายน้อย นี่คือข้อมูลล่าสุดของหลินเสวี่ยเฟิง”


หลินจงยื่นกระดาษใบหนึ่งให้หลินสวิน


เนื้อหาความว่า หลินเสวี่ยเฟิง อายุสิบแปด บุตรชายของหลินไหวหย่วนหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ยามบรรลุสู่ขั้นผสานใจได้สร้างบ่อพลังวิญญาณ ‘ภูผาธาราหมอกพิรุณ’ ออกมา ถูกยกให้เป็นหัวหอกที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวยุคใหม่ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร


พลังปราณ ณ ตอนนี้อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ


ในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ หลินเสวี่ยเฟิงผ่านการทดสอบอย่างง่ายดายและอยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบเก้า เป็นหนึ่งในสองลูกหลานตระกูลรองของตระกูลหลินที่ผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้


อ่านถึงตรงนี้ หลินสวินพลันถามอย่างฉงนใจ “นอกจากหลินเสวี่ยเฟิง ยังมีลูกหลานอีกคนของตระกูลรองในตระกูลหลินผ่านการทดสอบด้วยหรือ”


“อีกคนคือลูกหลานของตระกูลหลินแห่งคานเมฆา นามว่าหลินชิงหลัน มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของนายน้อย ปีนี้อายุสิบแปด เป็นแม่นางน้อยที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ได้อันดับที่เจ็ดสิบสองของการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ นางถูกสำนักศึกษามฤคมรกตเรียกตัวไปเหมือนกับหลินเสวี่ยเฟิง จะได้เข้าไปฝึกที่สำนักศึกษามฤคมรกตในเดือนสามของปีหน้า” หลินจงเปรย


หลินสวินขานรับในลำคอ ยิ้มพูด “ตระกูลหลินตกต่ำถึงเพียงนี้ แต่คนในตระกูลยังสามารถผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรได้ ถือว่าเหนือความคาดหมายของข้า”


หลินจงถอนหายใจ “นายน้อย หากท่านเต้าเฉินยังอยู่ ลูกหลานในวงศ์ตระกูลย่อมสามารถคว้าสิบอันดับแรกได้ และยังเป็นไปได้ที่จะเข้าไปช่วงชิงอันดับหนึ่ง คราวนั้น…นายท่านคว้าอันดับสองของการทดสอบระดับอาณาจักร เป็นรองแค่นายหญิงเท่านั้น!”


เด็กหนุ่มชะงัก เมื่อได้ยินเรื่องของบิดามารดาที่ตัวเองไม่เคยมีโอกาสได้พบเจอ ในใจก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก


ครู่หนึ่งเขาจึงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “รอให้ถึงการทดสอบระดับอาณาจักรในปีหน้า ข้าจะลองดูบ้าง อย่างน้อยคงได้อันดับที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตได้บ้าง!”


หลินจงเองก็ยิ้ม แววตาเผยความมั่นหมาย “ปีหน้านายน้อยต้องบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้วแน่ ด้วยพื้นฐานและความสามารถระดับนายน้อย ย่อมติดหนึ่งในห้าอย่างแน่นอน!”


วิธีพูดเช่นนี้ของเขาเป็นการพูดเผื่อเอาไว้ ทว่าตามความคิดของเขา หลินสวินเป็นลูกชายของหลินเหวินจิ้งและลั่วชิงสวิน คนรุ่นหลังย่อมเก่งกาจกว่าคนรุ่นก่อนอยู่แล้ว!


นั่นก็หมายความว่าปีนั้นที่ลั่วชิงสวินคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักร ส่วนหลินเหวินจิ้งเป็นอันดับสอง อย่างนั้นหลินสวินก็ต้องเป็นที่หนึ่งถึงจะถูก


แน่นอนว่านี่คือความคิดของหลินจง เขาไม่กล้าพูดพล่อยๆ จนทำให้หลินสวินรู้สึกกดดัน


ยามนี้เองจู่เหล่าซานที่ควบคุมเกี้ยวงดงามหรูหราพลันเอ่ยปากขึ้นสั้นๆ กระชับได้ใจความ


“ถึงแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 352

 

 รนหาที่เอง

โดย

ProjectZyphon

เกี้ยวงามวิจิตรพลันหยุดลง


เมื่อหลินสวินเดินลงมา ก็เห็นสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล


ไม่ต้องสงสัย นี่คงเป็นดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร


หลินจงเดินไปข้างหน้า แล้วเอ่ยชี้แจงกับผู้คุ้มกันที่ยืนเฝ้าหน้าประตูคฤหาสน์ ไม่นานนักก็เห็นร่างของหลินต้าหงรีบรุดวิ่งออกมาจากส่วนลึกในคฤหาสน์


เขายิ้มพลางยกมือคารวะ “ขออภัยที่มิได้ออกมาต้อนรับ รีบตามข้ามาเถิด” พูดพลางเชิญหลินสวินเข้าด้านใน


หลินสวินยิ้มให้แล้วเดินตามเขาเข้าไปภายในคฤหาสน์


หลินจงกับจูเหล่าซานตามหลังมาติดๆ เหมือนบริวารผู้ซื่อสัตย์ภักดี


ทว่าเพียงเดินเข้ามาในคฤหาสน์เท่านั้น ยังไม่ทันที่หลินสวินได้ประเมินโดยรอบ ก็ได้ยินเสียงตะโกนแหบแห้งราวเป็ดตัวผู้ดังขึ้น


“เจ้าเด็กนั่นกล้ามาหรือนี่? หึๆ ใจกล้าดีนี่ เขาอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”


เสียงนี้ยังไม่หายไป ก็เห็นคุณชายในชุดสีทองทั้งตัวคนหนึ่ง มือถือพัดหยกเดินออกมา ด้านหลังมีกลุ่มชายหญิงติดตาม ท่าทางเหิมเกริม


คุณชายชุดทองเมื่อได้เห็นหลินสวินก็พลันยิ้มเย็นแล้วพูดว่า “โอ้ เจ้าคงเป็นหลินสวินคนนั้นสินะ ที่เพ้อพกท้าสู้กับท่านพี่เสวี่ยเฟิงของข้า เจ้าหนูอย่างเจ้านี่บ้าระห่ำใช่เล่น”


“เจ้าเด็กคนนี้คือหลินสวินหรือ ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษนี่”


“ดูท่าทางน่าจะเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกับกล้ายุ่มย่ามในภูเขาชำระจิต”


ชายหญิงที่อยู่เบื้องหลังคุณชายชุดทองพวกนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์หลินสวินอย่างกำเริบเสิบสาน ถ้อยคำแม้ไม่หยาบคาย แต่ไม่เกรงใจและสบประมาทยิ่ง


เพิ่งเข้าประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ก็ถูกชายหญิงเยาว์วัยเหล่านี้ขวางไว้อย่างเหิมเกริม นี่ทำให้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ มองไปยังหลินต้าหงที่อยู่ด้านข้าง


ทว่าเห็นหลินต้าหงมีสีหน้าเคร่งเครียด ตวาดกลับไปว่า “เสวี่ยตง อย่าเสียมารยาท! หลินสวินเป็นแขกผู้มีเกียรติของพวกเราตระกูลหลินแห่งแสงอุดร รีบถอยไป ไม่อย่างนั้นได้เกิดเรื่องใหญ่แน่”


คุณชายชุดทองกลับไม่กลัวเกรงเลยแม้แต่น้อย พูดขึ้นอย่างโอหังว่า “ท่านอาต้าหง พวกข้ารู้อยู่แล้วว่าหลินสวินเป็นแขก แต่ข้าว่าเขาไม่เห็นวิเศษโสตรงไหน มีคุณสมบัติมาท้าสู้กับพี่เสวี่ยเฟิงได้อย่างไรเล่า”


“จริงด้วย สถานะของท่านพี่เสวี่ยเฟิงในตอนนี้ ใช่ว่าใครก็ท้าประลองได้เสียที่ไหน”


ชายหญิงคนอื่นก็คล้อยตามเซ็งแซ่


สีหน้าหลินต้าหงยิ่งบึ้งตึง เอ่ยว่า “ถ้าพวกเจ้ายังไม่ถอยไปอีก ก็อย่ามาว่าที่ข้ายึดกฎตระกูลมาจัดการพวกเจ้าก็แล้วกัน!”


เขาคาดไม่ถึงว่าเพิ่งรับหลินสวินเข้าคฤหาสน์มา ก็จะได้เจอเรื่องพรรค์นี้เข้าเสียแล้ว ถ้านี่ทำให้หลินสวินเข้าใจผิดไปคงวุ่นวายน่าดู


ความโอหังของชายหญิงกลุ่มนั้นพลันถูกยับยั้งลงไปไม่น้อย ทว่าคุณชายชุดทองยังคงคอตั้งบ่า กล่าวว่า “ท่านอาต้าหง ข้าไม่ได้ตั้งใจมาหาเรื่อง ขอเพียงเจ้าหนูนี่ผ่านด่านข้าไปได้ พวกเราจะเปิดทางให้เอง หาไม่แล้วต่อให้ถูกลงโทษตามกฎตระกูล วันนี้เขาก็อย่าได้หวังไปท้าทายท่านพี่เสวี่ยเฟิงอีกเลย!”


“เจ้า…”


หลินต้าหงโกรธจนหน้าเขียว แต่ก็จนใจ


คุณชายชุดทองตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าหลินเสวี่ยตง เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลินเสวี่ยเฟิง และเป็นบุตรชายคนรองของหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหลินไหวหย่วน


ด้วยฐานะของหลินต้าหง เขาไม่อาจทำอะไรได้


เห็นเพียงหลินเสวี่ยตงมองไปยังหลินสวินด้วยสีหน้าเอาเรื่องเต็มที “หลินสวิน ถ้าเจ้ากล้าก็อย่าทำให้ท่านอาต้าหงลำบากใจ เป็นไง กล้าประลองกับข้าสักรอบรึไม่”


ชายหญิงกลุ่มนั้นล้วนตื่นเต้นตะโกนร้องขึ้น


“เป็นชายก็ต้องรับคำท้าสิ!”


“แหม เจ้าเด็กนี่คงกลัวเสียแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ในเมืองไม่ได้ลือกันหรอกหรือว่าเขาเป็น ‘เจ้าตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในนครต้องห้าม’ ไม่รู้ว่าสร้างเรื่องน่าขันไว้มากแค่ไหน”


“เจ้าตระกูลอะไรกัน อย่างเขาก็เป็นได้หรือ ไม่ได้รับการยอมรับจากพวกเรา เขาไม่มีทางสืบทอดภูเขาชำระจิตอย่างเต็มภาคภูมิตลอดกาล”


หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตาเยือกเย็น มาถึงตอนนี้ก็แน่ใจประมาณหนึ่งแล้วว่า ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรนี้ คงมีคนจำนวนมากไม่ต้องการเห็นตนมาเยือน แม้แต่การประลองของตนกับหลินเสวี่ยเฟิงก็เต็มไปด้วยเสียงคัดค้านเสียด้วยซ้ำ


“หลินสวิน คือ…”


หลินต้าหงตั้งท่าจะอธิบาย หลินสวินก็ส่ายหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย แสดงท่าทีไม่แยแส แล้วพูดว่า “จูเหล่าซาน เจ้าเปิดทางข้างหน้าให้ที”


แย่ล่ะ!


หลินต้าหงสะท้านใจ กลัวอะไรก็ได้เช่นนั้นจริงๆ เขาจะไปคิดได้อย่างไรว่าหลินสวินจะไม่พูดอะไรสักคำ แล้วส่งจูเหล่าซานคนน่ากลัวผู้นี้ออกมา


เมื่อแรกขึ้นภูเขาชำระจิตนั้น จูเหล่าซานอาศัยเพียงจิตสังหารก็บีบให้พวกเซียวเฟิ่งหรูทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นได้!


ฝีมือชั้นนั้น สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วหล้า ถ้าครั้งนี้จูเหล่าซาน ‘ปฏิบัติหน้าที่อย่างรุนแรง’ คงน่ากลัวมาก


หลินต้าหงคิดจะยั้งไว้ก็สายไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว


เงาร่างกำยำราวหอคอยเหล็กของจูเหล่าซานยืนตระหง่าน ใบหน้าหนวดเครารุงรังไม่แสดงสีหน้า เดินก้าวใหญ่ไปข้างหน้า


“หลินสวินเจ้า…”


หลินเสวี่ยตงตกใจระคนโกรธเคือง คิดว่าหลินสวินไร้ยางอายนัก ให้บริวารออกหน้า แต่ตัวเขาเองกลับขี้ขลาดตาขาวราวเต่าหดหัวในกระดอง ช่างไม่มีความกล้าเอาเสียเลย


เขาเพิ่งเอ่ยปาก ก็พลันรู้สึกราวกับทั้งร่างถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นจับไว้อย่างโหดเหี้ยม แล้วโยนออกไปอย่างไร้ความปรานี กลิ้งกระดอนลงไปบนพื้นเสียงดังปึ้ง จะพยายามอย่างไรก็ลุกขึ้นยืนไม่ได้


ไม่เพียงหลินเสวี่ยตง กลุ่มชายหญิงที่ขวางทางด้านหน้านั้น ขณะนี้ล้วนถูกกระแทกจนตัวลอย แล้วล้มลงบนพื้นระเนระนาด


อย่าว่าแต่พยายามดิ้นรนเลย ขนาดแรงจะส่งเสียงร้องครวญครางยังไม่มี ราวถูกตรึงไว้ตรงนั้น ยับเยินอย่างที่สุด


ตั้งแต่เริ่มจนจบ จูเหล่าซานไม่ได้ขยับมือเลยแม้แต่น้อย ร่างกำยำของเขาก้าวมาข้างหน้า ท่าทีองอาจแฝงพลังที่ไม่มีใครเทียบเทียมต้านทานได้


“ท่านอา ไปเถิด”


หลินสวินยิ้มบาง ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า


หลินต้าหงมุมปากกระตุกเกร็งไปเล็กน้อย ถอนใจยาวเฮือกหนึ่งก็เดินตามไป สิ่งเดียวที่ทำให้เขาดีใจคือจูเหล่าซานไม่ได้ลงมืออย่างโหดร้าย มิเช่นนั้นผลลัพธ์คงรุนแรงมาก


“นายน้อยปรานีมากแล้วขอรับ ตามกฎตระกูลแล้ว กล้ามาหยามเกียรติผู้นำตระกูล จุดจบคงยับเยินกว่านี้หลายเท่า”


หลินจงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกล่าวเตือนเบาๆ ทำให้หลินต้าหงสะดุ้งไปทั้งตัว ยิ้มขื่นไม่หยุด นี่จะโทษใครได้เล่า


“หลินสวิน เจ้าคนต่ำทราม! คนไร้ยางอายเช่นเจ้าไม่คู่ควรได้ครอบครองภูเขาชำระจิตหรอก!”


เห็นหลินสวินเดินไกลออกไปเรื่อยๆ หลินเสวี่ยตงที่ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้นก็ไม่รู้ว่าเอาแรงจากไหนตวาดด้วยเสียงกราดเกรี้ยว


เด็กหนุ่มพลันหยุดเดิน หันหน้ามายิ้มบางๆ พลางพูดว่า “ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ ภูเขาชำระจิตในตอนนี้ก็อยู่ในการควบคุมของข้า ข้าจะอภัยความไม่รู้ของเจ้าเมื่อครู่นี้ แต่ถ้าพวกเจ้ายังเอาความไม่รู้มาแปรเป็นความมั่นใจเข้าท้าทายข้าอีก ลงท้ายพวกเจ้าคงรับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก จำไว้ ไม่มีครั้งที่สองแล้ว”


พูดจบ เขาก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป


“เจ้า…”


หลินเสวี่ยตงกัดฟันกรอด ความรู้สึกผสมปนเปแยกแยะไม่ออก


เจ้าหนูนี่เพิ่งมาถึงตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน กลับต่อต้านแข็งกร้าวเช่นนี้ โอหังเป็นที่สุด!


ชายหญิงผู้อื่นก็มีสีหน้าดูไม่จืดยิ่งนัก เดิมพวกเขาตั้งใจมาหาเรื่องรังแกหลินสวิน ให้เขารับรู้ถึงความเก่งกาจ ใครจะคิดว่าหลินสวินไม่แยแสพวกเขาแต่แรกจนจบ แล้วใช้คนมากำราบขับไล่พวกตน น่ารังเกียจยิ่งนัก!



อาณาเขตใต้อาณัติของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรช่างกว้างใหญ่ กินพื้นที่หลายสิบหมู่ รายล้อมด้วยศาลาอาคาร ลานสวนกว้างสุดลูกหูลูกตา ทิวทัศน์งดงามดังภาพวาด โอ่อ่าหรูหรา


ชัดเจนว่า นับแต่ย้ายออกจากภูเขาชำระจิต ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรก็ดำรงชีวิตได้อย่างดี


“พวกเราจะไปไหนหรือ” หลินสวินถาม


“ลานฝึกยุทธ์”


หลินต้าหงอธิบาย “คนในตระกูลมากมายล้วนรู้ว่าเจ้าจะมาวันนี้ จึงไปรอที่นั่นก่อนแล้ว ครั้งนี้ การประลองของเจ้ากับเสวี่ยเฟิงก็จะเกิดขึ้นที่นั่นเช่นกัน”


หลินสวินส่งเสียงอืม พลันพูดขึ้น “ตอนนี้ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคงมีหลายคนที่ไม่ยอมรับฐานะของข้าสินะ”


หลินต้าหงใจเต้นรัว อย่าว่าแต่ไม่ยอมรับ หนำซ้ำยังต้องการชิงอำนาจใหญ่โตในมือเจ้าไปเหมือนพวกธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุสามตระกูลรองนั้น


แน่ล่ะ หลินต้าหงไม่อาจพูดเช่นนี้ออกไปได้ เขาเพียงยิ้มอย่างจนใจแล้วพูดว่า “เจ้าเองมาเยือนครั้งแรก ยังโน้มน้าวให้คนเชื่อถือได้ยาก แต่อย่าได้กังวลไป ในเมื่อผู้ใหญ่ในตระกูลมอบโอกาสนี้ให้เจ้าแล้ว ถ้าเอาชนะได้ อาจทำให้ความคิดของคนในตระกูลที่มีต่อเจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อย”


หลินสวินฟังออกว่าหลินต้าหงที่ไม่ได้พูดอย่างที่คิด แต่ก็ไม่คิดเปิดโปง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้ก็ดี ที่จริงจุดประสงค์ที่ข้ามามีเพียงอย่างเดียวคือต้องการพบท่านปู่ห้าเท่านั้น”


หลินต้าหงสะอึก กล่าวเตือนว่า “หลินสวิน ความคิดเจ้าดีก็จริง แต่สิ่งที่ต้องพูดถึงก่อนก็คือเจ้าต้องผ่านด่านเสวี่ยเฟิงได้ก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าต้องพึ่งตัวเอง คนนอกช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”


พูดพลันเหลือบไปมองจูเหล่าซานที่อยู่ข้างหน้า


เห็นชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้เห็นชอบกับการประลองระหว่างหลินสวินกับหลินเสวี่ยเฟิงแต่อย่างใด


เด็กหนุ่มย่อมฟังเข้าใจ เขาไม่อธิบายอะไร เพียงยิ้มให้


ทว่าเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก


ชายสวมชุดสีหยกหน้าถมึงทึงผู้หนึ่งขวางทางข้างหน้าอยู่ ยามเห็นหลินต้าหงก็ตะคอกใส่หน้าว่า “ต้าหง เจ้าเป็นอาประสาอะไร เหตุใดถึงให้คนนอกมากลั่นแกล้งลูกหลานในตระกูลได้”


ประโยคเดียวก็ทำให้ประจักษ์แล้วว่า ชายชุดสีหยกผู้นี้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกหลินเสวี่ยตงแล้ว


หลินต้าหงไม่ทันเอ่ยปากชี้แจง ชายชุดสีหยกผู้นั้นก็ทอดสายตาคมปลาบราวสายฟ้ามองมาที่หลินสวินอย่างเย็นเยียบ “เจ้าคือหลินสวินเองหรือ อายุยังเยาว์ แต่นิสัยใจคอก้าวร้าวเสียจริง! หากเจ้าก้มหัวขอโทษเสียตอนนี้ ข้าจะอภัยที่เจ้าเสียมารยาทไป มิเช่นนั้นตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้าคงไม่เปิดประตูต้อนรับเจ้า!”


ถ้อยคำวาจาอุกอาจ


ชั่วขณะนี้หลินสวินก็ขมวดคิ้วขึ้นในที่สุด พลันพูดว่า “ท่านอา ท่านนี้คือ?”


“หลินต้าเชียน ตามศักดิ์แล้วเป็นท่านลุงของเจ้า”


หลินต้าหงแนะนำ “หลินสวิน เจ้าอย่าได้สร้างเรื่องอีกเลย”


ไม่รู้ว่าหลินสวินรับฟังหรือไม่ ดวงตาสงบนิ่งมองดูหลินต้าเชียน ครู่หนึ่งจึงยิ้มให้แล้วพูดว่า “ครู่นี้ที่พวกหลินเสวี่ยตงกล้าท้าทายข้าซึ่งหน้า ท่านเป็นคนยุยงอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่”


หลินต้าเชียนหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พลันพูดขึ้นอย่างขัดเคืองว่า “เจ้าหนู เจ้าไม่รู้จักสำนึกที่เสียมารยาท หนำซ้ำยังไม่ลดราวาศอก พ่นวาจาร้ายกาจออกมาอีก!”


หลินสวินไม่อยากแยแสอีก พูดขึ้นว่า “จูเหล่าซาน…”


คำนี้จะกลายเป็นคำติดปากของหลินสวินเสียแล้ว แต่ทำให้หลินต้าหงใจเต้นระส่ำระส่ายทุกครั้ง เขาร้องตะโกนเสียงหลง “อย่าเชียวนะ!”


ทันใดนั้นเขาเข้ามาขวางร่างจูเหล่าซานไว้ พลางตวาดใส่หลินต้าเชียน “พี่ต้าเชียน ยังไม่ถอยไปอีกหรือ”


“ข้า…”


หลินต้าเชียนมิได้เบาปัญญา มองปราดเดียวก็ดูออกว่า ‘จูเหล่าซาน’ ที่ว่านั้นต้องเป็นตัวละครที่ร้ายกาจเกินใคร


“เจ้าหนู ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ในที่สุด หลินต้าเชียนก็โกรธหน้าเขียว สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป


หลินสวินยิ้มมองเงาร่างของอีกฝ่ายลับหายไป ปากก็เอ่ยออกมาสี่คำว่า “รนหาที่เอง!”

 

 

 


ตอนที่ 353

 

 เกิดเป็นคน ต้องยับยั้งความใฝ่สูงเกินตัว

โดย

ProjectZyphon

รนหาที่เอง!


เมื่อได้ยินหลินสวินวิจารณ์เช่นนี้ หลินต้าหงก็อดยิ้มขื่นไม่ได้ หลินสวินก็แข็งกร้าวนัก เอะอะก็เรียกขาน ‘จูเหล่าซาน’ แต่ที่นี่คืออาณาเขตตระกูลหลินแห่งแสงอุดรนะ!


เขาไม่กังวลว่าจะชักนำเภทภัยมาสู่ตนเลยหรือไง


หลินสวินไม่กังวลใจจริงๆ ตอนนี้สถานการณ์ของเขาย่ำแย่พออยู่แล้ว ถ้าวางตัวขี้ขลาดอีกก็รังแต่จะทำให้ถูกกลั่นแกล้งรุนแรงยิ่งขึ้น


ถ้าครั้งนี้เขาสามารถโน้มน้าวให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรสนับสนุนได้ ย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง ถ้าทำไม่ได้ หลินสวินก็ไม่สนใจแล้ว


ก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นปฏิปักษ์กับธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุอยู่แล้ว กับแสงอุดรก็ไม่ต่างอะไรกัน


แน่ล่ะ นี่เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด


หลินสวินหวังยิ่งกว่าว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะไม่บีบคั้นให้ตนอึดอัดจนเกินไป


ยังดีที่ระหว่างทางต่อมาไม่ได้พบกับเรื่องราวยุ่งยากอีก ไม่นานนักด้วยการนำทางของหลินต้าหง หลินสวินก็มาถึงลานฝึกยุทธ์อย่างราบรื่น


นี่เป็นลานประลองใหญ่โต กินพื้นที่กว้างขวางยิ่ง พื้นลานปูทับด้วยหินเหล็กกล้าแข็งแรง ทั้งประดับประดาด้วยรอยสลักวิญญาณ ไม่ธรรมดา


ขณะนี้บริเวณลานฝึกยุทธ์นั้นคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนหนาแน่น ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งแก่ทั้งเด็ก กะคร่าวๆ แล้วมีหลักพัน!


หลินสวินพลันตกตะลึง “เหตุใดคนเยอะขนาดนี้


หลินต้าหงกล่าวอธิบาย “คนในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจริงๆ มีเพียงหลักร้อย ที่เหลือโดยมากเป็นญาติสายนอกกับญาติต่างสกุล”


เด็กหนุ่มร้องอ้อ จิตใจยังคงสับสน ตระกูลหลินสายตรงถ้าไม่ถูกสังหารไปตอนนั้น คนในตระกูลคงมีมากขึ้นไปอีก


“รีบดูสิ เจ้าเด็กนั่นคงเป็นหลินสวิน!”


“หึ! ท่านลุงต้าเชียนบอกว่าเจ้าเด็กนี่เพิ่งไปรังแกผู้อื่นมา ขนาดท่านลุงต้าเชียนยังไม่เคารพ ก้าวร้าวเสียจริง”


“เขากล้ามารึนี่ เฮอะ! ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทำใจกล้าได้ล่ะสิ!”


“ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเป่ยกวงไปเห็นอะไรในตัวเจ้าเด็กนี่จริงๆ ทั้งยังจัดการประลองของพี่เสวี่ยเฟิงกับมันขึ้น ยกยอมันมากไปแล้ว!”


ครานี้กลุ่มคนที่กระจายอยู่บริเวณลานฝึกยุทธ์ก็ล้วนได้เห็นหลินสวินแล้ว พลันเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ขึ้น


เพียงได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความดูถูก ขัดเคือง โกรธเกรี้ยวและเหยียดหยาม ก็รู้ว่าคนในตระกูลส่วนมากไม่พอใจที่หลินสวินมาเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้


หลินสวินแม้คาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาก็ยังประหลาดใจอยู่บ้าง


“หลินสวิน ขอเจ้าอภัยให้เถิด อย่าได้โมโหไปเลย ถ้าก่อปัญหาใหญ่โตเข้า ต่อให้ผู้เฒ่าเป่ยกวงผู้นั้นออกหน้าก็ไร้ประโยชน์”


หลินต้าหงเอ่ยเสียงเบา มีน้ำเสียงขอร้องอยู่ในที เขาคงถูกวิธีการแข็งกร้าวที่หลินสวินใช้ก่อนหน้านี้ทำให้ตกใจกลัว เกรงว่าหลินสวินจะบันดาลโทสะขึ้นมาอีก


“อืม ไม่ทำหรอก” หลินสวินยิ้มให้อย่างใจเย็น


แต่ยิ่งเขาทำเช่นนี้ ใจหลินต้าหงยิ่งสับสน อดยิ้มขื่นไม่ได้ เจ้าเด็กนี่…ไม่รู้ไปได้ความกล้าขนาดนี้มาจากไหน


ยังดี ไม่นานนักก็มีคนมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้หลินต้าหง


นั่นคือชายวัยกลางคนสวมชุดสีม่วง ผมเผ้าหนวดเคราดำขลับ ดวงตาลึกล้ำราวน้ำลึก ท่าทางสงบนิ่งสง่างาม


เขาเดินก้าวใหญ่มาอยู่ตรงหน้าหลินสวิน เหลือบมองจูเหล่าซานกับหลินจง แล้วจึงมองไปทางหลินสวินพลางพูดว่า “หลินสวินรึ?”


หลินต้าหงที่อยู่ด้านข้างรีบแนะนำ “หลินสวิน ท่านผู้นี้ก็คือหลินไหวหย่วน หัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร เป็นท่านลุงของเจ้า”


“คาราวะท่านลุง” หลินสวินกุมมือคารวะ


“อืม ในเมื่อมาแล้วก็หมายความว่าเจ้าเตรียมตัวพร้อมประลอง ในตอนนี้เจ้าสามารถรอที่ลานฝึกยุทธ์ได้ อีกสักครู่เสวี่ยเฟิงก็มาแล้ว” หลินไหวหย่วนยังเคร่งขรึมผ่าเผยดังเดิม ไม่ยินดียินร้าย ทำให้ผู้อื่นอ่านความรู้สึกในใจเขาไม่ออก


“ได้ขอรับ” หลินสวินพยักหน้ารับ


หลินไหวหย่วนเมื่อเห็นหลินสวินตอบรับอย่างเต็มใจ กลับตะลึงไป ดวงตาอดจับจ้องเขาไม่ได้ กล่าวว่า “ทำตามความสามารถของตน ถ้ารับไม่ไว้ จะออกปากยอมแพ้ก็ย่อมได้ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแห่งนี้ไม่มีใครว่าอะไรเจ้าหรอก”


หลินสวินยิ้มพลางพูดว่า “ขอบคุณท่านลุงอย่างยิ่งที่กล่าวเตือน”


ตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินประพฤติตนอย่างมีมารยาท ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกไป


“ไปเถอะ” หลินไหวหย่วนไม่พูดอะไรอีก


จากนั้นหลินสวินส่งสัญญาณให้หลินจงกับจูเหล่าซานรออยู่ด้านข้างฝั่งหนึ่ง ส่วนเขาเดินไปทางลานฝึกยุทธ์เพียงลำพัง


ฝูงชนที่รออยู่บริเวณลานฝึกยุทธ์เห็นเช่นนี้ก็พลันเดือดดาล ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม


“รีบมาดูสิ เจ้าเด็กนี่ยังกล้าตอบรับคำท้าประลอง!”


“หึ! นี่สิถึงเรียกว่าผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่หวั่นกลัว ถ้าเขารู้ถึงความเก่งกาจของเสวี่ยเฟิง น่ากลัวจะเสียใจที่เต็มใจรับคำท้าเช่นนี้”


“เหอะๆ แต่อย่างนี้ก็ดี เจ้าเด็กนี่อ้างตนว่าเป็นผู้ถือครองภูเขาชำระจิต ทำให้ข้าไม่พอใจนัก ถ้าเสวี่ยเฟิงสั่งสอนมันได้อย่างโหดเหี้ยม นั่นคงดีเหลือเกิน”


เสียงเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันดูถูกเซ็งแซ่ขึ้นไม่หยุดหย่อน


ท่ามกลางเสียงอื้ออึงนั้น เงาร่างสูงสง่าของหลินสวินเดินออกมาโดยลำพัง สีหน้าราบเรียบ ท่าทางสงบนิ่งราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดทั้งสิ้น


เมื่อมาถึงกลางลานฝึกยุทธ์ หลินสวินก็หยุดเดินอย่างเงียบเชียบ นิ่งพิจารณาสติ ราวนักพรตชราเข้าฌาน


ท่าทางสงบนิ่งนี้ทำให้คนจำนวนมากอดแปลกใจไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นเป็นคนหนุ่มคนอื่น เกรงว่าจิตใจว้าวุ่นไปแล้ว


ทว่าหลินสวินกลับไม่เป็นเช่นนั้น


แต่คนส่วนใหญ่ต่างเห็นว่าหลินสวินแค่แสร้งทำเท่านั้น ด้วยอย่างไรก็เป็นแค่เด็กหนุ่มขั้นผสานฟ้า ต่อให้จิตใจสงบนิ่งขนาดไหน เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเสวี่ยเฟิงผู้กล้าไร้เทียมทานชั้นนี้ คงพ่ายแพ้เป็นแน่!


ท่าทางเช่นนี้ของเขากลับเหมือนปล่อยเลยตามเลยไม่สนใจแล้วมากกว่า


“เฮ้ย เจ้าหลินสวินคนนั้นน่ะ ข้าว่าเจ้ายอมแพ้เองเถอะ อย่างเจ้าน่ะหรือกล้าหลงผิดท้าทายท่านพี่เสวี่ยเฟิง ไม่รู้อันตรายเสียงจริง” เด็กสาวผู้หนึ่งส่งเสียงหึหยัน


“ถ้าข้าเป็นเจ้าคงไม่รนหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้แน่ ถ้าเจ้ามีปัญญาก็ยอมแพ้แต่โดยดีเสีย ทุกคนจะได้มองเจ้าดีขึ้นมาบ้าง”


แต่ไม่ว่าคำเสียดสีถากถางจะบาดหูอย่างไร หลินสวินก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง


หลินจงที่อยู่ไกลๆ สีหน้าหนักอึ้ง ในใจทั้งเจ็บปวดทั้งอับจน ถ้าอำนาจตระกูลหลินสายตรงยังอยู่ ใครจะกล้าลบหลู่นายน้อยเช่นนี้ เจ้าคนสายตระกูลรองพวกนี้ทำเกินไปแล้ว!


ขนาดหลินต้าหงยังสลดใจ เขาไม่ได้ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินสวิน แต่ห่วงว่าหลินสวินจะทนการลบหลู่เช่นนี้ไม่ได้แล้วคลุ้มคลั่ง


มีเพียงจูเหล่าซานผู้เดียวที่ยืนนิ่งราวรูปปั้นอยู่อย่างนั้น เงียบเชียบไร้เสียง ไม่มีใครสังเกตเลยว่า ยามดวงตาของเขากวาดมองหลินสวินที่ยืนอยู่กลางลานเพียงลำพังและรับเสียงดูถูกถากถางทั้งมวลนั้น ส่วนลึกของดวงตาเขาฉายแววประหลาดโดยไม่ได้รู้ตัว


“ขออภัยทุกท่าน เสวี่ยเฟิงมาช้าไปหน่อย” ทันใดนั้น เสียงสดใสดังขึ้นจากที่ไกลๆ


เพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็ทำให้ฝูงชนในลานฮือฮา แต่ละคนแสดงสีหน้าตื่นเต้นและชื่นชม โห่ร้องไม่หยุดหย่อน เด็กหญิงบางคนถึงกับกรีดร้องอย่างคนเสียสติ


“ท่านพี่เสวี่ยเฟิง ท่านพี่เสวี่ยเฟิงมาแล้ว!


“ฮ่าๆๆ มีละครฉากใหญ่ให้ดูแล้วสิ ไม่กี่วันก่อนในการทดสอบระดับอาณาจักร ท่านพี่เสวี่ยเฟิงแสดงความสามารถไม่เป็นสองรองใคร ทั้งเลื่อนระดับโดยราบรื่น เทียบกับหลินสวินผู้นี้ก็เหมือนจำอวดชั้นเลวไม่ควรค่ากับเสียงหัวเราะ”


พลันเห็นสายรุ้งวิเศษที่ราวกับสร้างขึ้นจากภาพมายาละอองฝนทอขึ้นกลางอากาศ ทาบทับขอบฟ้า เด็กหนุ่มในชุดขาวผู้หนึ่งเดินมาบนสายรุ้งวิเศษนี้


บนศีรษะสวมเกี้ยวขนนก คิ้วตรงเชิดขึ้นราวกระบี่ ดวงตาสุกสกาวราวดวงดาว ทั้งร่างอวลไปด้วยไอละอองฝน เยื้องย่างบนท้องฟ้า ท่วงท่าไม่ธรรมดา


บางคนแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไป เช่นหลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ตรงหน้า เพียงบุคลิกเช่นนั้นก็พิเศษเกินคนทั่วไปยิ่งนัก


สวบ!


ร่างของเขาลอยเข้ามากลางลาน ราวกับนกกระสาร่อนลงมากลางฝูงระกา ในลานมีเสียงร้องยินดีสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นรอบแล้วรอบเล่า


“ไม่ได้พบหลายปี เจ้าหนูเสวี่ยเฟิงผู้นี้ก็โตขึ้นแล้ว เพียงแต่เปิดเผยแสดงความสามารถมากไป น่ากลัวว่าภายภาคหน้าจะถูกขัดขวางไม่น้อย” หลินจงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจากที่ไกลๆ


“หลินจง เจ้าพูดอะไรน่ะ!” หลินต้าหงเบิกตากว้าง ตวาดขึ้น เขาไม่กล้าตวาดหลินสวิน แต่กับหลินจงบ่าวชราผู้นี้กลับไม่เห็นหัว


หลินจงยิ้มฝืน แต่ก็ไม่แก้ตัว


เวลานี้หลินสวินก็เงยหน้ามองไปทางหลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง


มองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย พลังที่อยู่ภายในสะท้อนออกมาภายนอกหมุนวนอยู่รอบตัว ดูคุกคามอย่างยิ่ง


“เจ้าคือหลินสวินสินะ ให้เจ้ารอนานเลย”


ดวงตาหลินเสวี่ยเฟิงมองไปยังหลินสวิน พลางเอ่ยปาก เสียงอื้ออึงในลานพลันเงียบลง ขับเน้นให้อำนาจของหลินเสวี่ยเฟิงยิ่งดูเลิศลอย


“ไม่เป็นไร” หลินสวินโพล่งออกมา


“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบุตรชายสายตรงของท่านอาเหวินจิ้ง ในเมื่อพวกเราเป็นญาติรุ่นเดียวกัน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากพูดกับเจ้า” หลินเสวี่ยเฟิงเอ่ยเสียงเบา


“พูดได้เลย” หลินสวินกล่าว


“ในใจข้าคิดมาตลอดว่า อยากนำพาตระกูลหลินย้ายกลับไปอยู่ที่เขาชำระจิต ฟื้นฟูให้กลับมารุ่งเรืองดังเก่า รวมถึงช่วยล้างแค้นให้สายตระกูลเจ้าด้วย”


หลินเสวี่ยเฟิงน้ำเสียงสดใส กังวานเปี่ยมอำนาจ “ท่านทวดปลูกฝังข้ามาเช่นนี้ ไม่ให้ข้าลืมความแค้นอัปยศในวันนั้น ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว คงให้โอกาสข้าอย่างไม่ต้องสงสัย!”


หลินสวินเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “โอกาสอะไรหรือ”


หลินเสวี่ยเฟิงดวงตาฉายแวววาวโรจน์ราวสายฟ้า จ้องหลินสวิงเขม็ง พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “โอกาสได้ขึ้นครองภูเขาชำระจิต รวมตระกูลหลินกลับมาเป็นหนึ่งอย่างไรเล่า!”


เสียงก้องกังวานลำพองใจพาให้ทั้งลานไชโยโห่ร้อง


หลินไหวหย่วน หลินต้าเชียนและคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปต่างยิ้มอย่างยินดีอย่างห้ามไม่อยู่ ขนาดหลินต้าหงยังพยักหน้าไม่หยุด


หลินจงกลับมีสีหน้าหม่นหมองถึงที่สุด วาจาไพเราะแต่ใจคอร้ายกาจนัก ต้องการชิงสิทธิ์ในการสืบทอดจากนายน้อยไปชัดๆ!


ทว่าหลินสวินกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ปณิธานของท่านใหญ่โตนัก ข้าก็มีเรื่องอยากพูดกับท่านเช่นกัน เกิดเป็นคน ต้องยับยั้งความใฝ่สูงเกินตัว”


หลินเสวี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ไม่ทันเอ่ยปาก ฝูงชนโดยรอบก็ทนไม่ไหวต่อว่าออกมา


“เจ้าหนูนี่ มันพูดอะไรของมันกัน”


“บังอาจ! พูดอย่างนี้ได้อย่างไร”


“พี่เสวี่ยเฟิง อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับคนพรรค์นี้เลย ลดตัวเสียเปล่าๆ!”


หลินเสวี่ยเฟิงโบกมือ ระงับเสียงอึกทึกที่ดังขึ้นในลาน สีหน้าสงบนิ่งมองดูหลินสวิน แล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องต่อต้านเช่นนี้ ข้าถือเป็นพี่เจ้า ไม่มีทางให้เจ้าถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา กลับกัน เพียงเจ้ายกภูเขาชำระจิตให้ ข้าจะให้เจ้าได้รับตำแหน่งและสถานะเช่นเดียวกับสมาชิกในตระกูลคนอื่นๆ ทั้งจะช่วยเจ้าแก้แค้นอีกด้วย”


ฉับพลันสีหน้าของเขาก็ปรากฏสายตาโอหังมั่นใจในตนเอง แล้วพูดต่อว่า “นี่เป็นใจจริงของข้า เจ้าก็น่าจะรู้ ไม่ว่าด้านไหน ข้าก็เหมาะสมรับช่วงต่อภูเขาชำระจิตมากกว่าเจ้า!”


วาจานี้เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นน่ายำเกรง ราวกับไตร่ตรองแทนหลินสวินและคนทั้งตระกูลหลินแล้ว ยังให้ฝูงชนที่รายล้อมอยู่อดไชโยโห่ร้องไม่ได้


หลินสวินนิ่งเงียบ ลึกไปในดวงตาสีดำมีกระแสลมเย็นเยียบโหมพัดอยู่รำไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)