Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 344-350

 ตอนที่ 344

 

ชายสามคนนั่งเรียงกันอยู่ภายในโถงประชุมใหญ่


พวกเขาทั้งสามคือหลินเทียนหลง หัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิม หลินเนี่ยนซาน หัวหน้าตระกูลหลินแห่งคานเมฆา และหลินผิงตู้ หัวหน้าตระกูลหลินแห่งยอดวายุ


ทั้งสามล้วนเป็นยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะที่ครองอำนาจในแต่ละตระกูลสายรองของตระกูลหลิน เรียกได้ว่าอำนาจล้นฟ้า


ยากจะเห็นพวกเขามารวมตัวกันแบบนี้ และตอนนี้สีหน้าของพวกเขาต่างอึมครึมไม่แพ้กัน


พวกเขารู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ภูเขาชำระจิตจากปากเซียวเฟิ่งหรูแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจะปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขาอย่างเด็ดขาด!


สิ่งที่กระตุ้นเพลิงโกรธของพวกเขาที่สุดคือ เจ้าหนุ่มนั่นทำลายพลังปราณของหัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลที่พวกเขาส่งไป เป็นการจงใจท้าทายเกียรติของพวกเขาชัดๆ!


“พวกขยะไร้ค่า ไสหัวออกไป!”


ในที่สุดเสียงคำรามของหลินเทียนหลงหัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมที่นั่งอยู่ตรงกลางสุดก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งโถง


สีหน้าของพวกเซียวเฟิ่งหรูพลันเศร้าสร้อยไร้ที่เปรียบ คืบคลานขึ้นจากพื้นอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะจากไปอย่างเศร้าหมอง


ดังคาด คนที่สูญเสียพลังปราณไปก็ไม่ต่างอะไรกับคนพิการ เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่มีค่าอะไรแล้ว!


เดาได้ไม่ยากว่าหลังจากพวกเขาออกจากโถงประชุมนี้แล้ว ทั้งอำนาจและลาภยศที่เคยมีก็หายไปโดยปริยาย


แม้การแก้แค้นของหลินสวินไม่ใช่การฆ่าฟัน แต่มันโหดร้ายยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาเสียอีก!


“ดูเหมือนว่า เด็กนั่นคิดจะต่อต้านเราจริงๆ”


หลินเทียนหลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดด้วยสีหน้าขรึมจัด แววตาสาดประกายความเย็นเยียบสุดกำลัง


“หึ แค่เด็กเมื่อวานซืน กลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง บังอาจมาแข็งข้อกับพวกเรา ช่างไม่ประสีประสา”


อีกด้านหนึ่งหลินเนี่ยนซานหัวหน้าตระกูลหลินแห่งคานเมฆาแค่นเสียงอย่างเยียบเย็น


“ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านมีความคิดอย่างไร?”


มีเพียงหลินผิงตู้ หัวหน้าตระกูลหลินแห่งยอดวายุที่พูดอย่างเรียบเฉยอย่างเป็นที่สุด “เด็กคนนี้มีลัญจกรชำระจิต ทั้งยังครอบครองภูเขาชำระจิต ถ้าเขาไม่ยอมสละอำนาจปกครองตระกูล เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้”


ได้ยินแบบนี้สีหน้าของหลินเทียนหลงและหลินเนี่ยนซานพลันมืดทะมึนลงไปอีกสามส่วน


นี่เป็นปัญหาที่ยากจัดการโดยแท้ ถ้าฆ่าหลินสวิน ภูเขาชำระจิตก็จะหลุดไปจากมือของตระกูลหลินและตกเป็นของราชวงศ์จักรวรรดิ


แต่ถ้าไม่ฆ่าเขา คนในตระกูลสาขาอย่างพวกเขาก็ยากจะหวนคืนสู่ภูเขาชำระจิต ทำให้ไม่สามารถครองอำนาจสูงสุดของตระกูลได้อย่างเป็นทางการ!


ก็เหมือนทั้งสามที่ตอนนี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของสามตระกูลสาขาแห่งตระกูลหลิน แต่อย่างไรก็เป็นได้เพียงหัวหน้า มิอาจเป็น ‘ผู้นำตระกูล’ ได้


นี่ก็คือความแตกต่าง


“เทียนหลง เจ้าเป็นคนมากแผนการ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้”


สายตาของหลินผิงตู้กวาดมองไปยังหลินเทียนหลงที่อยู่ตำแหน่งตรงกลาง


“ถ้าเพียงเด็กคนนั้นคงจัดการได้ไม่ยาก แต่ประเด็นคือตอนนี้มียอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะโผล่มาคุ้มครองเขาอีกคน นี่จัดการยากเอาการ”


หลินเทียนหลงมุ่นคิ้ว “นอกเสียจากให้ผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่งของเราสามตระกูลออกโรง บางทีอาจจะกำจัดยอดฝีมือที่คอยคุ้มครองเด็กนั่นได้ แต่ปัญหาใหญ่คือ ต่อให้ทำถึงขนาดนั้นแล้ว แต่ถ้าเด็กนั่นยอมตายไม่ยอมจำนน เช่นนั้นข้าเองก็จนปัญญา”


อีกสองคนเงียบไปทันที


เรื่องที่ทำให้พวกเขาปวดหัวที่สุดคือสิทธิ์ขาดของภูเขาชำระจิต ซึ่งบนโลกนี้มีเพียงหลินสวินคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิต


ทำให้พวกเขาไม่สามารถลงมือกับหลินสวินได้อย่างเต็มที่


“แต่ถ้าสู้กันซึ่งหน้าไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีอื่น”


แววตาของหลินเทียนหลงพลันฉายความดุดัน “ข้าไม่เชื่อว่าเด็กนั่นจะมุดหัวอยู่ในภูเขาชำระจิตได้ตลอดชีวิต ขอเพียงแค่เขากล้าก้าวออกจากภูเขาชำระจิต เราย่อมมีวิธีนับร้อยพันที่จะควบคุมเขาไว้!”


หลินเนี่ยนซานแววตาทอประกาย “หมายความว่าอย่างไร”


หลินผิงตู้ที่อยู่อีกด้านราวกับตระหนักได้ทันที พลันยิ้มกล่าว “วิธีนี้ก็ไม่เลว แค่ให้เด็กนั่นไม่ถึงตาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ขอเพียงสามารถควบคุมเขาให้มาเป็นหุ่นเชิดของเราได้ก็พอ”


หลินเนี่ยนซานเองก็เข้าใจความหมายแล้ว พลันกล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ “การจะทำแบบนี้มีอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นวางยาก่อนแล้วลักพาตัว ลอบโจมตีหรืออื่นๆ อีกมากมายที่จะควบคุมตัวเขาเอาไว้ แล้วค่อยใช้วิชาพิษสะกดจิต ควบคุมกายหยาบของเขาและสั่งการวิญญาณ ถึงตอนนั้น เขาจะกลายเป็นเพียงเด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียจิตใต้สำนึกของตนเอง เพียงเท่านี้ก็กลายเป็นหุ่นเชิดที่ทำตามคำสั่งของพวกเราแล้วมิใช่หรือ”


พูดยังไม่ทันจบ หลินเทียนหลงและหลินผิงตู้ที่อยู่ข้างๆ ก็ยั้งรอยยิ้มไม่อยู่แล้ว


ทันใดนั้นหลินเทียนหลงก็เก็บสีหน้า “ท่านทั้งสอง ขอให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่รู้กันเพียงเราสามคนเป็นพอ อย่าให้รู้ถึงหูใครอีก”


หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ต่างพยักหน้า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”


พวกเขาล้วนเป็นหัวหน้าของตระกูลสาขาแต่ละตระกูล ย่อมรู้ดีว่าหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป แม้วันหนึ่งพวกเขาจะได้เป็นผู้ปกครองภูเขาชำระจิต แต่ชื่อเสียงก็ต้องป่นปี้


เพราะตามศักดิ์แล้ว อย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโสของหลินสวิน ทั้งยังเป็นผู้สืบสายเลือดจากตระกูลเดียวกัน ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส แต่กลับคิดร้ายกับลูกหลานของตัวเอง เรื่องแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องที่อัปยศอดสู


“ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ก็จัดการตามนี้”


หลินเทียนหลงพูดเสียงขรึม “ต่อไป ขอให้ทั้งสองท่านส่งกำลังคนที่เก่งกาจที่สุดมาจัดการเรื่องนี้ร่วมกับข้าโดยเร็วที่สุด เมื่อทุกอย่างสำเร็จตามแผน ก็ถึงเวลาที่พวกเราสามตระกูลจะหวนกลับภูเขาชำระจิตเสียที!”


หลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน


“จริงสิ แล้วทางตระกูลหลินแห่งแสงอุดร…” จู่ๆ หลินผิงตู้ก็ถามขึ้น


“ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา!”


หลินเทียนหลงเผยยิ้มเย็นเยียบ “ขนาดนี้แล้วพวกเขายังลังเลไม่เลิก ไม่แสดงจุดยืนเสียที หลังจากที่เราหวนคืนสู่ภูเขาชำระจิต พวกเขาอย่าคิดฉวยโอกาสเอาเปรียบเชียว!”



เมื่อรัตติกาลมาเยือน


นครต้องห้ามกลับเพิ่งเปิดฉากอันครึกครื้น


ดวงดาวประดับฟ้า สาดฉายแสงสู่บ้านเมือง


เมืองที่กล่าวถึงนี้คือนครต้องห้าม เมื่อรัตติกาลแผ่คลุม โคมไฟทั่วเมืองเป็นต้องแผดความสว่างขึ้นเหมือนดั่งมังกรไฟที่คดเคี้ยวอยู่บนถนน สดใสและงดงาม คึกคักเหมือนดั่งภาพความฝัน


ยามรัตติกาลเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการแสวงหาความสุขใส่ตัวที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเหล่ายอดอัจฉริยะ คุณชายคุณหนู บัณฑิตระดับแนวหน้า ผู้มีอำนาจเจ้าสำราญ…


ผู้คนหลากหลายรูปแบบ บ้างก็นั่งเกี้ยว บ้างก็ขี่สัตว์ยานพาหนะ หรือไม่ก็เดินเท้า แล่นลอดอยู่บนถนนอันครื้นเครง บรรยากาศคึกคักมากโข


ในศูนย์กลางนครต้องห้าม ด้านหนึ่งข้างอัครการค้า มีอาคารหยกขาวสูงเสียดฟ้าที่ในยามรัตติกาลจะปรากฏจอภาพวิญญาณตั้งตระหง่านอยู่


ในจอภาพวิญญาณ หญิงงามโดดเด่นสง่างามเหนือใครกำลังเผยแพร่เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในนครต้องห้าม


“ในการทดสอบระดับอาณาจักรครั้งนี้ จะมียอดฝีมือหนุ่มสาวรุ่นใหม่สามพันเจ็ดร้อยคนเข้ารับการทดสอบ ในปีนี้ จักรวรรดิจะส่งหย่งหลิงอ๋องจ้าวจวนมาควบคุมการทดสอบด้วยตัวเอง”


“บ่ายวันนี้ภิกษุอีเนี่ยนแห่งอาณาจักรวงจันทราได้เดินทางไปเทศนาธรรมที่สำนักศึกษามฤคมรกต และล้มลูกศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตไปรวมสิบสามคนในคราวเดียว สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก ดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังออกหน้าด้วยตัวเอง ส่งหนังสือท้ารบถึงอีเนี่ยน ภายหลังจะเป็นอย่างไร โปรดติดตาม”


“ข้อมูลใหม่ล่าสุดจากทัพหน้ารายงานว่า พ่อมดเถื่อนแห่งสำนักคนเถื่อนวารีได้ส่งคณะทูตออกมากลุ่มหนึ่ง จะมาเยือนนครต้องห้ามในอีกสามเดือนข้างหน้า จุดมุ่งหมายยังไม่แน่ชัด ลือกันว่าจักรวรรดิอนุมัติเรื่องนี้แล้ว”



จอภาพวิญญาณในมณฑลอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน กำลังถ่ายทอดข่าวยอดนิยมในช่วงนี้เช่นเดียวกับจอภาพวิญญาณในนครต้องห้าม


ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างมารวมตัวกันที่นั่น เพื่อฟัง วิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดเป็นที่สุด


ท่ามกลางฝูงชนที่จอแจ พญาแร้งนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีเสี่ยวเคอคอยเข็นอยู่ข้างหลังกำลังค่อยๆ มุ่งไปข้างหน้า


“จัดการเรื่องราวไปได้มากแล้ว เหรียญทองหกหมื่นของเจ้าหนูคนนั้นยังเหลือไม่น้อย เจ้าไม่รีบฉวยโอกาสเดินจับจ่ายในตลาดเสียหน่อยหรือ อย่าลืมว่ากลับภูเขาชำระจิตคราวนี้ไม่ได้มีโอกาสมาเดินเล่นอย่างสบายใจเฉิบเช่นนี้แล้วนะ” พญาแร้งยิ้มพูด


“ตอนนี้เขาเป็นแค่คนตกอับ ข้าไม่ใจร้ายใช้เงินของเขาหรอก”


เสี่ยวเคอพูดโดยไม่ใส่ใจ


“ฮ่า คนตกอับหรือ ข้าว่าไม่ขนาดนั้น” พญาแร้งระบายยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ


ขณะนั้นเองข่าวที่ฉายอยู่ในจอภาพวิญญาณที่อยู่ด้านหลังพลันดึงดูดความสนใจของพญาแร้งและเสี่ยวเคอ


“ผู้โดดเด่นรุ่นใหม่ที่จะแนะนำในวันนี้ ยังคงเป็นอัจฉริยะหนุ่มผู้คว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลจากมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิ”


“เขาผู้นี้นามว่าหลินสวิน มีพรสวรรค์โดดเด่น เรื่องที่ผู้คนต่างเล่าขานกันไม่รู้จบคือ เขาผู้นี้คว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลที่มณฑลซีหนาน ในฐานะผู้ฝึกปราณขั้นผสานใจแห่งระดับจิตผสานวิญญาณ!”


“เหลือเชื่อจริงๆ เขาทำได้อย่างไรกัน ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ทำผลงานได้โดดเด่นอย่างเขา”


หญิงสาวผู้งดงามในจอภาพวิญญาณพูดยังไม่ทันจบด้วยซ้ำ ก็เรียกเสียงฮือฮาและเสียงอุทานจากผู้คนจำนวนมากที่เหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน


“โฮ่! หลินสวินผู้นี้เก่งกาจเพียงนั้นเชียว”


“อายุเพียงสิบสี่ ก็อยู่ในขั้นผสานใจแห่งระดับจิตผสานวิญญาณแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าหูฝาดไปใช่หรือไม่”


“เห็นชัดว่าเป็นไปได้เพียงสองอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะหลินสวินผู้นี้เป็นอัจฉริยะระดับปีศาจ ผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมการทดสอบในมณฑลซีหนานก็คงด้อยความสามารถเอง มิเช่นนั้นจะยอมให้เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าคว้าอันดับหนึ่งไปได้อย่างไร”


“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหลินสวินอยู่บ้าง คิดว่าคงเป็นเรื่องจริง นี่มันการทดสอบระดับมณฑล ใครจะกล้าปลอมแปลง”


“ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูง ที่หลินสวินผู้นี้จะเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ”


“แน่นอนล่ะ อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลเชียวนะ จะพลาดโอกาสแบบนี้ได้อย่างไร”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งพญาแร้งและเสี่ยวเคอยังตะลึง หยุดฝีเท้ามาเงี่ยหูฟังด้วยท่าทีสนอกสนใจ


ไม่นานทุกคนต่างต้องอึ้งงันกับอีกข่าวที่จอภาพวิญญาณรายงาน


“ภายหลังได้รับการยืนยันว่า หลินสวินผู้นี้เป็นทายาทสายตรงของตระกูลหลินแห่งนครต้องห้าม ซึ่งขณะนี้ได้สืบทอดภูเขาชำระจิตที่เป็นหนึ่งใน ‘ภูเขาแห่งอำนาจ’ จากทั้งหมดเจ็ดสิบสองลูก”


“ที่น่าเสียดายคือ หลินสวินวุ่นอยู่กับภารกิจที่รัดตัว จึงประกาศชัดแล้วว่าจะไม่เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ คาดได้เลยว่าเมื่อไม่มีอัจฉริยะผู้คว้าอันดับหนึ่งจากมณฑลซีหนานมาร่วมด้วย การทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้คงเสียความน่าสนใจลงมากอย่างไม่ต้องสงสัย”


ได้ยินเช่นนี้ ผู้ฝึกปราณที่ฟังอยู่ต่างวิจารณ์กันอย่างดุเดือด


“ตระกูลหลินอย่างนั้นหรือ? ข้าจำได้แค่ว่าในนครต้องห้ามมีตระกูลหลินสี่ตระกูล แต่พวกเขาล้วนไม่มีสิทธิ์ครอบครองภูเขาชำระจิตนี่!”


“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว มีเพียงผู้สืบสายเลือดโดยตรงจาก ‘ท่านเต้าเฉิน’ แห่งตระกูลหลินเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิต อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าท่านเต้าเฉินคือใคร ท่านคือราชันระดับสังสารวัฏที่เคยช่วยจักรวรรดิของเราจากพิบัติภัยน้ำไฟเมื่อห้าร้อยปีก่อน!”


“ปัดโถ่ ไม่คิดเลยว่าผู้คว้าอันดับหนึ่งจากการทดสอบระดับมณฑลของซีหนานจะเป็นถึงผู้สืบสายเลือดโดยตรงของท่านเต้าเฉิน ถึงว่าอายุเพียงเท่านี้ ก็มีผลงานที่โดดเด่นเพียงนี้แล้ว”


“เฮ้ย แต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วได้เกิดโศกนาฏกรรมนองเลือดครั้งรุนแรงสุดที่ภูเขาชำระจิตมิใช่หรือ จู่ๆ หลินสวินหวนกลับสู่นครต้องห้าม มาปกครองภูเขาชำระจิตในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลหลินแบบนี้ เท่ากับวิ่งเข้ากองเพลิง ประมาทแต่เพียงนิดก็อาจพินาศได้!”

 

 

 


ตอนที่ 345

 

ท่าทีของแต่ละฝ่าย

โดย

ProjectZyphon

เสียงฮือฮายังคงดังอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของทุกคนต่างเผยความฉงน ตะลึง เสียดายเต็มประดา


ซึ่งสาเหตุก็ง่ายมาก เพราะทุกอย่างเกี่ยวกับหลินสวินล้วนควรค่าแก่การถกเถียงและพิจารณามากเหลือเกิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมีประเด็นให้พูดถึงมาก


บางคนสนใจพลังปราณและผลงานของหลินสวิน คิดว่าการที่เขาสามารถคว้าที่หนึ่งการทดสอบระดับมณฑลของซีหนานมาได้ด้วยพลังปราณเพียงขั้นผสานใจ ตั้งแต่อายุเพียงสิบกว่าปี ถือเป็นอัจฉริยะระดับเทพที่หายากมากเลยเชียว


และบางคนก็สนใจฐานะของเขา ใครจะคิดว่าเขาจะเป็นถึงทายาทผู้สืบสายเลือดโดยตรงของท่านเต้าเฉิน ผู้เป็นราชันแห่งระดับสังสารวัฏที่สร้างความฮือฮาเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว!


แต่คนส่วนใหญ่ต่างเป็นห่วงสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของหลินสวินเสียมากกว่า


แม้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิตที่เป็นหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจจากทั้งหมดเจ็ดสิบสองลูก แต่ผู้ที่รู้โศกนาฏกรรมนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วล้วนรู้ดีว่าสถานการณ์ของหลินสวินไม่ได้น่ายินดีเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก


ตรงกันข้าม ฐานะของหลินสวินนำพาเขาให้ตกอยู่ท่ามกลางอันตราย!


“ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าคงวางแผนทุกอย่างมาอย่างรอบคอบ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถสร้างความฮือฮาได้ขนาดนี้”


เสี่ยวเคอที่ยืนอยู่บนถนนมุ่นคิ้วพูด


จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์อันดุเดือดในตอนนี้ ก็พอรู้ว่าหลังจากคืนนี้ เรื่องราวของหลินสวินคงจะแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ


ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเรียกความโกลาหลและความสนใจได้มากเพียงใด


ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายสำหรับหลินสวิน!


“ข่าวที่จอภาพวิญญาณเผยแพร่ในทุกวัน ล้วนผ่านการคัดเลือกมาแล้วหลายต่อ ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนแอบผลักดันข่าวเกี่ยวกับหลินสวิน คงไม่ถูกเอามาเผยแพร่เช่นนี้”


แววตาอันแน่วนิ่งของพญาแร้งสาดประกายแห่งสติปัญญา “ข้ากลับสงสัยว่า หลินสวินนั่นแหละเป็นคนปล่อยข่าวตัวเอง”


เสี่ยวเคอตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร”


พญาแร้งยิ้มพูด “ยังจำเมื่อวันก่อนตอนที่ข้าพบหลินสวินเป็นครั้งแรกได้หรือไม่ เด็กหนุ่มนั่นรับปากอย่างมั่นใจว่า ภายในหนึ่งเดือนจะทำให้ชื่อของตัวเองเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งนครของห้าม”


เขาชะงักไปครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “เจ้าลองดูข่าวที่จอภาพวิญญาณเผยแพร่ในค่ำคืนนี้ ก็คงเดาออกว่าต่อให้เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของหลินสวินเอง แต่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย”


แววตาคู่ใสของเสี่ยวเคอเผยความแปลกใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่าหลินสวินยังมีไม้ตายที่เรายังไม่รู้อีกอย่างนั้นหรือ เพราะเมื่อครู่นี้ท่านกล่าวว่า ข่าวที่จอภาพวิญญาณเอามาเผยแพร่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ลำพังตัวหลินสวินเองคงทำไม่ได้”


พญาแร้งพยักหน้าก่อนพูดเสียงขรึม “เสี่ยวเคอ ข้าขอเตือนเจ้าว่า ฐานะของหลินสวินค่อนข้างซับซ้อน เขาไม่เพียงเคยอยู่ในค่ายกระหายเลือด แต่ยังมีตำหนักแห่งรัตติกาลคอยหนุนหลัง”


“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลิน เพียงแค่เรื่องที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดกล้าเปิดเผยเงื่อนงำการลอบสังหารบิดามารดาของเขาก็ดูผิดปกติมากแล้ว”


“เรื่องที่ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกคือท่าทีของราชวงศ์ ภูเขาชำระจิตนั่นถูกทิ้งให้รกร้างมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว หากก็ยังไม่ยอมยึดไปเสียที เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าสงสัยมากหรือ นั่นมันหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจจากทั้งหมดเจ็ดสิบสองลูกเชียวนะ ไม่เพียงแค่เป็นดินแดนแห่งพลังวิญญาณ แต่ยังหมายความถึงฐานะและอำนาจอันเกรียงไกร!”


พูดถึงตรงนี้ พญาแร้งพลันหันมองเสี่ยวเคอแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าก็ไม่มั่นใจว่าหากช่วยหลินสวินต่อไปจะเป็นการดีหรือไม่ ส่วนเจ้า…ควรเตรียมใจเอาไว้บ้าง”


เสี่ยวเคอครุ่นคิดอยู่ครู่ จึงพยักหน้า


“แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของข้า หลินสวินซ่อนความลับไว้มากมาย สิ่งที่ข้าค้นพบอาจจะแค่เศษเสี้ยว แต่ความจริงข้าตื่นเต้นมากที่ได้ทำงานกับเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความลึกลับเช่นนี้”


พญาแร้งพลันเปลี่ยนเรื่องพร้อมรอยยิ้ม “ไม่แน่ เขาอาจสามารถนำพาความตื่นเต้นเปรมปรีดิ์ หรืออาจจะเป็น…ปาฏิหาริย์ ที่คาดไม่ถึงมาให้ข้ามากมายก็เป็นได้”


เสี่ยวเคอหัวใจสั่นระทึก ก่อนพูดพร้อมแววตาที่ทอประกาย “หากหลินสวินรู้ว่าท่านชื่นชมเขาเพียงนี้ เขาต้องดีใจมากแน่”


พญาแร้งยิ้ม ยกมือขึ้นโบกไปมาพลางพูดว่า “ไปกันเถอะ เราควรกลับไปได้แล้ว”


เสี่ยวเคอพลันเข็นรถเข็นพาพญาแร้งเดินทางกลับ ไม่นานเงาร่างก็หายไปท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลในนครต้องห้ามอันครึกครื้น


หน้าตึกโบราณตึกหนึ่ง ด้านหลังจอภาพวิญญาณ


ที่นี่ก็คือ ‘หน่วยแพร่ภาพวิญญาณ’ แห่งนครต้องห้าม ที่ควบคุมทุกอย่างในจอภาพวิญญาณ


ขณะนั้นเอง เกี้ยวสมบัติที่ตกแต่งอย่างสวยงามประณีต เรืองแสงไปทั่วทั้งคันและใช้เมฆาวารีขาวปลอดสี่ตัวในการลากค่อยๆ แล่นเข้ามาใกล้


ไม่นานร่างอ้อนแอ้นก็เดินออกจากประตูตึกโบราณอันกว้างใหญ่


บุคลิกของนางสง่างาม รูปลักษณ์งดงามโดดเด่น ซึ่งก็คือหญิงสาวที่รายงานข่าวอยู่ในจอภาพวิญญาณเมื่อครู่นี้นั่นเอง


เห็นนางปรากฏตัว เกี้ยวสมบัติที่เข้ามารออยู่ห่างๆ ก็เลิกผ้าม่านขึ้น เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าอันหล่อเหลาของสืออวี่


“เรื่องที่ให้ช่วยเสร็จหมดแล้ว หมดหน้าที่แล้วข้าขอตัวกลับก่อน” หญิงสาวเดินขึ้นหน้า พลางพูดพร้อมสีหน้าเรียบเฉย


สืออวี่กลับคว้าแขนนางเอาไว้ พลันดึงเข้าไปกอดแนบอก ก่อนจะประทันจูบบนริมฝีปากฉ่ำวาวของหญิงสาว “จะหมดหน้าที่ได้อย่างไรกัน เพื่อเป็นการฉลองให้กับผลลงานในค่ำคืนนี้ของเจ้า ข้าจะพาเจ้าข้ามผ่านค่ำคืนอันงดงาม”


หญิงสาวที่เมื่อครู่นี้สีหน้ายังเรียบเฉย ท่าทางสง่าแน่วนิ่ง กลับหัวเราะแผ่วเบาขึ้นมา ดูยั่วยวนทรงเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ งดงามเพียงใดเชียว”


สืออวี่ดึงผ้าม่านลง แล้วกดเสียงทุ้มต่ำพูดในขณะที่มองหญิงสาวในอ้อมอกอย่างลึกซึ้ง “เดี๋ยวเจ้าก็รู้”


พูดจบก็ล้มลงจูบบนริมฝีปากของหญิงสาว


แต่ในใจคุณชายสามแห่งอัครการค้ากลับลอบบ่นอุบ หลินสวินนะหลินสวิน ข้าถึงกับพลีกายเพื่อช่วยเจ้า บุญคุณครั้งนี้ เจ้าจงจำให้ขึ้นใจ!


ข่าวเกี่ยวกับหลินสวินที่รายงานบนจอภาพวิญญาณในค่ำคืนนี้มีสืออวี่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนั่นเอง



ในค่ำคืนเดียวกัน


ฉือฉางเหมยผละสายตาออกจากจอภาพวิญญาณและเข้าสู่ห้วงความคิด


หลินสวิน!


ที่แท้เขาก็เป็นผู้สืบสายเลือดเพียงหนึ่งเดียว ที่มีสิทธิ์ในภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน และบรรพบุรุษก็คือหลินเต้าเฉิน ผู้ฝึกปราณระดับสังสารวัฏผู้เกรียงไกรในยุคนั้น!


ถึงว่าตอนที่ตอบโต้เขา คนในวงศ์ตระกูลถึงไม่อนุญาตให้ส่งยอดฝีมือที่เหนือกว่าระดับจิตผสานวิญญาณ ต้องมีคนคอยแย้งอยู่เบื้องหลังแน่


พวกที่แย้ง เกรงว่าคงเป็นขุมพลังที่มีสัมพันธ์กับตระกูลหลินทั้งสิ้น!


ฉือฉางเหมยถึงขั้นมั่นใจว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอิทธิพลจากหลินเต้าเฉิน เพราะเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ชื่อเสียงของหลินเต้าเฉินโด่งดังมากจริงๆ พลิกผันสถานการณ์อันโหดร้ายกลับมาได้เพียงลำพัง ทั้งยังออกรบต่อกรกับราชันจักรวรรดิมืด


แม้สุดท้ายจะร่างแหลกสลาย แต่ก็ช่วยจักรวรรดิกอบกู้สถานการณ์ ช่วยจักรวรรดิให้พ้นจากมหันตภัยครั้งใหญ่!


มีบุญคุณอันท่วมหัวของหลินเต้าเฉินอยู่ หากใครคิดจะแตะต้องทายาทผู้สืบสายเลือดของเขา คงไม่ใช่เรื่องง่าย


อย่างน้อยๆ จากการกระทำเมื่อครั้งที่ผ่านมาของตระกูลฉือก็สะท้อนเรื่องนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน อย่างเช่นไม่อนุญาตให้ส่งผู้ฝึกปราณที่อยู่สูงกว่าระดับจิตผสานวิญญาณออกไป


อีกตัวอย่างคือฉือฉางเฟิงเพิ่งจะลงมือ ก็ถูกผู้อาวุโสแห่งตำหนักรัตติกาลท่านนั้นเข้าขัดขวาง ทำให้เขาถูกโทษกักบริเวณเป็นเวลานานถึงสามปี


ฉือฉางเหมยครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “กลับไป กำจัดคนไร้ประโยชน์อย่างฉือเจ๋อเสีย”


คนใช้ที่ติดตามนางอึ้งงันไป ก่อนจะพยักหน้า เขาเองก็ได้ยินมาว่า เพราะฉือเจ๋อต้องการชิงตัวหญิงนางหนึ่ง จึงถูกหลินสวินตัดแขนทั้งสองข้าง จนตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ในตระกูล


ทว่าแม้ฉือเจ๋อจะแซ่ฉือ แต่หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคนในตระกูลไม่ ฆ่าได้ก็ฆ่า ใช่จะเป็นไร


“แล้วก็ไปเตือนคนในตระกูลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉือเจ๋อ ว่าหากใครกล้าออกไปหาเรื่องหลินสวินแทนฉือเจ๋อ ก็จงรับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง!”


ฉือฉางเหมยเสริมขึ้นอีกประโยค


คราวนี้คนใช้คนนั้นเริ่มลนลาน พลันพูดอย่างกังวล “คุณหนู หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นการตีตนไปก่อนไข้หรือไม่ ถ้าคนนอกรู้ คงคิดว่าตระกูลฉือของเราเกรงกลัวหลินสวินนั่น”


ฉือฉางเหมยพูดเรียบๆ “เจ้าจัดการไปตามนี้เป็นพอ”


ที่นางตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวหลินสวิน แต่นางได้รับคำชี้แนะจากผู้เป็นบิดาฉือหลิงเซียว ว่าอย่าเพิ่งเข้าเล่นงานหลินสวิน


นางเองก็เดาสาเหตุได้ไม่ยาก ทุกฝ่ายคงอยากเฝ้าดูสถานการณ์ศึกภายในระหว่างหลินสวินกับตระกูลรองพวกนั้นก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย


ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ตระกูลฉือของพวกเขาก็จะไม่เข้าไปเสี่ยงกับเหตุการณ์ในครั้งนี้


ไม่เพียงตระกูลฉือ ตระกูลมหาอำนาจจำนวนมากในนครต้องห้ามต่างก็ล้วนมีท่าทีเช่นเดียวกัน


แต่ฉือฉางเหมยมักรู้สึกว่า เรื่องนี้เห็นจะไม่ธรรมดา


ราวกับว่า เบื้องหลังของหลินสวินยังมีแรงสนับสนุนที่น่ากลัวกว่า จนทำให้ตระกูลมหาอำนาจอื่นๆ รวมทั้งตระกูลฉือไม่กล้าลงมือโดยใช่เหตุ!


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของฉือฉางเหมยเอง แต่ไม่ว่าอย่างไร ความลับของหลินสวินยิ่งมากเท่าไหร่ ฉือฉางเหมยก็ยิ่งรู้สึกสนใจ


เพราะการลงมือเมื่อครั้งที่ผ่านมาล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้นางรับไม่ได้จริงๆ ต่อจากนี้ ถ้ามีโอกาสเอาคืนหลินสวิน ฉือฉางเหมยย่อมไม่พลาด



ปราสาทรัตติกาล


“คุณหนู ตั้งแต่หลินสวินเข้านครต้องห้าม ราชครูเฒ่าจากหอดูดาวหลวงนั่นก็นิ่งเงียบไม่ยอมแสดงท่าที ทำให้ตระกูลฉือรวมทั้งตระกูลมหาอำนาจอื่นๆ ต่างไม่กล้าแทรกแซงโดยพลการ ได้แต่คอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ”


“แน่ล่ะ ตราบใดที่สถานการณ์ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน คงไม่มีใครกล้าออกตัวโดยพลการ”


“จะว่าไป ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงว่า จะมีผู้ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์จักรวรรดิคอยหนุนหลังหลินสวิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ท่านใด”


“อย่างนั้นก็สืบต่อไป”


“รับทราบเจ้าค่ะ”


“ตอนนี้สถานการณ์ของหลินสวินเป็นอย่างไรบ้าง”


“ไม่ดีนัก”


“การจะควบคุมภูเขาชำระจิตไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ถือเป็นโอกาสทองที่เขาจะได้พัฒนาตัวเอง”


“ข้าน้อยเองก็คิดเช่นนี้”


“จริงสิ ได้ความหรือยังว่าลู่ป๋อหยามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลหลิน”


“ยังไม่มีข้อมูลเจ้าค่ะ”


“เรื่องนี้สำคัญมาก ลู่ป๋อหยาไม่ใช่คนในจักรวรรดิ ฐานะลึกลับเป็นอย่างมาก แต่เขากลับยอมแฝงตัวเข้าไปอยู่ในคุกใต้เหมืองอเวจีม่วงเพื่อช่วยหลินสวิน เรื่องนี้น่าสงสัยนัก”


“ข้าน้อยจะรีบสืบเรื่องนี้”


“อืม เจ้าไปเถอะ”


หญิงชราหมุนตัวเดินออกจากตำหนักอันมืดสลัวตามคำสั่ง


ราชินีแห่งรัตติกาลเอามือเท้าคางครุ่นคิดอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวอันสูงส่งเด่นเป็นสง่า

 

 

 


ตอนที่ 346

 

 คำว่ายอดฝีมือ

โดย

ProjectZyphon

เพียงชั่วข้ามคืนข่าวเกี่ยวกับหลินสวินก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครต้องห้ามราวกับติดปีกอย่างที่พญาแร้งและเสี่ยวเคอคิดเอาไว้ไม่มีผิด ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์และเสียงฮือฮาจำนวนมากตามมา


พวกสอดรู้สอดเห็นล้อเลียนกันว่าหลินสวินเป็น ‘เจ้าแห่งตระกูลมหาอำนาจที่อายุน้อยที่สุดในนครต้องห้าม’


ในขณะเดียวกันยังมีอีกชื่อที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน นั่นก็คือ ‘เจ้าแห่งภูเขาชำระจิตที่เดียวดายที่สุด’!


แต่การล้อเลียนและเย้ยหยันทั้งหมด ได้สะท้อนให้เห็นความจริงข้อหนึ่ง นั่นคือหลินสวินยังเด็กมาก


เขาเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ท่ามกลางบรรดาตระกูลมหาอำนาจมากมายในนครต้องห้าม หาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว


อีกอย่าง สภาพของผู้สืบทอดตระกูลหลินอย่างเขาก็ดูน่าเห็นใจมาก หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีเงิน ไม่มีกำลังคนคอยสนับสนุน ดูดีเพียงเปลือกนอก ทั้งยังตกอยู่ท่ามกลางอันตราย ช่างน่าสงสารเหลือเกิน


เอาเป็นว่า ชื่อของหลินสวินได้โด่งดังไปทั่วทั้งนครต้องห้ามเพียงชั่วข้ามคืน ชื่อเสียงที่ว่านี้ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ถึงกับดี หากยังมีคนพูดถึงกันอยู่เรื่อยๆ



ทั้งหมดนี้หลินสวินล้วนไม่รับรู้


ท่ามกาลเวลาที่ล่วงเลยไปเรื่อยๆ หลินสวินก็ได้เก็บตัวฝึกมาเป็นเวลาเจ็ดวันถ้วนแล้ว


ภายในเจ็ดวันนี้ภูเขาชำระจิตสงบสุขดีมาก ปัญหาและเรื่องราวทั้งหมดถูกพญาแร้งจัดการอย่างมีระบบ


ในช่วงพลบค่ำของวันที่เจ็ด หลินจงไปที่ชั้นสามของภูเขาชำระจิตตามปกติ เพราะมีเรื่องต้องรายงานหลินสวิน


เพียงแต่หลินสวินยังไม่ออกจากสมาธิเสียที และหลินจงเองก็ไม่อยากรบกวน


ประตูสำริดบานใหญ่ถูกปิดสนิท หลินจงเห็นเช่นนี้ก็เตรียมจะหมุนตัวกลับ ในขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังทื่อๆ ขึ้น ประตูสำริดที่ปิดสนิทค่อยๆ แง้มออก หลินจงได้สติทันที ในที่สุดนายน้อยก็ออกจากสมาธิแล้ว!


เขาหันไปก็เห็นหลินสวินที่กำลังย่างเท้าเดินออกมา


แต่หลินจงกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เมื่อเทียบกับครั้งที่ผ่านๆ มา นายน้อยที่อยู่ตรงหน้าดูมีสง่าราศีขึ้น ดวงตาอันดำขลับคู่นั้นช่างสุกใส ทุกท่วงการกระทำยิ่งดูหนักแน่นมั่นคง


หลินจงตระหนักบางอย่างได้ทันที จึงพูดอย่างปีติยินดี “ยินดีกับนายน้อยที่บรรลุขั้นผสานฟ้าแล้ว!”


หลินสวินยิ้มพูด “ลุงจง ข้าเก็บตัวฝึกนานเท่าไหร่แล้ว”


“เจ็ดวัน”


หลินสวินตะลึงงัน ในใจล่องลอยงุนงง


เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าในการเก็บตัวฝึกครั้งนี้ เพราะกลืนรากโสมหิมะหยกเข้าไป จะทำให้พลังปราณของตัวเองราวกับเต็มจนเอ่อล้นออกมา บรรลุไปอีกขั้นอย่างราบรื่น


ทั้งยังต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะในการบรรลุครั้งนี้ หลินสวินสัมผัสได้ว่าไม่เพียงแค่พลังปราณ แม้กระทั่งกายหยาบและจิตวิญญาณล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!


และทั้งหมดนี้ทำให้เขาฝึกปราณจนลืมวันลืมคืน จนถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าการบรรลุในครั้งนี้กินเวลานานถึงเจ็ดวัน


แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ผลเก็บเกี่ยวก็มากเช่นกัน ก่อนอื่นคือการบรรลุปราณอีกขั้น ทำให้พลังขั้นผสานดินในตัวเขางอกงามกลายเป็นขั้นผสานฟ้าจนสำเร็จ และระดับพลังก็หนาแน่นขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่แค่เท่าเดียว


ในขณะเดียวกัน ทั้งกายหยาบและดวงจิตล้วนได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น มีดดาบธรรมดายากจะทิ้งบาดแผลอะไรบนร่างกายของเขาได้!


และในห้วงนิมิต ดาวดวงวิญญาณมแห่งจิตสิบกว่าดวงก็สว่างขึ้นอีกครั้ง ขณะนี้มีทั้งหมดเจ็ดสิบสองดวงที่กำลังกะพริบแสงอยู่ในห้วงนิมิตและโรยประกายลงมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ


ทั้งหมดนี้ทำให้การรับรู้ในดวงจิตของหลินสวินสูงขึ้นไปอีกระดับ จนเพียงพอที่จะรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวภายในรัศมีสามพันจั้ง!


นี่ก็คือขั้นผสานฟ้าแห่งระดับจิตผสานวิญญาณ


สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การได้สัมผัสพลังของ ‘จักรวาล’ จากพื้นแผ่นดินสู่ฟ้า รับรู้ถึงวัฏจักรแห่งชีวิต เป็นความรู้สึกที่ดีไม่ต่างอะไรกับการได้เกิดใหม่


ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณ จิตวิญญาณหรือกายหยาบและดวงจิต ล้วนเป็นการสั่งสมพลังเพื่อบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณ!


นี่เป็นกระบวนการสั่งสมอย่างหนึ่ง รากฐานที่สั่งสมไว้ยิ่งมั่นคงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นตัวช่วยส่งเสริมในขณะบรรลุ


“นายน้อย”


หลินจงพูดขึ้น “ในช่วงที่ท่านเก็บตัวมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข้าน้อยจำเป็นต้องรายงานต่อท่าน”


“อ้อ ลุงจงว่ามาเถิด” หลินสวินเดินลงจากตำหนัก


“เรื่องที่ท่านมอบหมายไว้เมื่อเจ็ดวันก่อน ข้าน้อยได้ประสานไปยังคุณชายสามสืออวี่แห่งอัครการค้า และเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว”


หลินจงตามหลังหลินสวินไป


“เรียบร้อยแล้วอย่างนั้นหรือ”


หลินสวินแปลกใจ


“ขอรับ คุณชายสืออวี่ได้ประกาศชื่อเสียงของท่านผ่านจอภาพวิญญาณในนครต้องห้ามแล้ว ตอนนี้ชื่อของท่านกำลังถูกบอกต่อไปทั่วทั้งนครต้องห้าม” หลินจงอธิบาย


“ไม่คิดว่าเจ้าสืออวี่นั่นจะฝีมือดีถึงขนาดยืมใช้จอภาพวิญญาณได้ บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก” หลินสวินยิ้มออกทันที


บ่าวชราพูดต่อ “คุณชายสืออวี่ยังฝากบอกท่านว่า เขาจะเปิดงานประมูลในอีกสิบวันข้างหน้า ในรอบปีนี้จะเชิญตระกูลเศรษฐีมหาอำนาจแนวหน้าของนครต้องห้ามมาเข้าร่วม หากท่านสนใจ สามารถเข้าร่วมได้”


หลินสวินพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”


หลินจงรีบพูดขึ้น “อีกเรื่องคือท่านพญาแร้งกลับมาแล้ว ทั้งยังเชิญยอดฝีมือสามคนมาที่ภูเขาชำระจิต ท่านพญาแร้งบอกว่า รอให้ท่านออกจากการเก็บตัวฝึกค่อยลองไปดูด้วยตัวเอง”


“สามคนเองหรือ” หลินสวินอึ้ง


สีหน้าของหลินจงก็แฝงความประหลาดใจ “ใช่ แค่สามคน แต่เท่าที่ข้าน้อยสังเกต ทั้งสามล้วนไม่ธรรมดาเลยเชียว”


หลินสวินพลันพูดอย่างตื่นเต้น “ไป เราไปกันตอนนี้เลย”


หลินจงกลับเสนอว่า “นายน้อย ตามท่านพญาแร้งไปด้วยกันเถิด นิสัยของยอดฝีมือทั้งสามคนนั้นดูแปลกพิลึก”


เด็กหนุ่มพยักหน้า


ไม่นาน หลินสวินก็เห็นพญาแร้งที่นั่งชื่นชมปุยเมฆล่องลอยไกลๆ อย่างสบายอารมณ์อยู่บนรถเข็น


“ข้าได้ข่าวว่าเจ้ารับปากจะไปเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเพื่อประลองกับเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเสวี่ยเฟิงแล้ว”


ทันทีที่เห็นหลินสวิน พญาแร้งก็ชิงพูดขึ้นก่อน


“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้ารับ


“ระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่ได้ล้มกันง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ความหวังที่เจ้าจะคว้าชัยชนะริบหรี่มาก ข้าจึงคิดว่าครั้งนี้เจ้าค่อนข้างเสี่ยง”


พญาแร้งกล่าวเสียงขรึม


“ข้ารู้ ขอเพียงแค่ทนให้ได้ถึงหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็พอแล้ว” หลินสวินยิ้มพูด


“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ข้าก็อยากเตือนเจ้าว่า หนทางแห่งการฝึกพลังปราณนั้นอีกยาวไกล อย่าได้ใจร้อนเพียงเพราะการประลองเพียงครั้งเดียว เพราะอาจเกิดผลเสียต่อพลังปราณของตัวเอง”


พญาแร้งเตือน


เรื่องนี้หลินสวินเองก็รู้ดี จึงพยักหน้าอย่างจริงจัง


เมื่อก่อนพญาแร้งเป็นถึงยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะ แม้จะบอกว่าเขาในตอนนี้เผชิญกับ ‘มารพบเคราะห์’ พลังปราณแทบจะเรียกได้ว่าดับสูญ แต่เขายังมีประสบการณ์การฝึกพลังปราณ คำพูดของเขาย่อมไม่มีผิด


นึกถึงตรงนี้หลินสวินพลันหัวใจเต้นระทึกขึ้นมาที เขาห่วงแต่ฝึกพลังปราณ จนลืมไปว่าขณะนี้ที่ภูเขาชำระจิตมียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่ไม่น้อยเลย


เช่นเสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซาน รวมทั้งหลินจง ที่ระดับพลังปราณต่างนำไปไกล หากได้รับการชี้แนะจากพวกเขาจะต้องช่วยสร้างทางลัดให้ตัวเองได้ไม่น้อยแน่!


“ไปกันเถิด เราไปพบสหายทั้งสามกัน” พญาแร้งเข็นรถเข็นลงจากภูเขาไป


ไม่จำเป็นต้องถามอะไรจากหลินสวิน เขาก็เดาทุกอย่างออกเสมอมา สติปัญญานั้นเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเทพเลยเชียว



ณ ลานแสดงยุทธ์ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ราบตรงตีนเขาชำระจิต ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา แต่เดิมเป็นที่สำหรับฝึกยุทธ์ของคนตระกูลหลิน


แต่สิบกว่าปีมานี้ได้ถูกปล่อยเป็นพื้นที่รกร้าง เหลือไว้เพียงความโล่งกว้างและหญ้าที่รกชัฏ


ขณะนี้ บนลานแสดงยุทธ์มีเงาร่างของคนสามคน


คนแรกเป็นชายร่างผอมแห้ง สวมเสื้อตัวเก่าที่ขาดรุ่ยร่าย กำลังนอนหงายห้อยตัวเหนือก้อนหิน เอาเหล้ากรอกปากดื่มอย่างมัวเมาด้วยท่าทางนักเลง


ข้างๆ เขามีชายตัวสูงใหญ่ร่างอ้วนท้วนเอามือเท้าศีรษะ นอนหลับน้ำลายยืดอยู่


และจากบริเวณไม่ไกลจากทั้งสองนัก ยังมีชายชราที่ผมหงอกเกือบทั้งหัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยมีด ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหดนั่งขัดสมาธิ หลับตาอย่างเงียบเชียบ


พอหลินสวินเห็นภาพนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย นี่หรือยอดฝีมือทั้งสามที่พญาแร้งเชิญมา?


แต่กลับเป็นพญาแร้งที่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “คนที่ดื่มเหล้าอยู่มีชื่อว่าชื่อเซวี่ย คนที่นอนอยู่ชื่อหยางหลิง คนที่นั่งขัดสมาธิคือผู้เฒ่าเตียว ล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่เกษียณจากสนามรบแนวหน้า กว่าจะเชิญพวกเขาเหล่านี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”


ทหารผ่านศึกอย่างนั้นหรือ?


หลินสวินคิดๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปคารวะทักทายก่อน “ข้าน้อยหลินสวิน ขอคารวะทุกท่าน”


พูดจบกลับไม่มีคนสนใจ คนที่ดื่มเหล้าก็ดื่มต่อไป คนที่นอนอยู่ก็ไม่มีท่าทีจะตื่น คนที่นั่งก็ยังนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิม ทำเหมือนไม่ได้ยิน หรือเรียกได้ว่ามองข้ามหลินสวินไปเลย


หลินจงที่อยู่ข้างๆ หัวใจกระตุกวูบขึ้นมาทันที พลันมองหลินสวินอย่างกังวล ด้วยกลัวว่าเขาจะหมดความอดทน ระเบิดอารมณ์ออกมา


ใครจะคิดว่าหลินสวินกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจพลางหันไปพูดกับหลินจง “เห็นทีการจะได้รับการยอมรับจากพวกเขาจะไม่ใช่เรื่องง่าย”


พญาแร้งยิ้มกล่าว “แน่ล่ะ ทั้งสามล้วนอารมณ์ฉุนเฉียว แม้แต่ข้ายังต้องใช้วิธีเชิญพวกเขากลับมา แต่จะทำให้พวกเขายอมอยู่ที่นี่ต่ออย่างเต็มใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า”


“เรื่องนี้ข้ารู้ คนเย่อหยิ่งโอหังเพราะถือตัวว่ามีความสามารถล้วนเป็นเช่นนั้นทั้งสิ้น มิเช่นนั้นจะแสดงคุณค่าของพวกเขาออกมาได้อย่างไร” หลินสวินพูด


คำพูดนี้แฝงความท้าทาย


แต่ทั้งชื่อเซวี่ย หยางหลิง ผู้เฒ่าเตียวก็ยังไม่มีท่าทีจะสนใจหลินสวิน ราวกับว่าต่อให้เขาจะก่นด่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สะทกสะท้าน


พญาแร้งได้ยินแล้วหัวเราะลั่น “ใช่ๆๆ แบบนี้แหละ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะทำให้พวกเขาเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งได้?”


“แล้วข้าจะทำให้พวกเขายอมเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งได้อย่างไร” หลินสวินพูด


พญาแร้งพลันเอ่ยขึ้นว่า “ง่ายมาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ขอเพียงแค่ได้รับความเสื่อมใสจากพวกเขา ต่อไปพวกเขาจะนำพาความน่ายินดีที่คาดไม่ถึงมาให้เจ้าได้อย่างแน่นอน”


หลินสวินยิ้มออกทันที “วิธีใดก็ได้อย่างนั้นหรือ”


พญาแร้งอึ้งงันไป เหมือนเดาอะไรออก มุมปากจึงกระตุกขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่พูดว่า “นี่…อย่ารุนแรงเกินไปเป็นพอ”


หลินสวินยิ้มกว้างกว่าเดิม “ไม่ต้องห่วง ยอดฝีมือที่ท่านอุตส่าห์เชิญมาให้เชียว ข้าจะสร้างความลำบากให้พวกเขาได้อย่างไร”


พญาแร้งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างอธิบายไม่ถูก พลันอดมองพวกที่อยู่ห่างออกไปไม่ได้ ในขณะที่ในใจก็ลอบอุทาน ว่าถ้าวางมาดเกินไป ก็อาจจะถูกเอาคืนไม่เบาเลย…

 

 

 


ตอนที่ 347

 

 เลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง

โดย

ProjectZyphon

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนสามารถได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินสวินและพญาแร้งได้อย่างชัดเจนถนัดหู


แต่ไม่ว่าจะเป็นชื่อเซวี่ยที่ดื่มอยู่หรือหยางหลิงที่หลับปุ๋ยอยู่ รวมทั้งผู้เฒ่าเตียวที่นั่งสมาธิอยู่ ต่างนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ท่าทีดูไม่แยแส แสดงให้เห็นชัดถึงความเย่อหยิ่ง เพราะอย่างไรที่นี่ก็คือภูเขาชำระจิตที่มีหลินสวินเป็นเจ้าถิ่น


แต่พวกเขายังเลือกที่จะแสดงออกว่า ‘ไม่เห็นอะไรในสายตาแบบนี้’ พูดได้คำเดียวว่าพวกเขาจงใจ!


จงใจสร้างบททดสอบให้หลินสวินชัดๆ!


ถ้าได้รับความเลื่อมใสจากพวกเขา พวกเขาย่อมเต็มใจอยู่ต่อ แต่ถ้าไม่ แม้พญาแร้งออกโรงก็รั้งพวกเขาไม่อยู่


หลินจงและเสี่ยวเคอเองก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ในขณะที่หลินจงดูกังวล แต่เสี่ยวเคอกลับทำทีกอดอกรอชมเรื่องสนุก


มีเพียงหลินสวินที่ยิ้มอย่างเบิกบาน เขาเงยหน้าขึ้นมองบนยอดภูเขาแล้วพูดเสียงกังวาน “จูเหล่าซาน เรื่องนี้ฝากเจ้าด้วย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าต้องการแค่ให้พวกเขาอยู่ต่อด้วยความเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง”


หลินสวินจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘เลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง’


จูเหล่าซานอย่างนั้นหรือ


เสี่ยวเคอและพญาแร้งอึ้งงันไปตามๆ กัน จากนั้นสายตาพลันดูแปลกประหลาดขึ้นมา เมื่อหลายวันก่อนตอนที่พวกเขากลับมาภูเขาชำระจิต ก็ได้รับรู้ที่มาของจูเหล่าซาน


เพียงแต่ไม่คิดว่าหลินสวินจะโยนปัญหานี้ให้จูเหล่าซานดื้อๆ!


ส่วนหลินจงตัวแข็งค้างไปทันที ในขณะเดียวกันก็หมดห่วงหลินสวิน แต่เปลี่ยนมากังวลแทนชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวแทน


ในลาน นอกจากหลินสวินมีเพียงหลิงจงที่เคยเห็นความน่ากลัวของจูเหล่าซานกับตาของตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าวิธีแก้ไขปัญหาของจูเหล่าซานมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ…เปิดศึก!


โครม!


หลินสวินพูดยังไม่ทันจบประโยค ชายร่างกำยำดุจภูผา ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบก็ปรากฏขึ้นบนลานแสดงยุทธ์


ไอสังหารกระหายเลือดอันน่าสยดสยองแพร่กระจายจากตัวของจูเหล่าซาน จนบรรยายรอบข้างทรุดตัวลงราวกับจะพังทลายลงในไม่ช้า


ณ พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นเหมือนทะเลแห่งซากศพโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนจูเหล่าซานก็ราวกับเทพผู้มีหน้าที่สังหารเพื่อสังเวยชีวิตพิชิตโลก


เก่งกาจเหลือเกิน!


เสี่ยวเคอและพญาแร้งหรี่ตาลงโดยพร้อมเพรียงกัน


และในบริเวณที่ไกลออกไป ชื่อเซวี่ยที่ดื่มเหล้าอยู่พลันตัวสั่นระริก สำลักเหล้าจนไอเสียงดังลั่น


ในขณะที่หยางหลิงที่หลับปุ๋ยอยู่ก็ตกใจจนลุกพรึ่บขึ้น


มีเพียงผู้เฒ่าเตียวที่นั่งสมาธิอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าอันเหี้ยมโหดที่เต็มไปด้วยรอยมีดขมึงทึง


ทันใดนั้นสายตาของทั้งสามพลันเคลื่อนไปมองจูเหล่าซานเป็นตาเดียวกัน ไม่สามารถวางมาดไม่เห็นอะไรในสายตาเหมือนเมื่อครู่นี้ได้อีก


“พวกเจ้าจะก้มหัวเอง หรือจะให้ข้ากดหัวพวกเจ้าลง?” จูเหล่าซานแค่นเสียงในลำคอ ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก


ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ร่างกำยำแข็งแกร่งหาที่เปรียบไม่ได้ ผิวสีน้ำตาลทั้งร่างราวกับก้อนอิฐอันแข็งแรงยิ่งพาให้รู้สึกกดดัน


ทั้งชื่อเซวี่ย หยางหลิง และผู้เฒ่าเตียวต่างตะลึงจนทำหน้าไม่ถูก ราวกับไม่เคยคิดว่าหลินสวินจะใช้วิธีอัน ‘รุนแรงเรียบง่าย’ ขนาดนี้มาทำให้พวกเขายอมรับ


แบบนี้ต่างอะไรกับการโกง!


แต่กลับเห็นว่าหลินสวินไม่มีท่าทีว่าอึดอัดใจเลยสักนิด เพียงถอยไปอยู่ห่างๆ แล้วมองทุกอย่างด้วยความตื่นเต้นราวกับไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


ฮูม!


เห็นพวกชื่อเซวี่ยเงียบไป ไอสังหารพลันพรวดพราดออกจากตัวจูเหล่าซานประหนึ่งน้ำทะลัก ราวกับพายุกระหน่ำ ท้องฟ้า พื้นดินแปรปรวนฉับพลัน


สีหน้าของชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวพลันเปลี่ยนไป ในที่สุดก็ยอมปริปาก


“ช้าก่อน!”


“สหาย เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าใช่หรือไม่!”


“นี่คือวิธีต้อนรับแขกของภูเขาชำระจิตอย่างนั้นหรือ”


ไอสังหารที่แพร่กระจายอยู่รอบตัวจูเหล่าซานน่ากลัวมาก ทำเอาพวกเขาอกสั่นขวัญแขวน รู้ดีแก่ใจว่าหากลงมือ พวกเขาคงแหลกละเอียดคามือจูเหล่าซาน


“จะยอมหรือไม่ยอม เลือกมา” จูเหล่าซานเอ่ยเสียงเรียบ


สีหน้าของพวกเขาดูแย่มาก ต่างหันมองหลินสวินและพญาแร้งที่อยู่ถัดออกไปเป็นตาเดียวกัน


“จูเหล่าซาน ช้าก่อน” หลินสวินเอ่ยขึ้น ทำให้สีหน้าของพวกเขาพลันดูดีขึ้นไม่น้อย


หลินสวินหันขวับไปมองพญาแร้งอย่างผิดหวังพลางพูดว่า “พญาแร้งเนี่ยหรือยอดฝีมือที่ท่านเชิญมา? ข้าว่าก็เท่านั้นแหละ”


ไม่รอให้พญาแร้งได้ท้วงกลับ ชื่อเซวี่ยก็ชิงเย้ยหยันขึ้นก่อน “เด็กน้อย เจ้าจะไปรู้อะไร ความสามารถของเราใช่สิ่งที่เจ้าจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือ”


หลินสวินเลิกคิ้ว ในขณะที่ยิ้มพูด “เช่นนั้น…ให้จูเหล่าซานลงมือต่อเพื่อประเมินตัวเองดีหรือไม่”


สีหน้าของชื่อเซวี่ยแข็งทื่อไปทันตาเห็น รีบกล่าวอย่างลนลาน “เจ้า เจ้า…บังอาจมาขู่พวกเราอย่างนั้นหรือ”


อีกด้าน หยางหลิงพูดกับพญาแร้งด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวังมากโข “คนแบบนี้เนี่ยนะที่จะให้พวกเราทำงานให้”


“สักแต่ใช้กำลังกดขี่กัน เด็กนี่ไม่มีความจริงใจเลย” ผู้เฒ่าเตียวเองก็พูดเสียงขรึม


พญาแร้งเพียงระบายยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร เขาอยากรู้ว่าหลินสวินจะคลี่คลายสถานการณ์นี้อย่างไร


“ก่อนหน้านี้ข้าสุภาพด้วย พวกท่านกลับไม่คิดสนใจข้า ขณะนี้พอข้าหมายจะให้จูเหล่าซานออกโรง เพื่อแลกกับความเลื่อมใสยอมรับจากพวกท่าน พวกท่านก็กล่าวหาว่าข้าไม่จริงใจ”


หลินสวินทำทีถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ท่านทั้งสามช่างเอาใจยากนัก”


ชื่อเซวี่ยแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ “อยากให้พวกเราช่วย ก็ต้องทำให้พวกเรายอมรับให้ได้ก่อน ไม่ใช่ใช้ความรุนแรงกดขี่ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าไม่มีทางยอมมาที่นี่กับพญาแร้งแน่”


หลินสวินยิ้มพูด “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็พอจะเข้าใจแล้ว หากท่านพูดให้กระจ่างแต่แรกคงไม่เกิดเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้”


สีหน้าของทั้งสามแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออก


หลินจงที่ยืนอยู่ห่างออกไปยิ้มออกทันที นายน้อยไม่เคยเดินตามหมากที่วางไว้ และวิธีนี้ก็ได้ผลอย่างไม่ต้องสงสัย


เสี่ยวเคอเม้มปากอย่างนึกขำ หากก็กลั้นเอาไว้


ขณะนั้นเองพญาแร้งกลับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นเราเข้าเรื่องได้หรือยัง”


“ช้าก่อน!”


ชื่อเซวี่ยกลับปฏิเสธแล้วพูดอย่างหยิ่งผยอง “อยากเข้าเรื่องก็ได้ แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องทำให้ข้ายอมรับและเลื่อมใสให้ได้เสียก่อน!”


รอยยิ้มตรงมุมปากของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชา หันสายตาไปที่หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียว “พวกท่านก็คิดเช่นเดียวกันหรือ”


ทั้งสองพยักหน้า


หลินสวินไฟสุมอกอย่างควบคุมไม่อยู่ เจ้าสามคนนี้ช่างดื้อรั้น!


“ชื่อเซวี่ย พวกเจ้า…”


พญาแร้งเองก็ไม่พอใจ พลันมุ่นคิ้วพูด แต่พูดยังไม่ทันจบ หลินสวินกลับตัดบทไปเสียก่อน “ไม่เป็นไร ข้าเองก็อยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะได้รับความเลื่อมใสจากพวกเขา”


เขาตัดสินใจแล้วว่าหากทั้งสามเจตนาสร้างความลำบากใจให้เขา ก็จะไล่พวกเขาออกไปเสีย!


เด็กหนุ่มต้องการหาผู้มีฝีมือมารับใช้ ไม่ใช่เอามาให้นอบน้อมถ่อมตนปรนนิบัติ!


“ท่าทีของพวกเราอาจจะไม่เหมาะสมนัก แต่เหตุผลที่เราต้องทำเช่นนี้ เพราะเราไม่ต้องการสูญเสียอุดมการณ์เดิมของตัวเอง ข้าคิดว่าเจ้าเองคงไม่อยากได้คนที่ไม่มีอุดมการณ์ใช่หรือไม่”


ชื่อเซวี่ยเหมือนจะตระหนักได้ว่า วิธีที่ใช้เมื่อครู่นี้เห็นทีจะแข็งข้อเกินไป น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย


“มีเงื่อนไขอันใดว่ามา” หลินสวินถามตรงๆ


ท่าทางนักเลงของชื่อเซวี่ยในยามนี้ดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามขึ้นมาทันที


“ข้าเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ ทั้งยังเป็นนักหลอมยา ข้าขอเพียงอย่างเดียว หากเจ้ามีโอสถวิญญาณให้ข้าอย่างสม่ำเสมอ สนองความต้องการในการหลอมยาของข้าในทุกด้าน ข้าก็สามารถรับปากอยู่รับใช้เจ้าที่นี่ได้!”


ชื่อเซวี่ยพูดเสียงขรึม “แน่นอนว่า ข้ารับปากเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย แต่ข้าอยากเห็นความจริงใจของเจ้ามากกว่า”


ผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ!


นักหลอมยา!


สายตาของวาบประกายอย่างยากจะสังเกต เขาใครครวญครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม้ตอนนี้ภูเขาชำระจิตจะว่างเปล่า แต่ที่นี่กลับเป็นแหล่งทรัพยากรอันเล่อค่า เช่นสวนโอสถวิญญาณบนเส้นชีพจรวิญญาณ รวมทั้ง ‘ห้องโอสถล้ำค่า’ สถานที่หลอมยาที่บรรพบุรุษตระกูลหลินสืบทอดกันมา”


หยุดไปครู่ เขาประกาศกร้าวเสียงดังสนั่น “ทั้งหมดนี้ ข้าสามารถยกให้ท่านเป็นคนดูแล”


ชื่อเซวี่ยนิ่งมองหลินสวินอยู่ครู่ จึงพูดว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้าชั่วคราว”


“รับปากชั่วคราวอย่างนั้นหรือ?” หลินสวินมุ่นคิ้ว


ชื่อเซวี่ยพูดเสียงเรียบ “ข้าไม่เชื่อคำสัญญาปากเปล่า ทั้งหมดต้องดูจากการกระทำ”


หลินสวินระบายยิ้ม พลางโยนโอสถวิญญาณให้ชื่อเซวี่ย “สิ่งนี้แทนความจริงใจของข้า หากท่านสามารถปรุงมันให้เป็นลูกกลอนได้ ข้ารับรองว่าต่อไปจะสนับสนุนโอสถวิญญาณอีกมากมายหลากชนิดให้กับท่าน!”


หืม?


ชื่อเซวี่ยรีบรับโอสถวิญญาณมา ตอนแรกยังไม่สนใจเท่าใดนัก คิดว่าหลินสวินดูเหมือนจะรับปากไว แต่ความจริงก็ยังไม่เชื่อความสามารถของเขา มิเช่นนั้นอีกฝ่ายจะโยนโอสถวิญญาณมาให้เขาปรุงเล่นๆ เช่นนี้หรือ?


คิดจะพิสูจน์ฝีมือการหลอมยาของเขาชัดๆ!


หากพอเห็นโอสถวิญญาณที่หลินสวินโยนมาให้ชัดแล้ว ชื่อเซวี่ยราวกับถูกฟาดอย่างหนัก ตัวแข็งค้าง อ้าปากหวออยู่กับที่ในขณะที่พูดเสียงหลง “นี่มัน…หญ้าน้ำลายมังกร”


หญ้าน้ำลายมังกรนั่นขนาดประมาณฝ่ามือ ก้านเรียวเล็ก ปกคลุมไปด้วยเกล็ดขรุขระ ใบทั้งเก้าเป็นสีแดงสดเปล่งปลั่ง ระยิบระยับราวกับหยกแดงอย่างไรอย่างนั้น


สามารถมองเห็นวงแสงที่สาดประกายออกจากโอสถวิญญาณ พร้อมส่งกลิ่นหอมโชยอยู่รางๆ


หญ้าน้ำลายมังกร!


นี่คือหนึ่งในโอสถล้ำค่าโบราณที่ถูกขนานนามว่า ‘เทพแห่งการหลอมโลหิต’ ในตำนานไม่ผิดแน่!


สีหน้าของชื่อเซวี่ยเผยความลนลานทันควัน


ในฐานะนักหลอมยา การมีโอกาสได้เห็นโอสถล้ำค่าที่สูญหายไปจากยุคนี้นานแล้ว เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและตื้นตันแค่ไหนคงไม่ต้องบอก


ไม่ว่าจะเสี่ยวเคอ พญาแร้ง หลินจง หยางหลิง และผู้เฒ่าเตียวต่างจับจ้องการสนทนาระหว่างหลินสวินและชื่อเซวี่ย


เดิมทีพวกเขาต่างคิดไม่ตกว่าหลินสวินจะทำให้ชื่อเซวี่ยเลื่อมใสได้ด้วยวิธีใด แต่พอเห็นภาพนี้ พวกเขาพลันกระจ่าง สายตาที่มองหลินสวินก็เก็บความตะลึงไม่อยู่


เพียงหญ้าน้ำลายมังกรต้นเดียวเท่านั้นก็ทำชื่อเสวี่ยเสียอาการทันที และเพียงพอที่จะยืนยัน ‘ความจริงใจ’ ของหลินสวินอย่างชัดแจ้งแล้ว!


ตอนนี้ต่อให้ไล่ชื่อเซวี่ยไป น่ากลัวว่าเขาคงลังเลอยากจะอยู่ต่อ


เพราะสิ่งที่หลินสวินให้ ไม่ใช่เพียงแค่หญ้าน้ำลายมังกรต้นเดียว แต่ยังมี ‘สวนโอสถวิญญาณ’ บนชีพจรวิญญาณภูเขาชำระจิต รวมทั้งห้องโอสถวิญญาณที่บรรพบุรุษตระกูลหลินสืบทอดต่อกันมา!


ถ้าเป็นข้างนอก ใช่ว่านักหลอมยาทุกคนจะมีสิทธิ์ครอบครองสิ่งเหล่านี้


ครู่ใหญ่ชื่อเซวี่ยจึงตั้งสติได้ สายตาที่มองหลินสวินได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ต่อไป ข้าชื่อเซวี่ยจะติดตามท่าน!”


พูดจบก็โน้มคำนับด้วยความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


นี่แสดงถึงความยอมรับและเลื่อมใส!

 

 

 


ตอนที่ 348

 

 เด็กหนุ่มเจ้าแห่งคีรีผู้หาที่เปรียบมิได้

โดย

ProjectZyphon

ความจำนนของชื่อเซวี่ย ทำให้หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวต่างหวั่นไหว


“ข้าเป็นนักหลอมอาวุธ ข้า…” หยางหลิงเอ่ยขึ้น


หลินสวินยิ้มพูดตัดบทขึ้นมาโดยที่อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ “บนภูเขาชำระจิตมีสถานที่ซึ่งจัดไว้สำหรับหลอมอาวุธวิญญาณโดยเฉพาะ แน่นอนว่าการที่ท่านเป็นนักหลอมอาวุธไม่ใช่นักสลักวิญญาณ ย่อมมีความสำคัญกว่าสำหรับข้า”


หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยเสียงขรึม “เอาอย่างนี้ ข้าสามารถสนองความต้องการทุกประการในการหลอมอาวุธของท่านเหมือนอย่างที่รับปากชื่อเซวี่ย”


นักหลอมอาวุธย่อมแตกต่างกับนักสลักวิญญาณ


นักหลอมอาวุธที่ได้มาตรฐานย่อมต้องเป็นช่างหลอมด้วย สามารถหลอมวัตถุดิบวิญญาณสารพัดชนิดมาเป็นโครงฐานอาวุธวิญญาณได้


แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่โครงฐานเท่านั้น


ถ้าอยากได้อาวุธวิญญาณที่แท้จริง ต้องให้นักสลักวิญญาณมาช่วย


โดยทั่วไป ประโยชน์สูงสุดของนักหลอมอาวุธไม่ใช่การสร้างโครงฐานของอาวุธวิญญาณ แต่เป็นการซ่อมแซมอาวุธวิญญาณ!


นี่เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างมาก แม้เป็นอาวุธวิญญาณแต่ก็ชำรุดได้ เมื่อชำรุดก็ต้องการนักหลอมอาวุธเข้ามาช่วยซ่อมแซม


แม้ว่านักหลอมอาวุธไม่มีความรู้เรื่องการสลักลายวิญญาณ แต่พวกเขากลับสามารถซ่อมแซมอาวุธตามลายวิญญาณที่สลักอยู่บนอาวุธ!


ถ้าเทียบระหว่างนักสลักวิญญาณ นักหลอมอาวุธ และช่างหลอม นักสลักวิญญาณย่อมได้รับความนิยมมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


นักสลักวิญญาณที่ดีมีมาตรฐาน สามารถเป็นได้ทั้งนักหลอมอาวุธและช่างหลอม เหมือนกับหลินสวินในตอนนี้


ส่วนนักหลอมอาวุธก็ทดแทนตำแหน่งช่างหลอมได้ แต่ไม่สามารถสลักรอยสลักวิญญาณได้ เมื่อเทียบกันแล้วจึงด้อยกว่านักสลักวิญญาณไปขั้นหนึ่ง


สำหรับช่างหลอม ไม่เพียงด้อยกว่านักสลักวิญญาณ ในขณะเดียวกันก็ด้อยกว่านักหลอมอาวุธขั้นหนึ่งด้วย แต่ก็ใช่ว่าช่างหลอมจะไม่สำคัญ


โดยทั่วไปแล้วช่างหลอมไม่เพียงสามารถหลอมวัตถุดิบต่างๆ มาสร้างเป็นอาวุธวิญญาณได้ แต่ยังสามารถหลอมลูกกลอนโอสถวิญญาณได้ด้วย


ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของช่างหลอม


สรุปแล้ว ถ้าเปรียบนักหลอมอาวุธว่าเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง นักสลักวิญญาณก็คือจิตวิญญาณของกระบี่ ในขณะที่ช่างหลอมคือช่างฝีมือผู้หลอมกระบี่


“เจ้า…รับปากทั้งหมดเลยหรือ?”


หยางหลิงตะลึงงัน เขายังไม่ทันยื่นข้อเสนอของตัวเองด้วยซ้ำ หลินสวินก็ตอบกลับมาอย่างที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว


“ไม่ผิด”


หลินสวินพยักหน้า พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเรียกเจ้าจิ๊บจิ๊บออกมาจากฝ่ามือแล้วพูดว่า “เจ้านี่เป็นสัตว์วิญญาณของข้า เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมโดยกำเนิด ภายในร่างกายมี ‘ลูกไฟทองทลายดารา’ ระดับฟ้า ต่อไปให้เจ้าจิ๊บจิ๊บคอยช่วยท่านในการฝึกอาวุธ”


“จิ๊บจิ๊บ~”


เจ้าจิ๊บจิ๊บตัวกลมอ่อนนุ่มเบิกดวงตาอันไร้เดียงสาขึ้นพร้อมสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เหมือนเจ้าหนูผู้อยากรู้อยากเห็น


สายตาของคนรอบข้างเผยความตะลึงทันที ลูกไฟทองทลายดารา! เจ้าสัตว์วิญญาณผู้น่ารักน่าชังนี่เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?


ส่วนหยางหลิงตัวแข็งค้างอยู่กับที่ สูดหายใจเข้าพร้อมพูดด้วยความดีใจอันท่วมท้น “ลูกไฟทองทลายดาราอย่างนั้นหรือ สวรรค์! สุดยอดที่สุด!”


เขาที่รูปร่างกำยำ ตัวอ้วนท้วน ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับดีใจจนยิ้มไม่หุบ กระโดดโลดเต้นเหมือนเด็ก


สำหรับนักหลอมอาวุธแล้ว ถ้าได้ความช่วยเหลือจาก ‘ปรมาจารย์แห่งการหลอม’ โดยกำเนิด ก็เพียงพอที่จะช่วยให้การหลอมอาวุธของเขาสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว!


เห็นดังนั้นหลินสวินรู้ทันทีว่าตัวเองทำให้อีกฝ่าย ‘ยอมจำนน’ เพิ่มอีกคนแล้ว


เขาเคลื่อนสายตาไปมองผู้เฒ่าเตียว


คราวนี้ผู้เฒ่าเตียวชิงพูดขึ้นพร้อมสายตาที่ทอประกาย “ข้าไม่เหมือนพวกเขาทั้งสอง ถ้าจะเรียกให้ถูก ข้าเป็นนักสลักวิญญาณที่เชี่ยวชาญในการวางค่ายกล”


หลินสวินหัวใจเต้นระทึก นักสลักวิญญาณที่เชี่ยวชาญในด้านการวางค่ายกล! เป็นผู้มีความสามารถที่หายากอีกคน!


นักสลักวิญญาณเป็นคำเรียกอันแสนจะกว้างขวาง


เท่าที่หลินสวินรู้มา นักสลักวิญญาณแบ่งออกเป็นอีกมากมายหลากหลายแขนง แค่ด้านการหลอมอาวุธวิญญาณก็แบ่งได้หลายประเภท


เช่นนักสลักวิญญาณบางคนชำนาญการหลอมสร้างอาวุธวิญญาณในสนามรบ บางคนชำนาญการสร้างชุดเกราะต่างๆ และบางคนก็ชำนาญการวางค่ายกล


คำว่าวางค่ายกลนี้เป็นการจัดวางค่ายกลรอยสลักวิญญาณบนเรือรบ ป้อมปราการ ชีพจรวิญญาณ ทางเข้าภูเขา คฤหาสน์และอื่นๆ


มีทั้งค่ายกลสังหาร ค่ายกลป้องกัน ค่ายกลปิดล้อม ค่ายกลลวงตาจิตเป็นต้น


ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในเส้นทางของการสลักวิญญาณนั้นกว้างขวางและลึกซึ้งมาก ใช้เวลาทั้งชีวิตยังยากจะหยั่งถึงความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับการสลักวิญญาณ


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเลือกเส้นทางที่เหมาะสมให้กับตัวเองย่อมเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุด คำที่เรียกว่าผู้ชำนาญเฉพาะทางก็เป็นเช่นนี้


“ถ้าอย่างนั้นข้าจะยกหน้าที่ในการวางค่ายกลทั้งหมดในภูเขาชำระจิตให้ท่าน!”


หลินสวินตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าถ้าท่านเจอปัญหาอันใด ก็สามารถมาหารือกับข้าได้”


ผู้เฒ่าเตียวตะลึงในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสัย “หารือกับเจ้าอย่างนั้นหรือ?”


เขาอดผิดหวังไม่ได้ เดิมคิดว่าหลินสวินจะให้อะไรที่เหนือความคาดหมายเหมือนที่ให้ชื่อเซวี่ยและหยางหลิง แต่ไม่คิดว่าจะได้เพียงคำมั่นสัญญาแบบนี้


ครั้งนี้ไม่รอให้หลินสวินได้อธิบาย เสี่ยวเคอที่ยืนกอดอกเฝ้ามองสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ผู้เฒ่าเตียว ความรู้ความสามารถในเส้นทางการสลักวิญญาณของหลินสวินเหนือความคาดหมายของท่านอย่างแน่นอน”


คราวนี้อย่าว่าแต่ผู้เฒ่าเตียวที่ไม่เชื่อ แม้แต่พวกชื่อเซวี่ย หยางหลิง หลินจงต่างก็ตะลึงไปตามๆ กัน ไม่อาจจินตนาการได้ว่าหลินสวินจะเป็นนักสลักวิญญาณด้วย!


เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่?


เหตุใดถึงถูกเสี่ยวเคอยกให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่เหนือความคาดหมายบนเส้นทางสลักวิญญาณ?


เสี่ยวเคอสัมผัสได้ถึงความเคลือบแคลงใจและประหลาดใจของทุกคน ดวงตาคู่สุกใสจึงหันไปมองหลินสวินเหมือนรอคำตอบจากเขา


เพราะบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัวของหลินสวิน นางจึงไม่สะดวกจะพูด


ทุกสายตาพลันหันมองหลินสวิน ราวกับกำลังรอให้เขาอธิบาย


หลินสวินครุ่นคิดอยู่ครู่ ก็หยิบตราสัญลักษณ์ยืนยันฐานะของตัวเองจากภาคีนักสลักวิญญาณออกมา แล้วพูดเสียงเรียบ “นี่คือตรานักสลักวิญญาณระดับต้น”


เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ทุกคนก็ดูออกแล้วว่าตราสัญลักษณ์นั้นเป็นของจริงยังไม่ต้องสงสัย


เพียงแต่ตอนที่ได้ยินหลินสวินบอกว่าเป็นนักสลักวิญญาณระดับต้น ทั้งชื่อเซวี่ย หยางหลิงและคนอื่นๆ ต่างไม่ยินดียินร้าย


ผู้เฒ่าเตียวเป็นถึงนักสลักวิญญาณระดับสูงเชียวนะ!


ถ้าเขาเจอปัญหาอะไร แค่นักสลักวิญญาณระดับต้นจะช่วยอะไรได้?


แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่หลินสวินได้รับการการันตีจากภาคีนักสลักวิญญาณว่าเป็นนักสลักวิญญาณระดับต้นได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้ ถือว่าหายากมากแล้ว


และผู้เฒ่าเตียวก็เหมือนจะคิดได้แล้ว จึงพูดอย่างสนใจ “ช่างเถอะ ข้ารับปากเจ้าแล้วกัน หวังเพียงว่า…”


หลินสวินยิ้มบางๆ พูด “ข้าไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่ เรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ล่าสุดที่จักรพรรดิเพิ่งเปิดตัวในปีนี้ เป็นฝีมือการออกแบบของข้า เชื่อว่าท่านคงเคยได้ยินอานุภาพของเรือรบวีรชนม่วง”


เรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ล่าสุด!


ออกแบบโดยเด็กหนุ่มนักสลักวิญญาณระดับต้นอย่างหลินสวิน!


ได้ยินแบบนี้ ทุกคนต่างตะลึงงันโดยพร้อมเพรียงกัน


แม้แต่จูเหล่าซานที่ยืนเงียบมาตลอด ตอนนี้ก็เหมือนจะตื่นตะลึง สายตาพลันกวาดมองมา


“จริงหรือ? ข้าจำได้ว่าผู้ออกแบบเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ล่าสุดคือเหล่าโม่ ปรมาจารย์สลักวิญญาณจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิมิใช่หรือ จะ…จะเป็นเจ้าได้อย่างไร”


ผู้เฒ่าเตียวอดถามไม่ได้


คนอื่นๆ ต่างก็ดูสงสัยมาก


ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะสงสัย เพราะเรือรบวีรชนม่วงเป็นอาวุธสังหารระดับยุทธศาสตร์ และเป็นเรือรบขนาดเล็กที่มีความดั้งเดิมมากที่สุด นับตั้งแต่ได้รับการศึกษาค้นคว้าและผลิตเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผ่านการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จนถือว่าอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบไปนานแล้ว


แต่ในปีนี้ การถือกำเนิดของเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ได้ทำลายการรับรู้แบบเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง ราวกับได้สร้างปาฏิหาริย์ จุดประกายเรือรบวีรชนม่วงที่เป็นเรือรบขนาดเล็กดั้งเดิมที่สุดนี้ให้มีอานุภาพรูปแบบใหม่!


เพราะเรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของเหล่าโม่โด่งดังไปทั่ว ดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า ในนครต้องห้ามใครบ้างจะไม่รู้ว่าเหล่าโม่เป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์นี้กับมือ?


แต่ตอนนี้หลินสวินกลับบอกว่าเขาเป็นคนออกแบบเรือรบวีรชนม่วง จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร?


ถ้าเป็นคนอื่น คงโกรธจนก่นด่าว่าหลินสวินหน้าด้านไร้ยางอายและโอ้อวดไปตั้งนานแล้ว


“ข้าสามารถวาดแบบร่างเรือรบวีรชนม่วงให้ท่านดูได้ และท่านก็สามารถไปพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้กับเหล่าโม่ได้เช่นกัน”


หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าจะพูดให้ถูก คือข้ากับเหล่าโม่ร่วมกันสร้างเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่นี้ออกมา เพียงแต่หลังจากสร้างเรือรบลำนั้นเสร็จได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น ทำให้เหล่าโม่ต้องแบกรับภาระที่ไม่ควรเกิด”


พูดถึงตอนท้าย เขาพลันรู้สึกสลดใจขึ้นมา นึกถึงภาพยามอยู่ในค่ายกระหายเลือดที่เหล่าโม่ถูกพาตัวไป


เดิมทีหลินสวินไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา


ตอนนี้เขาเป็นผู้ถือครองภูเขาชำระจิต เป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลิน จึงไม่กลัวที่จะเปิดเผยความลับเรื่องนี้แล้วถูกผู้มีอำนาจอื่นข่มเหง


หลินสวินถึงขั้นที่พิจารณามาอย่างดีแล้วว่า จะหาโอกาสไปเยือนภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณแห่งนครต้องห้าม เพื่อยืนยันฐานะนักสลักวิญญาณของเขาอีกครั้ง!


ยิ่งแสดงความสามารถและเบื้องลึกเบื้องหลังมากเท่าไหร่ ระหว่างที่กำลังเผชิญศึกในศึกนอกอยู่นี้ ก็ยิ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนของพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้ผู้คน


“เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?”


สีหน้าของผู้เฒ่าเตียวดูงุนงงสับสน คนอื่นๆ ก็เหมือนคิดไม่ตก สายตาต่างเบือนไปทางเสี่ยวเคอและพญาแร้ง


“สิ่งที่หลินสวินพูดคือความจริง ข้ารับรองได้”


เห็นว่าหลินสวินเปิดเผยความจริงทั้งหมด เสี่ยวเคอก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป ดวงหน้าขาวกระจ่างงดงามเผยความจริงจังเคร่งขรึมเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้ากับท่านอาจารย์สวีซานชีเห็นกับตา ตอนนั้นเหล่าโม่ก็อยู่ที่ค่ายกระหายเลือดด้วย”


พูดจบ ทุกคนต่างอึ้งจนพูดไม่ออก ภาพที่พวกเขามีต่อหลินสวินพลันลึกล้ำจนเกินจะคาดเดาได้ถูก


เด็กหนุ่มนักสลักวิญญาณคนหนึ่ง กลับสร้างเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ออกมาได้ ช่างเป็นความมหัศจรรย์ที่เหลือเชื่อมาก!


ในบรรดาผู้คนที่อยู่ตรงนั้น หลินจงดูตื่นเต้นที่สุด เขาคิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยของตัวเองจะเก่งกาจถึงเพียงนี้


เรือรบวีรชนม่วงที่สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งจักรวรรดิเชียวนะ!


แค่เรื่องนี้ ใต้หล้านี้ยังจะหาใครมาเทียบได้?


ที่สุดยอดที่สุดคือ นายน้อยยังเป็นถึงอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลของมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิ เขาที่อายุยังน้อยก็เผยความสามารถโดดเด่นชวนตะลึงถึงเพียงนี้!


ถ้านายท่านผู้เฒ่าและนายท่านรู้เรื่องนี้ คงจะปลื้มใจมากใช่หรือไม่?


อนาคตของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว!


หลินจงหัวใจเต้นโลดระทึกอยู่นานก็ยังไม่สามารถสงบลงได้

 

 

 


ตอนที่ 349

 

ประหนึ่งมหาเทพ

โดย

ProjectZyphon

หญ้าน้ำลายมังกรเพียงต้นเดียวก็ซื้อใจชื่อเซวี่ยได้สำเร็จแล้ว


สัตว์วิญญาณที่มีลูกไฟทองทลายดาราตัวเดียวก็ทำให้หยางหลิงปลื้มปิติจนเก็บไม่อยู่


และตอนนี้ ก็ได้ทำให้ผู้เฒ่าเตียวถึงกับเสียอาการเพราะเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ที่หลินสวินสร้างขึ้น


หลินสวินผ่านบททดสอบที่สร้างเอาไว้ ทำเอาเสี่ยวเคอและพญาแร้งอดแปลกใจและตะลึงในความสามารถไม่ได้


แต่สำหรับตัวหลินสวินเอง แม้บททดสอบครั้งนี้จะจบลงอย่างราบรื่น แต่เขาเองกลับยังมีประเด็นสงสัยอีกไม่น้อย



หลินจงที่อารมณ์ยังพลุ่งพล่านพาชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวจากไป เขาต้องตระเตรียมที่พักให้ทั้งสาม


“เหตุใดต้องเป็นนักหลอมยาคนหนึ่ง นักหลอมอาวุธคนหนึ่งและนักสลักวิญญาณอีกคน?”


เมื่อสบโอกาสหลินสวินก็ถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจ


เดิมเขาคิดว่าคนที่พญาแร้งหามาให้ตนต้องเป็นผู้ฝึกปราณที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจผิด


“ตอนนี้พวกเขาทั้งมีประโยชน์ยิ่งกว่า และช่วยเหลือเจ้าได้มากกว่าผู้ฝึกปราณ”


พญาแร้งเหมือนจะไม่ได้แปลกใจ พูดขึ้นอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “แม้ตอนนี้ภูเขาชำระจิตยังว่างเปล่า ถูกปล่อยให้รกร้างมาหลายปี แต่เจ้าอย่าลืมว่ามันเป็นหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจจากทั้งเจ็ดสิบสอง และเป็นดินแดนแห่งพลังวิญญาณชั้นยอดที่สุดของนครต้องห้าม!”


“สวนโอสถวิญญาณในนี้หล่อเลี้ยงพลังวิญญาณอันมหาศาลเอาไว้ สามารถเพาะปลูกโอสถวิญญาณที่มีทั้งประสิทธิภาพและมูลค่า”


“ห้องหลอมยาของที่นี่หากสามารถใช้อย่างเต็มที่ ก็เพียงพอที่จะหลอมลูกกลอนวิญญาณชั้นเลิศออกมาได้มากมาย”


“สถานที่หลอมอาวุธในนี้…”


พญาแร้งยกตัวอย่าง ท่าทางดูเข้าใจภูเขาชำระจิตเป็นอย่างดี “เอาเป็นว่า แม้จะถูกปล่อยให้รกร้างมานาน แต่อย่างไรก็เป็นรากฐานที่ตระกูลหลินของเจ้าสร้างเอาไว้ให้ ถ้าใช้มันอย่างเต็มที่ ย่อมสามารถแลกความมั่งคั่งมาให้กับเจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”


หลินสวินเข้าใจทุกอย่างทันที พูดพร้อมดวงตาดำขลับที่ทอประกาย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”


พญาแร้งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ไม่เพียงเท่านี้ ในขณะที่พวกเขาสามคนเริ่มสร้างความมั่งคั่งมาให้ภูเขาชำระจิต เจ้าก็สามารถใช้เงินที่มีอยู่ไปซื้อตัวผู้มีฝีมือในนครต้องห้ามมาทำงานอย่างถวายชีวิตให้เจ้าได้”


“ในนครต้องห้ามนี้ การจะว่าจ้างผู้แข็งแกร่งฝีมือเก่งการเป็นเรื่องที่ง่ายมาก!”


“ว่าจ้าง?” หลินสวินตะลึง


“ใช่ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลิน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือหาผู้มีฝีมือมาทำงานถวายชีวิตให้ การจะเลี้ยงดูกองกำลังของตัวเองขึ้นมาต้องเสียทั้งแรงทั้งเวลาอย่างมาก ใช่ว่าจะสำเร็จได้ภายในวันเดียว และในช่วงสั้นๆ นี้ก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้”


พญาแร้งแจง “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเจ้าจัดการศึกภายในตระกูลหลินได้ น่าจะสามารถดึงลูกหลานตระกูลหลินส่วนหนึ่งมาเป็นกำลังสำคัญของตัวเอง กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ทำแบบนี้นอกจากช่วยให้คลี่คลายความขัดแย้งภายในตระกูลด้วยกันเอง ยังสามารถสร้างความมั่นคงให้ฐานะของเจ้าในวงศ์ตระกูล นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด!”


“เพราะถ้ารอบข้างเจ้ามีแต่คนนอก หลังจากที่เจ้ารวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว คนในตระกูลจะยอมให้คนนอกพวกนั้นมายกมือวาดเท้าสั่งการพวกเขาหรือ? มันจะกลายเป็นความขัดแย้งเสียมากกว่า!”


“และในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลิน สิ่งที่เจ้าต้องแบกรับคือความรับผิดชอบและผลประโยชน์ทั้งหมดของตระกูล ถ้าเจ้ายกภาระหน้าที่ทั้งหมดให้คนนอกจัดการ ความหมายนี้ก็จะเปลี่ยนไป”


การอธิบายยาวเหยียดและครอบคลุมของพญาแร้งราวกับได้เตือนสติ ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนกระจ่างแจ้งทุกอย่างขึ้นมาทันที


หากไม่ใช่เพราะพญาแร้งเตือน เขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยสักนิด


เห็นได้ว่าการจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลที่ได้มาตรฐาน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด


“ขอบคุณที่ชี้แนะ” หลินสวินขอบคุณจากใจจริง


พญาแร้งระบายยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงอยากเตือนเจ้าว่า ทั้งชื่อเซวี่ย หยางหลิง และผู้เฒ่าเตียวต่างเป็นยอดฝีมือที่หายาก หากพวกเขายอมอยู่กับเจ้าที่ภูเขาชำระจิตไปชั่วชีวิต แน่นอนว่าจะต้องนำพาผลประโยชน์อันเหนือความคาดหมายมาสู่ตระกูลหลินของเจ้า”


ขณะนั้นเอง เสี่ยวเคอที่เงี่ยหูฟังอย่างสงบอยู่ห่างๆ พลันเม้มปากและยิ้มพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ผู้มีอำนาจในกรมทหารของจักรวรรดิจำนวนไม่น้อยต่างอยากดึงตัวพวกเขาไป แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด”


หลินสวินเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย พลันยิ้มพูด “ข้าจะพยายาม”


เขาเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกชื่อเซวี่ยอยู่ต่อแล้ว จะนำพา ‘ความประหลาดใจ’ อันใดมาให้เขาบ้าง?


“แต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะนำพาความมั่งคั่งมาให้ภูเขาชำระจิต มีสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่เจ้าต้องทำ” จู่ๆ พญาแร้งก็เอ่ยขึ้น


“เรื่องอะไร?”


“ฟาดด้วยเงิน!”


พญาแร้งอธิบายอย่างใจเย็น “การเพาะปลูกโอสถวิญญาณจะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์โอสถวิญญาณ การหลอมลูกกลอนวิญญาณต้องซื้อโอสถวิญญาณ ต่อให้เป็นการหลอมอาวุธ ก็ยังต้องใช้วัตถุวิญญาณมากมาย ถ้าจะให้ผู้เฒ่าเตียววางค่ายกล วัตถุวิญญาณที่ใช้มีแต่จะมากขึ้น… ทั้งหมดนี้ล้วนต้องมีกำลังทรัพย์อย่างมหาศาลมาสนับสนุน”


สีหน้าของหลินสวินแข็งทื่อไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างสลด “ไม่สร้างครอบครัวไม่รู้ทุกข์ของคนมีครอบครัว”



ช่วงพลบค่ำในวันเดียวกัน หลินสวินและหลินจงออกจากภูเขาชำระจิตมุ่งหน้าไปที่อัครการค้าอีกครั้ง


พอรู้จุดประสงค์การมาของหลินสวิน สืออวี่ก็ให้หลินสวินยืมมาสามแสนเหรียญทองอย่างไม่ลังเล ทั้งยังให้ป้ายสั่งทำเป็นพิเศษของอัครการค้าอีกป้ายหนึ่ง


อาศัยป้ายนี้ ต่อไปเมื่อหลินสวินเข้าอัครการค้า ก็จะได้รับผลประโยชน์สูงสุด สามารถซื้อสมบัติทุกชิ้นในนี้ได้ในราคาที่ถูกที่สุด


จากที่สืออวี่เล่า ในบรรดาผู้คนทั้งนครต้องห้าม คนที่ได้ครอบครองป้ายแบบนี้มีไม่เกินร้อยคนแน่!


ในจำนวนนั้นมีทั้งราชวงศ์จักรวรรดิ ตระกูลมหาอำนาจ รวมทั้งเหล่าคนใหญ่คนโตจากสำนักศึกษามฤคมรกตและกรมทหาร


เท่านี้คงเห็นความทรงเกียรติของป้ายนี้แล้ว


แน่นอนว่าที่สืออวี่กล้าทำแบบนี้ ไม่เพียงเพราะฐานะของตัวเอง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือสมบัติล้ำค่าที่หลินสวินเอามาประมูลพวกนั้นก็เพียงพอจะทำให้หลินสวินได้รับผลประโยชน์ระดับนี้แล้ว


ก่อนออกจากอัครการค้า จู่ๆ สืออวี่ก็ถามถึงเรื่องการทดสอบระดับอาณาจักร เมื่อได้รู้ว่าหลินสวินไม่เข้าร่วม สืออวี่ก็ไม่วายจะรู้สึกเสียดาย


ส่วนหลินสวินเองก็ได้รู้ตอนนี้ว่าสืออวี่สมัครเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรไปตั้งนานแล้ว


นอกจากนี้ไม่เพียงสืออวี่ พวกหนิงเหมิง รวมทั้งไป๋หลิงซีหลานสาวคนโตของจิ้งไห่โหว จ้าวหยินโหลนของป๋อวั่งโหว จ่างซุนเหิง หลี่ตู๋สิง ชีชาน เย่เสี่ยวชี และหนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันในค่ายกระหายเลือดก็ล้วนเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรกันทั้งนั้น


เพียงเท่านี้ก็เดาได้เลยว่าการทดสอบระดับอาณาจักรในรอบปีนี้จะต้องเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้กล้าที่เก่งกาจอย่างแน่นอน!


แต่ที่น่าเสียดายคือ หลินสวินไม่ได้เข้าร่วม


นี่ทำให้สืออวี่เองรู้สึกเสียดายแทนเขา แต่สืออวี่ก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของหลินสวินตอนนี้ไม่ดีนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะมาเสียแรงกับการเตรียมตัวเพื่อการทดสอบระดับอาณาจักร


สุดท้ายสืออวี่และหลินสวินนัดกันไว้ว่า หลังจากการทดสอบระดับอาณาจักรสิ้นสุดลง จะนัดบรรดาสหายในค่ายกระหายเลือดมารวมตัวกัน เพื่อถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน


หลินสวินครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับ


เขาผูกพันกับค่ายกระหายเลือดอย่างลึกซึ้ง ถ้ามีโอกาสที่เพื่อนๆ สมัยนั้นจะมารวมตัวกัน ย่อมเป็นเรื่องที่ดียิ่ง



ออกจากอัครการค้าก็ดึกมากแล้ว


หลินสวินนั่งหลับตาครุ่นคิดอยู่ในเกี้ยวสมบัติโดยมีหลินจงคอยควบคุมอยู่ข้างหน้า


เกี้ยวสมบัตินี้สวยงามหรูหรา เป็นยานพาหนะที่สืออวี่ให้หลินสวินมา ตอนแรกสืออวี่จะหาสาวใช้มาปรนนิบัติหลินสวินด้วย แต่กลับถูกหลินสวินยื่นคำขาดปฏิเสธไป


ตลกแล้ว ตอนนี้มีครอบครัวใหญ่กิจการใหญ่ แต่กลับไม่มีเงิน ปัญหาต่างๆ ก็กองเป็นภูเขา จะมีเงินเหลือไปเลี้ยงพวกสาวใช้ได้อย่างไรเล่า?


‘สามแสนเหรียญทองคงเพียงพอให้พวกชื่อเซวี่ยใช้ไปอีกสักระยะ…’ หลินสวินลอบถอนหายใจ


เงิน! เงิน! เงิน!


ไม่มีเงินไม่ได้จริงๆ รอให้มีโอกาสจัดการศึกภายในแล้วรวมตระกูลสาขาอื่นๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน บางทีอาจจะกอบกู้สถานการณ์น่าอดสูนี้ได้


แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าอยากได้เงิน หลินสวินก็ต้องดิ้นรนเอง


เอี๊ยด!


ทันใดนั้นเกี้ยวสมบัติที่มุ่งหน้าไปด้วยความเร็วพลันหยุดกึก ล้อที่เสียดสีกับพื้นส่งเสียงดังแสบหูออกมา


หลินสวินหรี่ตาลง ตื่นจากภวังค์ความคิด


“นายน้อย เราถูกลอบสังหาร”


น้ำเสียงของหลินจงแปลกประหลาด คล้ายจนใจ แต่ก็คล้ายตัดสินใจบางสิ่งที่ยากลำบาก “ท่านรออยู่ด้านใน พวกนี้…ข้าน้อยจะเป็นคนจัดการเอง!”


หลินสวินเปิดผ้าม่าน ก็เห็นว่าตอนนี้พวกเขาหยุดอยู่บนถนนสายเปลี่ยวกว้างใหญ่


ตรอกฝั่งตรงข้ามมีเงาคนสี่ห้าคน


โดยเฉพาะคนแก่ที่เป็นแกนนำแผ่รัศมีความเหี้ยมเกรียมออกมาสุดกำลัง ราวกับเป็นจุดเชื่อมระหว่างฟ้าดิน เพียงยืนอยู่อย่างนั้นก็ดูอันตรายและน่าเกรงกลัวอย่างมาก


ระดับหยั่งสัจจะ!


หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ ใครกันที่คิดจะสังหารเขา จนถึงขนาดส่งยอดฝีมือระดับนี้มา?


เมื่อหันมองคนอื่นข้างๆ ชายแก่ผู้นั้น แต่ละคนต่างเผยไอสังหารดูน่าเกรงขาม และล้วนอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขึ้นไป!


นี่ทำให้หัวใจของหลินสวินกระเพื่อมไหวอีกครั้ง เพียงแค่ระดับพลังของทั้งสี่ห้าคนนี้ ก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนที่ตระกูลธรรมดาๆ จะส่งมาได้


หรือจะเป็นตระกูลฉือ?


ไม่ทันที่หลินสวินจะตอบสนองทัน ก็ได้ยินเสียงฟุ่บดังขึ้นมา หลินจงที่ไม่รู้ไปเอาทวนยาวสีเงินหิมะเป็นประกายโดดเด่นขนาดสองจั้งมาถือไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่พลันกระโจนขึ้น!


สิ่งที่ต่างออกไปอีกคือหลินจงในตอนนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เงาร่างผ่าเผย สองตาดุจสายฟ้า ยืนอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าพลิ้วไปตามสายลม


ความน่าเกรงขามอันหาที่เปรียบไม่ได้แผ่กระจายออกจากตัวเขา ท่าทางดุจพยัคฆ์ร้ายหิวกระหาย เย่อหยิ่งอย่างที่สุด


ใครจะเชื่อว่านี่คือข้ารับใช้เฒ่าที่ร่างกายห่อเหี่ยวหลังค่อม สีหน้าสัตย์ซื่อเจียมตน ซึ่งคอยเฝ้าภูเขาชำระจิตเงียบๆ มาสิบกว่าปี


เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน!


สายตาของหลินสวินพลันเป็นประกายไร้ที่เปรียบ ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุน! ในที่สุดเจ้าก็เผยฐานะที่แท้จริงออกมาเสียที!


ยามนี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิงจงต้องเปิดเผยฐานะที่แท้จริง เพราะในบรรดาผู้ฝึกปราณสี่ห้าคนนั้นมีคนหนึ่งที่เป็นยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะ!


ในสถานการณ์แบบนี้ นอกเสียจากว่าหลินจงไม่ใช่ทั่นฮวาม้าขาว มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางนิ่งเฉยได้แน่นอน


‘คิดไม่ถึงว่าการซุ่มโจมตีที่ได้พบในคืนนี้จะกลายเป็นเรื่องดี…’ หลินสวินเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก


เสียงร้องตกใจดังมาแต่ไกล เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคิดไม่ถึงว่า ข้ารับใช้เฒ่าที่ควบคุมเกี้ยวของหลินสวินจะแปลงร่างกลายเป็นผู้มีอำนาจที่แผ่รัศมีความโดดเด่นและน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด


ชิ้ง!


เสียงทวนเงินครวญสนั่นชัด ราวกับเสียงมังกรคำรามสะท้านไปทั่วโลก


แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของหลินจงพลันเหินขึ้นฟ้าอย่างเหนือความคาดหมายแล้วชิงโจมตีก่อน


ความสามารถนั้นโดดเด่น ดุจดั่งเทพในตำนานที่เล่าขานกันมาไม่มีผิดเพี้ยน!

 

 

 


ตอนที่ 350

 

ปลีกวิเวก

โดย

ProjectZyphon

ที่น่าเสียดายคือ การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่มก็จบลงเสียแล้ว


หลังจากหลินจงแสดงอิทธิฤทธิ์อันชวนผวาของพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ ศัตรูหลายชีวิตที่เฝ้ารออยู่ก็ถอยทัพไปอย่างไม่ลังเล


ทำให้หลินสวินอดผิดหวังไม่ได้


เขาล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเสิ่นจิงหลุนผู้ที่ได้อันดับสามในการทดสอบระดับอาณาจักร ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งนครต้องห้ามและถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทั่นฮวาม้าขาว’ จะเก่งกาจสักเพียงใด


หลินจงไม่ได้ตามไป ด้วยเกรงว่าศัตรูจะล่อเสือเข้าถ้ำ


พอเขากลับมาอีกที ทวนเงินในมือก็หายไปแล้ว กลับเป็นข้ารับใช้หลินจงที่หลังค่อมสัตย์ซื่อคนเดิม


หลินสวินอ้าปากจะถาม แต่ถูกหลินจงชิงพูดขึ้นก่อน “นายน้อย หากในอนาคตมีโอกาส ข้าน้อยจะบอกเหตุผลที่แท้จริง”


หลินสวินรับคำในลำคอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเหมือนยังไม่ตายใจ “ลุงจง ต่อไปหากข้าขอให้ท่านช่วยลงมือ ท่านจะยินยอมหรือไม่”


หลินจงถอนหายใจ ก่อนจะฝืนยิ้มพูด “นายน้อย ข้าน้อยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของนายน้อย เมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ควรลงมือก็ย่อมต้องลงมือ”


หยุดไปครู่ เขาจึงพูดเสียงขรึมต่อ “แต่ข้าน้อยไม่มีวันลงมือกับคนของตระกูลหลินกันเองเด็ดขาด เรื่องนี้ข้าน้อยเคยรับปากกับนายท่านเอาไว้”


หลินสวินมองหลินจงด้วยสายตาลึกซึ้ง ยิ้มกล่าว “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”


หลังจากกลับถึงภูเขาชำระจิต หลินสวินก็เอาสามแสนเหรียญนั่นไปให้พญาแร้งจัดแจงบริหารเงินก้อนโตนี้ต่อไป


ส่วนหลินสวินไปนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่งบนยอดเขาเพียงลำพัง


ในระยะที่ไกลสุดสายตา ทะเลเมฆลอยเคลียคลอจันทราที่โปรยแสงสว่างสู่พื้นดิน สายลมพัดโชยเรียกให้ต้นสนที่อยู่ตามแนวหน้าผาโยกย้ายเสียดสีส่งเสียงดังแว่วมาเป็นระลอก


หลินสวินในชุดสีจันทร์นวล ผมดำขลับมัดลวกๆ ไว้หลังศีรษะ ใบหน้าคมสันโดดเด่นใต้แสงจันทร์ ดูนิ่งสงบมากเป็นพิเศษ


อีกยี่สิบกว่าวันเขาก็ต้องไปเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดร เพื่อประลองกับหลินเสวี่ยเฟิง บุตรหลานผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดคนนั้นด้วยตัวเองแล้ว


ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายคงบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย


ความแตกต่างนั้นชัดเจนมาก แม้ตอนนี้หลินสวินจะอยู่ในขั้นผสานฟ้า แต่ก็ยังห่างจากหลินเสวี่ยเฟิงไปอีกหนึ่งระดับใหญ่ๆ


ห่างเพียงเอื้อมมือ แต่กลับราวฟ้ากับเหว หลินสวินเคยสู้กับฉือฉางเฟิงมาแล้วจึงรู้ความเก่งกาจของระดับมหาสมุทรวิญญาณเป็นอย่างดี


แต่เขาจะแพ้การประลองครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด!


ด้วยเหตุนี้เขาจำเป็นต้องทุ่มเทให้กับการพัฒนาความสามารถเป็นอันดับแรก เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการประลองในครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง


หลินสวินนั่งครุ่นคิดอยู่บริเวณข้างหน้าผาอยู่นาน สุดท้ายก็ระบายยิ้ม คว้าเหล้าขึ้นมานั่งดื่มเพียงลำพัง



นับตั้งแต่วันนั้น หลินสวินก็เก็บตัวอยู่บนยอดภูเขาชำระจิตเพียงลำพัง


กลางวันชมเมฆ พลบค่ำก็เข้านอน


บางทีก็ฝึกดาบ โดยใช้ต้นไม้ใหญ่ ก้อนหิน น้ำตกเป็นเป้า คมดาบฟาดฟันท่ามกลางแสงจันทร์ ก้อนเมฆ และสายลม


จากนั้นเขาก็นั่งกอดเข่าราวกับจักจั่นผู้หงอยเหงา ชมดาวเชยเมฆ ดื่มด่ำกับภูเขาสายน้ำอันไพโรจน์


นั่งทีก็หลายวันติด โดยไม่สนฟ้าสนดิน ไม่หลบแดดหลบฝน ไม่รู้วันรู้คืน สับสนมึนงง เลอะเลือนไปไกล ดูพิลึกอย่างคนทึ่ม


บางทีเขาก็นั่งตัวตรงขัดสมาธิฝึกฝนจากภายใน นิ่งราวกับภูเขา หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทำความเข้าใจหลักการความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน


นี่คือการฝึกปราณ


ละทิ้งกิเลส ตัดความคิดทางโลก หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ จดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง


ในสายตาคือความงามบนโลก คือความแน่นอนไม่ได้ของเวลาที่ไหลผ่าน คือความเปลี่ยนแปลงที่เกินจะคาดเดา คือสายรุ้งที่วาดผ่านกลางอากาศ คือวิถีของแสงที่เรี่ยไรและสีสันอันหลากหลายที่ส่องสะท้อนออกจากน้ำค้างในยามเช้า…


ภายในใจนิ่งสงบ พร้อมเปิดรับทุกสิ่ง!


เมื่อกายใจเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน ความตระหนักรู้ก็จะบังเกิด!


สิ่งที่ขั้นผสานฟ้าแห่งระดับจิตผสานวิญญาณจะตระหนักได้ คือหลักการของฟ้าดิน ความเปลี่ยนแปลงอย่างหาที่แน่นอนไม่ได้


เสียงที่ไพเราะที่สุดคือความเงียบ ภาพที่งดงามที่สุดคือความว่างเปล่า


ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป หลินสวินไปมาอย่างอิสระเพียงลำพัง สันโดษอยู่ในโลกส่วนตัว ตัดขาดจากโลกภายนอก


บางทีก็นั่งขัดสมาธิ บางทีก็ฝึกดาบ บางทีก็สำรวจภูเขาแม่น้ำ บางทีก็รินดื่มสุรา บางทีก็เหม่อลอย


ผมเผ้าของเขาค่อยๆ ยาวลงมา สภาพดูอดสู กลางหว่างคิ้วเคลือบแฝงแววทุกข์ยากของชีวิต ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่กลายเป็นเหมือนชายที่มากประสบการณ์


ณ ตอนนี้ไม่มีใครหรือเรื่องอะไรรบกวนหลินสวินได้


แต่หลินจง เสี่ยวเคอและพญาแร้งต่างลอบเฝ้ามองทุกอิริยาบถของหลินสวินอยู่ห่างๆ


พวกเขารู้ตั้งแต่วันแรกว่าหลินสวินกำลังฝึกยุทธ์ ถ้าจะพูดให้ถูกคือเขากำลังรู้แจ้ง!


ใช่ รู้แจ้ง


สัจธรรมนั้นลึกล้ำลึกซึ้ง เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ฝึกไปได้ในระดับหนึ่ง ก็เริ่มสัมผัสกับฟ้าดินจากภายในสู่ภายนอก ตระหนักได้ถึงพลังแห่งธรรมชาติ


สัจธรรมที่ผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าอย่างหลินสวินจะหยั่งถึงก็คือลักษณ์ฟ้าดิน มีเพียงสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเท่านั้น เมื่อบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว จึงจะกลายเป็นยอดฝีมือที่ควบคุมและเข้าถึงฟ้าดินได้อย่างลึกซึ้ง


เสี่ยวเคอกังวลว่าหลินสวินจะใจร้อนกับการบรรลุระดับชั้น จนจมสู่การผูกมัด ไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้


เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าหลินสวินกำลังจะประลองกับเด็กหนุ่มยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญญาณเร็วๆ นี้ จึงเป็นห่วงว่าการฝึกปราณครั้งนี้จะเกิดขึ้นภายใต้ความกดดัน


แรกๆ พญาแร้งก็กังวล แต่หลังจากได้สังเกตอยู่ห่างๆ มาหลายวัน เขาก็มั่นใจว่าหลินสวินไม่ได้ถูกความกดดันบีบคั้น


พญาแร้งถึงขั้นสงสัยว่าหลินสวินได้ลืมทุกสิ่ง และเข้าสู่ระดับอันลึกซึ้งจนลืมตัวไปแล้ว


หลินจงเองก็เสนอความคิดเห็นของตัวเองว่า การฝึกปราณของหลินสวินในครั้งนี้ ต่อให้ไม่สามารถบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ แต่ก็มีผลเก็บเกี่ยวอย่างแน่นอน


แต่ไม่ว่าอย่างไร การฝึกปราณของหลินสวินไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดประการใด ทำให้พวกเขาต่างโล่งอก


แรงกดดันของหลินสวินยิ่งใหญ่มาก เขาแบกรับภาระหนักอึ้งเอาไว้ บางทีพวกเขายังแอบคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองเกรงว่าคงจะทำได้ไม่ดีเท่าหลินสวิน


เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ อีกเพียงสามวันก็ถึงเวลาที่นัดกับตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแล้ว แต่การฝึกปราณของหลินสวินกลับไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลง


หลายวันนี้นครต้องห้ามได้เกิดเรื่องอันน่าตื่นเต้นขึ้นมากมาย


เช่นงานประมูลที่เป็นที่จับตามองของอัครการค้า สมบัติที่ประมูลกันล้วนเป็นของล้ำค่าเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดการแย่งชิงอย่างดุเดือดในหมู่ผู้มีอิทธิพลมากมาย


ว่ากันว่าพอการประมูลจบลง สมบัติอันล้ำค่าเป็นประวัติการณ์เหล่านี้ได้ราคาประมูลสูงจนน่าทึ่ง!


เพราะความสำเร็จของการประมูลครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของอัครการค้าโด่งดังขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ ให้ความรู้สึกเหมือนหาที่เปรียบไม่ได้


สิ่งที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดคือ การประมูลครั้งนี้สำเร็จได้ภายใต้ความรับผิดชอบเพียงลำพังของสืออวี่ บุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐีสือ


เพราะเรื่องนี้ทำให้บารมีของสืออวี่ในอัครการค้าเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี คนภายนอกต่างชื่นชม


นอกจากนี้ยังมีการประลองที่สำนักศึกษามฤคมรกตจัดขึ้นระหว่างดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังและอีเนี่ยนแห่งอาณาจักรวงจันทรา


ผลสุดท้ายกลับไม่อาจประเมินแพ้ชนะ!


ภิกษุหนุ่มอีเนี่ยนกลายเป็นที่สนใจของผู้คนในนครต้องห้ามทันที ในขณะที่ชื่อเสียงก็โด่งดังไปไกล


ส่วนดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง หลังจากการประลองในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียลงแต่อย่างไร ตรงกันข้ามหลังการประลองสิ้นสุดลง พลังปราณของเขาได้บรรลุไปอีกขั้น สร้างความตื่นตะลึงฮือฮาอย่างท่วมท้น ทำให้ชื่อเสียงบารมีของเขามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


แน่นอนว่าเมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่สร้างความฮือฮามากที่สุดคงหนีไม่พ้นการทดสอบระดับอาณาจักร โดยการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของเหล่าผู้ถูกเลือกที่เก่งกาจไม่ด้อยไปกว่ากัน


นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่เทศกาลดอกจื่อเย่า ผู้ฝึกปราณหนุ่มสาวนับพันที่มาเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรก็เปิดศึกประลองอันน่าตื่นเต้นครั้งแล้วครั้งเล่า


จวบจนถึงตอนนี้ การทดสอบระดับอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว มีผู้ฝึกปราณทั้งหมดหนึ่งร้อยคนที่ผ่านเข้ารอบและกลายเป็นผู้ชนะในการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้


โดยอันดับหนึ่งคือซ่งอี้ ผู้ถูกเลือกรุ่นหนุ่มจากตระกูลซ่งที่เป็นหนึ่งในตระกูลมหาอำนาจทั้งเจ็ด


อันดับสองคือฉือฉางเฟิง ก็มาจากตระกูลฉือที่เป็นหนึ่งในตระกูลมหาอำนาจทั้งเจ็ดเช่นกัน


ส่วนอันดับสามคือไป๋หลิงซี หลานสาวคนโตของจิ้งไห่โหวแห่งจักรวรรดิ ฐานะไม่ได้ด้อยไปกว่าซ่งอี้และฉือฉางเฟิงสักนิด


เรียกได้ว่าสามอันดับแรกนั้นโดนลูกหลานชนชั้นสูงของจักรวรรดิยึดไปทั้งหมด ทำให้ทุกคนต่างทอดถอนใจ ตระกูลมหาอำนาจเหล่านี้ยืนหยัดมาได้ถึงทุกวันนี้ ล้วนมีรากฐานมั่นคง ก้าวไปถึงขั้นที่ยากจะจิตนการได้แล้วจริงๆ


สำหรับหลินสวินที่ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ ก็กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนไม่น้อย กล่าวว่าเจ้าของอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลจากมณฑลซีหนานกลับไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ


แต่คำวิพากษ์วิจารณ์นี้เกิดขึ้นเพียงในกลุ่มแคบๆ เท่านั้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต่างสนใจสามอันดับแรกของการทดสอบระดับอาณาจักรมากกว่า


ได้ยินมาว่าวันที่การทดสอบสิ้นสุดลง ทั้งสามไม่เพียงถูกจักรพรรดิเรียกให้เข้าเฝ้าด้วยตัวเอง แต่ตอนที่ออกจากพระราชวัง ยังถูกสำนักศึกษามฤคมรกตรับตัวไป!


นี่คือเกียรติที่หาได้ยากนัก


สำนักศึกษามฤคมรกตเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ มีความโดดเด่นเหนือใคร สร้างคนมีความสามารถให้จักรวรรดิมานับไม่ถ้วน


แต่วันนี้สำนักศึกษามฤคมรกตกลับเป็นฝ่ายเรียกตัวซ่งอี้ ฉือฉางเฟิงและไป๋หลิงซีด้วยตัวเอง ผลประโยชน์ระดับนี้ ทำให้ผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ต่างอิจฉาตาร้อน


แน่นอนว่าหลินสวินไม่รู้เรื่องพวกนี้


เมื่อเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันก่อนจะถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลินจงก็อดเข้าใกล้ยอดเขาชำระจิตอีกครั้งไม่ได้


หลินสวินยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหน้าผา ร่างกายผอมบาง โดดเดี่ยวอ้างว้าง เงียบเฉียบไร้สุ้มเสียง


ใบไม้ร่วงและเศษฝุ่นถมเต็มตัวเขา ผมและหนวดเคราทิ้งตัวลู่ลงมา หว่างคิ้วเผยร่องรอยทุกข์ยากของชีวิตยิ่งกว่าเดิม ดูตกอับมากโข


‘จะปลุกนายน้อยดีหรือไม่’ หลินจงลังเล


พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางไปประลองกับหลินเสวี่ยเฟิงที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแล้ว ถ้าหลินสวินยังฝึกต่อไปคงต้องผิดนัดแน่ และจะกระทบต่อการดำเนินการจัดการปัญหาภายใน


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ได้แสดงออกว่าต่อต้านหลินสวินเหมือนอย่างตระกูลรองอื่นๆ


หากพลาดโอกาสนี้ไป จุดจบก็คงยากจะคาดเดา


ฮูม!


ทันใดนั้นพลังอันยากจะอธิบายหมุนวนรอบๆ ตัวหลินสวินดุจพายุคลั่ง


หืม?


หลินจงหัวใจกระตุกวูบ พลันเห็นว่าหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาดำขลับลึกล้ำเวลานี้ราวกับพายุที่พัดโหม สาดประกายแสงอันน่าทึ่งออกมา


ราวกับกระบี่คมกริบที่ผ่านการหลอมมานับพันครั้ง ปรากฏกายขึ้นฉับพลันในยามนี้!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)