Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 336-343
ตอนที่ 336
เทพเศรษฐี
โดย
ProjectZyphon
ไม้มรกตไล่มังกร
สะเก็ดดาวเคราะห์แดง
หญ้าเงาหยาดน้ำตา
ความเป็นมาของสิ่งของแต่ละชนิดล้วนทำให้สืออวี่สะท้าน กระทั่งดูจนเสร็จ ทั้งร่างของเขาก็ชาวาบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอของล้ำค่า แต่เพิ่งเคยเห็นของล้ำค่ามากมายกองอยู่ตรงหน้าอย่างนี้เป็นครั้งแรก
และในจำนวนนี้ก็มีหลายอย่างที่สาบสูญไปนานแล้ว!
แวบหนึ่งสืออวี่มีความคิดอยากเข้าไปแย่งแหวนเก็บสมบัติของหลินสวินมาไว้
เขาคาดเดาไม่ถูกเลยว่าหลินสวินได้ของเหล่านี้มาได้อย่างไร หรือว่าหลินสวินไม่เพียงปล้นผู้ฝึกปราณของตระกูลฉือ แต่ยังเข้าไปปล้นคลังสมบัติของเทพเซียนด้วย
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หากคนภายนอกรู้ว่าสืออวี่บุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐี คุณชายสามแห่งอัครการค้าหวั่นไหวกับของล้ำค่าเหล่านี้ พวกเขาจะคิดเห็นอย่างไร
สุดท้าย สืออวี่ก็ตัดใจไม่ถามไถ่ที่มาของสมบัติเหล่านี้ ทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง หากโพล่งถามออกไปคงไม่ใช่เรื่องดี แม้จะเป็นเพื่อนสนิทเพียงใดก็ต้องมีเส้นกั้นที่ห้ามล้ำรุก ยิ่งกว่านั้นเพื่อนสนิทย่อมไม่ทำเรื่องผิดพลั้งต่ำช้าเช่นนี้
“อย่ายืนบื้ออยู่สิ เอาเงินค่าทรัพย์หลังศึกพวกนี้ให้ข้าก่อน ข้าต้องรีบกลับไปจัดการธุระ”
หลินสวินไม่กล้าอยู่นาน เขาชำระจิตยังมีงานคั่งค้างให้เขาต้องจัดการอยู่
“เอ่อ เจ้าจะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ” สืออวี่ชะงัก “ของเหล่านี้เป็นของเจ้า ไม่กลัวข้าจะริบกินเองหรืออย่างไร”
“ข้าเชื่อใจเจ้า” หลินสวินยิ้มพลางตบบ่าสืออวี่
สืออวี่ค้อนกลับ “ต่อหน้าของล้ำค่า ข้ามักจะทนไม่ไหวเสมอ”
หลินสวินร้องอ้อ ถอนหายใจ “เพียงของเหล่านี้ก็ทำให้คุณชายสามสืออวี่ทนไม่ไหวเสียแล้ว งั้นเจ้าคงเห็นแก่เงินเกินไปแล้ว แน่นอน ข้าก็ย่อมเป็นคนตาบอดที่คิดว่าคนหลงใหลในสมบัติอย่างเจ้าเป็นสหาย”
“ไสหัวไปซะ!”
สืออวี่กลั้นยิ้มด่า
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่เขาก็เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่พร้อมกับหลินสวิน สั่งคนรับใช้ให้นำเงินหกหมื่นสี่พันเหรียญทองมาให้เขา
นี่เป็นเงินจากของรอบแรก ส่วนของสมบัติล้ำค่าที่หลินสวินทิ้งเอาไว้ ต้องรอหลังการประมูลถึงจะรู้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร เรื่องนี้หลินสวินไม่กังขาในตัวของสืออวี่แม้แต่น้อย
หลินสวินจากไป สืออวี่กลับเข้ามาในห้องพลันรู้สึกสับสน ไม่เจอกันเพียงปีสองปี หลินสวินเปลี่ยนแปลงไปเกินกว่าความคิดของเขามาก ไม่เพียงกลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลิน แถมยังมีสมบัติล้ำค่ามากมายในครอบครอง เหนือความคาดหมายมากจริงๆ
นับแต่ออกมาจากค่ายกระหายเลือด เขาต้องเผชิญกับอะไรบ้างนะ สืออวี่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ทำให้สืออวี่ได้สติ เป็นเหล่านักประเมินทรัพย์ที่เดินออกมาจากห้องหนึ่ง พวกเขาได้ข้อสรุปจากการหารือแล้ว ท่าทางตื่นเต้นและคาดหวัง เพียงแต่เมื่อไม่พบหลินสวิน พวกเขาต่างผงะไป
“คุณชายสาม สหายของท่านเล่า”
ผู้อาวุโสชิวตื่นตระหนก คิดไปว่าหลินสวินทนไม่ไหว ละทิ้งการค้าขายเสียแล้ว
“เขาไปแล้ว” สืออวี่เอ่ยตอบ
“อะไรนะ”
“เขา…เขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
“หรือเขาไม่พอใจที่เราทำตัวไม่ดี ไม่อยากทำการค้ากับอัครการค้าแล้ว”
ชายชราเหล่านั้นเป็นกังวล ผลึกเก้าลำนำผสานใจกับดอกอำพรางวิญญาณอันล้ำค่าหล่นหายไปจากสายตาเช่นนี้ จะให้พวกเขาไม่ทุกข์ใจได้อย่างไร
ท่าทางหมดอาลัยของพวกผู้เฒ่าทำให้สืออวี่อดว่าไม่ได้ “ใครว่าเขาไม่ยอมทำการค้าด้วยแล้วล่ะ”
“คุณชายสามท่านพูดอะไร” ชายชราเหล่านั้นตาตื่นประกายไปด้วยความหวัง
“เขาเอาของพวกนี้ให้ข้าช่วยประมูล พวกท่านไม่ต้องคิดหนักกับการเสนอราคาอีกแล้ว”
ประมูล!
ผู้อาวุโสชิวชะงักก่อนยิ้มร่า ไม่ว่าจะประมูลหรือเสนอราคาขายตรงๆ เพียงสินค้าเหล่านี้ประกาศขายในนามอัครการค้าก็เพียงพอแล้ว
“ทุกท่านอย่าเพิ่งรีบดีใจ ข้าอยากให้พวกท่านช่วยประเมินราคาของสักหน่อย แน่นอน ของเหล่านี้คือของที่เพื่อนของข้าทิ้งเอาไว้เพื่อประมูลเช่นกัน”
สืออวี่กระแอม เพียงไม่กี่คำพูดก็ดึงดูดความสนใจจากเหล่าชายชราได้แล้ว ยังมีของล้ำค่าอีกหรือ พวกเขาตาเป็นประกาย
สืออวี่หยิบไม้มรกตไล่มังกร สะเก็ดดาวเคราะห์แดง หญ้าเงาหยาดน้ำตาและของอื่นๆ สี่ห้าชนิดออกมา
“สวรรค์ จริงหรือนี่ สะเก็ดดาวเคราะห์แดง ข้านึกว่าทั้งชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกแล้ว”
“หยิกข้าที ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ หญ้าเงาหยาดน้ำตาแดง ของสิ่งนี้แม้แต่ในวังยังหาได้ยากเลย”
“นะ นะ นี่…”
เมื่อได้เห็นของล้ำค่าที่ขึ้นชื่อว่าขอได้ครอบครองไม่ได้อยู่ตรงหน้า ชายชราเหล่านั้นต่างเสียสติ ตาประกายวาววับพึมพำโห่ร้องไม่สนใจมารยาท สืออวี่ไม่ได้หัวเราะ ตอนที่เขาเพิ่งได้เห็นของเหล่านี้ก็เสียอาการไปเช่นกันจึงเข้าใจความรู้สึกพวกเขาเป็นอย่างดี
“คุณชายสาม ครั้งนี้ท่านสร้างผลงานใหญ่หลวงแล้ว!”
ผู้อาวุโสชิวตื่นเต้นปกปิดอาการดีใจไม่มิด
“ใช่แล้ว มีสมบัติพวกนี้สามารถจัดงานประมูลขนาดใหญ่ได้เลย ในงานอาศัยเพียงสมบัติเหล่านี้ก็เพียงพอให้สะเทือนทั้งนครต้องห้าม ทำให้อัครการค้ามีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นได้อีก”
“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสาม! ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสาม!”
“สหายของคุณชายสามคนนี้เป็นดาวนำโชคแท้ๆ หากได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งพวกข้าจะขอโทษเขาแน่นอน”
ฟังน้ำเสียงตื่นเต้นระคนยินดีของคนเหล่านั้น สืออวี่ไม่วายยิ้ม ครั้งนี้หลินสวินช่วยเขาเอาไว้มาก คิดมาถึงตรงนี้พลันเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่ง ยามนี้สถานการณ์ของหลินสวินอันตรายเป็นอย่างมาก ตัวเขาพอจะช่วยอะไรเพื่อนได้บ้างไหมนะ
สืออวี่สูดลมหายใจลึก เอ่ยว่า “ทุกท่าน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้องไปปรึกษาท่านพ่อ”
ชายชราเหล่านั้นพยักหน้า ใช่แล้ว มีสมบัติล้ำค่ามากมายขนาดนี้ย่อมต่องบอกกล่าวเทพเศรษฐีสักคำ
เพียงแต่ความคิดของสืออวี่กับพวกเขาไม่เหมือนกัน ที่เขาจะไปพบท่านพ่อเพราะต้องการให้ท่านช่วยคิดหาโอกาสช่วยเหลือหลินสวิน เหตุที่ต้องระวังตัวเช่นนี้ เพราะว่าสถานการณ์ของหลินสวินซับซ้อนเป็นอย่างมาก เกี่ยวพันถึงกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายในนครต้องห้าม หากไม่ระวังตัว ไม่เพียงจะช่วยหลินสวินไม่ได้ แต่อัครการค้าเองก็จะได้รับความวุ่นวายกลับมาอีกไม่น้อย
นั่นไม่ใช่สิ่งที่สืออวี่ต้องการเห็น
…
หลังครัวในเรือนรู้รส
สถานที่ร้อนระอุ มีกองสิ่งของรวมสุมอยู่ข้างๆ ชายสีหน้าไร้อารมณ์นั่งอยู่บนตั่งไม่เล็กกำลังสับมีดเสียงชิ้งๆ ข้างๆ กันนั้นมีโต๊ะไม้ตัวใหญ่วางวัวย่างมันปลาบทั้งตัวตั้งอยู่
ชายกลางคนร่างอ้วนพีในชุดสีขาวนวลตัวบางกำลังแกว่งสะบัดใบมีดจิ้มชิ้นเนื้อวัว
ฉับ ฉับ ฉับ
เขาแล่เนื้อนั้นด้วยความไวแสง แต่ความไวในการสวาปามคล้ายหลุมดำกลับชวนตะลึงยิ่งกว่า ไม่กี่สิบลมหายใจ บนโต๊ะก็เหลือเพียงกระดูกวัวเกลี้ยงเกลา
ชายกลางคนร่างอ้วนพีเคี้ยวหงุบหงับวางมีดในมือ รำพึงว่า “ไม่พูดไม่ได้เลย ข้ากินมาจนทั่วจักรวรรดิ มีเพียงเนื้อวัวที่เจ้าจูเหล่าซานย่างเท่านั้นที่อร่อยที่สุด”
“วัวปีศาจกีบหิมะเหลือไม่มากแล้ว ทางจักรวรรดิมืดหลายปีนี้ก็สถานการณ์ไม่ค่อยดี อาจเกิดสงครามได้ตลอดเวลา หากเจ้าอยากกินอีกต้องรีบส่งคนไปจับมันมา” ชายที่กำลังลับมีดเอ่ย สีหน้าของเขาไร้อารมณ์จนดูเย็นชา
“ไม่ต้องห่วง สงครามยังไวไป อย่างน้อยต้องรออีกสามถึงห้าปี”
ชายกลางคนร่างอ้วนพีหยิบผ้าขนแกะสีขาวขึ้นมาเช็ดปาก เอนหลังไปกับเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “จูเหล่าซาน เจ้าหลบอยู่ในนี้ทั้งวันน่าอึดอัดไปหรือไม่ เจ้งคงไม่ได้จะนั่งลับมีดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง”
“ไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้า เรื่องของเจ้าข้าก็จะไม่ยุ่ง”
จูเหล่าซานกล่าวพึมพำ นิ้วมือของเขากระด้างหนา หลังมือเห็นเส้นเอ็นปูดเขียว แต่แรงลับมีดกลับอ่อนโยนดุจไหมในยามฤดูใบไม้ผลิ
ชายกลางคนร่างอ้วนพียิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก
ทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มคิ้วดุจดาบ ดวงตาดุจดาว ท่าทางเจ้าสำราญในชุดขาวก็ปรี่เข้ามา นั่งลงตรงหน้าชายอ้วนพียิ้มร่าเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านหลบเสียลับตา ข้าตามหาตั้งนาน”
เด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้ย่อมคือสืออวี่
ชายกลางคนร่างอ้วนพีตรงนั้นคือผู้กุมบังเหียนอัครการค้า เทพเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นตำนานอย่างไม่ต้องสงสัย
หากไม่ได้เห็นกับตา เกรงว่าคงยากจะเชื่อเมื่อคนที่ถูกเรียกว่าเทพเศรษฐีจะมานั่งอยู่ในหลังครัวที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้
“มีอะไรก็ว่ามา”
เทพเศรษฐีเหลือบมองสืออวี่
เด็กหนุ่มรีบเอ่ย “สหายของข้าประสบปัญหา ข้าอยากให้ท่านช่วยหาวิธี”
เทพเศรษฐีสะบัดเสียงหึ คร่ำบ่น “ต้องเป็นปัญหาใหญ่ล่ะสิท่า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจัดการไปนานแล้ว ไหนเลยจะคิดถึงพ่ออย่างข้า ว่ามา มีปัญหาอะไร”
สืออวี่เล่าเรื่องราวของหลินสวินออกมา ฟังจบเทพเศรษฐียังคงเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มีเพียงดวงตาที่ฉายแววแปลกไป
“ปัญหาใหญ่จริงๆ ด้วยสิ ข้าช่วยไม่ได้หรอก” ครู่ใหญ่เทพเศรษฐีจึงเอ่ยขึ้น
สืออวี่ชะงัก กัดฟันว่า “ท่านพ่อ หากท่านไม่ช่วยข้าจะลงมือเองแล้วนะ ถึงเวลานั้นหากลำบากมาถึงอัครการค้าก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”
เทพเศรษฐีบันดาลโทสะ “เจ้ากล้าขู่ข้าอย่างนั้นหรือ ชักกำเริบใหญ่แล้วนะ”
สืออวี่ไม่ยอมอ่อนข้อ “ข้าคงทนมองเพื่อนตัวเองลำบากโดยไม่สนใจไม่ได้หรอก”
เทพเศรษฐีหัวเราะครืน หันไปมองจูเหล่าซานที่อยู่ไม่ไกล “ดูสิ นี่คือลูกของข้า เพื่อเพื่อนแล้วแม้แต่พ่อก็ไม่ฟัง”
จูเหล่าซานสีหน้าเรียบเฉย “ลูกของเจ้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า”
เทพเศรษฐีแน่นิ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะ หันไปบอกสืออวี่ “ข้าไม่ช่วยเพราะว่ามีคนที่เหมาะสมกว่าข้าจะไปช่วยต่างหาก”
“ใครหรือ” สืออวี่ลุ้นระทึก
เทพเศรษฐีเหลือบสายตาไปมองจูเหล่าซาน
ตอนที่ 337
บุญทำกรรมแต่ง
โดย
ProjectZyphon
เขา?
ตาของสืออวี่มองไปยังจูเหล่าซาน ก็เห็นร่างสูงใหญ่กำยำ หนวดเครารุงรัง กล้ามเนื้อสีทองแดงที่เปลือยออกมาบึกบึนราวหินผา เปี่ยมด้วยความรู้สึกราวพลังปะทุ
สีหน้าเขาเย็นชาไร้อารมณ์ เขามีท่าทางสงบนิ่งราวบรรพตไม่อาจสั่นคลอน
ชิ้ง!
ทว่าขณะนี้ จูเหล่าซานเก็บมีด ลุกขึ้นย่างสามขุมออกไปภายนอก
“จูเหล่าซาน เจ้าไม่พูดสักคำก็จะไปแล้วหรือ”
เทพเศรษฐีสือพูดเสียงค่อย
แต่กลับพบว่าจูเหล่าซานเอ่ยขึ้นโดยไม่หันหน้ามามองว่า “ถ้าไม่ตาย กลับมาจะย่างเนื้อวัวให้เจ้ากิน”
เทพเศรษฐีพลันหัวเราะ “เช่นนั้นข้าจะรอเจ้ากลับมา!”
สืออวี่ลนลาน “ท่านพ่อ ท่านพูดว่าจะช่วยหลินสวินมิใช่หรือ ทำไมถึงมองเขาจากไปอย่างนี้ล่ะ”
เทพเศรษฐีเอ็ดว่า “เจ้าโง่ ไม่เห็นรึว่าเขาไปหาเพื่อนคนนั้นของเจ้าเองแล้ว”
สืออวี่พ่นน้ำออกมา “อะไรกันนี่”
เทพเศรษฐีลุกยืน ยันร่างอ้วนท้วนใหญ่โตขึ้นแล้วหันหน้าไปข้างนอก สีหน้าแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
“นี่ก็คงเป็นเรื่องที่ชะตาลิขิตเอาไว้แล้วกระมัง ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน…” เทพเศรษฐีทอดถอนใจ
ทันใดนั้น ก็อธิบายที่มาที่ไปแก่สืออวี่
แท้จริงแล้วหลินเต้าเฉินทวดของหลินสวิน เป็นผู้มีพระคุณของจูเหล่าซานนั่นเอง!
หลายร้อยปีก่อน ขณะนั้นจูเหล่าซานยังเป็นทหารสู้ใหม่แรกเข้าสนามรบ เขาถูกเผ่ามืดซุ่มโจมตี ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง
ตอนนั้นหลินเต้าเฉินเองไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเขา เพียงบังเอิญผ่านทาง เลยถือโอกาสกำราบเผ่ามืดพวกนั้น จึงเท่ากับพลอยช่วยชีวิตจูเหล่าซานไปด้วย
แต่ไม่ว่าอย่างไร จูเหล่าซานก็จดจำเรื่องนี้ไว้ ทั้งสาบานว่าถ้าชีวิตนี้มีโอกาสรอดกลับไปจากสนามรบ จะตอบแทนบุญคุณที่หลินเต้าเฉินช่วยชีวิตตนแน่
ทว่าน่าเสียดาย เมื่อจูเหล่าซานกลับมาจากสนามรบ หลินเต้าเฉินก็ร่างสลายสิ้นลมปราณเสียแล้ว สำหรับเขา นี่ไม่ต่างกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
หลังจากนั้นหลายปี จูเหล่าซานก็อยู่ที่ชายแดนสนามรบโดยตลอด หมกมุ่นกับการออกศึก ดำรงชีพด้วยการต่อสู้ พลังจึงทวีความแข็งแกร่งด้วยเหตุนี้
ต่อมาเมื่อรู้ว่าครอบครัวสายตรงของหลินเต้าเฉินถูกฆ่าล้างตระกูลไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนเข้า จูเหล่าซานก็กลับมาเมืองต้องห้ามอย่างโกรธแค้น แต่พอเขากลับมาถึง ศัตรูก็สาบสูญไปนานแล้ว ยังให้ความแค้นของเขาไม่มีที่ระบายออก ในที่สุดเขาจึงหมดอาลัยตายอยาก แล้วกลายเป็นพ่อครัวไร้นามอยู่ที่เรือนรู้รสแห่งนี้
สืออวี่เมื่อรู้เรื่องราวทุกอย่างเข้าพลันเกิดความเคารพขึ้นในใจ “จูเหล่าซานผู้นี้เป็นชายชาตรีที่ยึดมั่นในคำสัญญาโดยแท้”
เทพเศรษฐีพยักหน้า “จูเหล่าซานในตอนนั้นเป็นเพียงทหารเล็กๆ ไร้ความสำคัญ ขนาดท่านเต้าเฉินคงยังไม่น่ารู้ว่าจะมีทหารผู้น้อยสาบานว่าจะตอบแทนบุญคุณที่บังเอิญช่วยชีวิตไว้ครั้งหนึ่ง แต่จูเหล่าซานก็ทำเช่นนี้แล้ว”
เทพเศรษฐีพูดพลางทอดถอนใจ “ตอนที่รู้เรื่องเหตุนองเลือดที่เกิดกับตระกูลท่านเต้าเฉินเข้า จูเหล่าซานกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะนั่งจะนอนก็กระวนกระวายใจ ตกอยู่ในความรู้สึกโทษตัวเอง ไม่สามารถดึงกลับมาได้ ผู้ที่มีใจสัตย์ซื่อเช่นนี้ปัจจุบันใต้หล้าหายากนัก”
สืออวี่อดตื้นตันใจไม่ได้ ไม่คิดว่าขนาดบิดาของตนยังยกย่องจูเหล่าซานอย่างนี้ ทันใดนั้นเขาก็โพล่งขึ้น “ถ้าอย่างนี้ ครั้งนี้ข้าก็มาได้พอดีจริงๆ”
“นี่เป็นกงเกวียนกำเกวียนที่เบื้องบนลิขิตน่ะสิ เหตุที่ท่านเต้าเฉินยื่นมือช่วยเหลือโดยไม่ตั้งใจในคราวนั้น พันผูกให้เกิดผลในวันนี้ กงเกวียนกำเกวียน บุญทำกรรมแต่ง น่าอัศจรรย์เกินบรรยาย” เทพเศรษฐีถอนใจ
สืออวี่ส่งเสียงรับเบาๆ พลางรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยความบังเอิญ
หากไม่ใช่ตนนำข่าวหลินสวินเหลนของหลินเต้าเฉินมาบอกจูเหล่าซาน จูเหล่าซานคงอยู่ที่เรือนรู้รสไปทั้งชีวิต จมอยู่กับห้วงความรู้สึกโทษตัวเองไม่อาจออกมาได้
ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเต้าเฉินบังเอิญให้ความช่วยเหลือ จูเหล่าซานก็คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้
ทั้งหมดล้วนเป็นบุญทำกรรมแต่งโดยแท้ ไม่อาจลิขิตล่วงหน้าได้
“ระดับมหาสมุทรวิญญาณมีอายุขัยสามร้อยปี ระดับหยั่งสัจจะมีอายุขัยหกร้อยปี ระดับกระบวนแปรจุติมีอายุขัยเก้าร้อยปี จูเหล่าซานในปัจจุบันเหลืออายุขัยจากระดับหยั่งสัจจะอยู่น้อยนิด ถ้าคราวนี้เขาได้ทดแทนบุญคุณ คลายปมในใจ อาจมีโอกาสเลื่อนเข้าระดับกระบวนแปรจุติ ยืดอายุขัยออกไปได้อีก”
ไม่รู้ว่าเทพเศรษฐีนึกอะไรได้ พึมพำขึ้นมา “ถ้าไม่เช่นนั้น การแทนคุณครั้งนี้ ก็จะกลายเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตผู้ฝึกปราณของเขา”
“จริงสิท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่าน” สืออวี่รีบพูดขึ้น
เทพเศรษฐีตื่นจากภวังค์ความคิด พลันพูดว่า “ถ้าเป็นเรื่องยุ่งยากก็อย่าได้ยกขึ้นมาเลย พ่อวุ่นวายใจเหลือเกิน”
สืออวี่พูดพลางหัวเราะ “เป็นเรื่องดีที่ใหญ่ราวฟ้าต่างหากขอรับ”
พูดจบก็เล่าเรื่องตนจะประมูลสมบัติมหาศาลเกินคนรุ่นเดียวกันแทนหลินสวินให้ฟัง
“ทำดีมาก! ข้าเพิ่งมารู้เอาตอนนี้ว่าสิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการหาเงิน แล้วก็ตอนคิดเรื่องหาเงินนี่ล่ะ ข้าถึงมีความสุขขึ้นมาได้”
เทพเศรษฐีพลันหัวเราะเสียงดัง เอามือตบไหล่สืออวี่จนฝ่ายหลังเสียการทรงตัวเกือบล้มไปกับพื้น
สืออวี่ยิงฟันอย่างเจ็บปวดพลางลูบไหล่ ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับและคำชมจากบิดา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
…
ภูเขาชำระจิต
“พญาแร้ง นี่คือเงินหกหมื่นเหรียญทอง”
ทันทีที่กลับมา หลินสวินก็นำเงินก้อนโตที่เพิ่งได้รับมอบให้พญาแร้ง จากนั้นจึงนำเงินที่เหลือเพียงสี่พันเหรียญทองมอบให้หลินจงเผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน
กล่าวได้ว่าเงินที่ได้มาอย่างยากลำบากจากการขายทรัพย์หลังศึกกองโตนั้น หลุดลอยไปจากกระเป๋าในชั่วพริบตา
“หกหมื่นเหรียญทองก็พอจ้างผู้แข็งแกร่งดีๆ ได้หลายคนแล้วล่ะ”
พญาแร้งไม่ได้ถามว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน เขารับเป็นธุระให้เท่านั้น “แต่ข้าขอเตือนเจ้าคำหนึ่ง”
หลินสวินพึมพำ “พูดสิ่งที่คิดมาเถิด”
“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ภายหน้าโอกาสที่ต้องใช้เงินมีแต่จะมากขึ้น ถ้าเงินขาดมือขึ้นมา ความพยายามที่ลงทุนลงแรงไปในอดีตคงสูญเปล่าเป็นแน่” พญาแร้งเอ่ยเสียงเบา
หลินสวินพลันรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน ขณะนี้ภูเขาชำระจิตการเงินฝืดเคือง ทรัพย์สินที่หลินสวินเคยครอบครองตอนนั้น ไม่ถูกศัตรูจากภายนอกปล้นจนสิ้น ก็ถูกญาติ ตระกูลสาขาทั้งสี่แบ่งกันเองจนหมด ที่ทิ้งไว้ให้หลินสวินมีเพียงเปลือกหอยกลวงเปล่าๆ เท่านั้น
สถานการณ์แบบนี้ หากเขาต้องการควบคุมภูเขาชำระจิต เหลียวมองรอบตัว ไม่มีเงินคงไม่ได้จริงๆ
ยังดีที่เขามอบสมบัติหายากแก่สืออวี่ ให้สืออวี่เป็นธุระขายออกไป เชื่อว่าผ่านไปไม่นานจะนำความมั่งคั่งก้อนโตมาสู่ตนอย่างแน่นอน
ดังนั้นดูจากตอนนี้แล้ว มั่นใจได้ว่าช่วงเวลานี้หลินสวินไม่ต้องปวดหัวเรื่องเงินไปพักหนึ่ง
ถึงอย่างนั้น การขายสมบัติแลกเงินก็ไม่ใช่แผนระยะยาว ภูเขาชำระจิตจำต้องฟื้นคืนความรุ่งเรืองที่เคยมีในวันวาน ปัญหาสำคัญจึงอยู่ที่จะจัดการ ‘ศึกในศึกนอก’ อย่างไร เพียงแค่ญาติตระกูลสาขาของเขายอมก้มหัวอยู่ใต้อำนาจ คายสิ่งที่แบ่งกันไปตอนนั้นมาทั้งหมดก็เพียงพอสำหรับการฟื้นคืนชีวิตให้ภูเขาชำระจิตแล้ว
หรือจะพูดเกินกว่านั้นอีก ถ้าชิงสมบัติที่ศัตรูภายนอกปล้นไปตอนนั้นกลับคืนมาได้ ก็สามารถนับนิ้วรอวันที่ภูเขาชำระจิตจะรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งได้เลย
แน่นอน ทั้งหมดนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยอันตราย ไม่อาจจัดการสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่ายดาย
“เจ้าวางใจเถอะ เรื่องเงินๆ ทองๆ ให้ข้าทำเอง”
หลินสวินถอนใจเฮือกใหญ่ แม้แรงกดดันจะมีมาก ภาระจะหนักอึ้ง รอบตัวอันตราย แต่เขาต้องแบกรับต่อไป
“เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” พญาแร้งพยักหน้า
ทันใดนั้น หลินจงที่รอรับคำสั่งอยู่ก็เอ่ยปากถามขึ้น “ขอบังอาจถามท่านพญาแร้งว่าต้องการไปหาคนที่ตรอกหมื่นเรือนหรือไม่”
ตรอกหมื่นเรือน!
นั่นเป็นที่รวมผู้มีความสามารถของเมืองต้องห้าม ผู้ฝึกปราณที่มาหาเลี้ยงชีพในเมืองต้องห้ามจากทั่วสารทิศนับไม่ถ้วนล้วนหางานที่นั่น
ผู้มีความสามารถนานาชนิดมีครบครัน คนที่พื้นเพยากจนไม่น้อยเป็นผู้เก่งกาจ ครั้นจะให้พวกเขาทำงานให้ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนก้อนโต
ในเมืองต้องห้าม ยามผู้มีอิทธิพลต้องการเสาะหาข้ารับใช้จำพวกผู้คุ้มกันก็มักเลือกไปตรอกหมื่นเรือน
ทว่าพญาแร้งยิ้มพลางส่ายหัว “ไม่ใช่” เขาไม่ได้อธิบาย แต่กลับมีความมั่นใจบางอย่าง เห็นชัดว่าในใจมีแผนการเตรียมไว้แล้ว
ไม่นานนัก พญาแร้งก็ออกจากยอดเขาชำระจิต กลับออกไปกับเสี่ยวเคอ
หลินสวินกลับไปห้องหนังสือยอดเขาชำระจิตที่อยู่ชั้นสอง บนโต๊ะหนังสือมีบัญชีหนาเตอะเล่มหนึ่งวางไว้ ด้านบนสรุปรายการทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกปล้นในตอนนั้น
แบ่งคร่าวๆ เป็นประเภทตำราฝึกปราณโบราณ หอเก็บยา ยาวิญญาณ สมบัติวิญญาณ สมบัติหายาก ด้านล่างของแต่ละประเภทมีการแจกแจงชื่อสิ่งของและจำนวนที่ถูกชิงไปโดยละเอียด
หลินสวินเปิดอ่านทีละหน้าจนจบ ก็อดพ่นลมหายใจขัดเคืองออกมามิได้
แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าหลังจากเหตุนองเลือดครั้งนั้น ทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดของภูเขาชำระจิตจะถูกชิงไป แต่เมื่อเห็นจำนวนกับรายการเป็นรูปธรรมของทรัพย์สินเหล่านั้น ใจหลินสวินก็ถูกความแค้นที่ไม่อาจต้านทานได้ถาโถมดังเดิม
“บัญชีนี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะสะสางกับพวกเจ้าทุกคนอย่างแจ่มแจ้งเชียว”
ดวงตาหลินสวินฉายแววตาโหดเหี้ยม
เขาเก็บบัญชีเข้าไปอย่างระมัดระวัง เอนหลังลงบนเบาะนิ่มของเก้าอี้ ดวงตาพร่าลงเล็กน้อย ทอดตามองเหม่อลอย
ตั้งแต่เข้าเมืองต้องห้ามมาถึงบัดนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งวันเท่านั้น แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายทำให้หลินสวินรู้สึกอ่อนล้ากับการดิ้นรนเอาตัวรอดนัก
ได้รู้ชาติกำเนิด ปีนขึ้นภูเขาชำระจิต สั่งสอนพวกลูกพี่ลูกน้องตระกูลสาขาที่ดื่มกินสังสรรค์ที่ยอดเขา วิเคราะห์สถานการณ์โดยรอบ และได้ไปที่เรือนพญาแร้ง เชิญเสี่ยวเคอกับพญาแร้งกลับมา
ต่อมาก็จัดการให้เสี่ยวเคอสอดแนมข้อมูลของคนในตระกูลรองทั้งสี่ มอบหมายพญาแร้งให้หาไพร่พลซื้อม้า
เพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ จึงจำต้องไปอัครการค้าขายทรัพย์หลังศึก…
ถึงตอนนี้ที่ได้นั่งในห้องหนังสือ คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในหนึ่งวันสั้นๆ หลินสวินอดรู้สึกหนักใจไม่ได้ เป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย หลินสวินส่ายหัวไปมา จิตใจค่อยๆ สงบลง ความอ่อนแอคือความรู้สึกที่น่ากลัวที่สุด ก่อนพบจุดเปลี่ยน เขาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอสักนิดเดียว!
‘เมื่อเช้าตอนออกจากภูเขาชำระจิต หลินอิงเจินจากตระกูลหลินแห่งธารประจิมถูกข้าหยามเหยียดถึงขั้นนั้น คิดว่าข่าวนี้คงกระจายไปถึงสายตระกูลสาขาทั้งสี่ พวกเขาจะตอบรับกับท่าทีแข็งกร้าวของข้าอย่างไรนะ’
หลินสวินจมอยู่ในภวังค์ เขาคิดว่าศึกภายในตระกูลหลินที่ใหญ่ที่สุดก็คือตระกูลสาขาทั้งสี่ ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลินของเขาก็คงมีแต่ชื่อ
เวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องหนังสือดังขึ้น
เสียงของหลินจงดังตามมา “นายน้อย มีผู้ฝึกนามจูเหล่าซานมาเยือน เขาว่าจะมาตอบแทนบุญคุณขอรับ…”
ตอนที่ 338
โสมหิมะหยก
โดย
ProjectZyphon
ภูเขาชำระจิต
จูเหล่าซานยืนอยู่ที่นั่น เงาร่างราวภูผาสูงชันทอดเงายาวบนพื้น หนวดเคราผมเผ้าของเขารุงรังราววัชพืช ใบหน้าดำคล้ำ กล้ามเนื้อสีทองแดงบึกบึนเหมือนหินผา บนมือคู่โตดังพัดมีนิ้วมือหนา เส้นเลือดหลังมือคล้ายจะระเบิดปริออก เขายืนอยู่ตรงนั้น มีท่าทีกล้าแกร่งไม่หวั่นไหว
เพียงเห็นจูเหล่าซานในหนแรก หลินสวินก็ใจสั่นสะท้าน รู้สึกกดดันยากจะบรรยาย
ราวกับจูเหล่าซานเป็นเทพสงครามที่เพิ่งออกมาจากสนามรบที่เต็มไปด้วยภูเขาศพทะเลเลือด ลมหายใจปนเลือดเหล็กของมือสังหารอันมีเอกลักษณ์นั้นซึมซาบเข้าไปถึงกระดูก ไม่สามารถปิดบังไว้ได้จริงๆ
แข็งแกร่งมาก!
อย่างน้อยต้องมีปราณระดับหยั่งสัจจะ!
หลินสวินประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าชายผู้เก่งกล้าที่มาเพื่อ ‘แทนคุณ’ จะเป็นผู้มีความสามารถแข็งแกร่งปานนี้
ขณะเดียวกับที่หลินสวินประเมินจูเหล่าซานนั้นเอง ฝ่ายหลังก็เงยหน้าขึ้น มองหลินสวินปราดหนึ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาสงบนิ่ง แต่เพียงมองครั้งเดียว กลับทำให้หลินสวินรู้สึกราวถูกหอกทิ่มแทงไปทั้งตัว
ยังดีที่ในชั่วพริบตานั้นจูเหล่าซานถอนสายตาออกมา พูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้าชื่อจูเหล่าซาน เมื่อห้าร้อยเจ็ดสิบหกปีก่อน ในการบุกกองทัพมืดครั้งที่สิบเก้าของจักรวรรดิ ข้าเคยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก โชคดีท่านเต้าเฉินยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ ทำให้ข้ารอดชีวิตมาครั้งหนึ่ง”
เสียงต่ำทุ้มดังขึ้นกลางโถงใหญ่ “ตอนนั้นข้าเคยสาบานไว้ ชีวิตนี้ต้องแทนคุณท่านเต้าเฉินที่ช่วยชีวิตให้จงได้!” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดทันที จมอยู่ในความเงียบ
พูดจบแล้วหรือ?
หลินสวินอึ้งไป รอครู่หนึ่ง เมื่อจูเหล่าซานไม่มีทีท่าจะพูดต่อ ก็อดถามไม่ได้ว่า “ท่านทวดข้าจากไปแล้ว ท่านมาช้าไปแล้วล่ะ”
จูเหล่าซานตอบเสียงต่ำ “ไม่ช้าไปหรอก เจ้าเป็นเหลนสายตรงของท่านเต้าเฉิน ข้าถือว่าเจ้าเป็นผู้มีบุญคุณ ต้องตอบแทนที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
พูดตามจริง มีผู้มากฝีมือเช่นนี้มาออกตัวแทนคุณเองเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหลินสวิน ซึ่งในตอนนี้ขาดคนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขากลับไม่กล้าออกตัวรับคำเอง
“สิบกว่าปีก่อน ตระกูลหลินของข้าเคยเกิดเหตุนองเลือดขึ้น ส่งผลให้ท่านปู่ ท่านพ่อและคนในตระกูลถูกฆ่า ถ้าท่านอยากแทนคุณ เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวเสียตั้งแต่ตอนนั้น”
แววตาหลินสวินลุ่มลึก มองตรงไปยังจูเหล่าซาน
ทันใดนั้น หลินสวินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาของจูเหล่าซานฉายแววหวั่นไหวยากจะสังเกตเห็น ดูเจ็บปวด ดูโทษตัวเอง
แต่ฉับพลันจูเหล่าซานก็กลับมาสงบเยือกเย็นอีกครั้งแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าเพิ่งออกจากสนามรบกลับเข้ามาที่เมืองต้องห้าม ผู้ร้ายก็หายตัวไปแล้ว” เขาไม่อธิบายมากนัก ตัวเขาเหมือนหินผาเย็นชา ทำให้ผู้อื่นไม่อาจจับความรู้สึกในใจหรือความคิดของเขาได้
ทว่าเพียงครู่เดียวหลินสวินกลับเข้าใจ
หลังจากเกิดเหตุนองเลือดนั้น ทุกคนนึกว่าคนตระกูลหลินตายไปหมดแล้ว บวกกับศัตรูก็มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าอันลึกลับ สถานการณ์เช่นนี้ต่อให้จูเหล่าซานอยากทดแทนบุญคุณก็คงไม่มีทางทำได้
“ข้าเพิ่งกลับมาภูเขาชำระจิตเมื่อวาน แล้วท่านรู้ฐานะของข้าได้อย่างไร” หลินสวินถามขึ้นทันควัน
จูเหล่าซานพูดอย่างกระชับได้ใจความ “ข้าได้ยินจากปากลูกชายเทพเศรษฐี”
“สืออวี่หรือ”
หลินสวินตะลึงงัน ความสงสัยในใจบรรเทาลงไม่น้อย เขาคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปถามสืออวี่ ก็ได้รู้ที่มาที่ไปของจูเหล่าซานเองเสียแล้ว
เด็กหนุ่มพึมพำ “ท่านคิดว่าจะแทนคุณอย่างไร”
จูเหล่าซานเอ่ย “ข้าต่อสู้เป็นอย่างเดียว เจ้าให้ข้าเป็นผู้คุ้มภัยของเจ้าก็ได้ ยามข้าเห็นว่าได้แทนคุณจนหมดแล้ว ข้าจะจากไปเอง”
หลินสวินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ต้องให้ข้าเตรียมอะไรให้หรือไม่”
จูเหล่าซานตอบ “ข้าวหนึ่งชาม น้ำหนึ่งกระบวยก็พอแล้ว ข้าจะไม่ยุ่งกับชีวิตเจ้า เพียงเมื่อเจ้าต้องการข้า ข้าจะปรากฏตัวเอง”
ในที่สุดหลินสวินก็มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้ต้องการมาแทนคุณจริงๆ จึงห้ามใจไม่ให้รู้สึกขอบคุณมิได้
ท่านทวดที่ตนไม่เคยได้พบหน้าจากไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีและอิทธิพลที่ทิ้งไว้ครานั้น กลับยืนยาวมาถึงบัดนี้ แค่คิดก็รู้ว่ากิตติศัพท์และชื่อเสียงของท่านทวดในตอนนั้นจะสูงส่งเพียงไหน!
ทว่าจูเหล่าซานยิ่งประหลาดคน บุญคุณครานั้นเพียงครั้งเดียว ก็จดจำฝังใจจนบัดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณผู้อื่น ใครจะยึดถือไว้ได้อย่างเขา เมื่อตั้งสัตย์สาบานแล้วไม่คืนคำ นี่สิถึงเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง!
หลินจงไปส่งจูเหล่าซานออกจากโถง ไม่นานนักก็กลับมารายงานว่า “นายน้อย ข้าจัดที่พักไว้ให้เขาแล้วขอรับ”
หลินสวินส่งเสียงอืม พูดอย่างใคร่ครวญว่า “ลุงจง ท่านว่าคนคนนี้เป็นอย่างไร”
บ่าวชรานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วรีบตอบว่า “คนคนนี้เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายมือสังหารเลือดเหล็ก เป็นผู้แข็งแกร่งที่ต่อสู้ในสนามรบนานปีแน่นอน ดูวาจาท่าทางก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่โตนะขอรับ”
หลินสวินถามคำถามที่คาดไม่ถึง “เช่นนั้นท่านเอาชนะเขาได้หรือไม่”
“นี่ก็…”
หลินจงอึ้งไป เหมือนถูกถามโดยไม่ทันตั้งตัว พลันตอบอย่างอายๆ ว่า “นายน้อย ข้าเป็นคนรับใช้แก่ๆ ไปเทียบกับผู้แข็งแกร่งผู้นั้นคงมิได้หรอกขอรับ”
หลินสวินร้องอ๋อ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางพูดว่า “ลุงจง ขนาดข้ายังมองพลังที่แท้จริงของจูเหล่าซานผู้นั้นไม่ออก ท่านกลับไม่เพียงประเมินพลังของอีกฝ่ายได้ ทั้งยังระบุชัดเจนว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ออกจะแปลกนะ”
อีกฝ่ายยิ้มขื่น “นายน้อย ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ บ่าวเคยติดตามรับใช้นายท่านผู้นำตระกูลอยู่นานปี เห็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะมาก็มาก ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ทำได้เองอย่างง่ายดายขอรับ”
เด็กหนุ่มพูดพลางถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไม่เค้นถามท่านแล้ว ท่านไปเถอะ”
หลินจงอยากพูดแต่ยั้งปากไว้ ในที่สุดก็อดกลั้นได้ จึงหันหลังจากไป
‘ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุน ผู้ได้ตำแหน่งทั่นฮวาในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อหกสิบปีก่อน ขนาดพญาแร้งยังเคยได้ยินชื่อ เพียงคิดก็รู้ว่าเป็นบุรุษมากความสามารถไร้เทียมทานที่สะดุดตาขนาดไหน ถ้าลุงจงคือเสิ่นจิงหลุนจริงๆ เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้’ หลินสวินใคร่ครวญพลางเดินขึ้นไปชั้นสาม
ชั้นสามของตำหนักชำระจิตเป็นห้องฝึกลับที่จัดไว้ให้ผู้นำตระกูลหลินโดยเฉพาะ ในอดีต ที่นี่สงวนไว้ให้ผู้นำตระกูลใช้เพียงผู้เดียวเหมือนเป็นเขตหวงห้าม แต่บัดนี้เมื่อได้ครอบครอง ‘ลัญจกรชำระจิต’ แล้ว หลินสวินก็สามารถเข้าไปได้
เมื่อหลินสวินมาถึงที่แห่งนี้ มีประตูสำริดโบราณบานหนึ่งกั้นอยู่ตรงหน้า พื้นผิวประตูสลักด้วยลายเมฆสลับซับซ้อน เก่าแก่ราวกรำโลกมานาน
ตั้งแต่มาถึงภูเขาชำระจิต เขาได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก
หลินสวินสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ยื่นลัญจกรชำระจิตออกมา พลังปราณระดับจิตผสานวิญญาณในกายไหลเวียน ฉับพลันลัญจกรสาดลำแสงสีม่วงหลั่งไหลอาบท่วมประตูสำริด
ทันใดนั้นพื้นผิวประตูสำริดเต็มไปด้วยเกลียวคลื่นพร่าเลือนไร้รูปร่าง ราวกับเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล
ประตูพลันเปิดออกอย่างเงียบเชียบต่อหน้าหลินสวิน
นอกตำหนักชำระจิต หลินจงกำลังถอนหญ้าที่ขึ้นรกตามทางขึ้นเขา เมื่อประตูสำริดเปิดออก ร่างค่อมชะงักเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นทันควัน ทอดตามองไปที่ตำหนักชำระจิต สีหน้าฉายแววซับซ้อนยากบรรยาย เหมือนรอคอยอยู่ลึกๆ ระคนลังเล
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินจงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วละสายตาออกมา
…
ถึงบอกว่าเป็นห้องฝึกลับ แต่แท้จริงแล้วต่างกับวังตากอากาศตรงไหน
ชั่วขณะที่ประตูสำริดเปิดออก หลินสวินได้เห็นตำหนักใหญ่โตน่าเกรงขาม จนพูดได้ว่าโอ่โถงมโหฬารเสียด้วยซ้ำปรากฏขึ้นสู่สายตาตนเอง
ภายในว่างเปล่า หลินสวินรู้สึกตัวเล็กจิ๋วเมื่อเดินเข้าไป
ประตูเบื้องหลังเขาปิดลงอย่างเงียบเชียบ ในห้วงนั้นราวกับถูกตัดขาดจากโลก
“นี่หรือสถานที่ที่ผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงเข้ามาฝึกปราณได้” หลินสวินมองโดยรอบ กวาดสายตาไปก็ไม่พบกับเครื่องตกแต่งใดเลย มีเพียงเบาะรองนั่งที่ตั้งไว้กลางตำหนัก
หลินสวินไม่อาจห้ามใจไม่สงสัย หลังจากเกิดเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ขนาดห้องลับที่ไว้ฝึกพลังปราณยังโดนปล้นเสียเกลี้ยง ไม่เช่นนั้นจะว่างเปล่าขนาดนี้ได้อย่างไร
คิดไปคิดมา หลินสวินอดถอนใจไม่ได้ มาคิดเอาตอนนี้แล้วได้ประโยชน์อะไรเล่า
เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าเบาะรองนั่งที่ตั้งไว้กลางตำหนัก แล้วนั่งลงขัดสมาธิ
แม้ว่าเรื่องที่เกิดกับตัวมีมากนัก แต่หลินสวินไม่กล้าว่างเว้นการฝึกปราณ เขาตั้งใจแล้วว่าถ้ามีเวลาจะใช้ฝึกปราณทั้งหมดเพื่อให้ตนเลื่อนขั้นเร็วขึ้น เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม!
หลินสวินสูดหายใจเฮือกใหญ่ นำโสมสีขาวโพลนราวหิมะที่แตกรากบางมากมายออกมา
สิ่งนี้ยาวครึ่งคืบ หนาเท่าเปลวเทียน รูปลักษณ์เหมือนทารกหลับสนิท กลิ่นยาเข้มข้นชื่นใจกำจาย เพียงสูดดมครั้งเดียวก็ทำให้หลินสวินกระชุ่มกระชวยไปทั้งร่าง จิตใจปลอดโปร่ง
นี่ก็คือโสมหิมะหยก!
ยาวิเศษบำรุงปราณที่ผู้ฝึกปราณทั่วหล้าคลั่งไคล้ ช่วยให้ผู้ฝึกปราณสกัดพลังปราณ เพิ่มระดับขั้น มีสรรพคุณเหลือคณา สูงค่าควรเมือง
โดยทั่วไป ยาวิญญาณสูงค่าระดับนี้ มีเพียงผู้ฝึกปราณชั้นสูงเท่านั้นถึงสกัดแล้วนำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากผู้ฝึกปราณธรรมดากลืนกินยานี้เข้าไป อาจจะรับพลังมหาศาลที่กักเก็บอยู่ในยานี้ไว้ไม่อยู่ หลินสวินก็รู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้คิดจะกลืนโสมหิมะหยกลงไปในคราวเดียว
ก่อนอื่น เขาเตรียมขวดหยกมันแพะไว้ จากนั้นดึงรากโสมหิมะหยกออกมาเส้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง แล้วใส่โสมลงไปในขวดทันที ปิดผนึกแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้สรรพคุณยาของโสมกระจายออกมา
สุดท้าย หลินสวินจึงนำรากที่เด็ดไว้ยัดเข้าปากไป
แม้เขาจะระวังอย่างที่สุด แต่เขาก็ยังประเมินฤทธิ์ยาอันน่ากลัวที่โสมนี้มีอยู่ต่ำไป
เมื่อรากลงไปถึงท้อง หลินสวินได้ยินเพียงเสียงโครมราวกับหินหนืดมากมายปะทุในตัวเขาฉับพลัน
ชั่วพริบตาเท่านั้น ฤทธิ์ยาร้อนระอุดังม้าป่าที่หลุดพ้นการควบคุม ทะลุทะลวงทั่วทั้งจุดปราณเส้นปราณในกาย เกิดเป็นความเจ็บปวดร้อนรุ่มหาใดเปรียบ
ผิวหนังเนื้อตัวหลินสวินแดงซ่านขึ้นทันตา ทั้งร่างราวกลืนเตาไฟเข้าไป เหมือนกำลังจะเผาไหม้ รอบตัวมีไอสีขาวพวยพุ่งขึ้นไม่ขาดสาย
ฤทธิ์ยานี้น่ากลัวนัก!
เพียงรากเส้นเดียวก็ทำให้ร่างของหลินสวินเกิดภาพหลอนราวแทบระเบิดเกินรับไหว
อย่างที่รู้ แก่นพลังตอนเขาอยู่ขั้นผสานดินกล้าแข็งยิ่งนัก แกร่งพอที่จะล้มผู้แข็งแกร่งขั้นผสานฟ้าได้สบาย ทว่าตอนนี้ ขนาดแก่นพลังอันเข้มแข็งหาใดเปรียบของเขายังแทบต้านทานไว้ไม่อยู่!
มาเสียใจเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว หลินสวินส่งเสียงหึทุ้มต่ำ กัดฟันกรอด เค้นแรงทั้งหมดสร้างวงโคจรเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน
ในเวลาเดียวกัน หินโม่พายุที่อยู่ในกายก็หมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง
ตอนที่ 339
คัมภีร์ประสานมายา
โดย
ProjectZyphon
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลินสวินจึงฟื้นจากสมาธิ
ฟู่~ เขาพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นสายพลังปราณราวน้ำพุ พวยพุ่งออกมาราวมีดคม ส่งเสียงเสียงฉึบฉับฉีกแยกห้วงอากาศออกจากกัน!
จบลงด้วยเสียงปังดังขึ้นกระทบกำแพงที่ห่างออกไปสิบจั้ง เกิดเป็นคลื่นสะเทือน
พลังในกายปะทุขึ้นฉับพลัน ระเบิดออกราวคมมีด!
นี่เป็นลางบอกว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นผสานฟ้าแล้ว
หลินสวินพลันตะลึงงัน ตนยังไม่เชื่อเลยว่าเพียงสกัดรากโสมหิมะหยกเพียงเส้นเดียว ก็ถึงกับทำให้พลังปราณของตนเพิ่มขึ้นฉับพลัน สุดขีดพลังขั้นผสานดิน พร้อมบรรลุขั้นต่อไปได้ทุกเมื่อ
หลินสวินยังคงไม่เชื่อ จึงตั้งจิตจดจ่อทำความเข้าใจ ก่อนพบว่าพลังปราณไพศาลดังท้องสมุทรกว้างใหญ่ซัดสาดถาโถม ลมหายใจที่เอ่อล้นออกมาเผยให้เห็นกลิ่นอายไร้ขอบเขตนิ่งสงัด บริสุทธิ์ หนักอึ้งหาใดเทียบ
พลังปราณที่เดิมเวิ้งว้างราวฟ้าโปร่งเปล่งแสง แปรสภาพรวมเข้าเป็นหยกเขียวเรียบง่าย โปร่งใสไร้ตำหนิ!
ขั้นผสานดิน เป็นกระบวนการ ‘รับพลังจากผืนดิน’ ของการฝึกปราณ สิ่งที่สัมผัสได้คืออานุภาพแห่งดิน ที่ผสานไว้คือพลังของดิน ใช้ผืนดินเป็นภาชนะรองรับ ดังจอกแหนหยั่งราก ไม่อาจไหลไปตามคลื่นน้ำอีก
เค้าลางที่เกิดขึ้นในกายทั้งหมดขณะนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่าหลินสวินอยู่ในขั้นสูงสุดของปราณขั้นผสานดินแล้ว
ได้แล้วจริงๆ…
หลินสวินเหม่อเล็กน้อย จิตใจสั่นไหวด้วยฤทธิ์ยามหาศาลที่กักเก็บอยู่ในโสมหิมะหยก เพียงรากเส้นเดียวก็มีพลังน่ากลัวเช่นนี้แล้ว ถ้ากลืนลงไปหมดคง…
หลินสวินพลันส่ายหัว แค่สกัดพลังที่กักเก็บไว้ในรากเส้นนี้ ร่างกายของเขาก็แทบรับไม่ไหว ถ้ากล้ากลืนโสมหิมะหยกลงไปทั้งต้น ผลออกมาคงร่างระเบิดตายแน่นอน!
“ดีล่ะ แก่นพลังยังคงเสถียร แม้เพิ่มขั้นพลังปราณเร็วเกินไป พลังในร่างก็เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน…”
หลินสวินสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังตนเองโดยละเอียด กลั้นยิ้มพึงพอใจไว้ไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ตอนบรรลุขั้นผสานดิน ตนก็สังหารเหล่าผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าตระกูลฉือได้ราบคาบแล้ว
ทว่าตอนนี้ ตนได้ครอบครองพลังปราณขั้นผสานดินเต็มขั้น ยามต่อสู้จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดกัน
หลินสวินนึกถึง ‘ดรุณจ้าวกระบี่’ เซี่ยอวี้ถังขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ คิดถึงภาพที่เซี่ยอวี้ถังใช้กระบี่กดคอของตนไว้
นึกถึงเด็กหนุ่มตระกูลฉือ ฉือฉางเฟิงผู้มีเส้นปราณดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง คิดถึงภาพที่ฉือฉางเฟิงกระโจนขึ้นกลางอากาศหมายจะตัดหัวตน
ฉับพลัน จิตใจหลินสวินเกิดความปิติ
ยังไม่พอ!
บางทีในระดับจิตผสานวิญญาณตนคงหาคู่ต่อสู้แทบไม่ได้แล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับมหาสมุทรวิญญาณ คงห่างชั้นไม่เห็นฝุ่น
ชั่วพริบตา จิตวิญญาณต่อสู้แน่วแน่แผดเผาภายในใจหลินสวิน คนดำรงชีวิตด้วยลมหายใจฉันใด พระก็ธำรงอยู่ด้วยเปลวธูปฉันนั้น การฝึกปราณก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ
สู้กับฟ้า สู้กับดิน สู้กับคน สู้กับตน!
ถ้าไม่สู้ พลังปราณและจิตใจจะสูญเสียแรงผลักดันไปข้างหน้า ไม่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ใดๆ จากการฝึกปราณเป็นแน่
‘สักวันหนึ่ง พวกเจ้าก็จะได้ลิ้มรสชาติของการถูกข้าเอาชนะ’
หลินสวินหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีดำกระจ่างลุ่มลึกเต็มไปด้วยความแน่วแน่
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณและจิตใจระหว่างการฝึกปราณ ความคิด ความตั้งใจ ความทรงจำ ความยากลำบาก ล้วนมีอิทธิพลทั้งสิ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจิตใจอัศจรรย์เกินบรรยายอย่างไม่ต้องสงสัย
หืม? หลินสวินแลไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันเห็นเพดานเหนือตรงที่ตนนั่งอยู่เปล่งแสงวิญญาณสีดำลึกลับกลมเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
มันดูเหมือนรูปภาพที่แสงวิญญาณวาดขึ้น ในภาพมีลวดลายประหลาดเกี่ยวกระหวัดลอยนิ่งอยู่ แลดูอัศจรรย์ถึงที่สุด
จิตใจหลินสวินพลันถูกสะกดไว้ เขามั่นใจว่าตอนเข้ามาในห้องฝึกปราณลับไม่มีแสงวิญญาณปานภาพวาดนี้อยู่แน่นอน
จึงกล่าวได้ว่า ภาพประหลาดนี้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบตอนเขาจดจ่อกับการฝึกปราณ!
หลินสวินลุกจากเบาะรองนั่ง ขมวดคิ้วครุ่นคิด ที่นี่เป็นเขตฝึกปราณหวงห้ามซึ่งผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงเข้ามาได้ ทว่าสถานที่ที่อัศจรรย์แห่งนี้กลับมีเพียงเบาะรองนั่งใบเดียว แลดูชอบกลนัก
ยิ่งกว่านั้นหากคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าตระกูลหลินในตอนนั้นที่มีอำนาจเป็นถึงผู้มีอิทธิพลชั้นสูง มีหรือจะไม่สามารถสร้างที่ฝึกที่สมเกียรติสวยงามราวหุบเขาเซียนได้ ขณะนี้แสงวิญญาณสีดำกลมเกลี้ยงที่ไม่รู้ปรากฏขึ้นบนเพดานเมื่อใดได้พิสูจน์อย่างไร้ข้อกังขาแล้วว่า ห้องฝึกปราณลับนี้ต้องซ่อนปริศนาที่ตนไม่ล่วงรู้เอาไว้แน่!
พิจารณาอยู่พักใหญ่ หลินสวินก็ตกลงใจได้ เงาร่างกระโจนขึ้นกลางอากาศ ยื่นมือขึ้นไปคว้าแสงวิญญาณสีดำกลมเกลี้ยงนั้น
เพียงแต่หลินสวินยังไม่ทันเข้าใกล้ แสงวิญญาณสีดำนั้นราวหวาดหวั่น หายวับไปไร้ร่อยรอย
หืม? ทว่าหลินสวินสังเกตเห็น ยามแสงวิญญาณสีดำนั้นหายไป พลันมีเงาดำเรียวเล็กทอดต่ำลงมา
หลินสวินยื่นมือไปจับไว้โดยไม่ทันยั้งคิด ก่อนที่ร่างของเขาจะพลิ้วลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา
ช่วยไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เลื่อนเป็นระดับมหาสมุทรวิญญาณ จึงทำได้เพียงเคลื่อนไหวขึ้นกลางอากาศ แต่ไม่มีทางลอยตัวค้างไว้ได้
เมื่อแบมือออก ก็พบแหวนสีดำกลางฝ่ามือ มันช่างแสนธรรมดา เหมือนเหล็กดำหลอมเป็นห่วง สีดำสนิทตลอดวง ถือไว้ในมือก็เบาหวิวไม่มีน้ำหนัก ที่หลินสวินผิดหวังที่สุดคือ แหวนวงนี้ไม่ได้เป็นสมบัติมีค่า ไร้ซึ่งไอวิญญาณ
หลินสวินเงยหหน้าขึ้น ลองมองไปยังเพดานอีกครั้ง กลับพบว่าว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด แสงวิญญาณสีดำกลมที่ฉายขึ้นเมื่อครู่ราวกลับสลายหายไปจากโลก ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย
“แปลก…”
หลินสวินเล่นแหวนที่อยู่ในมือ พลางเดินออกจากห้องฝึกลับ
ใครจะคาดคิด เพิ่งเดินออกมาจากประตูสำริดก็พบหลินจงรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว หลินสวินอดตกใจไม่ได้ “ลุงจง มาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ”
หลินจงกำลังจะเอ่ยปาก แต่เมื่อตาสบเข้ากับแหวนสีดำที่อยู่ในมือหลินสวินก็เบิกตาโต แสดงสีหน้าตื่นเต้นยากกลบเกลื่อน
เขาพูดเสียงสั่นเครือ “แหวนบรรพชน! มัน…มันไม่ได้ถูกชิงไปตอนนั้น แต่ถูกนายท่านใหญ่นำมาซ่อนไว้ที่นี่ดังคาด!”
น้ำเสียงยินดียากจะปิดบัง ปนเปกับเสียงสะอื้นไห้และน้ำตา
เป็นที่แน่ชัดว่า เจ้า ‘แหวนบรรพชน’ นี้ต้องมีความหมายพิเศษยิ่งต่อหลินจง ยังผลให้เขาพลันกลั้นความรู้สึกไว้ไม่อยู่
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็เริ่มเข้าใจ แหวนที่ดูภายนอกธรรมดาไร้ซึ่งไอวิญญาณ คงเป็นสิ่งที่บรรพชนตระกูลหลินสืบทอดกันมา และคงมีความลับที่คนนอกไม่มีทางล่วงรู้ได้
เมื่อหลินจงหายตื่นเต้น หลินสวินจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลุงจง เล่าเรื่องแหวนนี้ให้ข้าฟังเถิด”
“นายน้อย ท่านไม่รู้อะไร แหวนนี้มีนามว่า ‘ประสานมายา’ เป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากต้นตระกูลหลิน มีเพียงผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลหลินเท่านั้นที่มีคุณสมบัติครอบครองได้ คนตระกูลสาขาสายอื่น รวมทั้งคนนอก ไม่สามารถครอบครองสิ่งนี้ได้ขอรับ เพราะแหวนนี้พิเศษนัก มีแต่เส้นปราณของผู้สืบทอดสายตรงแห่งตระกูลหลินเท่านั้นที่จะปลุกมันขึ้นมา และทำให้มันอยู่ใต้อาณัติได้!”
น้ำเสียงของหลินจงแซมไว้ด้วยความระลึกถึง บอกเล่าความเป็นมาของแหวนประสานมายานี้
“หลายปีนี้ที่บ่าวคุ้มครองภูเขาชำระจิต ที่ปกป้องจริงๆ นั้นคือเขตฝึกปราณหวงห้ามชั้นสามของตำหนักชำระจิตขอรับ เพราะบ่าวทราบดีว่าต่อให้พวกนายท่านใหญ่ล้วนประสบเภทภัยและจากไปแล้ว แต่แหวนประสานมายานี้ไม่มีทางสูญหายได้ขอรับ”
แหวนประสานมายา ของตกทอดจากต้นตระกูลหลิน!
เพียงผู้สืบทอดสายตรงเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติครอบครอง!
เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว จิตใจหลินสวินอดสั่นสะท้านไม่ได้ เดิมทีเขาเดาว่าสิ่งนี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะเป็นของของต้นตระกูลหลิน
“นายน้อย เมื่อได้มันมา คุณสมบัติผู้สืบทอดตระกูลหลินของท่านก็เท่ากับได้รับการยอมรับจากบรรพชนตระกูลหลินของเราแล้ว! ภายหน้าใครก็ไม่อาจพูดจาเหลวไหลเรื่องฐานะของท่านได้อีกขอรับ”
ดวงตาหลินจงมองหลินสวินอย่างตื้นตัน
“ที่แท้ก็เอาไว้รับรองฐานะ”
หลินสวินคิดถึงตรงนี้ ความตื่นเต้นในใจก็เบาบางลงไม่น้อย ได้มาแล้วอย่างไรเล่า คนจากสายตระกูลสาขาทั้งสี่คงไม่ยอมก้มหัวอ่อนข้อให้ตนโดยง่ายเพียงเพราะสถานะหรอก
“นายน้อย ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ”
หลินจงกล่าวหนักแน่น “กล่าวอย่างเคร่งครัดแล้ว แหวนนี้เป็นแก่นแท้ที่ทำให้ตระกูลหลินของเราดำรงอยู่ในใต้หล้าถึงทุกวันนี้”
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ถามพลางเปลี่ยนสีหน้าว่า “หมายความว่าอย่างไร”
หลินจงหายใจเฮือกใหญ่ พูดชัดถ้อยชัดคำ “เพราะต้องอาศัยพลังจากแหวนนี้ ถึงครอบครองตำราสูงสุดของตระกูลหลินของเรา ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ได้ขอรับ ตำรานี้ก็มีเพียงผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงมีคุณสมบัติได้ฝึกปราณวิชาลับที่สืบต่อกันมา!”
หลินสวินตกตะลึงพึงเพริด จิตใจไหวกระเพื่อม ที่แท้แหวนนี้ซ่อนความลับโลกตะลึงเช่นนี้นี่เอง หากไม่ได้หลินจงเตือนไว้ ตนคงไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ไปตลอดชีวิต
“นายน้อย เมื่อห้าร้อยปีก่อนตระกูลหลินของเราเป็นหนึ่งในแปดตระกูลผู้ทรงอิทธิพลชั้นสูง ที่สามารถเทียบเคียงอีกเจ็ดตระกูลผู้มีอิทธิพลชั้นสูงได้ ก็เป็นเพราะคัมภีร์ประสานมายานี่ล่ะขอรับ!”
หลินจงพูดถึงตรงนี้ก็อดถอนใจไม่ได้ “ทว่าน่าเสียดาย นายท่านผู้นำตระกูลทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถไขปริศนาที่แท้จริงของคัมภีร์ประสานมายาได้ การฝึกปราณจึงติดอยู่ที่ระดับกระบวนแปรจุติมาโดยตลอด ไม่สามารถกลายเป็นราชันระดับสังสารวัฏได้อย่างแท้จริง”
“เดิมทีพลังโดยกำเนิดของนายท่านนั้นโดดเด่นเหนือใคร ฌานสัมผัสล้ำเลิศ เป็นผู้ที่มีความหวังที่สุดว่าจะสำเร็จคัมภีร์ประสานมายา แต่มาสิ้นไปจากเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว…”
หลินจงพูดเสียงอ่อน สีหน้าเจื่อนเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินเพิ่งตระหนักว่า ที่แท้สิ่งที่ตนมารับช่วงต่อไม่ใช่ภูเขาชำระจิตที่ว่างเปล่าราวเปลือกหอยกลวง แต่ยังมีสมบัติชิ้นใหญ่ที่สุดที่ต้นตระกูลทิ้งไว้ให้ นั่นคือ ‘คัมภีร์ประสานมายา’!
“ลุงจง จะปลุกพลังในแหวนประสานมายาได้อย่างไรหรือ เหตุใดข้าสัมผัสความพิเศษไม่ได้เลยสักนิด”
หลินสวินพลันเอ่ยถาม
“นายน้อย ข้าเคยได้ยินนายท่านหัวหน้าตระกูลกล่าวไว้ มีเพียงก้าวเข้าสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้นถึงจะไขปริศนาที่ซ่อนไว้ในแหวนประสานมายานี้ได้” หลินจงอธิบายเสียงแผ่ว
“อย่างนี้นี่เอง”
หลินสวินเข้าใจได้ในทันใด คิดครู่หนึ่งก็เก็บแหวนประสานมายาอย่างระมัดระวัง นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของตระกูล ภายหน้าเมื่อตนเลื่อนขั้นถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณ ก็มีโอกาสได้เห็นความลับของคัมภีร์ประสานมายาแล้ว!
เวลานี้หลินจงราวนึกอะไรขึ้นได้ พลางตบหน้าผากแล้วพูดว่า “นายน้อย บ่าวตื่นเต้นเกินเหตุเลยลืมเรื่องหนึ่งไปเสียสนิทเลย”
หลินสวินอึ้งไป “เรื่องอะไรหรือ”
หลินจงแสดงสีหน้าหนักใจ “สายตระกูลสาขาแห่งตระกูลหลินของเราจะส่งตัวแทนมาสายละหนึ่งคน วันนี้ยามเที่ยงจะมาเยี่ยมท่านขอรับ”
หลินสวินเลิกคิ้ว แล้วยิ้มเย็น “ข้าเพิ่งกลับมาถึงเขาชำระจิตได้สองวันเท่านั้น พวกเขาก็นั่งไม่ติดกันแล้วหรือนี่”
ตอนที่ 340
แขกร้ายมาเยือน
โดย
ProjectZyphon
ตระกูลหลินแห่งธารประจิม หัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลเซียวเฟิ่งหรู
ตระกูลหลินแห่งคานเมฆา หัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลฉางจื่อเหิง
ตระกูลหลินแห่งยอดวายุ หัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลสือจั่น
ตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หัวหน้าผู้ดูแลหลินต้าหง
หลินจงยื่นเทียบเข้าเยี่ยมส่งให้ บนเทียบมีชื่อคนที่จะมาเยือนภูเขาชำระจิตคราวนี้เขียนอยู่
น่าสนใจ!
มองปราดเดียว หลินสวินก็มองนัยของรายชื่อนี้ออก
ตระกูลหลินสามสาขาคือ ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุส่งหัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลสามคนมา แม้ตำแหน่งไม่ได้ต่ำ แต่ก็ยังเป็น ‘คนนอก’
มีเพียงตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเท่านั้นที่ส่งคนในตระกูลหลินเองออกมา เพียงเท่านี้ก็สามารถดูออกได้หลายเรื่อง
‘ทั้งสามสายนี้ส่งคนนอกมาเยือนเหมือนกันหมด นี่เป็นการหมิ่นว่าข้าหลินสวินไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเขาส่งคนสำคัญมากระมัง’ หลินสวินครุ่นคิด
เขาพลันถามขึ้น “ลุงจง ท่านคิดเห็นเช่นไร”
หลินจงสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ได้มาดีขอรับ”
หลินสวินส่งเสียงอืม ดวงตาฉายแววเย็นเยียบพลางพูดว่า “ลุงจง ไปเรียกจูเหล่าซานมา ถ้า ‘ผู้มาเยือน’ เหล่านี้มาก่อเรื่อง จะได้ถือโอกาสนี้ดูเสียหน่อยว่าจูเหล่าซานมีฝีมือเพียงใดกันแน่”
บ่าวชราอึ้ง ก่อนพยักหน้ารับคำสั่งแล้วออกไป
…
ตำหนักชำระจิตชั้นหนึ่ง
ยามเที่ยงมาถึง หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งประธานกลางโถง ในใจใคร่ครวญอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อวานพญาแร้งพาตัวเสี่ยวเคอกลับไป จนตอนนี้ยังไม่กลับมา หรือว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นตอนไปเสาะหาผู้แข็งแกร่ง
“นายน้อย เลยเที่ยงแล้วขอรับ” หลินจงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือน
หลินสวินพูดไปยิ้มไป “ลุงจง นี่พวกเขากำลังทดสอบความอดทนของข้ากระมัง แน่ล่ะ ข้าไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะจงใจทำเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร ข้าชักยิ่งตั้งหน้าตั้งตาคอยการมาเยือนของพวกเขาในครั้งนี้เสียแล้ว”
เขายิ้มมุมปาก น้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าดวงตาสีดำลุ่มลึกกลับไม่ได้ยิ้มตามเลย ใครก็ฟังออกว่าหลินสวินกำลังประชด!
“จริงด้วย จูเหล่าซาน ท่านชื่อจริงว่าอะไร” หลินสวินหันหน้าไปทางจูเหล่าซานที่อยู่อีกฝั่ง
“ข้าไม่มีชื่อ”
จูเหล่าซานตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ เงาร่างสูงใหญ่กำยำ หนวดเครารุงรัง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อยืนอยู่นั้นดูสงบนิ่งราวรูปปั้น
หลินสวินร้องอ้อ แล้วไม่พูดอะไรอีก คนอย่างจูเหล่าซาน นิ่งเงียบราวก้อนเหล็ก ถามไปก็รังแต่จะทำให้ตนเบื่อเปล่าๆ
เวลาผ่านไปจนเลยเที่ยงมานานแล้ว หลินสวินไม่แสดงสีหน้า แต่หลินจงที่อยู่ข้างๆ กลับขมวดคิ้วอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าจากภายนอกโถงก็ดังขึ้น
“ขออภัย มีเรื่องราวรั้งไว้ระหว่างทาง ทำให้ทุกท่านรอนานเสียแล้ว”
ตัวคนยังมาไม่ถึง แต่เสียงคำขอโทษดังมาแล้ว หลินสวินเงยหน้าขึ้น ก็พบชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเผละแต่งกายเหมาะสมเดินเข้ามา
“นายน้อย ผู้นี้ก็คือหลินต้าหง ถ้านับตามสาแหรกตระกูลแล้ว ถือเป็นอาของท่านขอรับ” หลินจงอธิบายเสียงเบา
หลินสวินนั่งนิ่ง ดวงตามองไปทางหลินต้าหง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เชิญเข้ามานั่ง”
หลินต้าหงกลับไม่นั่งลง แต่ยกมือทำท่าคารวะอย่างละอาย “ครั้งนี้มาสายเป็นเรื่องไม่บังควร เดิมทีพวกเราสายตระกูลทั้งสี่ตกลงว่าจะมาด้วยกัน แต่ใครจะคิด เหล่าตัวแทนทั้งสามสายถูกเรื่องสำคัญรั้งตัวไว้ ข้ารอพวกเขาไม่ไหวจึงรีบล่วงหน้ามาก่อนเพียงลำพัง”
ท่าทีดูจริงใจนัก อดทำให้หลินสวินประหลาดใจไม่ได้ เขามีสีหน้าอ่อนลงไม่น้อย อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้เผยท่าทีปองร้ายอะไรในตอนนี้
ยิ่งกว่านั้น ในเทียบเข้าเยี่ยมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในบรรดาตัวแทนที่สี่สายตระกูลรองส่งมานั้น หลินต้าหงเป็นคนในตระกูลหลินเพียงผู้เดียว นี่ทำให้หลินสวินเปลี่ยนทัศนคติที่ตนมีต่อตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไปไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว
“ถูกเรื่องสำคัญรั้งตัวไว้หรือ ข้าคิดว่าพวกท่านจงใจเล่นแง่ ต้องการใช้โอกาสนี้ข่มข้าก็เท่านั้น” หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
หลินต้าหงได้แต่ยิ้ม ไม่ต่อความ
“เชิญเข้ามานั่ง” หลินสวินจับจ้องหลินต้าหง แล้วเชิญเขาเข้ามานั่งอีกครั้ง
หลินต้าหงถึงยิ้มพลางยกมือคารวะ “ขอบคุณมากๆ”
เขาเลือกที่นั่งที่ตนพอใจแล้วนั่งลง ครานี้จึงเคลื่อนสายตาลอบมองประเมินหลินสวินที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานกลางโถง
“นายน้อย จะเริ่มเข้าเรื่องกันเลยหรือไม่ขอรับ” หลินจงซักถามเสียงเบา
“รออีกหน่อย” หลินสวินพูดพลางโบกมือ “ขาดตัวแทนจากตระกูลสาขาอีกสามคน อย่างนั้นไม่ใช่ว่าออกจะน่าเบื่อไปหน่อยหรือ”
หลินต้าหงหรี่ตาลงราวครุ่นคิด
ตั้งแต่เขานั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลินสวินเองก็ดูท่าไม่ยอมเปิดบทสนทนาก่อน พาให้บรรยากาศในห้องโถงกลับไปเงียบงันดังเดิม
ไม่นานนัก เสียงสนทนาก็ดังมาจากนอกโถง
“สิบกว่าปีแล้วนะ ไม่คิดเลยว่าภูเขาชำระจิตจะรกร้างเช่นนี้ ช่างน่าเจ็บปวดใจนัก”
“จะไปโทษใครได้เล่า ถ้าตอนนั้นพวกเราสามตระกูลไม่ได้ย้ายออกจากภูเขาชำระจิต สถานที่งดงามเหนือใต้หล้าอย่างภูเขาชำระจิตจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร”
“พี่สือไม่ต้องถอนใจ ไม่แน่ว่าใช้เวลาไม่นาน พวกเราสามตระกูลก็ได้ย้ายกลับมาภูเขาชำระจิตแห่งนี้แล้ว”
เสียงสนทนาสามหาวไม่สำรวมนั้น เมื่อดังขึ้นในบรรยากาศเงียบเชียบเช่นนี้ช่างระคายหูนัก
เมื่อได้ยินบทสนทนา ดวงตาหลินต้าหงพลันมองไปทางหลินสวิน คล้ายต้องการดูปฏิกิริยาของเขา
แต่เห็นหลินสวินนั่งตัวตรงไม่ไหวติง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนครู่ก่อน แม้แต่ริมฝีปากยังระบายยิ้มที่คล้ายมีแต่ไม่มี
หลินต้าหงอดแปลกใจไม่ได้ เด็กหนุ่มผู้นี้… ไม่เหมือนกับที่คาดไว้เลย!
ก่อนมาภูเขาชำระจิต หลินต้าหงก็พอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหลินสวินอยู่บ้าง เช่น เรื่องหลินสวินกลับมาถึงภูเขาชำระจิตคืนแรกก็คลุ้มคลั่ง ทำร้ายกลุ่มลูกหลานวัยเยาว์ของตระกูลหลินแห่งธารประจิมอย่างโหดเหี้ยม ทั้งได้ยินเรื่องที่หลินอิงเจินผู้โดดเด่นในหมู่ลูกหลานรุ่นเด็กของตระกูลหลินแห่งธารประจิมมาทวงความยุติธรรม ก็ถูกหลินสวินฉีกเสื้อผ้าทิ้ง โป๊เปลือยล่อยจ้อนกลางฝูงชน
เดิมทีหลินต้าหงนึกว่าหลินสวินผู้นี้เป็นเด็กหนุ่มนิสัยก้าวร้าว ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่ครานี้ได้เห็นท่าทางของหลินสวิน เขาก็พบว่าสิ่งที่ตนสันนิษฐานไว้ก่อนหน้าผิดแล้ว
น่าสนใจ!
ในใจหลินต้าหงพลันเกิดความรู้สึกประหลาด
ที่มาพร้อมเสียงสนทนาน่าหนวกหูนั้น คือชายสองหญิงหนึ่งเดินวางท่าเข้ามาในตำหนักชำระจิต ฝ่ายชายแต่งกายหรูหรา ฝ่ายหญิงแต่งกายประณีต
ทันทีที่เข้ามา พวกเขาก็หยุดคุยกัน ดวงตารุมมองไปที่หลินสวินซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานกลางโถง เห็นเพียงเด็กหนุ่มผอมบางหน้าตาหล่อเหลา พวกเขาแสดงอาการดูถูกผ่านทางสายตาโดยไม่ปิดบัง
เวลานี้ หญิงผู้นั้นก็เอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม “เจ้าเป็นเด็กเหลือขอที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนนั่นใช่หรือไม่”
นางสวมชุดสีขาว ผมยาวเกล้ามวยขึ้น บุคลิกสง่างาม แต่วาจากลับเชือดเฉือนไร้น้ำใจ ก้าวร้าวกดขี่
เพิ่งเข้ามายังโถงเท่านั้น นางก็เหยียดหยามหลินสวินซึ่งหน้า มาเยี่ยมเยียนเสียที่ไหน มาหาเรื่องกันเห็นๆ!
สตรีนางนี้ก็คือหัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลจากตระกูลหลินแห่งธารประจิมเซียวเฟิ่งหรู
สีหน้าหลินสวินพลันเคร่งขรึม
แต่เขาไม่ทันเอ่ยปาก ชายอีกคนก็หัวเราะพลางพูดว่า “เฟิ่งหรู อย่าไปโกรธเด็กที่อ่อนรุ่นกว่าสิ พวกเรามาที่นี่เพื่อทำธุระนะ”
ร่างของชายผู้นี้ผอมสูง ดวงตาทรงสามเหลี่ยมของเขาฉายประกายสดใส เขามีนามว่าสือจั่น มาจากตระกูลหลินแห่งยอดวายุ
“ถูกต้อง อย่าร่ำไรอีกเลย เวลาทุกคนมีค่านัก ตอนนี้มาจัดการธุระให้เสร็จดีกว่า”
อีกคนพยักหน้าเห็นด้วย ชายผู้นี้มีสีหน้าโอหังเย็นชา เสียงทุ้มพร่าราวงูพิษยามฉกลิ้น เขามีนามว่าฉางจื่อเหิง มาจากตระกูลหลินแห่งคานเมฆา
“เช่นนั้นก็ดี มาเข้าเรื่องกัน” เซียวเฟิ่งหรูตอบรับ
ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในโถง ทุกคนล้วนไม่เห็นหลินสวินอยู่ในสายตา ขนาดพูดคุยยังไม่เอ่ยถามความเห็นของหลินสวิน ไม่แม้แต่จะให้เด็กหนุ่มได้มีโอกาสพูดแทรก
ถ้าคนไม่รู้คงคิดว่าพวกเขาเป็นเจ้าของภูเขาชำระจิต ส่วนหลินสวินเป็นตัววุ่นวายที่รอการสอบสวน
นี่ทำให้หลินจงมีสีหน้าอึมครึมหาใดเปรียบ ขณะที่กำลังจะเอ่ยอะไรออกไป กลับถูกหลินสวินยิ้มห้ามไว้ พลางพูดว่า “ให้พวกเขาพูดต่อไป”
หลินต้าหงที่นั่งนิ่งสังเกตการณ์อยู่นั้นกลับหนังตากระตุก ในใจพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
เด็กหนุ่มผู้นี้ใจเย็นเกินไปแล้ว ใจเย็นจนน่ากลัว!
หลินต้าหงถามตัวเองในใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาถูกเย้ยหยันดูถูกเช่นนี้ ใจเขาคงรับไม่ได้แน่ หรือถ้าพูดให้ชัดเจนกว่านั้น ถ้าหลินสวินเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหลินเหวินจิ้งจริงๆ ด้วยศักดิ์แล้ว หลินสวินย่อมเป็นตัวเลือกเดียวที่จะได้สืบทอดภูเขาชำระจิต
แน่ล่ะ ‘ตามศักดิ์แล้ว’
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับหลินสวิน ไม่ว่าจะเป็นเซียวเฟิ่งหรูผู้นี้ ฉางจื่อเหิงผู้นั้น หรือสือจั่นก็ดี ล้วนเป็น ‘คนนอก’ ทั้งสิ้น!
ไม่ใช่คนในตระกูลหลินเลย เป็นเพียงคนต่างสกุลที่อยู่ใต้อำนาจตระกูลสาขาเท่านั้น!
นี่มันออกจะเกินไปแล้ว
แม้ว่าตั้งใจพุ่งเป้าไปที่หลินสวิน แต่ก็ไม่ควรให้คนนอกมาลบหลู่เขา
ครู่เดียวหลินต้าหงก็ตัดสินได้ว่าที่สามตระกูลหลินสาขารอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ ให้ตัวแทนสามคนนี้มานั้น เห็นชัดว่ามาก่อเรื่อง!
ในขณะที่หลินต้าหงจมอยู่ในความคิดนั้นเอง กลับพบว่าเซียวเฟิ่งหรูเมื่อได้ฟังคำพูดของหลินสวินก็พลันหัวเราะหยัน “เจ้าหนู เลิกปั้นท่าวางก้ามใหญ่โตต่อหน้าเราเสีย ถ้าเจ้าโอนอ่อนผ่อนตาม พวกข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ถ้าเจ้าไม่ร่วมมือ ก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
หลินสวินยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วข้าควรร่วมมืออย่างไร”
เซียวเฟิ่งหรูหน้านิ่วคิ้วขมวด ถึงตอนนี้หลินสวินยังยิ้มออกมาได้ ทำให้ใจนางเกิดความรู้สึกชิงชังและรำคาญ
“ง่ายมาก พวกเราตระกูลสาขาทั้งสี่ปรึกษากันแล้วว่านับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะย้ายกลับมาภูเขาชำระจิต และพร้อมกันนั้น กิจการต่างๆ ในภูเขาชำระจิตแห่งนี้ก็จะอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราสี่ตระกูลทั้งหมด”
เซียวเฟิ่งหรูพูดแผนที่แท้จริงออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
นี่เป็นการแข็งข้อถึงที่สุด ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับเจ้า จะฟังหรือไม่ก็ตัดสินใจลงไปแล้ว ที่เจ้าต้องทำคือเชื่อฟัง!
“แน่ล่ะ เห็นว่าเจ้าเป็นคนในตระกูลหลิน เพียงรับข้อตกลงทั้งหมดนี้อย่างสบายใจ พวกข้าสี่ตระกูลก็จะไม่มากวนใจเจ้า อนุญาตให้พำนักอยู่บนภูเขาชำระจิต ทั้งจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี รับรองว่าเจ้าจะมีกินมีใช้ไม่ทุกข์ร้อนไปตลอดชีวิต”
เซียวเฟิ่งหรูเชิดคางขึ้น ท่าทีหยิ่งผยองดั่งราชินีมีบัญชา “เงื่อนไขนี้ก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้วนะ ไม่ได้เรียกร้องทวงบุญคุณจากเจ้า เพียงหวังให้เจ้าจำไว้ว่า ภูเขาชำระจิตนี้ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้าอย่าได้ยื่นมือมายุ่ง!”
หลินจงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว คำพูดพรรค์นี้ไม่เพียงไม่เกรงใจ หนำซ้ำยังเป็นการข่มขู่และดูถูกกันเห็นๆ!
พวกเขาเห็นนายน้อยเป็นอะไร
พวกเขาเห็นสายเลือดตระกูลหลินสายตรงเป็นอะไรไปเสียแล้ว
ที่เลวร้ายที่สุดคือ ถ้อยคำที่แสดงอำนาจบาตรใหญ่หมายดูหมิ่นถึงที่สุดเหล่านี้กลับออกมาจากปากคนนอก ช่างร้ายกาจนัก!
หลินสวินเวลานี้ก็อดหรี่ตาเขม็งไม่ได้
ตามที่หลินต้าหงคิดไว้ หลินสวินคงอดทนถึงขีดสุดแล้วเตรียมตอบโต้กลับ แต่กลับพบว่าหลินสวินพลันยิ้มบางๆ ดวงตามองมาที่เขา
“ท่านก็คิดเช่นนี้หรือ”
คำพูดของหลินสวินทำให้ดวงใจของหลินต้าหงกระตุกขึ้นฉับพลัน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตอนที่ 341
อานุภาพแห่งจิตสังหาร
โดย
ProjectZyphon
สีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินต้าหงถูกหลินสวินจับได้เต็มตา ในใจจึงมีคำตอบรางๆ ไว้แล้ว
เขาไม่ซักไซ้อีก ด้วยจะให้หลินต้าหงแสดงจุดยืนคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
กลับกัน ท่าทีของหลินต้าหงในขณะนี้จัดว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ได้คิดเห็นไปในทางเดียวกับอีกสามตระกูลที่เหลือ
“เจ้าหนุ่ม อย่าถ่วงเวลาอีกเลย พวกข้าหมดความอดทนกับเจ้าแล้ว” เซียวเฟิ่งหรูส่งเสียงหึ
“ถ้าเจ้าฉลาดก็จะรู้ดีว่าเงื่อนไขที่พวกข้าเสนอถือว่ามีน้ำใจมากพอแล้ว เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่เง่าเลย” สือจั่นสีหน้าเรียบเฉย
“เด็กน้อย ถ้าตอบรับเงื่อนไขนี้ ก็ลงนามยอมรับในหนังสือสัญญาเสียเถอะ”
อีกด้านหนึ่ง ฉางจื่อเหิงก็โยนหนังสือสัญญาออกมาอย่างเบามือลงไปที่เท้าของหลินสวินเหมือนโปรยเงินให้ขอทาน ท่าทางดูถูกเหยียดหยามเป็นที่สุด
“บังอาจ!”
หลินจงโกรธจนเบิกตาโพลง ทนต่อไปไม่ไหวจึงตวาดออกไป “พวกเจ้า… ท่าทีเช่นนี้มันอะไร”
“ตาเฒ่าจง เจ้าเป็นเพียงหมาเฝ้าประตู มีสิทธิ์พูดอะไรที่นี่ด้วยหรือ”
เซียวเฟิ่งหรูดูถูก
“อย่าโวยวายเลย เห็นว่าเจ้าเป็นผู้คุ้มครองภูเขาชำระจิตแห่งนี้ให้ตระกูลหลินมานานปี เมื่อพวกข้าสี่ตระกูลย้ายกลับมา ไม่แน่จะมอบกระดูกตอบแทนเจ้าเสียหน่อย” ฉางจื่อหงเหยียดยิ้มร้ายกาจ
แต่สือจั่นกลับพูดอย่างเหี้ยมเกรียมออกไปว่า “เจ้าบ่าวรับใช้นี่ยังกล้าพูดจาไร้สาระ ระวังข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”
หลินสวินหรี่ตาลง อดมองไปที่หลินจงไม่ได้ กลับเห็นว่าฝ่ายหลังใบหน้าพลันเปลี่ยนสี เส้นเลือดบนศีรษะปริแตก โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
ทว่าที่เกินคาดคือ สุดท้ายหลินจงกลับไม่ระเบิดออกไป เพียงแต่ใบหน้าหม่นหมองลงไปมาก อ้างว้างและเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินนึกทอดถอนใจ ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุนผู้มีชื่อสะเทือนเมืองต้องห้ามเมื่อหกสิบปีก่อน…เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้หนอ?
เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว เซียวเฟิ่งหรู ฉางจื่อเหิง สือจั่นแสดงสีหน้าได้ใจขึ้นไปอีก
“แหม ไม่คิดว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้จะอดทนเสียจริง”
“อย่างนี้สิถึงเป็นหมาเฝ้าประตูที่เข้าท่า”
เมื่อได้ยินคำพูดร้ายกาจหาใดเปรียบเช่นนี้ หลินต้าหงที่อยู่ไกลออกไปกลับใจกระตุกวูบ สีหน้าแปลกประหลาดถึงที่สุด
ประหนึ่งทั้งสงสาร ทั้งขัดเคือง
“เจ้าหนู สุดท้ายขอถามเจ้าคำเดียว จะรับปากหรือไม่รับปาก”
ทันใดนั้น เซียวเฟิ่งหรูหมดความอดทนแล้ว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาหยาบคาย
สือจั่นกับฉางจื่อเหิงก็ทอดสายตามองมา
บรรยากาศในโถงน่าเงียบสงัด ที่อยู่ใต้เท้าหลินสวินคือหนังสือสัญญา ดูแล้วหากเขาพยักหน้า ความวุ่นวายนี้ก็จะจบลงได้
พยักหน้าช่างเป็นเรื่องง่ายดาย แต่หลินสวินจะรับปากจริงหรือ
หลินต้าหงเวลานี้ในใจหดเกร็งไม่หยุด มองไปที่หลินสวิน
เวลาราวหยุดนิ่งไปโดยพลัน
บนที่นั่งประธานกลางโถง หลินสวินที่ปีนี้อายุสิบห้าปีดูสุขุมมาโดยตลอด กระทั่งตอนนี้ เขายังคงไม่แสดงความหวั่นไหวออกมา
บนใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม มีความสุขุมเยือกเย็นที่ไม่สมกับอายุแต้มอยู่
แต่ในสายตาของพวกเซียวเฟิ่งหรูนั้น ความสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้คือการนั่งรอความตายหลังถูกบีบจนอับจนหนทาง
พวกเขานึกย่ามใจแล้วว่า เมื่อหลินสวินยอมลงนามบนหนังสือสัญญา ก็เท่ากับได้ทำประโยชน์ยิ่งใหญ่ ยามพวกเขากลับไปจะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างงาม!
ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งรีบร้อนจนทนไม่ไหว
เห็นหลินสวินไม่ไหวติงเลยสักนิด เซียวเฟิ่งหรูก็อดไม่ไหวถามขึ้นเสียงแหลม “เจ้าหนู เจ้า…”
ไม่ทันพูดจบ ก็พลันเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น! พวกเขาเห็นเพียงหลินสวินเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากระบายยิ้มบางๆ จากนั้นเขาก็โบกมือเบาๆ
กริยาพยักหน้านั้นง่ายมาก
กริยาโบกมือก็เรียบง่ายเช่นกัน
แต่ความหมายของสองสิ่งนี้กลับไม่เหมือนกันเลย
เซียวเฟิ่งหรู ฉางจื่อเหิง สือจั่นอดตะลึงไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าหลินสวินโบกมือเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
แต่ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบน่ากลัวเกินสิ่งใดปกคลุมพวกเขาโดยฉับพลัน
จิตสังหารที่น่ากลัวปานนี้ ราวทะลุตรงเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เลือดในกายพวกเขาเหมือนถูกแช่แข็ง สะท้านขวัญสั่นประสาท ภายในใจตื่นกลัวและสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แทบขาดอากาศหายใจ!
สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน เพิ่งรู้สึกตัวว่าชายร่างสูงใหญ่กำยำดั่งภูผาที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของหลินสวินนั้น ไม่รู้ลืมตาที่หลุบลงเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อไร
เดิมทีเขาสงบนิ่งราวรูปปั้น ทำให้คนมองผ่านไปโดยง่ายดาย แต่ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้นมานั้น ก็เหมือนอสูรร้ายโบราณที่ตื่นขึ้นจากนิทรา โอบล้อมไปด้วยจิตสังหารร้ายกาจ!
จิตสังหารน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับพันพลหมื่นม้าฝ่าภูเขาศพทะเลเลือดออกมา พาให้ฟ้าถล่มดินถลาย เกิดเสียงครั่นครืน
“นี่…”
“ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ!”
“จิตสังหารน่าสะพรึงนัก!”
เซียวเฟิ่งหรู ฉางจื่อเหิง สือจั่นร้องเสียงหลง ตามข่าวที่พวกตนไปสืบมาได้นั้น ภูเขาชำระจิตแห่งนี้มีเพียงหลินสวินกับหลินจงอยู่แค่สองคน ใครจะคาดคิดว่าชายร่างกำยำที่ยืนนิ่งเงียบราวหินผา จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะที่น่ากลัวหาใดเทียมไปได้
โครม!
จิตสังหารนั้นเหมือนกระแสคลื่นเกราะเหล็กทำลายล้าง พุ่งชนร่างของพวกเซียวเฟิ่งหรูอย่างโหดร้าย
เพียงพริบตา พวกเขาก็รู้สึกเหมือนวิญญาณถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวด จิตใจคล้ายแหลกสลาย ดั่งภูเขาเทพไร้รูปกดทับอยู่เหนือร่าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บขึ้น พวกเซียวเฟิ่งหรูทั้งสามพลันถูกจิตสังหารน่าเกรงกลัวนั้นกดดันให้คุกเข่าลงไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ จูเหล่าซานยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว เพียงลืมตาขึ้น ปลดปล่อยจิตสังหารที่ตนมีอยู่แล้วเท่านั้น!
เฮือก!
หลินต้าหงที่นั่งดูอีกฝั่ง เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเข้ากับตาก็อดสูดลมหายใจเย็นเยียบไม่ได้ ชาหนึบไปทั้งหัว เพียงใช้จิตสังหาร ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณสามคนกดดันจนคุกเข่าได้แล้วหรือ?
จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลินต้าหงไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นฝีมือของผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะคนอื่นมาก่อน แต่เมื่อนำมาเทียบกับจูเหล่าซานที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ก็อ่อนแอกว่าอย่างชัดเจน
จิตสังหารที่หนักแน่นเช่นนั้นถูกนำมาใช้อย่างไร้ที่ติ ควบคุมพลังได้ดังใจ ในระดับหยั่งสัจจะมีน้อยคนนักที่จะทำได้!
‘หลินสวินผู้นี้…ไปหาคนมีฝีมือเช่นนี้มาจากที่ใดกัน’ หลินต้าหงตกตะลึง
หลินสวินเองก็อดประหลาดใจไม่ได้ เดิมทีที่เขาเรียกจูเหล่าซานมานั้น ก็เพื่อทดสอบว่าแท้จริงแล้วจูเหล่าซานจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหน
แต่เขานึกไม่ถึงว่าเพียงจูเหล่าซานใช้จิตสังหาร ก็สามารถกดดันให้พวกเซียวเฟิ่งหรูคุกเข่าลงบนพื้นได้แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบขนาดแรงจะต้านทานยังไม่มี!
ฝีมือที่ทำให้ทั้งโลกตะลึงเช่นนี้ จะไม่ทำให้หลินสวินไม่สะท้านได้อย่างไร
ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง! ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงที่ฝ่าภูเขาศพทะเลเลือด กรำศึกในสนามรบนานปี!
ทั้งหมดนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าพลังที่แท้ของจูเหล่าซานนั้นน่ากลัวเพียงใด
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินสัมผัสได้ชัดเจนว่า พริบตาที่จูเหล่าซานปล่อยจิตสังหารออกไป ร่างของหลินจงที่อยู่ด้านข้างเกร็งตัวขึ้นอย่างยากจับสังเกต เหมือนราชสีห์โต้กลับโดยสัญชาตญาณเมื่อรับรู้ได้ถึงอันตราย
คล้ายหลินจงกำลังระวังจูเหล่าซาน!
ทว่าเมื่อเห็นว่าจิตสังหารของจูเหล่าซานเพียงปกคลุมเหนือร่างพวกเซียวเฟิ่งหรู แต่หลินสวินไม่ได้รับผลกระทบ แม้หลินจงจะผ่อนคลายลงไม่น้อย แต่ร่างของเขาก็ยังตึงเครียดดังเดิมอยู่
หลินสวินผู้หล่อหลอมประสบการณ์ต่อสู้อย่างล้นเหลืออยู่ก่อนแล้ว ย่อมสามารถจับสังเกตรายละเอียดที่รับรู้ได้ยากนี้ได้เป็นธรรมดา
“สารเลว! เจ้าหนูกล้าต่อกรกับพวกเราหรือ ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร”
“อย่าคิดนะว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมาช่วยแล้วจะทำตัวกำเริบเสิบสานได้ เจ้าเล่นกับไฟแล้ว!”
บนพื้น เซียวเฟิ่งหรู ฉางจื่อเหิง สือจั่นแสดงสีหน้าตกใจระคนโกรธ ร้องคำรามไม่หยุดหย่อน ถูกผู้อื่นบังคับให้คุกเข่ากับพื้น ทำให้พวกเขาทั้งโกรธทั้งอายอย่างที่สุด สีหน้าเปลี่ยนไปไม่น่าดูเอาเสียเลย
ใจพวกเขาไม่เชื่อว่าหลินสวินจะกล้าฆ่าพวกตน และเพราะเหตุนี้ ต่อให้พวกเขาถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่ ท่าทีก็ยังคงโอหังถึงที่สุด
หลินสวินยิ้มพลางลุกขึ้น เอ่ยคำสั่งไปด้วยว่า “จูเหล่าซาน ท่านช่วยข้าดูให้ดี หากผู้ใดกล้าลุกขึ้น ก็สังหารผู้นั้น ไม่ต้องถามความเห็นจากข้า”
จูเหล่าซานพยักหน้าอย่างเงียบงัน
ทว่าพวกเซียวเฟิ่งหรูพลันเปลี่ยนสีหน้า เจ้าเด็กนี่…กล้าฆ่าคนอย่างนั้นหรือ
จังหวะที่ตกใจระคนสงสัยอยู่นั้น หลินสวินก็ย่างเท้าก้าวมาข้างหน้า
เขาก้มตัวลงเล็กน้อย ตามองคนทั้งสามที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า “นัดไว้แล้วว่าจะมาเยือนยามเที่ยง พวกเจ้ากลับจงใจชักช้าร่ำไรจนมาสาย หวังใช้สิ่งนี้ท้าทายความอดทนของข้า นี่คือความผิดข้อแรก”
“เข้ามาในโถง ไม่โค้งคำนับทักทาย ตนเป็นแขกแต่ทำตัวเป็นเจ้าบ้านเสียเอง ใช้วาจาร้ายกาจลบหลู่ข้าตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ นี่คือความผิดข้อสอง”
เมื่อได้ยินหลินสวินคาดโทษเรื่องที่เสียมารยาทก่อนหน้านี้อย่างถ้วนถี่ พวกเซียวเฟิ่งหรูก็ลอบถอนใจโล่งอก ในใจยิ้มหยัน ช่างเป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาเสียจริง คิดจะมาคาดโทษเอาผิดกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ
น่าขัน!
พวกเขามาจากกลุ่มอำนาจตระกูลหลินสายรอง ต่อให้ถูกลงโทษ ก็ไม่มีทางให้เจ้าเด็กอมมือนี่มาลงโทษเองหรอก!
ในความคิดของพวกเขา ยิ่งหลินสวินนำเหตุผลงี่เง่าพรรค์นั้นมาหาเรื่อง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าหลินสวินไม่กล้าเหิมเกริมลงมือกับพวกเขา
พวกเขาคิดเคียดแค้น รอมีโอกาสจะต้องให้บทเรียนที่เจ้าเด็กนี่ยากลืมเลือนไปจนตาย
แต่หลินสวินกลับพูดขึ้นว่า “ข้าเป็นเจ้าของภูเขาชำระจิตแห่งนี้ เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลหลินสายตรง พวกเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องล่างกลับละเมิดเบื้องบน ต้องการบีบให้ข้ายอมสละกรรมสิทธิ์ของตระกูล ลงชื่อในข้อตกลงที่หักหลังบรรพชน นี่เป็นความผิดข้อสาม”
“บังอาจดูหมิ่นลุงจง ท่าทีเลวทราม กำเริบเสิบสาน นี่เป็นความผิดข้อสี่”
“พวกเจ้ามีฐานะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุล แต่กลับท้าทายหลู่เกียรติข้า ไม่เห็นกฎตระกูลอยู่ในสายตา นี่เป็นความผิดข้อห้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้รอยยิ้มของหลินสวินพลันหายไป ดวงตาสีดำล้ำลึกคู่นั้นกลับฉายแววเย็นชาโหดเหี้ยมถึงที่สุดออกมา
เขาพลันพูดเน้นทุกพยางค์เสียงเบาว่า “ไม่ว่าจะเป็นความผิดข้อไหน ข้าก็มีเหตุผลเพียงพอจะฆ่าพวกเจ้าทุกคน”
พวกเซียวเฟิ่งหรูถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนพื้น แต่หลินสวินกลับไม่ถือโอกาสนี้ดูถูกหรือโต้กลับ และไม่ได้ใช้วิธีโหดร้ายเอาคืน เขามีท่าทีเยือกเย็น เพียงใช้กฎตระกูลสะสางเรื่องราว ไม่เหมือนโกรธเคือง ช่างผิดธรรมดายิ่ง
เมื่อได้เห็นทุกอย่างกับตา หลินต้าหงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็หนาวยะเยือกไปทั้งตัว รู้สึกได้ถึงความกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ได้กลัวคนบ้าที่เหิมเกริม แต่กลัวความผิดปกติที่เยือกเย็นราวไร้ความรู้สึก!
ภาพลักษณ์ของหลินสวินที่เกิดขึ้นในใจของหลินต้าหงเป็นเช่นนี้เอง
ทว่าพวกเซียวเฟิ่งหรูไม่รับรู้ถึงจุดนี้ เมื่อได้ฟังทุกอย่าง พวกเขายิ่งแน่ใจว่าหลินสวินไม่กล้าฆ่าพวกตน ไม่เช่นนั้นเหตุใดต้องยกเหตุผลมากมายถึงเพียงนี้
พลันเซียวเฟิ่งหรูพูดพลางหัวเราะ “เจ้าหนู พูดมากไร้สาระเสียจริง เจ้าฆ่าพวกเราเสียเลยสิ ถ้าไม่กล้าก็รีบปล่อยพวกเราไปเสียดีๆ!”
ตอนที่ 342
โต้กลับอย่างแข็งกร้าว
โดย
ProjectZyphon
“ไม่เลว ถ้าแน่จริงก็เข้ามา!”
สือจั่นและฉางจื่อเหิงที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ต่างยิ้มเยาะ สายตาฉายความเคียดแค้นเต็มประดา
เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณกลับถูกบังคับให้คุกเข่ากับพื้น พวกเขารู้สึกอับอายเป็นที่สุด
แต่จู่ๆ หลินสวินกลับระบายยิ้ม “พวกเจ้าเดาไม่ผิด เหตุผลทั้งปวงที่ข้าอ้างมาก เพราะไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพวกเจ้าตอนนี้”
ได้ยินเช่นนี้ พวกเซียวเฟิ่งหรูยิ่งดูย่ามใจ
ทว่าคำพูดต่อจากนั้นของหลินสวินกลับทำเอาสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ
“ยกเว้นโทษตาย หาใช่จะพ้นโทษ เพียงทำลายพลังปราณของพวกเจ้าเพื่อเป็นการลงโทษก็เห็นจะพอแล้ว”
ได้ยินแบบนี้ แม้แต่หลินต้าหงเองยังหัวใจกระเพื่อมไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว แบบนี้เรียกว่าลงโทษเสียที่ไหน มันโหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า!
ผู้ฝึกปราณสูญเสียพลังปราณ หาใช่เพียงกลายเป็นคนพิการ แต่จะสูญเสียพลังในการดำรงชีวิต สถานภาพทั้งหมดที่มี รวมถึงเกียรติยศด้วยเช่นกัน!
ช่างเป็นการตอบโต้ที่น่ากลัวยิ่งนัก
ลองคิดดูว่าถ้าพวกเซียวเฟิ่งหรูถูกทำลายพลังปราณ พวกเขาจะยังมีที่ยืนในกลุ่มอำนาจสามตระกูลหลินสายรองอีกหรือ
ยิ่งมีอำนาจมาก การแข่งขันยิ่งโหดร้ายทารุณ ในฐานะผู้ดูแลต่างสกุลเรียกได้ว่ามีเกียรติเหนือใคร แต่ถ้าถูกทำลายพลังปราณ ทั้งฐานะ สถานภาพ รวมทั้งผลประโยชน์ทุกอย่างที่ได้รับก็จะถูกช่วงชิง!
ถึงตอนนั้น ผู้มีอำนาจคนไหนจะอยากเลี้ยงคนไร้ค่าพวกนี้ไว้
พวกเซียวเฟิ่งหรูเองก็ตระหนักถึงข้อนี้ ยามนี้ต่างมีท่าทางตื่นตกใจ อกสั่นขวัญแขวน ไหวหวั่นอย่างถึงที่สุด
“ไม่! เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้! หากเจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับทั้งสามตระกูล ถึงตอนนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะมีจุดจบที่ดี!” เซียวเฟิ่งหรูกรีดร้อง
“หลินสวิน ข้าไม่ได้มาเพื่อสร้างความลำบากใจให้เจ้า แต่มาตามคำสั่ง ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เจ้า…เจ้าอย่าคิดมาเอาคืนกับข้าเชียว” สือจั่นกลับลนลาน พลันเสียงสั่นใช้ไม้อ่อนเข้าสู้
ฉางจื่อเหิงกลัวจนใบหน้าไร้ซึ่งสีเลือดไปแล้ว ทำหน้าไม่ถูก ยิ่งพูดอะไรไม่ออก
เทียบสภาพของพวกเขาในตอนนี้กับความเย่อหยิ่งที่ผ่านมาแล้ว หลินต้าหงอดรู้สึกดีใจไม่ได้ โชคดีที่ตัวเองเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แต่แรก ไม่เคยเข้าไปพัวพันกับวังวนความวุ่นวายนี้ มิเช่นนั้น…
หลินต้าหงตัวสั่น ไม่กล้าคิดต่อ
หลินสวินยิ้ม เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเวทนาของทั้งสามแล้ว ในใจรู้สึกชิงชังอย่างบอกไม่ถูก
“จูเหล่าซาน ลงมือเถิด”
หลินสวินยกมือขึ้นโบก
“เจ้ากล้า…!”
“ข้าไม่ยอมเจ้าแน่!”
พวกเซียวเฟิ่งหรูใจเสียไม่เหลือสภาพราวกับเสียสติไปแล้ว พลันพุ่งตัวขึ้นโดยมีเป้าหมายคือหลินสวิน คิดจะทำให้จูเหล่าซานพะวักพะวน
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะลงมือ จิตสังหารที่ปกคลุมรอบๆ พวกเขาอย่างหนาแน่นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น!
เสียงโครมครืนลั่นดัง พวกเขารับรู้ได้เพียงว่าข้อกระดูกทั่วทั้งร่างกายแทบจะแตกหัก ร่างกายพลันสะเทือนจนลงไปกองกับพื้น อย่าว่าแต่โต้ตอบ แค่เพียงกระดิกนิ้วยังไม่สามารถทำได้
ทันใดนั้น ในที่สุดจูเหล่าซานที่ยืนเงียบเป็นอิฐหินก็ขยับตัว เขาสะบัดแขนเสื้อ แสงสีดำสามสายม้วนตัวออกมาและแทรกเข้าร่างพวกเซียวเฟิ่งหรู
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
สีหน้าของพวกเซียวเฟิ่งหรูพลันซีดเซียว ก่อนจะกระอักเลือดออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่พลังในตัวพวกเขากำลังสูญสิ้นอย่างรวดเร็วราวกับลูกหนังที่ถูกทิ่มทะลุจนคลายลม
เพียงพริบตาสายตาของพวกเขาก็หม่นแสงและดูล่องลอย ผิวหนังทั่วเรือนร่างสูญเสียความเรียบเนียน เหี่ยวเฉาราวกับคนแก่อายุนับร้อยปี
นี่คือจุดจบของการถูกทำลายพลังปราณ!
หลินต้าหงเองก็อึ้งงันไปกับภาพที่เห็น หัวใจเต้นระทึก หลินสวินดูสงบนิ่งมาโดยตลอด จนพาให้คนสงสัยว่าเขาใจกว้างเป็นมิตร
แต่ตอนนี้หลินต้าหงรู้ซึ้งแล้ว ว่าหลินสวินโหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่าที่เขาคิด!
ด้านเซียวเฟิ่งหรู สือจั่น ฉางจื่อเหิงยามนี้ก็ราวกับวิญญาณสาบสูญ ทรุดกองกับพื้น สีหน้าดูหม่นแสงอย่างที่สุด
จากผู้ฝึกปราณผู้สูงส่งต้องกลายมาเป็นคนพิการ พวกเขารับไม่ได้จริงๆ
ต้องสูญเสียก่อน ถึงจะรู้คุณค่า น่าเสียดายที่เมื่อตระหนักได้ก็สายไปแล้ว
แต่หลินสวินยังคงพูดพร้อมรอยยิ้ม “กลับไปบอกเจ้านายของพวกเจ้าว่าข้าก็ให้ทางเลือกพวกเขาสองทางเช่นกัน”
“ทางแรก ยอมจำนนต่อข้าเสีย แล้วคายสมบัติที่ปล้นไปจากภูเขาชำระจิตออกมา เห็นแก่ที่เป็นตระกูลเดียวกัน ข้าจะไม่เอาผิด”
“ทางที่สอง หากพวกเขาไม่ยอม ข้าจะถือเสียว่าพวกเขาเป็นกบฏต่อตระกูลหลิน จะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นศัตรู สะสางชำระความในตระกูลหลิน!”
หลินสวินตริตรองอยู่ครู่ ก่อนเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าให้เวลาพวกเขาคิดเรื่องนี้สามปี อีกสามปีข้างหน้าหากพวกเขายังตัดสินใจไม่ได้ ข้าจะเป็นคนเลือกให้พวกเขาเอง!”
พูดจบ เขาก็โบกมือ “ลุงจง ส่งพวกเขาออกไป”
หลินจงลงมือตามคำสั่งทันที ยื่นมือไปหิ้วปีกทั้งสามที่หมดสภาพอยู่บนพื้นออกจากตำหนักชำระจิต
เด็กหนุ่มกลับไปนั่งที่เดิม “ท่านอา ได้เห็นทั้งหมดนี้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นอย่างไร”
ในที่สุดก็มาแล้ว!
หลินต้าหงหัวใจกระตุกวูบ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสกัดกั้นทุกความรู้สึก ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำพร่า “ข้าเพียงคิดว่า เจ้าทำแบบนี้ถือว่าเป็นการแตกหักกับสามตระกูลสาขาที่เหลือจนไม่สามารถหวนคืนได้อีก เช่นนี้ดูจะตัดเยื่อใยเกินไปหน่อยกระมัง”
หลินสวินยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ ล้วนถูกบีบมาทั้งนั้น ข้าหัวเดียวกระเทียมลีบ เดิมทีสถานการณ์ก็ถือว่าเสี่ยงมากแล้ว ข้าย่อมถอยไม่ได้ เพราะการถอยหลังหนึ่งก้าวก็เท่ากับใกล้ความตายเข้าไปอีกก้าว”
เขาพลันยิ้มขื่นพูด “แน่นอนว่าท่านอาคงไม่เข้าใจ ตำแหน่งผู้นำภูเขาชำระจิตนี้… ได้มาง่าย ทว่าการจะรักษาเอาไว้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย”
หลินต้าหงอารมณ์ซับซ้อนสับสน แม้เขาไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของหลินสวิน แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่หลินสวินพูดคือความจริงทุกประการ
สถานการณ์ของเขาเสี่ยงมากจริงๆ เหมือนร่ายรำอยู่บนปลายดาบ สิ่งที่ต้องเผชิญไม่เพียงแค่ศึกภายในอันหนักหน่วง ยังมีหนอนบ่อนไส้ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด!
เพียงแค่ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินอย่างเดียว ไม่สามารถพลิกผันสถานการณ์ให้หลินสวินได้
ยิ่งไปกว่านั้น หลินสวินยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าปี
ในสถานการณ์แบบนี้ สำหรับเขาแล้วตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลิน ไม่เพียงไม่เป็นข้อได้เปรียบ แต่ยังกลายเป็นภาระที่สามารถทับถมเขาได้ตลอดเวลา!
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เหตุใดยังให้เวลาคิดถึงสามปี” หลินต้าหงอดถามไม่ได้
เขารู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลินสวินเหมือนกำลังบอกคนอื่นว่า ตอนนี้อำนาจของเขายังอ่อนด้อยนัก ต้องการเวลาถึงสามปีเพื่อเก็บเกี่ยว จึงจะมีพลังอำนาจมากพอที่จะตอบโต้ เพราะฉะนั้นหากคิดจะเล่นงานเขา ก็รีบลงมือในช่วงสามปีนี้!
อาจจะเพราะความหมายนี้ ทำให้หลินต้าหงรู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลิวสวินฟังดู…ไม่ฉลาดนัก!
“แม้ข้าไม่กำหนดเวลาตายตัวให้ จากท่าทีของพวกเขา ภายในสามปีนี้ก็คงไม่ยอมให้ข้าครอบครองภูเขาชำระจิตนี้ต่อแน่”
หลินสวินยิ้มพูด “สู้ข้าบอกพวกเขาไป ข้าหลินสวินขอเพียงผ่านสามปีนี้ไปได้ ถึงตอนนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นตัวข้าที่พิจารณาว่าจะช่วยบรรพบุรุษตระกูลหลินปัดกวาดสะสางทั้งตระกูลหรือไม่”
น้ำเสียงประโยคสุดท้ายแฝงความเด็ดเดี่ยว
สามปี!
หลินสวินมั่นใจว่าสามารถรวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่งเดียวได้!
“สามปี…”
หลินต้าหงรำพึง เขาไม่รู้ว่าหลินสวินไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด แต่เขากลับเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าจากเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา!
“แน่นอนว่าภายในสามปีนี้ สถานการณ์ของข้าอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และอาจถึงขั้นอันตรายกว่าเดิม แต่ข้าก็ไม่ได้กังวลอะไร”
หลินสวินเปลี่ยนประเด็นพร้อมรอยยิ้มคลุมเครือ “ถึงอย่างไรหากผู้มีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิตเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลินอย่างข้าตายไป เขาชำระจิตนี้ก็จะร่วงหลุดไปจากมือตระกูลหลินอย่างหมดสิ้น ข้าว่านี่เป็นจุดจบที่พวกท่านทั้งสี่ตระกูลไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด”
สีหน้าของหลินต้าหงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ภูเขาชำระจิตว่างมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วจริงๆ รกร้างมานานขนาดนี้แต่กลับไม่เคยถูกแย่งชิงไป เหตุผลที่แท้จริงก็เพราะฝั่งราชวงศ์แห่งจักรวรรดิได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนเสมอมาว่า มีเพียงทายาทสายตรงของหลินเต้าเฉินเท่านั้นที่มีสิทธิ์สืบทอดภูเขาชำระจิต
มิเช่นนั้น เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตระกูลหลินสายรองทั้งสี่จะยอมย้ายออกจากภูเขาชำระจิตได้อย่างไร
แต่ถ้าหลินสวินตาย ก็เท่ากับว่าสายเลือดสายตรงของหลินเต้าเฉินสูญสิ้น
ถึงตอนนั้นแม้ตระกูลหลินสายรองทั้งสี่คิดจะช่วงชิง ก็ต้องดูก่อนว่าราชวงศ์จะยินยอมหรือไม่!
หลินสวินยื่นมือออกไปคว้าหนังสือสัญญาที่พวกเซียวเฟิ่งหรูทิ้งไว้บนพื้น
“ไม่ว่าเงื่อนไขในสัญญาจะไม่ยุติธรรมเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าฆ่าแกงข้า ตรงกันข้าม เพื่อให้สามารถย้ายกลับภูเขาชำระจิตมายึดครองอำนาจของตระกูลหลิน สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือควบคุมตัวข้าเอาไว้ ถึงขั้นที่ยอมแลกได้ทุกอย่างเพื่อเลี่ยงไม่ให้ข้าตาย”
หลินสวินเก็บสัญญาฉบับนั้นไปเงียบๆ ในขณะที่พูดอย่างราบเรียบ “ในสายตาของพวกเขา นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าเพียงอย่างเดียวในตัวข้า ข้าจะจำทุกอย่างให้ขึ้นใจ”
คำพูดอันแสนธรรมดา แต่กลับทำให้หลินต้าหงตระหนักได้ว่า ท่าทีของตระกูลรองทั้งสามนั้น ได้ฝังรากความแค้นไว้ในใจหลินสวินแล้ว!
หากวันใดหลินสวินมีอำนาจเบ็ดเสร็จในตระกูลหลินได้จริง อีกสามตระกูลรองไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่!
คิดถึงตรงนี้ สีหน้าของหลินต้าหงพลันฉายแววเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจัง “จุดประสงค์ที่ข้ามาเป็นตัวแทนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้ถือว่าต่างจากอีกสามตระกูล”
มุมปากของหลินสวินเผยรอยยิ้มอย่างสนใจ “ลองว่ามาสิ”
หลินต้าหงกล่าวเปิดเผย “พูดตามตรงที่ข้ามาคราวนี้ เพราะอยากเห็นกับตาว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่ แล้วค่อยตัดสินใจในขั้นต่อไป”
หลินสวินพยักหน้าพูด “เป็นการกระทำที่รอบคอบมาก และก็เป็นวิธีที่ฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ก็ไม่มีทางเลือก แม้เรามั่นใจแล้วว่าเจ้าคือทายาทสายตรงตัวจริงของตระกูลหลิน แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของเราก็ไม่สามารถแสดงท่าทีที่แน่ชัดได้”
เหมือนอย่างที่หลินสวินคิดไว้ไม่มีผิด
อันที่จริงจาก ‘เทียบเยี่ยมเยือน’ ของพวกเขาในครั้งนี้ และท่าทีก่อนหน้านี้ของหลินต้าหง หลินสวินก็พอจะดูออกแล้วว่า ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรปฏิบัติกับตัวเองต่างจากอีกสามตระกูลจริงๆ
แม้ไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่เหมือนทั้งสามตระกูลที่คิดจะใช้วิธีก่อกบฏเพื่อกำจัดเขา
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!
หลินสวินมั่นใจว่า ขอเพียงตระกูลหลินแห่งแสงอุดรให้โอกาส เขาย่อมสามารถให้คำตอบที่เป็นที่ยอมรับและพึงพอใจกับพวกเขา!
ตอนที่ 343
“เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านอาพอใจกับความคิดของข้าหรือไม่” หลินสวินถาม
หลินต้าหงยิ้มเจื่อน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่แน่ใจ แต่ถ้าบอกว่าไม่พอใจ นั่นคงเป็นคำพูดที่ขัดต่อใจแน่นอน”
หลินสวินเอ่ยคล้ายครุ่นคิด “แล้วท่านอาคิดว่าอย่างไร”
หลินต้าหงเอ่ยตามตรง “ไม่ติดใจอันใด การกระทำก่อนหน้านี้ของเจ้าได้ผ่านด่านข้าแล้ว กับบางเรื่องข้าจะไม่ปิดบังเจ้าอีกต่อไป”
เขาหยุดไปครู่ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่อต้านการสืบทอดอำนาจตระกูลหลินของเจ้า คิดว่าเจ้าคงรู้เหตุผลดี เจ้ายังเด็กและขาดประสบการณ์ ยากจะได้รับการยอมรับจากทุกคน”
หลินสวินพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”
สีหน้าของหลินต้าหงทวีความอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย ก่อนพูดต่อ “แต่สุดท้ายเป็นผู้อาวุโสเป่ยกวงของเจ้าออกหน้า เพื่อให้โอกาสเจ้าสักครั้ง!”
ผู้อาวุโสเป่ยกวง!
คำเรียกนี้หมายถึงผู้อาวุโสของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร…หลินเป่ยกวง เป็นน้องชายคนที่ห้าของหลินเฟยถิงท่านปู่ของหลินสวิน และอาห้าของหลินเหวินจิ้งบิดาของหลินสวิน
สำหรับตระกูลหลินแห่งแสงอุดรตอนนี้ แม้หลินเป่ยกวงจะปลีกวิเวกและยกอำนาจให้หลินไหวหย่วน แต่หากเขาออกหน้า ย่อมไม่มีใครกล้าต่อต้าน!
เรื่องทั้งหมดเหนือความคาดหมายของหลินสวิน ไม่คิดว่าท่านปู่ห้าผู้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาจะหยิบยื่นโอกาสให้ตนเอง
นี่ทำให้เขารู้ว่าท่ามกลางสายรองทั้งสี่ของตระกูลหลิน ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ปฏิเสธการครอบครองภูเขาชำระจิตและสืบทอดอำนาจของเขา!
เหมือนกับท่าทีที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเผยออกมา ควรค่าที่ตนต้องให้ความสำคัญและไขว่คว้ามา
“โอกาสอันใดหรือขอรับ” หลินสวินเอ่ยอย่างแปลกใจ
หลินต้าหงสูดหายใจเข้าก่อนพูดว่า “ง่ายมาก หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ให้เจ้าไปประลองกับหลินเสวี่ยเฟิง ญาติผู้พี่ของเจ้า ที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรด้วยตัวเอง”
“หากชนะ ผู้อาวุโสเป่ยกวงจะมาพบเจ้าด้วยตัวเอง”
“หากแพ้…”
พูดถึงตรงนี้ หลินเต้าหงเริ่มลังเล
หลินสวินหรี่ตาพูดพร้อมรอยยิ้ม “หากแพ้ ข้าก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรใช่หรือไม่”
หลินต้าหงพยักหน้าพร้อมยิ้มขื่น “นี่คือทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้อาวุโสเป่ยกวงสามารถทำได้ แม้ท่านจะมีฐานะอำนาจสูง หากก็จำต้องคำนึงถึงผู้คนในวงศ์ตระกูล”
เด็กหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “แม้ข้าต่อต้านการทดสอบเช่นนี้ และเดิมทีก็ไม่คิดว่าคุณสมบัติในการสืบทอดภูเขาชำระจิตของข้าจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากคนอื่น แต่ในเมื่อเป็นการจัดการของท่านปู่ห้า หากข้าปฏิเสธ ก็เห็นจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเกินไป”
“เช่นนั้นเจ้ารับปากแล้วกระมัง” หลินต้าหงตื่นเต้น
หลินสวินพยักหน้า “ข้าไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับคนในตระกูลรอง หากเรื่องนี้สามารถแก้ไขปมขัดแย้งของทุกฝ่ายได้ ข้าก็ยินดียิ่งนัก”
พูดถึงตรงนี้ หลินสวินพลันพูดว่า “หลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้เป็นใครหรือขอรับ”
ครั้นได้ยินดังนั้น หลินต้าหงจึงแนะนำหลินเสวี่ยเฟิงรอบหนึ่ง
หลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้ก็คือลูกชายของหลินไหวหย่วน หัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคนปัจจุบัน ตามลำดับอาวุโสนับว่าเป็นญาติผู้พี่ของหลินสวิน
คนผู้นี้อายุเพิ่งจะสิบแปด มีพรสวรรค์ เฉลียวฉลาดไหวพริบเป็นเลิศ เมื่อเข้าถึงขั้นผสานใจแห่งระดับจิตผสานวิญญาณตอนอายุสิบหก เขาได้กลั่นเกลาและหล่อหลอม ‘ภูผาธาราหมอกพิรุณ’ บ่อพลังวิญญาณชั้นสูงออกมา สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวของวงศ์ตระกูล!
และยามนี้หลินเสวี่ยเฟิงอยู่ในขั้นผสานฟ้าแล้ว ความสามารถยิ่งลึกล้ำยากคาดเดา
‘อายุสิบหก ได้ครอบครองบ่อพลังวิญญาณชั้นสูงแล้ว พออายุสิบแปดพลังปราณก็ไต่ถึงขั้นผสานฟ้า…ดูท่าทาง ความสามารถของหลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้น่าทึ่งอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่ไม่ด้อยไปกว่าพวกศิษย์ที่สำเร็จวิชาจากค่ายกระหายเลือดเลย…’ หลินสวินใคร่ครวญ
ก่อนหน้านี้เขาก็คิดแล้วว่า ในเมื่อตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหยิบยื่น ‘โอกาส’ แบบนี้ให้เขา ย่อมไม่มีทางยอมให้เขาผ่านไปได้ง่ายๆ
ทว่าเขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะส่งยอดฝีมือเยาว์วัยอย่างหลินเสวี่ยเฟิงออกมา
สำหรับหลินสวินแล้ว นี่กลับยิ่งทำให้เขาโล่งใจ เพราะในระดับจิตผสานวิญญาณนี้ เขาไม่กลัวใครทั้งนั้น!
แต่หลินต้าหงกลับพูดต่อ “ข้าว่าเจ้าอย่าประมาทไป ช่วงที่ผ่านมาเสวี่ยเฟิงปลีกตัวฝึกวิชาสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณตลอด คาดว่าอีกไม่เกินเจ็ดวันคงเข้าสู่ขั้นต้นได้ ถึงตอนนั้น…”
แววตาของหลินสวินฉายความเคร่งขรึมทันที
ที่แท้ ‘ไม้ตาย’ ของอีกฝ่ายก็คือสิ่งนี้!
ให้คนหนุ่มชั้นยอดที่เพิ่งทะลวงเข้าระดับมหาสมุทรวิญญาณมาสู้กับเขา นี่มันออกจะรังแกกันไปหน่อยแล้ว
ระหว่างระดับมหาสมุทรวิญญาณกับขั้นผสานดินในระดับจิตผสานวิญญาณ ไม่ได้ห่างกันเพียงสองขั้นตามชื่อเรียกเท่านั้น แต่ห่างกันระดับใหญ่ๆ เลยเชียว!
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณมีฝีมือระดับสูงในการเคลื่อนไหวกลางอากาศ เรียกวายุหยุดพิรุณ ไม่เพียงสามารถแผ่พลังทำร้ายคนกลางอากาศ ยังสามารถใช้พลังจากฟ้าดินได้!
ส่วนผู้ฝึกปราณระดับจิตผสานวิญญาณขั้นผสานดิน ก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว!
เห็นหลินสวินเงียบไป หลินต้าหงก็หัวใจกระตุกวูบ ก่อนพูดอย่างลำบากใจ “การประลองครั้งนี้แม้จะลำบาก แต่ผู้อาวุโสเป่ยกวงกล่าวว่า การจะสืบทอดอำนาจของวงศ์ตระกูลมีหรือจะเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ว่านี่หาใช่การกลั่นแกล้งเจ้า ขอเพียงเจ้ายืนหยัดได้มากกว่าร้อยกระบวนท่า ก็ถือว่าผ่านแล้ว”
หลินสวินรับคำในลำคอ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ พาให้หลินต้าหงยิ่งรู้สึกประหม่า
แม้แต่หลินต้าหงเองยังรับรู้ได้ถึงความยากของการประลองในแต่ละครั้ง แต่ก็จนปัญญา ด้วยนี่ถือเป็นความต้องการของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
แต่หลินสวินกลับพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ข้าพอจะเข้าใจ แต่ว่าท้ายที่สุดนี้ยังมีข้อสงสัยข้อหนึ่ง”
หลินต้าหงแอบโล่งอก รีบพูดขึ้น “เจ้าว่ามา”
หลินสวินเอ่ย “เหตุใดต้องรอหนึ่งเดือนกว่าจะเริ่มประลอง?”
หลินต้าหงอธิบายอย่างใจเย็น “อีกยี่สิบวัน เสวี่ยเฟิงก็จะเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร จึงต้องล่าช้าไปหนึ่งเดือน”
การทดสอบระดับอาณาจักร!
หลินสวินตกใจ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ยุ่งกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ จนลืมไปว่าอีกเพียงยี่สิบวันก็จะเริ่มการทดสอบระดับอาณาจักรแล้ว…
จวบจนกระทั่งหลินต้าหงกลับไป หลินสวินจึงนั่งคิดเรื่องเกี่ยวกับการทดสอบระดับอาณาจักรเพียงลำพัง
ความจริงแล้ว ตามแผนเดิมตอนที่เขาออกจากเมืองหมอกอำพราง หลังจากเข้าสู่นครต้องห้ามแล้ว เขาจะเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร
ทว่าจนกระทั่งเข้านครต้องห้าม เขาถึงพบว่า ไม่ว่าจะวางแผนมารัดกุมเพียงใด ก็ไม่สู้การเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่เหยียบเข้ามาในภูเขาชำระจิต ปัญหาที่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้เขาแทบไม่มีเวลาไปฝึกหรือพักผ่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความใส่ใจในการทดสอบระดับอาณาจักรนี้เลย
ไม่นานหลินจงก็กลับมา ทำให้หลินสวินหลุดจากห้วงความคิด
“ลุงจง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วย” หลินสวินพูด
“ขอรับนายน้อย” หลินจงตอบรับ
หลินสวินหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมาเขียนตัวหนังสือลงเต็มแผ่น แล้วยื่นให้หลินจงพลางพูดว่า “เอานี่ไปให้สืออวี่ คุณชายสามแห่งอัครการค้า บอกว่าไม่ว่าจะวิธีใดก็ต้องเผยแพร่เนื้อหาให้สะพัด”
หลินจงรับกระดาษแผ่นนั้นมา สายตากวาดมองผ่านโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับต้องอึ้งงันจนตัวแข็งค้าง
เนื้อหาในกระดาษไม่ได้เป็นความลับสะท้านโลกอะไร เป็นเพียงประวัติโดยคร่าวของหลินสวิน
ที่สะดึดตาที่สุดคือบรรทัดที่ว่า ‘ในนามผู้ฝึกปราณระดับจิตผสานวิญญาณขั้นผสานใจ ผู้คว้าชัยอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑล มณฑลซีหนาน’
นี่ไม่ใช่ความลับในมณฑลซีหนาน แต่สำหรับหลินจงกลับราวกับฟ้าผ่าที่สั่นสะเทือนจิตใจเขา
เขาเพิ่งจะรู้ ว่านายน้อยท่านนี้เคยได้มีผลงานอันทรงเกียรติขนาดนี้!
อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลเชียวนะ!
ท่ามกลางสามสิบสี่มณฑลในจักรวรรดิ มีผู้ได้ที่หนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลเพียงสามสิบสี่คน แล้วนายน้อยของเขาก็คือหนึ่งในนั้น!
ที่น่าทึ่งที่สุดคือ ตอนนั้นนายน้อยยังเป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับจิตผสานวิญญาณขั้นผสานใจ…
พออ่านต่อไป ความตะลึงในใจของหลินจงพลันถูกความแปลกใจเข้ามาแทนที่ เพราะเห็นข้อความบรรยายสถานการณ์ของหลินสวินในตอนนี้
เมื่อเห็นประโยคที่ว่า ‘ภาระรัดตัว จำต้องสละสิทธิ์การทดสอบระดับอาณาจักร’ หลินจงก็ตัวสั่นเทา สีหน้าเผยความร้อนรน
เขาอดถามไม่ได้ “นายน้อย ท่าน…ไม่คิดจะเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรจริงๆ หรือ”
หลินสวินพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้ข้ากำลังตกที่นั่งลำบาก จะมีกะจิตกะใจและเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องพรรค์นั้น ไม่เข้าร่วมก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
หลินจงดูไม่จำยอม “นายน้อย นี่มันการทดสอบระดับอาณาจักรเชียวนะ! ท่าน…ลองไตร่ตรองดูอีกทีดีหรือไม่”
เด็กหนุ่มยังคงยืนยันคำเดิม “ลุงจง ปีนี้ข้าเพิ่งสิบห้า พลาดการทดสอบระดับอาณาจักรเพียงครั้งเดียวจะเป็นไรไป รอให้จัดการเรื่องภูเขาชำระจิตให้อยู่ตัวก่อนค่อยเข้าร่วมก็ยังไม่สาย”
สีหน้าของหลินจงเผยความผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ก็เงียบไป สุดท้ายเพียงถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวออกไป
ครั้นมองหลินจงจนลับสายตาไป หลินสวินเองก็อดถอนหายใจไม่ได้ มีหรือที่เขาจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร?
ทว่าความจริงโหดร้ายเกินไป จนเขาจำต้องถอนตัว!
“จูเหล่าซาน ครั้งนี้ขอบคุณท่านมาก จบเรื่องแล้ว ท่านกลับไปพักเถอะ” จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้น ในขณะที่สายตากวาดมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นตั้งแต่ต้น
จูเหล่าซานพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะก้าวเท้ายาวเดินออกไป เพียงแต่ตอนที่เดินออกจากโถงเขากลับพูดขึ้นมาว่า “ฝืนไปหาใช่เรื่องดี ยอมจำนนบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป”
เสียงลุ่มลึกกึกก้องอยู่ในโถงอันโล่งกว้าง ส่วนจูเหล่าซานได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หลินสวินอึ้งงัน ก่อนจะเผยรอยยิ้ม จูเหล่าซานคนนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นคนนิ่งขรึมทึ่มทื่อขนาดนั้น
เขาบิดขี้เกียจจนสุดตัว ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นห้องฝึกชั้นสามของตำหนักไป
วันๆ เพียงแค่จัดการปัญหาต่างๆ ก็เสียเวลาและพลังของเขาไปมาก หลินสวินจำต้องใช้ทุกเวลาที่มีกับการฝึก
ยิ่งไปกว่านั้น คู่ประลองที่เขาต้องเผชิญในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เป็นถึงผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
ที่สำคัญที่สุดคือ ถึงตอนนั้นพลังปราณของคนคนนั้นคงอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ หลินสวินจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากถอนรากโสมหิมะหยกเข้าปากไปหนึ่งเส้น หลินสวินก็สงบจิตใจเริ่มนั่งสมาธิ
ไม่นานทั่วร่างของเขาก็มีหมอกสีขาวเข้ามาปกคลุม ราวกับภาพลวงตาอันรางเลือน
ขณะเดียวกัน ณ ตระกูลหลินแห่งธารประจิม
บรรยากาศภายในโถงประชุมใหญ่ของตระกูลกลับตึงเครียดอย่างถึงที่สุด แม้แต่ผู้คุ้มกันทั้งสองที่เฝ้าอยู่หน้าโถงยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง อกสั่นขวัญแขวน
ผู้ดูแลต่างสกุลทั้งสาม เซียวเฟิ่งหรู สือจั่น และฉางจื่อเหิงที่ถูกทำลายพลังปราณต่างล้มทรุดอยู่บนพื้น สีหน้าดูย่ำแย่ ตัวสั่นเทา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น