Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 331 - 335

 

ตอนที่ 331

 

รวบรวมกำลังคน

โดย

ProjectZyphon

ชั้นสองของห้องหนังสือ ณ ภูเขาชำระจิต


สถานะที่เปลี่ยนไปทำให้หลินสวินเงียบ


เสี่ยวเคอมองไปที่เด็กหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลาอายุสิบกว่าปีด้วยความเป็นห่วง และอดเหลือบมองพญาแร้งไม่ได้


พญาแร้งส่ายหัว บอกกลายๆ ว่าหากอยากสวมมงกุฎราชา ก็ต้องแบกรับหน้าที่ให้ได้ เด็กหนุ่มต้องปรับตัวให้ชินกับสถานะเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อน หรือตัวคนเดียว หลินสวินไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่มีอะไรแบกรับ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาอยากปกครองภูเขาชำระจิต ก็จำต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง


ผ่านไปนานทีเดียว หลินสวินถึงรวบรวมลมหายใจ นัยน์สีตาดำล้ำลึกกลับมาราบเรียบ “ขอบคุณท่านทั้งสองที่ตักเตือน”


พญาแร้งยิ้มบาง ส่วนเสี่ยวเคอชะงัก รู้สึกได้ว่าหลินสวินเปลี่ยนไป แต่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปตรงไหน


“ตอนนี้ข้ามีสองเรื่องต้องทำ” หลินสวินกล่าวอย่างฉะฉาน “หนึ่ง รวบรวมกำลังคน ไม่ใช่รวบรวมบ่าวไพร่ แต่รวบรวมคนมีความสามารถ”


“สอง ข้าต้องการข้อมูลของตระกูลหลินสายรองทั้งสี่โดยละเอียด ข้าอยากรู้ว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรกับการกลับมาของข้า” เด็กหนุ่มว่าจบก็มองไปที่พญาแร้ง


พญาแร้งใคร่ครวญสักพัก แววตามีแววปราดเปรื่อง ว่าเสียงเรียบ “เรื่องที่สองจัดการง่ายหน่อย ให้เสี่ยวเคอจัดการก็แล้วกัน”


เสี่ยวเคอที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า “แค่สืบข่าวเท่านั้น ให้ข้าจัดการก็พอ”


“ข้ามีข้อแม้เรื่องรวบรวมกำลังคน คนมีความสามารถมีหลายแบบ เจ้าต้องการคนลักษณะใดเล่า” พญาแร้งพูดต่อ


หลินสวินไม่ลังเล “พลังการต่อสู้มากน้อยไม่เป็นไร แค่ซื่อสัตย์ก็พอ”


“เช่นนั้นก็ง่ายดายนัก แต่ก่อนจัดการเรื่องนี้ เจ้าต้องจัดการปัญหาบางอย่างก่อน” หลังจากส่ายหน้าแล้ว พญาแร้งก็กล่าวต่อ


เด็กหนุ่มชะงักงัน “อะไรหรือขอรับ”


“เงิน”


ได้ยินดังนั้นแล้ว หลินสวินก็เงยหน้าขึ้น เขาลืมไปเสียสนิท ยามนี้ภูเขาชำระจิตอัตคัดขัดสนนัก แน่นอนว่าไม่มีกำลังทรัพย์จะไปรวบรวมกำลังคนมาจากที่ใด


“ข้าจัดการเอง” หลินสวินหยัดกายลุก ตั้งใจจะไปอัครการค้าในนครต้องห้าม


“หากอยากได้คนเก่งที่เชื่อถือได้ ก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก อย่างน้อยก็ต้องห้าหมื่นเหรียญทอง และหากภายหลังพวกเขาทำงานให้ภูเขาชำระจิตแล้ว ก็ยังมีค่าอยู่อาศัยที่ต้องให้เจ้าดูแล” พญาแร้งเอ่ยเตือน


“ไม่เป็นไร ข้าไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรอก” หลินสวินยิ้ม


“ข้าจะรอดู” พญาแร้งยิ้มน้อยๆ เขาประหลาดใจว่าหลินสวินจะไปเอาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาจากที่ไหน



“คุณชาย มีเรื่องหนึ่งที่บ่าวไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่” หลังออกมาจากห้องหนังสือ หลินสวินเดินลงมาใต้เขา จู่ๆ กลินจงก็โพล่งขึ้นมาระหว่างทาง ท่าทีลังเล


“ลุงจง มีอะไรหรือ” หลินสวินหยุดเดิน ก่อนจะมองไปที่หลินจง


“ถ้าบ่าวมองไม่ผิด พญาแร้งที่ท่านเชิญมามีสถานะค่อนข้างพิเศษนะขอรับ” หลินจงพูดเสียงเบา


หลินสวินชะงัก “พิเศษอย่างไร”


หลินจงลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงถอนหายใจว่า “คุณชาย บ่าวไม่แน่ใจ แต่ว่าบ่าวมองออกว่าเขาโดนพิษที่ชื่อว่ามารพบเคราะห์”


“มารพบเคราะห์หรือ” หลินสวินสงสัย


“ใช่แล้วขอรับ พิษนี้ลี้ลับนัก ว่ากันว่าเป็นของต้องห้ามมาจากจักรวรรดิมืด หากผู้มีปราณต่ำกว่าระดับสังสารวัฏโดนเข้าจะคล้ายธาตุมารแทรก อย่างเบาปราณจะถูกระงับ ไม่สามารถบำเพ็ญต่อได้อีกทั้งชีวิต อย่างหนักร่างกายจะถูกแผดเผาจนแหลกสลาย”


บ่าวชรากระซิบ “บ่าวว่าพญาแร้งคนนั้นต้องพิษนี้อย่างแน่นอน”


เด็กหนุ่มตกใจ ไม่คิดว่าหลินจงจะมองความลับที่เสี่ยวเคอบ่ายเบี่ยงมาตลอดออกในพริบตาเดียว


“พิษนี้มีทางแก้หรือไม่” หลินสวินถาม


หลินจงส่ายศีรษะ “ทั้งจักรวรรดิไม่มีใครสามารถรักษาพิษนี้ได้ เพราะพิษชนิดนี้ร้ายแรงมาก แม้ในจักรวรรดิมืดก็ถือว่าเป็นของต้องห้าม ในเมื่อพญาแร้งโดนพิษชนิดนี้ สถานะของเขาต้องพิเศษมากๆ”


หลินสวินได้ยินดังนั้นก็ยากสงบใจ “ลุงจง ท่านรู้จักพิษชนิดนี้ได้อย่างไร”


ฝ่ายหลินจงชะงัก ตอบคลุมเครือ “บ่าวเคยได้ยินมาเท่านั้น”


หลินสวินมองหลิงจงด้วยดวงตาสีดำล้ำลึก ไม่ได้พูดอะไร


แต่ก่อนออกจากภูเขาชำระจิตไป เด็กหนุ่มพลันหันกลับมาเอ่ย “ลุงจง เสิ่นจิงหลุน ทั่นฮวาม้าขาวเมื่อสิบหกปีก่อนใช่ท่านหรือไม่”


หลินจงตัวแข็ง คล้ายไม่ทันตั้งตัว


เด็กหนุ่มยิ้มพร้อมกับโบกมือ “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดหรอก หากมีโอกาส ท่านค่อยบอกข้าด้วยตนเองก็ไม่สาย”


หลังมองส่งหลินสวินจากไปแล้ว หลินจงก็มีท่าทางซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจ ปิดประตูเชื่อมระหว่างภูเขาชำระจิตกับโลกภายนอก แล้วร่างผอมหลังงองุ้มก็เดินจากไป



การตามหาอัครการค้าในนครต้องห้ามนั้นง่ายนัก ด้วยเพราะอยู่ใจกลางเมือง


ที่นี่คือสถานที่เจริญที่สุดของนครต้องห้าม หากไม่มีอำนาจและสินทรัพย์มากพอ ก็ไม่มีทางจะตั้งรกรากอยู่ตรงนี้ได้


ที่นี่ มีสถานที่นัดหมายพบประขึ้นชื่ออย่างหอสุรานัดสหาย


มีโรงฝึกยุทธ์ที่เก่าแก่ที่สุดอย่างสนามประลองยอดยุทธ์


มีแหล่งละลายทรัพย์ที่ผู้ฝึกปราณปรารถนาจะได้ย่างกรายเข้าไปที่สุดอย่างหอสรวญทรัพย์


และแหล่งรวมของมีค่าจากทั่วสารทิศอย่างอัครการค้า


ยามเที่ยงคล้อย รถม้าคันหนึ่งเข้ามาหยุดหน้าประตูใหญ่ของอัครการค้า


ครั้นหลินสวินก้าวลงจากรถม้า เขามองเห็นสถานที่ยิ่งใหญ่ตระการตาจนต้องหรี่ตา ด้วยครองพื้นที่หลายหมู่ สูงประมาณร้อยจั้ง สิ่งก่อสร้างใสกระจ่างเหมือนทำจากผลึกแก้ว พาให้สะท้อนแสงแดดประกาย หากมองจากบนฟ้าก็จะพบว่าทั้งอัครการค้าเหมือนวังใต้บาดาล ทอประกายแสงระยิบระยับแสบตา


งดงาม หรูหรา ตระการตา คล้ายภวังค์ฝัน


ที่แห่งนี้คือสำนักงานใหญ่ของอัครการค้า ถูกขนานนามว่างดงามที่สุดในจักรวรรดิ


เมื่อหลินสวินมาถึง อัครการค้าคึกคักด้วยผู้คนหลากหลายรูปลักษณ์ มีตั้งแต่เด็กจนถึงผู้เฒ่า มีทั้งหนุ่มสาวมากหน้าหลายตา


ในสองปีนี้หลินสวินผ่านโลกมาเยอะมาก แต่เมื่อหยุดอยู่หน้าสำนักงานใหญ่ของอัครการค้าก็ยังต้องตะลึง


นี่คืออัครการค้า ไม่รู้ว่าโถงทองคำจะต้องพยายามเพรยงใดถึงจะประสบความสำเร็จได้เช่นนี้


หลินสวินก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเล


ภายในของอัครการค้ากว้างขวางคล้ายพระราชวัง ทุกที่มียาลูกกลอน ของล้ำค่า สิ่งของวิญญาณ ผู้ฝึกปราณมากมายเดินขวักไขว่ ทว่าไม่ทำให้สถานที่นี้แน่นขนัดแต่อย่างใด


แม้ชุดที่หลินสวินสวมใส่จะธรรมดา และถึงจะมีท่าทีเรียบนิ่งกับหน้าตาที่ไม่นับว่าโดดเด่น แต่การวางตัวของเขาก็ไม่ทำให้โดนดูถูกหรือเมินเฉย


ไม่นานสาวรับใช้ก็เข้ามารับรอง


“ข้าต้องการพบสืออวี่” หลินสวินบอกออกไป


“หือ ใครนะเจ้าคะ” สางรับใช้หน้าตาสะสวยชะงัก


“คุณชายสามของอัครการค้า” หลินสวินว่า


สาวรับใช้มุ่นคิ้ว ไม่รับปาก “ขออภัยค่ะ ความต้องการของคุณชายยากเกินไป ในแต่ละวัน มีคนมากมายต้องการพบคุณชายสาม หากท่านไม่มีการรับรองเกรงว่า…”


ไม่ต้องพูดจบหลินสวินก็เข้าใจ พลางหยิบแผ่นป้ายส่งให้ สาวรับใช้เห็นแล้วตาโตด้วยความตกใจ “นี่มัน…แผ่นป้ายประจำตัวของคุณชายใหญ่นี่เจ้าคะ”


หลินสวินว่า “ใช่แล้ว แต่ข้าอยากพบคุณชายสามสืออวี่ ไม่ใช่คุณชายใหญ่สือซวน”


สายตาที่หญิงรับใช้มองหลินสวินเปลี่ยนไป มีความนอบน้อมมากขึ้น “คุณชายรอสักครู่นะเจ้าคะ ข้าต้องไปเรียนให้ผู้ใหญ่ทราบก่อน”


เด็กหนุ่มพยักหน้า


สาวรับใช้รีบจากไป ไม่นานนางก็พาชายวัยกลางคนคล้ายคนดูแลมาด้วย


“ข้าหลูชวน คารวะคุณชาย ไม่ทราบว่านามของท่านคือ” ชายวัยกลางคนประสานมือยิ้ม


“หลินสวิน” หลินสวินบอกชื่อตัวเองไป


“ที่แท้ก็คุณชายหลินสวิน เชิญขอรับ” หลูชวนนำหลินสวินมาที่หน้าห้องหรูหราทรงโบราณ


หลูชวนอธิบาย “คุณชายหลินคงจะไม่ทราบ คุณชายสามของข้ากำลังจัดการสะสางธุระอยู่ อีกเดี๋ยวข้าไปรายงานให้คุณชายสามทราบ เชิญคุณชายหลินรออยู่ที่ห้องนี้ก่อน”


หลินสวินร้องรับ ก่อนจะพยักหน้า “รบกวนแล้ว”


ครั้นหลูชวนจากไป หลินสวินก็เข้าไปรอในห้อง


เด็กหนุ่มแปลกใจที่ในห้องมีคนนั่งรออยู่แล้วหลายคน มีทั้งหญิงและชาย ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกปราณ


เมื่อเห็นหลินสวิน ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นก็มองมา หลังจากเห็นว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีในชุดเสื้อผ้าปอนๆ ก็ละสายตาออกไป


“มีคนมาเข้าพบคุณชายสามอีกแล้ว”


“เฮ้อ ข้ามารออยู่เป็นเดือนแล้วก็ยังได้แต่นั่งรอ ไม่เคยโดนคุณชายสามเรียกพบเลยสักครั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”


“เจ้ามาแค่เดือนเดียว ข้ามาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่เคยเจอหน้าคุณชายสามเลย”


“บ่นแล้วได้อะไร คุณชายสามเป็นถึงบุตรของเทพเศรษฐี ได้รับความรักเอ็นดูจากเทพเศรษฐี บุคคลเช่นนี้ไม่ใช่ว่าอยากพบก็จะได้พบหรอกนะ”


ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นสนทนากัน บางคนถอนหายใจ บางคนคร่ำครวญ บ้างก็ฝืนยิ้ม


หลินสวินถึงรู้ว่า คนในห้องนี้ล้วนมีจุดหมายเดียวกันกับเขา ทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ดูท่าแล้ว จะพบหน้าสืออวี่คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก


“ช่างเถิด ในเมื่อมาแล้วก็รอไปก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เปลี่ยนร้านก็ได้” หลินสวินคิดในใจ หาที่ว่างนั่งรอ


เขามาขายของสกปรกอย่างอาวุธที่ได้จากการต่อสู้ แลกเป็นเงินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรวบรวมกำลังคน

 

 

 


ตอนที่ 332

 

ต่อล้อต่อเถียง

โดย

ProjectZyphon

เวลาผ่านไป หลินสวินนั่งรอจนใกล้หมดความอดทน


ทันใดนั้นคนที่นั่งข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น “ไอ้หนุ่ม ถ้าทนไม่ไหวก็อย่ามารอเลย เจ้าคิดว่าคุณชายสามแห่งอัครการค้าจะเจอได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”


หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ตนอยู่


“เหตุใดจึงว่าเช่นนั้นเล่า” หลินสวินถามกลับเรียบๆ


“หึๆ ถามอย่างนี้เพราะเจ้ายังเด็กอยู่สินะ ลองหันไปดูฐานะของคนอื่นๆ ที่นั่งรออยู่สิ”


ชายไว้หนวดวางท่าอวดเบ่งว่าเป็นผู้มากประสบการณ์กว่า คำพูดแฝงนัยกลายๆ ว่า ขนาดคนที่นั่งในที่นี้ที่ล้วนมีฐานะดีกว่าเขา ก็ยังทำได้เพียงนั่งรอ เขาซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา จะมีคุณสมบัติใดให้ไม่ต้องรอ


หลินสวินหลุดยิ้ม คร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่าย เพียงแค่นั่งรอเข้าพบสืออวี่เท่านั้น ก็ทำให้คนผู้นี้กล้าสั่งสอนเขาแล้วอย่างนั้นหรือ


ชายวัยกลางคนไว้หนวดคล้ายไม่พอใจกับท่าทางของหลินสวิน แค่นหัวเราะใส่ “ไอ้หนุ่ม อย่าอวดดีนักเลย โลกนี้โหดร้าย หากไม่รู้จักสงวนท่าทีบ้างจะเป็นภัยเอานะ”


พลันคนทั้งห้องก็หัวเราะครืน


อาจเพราะนั่งรอจนเบื่อ เมื่อได้ยินชายวัยกลางคนไว้หนวดสั่งสอนเด็กใหม่อย่างหลินสวินแล้วจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก


“เฮ้ พี่ชาย จะว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูก อย่าไปว่าน้องชายท่านนี้สิ ท่านไม่เห็นว่าเขาน่าสงสารบ้างหรือ ที่อยากมาเข้าพบคุณชายสามก็เพราะอยากทำความรู้จักจากนั้นจะได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอย่างไรเล่า”


“ปัดโธ่! เด็กที่ไม่มีแม้แต่ความอดทนในการรอ ยังคิดจะมีชื่อเสียงอีกหรือ น่าขันนัก”


ผู้ฝึกตนในห้องรับรองพากันเหน็บแนมหลินสวิน พวกเขาเห็นว่าหลินสวินอยู่ในชุดเสื้อผ้าธรรมดา ไม่คล้ายคนมีฐานะโดดเด่นอะไร จึงกล่าววาจาหยอกเย้าเสียดสีอย่างหนัก


หลินสวินลอบปลงในใจ ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่น้อยๆ กวาดตามองคนอื่นรอบห้อง “พวกท่านเก่งกาจขนาดนี้ ก็ยังต้องนั่งรอเหมือนข้าเลยไม่ใช่หรือ”


ประโยคเดียวนั้นทำให้ทุกคนนิ่งค้างทำหน้าไม่ถูก


เด็กหนุ่มยังคงยิ้มว่า “ข้าเด็กแล้วอย่างไร พวกท่านลองกลับมาเป็นเด็กเหมือนข้าให้ดูหน่อยเถิด อย่าคิดว่าแก่แล้วใช้ชีวิตไม่สมใจจนต้องมาลงกับคนอื่นเช่นนี้ พูดให้น่าฟังก็คงต้องบอกว่าไม่รู้จักรักตัวเอง แต่ถ้าขัดหูหน่อยต้องเรียกว่าไม่รู้จักละอาย!”


หากไล่เรียงความสามารถในการลับฝีปากแล้ว หลินสวินก็ไม่เคยแพ้ใคร


คำพูดนี้พาให้ผู้ฝึกตนพวกนั้นหน้าเปลี่ยนสี เปี่ยมด้วยโทสะ ไม่รู้จักรักตัวเอง? ไม่รู้จักละอาย?


เด็กหนุ่มคนนี้กล้าด่าพวกเขา!


“บังอาจ!”


ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งตบโต๊ะลุกยืน “ระวังปากพาซวย”


หลินสวินนั่งนิ่ง ปากยังคงว่า “เป็นอย่างไรเล่า โดนจี้ใจดำก็เลยจะลงไม้ลงมืออย่างนั้นสินะ ข้าแค่พูดความจริงก็ทำให้พวกท่านโมโหซะแล้ว ท่านใช้ชีวิตล้มเหลวจริงๆ ถ้าข้าเป็นท่านคงจะไม่มัวพูดพล่าม แต่คงบีบคอฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า จะได้ไม่เปลืองทรัพยากรบนโลกเปล่าๆ”


ทุกคนตะลึง เด็กคนนี้ปากร้ายนัก!


“เจ้า!”


ผู้ฝึกปราณที่ตบโต๊ะคนนั้นหน้าแดงก่ำ สะบัดเสียงหยิบกระบี่จ่อหันไปทางหลินสวิน


หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “โง่งม ที่นี่คืออัครการค้านะ ท่านแน่ใจหรือว่าจะลงมือ อยากตายไม่ต้องรีบหรอก แต่ถ้าความใจร้อนของท่านสร้างความเดือนร้อนแก่คนอื่น…”


ผู้ฝึกปราณคนอื่นหน้าเปลี่ยนสี แม้จะไม่ยินยอม แต่พวกเขาต้องยอมรับว่าหลินสวินพูดถูก ต่อสู้กันในอัครการค้าเท่ากับไม่อยากมีชีวิตอยู่ชัดๆ


ทันใดนั้นชายชุดเขียวคนหนึ่งในที่นั้นก็เอ่ยปราม “สหายใจเย็นก่อน อย่าไปถือสาเด็กคนหนึ่งเลย เขาไม่ได้รับการสั่งสอน หรือท่านก็เป็นเช่นเดียวกันกับเขาเล่า”


ผู้ฝึกปราณคนนั้นหอบหายใจข่มอารมณ์ตัวเองไว้ในที่สุด เขาเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วทิ้งตัวนั่ง สีหน้ายังคงครึ้มเขียว


เห็นชัดว่ากำลังใคร่ครวญ ว่าหลังออกจากอัครการค้าแล้วจะจัดการหลินสวินอย่างไร


หลินสวินคร้านจะสนใจเขาเช่นกัน มองชายชุดเขียวที่เข้ามาห้ามแล้วเอ่ยว่า “นี่สุนัขจากบ้านใครกันเล่า กินไม่อิ่มก็เลยออกมาเห่าคนเล่นหรือ”


ชายชุดเขียวคนนั้นบันดาลโทสะ “ข้าเข้ามาปรามเพราะหวังดี เจ้ากลับกล้าด่าข้าเป็นสุนัขอย่างนั้นหรือ”


หลินสวินหัวเราะ “ไม่ใช่ ข้าด่าสุนัขต่างหาก”


ชายชุดเขียวโกรธจนเส้นเอ็นปูดบนขมับ กระเด้งตัวลุกยืน “วันนี้ถึงข้าจะถูกไล่ออกไป ก็ขอฆ่าเด็กปากร้ายอย่างเจ้าสักครั้งเถิด!”


คนอื่นรีบลุกขึ้นห้าม “พี่ชายอย่าใจร้อน เมื่อครู่ท่านบอกว่าอย่าถือสาเด็กไม่ใช่หรือ ทำไมตัวท่านถึงทนไม่ได้เสียเองเล่า”


ชายชุดเขียวถูกปรามเอาไว้ แต่หลินสวินกลับกระแนะกระแหนต่อ “ดูสิ แบบนี้เรียกสุนัขผดุงคุณธรรม ด่าผู้อื่นไม่ได้รับการสั่งสอนได้ แต่ตัวเองโดนบ้างกลับรับไม่ได้ อย่างนี้สู้สุนัขไม่ได้ด้วยซ้ำ”


“ปล่อยข้า ข้าจะฆ่าเขา! ข้าจะฆ่าเขา!” ชายชุดเขียวโวยวาย ท่าทีดั่งหากไม่ได้สังหารหลินสวินก็จะไม่หายแค้น


ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นยิ้มขื่น พวกเขาก็ไม่อยากห้าม แต่หากอัครการค้าทราบเรื่องแล้วพวกเขาพลอยโดนหางเลขไปด้วยจะทำอย่างไร


ขณะเดียวกันพวกเขาต่างตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น เขาไม่ใช่คนที่จะรังแกได้โดยง่ายเลย


“พวกท่านอย่าห้าม ให้เขาลงมือเลย” หลินสวินยังคงนั่งนิ่ง คำพูดคำจาฉะฉาน “ข้าก็อยากรู้ว่าสุนัขผดุงคุณธรรมที่ทั้งโง่ทั้งไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างนี้จะกัดเนื้อข้าได้หรือไม่”


อั่ก!


ชายชุดเขียวกระอักเลือดเพราะโทสะ เขาไม่เคยเจอเด็กที่ไร้มารยาทแถมยังปากจัดขนาดนี้มาก่อน


“น้องชาย เจ้าสงบปากสงบคำทีเถิด การสร้างศัตรูไปทั่วไม่ใช่เรื่องดี”


“นั่นสิ เรื่องใดยอมได้ก็ยอมบ้าง”


ผู้ฝึกตนเหล่านั้นปวดหัว


“ขออภัย ข้ายังเด็กไม่รู้ความแล้วยังทะนงตนนัก ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมท่าที จะสร้างศัตรูก็ช่วยไม่ได้”


เพราะสถานะที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ต้องพบกับปัญหาภายในตระกูล แม้ภายนอกของเขาจะดูไม่เป็นไร แต่ในใจของหลินสวินกลับหนักอึ้งนัก ในยามนี้ยังถูกผู้ฝึกปราณที่รอเข้าพบสืออวี่พูดจาดูถูกดูแคลน จะให้เขาทนได้อย่างไร


หากรู้จักหลินสวินย่อมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนยอมเสียเปรียบใคร


ดังนั้นสงครามน้ำลายเมื่อครู่เขาจึงใส่ออกมาไม่ยั้ง ถือเป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง เพียงแต่หลังจากที่เขากล่าวออกไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกปราณเหล่านั้นกลับไม่ต่างไปจากการโดนท้าทาย ต่อว่าทั้งหมู่


ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นโมโห เด็กคนนี้อวดดีเกินไปแล้ว


พลันพวกเขาจึงไม่ห้ามชายชุดเขียวอีก สายตาต่างมองไปที่หลินสวินด้วยไอสังหาร ท่าทางเอาเรื่อง


“โอ้ เหตุใดท่าทางเปลี่ยนไปแล้วล่ะ คนไม่มั่นคงในอุดมการณ์อย่างพวกท่านจะยังทำตัวเป็นคนดีได้อีกหรือ แล้วต่างอะไรกับหญ้าบนกำแพงหรือ[1]” หลินสวินนั่งอยู่ตรงนั้น เอ่ยคำพูดไม่ไว้หน้า


“ข้าจะฆ่าเจ้า!”


ในที่สุดชายชุดเขียวก็ลงมือ ขยับกายไหววูบ ฟันกระบี่มาทางหลินสวิน


ปัง!


ตอนนั้นเองประตูห้องรับรองถูกถีบออก เด็กหนุ่มในชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาเดินเข้ามา


แย่แล้ว!


ทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น นัยน์ตาชายชุดเขียวก็หดรัดโดยพลัน ร้องเสียงหลงชะงักกายกลางคัน


กระบี่ในมือของเขาห่างจากศีรษะของหลินสวินไปเพียงสามชุ่น แต่กลับคล้ายถูกจัดวางไว้ไม่ไหวติง


คุณชายสาม! ขะ เขามาได้อย่างไร


ยามนี้คนในห้องรับรองที่รับรู้สถานะของผู้มาใหม่ต่างพากันตกใจ เบิกตากว้าง ทั้งร่างเย็นวาบ โทสะในใจหายไปที่ใดไม่ทราบ


หลินสวินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับกายไปไหน ท่าทางเงียบสงบคล้ายไม่กังวลกระบี่ที่ห่างจากศีรษะเพียงสามชุ่นนั่นเลย


แต่ครั้นเห็นสืออวี่ที่แต่งกายในชุดสีขาวสง่าผ่าเผยเหมือนที่ผ่านมาก็กลอกตาอย่างอารมณ์เสีย “แอบฟังอยู่ข้างนอกสนุกดีไหมเล่า”


เมื่อประโยคนี้ดังออกไป ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างสะท้าน เด็กคนนี้อยากตายหรือ เหตุใดจึงกล้าค่อนแคะคุณชายสาม


สืออวี่ไม่มีท่าทีไม่พอใจ กลับยักไหล่หัวเราะร่า “ข้าแค่อยากรู้ ว่าไม่เจอกันสองปีเจ้าจะเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ ไม่คิดว่าคนจะไม่เปลี่ยน แต่ปากกลับร้ายเช่นนี้”


คราวนี้ผู้ฝึกปราณพวกนั้นดั่งโดนฟ้าฝ่า ตระหนักได้ทันทีว่าเด็กปากเสียคนนั้นรู้จักกับคุณชายสามอยู่ก่อนแล้ว


อีกทั้งดูท่าว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย…


ครั้นคิดถึงเมื่อครู่ที่พวกเขาพากันดูถูกเหยียดหยาม คิดว่าหลินสวินไม่รู้ความ ไม่รู้จักกระทั่งการอดทนรอ พวกเขาล้วนอยู่ไม่สุข รู้สึกเหมือนยกหินทับเท้าตัวเอง


หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่รู้จักสืออวี่อยู่แล้ว ใครจะยังมานั่งทนรอกันเล่า


ซวยล่ะ คราวนี้เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว!


เหล่าผู้ฝึกปราณแทบอยากร่ำร้อง ต้องโทษที่พวกเขาดูคนจากภายนอก มีตาแต่ไร้แวว มองสหายของคุณชายสามเป็นเด็กน่ารังแกไปเสียได้


คนที่มีท่าทีแปลกที่สุดก็คือชายชุดเขียวที่ตะลึงค้างในท่าจับกระบี่ไม่ไหวติงอย่างกับรูปปั้น


“พี่ชาย อยู่ท่านี้คงจะเหนื่อย ข้าเข้าใจอารมณ์ของท่านนะ แต่ว่าขอพูดอะไรอีกสักหน่อย คราวหลังอย่าเป็นสุนัขผดุงคุณธรรมอีกเลย ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกคนหมายหัวเอาได้” หลินสวินถอนหายใจ


ชายชุดเขียวคนนั้นพยักหน้าหงึกหงักคล้ายยอมรับความผิดจากใจจริง


หลินสวินไม่อยากดื้อดึงเอาความ เตือนด้วยความหวังดีว่า “เก็บกระบี่เถิด ท่านทำเช่นนี้มันน่าอายนะ”


………………………………….


[1]หญ้าบนกำแพง ใช้เปรียบเทียบคนโลเล เอนเอียงไปมาตามอำนาจ คล้ายต้นหญ้าบนกำแพงที่เอนไปตามแรงลม

 

 

 


ตอนที่ 333

 

เหล่านักประเมินทรัพย์

โดย

ProjectZyphon

ในห้องที่เรียกได้ว่าโอ่อ่า สืออวี่นั่งอยู่บนเบาะรองที่ทำจากขนแมวป่าเมฆาม่วงเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าคนนิสัยอย่างเจ้าจะมาหาข้าก่อน ข้าตกใจเลยนะเนี่ย”


“ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะมีท่าทีตกใจเลย”


หลินสวินมองสำรวจสืออวี่ ไม่เจอกันเพียงสองปีเขามีปราณถึงขั้นผสานฟ้าแล้ว ลมหายใจมั่นคงและโอนอ่อนมากขึ้น ดังคาด ไม่เพียงตัวเขาเองที่พัฒนาในเส้นทางฝึกปราณอยู่ตลอด แม้แต่พวกพ้องในตอนนั้นต่างพากันก้าวกระโดดไปไกล


หลินสวินจำได้ว่าตอนที่สืออวี่บรรลุปราณในทะเลสาบจิตผสานนั้น เขาได้หล่อหลอมพลังวิญญาณระดับหนึ่งที่มีชื่อว่ากระแสธารช้างเผือก ในยามนั้นท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์เป็นกระแสธารสีเงิน หากคาดการณ์เช่นนี้ การที่สืออวี่จะบรรลุปราณถึงขั้นผสานฟ้าก็ย่อมสมเหตุสมผล


ที่ข้างโต๊ะมีสองร่างอรชรของหญิงสาวผิวขาวดุจหิมะนั่งคุกเข่าปรนนิบัติรินน้ำชา ตระเตรียมผลไม้ให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


ชานั้นคือ ‘ดาวตกร่ายแสงทอง’ เป็นชาชั้นดีจากห้องเครื่องในวัง ใบชาสีเขียวอ่อนแช่อยู่ในน้ำแร่วิญญาณ มองดูเพลินตาคล้ายแสงสีทองของดาวตกเปล่งประกายระยิบระยับ รสชาติอ่อนชุ่มคอ กลิ่นหอมละมุนบางเบา


แค่เพียงชาจอกเดียวก็แพงหูฉี่แล้ว เพราะชาชนิดนี้เป็นชาที่ใช้ในห้องเครื่องของราชวัง หาซื้อข้างนอกไม่ได้


ส่วนผลไม้ที่อยู่ข้างๆ นั้นมีผลดาวตกที่เก็บมาจากแดนเหนืออันหนาวเหน็บ มีผลท้อสะท้านวิญญาณจากใต้ภูเขาไฟ กระทั่งมีของหายากที่หลินสวินไม่เคยรู้จักมาก่อนอีกมากมาย


เห็นได้ว่าชีวิตของสืออวี่ บุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐีแห่งอัครการค้านั้นอู้ฟู่เพียงใด เพียงแค่ชากับผลไม้ที่ดื่มกินก็ไม่ใช่ของที่คนมีเงินธรรมดาจะซื้อกินได้แล้ว


สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาเพื่อต้อนรับหลินสวิน หากเป็นคนอื่นสืออวี่ก็ไม่คิดจะนำของเหล่านี้ออกมาแน่นอน


“หลังจากออกมาจากค่ายกระหายเลือด ข้าก็คิดมาตลอดว่าหากเจอกันอีกครั้งเจ้ากับเจ้างั่งหนิงเหมิงจะมีปราณถึงขั้นใด”


สืออวี่จิบชาพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าหายห่วงแล้ว อย่างน้อยปราณของเจ้าก็ยังต่ำกว่าข้าเหมือนตอนอยู่ในค่ายกระหายเลือด ส่วนเจ้างั่งหนิงเหมิงนั่นก็คงตามข้าไม่ทันหรอก”


หลินสวินยิ้มบางๆ กล่าว “ระดับปราณสูงต่ำไม่สำคัญหรอก หากวัดด้วยพลังต่อสู้เจ้าคิดว่าจะชนะได้อย่างนั้นหรือ”


สืออวี่หัวเราะร่า “จะบอกเจ้าให้ว่าสองปีนี้ข้าฝึกยุทธ์อยู่เสมอ หากเจ้าคิดจะใช้พลังต่อสู้มาข่มข้าเหมือนตอนค่ายกระหายเลือดล่ะก็ เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว”


หลินสวินเลิกคิ้ว “อ้อ ลองดูสักตั้งเป็นอย่างไร”


สืออวี่ชะงัก “ตอนนี้เลยน่ะหรือ”


“ใช่” หลินสวินตอบ


สืออวี่จ้องหลินสวินนิ่งอยู่สองนานก่อนส่ายหน้า “ไม่ได้ มีที่ไหนจะต่อสู้กันยามพบหน้า ข้าไม่ใช่เจ้างั่งหนิงเหมิงเสียหน่อย มาๆ ดื่มชาๆ อย่ามัวพูดเรื่องเสียบรรยากาศอยู่เลย”


หลินสวินไม่วายหลุดยิ้ม ไม่ดึงดันต่อ สืออวี่ก็เป็นเสียแบบนี้ ฉลาดเฉลียวระวังตัว ไม่ยอมแสดงฝีมือง่ายๆ เหมือนกับแนวการต่อสู้ของเขาที่หากไม่สู้ก็ไม่เป็นไร แต่หากได้ลงมือย่อมถึงตายนั่นเอง


“ว่ามาสิ เหตุใดถึงได้ใช้ป้ายประจำตัวของพี่ใหญ่มาหาข้าได้” สืออวี่ถามด้วยสงสัย


หลินสวินเล่าเรื่องที่เขาได้รู้จักกับสือซวน


สายตาของสืออวี่เต็มไปด้วยความแปลกใจ “แม้ข้าจะไม่ชอบพี่ใหญ่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามองคนได้แม่นยำเสมอ”


หลินสวินยิ้ม “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”


สืออวี่โบกมือใส่ “ไม่เอ่ยถึงเขาดีกว่า เราไม่ได้เจอกันได้ง่ายๆ ต้องดื่มให้จุใจถึงจะถูกต้อง ชิงเสวี่ย เหลียนเยวี่ย พวกเจ้าไปเตรียมสุรากับสำรับ เอาสุราเลือดมังกรที่ข้าเก็บไว้มาด้วยล่ะ”


“เจ้าค่ะ” สองสาวงามยิ้มเล็กน้อยก่อนออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย


หลินสวินส่ายหัวว่า “ครั้งนี้ข้ามาเพราะมีธุระ สุรามื้อนี้ค่อยดื่มวันหลังเถอะ”


สืออวี่ชะงัก “ด่วนมากหรือ”


หลินสวินพยักหน้า


คุณชายสืออวี่ตบมือกับโต๊ะ “เช่นนั้นก็จัดการธุระก่อน”


เขารู้จักนิสัยของหลินสวินดี รู้ว่าปกติแล้วอีกฝ่ายไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญของตัวเอง ที่หลินสวินทำเช่นนี้ย่อมเพราะมีเรื่องลำบากแน่นอน


“ข้าอยากขายของจำนวนหนึ่งให้เจ้า” หลินสวินบอกเป้าหมายของตัวเองทันที “ของพวกนี้พิเศษอยู่บ้าง เป็นทรัพย์หลังศึกของข้า หากขายให้คนอื่น หนึ่งคือเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้ารับ สองคือข้าไม่อยากให้คนอื่นได้อะไรง่ายๆ”


สืออวี่ให้ความสนใจ “ของอะไรหรือ จำนวนมากหรือไม่”


หลินสวินกวาดตามองรอบๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบแหวนเก็บของก่อนสะบัดมือเบาๆ


เสียงเคร้งคร้างดังขึ้นเมื่ออาวุธวิญญาณ อุปกรณ์ป้องกันและหน้าไม้หลากหลายชนิดปรากฏกองกันเป็นภูเขาจนกินพื้นที่กว่าครึ่งของห้องโถง แสงวิญญาณสว่างไสวคล้ายที่ตรงนั้นเป็นภูเขาแห่งสมบัติ


สืออวี่ตะลึง กระเด้งตัวลุกขึ้นเดินไปสำรวจพลางถามอย่างแปลกใจ “หลินสวิน เจ้าปล้นกองทัพมาหรือ”


หลินสวินตอบไม่ยี่หระ “ประมาณนั้น”


ยอดฝีมือสามพันคนจากตระกูลฉือก็ไม่ต่างอะไรกับกองทัพนัก สิ่งของเหล่านี้ก็ล้วนได้มาจากผู้ฝึกปราณเหล่านั้น อาวุธวิญญาณกว่าพันชิ้น อุปกรณ์ป้องกันกว่าร้อยชุด หน้าไม้อีกประมาณเจ็ดร้อยอัน ล้วนเป็นของดีไม่มีเสียหาย ส่วนของที่ชำรุดนั้นหลินสวินโยนทิ้งไปบ้างแล้ว บ้างก็นำมาใช้ในยามต่อสู้


สืออวี่สังเกตทรัพย์หลังศึกเหล่านั้น เขาหรี่ตาเพ่ง “ตระกูลฉือหรือ”


หลินสวินพยักหน้า


สืออวี่มองหลินสวินด้วยสายตาแปลกไป “เจ้ามันบังอาจเกินฟ้าไปแล้วถึงกล้าต่อกรตระกูลฉือ!”


ในใจของเขาสั่นวาบ อาวุธต่อสู้เหล่านี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นของชั้นดี แล้วยังประทับตราของตระกูลฉือ ไม่มีทางหาซื้อจากร้านตลาดได้ แต่หลินสวินกลับครอบครองของเหล่านี้ไว้มากมาย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาสังหารคนของตระกูลฉือไปเยอะเพียงใด


“เป็นอย่างไร เจ้ารับไว้ได้หรือไม่” หลินสวินถาม


สืออวี่เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ตลกแล้ว บนโลกนี้มีของอะไรที่อัครการค้าไม่กล้ารับบ้าง แต่เจ้าคิดว่าทรัพย์หลังศึกพวกนี้สำคัญหรือชีวิตเจ้าสำคัญกว่ากัน”


เขามองหลินสวินท่าทางคร่ำเครียด “เจ้าแน่ใจในผลลัพธ์ของการเป็นศัตรูกับตระกูลฉือใช่หรือไม่”


ชัดเจนว่าสืออวี่เข้าใจผิดไปแล้ว


หลินสวินใคร่ครวญสักพักจึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ที่เขาประสบหลังจากเดินทางออกจากเมืองหมอกอำพราง และสถานะของเขารวมทั้งสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองตอนนี้ออกมาโดยไม่ปิดบัง


เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด สืออวี่ทั้งตะลึง โกรธแค้น บางคราวก็ถอนหายใจ…เรื่องราวที่หลินสวินบอกกล่าวมานั้นมากมายจนสืออวี่ยากจะประมวลผลได้ทัน


ผ่านไปครู่ใหญ่สืออวี่จึงได้สติเอ่ยขึ้น “เฮ้อ ข้าว่าแล้วเชียวว่าเจ้าต้องไม่ใช่คนธรรมดา!”


หลินสวินหน่ายใจ “ถ้าข้าบอกว่าข้ายอมเป็นคนธรรมดามากกว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่”


สืออวี่ตบไหล่หลินสวิน ปลอบใจ “ไม่คิดเลยว่าชีวิตของเจ้าจะลำบากกว่าข้าเสียอีก เฮ้อ มิน่าล่ะตอนอยู่ในค่ายกระเลือดข้าถึงรู้สึกถูกชะตากับเจ้านัก”


หลินสวินเหลือทน “ชีวิตของเจ้าลำบากหรือ อย่ามาล้อเล่นน่า ถ้ายังพล่ามอยู่อีกข้าจะไปแล้วนะ”


สืออวี่รีบห้าม “ข้าก็แค่อยากให้เจ้าผ่อนคลาย กลัวว่าเจ้าจะเครียดเกินไป” เขาครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนว่า “เจ้ารอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปตามตาแก่พวกนั้นมาคำนวณราคาของพวกนี้ก่อน” ว่าแล้วเขาก็หมุนกายจากไป


ไม่นานสืออวี่นำชายชราสามสี่คนเดินเข้ามาในห้องด้วย


“พวกเขาเป็นนักประเมินทรัพย์ของอัครการค้า จะตีมูลค่าของให้ในราคาที่เจ้าพอใจแน่นอน” สืออวี่แนะนำ


“คุณชายสาม ของเหล่านี้ข้ามองปราดเดียวก็บอกราคาได้เลย ท่านเชิญพวกเรามาเช่นนี้ คงไม่ได้แค่มาประเมินราคาใช่หรือไม่”


ชายชราในชุดสีเทากวาดสายตามองของกองใหญ่นั้นแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ แน่นอนว่าในสายตาเขาแม้ของเหล่านี้จะมีจำนวนมาก แต่กลับไม่นับเป็นของล้ำค่าอะไร ไม่คุ้มที่จะเสียแรงและเวลาด้วย


สืออวี่ชะงัก ยิ้มว่า “ผู้อาวุโสชิวอย่าเพิ่งโมโห ข้าแค่เป็นกังวลเรื่องสหายของข้าเท่านั้น หากผิดพลาดอะไรขอพวกท่านอภัยด้วย”


ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านี้มีตำแหน่งในอัครการค้าสูงเพียงใด จนทำให้สืออวี่ยังต้องเกรงใจถึงสามส่วน


“หึ ที่แท้ก็สหายของคุณชายสาม ครั้งนี้ก็ต้องให้ ‘ราคามิตรภาพ’ กันใช่หรือไม่” ชายชราอ้วนเตี้ยเหน็บแนม


สืออวี่เริ่มมุ่นคิ้วน้อยๆ


ทว่าชายชราในชุดเทาที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสชิวโบกมือพลางเอ่ยขึ้นมา “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเรื่องสหายของคุณชายสาม เช่นนั้นก็สมควรที่พวกเราต้องจัดการ”


ชายชราอ้วนเตี้ยเอ่ยขึ้น “ข้าว่า ของเหล่านี้รับมาราคาตลาดสักเจ็ดหมื่นสี่พันสองร้อยเหรียญทองก็ไม่น้อยแล้ว”


ชายชราอีกคนว่า “ของเหล่านี้มาจากตระกูลฉือ ไม่ต่างอะไรกับของผิดกฎหมาย ทำการซื้อขายยาก ต้องจัดการสินค้าก่อน หากหักลบราคาแล้วมากสุดก็คงหกหมื่นเหรียญทอง”


ชายชราอีกคนหนึ่งเอ่ยเพิ่มเติม “ในเมื่อเป็นเพื่อนของคุณชายสาม แม้อัครการค้าจะไม่กดราคาก็คงให้ได้เพียง หกหมื่นสี่พันเหรียญทองเท่านั้น”


เหล่าชายชราหันไปมองที่สืออวี่เพื่อให้เขาตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย


สืออวี่สีหน้ามืดครึ้ม ท่าทีแยกเรื่องงานเรื่องส่วนตัวชัดเจนของพวกเขาทำให้สืออวี่มีโทสะในใจ แต่นี่เป็นกฎของอัครการค้า แม้จะเป็นบุตรชายของเทพเศรษฐีก็ไม่อาจละเลยได้


หลินสวินไม่มีโอกาสได้พูด ทว่ามองจากมุมภายนอกแล้วก็รู้ว่า แม้นักประเมินทรัพย์เหล่านี้จะให้เกียรติสืออวี่อยู่มาก แต่กลับไม่ได้เคารพมากมายเลย


ให้เกียรติกับเคารพแม้จะคล้ายกัน แต่อย่างไรก็เป็นทัศนคติสองฝั่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ในที่สุดสืออวี่จึงถอนหายใจว่า “งั้นก็ตามนี้แล้วกัน”


พลันหลินสวินก็ขัดขึ้น “ช้าก่อน!”


เหล่านักประเมินทรัพย์พากันขมวดคิ้วท่าทางไม่สบอารมณ์ พวกเขาให้ราคากับเด็กคนนี้สุดๆ แล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ

 

 

 


ตอนที่ 334

 

ผลึกเก้าลำนำผสานใจ

โดย

ProjectZyphon

ผู้อาวุโสชิวในร่างผอมสูงเอ่ยเสียงเข้ม “เป็นอย่างไร เจ้าไม่พอใจกับราคาที่อัครการค้าให้หรือ”


หลินสวินส่ายหน้า “ไม่ใช่”


ยังไม่ทันจะได้อธิบาย ผู้อาวุโสชิวก็หน้าเคร่งใส่ “เจ้าหนุ่ม ข้าขอเตือนเจ้าหน่อยว่าของของเจ้ามาจากตระกูลฉือ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับของผิดกฎหมาย หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นสหายของคุณชายสาม อย่าว่าแต่หกหมื่นสี่พันเหรียญทองเลย หากได้เพียงครึ่งของราคานี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”


คำพูดนั้นแฝงด้วยความไม่พอใจ คล้ายคิดว่าหลินสวินไม่รู้จักประมาณตน


สืออวี่ขมวดคิ้วอารมณ์เสีย “ผู้อาวุโสชิว ข้าไม่ได้เชิญท่านมาเพื่อสั่งสอนเพื่อนของข้านะ!”


“คุณชายสามอย่าโมโห ข้าแค่เตือนด้วยความหวังดี ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ” ผู้อาวุโสชิวเอ่ยเรียบๆ


“ท่าน…”


สืออวี่กำลังจะพูดบางอย่างแต่หลินสวินยิ้มห้ามไว้ “ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ไม่พอใจกับราคาเลย แต่ข้าว่ามิตรภาพกับการค้าขายไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นเชิญเก็บราคามิตรภาพไว้แล้วคิดราคาตลาดเถิด”


นักประเมินทรัพย์ที่สูงทั้งตำแหน่งและวัยวุฒิพวกนั้นอึ้งงันคล้ายไม่อยากเชื่อ


แม้แต่สืออวี่ก็ไม่วายตะลึง รู้สึกเดือดดาลในใจ เขานึกว่าหลินสวินไม่พอใจชายชราเหล่านี้ นี่ทำให้เขาขายหน้าจริงๆ


สหายมาหาแต่กลับถูกเอาเปรียบ หากถูกเล่าออกไปจะให้สืออวี่ทำเช่นไร


“คนหนุ่มมีความกล้าเป็นเรื่องดี แต่เจ้าชักจะใช้อารมณ์จัดการเรื่องราวแล้ว ทำเช่นนี้จะไม่หาว่าเราไร้น้ำใจหรือ แล้วคุณชายสามจะมองพวกเราอย่างไร” ผู้อาวุโสชิวแค่นหัวเราะ คิดว่าหลินสวินแสร้งถอยเพื่อรุก จงใจใช้ความเห็นใจของสืออวี่ทำให้พวกเขาดูไม่ดี แผนการชั่วช้าอำมหิตชัดๆ


สืออวี่แทบบ้า คว้าข้อศอกของหลินสวินลากเข้าไปในห้องหนึ่งที่อยู่ข้างๆ แล้วกระซิบ “หลินสวิน อย่าถือสาเอาความกับตาเฒ่าพวกนั้น แม้นิสัยพวกเขาจะไม่ค่อยดี แต่ก็มีความสามารถมากจริงๆ ในสาขาหลักของอัครการค้า พวกเขาฟังแค่คำของพ่อข้าเท่านั้น แม้แต่ข้าเองยังไม่กล้าจัดการพวกเขาเลย”


เขาล้อตัวเองในตอนสุดท้าย “นี่เป็นความจริงนะ ถึงข้าจะเป็นบุตรของเทพเศรษฐี สูงศักดิ์เหนือใคร แต่ความจริงแล้วในอัครการค้าก็มีช่วงเวลาที่ข้าต้องสงบเสงี่ยม ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้เช่นกัน”


ว่าแล้วก็ถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดว่าคนพวกนั้นจะเห็นแก่หน้าข้า ยื่นราคาสูงๆ ให้ แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ โถ่เอ๊ย แล้วหลังจากนี้ข้าจะชูคอกับเจ้าได้อย่างไร”


คำพูดมีทั้งห้ามปรามอธิบาย มีทั้งเหน็บแนมตัวเองและพร่ำบ่น เห็นได้ชัดว่าแม้ดูเหมือนว่าคุณชายสามแห่งอัครการค้าจะดูเจ้าสำราญ แต่ก็มีความลำบากและเรื่องทุกข์ใจเช่นกัน


หลินสวินฟังแล้วเงียบไป จากนั้นจึงเอ่ยปลอบ “เทียบกับข้าเจ้านับว่าโชคดีแล้ว อย่างน้อยตำแหน่งคุณชายสามก็เป็นสิ่งจริงแท้ แต่ผู้สืบทอดตระกูลหลินอย่างข้ามีเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น”


นี่คล้ายกำลังเปรียบความลำบากของกัน


ความสุขย่อมวัดกันเช่นนี้ สืออวี่นิ่งไปก่อนหัวเราะร่า “เจ้าว่ามาอย่างนี้ทำเอาข้าเบิกบานใจขึ้นมากเลยล่ะ จากนี้ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไรไม่พอใจก็พูดออกมา จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย…”


หลินสวินกลอกตาใส่ “พอได้แล้ว!”


สืออวี่หัวเราะอยู่ครู่หนึ่งจึงหยุดแล้วว่า “เดี๋ยวพอออกไปแล้วเจ้าฟังคำข้านะ รับราคานี้ไว้ก่อน รอข้ามีโอกาสจะช่วยเจ้าจัดการตาเฒ่าเหล่านั้นเอง” น้ำเสียงนั้นแฝงแววเย็นเยือก


เขาเป็นบุตรคนที่สามของเทพเศรษฐี ภายหลังต้องได้สืบทอดกิจการของอัครการค้า ไม่ว่าจะด้วยเอาคืนให้หลินสวินหรือไม่ เขาต้องหาโอกาสจัดการคนที่ไม่เชื่อฟังกันบ้าง


นี่คือเส้นทางการครอบครองอำนาจ หากทำให้ตาเฒ่าพวกนั้นสยบไม่ได้ อำนาจที่มีก็เป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น


หลินสวินยิ้มบางๆ “ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า ครั้งนี้ให้ฟังข้า”


ว่าจบเขาก็เดินนำสืออวี่ออกมาจากห้อง


ชายชราเหล่านั้นยังคงอยู่ที่นั่น เพียงแต่ท่าทีนั้นเหลืออดเต็มทน เดิมทีที่พวกเขาออกมาเพราะเห็นแก่หน้าสืออวี่ ไม่อย่างนั้นด้วยตำแหน่งของพวกเขามีหรือจะมาเสียเวลากับเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว


ที่นี่คืออัครการค้าสาขาหลัก ในแต่ละวันมีขุนนางและผู้มีฐานะมากมายต่อแถวรอพบพวกเขาอยู่!


“ผู้อาวุโสทุกท่าน ข้ากับสืออวี่ตกลงกันแล้ว สินค้าพวกนี้ให้คิดราคาตลาด” หลินสวินบอกออกไปตรงๆ ชัดเจน


ชายชราเหล่านั้นมองที่สืออวี่


สืออวี่ใคร่ครวญสักพักจึงเอ่ย “ตกลงตามที่เขาว่า”


ผู้อาวุโสชิวพูดขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตกลงตามนี้ แต่ขอพูดสิ่งไม่น่าฟังก่อน เจ้าหนุ่มเราไว้หน้าเจ้าแล้ว หากเสียใจภายหลังก็อย่ามาโทษพวกข้าแล้วกัน”


หลินสวินยิ้ม “แน่นอนขอรับ”


ท่าทีสบายๆ ของหลินสวินทำให้เหล่าชายชรามองไม่ออก พวกเขาส่ายหน้า คร้านจะคิดให้มากความ แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ไม่พอใจก็ไม่พอใจสิ แม้จะเป็นสหายของคุณชายสามก็ไม่ได้มีผลกระทบกับตำแหน่งในอัครการค้าของพวกเขาเสียหน่อย


“คุณชายสาม ในเมื่อเรียบร้อยแล้วเช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน” ผู้อาวุโสชิวประสานมือขึ้น


หลินสวินยิ้มขัด “ทุกท่านโปรดช้าก่อน ข้ายังมีของที่อยากขาย ต้องการให้พวกท่านช่วยดูและให้ราคาสมเหตุสมผลตามราคาตลาด”


สืออวี่หรี่ตา รู้ว่าหลินสวินเริ่มเอาคืนแล้ว


เพียงแต่เขาก็นึกสงสัยเช่นกัน ว่าของสิ่งใดที่ทำให้หลินสวินมั่นใจหนักหนาว่าจะสามารถสั่งสอนตาเฒ่าเหล่านั้นได้ ที่นี่คือสาขาหลักของอัครการค้า สามารถแลกเปลี่ยนของล้ำค่าได้จากทั่วสารทิศ เป็นศูนย์รวมของล้ำค่าบนโลกหล้า


มีสิ่งของใดที่ผู้อาวุโสมากในประสบการณ์ ตำแหน่งสูงส่งเป็นถึงนักประเมินทรัพย์แห่งสาขาหลักอัครการค้าเหล่านั้นยังไม่เคยเจอด้วยหรือ หากหลินสวินจะสั่งสอนอีกฝ่ายก็ต้องนำสุดยอดของล้ำค่าออกมา ไม่อย่างนั้นจะถูกนักประเมินทรัพย์พวกนี้เยาะเย้ยเอาคืนได้


“เหอะ ดูท่าเจ้าจะไม่ยอมแพ้นี่”


“จะทดสอบความสามารถในการประเมินราคาของพวกเราหรือ ฮ่าๆ ไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้มานานเท่าไรแล้วนะ”


ชายชราเหล่านั้นชะงักไปก่อนจะหัวเราะออกมา


ผู้อาวุโสชิวมุ่นคิ้วกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม พวกข้ามีธุระต้องจัดการ ไม่มีเวลามากขนาดนั้น หากเจ้าอยากประเมินทรัพย์สินก็ไปเชิญคนอื่นเถอะ”


เขาคิดว่าหลินสวินกำลังท้าทายพวกเขาอยู่ กลวิธีเบาปัญญาอย่างนี้เขาไม่ถือสา นอกจากเสียเวลาก็ยังจะทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า หากเป็นเช่นนี้ คุณชายสามคงโทษว่าพวกเขารังแกเพื่อนของตนอีก


ว่าแล้วเขาก็หันหลังไป แต่เมื่อจากไปเพียงครึ่งทางกลับได้ยินเสียงตื่นเต้นประหลาดใจแว่วมา


“ของชิ้นนี้คือ…ผลึกเก้าลำนำผสานใจ?”


“เป็นไปไม่ได้ ผลึกเก้าลำนำผสานใจมีอยู่เพียงในทะเลกลืนวิญญาณส่วนลึกเท่านั้น เป็นของล้ำค่าใต้สมุทรในตำนาน หาพบได้น้อยมาก หลายร้อยปีมานี้ทั้งจักรวรรดิล้วนไม่ปรากฏของล้ำค่าเช่นนี้”


“แต่ลักษณะ กลิ่นอาย สี แล้วก็พลังของมันเหมือนกับผลึกเก้าลำนำผสานใจในตำนานนั้นจริงๆ”


“ขอข้าดูอีกหน่อย!”


ผู้อาวุโสชิวชะงัก ผลึกเก้าลำนำผสานใจอย่างนั้นหรือ น่าขันนัก!


เด็กคนนั้นอายุยังน้อย ทั้งยังมาขอความช่วยเหลือจากคุณชายสาม จะมีของล้ำค่าขนาดนี้ไว้ในครอบครองได้อย่างไร


แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วเขาอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับ จึงเห็นภาพของพวกพ้องตัวเองรุมล้อมรอบกายหลินสวิน ท่าทางเหมือนเห็นของล้ำค่าหาดูยากอย่างไรอย่างนั้น


เมื่อมองที่มือของหลินสวิน มีของลักษณะคดเคี้ยวดั่งเถาวัลย์ หนาประหนึ่งลำแขน ความยาวประมาณหนึ่งชุ่นเปล่งประกายแสงวิญญาณสีน้ำเงินดุจน้ำทะเล กลิ่นอายเย็นเยือกปานหิมะ เพียงมองปราดเดียวผู้อาวุโสชิวก็ต้องตกใจ นี่…อย่างกับผลึกเก้าลำนำผสานใจในตำนานจริงๆ ด้วย


มันเป็นสุดยอดของล้ำค่าที่ไม่ปรากฏมาหลายร้อยปี คล้ายได้สูญพันธุ์ไปแล้ว มูลค่าของมันไม่อาจประมาณได้เลย


เมื่อนักประเมินทรัพย์คนหนึ่งได้พบของล้ำค่าในตำนาน ความรู้สึกนั้นเหมือนดั่งได้เจอสาวงามหยาดเยิ้ม อดใจไม่ไหวอยากเข้าไปตะครุบไว้เสีย แต่สุดท้ายผู้อาวุโสชิวก็ยังยับยั้งความตื่นเต้นเอาไว้ ด้วยก่อนหน้านั้นเคยลั่นวาจาว่ามีธุระต้องจัดการ ไม่อยากเสียเวลา ให้หลินสวินไปเชิญคนอื่น หากกลับคำยามนี้ไม่เท่ากับว่าตบหน้าตัวเองหรอกหรือ


‘หึ บางทีอาจจะไม่ใช่ผลึกเก้าลำนำผสานใจก็ได้ รอพวกนั้นประเมินเรียบร้อยแล้วค่อยตัดสินใจใหม่’ ผู้อาวุโสชิวคิดในใจ สายตาจ้องไปที่ของในมือหลินสวินอย่างควบคุมไม่ได้ ชัดเจนว่าในใจกำลังขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก


ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของสืออวี่ เขาไม่วายรำพึงในใจว่าวิธีของหลินสวินเจนจัดยิ่งนัก ไม่ต้องพูดพล่ามมากความ เพียงของล้ำค่าชิ้นเดียวก็พลิกสถานการณ์ได้


แต่สืออวี่เองก็ตกใจกับของล้ำค่าที่หลินสวินนำออกมาเช่นเดียวกัน ผลึกเก้าลำนำผสานใจเป็นถึงวัตถุวิญญาณชื่อสะเทือนทั่วหล้า ตามที่เขาทราบมา หากนำผลึกเก้าลำนำผสานใจผสมเข้าไปในเตาหลอมวิญญาณขณะสร้างเรือรบขนาดใหญ่ จะทำให้เรือรบนั้นมีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง


สืออวี่จำได้ว่าเทพเศรษฐีบิดาของเขาเคยเล่าให้ฟัง สิ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเรือหลวงจื่อเวยขององค์จักรพรรดิ คือเตาหลอมวิญญาณที่สร้างจากเสี้ยวหนึ่งของผลึกเก้าลำนำผสานใจกับวัตถุวิญญาณอีกสิบกว่าชนิด


เล่ากันว่าเรือหลวงจื่อเวยสามารถทำลายชั้นบรรยากาศ ล่องลอยไกลถึงขั้วฟ้าได้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่สามารถแตะต้องของสิ่งนี้ได้


หากของในมือหลินสวินเป็นผลึกเก้าลำนำผสานใจชิ้นสมบูรณ์จริงๆ…


คิดมาเท่านี้สืออวี่ก็สะท้าน เขามั่นใจว่าของชิ้นนี้ต้องเป็นของล้ำค่าที่สุดในสาขาหลักของอัครการค้าอย่างแน่นอน!


เพียงแต่หลินสวินไปเอาของชิ้นนี้มาจากที่ไหนกัน ของล้ำค่าชิ้นนี้เพียงปรากฏในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณไกลโพ้น เป็นตำนานที่คิดได้แต่หวังครอบครองไม่ได้


ในยามนี้ นอกจากผู้อาวุโสชิวแล้ว นักประเมินทรัพย์คนอื่นต่างพากันตื่นเต้นดีใจ พวกเขารู้ชัดยิ่งกว่าผู้ฝึกปราณบนโลก ว่าผลึกเก้าลำนำวิญญาณนั้นมีมูลค่ามาเพียงใด!

 

 

 


ตอนที่ 335

 

เอาคืน

โดย

ProjectZyphon

ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะเสียอาการ ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณที่มีพลังแข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะหรือระดับกระบวนแปรจุติ เมื่อเห็นของชิ้นนี้เกรงว่าก็ยังอยากครอบครอง


หลินสวินไม่ได้หัวเราะเยาะชายชราเหล่านี้ ท่าทางของพวกเขากลับทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าของล้ำค่าจากอนุสรณ์สถานในทะเลกลืนวิญญาณนั้นมูลค่ามหาศาลกว่าที่คาดมาก


เหมือนในยามนี้ที่เพียงผลึกเก้าลำนำผสานใจชิ้นเดียวก็ทำให้นักประเมินทรัพย์ของสาขาหลักแห่งอัครการค้าเสียอาการได้มากกว่าที่หลินสวินคาดไว้ ในบรรดาของล้ำค่าที่เขาได้มา ผลึกเก้าลำนำผสานใจนั้นนับเป็นเพียงของธรรมดาเท่านั้น


ผ่านไปครู่หนึ่งชายชราคนหนึ่งสูดปากตาเป็นประกาย “ไม่ต้องสงสัย นี่คือผลึกเก้าลำนำผสานใจแน่นอน!”


นักประเมินทรัพย์คนอื่นพยักหน้าหงึกหงัก สืออวี่ยิ้มด้วยความตื่นเต้น


ผู้อาวุโสชิวเห็นดังนั้นก็มีท่าทีซับซ้อน หากเด็กคนนี้นำมันออกมาตั้งแต่แรกจะเกิดเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร


“สหายน้อย เจ้าแน่ใจหรือว่าจะขายของชิ้นนี้”


ใครบางคนเอ่ยถาม ชายชราพากันมองไปที่หลินสวิน ท่าทางให้เกียรติระคนแปลกใจแตกต่างจากก่อนหน้านี้สิ้นเชิง


ผลึกเก้าลำนำผสานใจ!


แค่ของชิ้นนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนสายตาที่มองหลินสวินแล้ว เพียงแต่พวกเขาแปลกใจว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แล้วไปเอาของชิ้นนี้มาได้อย่างไร


“ใช่แล้ว แต่ทุกท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน ผลึกเก้าลำนำผสานใจนี้เป็นเพียงหนึ่งในสิ่งที่ข้าต้องการขายเท่านั้น”


หลินสวินพลิกฝ่ามือเก็บผลึกเก้าลำนำผสานใจแล้วนำดอกไม้วิญญาณลำก้านเรียวตรงสีเขียวที่มีสามสิบหกใบขึ้นมา สีของใบไม้เขียวชอุ่ม เส้นใยคล้ายรอยสลักลึกลับ มีแสงวิญญาณโอบอุ้มคล้ายเป็นก้อนเมฆติดอยู่กับลำก้านเรียวตรง ตัวดอกไม้วิญญาณเป็นสีไพลินจางๆ กลีบดอกบางเบาดุจไอหมอกส่งกลิ่นไอเยือกเย็นออกมา


ผู้คนโดยรอบต่างหลงใหลไปกับความงามที่ได้ยล


“เป็นกลิ่นไอวิญญาณที่ลึกลับนัก นี่คือ?”


“มีสามสิบหกใบ เส้นใยคล้ายรอยสลัก บางเบาแลเจือจาง คงไม่ใช่…คงไม่ใช่ดอกไม้ที่มีพลังแห่งทวยเทพ…”


“ดอกอำพรางวิญญาณ!”


“นี่คือดอกอำพรางวิญญาณ ซึ่งถูกขนานนามว่า ‘ยอดแห่งยาวิญญาณ’ ที่หายสาบสูญไปจากในจักรวรรดินานแล้วไม่ใช่หรือ!”


ชายชราเหล่านั้นเสียงสั่น เบิกตาโพลงมองดอกอำพรางวิญญาณในมือหลินสวินด้วยความตื่นเต้น


กี่ปีมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นดอกไม้ชนิดนี้ เดิมทีคิดว่าสูญพันธุ์ไปเสียแล้ว ไม่คิดว่ายามนี้จะมาปรากฏอยู่ต่อหน้าของตน อย่างกับความฝันอย่างไรอย่างนั้น


“ดอกอำพรางวิญญาณ…”


สืออวี่สูดปาก เป็นของล้ำค่าที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติก็ยังเสียสติได้ มูลค่าสูงยิ่งกว่าผลึกเก้าลำนำผสานใจเสียอีก!


หากมีของชิ้นนี้จะทำให้ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติสามารถรับรู้ความว่างเปล่าโดยถ่องแท้ จนสามารถหล่อหลอมพลังเทพบริสุทธิ์ของตัวเองได้


“นี่…”


ผู้อาวุโสชิวที่ยังคงขัดแย้งในใจตัวเอง เมื่อได้เห็นดอกอำพรางวิญญาณที่มีสามสิบหกใบแล้ว เส้นความอดทนของชายชราก็ขาดผึง ปรี่เข้ามาดูใกล้ๆ ตาของเขาเป็นประกายวาววับด้วยความหลงใหล


“ไม่อยากเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อเลย ดอกอำพรางวิญญาณนี้อย่างน้อยก็มีอายุขัยกว่าพันปี ลักษณะแทบจะสมบูรณ์แบบ เป็นของชั้นเลิศยิ่งนัก…”


เหตุการณ์ในยามนี้น่าสนใจนัก หลินสวินไม่เอ่ยปากสักคำ เพียงหยิบสิ่งของวิญญาณขึ้นมาสองชนิดก็ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


บุคคลที่ถือตัวว่าเป็นนักประเมินทรัพย์ไม่มีความทะนงตัวและอคติดังเช่นก่อนหน้า แต่กลับหลงใหลตื่นเต้น ตกใจเสียอาการไปกับความเย้ายวนของวัตถุวิญญาณ


สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้สืออวี่ตาค้าง รำพึงในใจ หลังจากที่รู้จักกับหลินสวินในค่ายกระหายเลือดมา เขาไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่องใดเป็นปัญหาแก่หลินสวินเลย


รวมถึงตอนนี้ก็ด้วย!


ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำให้นักประเมินทรัพย์แสนสุขุมของอัครการค้าสาขาหลักเสียอาการครั้งแล้วครั้งเล่าได้


อาจมีคนบอกว่าเป็นเพราะวัตถุวิญญาณสองชนิดนั้น แต่อย่าลืมว่าของทั้งสองชนิดนั้นล้วนมาจากตัวหลินสวิน หากไม่ยอมรับก็ลองให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นไปเอาวัตถุวิญญาณสองสิ่งนี้มาให้ได้สิ


“ทุกท่านดูชัดกันแล้วหรือยังขอรับ” ในที่สุดหลินสวินก็เอ่ยขึ้น เก็บดอกอำพรางวิญญาณในมือลง


ยามนั้นเหล่าชายชราพลันได้สติคล้ายตื่นจากความฝัน ท่าทางประดักประเดิด


“ยืนยันได้ว่านี่คือดอกอำพรางวิญญาณแน่นอน” ผู้อาวุโสชิวกระแอมขึ้น กล่าวเสียงเข้ม


ชายชราคนอื่นส่งสายตาให้กัน หลังจากได้สติคืนมา พวกเขาต่างรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวิน


ก่อนหน้านี้พวกเขายังมองว่าหลินสวินเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ใช้นามของสืออวี่มาโก่งราคาในอัครการค้า จึงมีท่าทีไม่เกรงใจและทะนงตน


ทว่าเมื่อหลินสวินนำของวิญญาณสองชนิดนั้นออกมาทำให้พวกเขารู้ตัวว่าตัวเองมองผิดไป แต่พวกเขาไม่ยอมขอโทษเด็กหนุ่มด้วยต้องรักษาหน้า ทำให้บรรยากาศในห้องอึมครึมลง


นี่เป็นสิ่งที่หลินสวินต้องการจะเห็น เขายิ้มน้อยๆ กล่าว “ในเมื่อยืนยันแล้ว ทุกท่านเชิญให้ราคามาเถอะ อ้อ คิดตามราคาตลาดนะ”


ได้ยินคำว่า ‘ราคาตลาด’ ชายชราเหล่านั้นพลันหน้ากระตุกโดยไม่รู้ตัว แสบๆ คันๆ คล้ายโดนตบเข้าบ้องหู


“เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการขายสองสิ่งนี้จริงๆ”


ผู้อาวุโสชิวสูดลมหายใจ อดกลั้นความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้


“แน่ใจ” หลินสวินเอ่ย “หากอัครการค้าไม่ยินดีรับไว้ ข้าไปขายให้ร้านอื่นก็ได้”


ชายชราคนหนึ่งรีบเอ่ยว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เพราะว่าของสิ่งนี้ล้ำค่าหากได้ยาก พวกข้าจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าจะขายมันจริงๆ”


“ใช่แล้ว” คนอื่นพากันเอ่ยสมทบ


หากรับของสองสิ่งนี้ไว้ ล้วนเป็นผลดีต่อทั้งอัครการค้าและพวกเขาทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วพวกเขาจะยอมให้ของล้ำค่าหายไปจากสายตาได้อย่างไร


“คุณชายสาม ท่านคิดเห็นอย่างไร”


ผู้อาวุโสชิวหันไปมองสืออวี่ น้ำเสียงอ่อนโยนอารีด้วยหวังให้เขาช่วยออกหน้าเอ่ยเกลี้ยกล่อมมหลินสวิน


สืออวี่เบิกบานในใจ แต่ปากกลับปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าให้ราคามิตรภาพกับเขา เขายังไม่ต้องการเลย เพื่อนอย่างข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาได้อย่างไร”


ได้ยินคำว่า ‘ราคามิตรภาพ’ สีหน้าของเหล่าชายชราล้วนแปลกไป พวกเขามีหรือจะไม่รู้ว่าสืออวี่กับหลินสวินกำลังแก้แค้นกันอยู่ แต่ช่วยไม่ได้ เพื่อรักษาของล้ำค่าสองสิ่งนี้ไว้ พวกเขาทำได้เพียงอดทน


“เอาอย่างนี้แล้วกัน เชิญผู้อาวุโสทุกท่านเสนอราคามา หากข้าคิดว่าดีพอก็จะขายสองสิ่งนี้ให้ หากไม่ได้…” หลินสวินกดเสียงเข้ม “ขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านเห็นแก่หน้าสืออวี่ อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”


เหล่าชายชราคล้ายรู้สึกว่าทุกคำพูดของหลินสวินกำลังแดกดันพวกเขา ทำให้พวกเขาลำบากใจ เสียใจที่ไปผิดใจกับเด็กคนนี้จนเหตุการณ์กลายเป็นอย่างนี้ไปได้


อย่างนี้เรียกว่ากรรมตามสนองทันตาเห็น


ที่ทำให้พวกเขาอัดอั้นที่สุดก็คือ ของสองสิ่งนี้ล้ำค่าหาได้ยากเกินไป ทำให้ไม่ง่ายต่อการเสนอราคา


ว่าง่ายๆ หากปล่อยข่าวออกไปว่าอัครการค้าจะเปิดขายของสองสิ่งนี้ แม้ราคาจะสูงเพียงใดก็ย่อมมีผู้ฝึกปราณหลายคนรุมล้อมเข้ามาแย่งชิง


“คือว่า…ให้เราปรึกษากันก่อนได้หรือไม่” ผู้อาวุโสชิวเอ่ยอย่างลังเล


คนอื่นผงกหัวเห็นด้วย หากให้ราคาต่ำไปหลินสวินย่อมไม่พอใจ จนทำให้อัครการค้าพลาดจากของล้ำค่าสองสิ่งนี้ แต่หากให้ราคาสูงไป ทางอัครการค้าก็จะเสียผลประโยชน์ ดังนั้นพวกเขาต้องหาวิธีที่ทำให้ทั้งหลินสวินพอใจ ทั้งให้อัครการค้าได้ผลประโยชน์ไปพร้อมกัน


“เชิญผู้อาวุโสทุกท่านตามสบาย” หลินสวินพยักหน้าตกลง


ชายชราเหล่านั้นออกไปหาห้องปรึกษากันทันใด


“สะใจนัก” สืออวี่ที่ยืนชมเหตุการณ์อยู่ยิ้มเผล่ สบถออกมาด้วยความสะใจ


“นี่เป็นเพียงละครเล็กน้อยที่ทำให้พวกเขาต้องข่มอารมณ์และเปลี่ยนท่าทีเท่านั้น” หลินสวินว่าอย่างไม่ยี่หระ


“ฮ่าๆ แค่นี้ก็พอแล้ว”


สืออวี่คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยเตือน “เดี๋ยวอีกหน่อยเจ้าก็อย่าทำให้พวกเขาเสียหน้านักล่ะ”


หลินสวินยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว”


เขาก้มกระซิบสืออวี่ “ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ว่าพวกเขาจะเสนอราคามาเท่าไหร่ข้าก็ไม่มีทางรับ”


สืออวี่ผงะ ใคร่ครวญคิดตาม “ก็ใช่ ของล้ำค่าเช่นนี้ใครจะเอาออกมาขายแลกเงินกันเล่า”


หลินสวินส่ายหน้า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่เรื่องของราคา แต่ข้าคิดไว้แล้วว่าจะขายผ่านการประมูล”


คุณชายสืออวี่มึนงง “วิธีของเจ้าไม่เลวเลย แต่หากทำเช่นนี้อัครการค้าของข้าก็เสียเปรียบน่ะสิ”


หลินสวินค้อน “เจ้าแน่ใจหรือว่าอัครการค้าเป็นของเจ้า ข้าทำเช่นนี้ถือเป็นการยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ช่วยเหลือตัวเองแล้วยังเปิดโอกาสให้เจ้าแสดงความสามารถด้วย”


หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว สืออวี่ก็คิดขึ้นได้ เอ่ยด้วยความตกใจ “เจ้าจะให้ข้าออกหน้า ช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”


เด็กหนุ่มพยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่ว่าราคาประมูลจะสูงหรือต่ำ อย่างน้อยทุกอย่างก็ถือเป็นผลงานของเจ้า”


สืออวี่ใคร่ครวญครู่ใหญ่ ก่อนมองหลินสวินด้วยสายตาซับซ้อน “เจ้านี่ความคิดลึกล้ำเกินไปแล้ว”


“ไร้สาระ เจ้าจะตกลงหรือไม่ตกลง” หลินสวินกลอกตา


อีกฝ่ายตอบทันที “ตกลงสิ คนโง่เท่านั้นแหละที่จะปฏิเสธโอกาสดีๆ เช่นนี้”


หลินสวินผงกหัว นำผลึกเก้าลำนำผสานใจกับดอกอำพรางวิญญาณส่งให้สืออวี่


เขานำของวิญญาณล้ำค่าอีกสามสี่ชิ้นที่ไม่ได้ใช้ส่งให้สืออวี่ไปด้วย “โอกาสไม่ได้มีง่ายๆ เอาของพวกนี้ไปประมูลทั้งหมดเถิด”


สืออวี่เหม่อลอย คิดไม่ถึงว่าหลินสวินเอาวัตถุวิญญาณที่ไม่ด้อยไปกว่าผลึกเก้าลำนำผสานใจกับดอกอำพรางวิญญาณอีกสามสี่ชิ้นให้เขาอีก


นะ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)