Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 324 - 327
ตอนที่ 324
หอเก็บตำราที่ว่างเปล่า
โดย
ProjectZyphon
หลินจงสีหน้าภูมิใจ “คุณชาย ตอนนี้นอกจากท่านแล้ว ในตระกูลหลินก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ครอบครองภูเขาชำระจิต”
หลินสวินเข้าใจในทันที นี่เป็นการดูแลแบบพิเศษของทางราซวงศ์
หลายร้อยปีก่อน หลินเต้าเฉิน บรรพบุรุษตระกูลหลินระดับสังสารวัฏรบเพื่อจักรวรรดิ แม้สุดท้ายจะเสียชีวิต แต่ก็ช่วยเหลือประเทศชาติให้รอดพ้นจากภัย ดังนั้นราชวงศ์จึงมีราชโองการยกภูเขาชำระจิตให้บุตรหลานของหลินเต้าเฉิน
หลินเฟยถิง ท่านปู่ของหลินสวินเป็นบุตรชายคนโตของหลินเต้าเฉิน ส่วนหลินเหวินจิ้ง บิดาของเขาก็คือหลานคนโตของหลินเต้าเฉิน
หากนับตามอายุ หลินสวินก็คือเหลนของหลินเต้าเฉินนั่นเอง
ในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อสิบปีก่อน สายเลือดตรงของหลินเต้าเฉินถูกสังหารจนเกือบหมด ดังนั้นหากยึดตามราชโองการนั้นแล้ว หลินสวินคือผู้เดียวที่มีสิทธิ์ครอบครองภูเขาชำระจิต
ส่วนทายาทสายรองของตระกูลหลิน เนื่องด้วยไม่มีสิทธิ์ แม้พวกเขาจะไม่ยินยอม แต่ก็ต้องย้ายออกจากภูเขาชำระจิตไปหลังจากเหตุการณ์นองเลือดจบลง
ตามเหตุผลแล้ว สายเลือดตรงของหลินเต้าเฉินเสียชีวิตไปจนหมด แม้แต่ทารกแบเบาะอย่างหลินสวินก็มีคนเข้าใจว่าตายตกไปแล้ว ภูเขาชำระจิตควรได้รับการเวนคืน แต่แปลกตรงที่ราชวงศ์ไม่ได้มีราชโองการใด ทำให้ภูเขาชำระจิตยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
“หรือตอนนั้นพวกเขารู้ว่าข้าไม่ได้ตาย” หลินสวินตั้งข้อสังเกต
หลินจงที่หลายปีมานี้อยู่ในภูเขาชำระจิตมาโดยตลอดก็สงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินหลินสวินว่าอย่างนั้น เขาไม่วายพึมพำ “อาจจะเป็นไปได้ หลายปีมานี้ข้ากังวลมาโดยตลอด ว่าภูเขาชำระจิตจะถูกเวนคืน แต่ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นเลย จนกระทั่งคุณชายกลับมา หากคาดการณ์เช่นนี้ ทางราชวงศ์คงคาดเดาว่าสักวันท่านจะกลับมา”
หลินสวินพลันนึกถึงท่านคนนั้นในวัง จะใช่เขาหรือไม่ เด็กหนุ่มรีบสะบัดหัว
คำถามนี้ไม่สำคัญในตอนนี้ ที่สำคัญคือภูเขาชำระจิตยังเป็นของตระกูลหลิน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“ลุงจง ข้าอยากถามอะไรท่านหน่อย” หลินสวินท่าทางหนักแน่น
หลินจงนั่งหลังตรงว่า “คุณชายเชิญถามได้เลย บ่าวตอบตอบได้ก็จะไม่ปิดบัง”
เด็กหนุ่มยืดตัวเข้าไปหา นัยน์ตาสีดำล้ำลึกจ้องหลินจงนิ่ง “หากข้าจะฟื้นฟูตระกูลหลิน ท่านคิดว่าควรเริ่มลงมือจากที่ใด”
บ่าวชราพลันตื่นเต้น แต่ไม่นานก็สงบท่าที กล่าวอย่างขมขื่น “คุณชาย ตอนนี้ภูเขาชำระจิตมีแต่ท่านกับข้าเพียงสองคน จะทำเรื่องเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้”
เขาย่อมรู้ดีกว่าหลินสวิน ว่าตระกูลหลินในยามนี้เป็นเช่นไร แม้หลินสวินจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีสิทธิ์ครอบครองภูเขาชำระจิต แต่เขาก็ยังเด็กเกินไป เพิ่งอายุได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ทั้งยังตัวคนเดียวอีก จะฟื้นฟูตระกูลหลินได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหลินสายรองทั้งสี่ไม่มีทางยอมกลับคืนมาแน่
กลับกัน หลินจงกล้าฟันธงว่าเมื่อสี่สายรองทราบว่าหลินสวินกลับมายึดครองภูเขาชำระจิต แล้วยังนั่งตำแหน่งเจ้าตระกูลอีก พวกเขาต้องไม่มีทางยอมแน่
หลินจงรู้จักคนตระกูลรองเหล่านั้นดี หลังจากเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น พวกเขาต่างก็แก่งแย่งกำนาจ คบค้ากับศัตรูทำให้เกิดการต่อสู้ภายในตระกูลหลิน อำนาจและทรัพย์สมบัติที่เคยมีก็ถูกแบ่งสรรออกไปจนหมด คนพวกนี้น่ะหรือจะยอมให้หลินสวินครอบครองภูเขาชำระจิตแต่เพียงผู้เดียว
ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มอำนาจที่มาเอาสมบัติของตระกูลหลิน เกรงว่าคงไม่ยอมให้หลินสวินได้ทำตามอำเภอใจ
ภายในน่าเป็นห่วง ภายนอกน่ากังวล
หลินสวินอายุยังน้อย ตัวคนเดียว อำนาจไม่เพียงพอ หากต้องการรวบรวมกุมบังเหียนตระกูลหลิน นั่นยากกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก
หลินสวินรู้ได้ทันทีว่าหลินจงไม่ได้จงใจขัดคอเขา แต่คิดว่าตัวเขาตอนนี้ยังไม่มีความสามารถจะควบคุมตระกูลหลินได้ ทำเอาเด็กหนุ่มได้แต่เงียบไม่พูดจา
เขารู้ชัดว่าตอนนี้ขาดกำลังคน กำลังทรัพย์ รวมทั้งทรัพยากรในการสนับสนุน หากอยากฟื้นฟูตระกูลหลิน แน่นอนว่าต้องลำบากอย่างยิ่งยวด แต่ในเมื่อเขากลับมาแล้ว จะไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร
ไม่กลัวลำบากก็ให้กลัวตัวเองยอมแพ้
ตระกูลหลินในยามนี้จะตกต่ำเพียงใด สถานะอันตรายแค่ไหน สถานการณ์ไม่ดีอย่างไร เพียงเริ่มลงมือแก้ไขไปทีละขั้น สุดท้ายก็ย่อมมีหวังที่จะเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูกลับมาใหม่อีกครั้ง แต่หากไม่ทำอะไร ยังไม่สู้ออกไปจากนครต้องห้ามเสียตั้งแต่ตอนนี้
แน่นอน ตามนิสัยของหลินสวินแล้วไม่มีทางยอมแพ้ไปเช่นนี้แน่นอน
“ลุงจง ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ แต่บอกข้าก่อนว่าควรจะทำอย่างไร ทำแล้วอาจจะพ่ายแพ้ แต่หากไม่ทำข้าคงเสียใจไปตลอดชีวิต” หลินสวินสายตามุ่งมั่น
หลินจงคิดไม่ตก ครู่ใหญ่จึงกัดฟันว่า “ช่างเถิด บ่าวใช้ชีวิตอาภัพมานับสิบปี อยู่ไม่สู้ตาย หากไม่เพราะไม่อยากให้คนเข้ามายึดครองภูเขาชำระจิตของท่านเจ้าตระกูล ข้าคงขอมตายไปนานแล้ว ในเมื่อคุณชายอยากลองสักตั้ง เช่นนั้นบ่าวก็จะสู้ถวายหัวไปกับท่านด้วย” เขาว่าน้ำเสียงแน่วแน่
เด็กหนุ่มยิ้มบาง ตบบ่าหลินจง “ลุงจงไม่ต้องห่วง แม้ข้าจะตัวคนเดียว แต่นับตั้งแต่ข้าเริ่มฝึกปราณมายังไม่เคยเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้”
“คุณชาย จะจัดการภายนอกต้องทำให้ภายในสงบเสียก่อน สิ่งที่ท่านต้องทำอย่างแรก ก็คือทำความเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลหลินทั้งหมด”
“มีเพียงจัดการปัญหาภายในให้เรียบร้อย พวกเราถึงจะรวบรวมพลังของตระกูลต่อสู้กับศัตรูได้”
นี่คือคำแนะนำของหลินจง
หลินสวินใคร่ครวญสักพักก็พยักหน้าเห็นด้วย
ใช่แล้ว เขาเพิ่งเข้ามาในนครต้องห้าม ต้องพบเจอกับเรื่องมากมาย แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือจัดการปัญหาภายในตระกูลเสียก่อน
หากจัดการได้ก็เท่ากับว่ามีรากฐานมั่นคง ให้พอจะยืนหยัดขึ้นมาได้ หากรากฐานไม่มั่นคง คิดจะแก้แค้นแทนบิดามารดานั่นก็เสียสติ เลิกคิดไปได้เลย
เพื่อเป็นการทำความเข้าใจสถานการณ์ภายในของตระกูลหลิน หลินจงนำหลินสวินออกไปจากตำหนักชำระจิต
…
หลังภูเขาชำระจิต
หอเก็บตำรา
ตึกโบราณเจ็ดชั้นตั้งตระหง่านใต้แสงดาว ที่นี่เป็นที่เก็บตำราของตระกูลหลิน ถือเป็นพื้นที่ต้องห้าม ภายในเก็บรวบรวมวิชาฝึกฝนที่สืบทอดกันมานับพันปีของตระกูลหลินเอาไว้
ตระกูลหลินในเวลานั้นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลชั้นสูง อำนาจคับฟ้า แค่คิดก็รู้ว่าตำราที่สืบทอดกันมาจะน่าตกใจเพียงใด
หอเก็บตำรานี้สามารถบ่งบอกได้ว่าตระกูลยิ่งใหญ่แค่ไหน
เพียงแต่เมื่อหลินจงพาหลินสวินเข้ามาข้างในแล้ว กลับพบว่าชั้นหนังสือว่างเปล่า มีแต่หยากไย่และเศษกองฝุ่น คล้ายถูกขโมยลักไปจนหมด อย่าว่าแต่ตำราฝึกปราณ แม้เศษกระดาษสักแผ่นยังหาไม่เจอ
“คุณชาย หอเก็บตำรามีทั้งหมดเจ็ดชั้น เป็นสถานที่ซึ่งบรรพบุรุษร่วมกันสร้างขึ้นมา ตอนนั้นมีตำราทุกเล่มที่อยู่ในนี้จนเต็มไปหมด”
หลินจงเอ่ยเสียงเบา ท่าทางซับซ้อน พลางมองห้องว่างเปล่าเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่
“เพียงชั้นแรกก็มีตำราฝึกฝนมากถึงสามพันกว่าเล่ม วิชาลับในการต่อสู้อีกหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าเล่ม”
“แต่หลังจากเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น ตำรามีค่าทั้งหลายก็ถูกขโมยออกไปจนหมด” หลินจงพูดเสียงขมขื่น
หลินสวินมองไปรอบๆ อยู่นาน ไม่พูดอะไร ทว่ากำหมัดแน่นไม่รู้ตัว
“คุณชาย ชั้นที่สองมีตำราฝึกฝนอยู่หนึ่งพันหกร้อยเล่ม และมีวิชาลับในการต่อสู้อีกเจ็ดร้อยกว่าเล่ม”
ชั้นที่สองก็มีเพียงชั้นหนังสือว่างเปล่าเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ บางที่มีร่องรอยการต่อสู้และรอยเลือดหลงเหลืออยู่
“ไปเถิด ขึ้นไปชั้นสาม”
หลินสวินยืนมองเงียบๆ อยู่นาน ก่อนจะสูดลดหายใจลึกเก็บสายตากลับมา
หลินจงพาหลินสวินขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกชั้นท่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเช่นเดียวกันไม่มียกเว้น จนกระทั่งถึงชั้นบนสุด หลินจงก็นิ่งงัน ท่าทางสลดเศร้าใจมากยิ่งขึ้น ความรู้สึกมากมายอัดอั้นอยู่ภายในใจ คล้ายกำลังจะระเบิดออก
บนชั้นเจ็ดชั้นหนังสือไม่กี่ชั้น ด้วยความที่เป็นสถานที่ต้องห้าม หากไม่ใช่เจ้าตระกูลหลินในยามนั้น ล้วนไม่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามา
“คุณชาย ชั้นเจ็ดนี้เป็นที่เก็บวิชาลับล้ำค่าของตระกูลหลิน มีทั้งสิ้นเจ็ดเล่ม นอกจากนี้ยังมีวิชาฝึกจิตอีกสี่สิบห้าเล่มที่บรรพบุรุษเก็บเอาไว้ หนึ่งในนั้นมีบันทึกการสืบทอดอำนาจที่แท้จริงอยู่ด้วย” เมื่อพูดจบหลินจงก็คล้ายหมดแรงกาย ท่าทางซึมไป
หลินสวินหยุดฝีเท้าไว้แต่เพียงเท่านั้น ไฟในใจคล้ายจะปะทุออกมาจนควบคุมไม่อยู่ ท่ามกลางความสับสน เขาเหมือนมองเห็นภาพศัตรูเข้ามาหอบเอาข้าวของในนี้อย่างบ้าคลั่ง
นั่นเป็นตำราที่บรรพบุรุษตระกูลหลินรวบรวมมาด้วยความมุ่งมั่นทั้งหมด เป็นต้นตอของการตั้งตระกูล แต่ยามนี้ว่างเปล่าจนหมดสิ้น
กรอบ
หลินสวินสองหมัดกำแน่นจนเสียงกระดูกดังลั่น เส้นเอ็นหลังมือปูดโปน นัยน์ตาสีดำล้ำลึกของเขาคล้ายเป็นวังวนมีไฟลุกแผดเผา
ผ่านไปนานทีเดียว หลินสวินถึงเก็บสายตากลับมา แล้วก้าวเดินลงไปจากหอเก็บตำรา เด็กหนุ่มไม่กล้ามองต่อไป ด้วยกลัวว่าจะควบคุมไฟแค้นในใจไม่ได้ หอสมบัติที่บรรพบุรุษร่วมกันสรรสร้าง โดนทำลายย่อยยับเพราะเหตุการณ์นองเลือดเพียงคืนเดียว
แม้จะเป็นเพียงคนนอก ได้เห็นภาพเช่นนี้แล้วก็ย่อมเสียดาย แล้วหลินสวินที่เป็นบุตรหลานสายตรงของตระกูลหลินเล่า
“ลุงจง ท่านรู้หรือไม่ ว่าใครบ้างที่เอาตำราพวกนี้ไป”
“รู้ขอรับ”
“ดี ท่านเขียนรายชื่อมาให้ข้า ห้ามตกหล่นเด็ดขาด”
“คุณชายวางใจ บ่าวไม่เคยลืมคนเลวร้ายพวกนั้น”
หลังจากเดินออกมาจากหอตำรา หลินสวินสูดลมหายใจลึก เริ่มสั่งการเรื่องราวให้กับหลินจง
เขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ตอนปล้นของในหอเก็บตำรามีคนจากตระกูลรองทั้งสี่ด้วยหรือไม่”
หลินจงพลันตัวแข็ง สีหน้ากระอักกระอ่วน
ไม่ต้องถามอีกหลินสวินก็รู้คำตอบ สายตาของเขาฉายแววเย็นชา ปากยกยิ้มบาง “ดี ดีมาก” รอยยิ้มนั้นเย็นเยือกเสียยิ่งกว่าดวงตาของเขา ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ฝ่ายหลินจงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเย็นวาบจับขั้วหัวใจอย่างน่าประหลาด ส่งผลให้ทั้งร่างเปิดพลังวิญญาณไว้ป้องกันตัว
ตอนที่ 325
ตระกูลหลินแห่งธารประจิม
โดย
ProjectZyphon
หลังจากนั้นหลินจงก็พาหลินสวินเดินลัดเลาะมาตามทางคดโค้งของภูเขา มาถึงสถานที่ต้องห้ามอีกแห่งหนึ่งของตระกูลหลิน คลังเก็บสมบัติวิญญาณ
คลังเก็บสมบัติวิญญาณทั้งหมดแบ่งเป็นห้าระดับ เดิมทีเป็นที่เก็บอาวุธวิญญาณกว่าหมื่นชิ้น นับแต่อาวุธวิญญาณระดับล่างสุดอย่างระดับมนุษย์ จนถึงระดับสูงสุดอย่างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ ในนั้นมีทั้งมีดทวนกระบี่ดาบ ค้อนขวานง่ามหอกและอาวุธอื่นๆ และยังมีเกราะอก เกราะไหล่ เกราะเอว รองเท้าต่อสู้ เกราะกันหัวใจ และอาวุธป้องกันชนิดอื่นด้วย
กระทั่งมีหน้าไม้วิญญาณ ธนูไฟ เรือรบ และอาวุธสังหารร้ายแรงมากมาย
แต่ยามนี้ที่แห่งนี้กลับว่างเปล่า…
เมื่อหลินสวินเดินออกมาจากคลังสมบัติ แม้ท่าทีจะไม่เปลี่ยนไป แต่ทั้งร่างกลับมีไอสังหารลอยออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
หากไม่ใช่เพราะจิตใจของหลินสวินถูกขัดเกลาจนแข็งแกร่งดุจหินผา เกรงว่าคงโกรธกระอักเลือดตายไปนานแล้ว และหากบรรพบุรุษตระกูลหลินมาเห็นภาพเช่นนี้ ก็คงตายตาไม่หลับเช่นกัน
หลังจากออกมาจากคลังเก็บสมบัติวิญญาณแล้ว หลินจงก็นำทางหลินสวินไปที่หอเก็บโอสถ บ่อเลี้ยงสัตว์ ห้องยาวิญญาณ และอีกหลายสถานที่ที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลหลิน
ผลสุดท้าย ทุกที่ล้วนเป็นสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่า ซึ่งบัดนี้หลงเหลือเพียงความว่างเปล่า สะอาดสะอ้าน
กระทั่งหลินสวินกลับมาที่ตำหนักชำระจิต นั่งนิ่งตกอยู่ในภวังค์ความเงียบคล้ายรูปปั้น ไม่ขยับเขยื้อนคล้ายสูญเสียอารมณ์ในจิตใจ
ดวงดาวพร่างพราวและพระจันทร์ส่องแสงนอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน เด็กหนุ่มนั่งอยู่ในตำหนักคนเดียว ภายในใจว้าวุ่น อารมณ์ไม่คงที่ ส่งผลให้ลมหายใจไม่คงที่อยู่นาน
เขาคาดเดาได้ว่าตระกูลหลินในวันนี้ตกต่ำเพียงใด แต่ไม่คิดว่าภูเขาชำระจิตขนาดใหญ่นี้จะถูกปล้นจนร้างหมดเช่นนี้ เหลือเพียงห้องหับกับเครื่องเรือน นอกจากนี้ก็ไม่เหลือของมีค่าอะไรอีกแล้ว
นี่คือสถานการณ์ที่หลินสวินประสบอยู่ตอนนี้
หลินจงยืนอยู่อีกด้านของตำหนัก มองหลินสวินด้วยความห่วงใย กลัวว่าหลินสวินจะรับไม่ได้แล้วเสียสติไป
คิดแล้วก็ถูก ภูเขาชำระจิตยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ แต่ใครจะคิดว่าบัดนี้สถานที่ที่เป็นตัวแทนเกียรติยศกลับว่างเปล่าเหลือเพียงเปลือก
หนึ่งเค่อผ่านไป
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
หนึ่งก้านธูปผ่านไป
เวลาผ่านไป หลินสวินนั่งนิ่งไม่พูดจา ทำให้หลินจงยิ่งกังวล เขาเสียดายที่บอกทุกอย่างกับหลินสวินในคืนนี้
คุณชายเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ยังเด็กเกินไป อยู่ๆ มารับรู้ว่าจะต้องรับมือกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เด็กหนุ่มจะรับความโหดร้ายนี้ได้อย่างไร
“คุณชาย”หลินจงรวบรวมลมหายใจ อยากปลอบใจหลินสวิน “ถ้าไม่ไหวจริงๆ…พวกเราก็ยอมแพ้เถิดขอรับ แค่ท่านมีชีวิตอยู่ก็สำคัญยิ่งกว่าอะไรแล้ว”
ในที่สุดหลินสวินที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นก็มีปฏิกิริยา
เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินจง ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ว่าเสียงเบา “ลุงจง ไม่ได้หรอก หากยอมแพ้ยามนี้มันยากยิ่งกว่าฆ่าข้าเสียอีก”
สักพักเขาก็ลุกขึ้นยืน มองออกไปข้างนอกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด “ตอนเข้ามาในนครต้องห้าม มีคนบอกข้าว่าสามารถก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้ตามอำเภอใจ ตอนนั้นข้ายังสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงเอ่ยพูดเช่นนี้ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าไม่ก่อเรื่อง ตระกูลหลิน…คงจะไม่มีความหวังที่จะฟื้นตัวแล้ว” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ
หลินจงตื้นตัน มองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยความรู้สึกสงบในใจ คล้ายบนกายของเขามีเงาของนายท่านในยามเยาว์
ตอนนั้นเพื่อจะสู่ขอนายหญิง ภายใต้การคัดค้านของตระกูล นายท่านก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ข้าจะทำในสิ่งที่ข้าตัดสินใจ
…
ตำหนักชำระจิตมีพื้นที่ขนาดใหญ่ รวมทั้งหมดสามชั้น
ชั้นแรกเป็นโถงสำหรับประชุมตระกูล
ชั้นที่สองเป็นห้องทำงานของเจ้าตระกูล
ชั้นที่สามเป็นห้องสงบใจ มีไว้ให้เจ้าตระกูลฝึกปราณ
ไม่นานหลินสวินก็นั่งลงหน้าโต๊ะทำงานที่ว่างเปล่า มือหนึ่งยกตราประทับผลึกหยกสีม่วงใสขึ้นสำรวจ บนตราประทับนั้นสลักคำว่าชำระจิตอยู่ ไม่รู้ว่าสร้างมาจากอะไร ถึงได้มีพลังลึกลับคลุ้งออกมา
ตราประทับหยกเป็นตัวสำคัญในการปกครองภูเขาชำระจิต มีเพียงควบคุมมันได้ ถึงจะเปิดประตูขึ้นบนเขาชำระจิตได้
หมายความว่าหากหลินสวินไม่เต็มใจเปิดเส้นทาง ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเข้ามาในภูเขาชำระจิตได้ นอกจากบุกรุก
แต่ด้วยเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ หากใครคิดจะบุกเข้ามา ก็คงต้องคิดถึงผลลัพธ์ให้ดี
ของชิ้นนี้เดิมทีเป็นหลินจงดูแล แต่ตอนนี้ชายชรายกให้หลินสวินแล้ว นั่นก็หมายความว่านับจากวันนี้ อำนาจในการเปิดประตูของตระกูลคงไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างน้อยการเข้าออกภูเขาชำระจิตนั้น มีเพียงหลินสวินที่ตัดสินใจได้
เพียงแต่หลินสวินมองว่า ของชิ้นนี้อยู่กับตนแล้วไม่เกิดประโยชน์สำหรับการจัดการปัญหาภายใน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ตัวเขาเองต้องแข็งแกร่งยื่งขึ้น
คิดถึงตรงนี้ หลินสวินก็เก็บหยกประทับชำระจิตเอาไว้ ก่อนจะหยิบปิ่นปักผมสีเงินรูปลักษณ์เรียบง่ายออกมา
นี่คือสิ่งที่ครูฝึกใหญ่สวีซานชีให้ไว้เมื่อตอนออกมาจากค่ายกระหายเลือด เขาบอกหลินสวินว่าหากมีโอกาสเข้ามาในนครต้องห้ามแล้วเจอเรื่องยุ่งยาก ให้นำของสิ่งนี้ไปที่เรือนพญาแร้ง เจ้าของที่นั่นจะให้ความช่วยเหลือแก่หลินสวิน
เดิมทีหลินสวินไม่คิดจะรับไว้ แต่จากนั้นสวีซานชีก็พูดคำที่ทำให้หลินสวินเปลี่ยนใจ “เสี่ยวเค่อก็อยู่ที่นั่น หรือเจ้าไม่อยากเจอครูฝึกของเจ้าอีก”
ปิ่นสีเงินรูปทรงเรียบง่ายในมือหลินสวินทำให้เขาคิดถึงร่างสง่าแต่เย็นชาคล้ายหิมะอย่างครูฝึกเสี่ยวเค่อ
…
ยามพระอาทิตย์ขึ้น
หลินสวินที่ไม่ได้นอนเดินออกจากตำหนักชำระจิต
ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า สาดแสงทองทอประกายย้อมมวลเมฆ ทั่วทั้งภูเขาชำระจิตคล้ายแดนมหาเทพ ครั้นมองจากยอดเขา แสงสีทองกับแสงม่วงจากเมฆประสานกันสวยงาม ปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นทำให้หลินสวินใจสั่น
นี่คือภูเขาชำระจิต หนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ ตั้งอยู่เหนือพื้นดินบนนครต้องห้ามกว่าร้อยจั้ง มีเพียงตระกูลมีอำนาจเท่านั้นถึงจะครอบครองสถานที่ตรงนี้ได้
“คุณชาย ท่านจะให้ข้าไปด้วยหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก ลุงจง เมื่อข้ากลับมาแล้ว รบกวนท่านนำรายชื่อบุคคลที่ขโมยทรัพย์สินทุกอย่างมาวางไว้ที่ห้องทำงานด้วย”
“คุณชายไม่ต้องห่วงขอรับ”
หลินสวินบอกลาหลินจง ลงจากเขาชำระจิตเพียงลำพัง
เดิมทีการขึ้นลงยอดเขาจะต้องใช้รถเทียมกวางขนหิมะ แต่เพราะเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น แม้แต่กวางขนหิมะก็ถูกขโมยไปด้วย
ทุกครั้งที่หลินสวินนึกถึงการกวาดล้างขโมยของเหล่านี้ ในใจก็เกลียดแค้นขึ้นมา
วิ้ง
ใต้เขา หลังจากกระบวนรอยสลักวิญญาณเปิดออก ประตูที่มองไม่เห็นก็ปรากฏขึ้น บันไดหยกสีขาวคล้ายสายรุ้งปรากฏขึ้นมา เชื่อมระหว่างพื้นดินที่สูงขึ้นมาร้อยจั้ง
เมื่อหลินสวินเดินออกมาไม่นาน เขาก็หยุดฝีเท้า เพรามีคนยืนรออยู่ที่พื้น
นั่นเป็นกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว ทุกคนอยู่ในชุดแพรราคาแพง เพียงดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาคล้ายว่ารอมานานแล้ว จนตอนนี้ท่าทางทนไม่ไหวกำลังก่นด่า
เมื่อเห็นหลินสวินปราฎตัวออกมาก็ได้สติ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่เด็กหนุ่ม เมื่อเห็นชัดว่าหลินสวินเป็นเพียงเด็กชายวัยสิบกว่าปีก็ไม่มีใครเอ่ยปาก
“หลินเหวินซิว ไอ้เด็กมอมแมมนี่คือคนร้ายที่เจ้าว่าหรือ”
“จิ๊ๆ ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะแพ้ให้เขา”
“อวี่เจียว เจ้าอย่าโมโห ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ในเมื่อกล้าตีเจ้า พี่ก็จะตัดแขนมันเอง”
หลินสวินถึงตระหนักได้ว่าคนในกลุ่นนั้นมีพวกวัยรุ่นเมื่อวานรวมอยู่ด้วย ตอนนี้กำลังมองมาที่เขาอย่างโกรธแค้น
หาคนมาแก้แค้นแทน? เมื่อความคิดนี้ปราดขึ้นมา หลินสวินก็รีบปฏิเสธ เพราะเขามองออกว่าแม้คนพวกนี้จะอวดดี แต่ไม่มีใครกล้าลงมือ
ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวตัวเขา แต่เพราะชายชุดเหลืองตรงหน้า
ชายคนนี้ตัวสูง คิ้วคมดุจดาบ สองตาแหลมคมดังสายฟ้า เพียงยืนตรงนั้นก็มีความสูงส่ง บีบบังคับคนได้
เขามีปราณขั้นผสานฟ้า
ปราดเดียวหลินสวินก็คาดคะเนความสามารถของเขาได้ ชัดเจนว่าชายชุดเหลืองผู้นี้คงจะเป็นบุตรหลานที่เก่งกาจที่สุดในสายตระกูลรองสักสาย
“อวี่เจียว หลินสวินที่เจ้าว่าคือเขาใช่หรือไม่”
สายตาของชายชุดเหลืองดั่งสายฟ้า จ้องนิ่งมาที่หลินสวิน น้ำเสียงราบเรียบ ท่าทางข่มคน
“พี่อิงเจิน เขานั่นแหละ”
หลินอวี่เจียวที่อยู่ข้างๆ สายตาโกรธแค้น ใบหน้าของนางบวมแดง ถูกผ้าปิดเอาไว้ แต่หลุมเขียวรอบตากลับปิดไม่หมด
“ข้ารู้แล้ว เจ้าถอยไปก่อน”
ชายชุดเหลืองสั่ง ก่อนก้าวเข้ามาถึงตีนบันไดสีขาวหยก เงยหน้ามองหลอนสวินที่อยู่บนบันได “ข้าหลินอิงเจิน มาจากตระกูลหลินแห่งธารประจิม ได้ยินว่าเจ้าโอ้อวดจะมาปกครองภูเขาชำระจิตอย่างนั้นหรือ”
หลินอิงเจิน
ตระกูลหลินแห่งธารประจิม
พลันหลินสวินก็นึกถึงคำพูดของหลินจงเมื่อคืน เดิมทีตระกูลหลินสายรองทั้งสี่ที่ย้ายออกไปประกอบไปด้วยตระกูลหลินแห่งธารประจิม ตระกูลหลินแห่งคานเมฆา ตระกูลหลินแห่งยอดวายุ และตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
ตระกูลรองทั้งสี่สายย้ายไปปักหลักตามที่ต่างๆ ในนครต้องห้าม ความสัมพันธ์ของตระกูลทั้งสี่ซับซ้อนยิ่ง มีทั้งความแค้นและมีความร่วมมือต่อกัน
ทั้งหมดล้วนเป็นผลมาจากการแก่งแย่งภายในหลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น
หลินอิงเจินผู้นี้มาจากตระกูลหลินแห่งธารประจิม นั่นหมายความว่าเขาเป็นบุตรหลานของท่านปู่รองแห่งธารประจิมของหลินสวิน
แต่ว่าหลินสวินไม่อยากจะนับญาติสักเท่าใด เพราะเห็นท่าทางมาหาเรื่องถึงหน้าประตูของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็คร้านจะเกรงใจ
“เจ้าพูดผิดแล้ว”
หลินสวินยิ้มบาง “ไม่ใช่คำโอ้อวดว่าจะยึดครองภูเขาชำระจิต ข้าพูดความจริง นับแต่วันนี้ หมาแมวที่ไหนก็ไม่สามารถเข้าออกภูเขาชำระจิตได้ตามใจชอบ”
หมาแมว?
เมื่อได้ยินดังนั้น หน้าของหลายคนก็เปลี่ยนสี เริ่มก่นด่าขึ้นมา เด็กคนนี้บังอาจนัก ไม่รู้จักตายเสียแล้ว!
หลินอิงเจินสีหน้าครึ้มลง โบกมือให้ทุกคนหยุดส่งเสียง บัดนี้สายตาของเขาคมดุจคาบจ้องมองไปที่หลินสวิน “เจ้าบ้าดีเดือดนัก ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเอาความกล้านี้มาจากไหน แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ ว่าอย่าเข้าใจตัวเองผิด ภูเขาชำระจิตไม่ใช่ที่ที่เด็กอย่างเจ้าจะมีสิทธิ์ยึดครอง”
ตอนที่ 326
ปล้นชิงทรัพย์
โดย
ProjectZyphon
เมื่อเห็นว่าหลินสวินแข็งข้อเช่นนี้ คนหนุ่มสาวข้างหลังก็เต้นเร่า
หลินอิงเจินเป็นคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของตระกูลหลินแห่งธารประจิม ในตอนที่ทะลุขั้นผสานใจได้ เขารวบรวมบ่อพลังวิญญาณระดับสองนามว่า ‘กระแสลมธรณี’ ได้ ทำให้ฝึกปราณได้เร็วกว่าปกติ สามปีก่อนได้บรรลุระดับปราณอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบรรลุขั้นผสานฟ้า
ลือกันว่า หลินอิงเจินกำลังเตรียมตัวบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณ
เหตุผลที่เขากดขั้นพลังเอาไว้ ก็เพื่อให้มีพลังปราณหนาแน่นในการบรรลุปราณในภายภาคหน้า ทำให้เส้นทางการฝึกปราณยาวนานขึ้นไปอีก
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณนั้นยากยิ่งนัก แต่สำหรับหลินอิงเจินแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ในใจของคนทั่วไปนั้น หลินอิงเจินคือความภาคภูมิใจของตระกูลหลินแห่งธารประจิม พรสวรรค์โดดเด่น ความสามารถยอดเยี่ยม
เขาออกหน้าด้วยท่าทางแข็งกร้าวไม่กลัวใครในวันนี้ จะไม่ให้เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร บางคนถึงขนาดคิดว่าหลินอิงเจินแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่รู้ว่าหลินสวินจะกลัวจนหดหัวเลยหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นคงน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก
แต่หลินสวินกลับยิ้ม “ไม่ต้องพล่ามหรอก ในเมื่อมาหาเรื่องก็แสดงว่าเจ้าเตรียมตัวถูกตีไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจ ใส่แรงมาได้เต็มที่ รอจัดการเจ้าเสร็จแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำต่อ ไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเจ้า”
คำพูดสบายๆ ทำให้เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ต่างพากันเบิกตาโพลง เด็กคนนี้อวดดีนัก
“พี่อิงเจิน จัดการมันเลย”
“มารดาเจ้าสิ เด็กคนนี้ปากร้ายนัก ต้องจัดการให้หนักเลย”
“รนหาที่ตาย นี่แหละที่เรียกว่าปากพาซวย”
คนกลุ่มนั้นตะโกนว่า
หลินอิงเจินผงะ เขาเคยเจอคนอวดดี แต่ไม่เคยเจอใครอวดดีขนาดนี้ บัดนี้เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาทิ่มแทง และใบหน้าครึ้มเขียวแล้ว
“สหาย คำลาของเจ้าในวันนี้…”
“พูดมาก” หลินสวินกรอกตา ขมวดคิ้วใส่ “เจ้าเป็นสตรีหรืออย่างไร”
“เจ้า”
หลินอิงเจินโมโหแทบกระอักเลือด บุตรหลานตระกูลใหญ่ย่อมใส่ใจพิธีรีตองที่สุด จึงไม่เคยพบเห็นคนปากร้ายอย่างหลินสวินมาก่อน
ชิ้ง
ในยามนี้หลินสวินคล้ายหมดความอดทน เด็กหนุ่มเรียกดาบเวทเรืองแสงออกมา ก่อนจะกระโจนตัวลงไปจากบันไดหยกสีขาว เริ่มลงมือโดยไม่มีความลังเล
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
หลินอิงเจินโมโหจริงๆ แล้ว ทั้งร่างมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม คล้ายเป็นกระบี่ด้ามหนึ่ง ไอสังหารพวยพุ่ง ในมือของเขามีกระบี่วิญญาณแสงสีแดงอยู่ด้วย
หืม
แต่เมื่อเริ่มลงมือนั้น หลินอิงเจินพลันตะลึงตาค้าง ด้วยเพราะดาบกระจอกๆ ของหลินสวินคล้ายไม่มีอะไรพิเศษแต่กลับทำให้เขารู้สึกต้านทานไม่ได้
นี่มันวิชาดาบบทไหนกัน
หลินอิงเจินรู้สึกประหลาดใจมาก พร้อมกับรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง พลังดาบนั้นรุนแรงคล้ายสามารถเรียกพายุ หรือทำลายสรรพสิ่งได้เลยทีเดียว
นี่…
หลินอิงเจินขนลุกเกรียว ความโมโหและดูถูกในใจหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกอันตรายอันเย็นเยือก เขาจึงขับเคลื่อนพลังทั้งหมดออกมาในเหตุการณ์คับขันเช่นนี้เพื่อป้องกันตัวเอง ไม่ใช่เพื่อการโจมตี
กลุ่มชายหญิงเหล่านั้นต่างมองภาพแปลกๆ เอาไว้ เดิมทีคิดว่ากระบี่ของหลินอิงเจินจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้โดยง่าย แต่ไม่คิดว่าหลินอิงเจินจะใช้กระบี่นั้นเพื่อป้องกันตัวเอง
ป้องกันอย่างนั้นหรือ
ยังไม่ทันได้ปะทะกันก็ป้องกันเสียแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร
ทุกคนต่างงุนงง
พลันพวกเขาก็ตาพร่า ได้ยินเสียงดังสนั่นและแสงวิญญาณของสองสิ่งปะทะกัน จากนั้นก็เห็นหลินอิงเจินที่พวกเขาบูชาหนักหนาลอยหวืออกมาคล้ายโคใหญ่ขวิด
เสียงหล่นลงพื้นตามด้วยฝุ่นควันคลุ้ง หลินอิงเจินเสียงโอดโอย กระอักเลือดคำใหญ่ กระดูกทั้งร่างหักไปหลายซี่ เจ็บจนยืนไม่ได้
ซี๊ด
เสียงซูดปากดังขึ้น เหล่าเด็กหนุ่มสาวในตระกูลหลินล้วนตาค้างอ้าปาก ไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่ หลินอิงเจินกลับลอยหวือออกมาด้วยดาบกระบวนเดียวตั้งแต่เพิ่งเริ่มต่อสู้
น่ากลัวเกินไปแล้ว
ทุกคนแน่นิ่งด้วยความหวาดกลัว
หลินสวินว่าอย่างแปลกใจ “รู้ตัวไวดี รับการโจมตีของข้าได้ก็ถือว่าเจ้าโชคดีแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นหลายคนก็ตัวสั่น ตระหนักถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขาใช้ปราณขั้นผสานดิน เอาชนะหลินอิงเจินที่มีปราณขั้นผสานฟ้า ทั้งยังคงมีท่าทางสบายๆ ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีด้วยซ้ำ
น่ากลัวเกินไปแล้ว
“จะ เจ้า…”
หลินอิงเจินหน้าครึ้มเขียว นอนกระอักเลือดไม่หยุด สายตาเต็มไปด้วยความกังขา คาดไม่ถึงว่าตนเองจะแพ้ได้รวดเร็วเช่นนี้
หลินสวินเดินลงมาจากบันได โดยที่คนเหล่านั้นล้วนแหวกทางให้ด้วยความหวั่นเกรง ชัดเจนว่าพวกเขากลัวพลังดาบของหลินสวิน เด็กหนุ่มเดินมาหยุดที่หน้าหลินอิงเจิน ก่อนจะถอดของมีค่าบนกายของอีกฝ่ายออกทั้งหมด แม้แต่กำไลหยกและรองเท้าก็ยึดมาจนหมดเช่นกัน
ฝ่ายโดนกระทำโหยหวนคล้ายเด็กสาวเสียพรหมจรรย์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พริบตาเดียวเขาก็เหลือแต่เพียงกางเกงใน กายเปลือยเปล่าขาวสะอาดสะอ้าน
กลุ่มคนพวกนั้นมองตาค้าง
ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากช่วย แต่หลินสวินจัดการทุกอย่างได้ว่องไวมาก กว่าพวกเขาจะรู้สึกตัว หลินอิงเจินก็ถูกปอกเปลือกเป็นชีเปลือยแล้ว
ที่สำคัญ แม้แต่หลินอิงเจินเองยังขัดขืนหลินสวินไม่ได้ พวกเขาก็ยิ่งทำอะไรไม่ได้
หลินสวินหยุดมือเมื่อได้ถอดของมีค่าทั้งหมดออกมาแล้ว เขาไม่สนใจหลินอิงเจินที่นอนเปลือยปิดหน้า แต่มองไปที่กลุ่มเด็กหนุ่มสาว เพียงปราดเดียวก็ทำให้คนพวกนั้นตัวเย็นวาบคล้ายถูกหมาป่าหิวกระหายจ้องมอง ผู้ชายทำหน้าปุเลี่ยน ผู้หญิงทำหน้าอับอาย ล้วนกลัวว่าจะถูกกระทำเหมือนหลินอิงเจิน
หลินสวินลอบถอนหายใจ คนพวกนี้ขี้ขลาดจริงๆ ไม่รู้จักสู้คืนจนตัวเขาไม่มีโอกาสได้ปล้นสิ่งของเลย
“กลับไปบอกผู้อาวุโสของพวกเจ้า ลองเชิงไปก็ไม่มีประโยชน์ ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสา แต่ถ้าครั้งหน้ายังกล้ามาท้าทายอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
หลินสวินปราดตามองโดยรอบพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นก่อนจะเดินจากไป เขาทราบอยู่แล้วนี่คือการลองเชิงโดยใช้หลินอิงเจินคนนั้นมาทดสอบตัวเอง
นี่ยืนยันได้ว่าตระกูลหลินสายรองทั้งสี่ทราบถึงการกลับมาของหลินสวินแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะได้ยินข่าวอะไรบางอย่าง ถึงกล้าส่งหลินอิงเจินมาทดสอบเขาเช่นนี้
น่าเสียดายที่หลินสวินไม่ชอบการลองเชิงพรรค์นี้นัก เขากระทั่งคิดว่า การลองเชิงเช่นนี้ยืนยันว่าตระกูลรองทั้งสี่ไม่ได้เห็นเด็กหนุ่มอยู่ในสายตา
ความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของหลินอิงเจินคือการโจมตีกลับของหลินสวิน ไม่เกรงใจ ทั้งยังรุนแรง เพื่อให้ตระกูลรองทั้งสี่รับรู้ว่าเขาตัดสินใจปกครองภูเขาชำระจิตแล้ว
หลังจากหลินสวินเดินจากไปแล้ว คนกลุ่มนั้นก็กระอักกระอ่วน ไม่มีใครกล้าขวาง กระทั่งรู้สึกโชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ได้หาเรื่องพวกเขา
ภาพเมื่อครู่น่ากลัวนัก ไม่เพียงใช้ดาบเดียวจัดการหลินอิงเจิน ยังปลดเสื้อผ้าของหลินอิงเจินจนเปลือยเปล่าเหลือเพียงกางเกงใน น่าอับอายเกินไปแล้ว
นับจากวันนี้ หลินอิงเจินจะกลายเป็นตัวตลกของตระกูลหลินแห่งธารประจิม หากจะกู้หน้า เช่นนั้นก็ต้องฆ่าหลินสวินทิ้งเสีย
“บัดซบ! บัดซบ!”
หลินอิงเจินตะโกนร้องด้วยความอับอาย ขายหน้าที่สุด วิธีของหลินสวินโหดร้ายกว่าการฆ่าเขาเสียอีก เขาโมโหจนหมดสติไป
คนเหล่านั้นเห็นเช่นนั้นก็รีบกรูกันเข้ามา
…
จัดการหลินอิงเจินที่มาท้าทายเรียบร้อยแล้ว หลินสวินก็เดินลัดเลาะตามถนนของนครต้องห้ามในยามเช้า
เมื่อวานเขามาถึงนครต้องห้ามในตอนย่ำค่ำ ทั้งยังอยู่บนรถม้า ไม่ทันได้เห็นบรรยากาศของนครต้องห้าม ก็เข้าไปในภูเขาชำระจิตเสียแล้ว
แต่วันนี้ เขาเดินเอ้อระเหยมองถนนที่เป็นระเบียบกว้างใหญ่ มีคนพลุกพล่าน และรถรามากมาย คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณ น้อยนักที่จะเห็นคนธรรมดา
ครืน
รถรับส่งสลักวิญญาณลอยไปมาเป็นเสียงโครมคราม เกิดเป็นควันสีม่วงลอยผ่านบนท้องฟ้า
ในนครต้องห้าม นอกจากรถรับส่งสลักวิญญาณแล้ว ห้ามไม่ให้ผู้ฝึกปราณหรือสัตว์ชนิดอื่นเดินทางบนอากาศ ดังนั้นตลอดทางที่หลินสวินเดินมา ก็จะเห็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณที่จะสูงส่งเมื่ออยู่ภายนอก แต่ตอนนี้เดินบนดินหรือนั่งรถม้าไม่ต่างจากเขา
กระทั่งแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะก็มีผ่านตาให้เห็น ส่วนผู้ฝึกตนขั้นผสานจิต ขั้นผสานดิน ขั้นผสานฟ้า หรือขั้นอื่นๆ ก็เดินกันพลุกพล่านไปหมด
นอกจากผู้ฝึกปราณแล้ว หลินสวินยังเห็นคนใส่ชุดประหลาด เช่น ภิกษุจากอาณาจักรคชลาภ ผู้ฝึกยุทธ์จากอาณาจักรหมอกเมฆาและจากอาณาจักรอื่นอีกมากมาย
หรือแม้กระทั่งพ่อมดจากจักรวรรดิมืด
หลินสวินหรี่ตา แต่ไม่นานก็ทราบจากบทสนทนาของผู้ฝึกปราณใกล้ๆ ว่าพ่อมดพวกนี้มานครต้องห้ามด้วยฐานะราชทูต ไม่เป็นอันตราย
เขาสอดสายตามองไปรอบๆ นึกอยู่ในใจ นี่คือนครต้องห้ามสินะ
ใจกลางของจักรวรรดิจื่อเย่าเป็นที่ตั้งของตระกูลและอำนาจมากมาย ถือเป็นศูนย์กลางอำนาจของจักรวรรดิ
ศูนย์รวมความรุ่งเรืองและแหล่งรวมอำนาจ
ตอนที่ 327
โดนฟาดด้วยแส้
โดย
ProjectZyphon
เดินเล่นอยู่ครึ่งยาม หลินสวินก็ทราบที่อยู่ของเรือนพญาแร้ง จากนั้นจึงจ่ายหนึ่งเหรียญทองจ้างให้รถม้าไปส่งที่นั่น
หนึ่งเหรียญทอง หากเป็นที่อื่นสามารถจ้างรถม้าได้เจ็ดแปดคัน แต่ค่าครองชีพในนครต้องห้ามสูงยิ่งนัก หากไม่ได้เกิดมาในตระกูลใหญ่โตร่ำรวย คงยากที่จะตั้งรกรากที่นี่
เขตตะวันตกเฉียงเหนือของนครต้องห้าม
ที่นี่เป็นเขตพลเรือนของราชวงศ์ ผู้อยู่อาศัยเป็นผู้ฝึกปราณที่มาจากทั่วสารทิศ ความเจริญนั้นย่อมไม่สู้เขตอื่นของนครต้องห้าม แม้จะเป็นเช่นนั้น เขตนี้ก็ยังครึกครื้นอยู่มาก หอสุรา โรงเตี๊ยม ร้านค้า หอนางโลม ล้วนมากมายละลานตา
เรือนพญาแร้งก็เป็นหนึ่งในหอสุราในเขตนี้
ที่ตั้งของมันลับตาคน หลังจากลงจากรถม้าแล้ว หลินสวินตามหาอยู่นานจนมาเจออาคารสองชั้นธรรมดาไม่สะดุดตาอยู่มุมหนึ่งในตรอกเล็กๆ
เวลาใกล้เที่ยงแล้ว แต่เรือนพญาแร้งมีลูกค้าเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ดูท่ากิจการคงไม่ค่อยดีเท่าไร
“เพื่อนของครูฝึกสวี่ซานชีคงจะเป็นเจ้าของหอสุราแห่งนี้สินะ”
หลินสวินเงยหน้ามองป้ายเรือนพญาแร้งตัวใหญ่ สายตาฉายแววประหลาดใจ
เดิมทีเขาคิดว่าเจ้าของเรือนพญาแร้ง สหายสวีซานชีจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งมากแน่ ใครจะคิดว่าเรือนพญาแร้งกลับเป็นเพียงหอสุราธรรมดาในเขตพลเรือนเท่านั้น
หลินสวินไม่ได้ดูถูก เพราะบนโลกนี้มีผู้เก่งกาจมากมายต้องซ่อนตัวอยู่ตามจุดเล็กๆ ไม่สะดุดตาในเมืองที่ครึกครื้น
เมื่อหลินสวินกำลังจะก้าวเข้าไปในเรือนพญาแร้งนั้น ถนนไกลออกไปมีเสียงกีบเท้าสัตว์วิ่งสะเทือนเหมือนยกมาทั้งกองทัพ ก่อนจะเห็นกลุ่มผู้ฝึกปราณขี่บังคับสัตว์ปีศาจมุ่งหน้ามาทางนี้
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
ผู้ฝึกปราณใช้แส้ฟาดคนเดินถนนที่ขวางหน้า ท่าท่างอวดดียิ่งนัก
“ถอยไป! พวกไม่ดูตาม้าตาเรือ ไสหัวไป!”
“ไม่อยากตายก็รีบหลบไป!”
คนเดินเท้าร้องระงม วิ่งหลบทางกันจ้าละหวั่น
บางคนหลบไม่ทัน ถูกผู้ฝึกตนเหล่านั้นฟาดด้วยแส้จนล้มลงกับพื้น บางคนหลบพ้นแล้วก็ไม่วายถูกคนเหล่านั้นฟาดแส้ใส่จนเนื้อปริอยู่ดี
โอหัง ไม่เห็นหัวผู้อื่น
นี่เป็นความคิดของหลินสวินที่มีต่อคนเหล่านี้
กลางเมืองวุ่นวาย สัตว์พาหนะวิ่งด้วยความเร็ว
ที่ทำให้คนโกรธแค้นก็คือ คนเหล่านั้นทำเรื่องไร้คุณธรรมแล้วยังได้ใจ หัวเราะร่าอยู่
หลินสวินหรี่ตาลง ห่างจากเขาไปไม่ไกล เด็กน้อยคนหนึ่งคล้ายกำลังตกใจยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นลืมหลบหลีก
เพี๊ยะ!
ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งบังคับสัตว์ปีศาจใกล้เข้ามา บนใบหน้าปรากฏยิ้มเหี้ยม ก่อนจะฟาดแส้ใส่เด็กชาย หากแส้นี้ฟาดลงมา เด็กคนนั้นต้องหัวหลุดจากบ่าเป็นแน่ เสียงร้องดังระงมดังทั่วถนน หลายคนปิดตาไม่กล้ามอง เด็กชายน่าสงสารคนนี้ไม่รอดแน่ๆ
ในตอนนั้นเอง หลินสวินพุ่งตัวเข้าไปกระโดดกอดเด็กชายคนนั้น ก่อนจะพลิกตัวหลบเข้าไปริมถนน แส้ที่ฟาดลงมาโดนหลังของเด็กหนุ่มเข้าอย่างจังจนเสื้อของเขาขาดวิ่น ผิวหนังเลือดไหลเป็นรอย แสบร้อน
โชคดีที่เด็กคนนั้นไม่เป็นอะไร เพียงตกใจร้องไห้เท่านั้น
“เอ๋”
พลันผู้ฝึกตนคนนั้นก็มองหลินสวินด้วยความประหลาดใจ ก่อนแสยะยิ้มละสายตากลับมาไม่สนใจ
ครืน
เวลานี้ผู้ฝึกปราณขี่สัตว์ปีศาจหยุดอยู่ข้างหน้าประตูเรือนพญาแร้งอย่างเป็นระเบียบ
ข้างหลังมีม้าเกล็ดทมิฬสี่ตัวลากรถม้าทองแดงมาด้วย แม้ไม่ได้ประดับสิ่งของ แต่กลับให้ความรู้สึกกดดัน เพียงเห็นม้าเกล็ดทมิฬนิสัยดุร้ายสี่ตัวนั้นกับผู้ฝึกปราณนำทาง ก็รู้แล้วว่าเจ้าของรถม้านี้มีฐานะไม่ธรรมดา
หลินสวินเลิกคิ้ว ส่งเด็กในอ้อมกอดคืนให้พ่อแม่ของเขา โดยไม่สนใจรอยเลือดบนแผ่นหลัง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองรถม้าคันนั้น ไม่นานก็มีชายหนุ่มในชุดแดง สวมเกราะสีดำทับลงมาจากรถม้า ท่าทางของเขาเลือดเย็น ทั้งร่างคลุ้งกลิ่นเลือดพาให้คนหวาดกลัว
หลังจากชายหนุ่มลงมาจากรถม้าแล้ว เขาก็ตรงเข้าไปในเรือนพญาแร้ง โดยมีองครักษ์ตามหลังไปด้วย
“ฉือเจ๋อคนนี้อีกแล้ว”
บนถนนมีเสียงก่นด่า “ครึ่งปีมานี้เขามาที่เรือนพญาแร้งวันเว้นวัน ก่อเรื่องชวนปวดหัว เลวทรามที่สุด!”
“เหอะ เจ้าคนนี้เดิมทีก็ไม่ได้แซ่ฉือหรอก น้องสาวของเขาแต่งเข้าตระกูลฉือ เขาก็เลยพลอยได้ใช้แซ่ฉือด้วย ไม่อย่างนั้นจะกล้าอวดดีอย่างนี้หรือ” มีคนดูแคลน
“เจ้าพูดผิดแล้ว ฉือเจ๋อคนนี้แม้จะยากจนแต่พรสวรรค์ไม่เลว ตอนเด็กเคยเข้าไปอยู่ในกองทัพหลายปี สร้างความดีมากมาย หากไม่เช่นนั้นแล้วแค่อาศัยน้องสาวของเขา ก็ไม่มีทางได้ใช้แซ่ฉือหรอก”
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าคนนี้ก็บ้าระห้ำนัก คิดว่าเปลี่ยนไปใช้แซ่ฉือแล้วจะไม่เกรงกลัวอะไรในนครต้องห้ามเลยหรือ คนอย่างนี้จะต้องได้รับการสั่งสอนในสักวัน”
“เหอะ ถึงข้าจะอยากเห็นภาพนั้น แต่แค่แซ่ฉือก็พอทำให้ฉือเจ๋อได้ในทุกสิ่งที่ต้องการแล้ว”
เสียงพูดคุย ก่นด่า สาปแช่งเซ็งแซ่ตามท้องถนน
ฉือเจ๋ออย่างนั้นหรือ
หลินสวินพลันนึกไปถึงสองพี่น้องฉือฉางเหมยและฉือฉางเฟิง คิดถึงการถูกล้อมโจมตีก่อนเข้ามาที่นครต้องห้าม
รอยแส้ข้างหลังแม้ไม่ได้บาดถึงเอ็นกระดูก แต่ก็แสบร้อนอยู่มาก ทำให้นัยน์ตาสีดำของหลินสวินทอประกายเย็นเยือก เขาสังหารผู้ฝึกปราณของตระกูลฉือไปไม่รู้เท่าไร วันนี้ก็ถูกคนรับใช้ของคนที่เปลี่ยนแซ่เป็นฉือฟาดแส้ใส่ จะไม่ให้เด็กหนุ่มโมโหได้อย่างไร
“สหาย เหตุใดฉือเจ๋อคนนี้ถึงมาที่เรือนพญาแร้งบ่อยๆ” หลินสวินถามคนแถวนั้น
“เหอะ ก็สาวงามในเรือนพญาแร้งคนนั้นอย่างไรเล่า”
คนผู้นั้นยิ้มเย็น “ฉือเจ๋อหน้าไม่อาย สาวงามคนนั้นไม่สนใจเขาแท้ๆ เขากลับมาวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่า นิสัยโจรเช่นนี้ แม้จะเปลี่ยนแซ่เป็นฉือก็ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยเลวร้ายของเขาหรอก”
“สาวงามหรือ” หลินสวินชะงัก
“พี่ชาย เจ้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกสินะ เจ้าไม่รู้อะไร เมื่อหนึ่งปีก่อน ไม่รู้ผู้จัดการเรือนพญาแร้งไปหาสาวงามมาจากทีใด รูปร่างหน้าตาของนางสวยสดงดงาม ท่าทางเย็นชาสูงส่งอย่างกับภูเขาน้ำแข็ง ไม่นานก็มีขื่อเสียงสะเทือนไปทั่วถนนสายนี้ ดึงดูดลูกค้ามามากมาย”
คนผู้นั้นหน้าตาเคลิบเคลิ้ม “ข้าก็เคยเห็นสาวงามคนนั้น รูปร่างกับใบหน้าของนางล้ำเลิศจนอธิบายไม่ได้ หากได้หลับนอนกับนางสักคืน…”
หลินสวินมุ่นคิ้วรีบขัดคำ “แต่ข้าว่ากิจการของเรือนพญาแร้งไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะเหตุใดหรือ”
ชายคนนั้นเหลือบมองหลินสวินด้วยไม่พอใจ “ยังจะถามอีก ครึ่งปีมานี้ฉือเจ๋อตัวซวยกับพวกคนรับใช้ดุร้ายนั่นมาที่นี่บ่อยๆ ใครจะกล้าไปอุดหนุนเรือนพญาแร้งกันเล่า” ว่าจบก็กรอกตาใส่แล้วเดินจากไป
เด็กหนุ่มยืนใคร่ครวญอยู่สักพัก หากเขาเดาไม่ผิด สาวงามที่ฉือเจ๋อตามวุ่นวายนั้นคงจะเป็นครูฝึกเสี่ยวเคอแน่นอน
หน้าตาสะสวย ท่าทางเย็นชาราวหิมะ ไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใคร
หนึ่งปีก่อนครูฝึกเสี่ยวเคอออกมาจากค่ายกระหายเลือด เวลาก็ไล่เลี่ยกันพอดี
“ฉือเจ๋อเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกล้าหวังครอบครองความงามของครูฝึกเสี่ยวเคอ เขาไม่กลัวถูกตีตายหรือ” หลินสวินคิดถึงตรงนี้ก็ส่ายหัว ไม่ถูกต้อง หากเป็นครูฝึกเสี่ยวเคอจริงๆ ถูกตามวุ่นวายเช่นนี้แล้ว มีหรือจะไม่ลงมือทำอะไร
ตุบตับ
ในตอนนั้นเอง เสียงกระทบกระทั่งก็แว่วออกมาจากเรือนพญาแร้ง ลูกค้านับสิบคนถูกโยนออกมาจากในร้าน
“รีบไสหัวไปเสีย! ไม่เห็นหรือว่านายของข้าจะทำธุระ หากพวกเจ้ายังโผล่หน้ามามีเรือนพญาแร้งอีก ข้าจะฆ่าทิ้งเสียให้หมด!”
ลูกสมุนคนหนึ่งของฉือเจ๋อเอ่ยเตือนลูกค้า
หลินสวินขมวดคิ้ว เข้าไปประคองลูกค้าพลางถามไถ่ “ข้างในเกิดอะไรขึ้นหรือ”
คนผู้นั้นร้องโอดโอย “ก็ฉือเจ๋อคนนั้นถูกสาวงามปฏิเสธอีกครั้งแล้วน่ะสิ พอเสียสติก็มาทำร้ายพวกข้า”
เด็กหนุ่มไม่พอใจแล้ว พุ่งเข้าไปในเรือนพญาแร้งโดยไม่ลังเล
เขาไม่ได้ห่วงว่าเสี่ยวเคอจะถูกรังแก แต่กังวลว่าเสี่ยวเคอจะทำร้ายฉือเจ๋อจนถูกตระกูลฉือหมายหัวต่างหาก
ในยามนี้หลินสวินรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างตระกูลใหญ่กับชาวบ้านยากจนเป็นอย่างดี หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แม้ฉือเจ๋อจะไม่ใช่ใช่เหตุผลหลัก แต่เพื่อรักษาเกียรติตระกูลฉือ ก็ไม่เป็นผลดีกับเสี่ยวเคอนัก
“วันนี้เรือนพญาแร้งปิด รีบไสหัวไป!” ผู้ติดตามฉือเจ๋อสองคนเฝ้าที่หน้าประตูตะคอกบอกเมื่อเห็นหลินสวิน
บังเอิญหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ใช้แส้ฟาดหลินสวินพอดี เมื่อเห็นท่าทางของหลินสวินชัดๆ เขาก็ยิ้มอำมหิตขึ้นมา “เจ้านี่เอง กินแส้เมื่อครู่ยังไม่พอหรือ”
ว่าพลางเงื้อแส้ในมือขึ้นจะฟาดหลินสวิน
เพี๊ยะ!
หลินสวินไม่หลบ แต่พุ่งเข้าไปตบหน้าชายคนนั้นจนเลือดออกปากและจมูก ฟันร่วงเกรียว ร่างกายม้วนต้วนลงกับพื้นจนหมดสติลงไปในที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น