Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 320 - 323
ตอนที่ 320
ก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดิน
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินตกอยู่ในภวังค์เงียบ
เมื่อรู้สถานะของตนเองแล้ว เดิมทีเขาควรจะดีใจ แต่หลังจากรู้ว่าบิดาถูกฆ่า มารดาหายตัวไป ท่านปู่และสายเลือดสายตรงคนอื่นล้วนไม่มีชีวิตรอดแล้ว เขากลับดีใจไม่ออก กระทั่งในใจเกิดความเคียดแค้นลึกๆ
ตระกูลหลินที่ยิ่งใหญ่ ถูกอำนาจใหญ่อื่นในนครต้องห้ามแบ่งสรรไป เพราะคนในตระกูลแย่งชิงอำนาจ ต่อสู้กันเอง ทำให้หลินสวินไม่รู้จะเกลียดใครดี
เกลียดคนในตระกูลที่ไร้ความสามารถ
เกลียดกลุ่มอำนาจที่เข้ามาเอาสมบัติ
หรือเกลียดทุกอย่าง
น่าสมเพช
หลินสวินนึกถึงคำรำพึงของชายชราเมื่อครู่ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังเวช ข้างในร้อนรุ่มข้างนอกวุ่นวาย แตกแยกระหองระแหง นี่คือคำอธิบายเอ่ยถึงตระกูลหลินในตอนนั้น
“ผู้อาวุโสขอรับ ตระกูลฉือได้เป็นหนึ่งนำนาจที่เอาทรัพย์สมบัติตระกูลหลินไปด้วยใช่หรือไม่ ถึงได้กีดกันไม่ให้ข้าเข้ามาในนครต้องห้าม” หลินสวินถาม
“เจ้าเดาไม่ผิด อำนาจที่เคยเอาสมบัติของตระกูลหลินไปไม่อยากให้เจ้ากลับเข้ามาในนครต้องห้าม”
ชายชราว่า “เพราะเจ้าเป็นบุตรของหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวิน ปู่ของเจ้าคือผู้นำตระกูลหลิน ดังนั้นหลังจากที่พ่อและปู่ของเจ้าตายไป เจ้าคือผู้มีสิทธิ์จะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินที่สุด”
หลินสวินท่าทางสงบนิ่ง ดวงตาสีดำไร้ความรู้สึก เปล่งเสียงรับคำในลำคอแล้วว่า “พวกเขาคงจะไม่ได้กลัวสถานะของข้า อย่างไรเสียหากจะฆ่าข้าก็ง่ายดายนักสำหรับพวกเขา”
สายตาของชายชราปรากฏความชื่นชม คาดไม่ถึงว่าเวลาเช่นนี้ หลินสวินไม่เพียงคงซึ่งความสงบไว้ได้ แต่ยังคิดถึงข้อสำคัญของปัญหาได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้
“ไม่ผิด มีคนไม่อยากให้เจ้ากลับมายังนครต้องห้าม ก็ย่อมมีคนอยากให้เจ้ากลับมา อย่างเช่นอำนาจตระกูลฉือที่หวั่นเกรง ก็คือกลุ่มคนที่อยากให้เจ้ากลับมา”
คำพูดแปลกๆ ของชายชรา ทำให้หลินสวินก็เข้าใจได้ในทันที
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็คล้ายเกี่ยวกับตัวเขาทั้งหมด จริงๆ แล้วก็เป็นเพราะอำนาจสองฝั่งกำลังถ่วงดุลกันนั่นเอง
ตระกูลฉือแสดงออกว่าเป็นฝั่งอำนาจที่ไม่ต้องการให้เขากลับมา
แล้วฝั่งอำนาจที่ต้องการให้เขากลับมาจะเป็นใครกัน
“อำนาจนั้นมาจากราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ” ชายชราให้คำตอบทันที
ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ!
หลินสวินใจสั่น เหตุใดเรื่องนี้ถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ได้เล่า
ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ เพียงแค่ชื่อก็แสดงถึงฐานะและอำนาจเหนือกว่าใครในจักรวรรดิแล้ว
“ส่วนจะเป็นใครนั้น ตอนนี้ยังบอกเจ้าไม่ได้”
ชายชรามีท่าทีแปลกไป “เจ้าเพียงรู้ว่า เพราะท่าทีของบุคคลใหญ่โตในราชวงศ์ผู้หนึ่ง ถึงทำให้เจ้ามีโอกาสกลับเข้ามาในนครต้องห้ามได้”
เด็กหนุ่มนิ่งไปด้วยคิดไม่ตก “เหตุใดถึงบอกข้าไม่ได้”
“เพราะข้ากับคุณหนูก็ไม่แน่ใจว่าบุคคลในราชวงศ์ผู้นั้นคือท่านใด” ชายชรายิ้มอย่างจนใจ
“บางทีเมื่อโอกาสพร้อมแล้ว ท่านผู้นั้นอาจจะบอกกับเจ้าด้วยตัวเองก็ได้”
หลินสวินใจระส่ำ แม้แต่ตำหนักแสงทมิฬก็ตรวจหาไม่ได้ว่าเป็นใคร เรื่องนี้ช่างลึกลับเกินไปแล้ว
“ที่ข้ารับรู้มาก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว ที่เหลือเจ้าต้องสืบค้นด้วยตัวเอง อย่างไรเสียความวุ่นวายทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะเจ้า ดังนั้นมีเพียงเจ้าที่สามารถค้นหาความจริงได้”
ชายชราว่าจบก็คล้ายปลดแอกในใจ
หลินสวินสูดหายใจลึก ประสานมือขึ้น “ขอบคุณมากขอรับผู้อาวุโส”
นับแต่ออกจากเมืองตงหลิน ชายชราผู้นี้ส่งตัวเขาไปฝึกยังค่ายกระหายเลือด รวมถึงได้รับการดูแลจากเสวี่ยจิน จนชิงอันดับหนึ่งของการทดสอบระดับมณฑลมาได้
การมานครต้องห้ามในครั้งนี้ ชายชราและตำหนักแสงทมิฬให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับข่าวคราวแก่เขามากมาย ตอนนี้ชายชรายังบอกเล่าเรื่องราวเก่าๆ ให้เขาฟัง ช่วยให้เขาทราบถึงความจริง บุญคุณครั้งนี้ทำหลินหลินสวินซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
เขารู้ หากตนเองค้นหาคำตอบเอง ก็คงไม่สามารถรับรู้เรื่องราวได้ง่ายเพียงนี้
“ดูนั่น ที่ไกลออกไปคือนครต้องห้าม” อยู่ๆ ชายชราก็หยัดกายตรงมองไปยังที่ไกลโพ้น
หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด เงยหน้าขึ้นมอง หรี่ดวงตาด้วยความตื่นเต้น
พื้นที่ห่างไกลนั้นมีกำแพงโบราณและแม่น้ำขนาดใหญ่โอบล้อม ขนาดของมันมโหฬารนัก
ไอสีม่วงลอยเดือดขึ้นมาจากแม่น้ำ แสงอาทิตย์ในเวลาอัสดงย้อมสีแม่น้ำเป็นสีม่วงทองอร่ามสวยงามแลดูศักดิ์สิทธิ์ ความตระการตาที่เห็นคล้ายหลงมาจากตำนานเทพโบราณ ภาพนั้นเรืองรองจนทำให้จิตวิญญาณของผู้พบเห็นสั่นสะท้าน
เวลานี้ชายชราพาหลินสวินลดระดับความสูงลงมาอยู่ที่พื้น เมื่อมองภาพของนครต้องห้ามที่ไกลออกไป ทิวทัศน์นั้นก็ไม่เหมือนเดิม
กำแพงเมืองตระหง่านปานภูเขาโอ่อ่าหรูหรา เพียงประตูเมืองก็สูงถึงร้อยจั้ง ครั้นมองลึกเข้าไป ก็จะเห็นภูเขาลอยอยู่บนฟ้ามากมายล้วนเปล่งแสงวิญญาณสวยงามดึงดูดสายตา
บนภูเขานั้นมีสิ่งปลูกสร้างทรงโบราณหลากหลายแตกต่างกันออกไป บ้างก็ยิ่งใหญ่ตระการตา บ้างก็หรูหราโอ่อ่า บ้างก็เป็นทรงโบราณ บ้างก็สวยงามโดดเด่น
ภูเขาลอยได้เหล่านั้นมีไม่ต่ำกว่าร้อยลูก!
จินตนาการได้ยากยิ่งว่าในเมืองหนึ่งจะมีภูเขาลอยได้มากถึงเพียงนี้ และบนสิ่งก่อสร้างนั้นคล้ายกับเป็นเมืองอีกเมืองอยู่ข้างใน
ผู้คนต่างขนานนามมันว่า ‘ภูเขาแห่งอำนาจ’
มีเพียงตระกูลมีอำนาจเท่านั้น ถึงสามารถมีภูเขาและก่อตั้งตระกูลของตัวเองไว้บนนั้นได้ นี่เป็นสิทธิพิเศษของตระกูลมีอำนาจ ซึ่งคอยประกาศเกียรติภูมิของตระกูลให้แก่ผู้อื่นทราบ เปรียบเสมือนอำนาจและฐานะของตระกูลเลยทีเดียว
ภูเขาแห่งอำนาจมีทั้งหมดเจ็ดสิบสองลูก ผู้ที่สามารถครอบครองหนึ่งในภูเขาเหล่านี้ได้ย่อมเป็นสุดยอดอำนาจ อย่างเช่นตอนนี้ ภูเขาแห่งอำนาจทุกลูกมีตระกูลอำนาจระดับสูงทั้งเจ็ดและตระกูลอำนาจระดับกลางที่มีพื้นเพดีครอบครองไปจนหมดแล้ว แม้แต่ตระกูลอำนาจระดับกลางอีกมากมายก็ยังไม่สามาถครอบครองภูเขาเหล่านั้นได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลอำนาจระดับล่างเลย
เมื่อมาถึงประตูเมืองของนครต้องห้าม ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว
ตรงนี้มีรถม้าสีดำสำหรับสองคนจอดอยู่ คล้ายกับรอมานาน
ชายชราที่พาหลินสวินมาเดินตรงขึ้นรถม้า จากนั้นคนขับรถม้าก็ส่งจดหมายลับมาให้
“หือ ว่องไวนัก” จดหมายนั้นมีสองฉบับ เมื่อเปิดฉบับแรก ชายชราก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ก่อนจะหันไปยิ้มกับหลินสวิน “เด็กฉือฉางเฟิงนั่นถูกกักบริเวณสามปี ออกจากตระกูลฉือไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว”
หลินสวินครางอืมในคอ ฉือฉางเฟิงใช้ปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณมาจัดการตนเอง ทำลายข้อสัญญาของผู้ใหญ่จึงต้องได้รับโทษ
หากจะพูดว่าลงโทษไม่สู้บอกว่าเป็นการตักเตือนเสียดีกว่า เพียงถูกกับบริเวณในตระกูลเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไรเลย
ชายชราเปิดจดหมายฉบับที่สอง เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้ว เขากลับตกอยู่ในห้วงความคิด
หลินสวินอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ผู้อาวุโสขอรับ มันเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่”
ชายชราพยักหน้า ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าเดาถูก จดหมายฉบับนี้เขียนให้เจ้า” ว่าพลางยื่นจดหมายให้หลินสวิน จดหมายนั้นทำจากกระดาษหยกสีทองหาได้ยาก บนกระดาษประทับตราสัญลักษณ์คล้ายลูกดอกไฟโดดเด่นอย่างดอกจื่อเย่า
ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ!
เมื่อเห็นสัญลักษณ์ หลินสวินก็ถึงกับสะท้าน ในเหรียญของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเหรียญทองแดง เหรียญเงิน เหรียญทองล้วนมีภาพที่ไม่เหมือนกัน
รูปกวางเงยหน้า หมายถึงสำนักศึกษามฤคมรกต
รูปกระบี่ หมายถึงกองทัพแห่งจักรวรรดิ
ดอกจื่อเย่าที่คล้ายลูกดอกไฟ หมายถึงราชวงศ์
เมื่อเห็นจดหมายฉบับนี้แวบแรก หลินสวินก็เดาได้ทันทีว่าจดหมายนี้มาจากราชวงศ์
เนื้อหาในจดหมาย มีเพียงไม่กี่คำ ‘เข้ามาในนครต้องห้ามแล้ว เจ้าสามารถก่อเรื่องให้สะเทือนฟ้าดินได้ตามอำเภอใจ แต่หากอยากพบข้า อย่างแรกเจ้าต้องเป็นผู้สืบทอดดูแลตระกูลหลินให้ได้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นเจ้าจงรีบออกไปจากนครต้องห้าม ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัยไปชั่วชีวิต’
ครั้นอ่านข้อในจดหมายจบแล้ว หลินสวินก็แอบกำมือ เขารู้ว่าเจ้าของจดหมายฉบับนี้ต้องเป็นบุคคลตำแหน่งสูงในราชวงศ์
จดหมายฉบับนี้ก็เป็นแบบทดสอบเช่นเดียวกัน หากเข้ามาในนครต้องห้ามก็ต้องดูแลหน้าที่ผู้สืบทอดตระกูลหลินให้ได้ หากไม่เข้ามา แม้จะแลกด้วยชีวิตสงบสุข แต่ก็อย่างหวังจะได้แก้แค้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหลินสวินทั้งสิ้น
ข้างๆ นั้นชายชรามองหลินสวินนิ่ง คล้ายกำลังรอการตัดสินใจของเขา
หลินสวินฉีกจดหมายฉบับนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี เอ่ยเสียงเรียบ “ในข้าเมื่อมาแล้ว แม้จะเป็นโอรสสวรรค์ก็ไล่ข้าไปไหนไม่ได้” มุมปากเขากระตุกยิ้ม “แน่นอน ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าท่านผู้นั้นมีอำนาจเพียงใด ถึงกล้าบอกว่าให้ข้าก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้ตามอำเภอใจในนครต้องห้ามออกมา”
ชายชรารู้ว่าหลินสวินได้ตัดสินใจแล้ว ไม่วายถาม “ที่จริงแม้ไม่มีจดหมายฉบับนี้ ข้าก็จะถามเจ้า ว่าหลังเข้าไปในนครต้องห้ามแล้วเจ้าจะจัดการอย่างไร แต่ชัดเจนว่าข้าคงไม่ต้องถามแล้ว”
หลินสวินนิ่งไป แล้วถึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านกับท่านผู้นั้นในราชวงศ์…”
ชายชราคล้ายรู้ว่าหลินสวินต้องการถามอะไร “ไม่ใช่ศัตรูและไม่ใช่มิตร”
เด็กหนุ่มคล้ายมีความคิดบางอย่าง
ไม่นานรถม้าก็ออกตัว พาหลินสวินกับชายชราทะยานเข้าไปในนครต้องห้ามท่ามกลางความมืดมิด
คืนนี้ นครต้องห้ามเงียบสงบไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่ขุมอำนาจใหญ่ต่างรู้ ว่าเด็กตระกูลหลินที่ยังไม่ตายคนนั้น เข้ามาในนครต้องห้ามในคืนนี้ มีบางคนตื่นตระหนก บางคนขัดใจ บางคนไม่สนใจ
ตระกูลหลินแม้จะยิ่งใหญ่ แต่วันนี้กลับตกต่ำแตกระแหง ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มที่อายุสิบกว่าปีจะสามารถสร้างเรื่องอะไรในนครต้องห้ามได้
ตอนที่ 321
ภูเขาชำระจิต
โดย
ProjectZyphon
ท่ามกลางความมืด
หลินสวินกับชายชราอยู่ในรถม้า เดินทางผ่านถนนที่เจริญรุ่งเรืองเข้าไปในส่วนลึกของนครต้องห้าม
“เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร”
“ใช้สถานะผู้สืบทอดตระกูลหลินรับหน้าที่ดูแลตระกูล”
“เส้นทางนี้ลำบากนัก”
“ข้าเข้าใจขอรับ”
ภายในรถม้า หลินสวินกับชายชราถามคำตอบคำ
“ข้าอยากเตือนเจ้า ตำหนักแสงทมิฬ คุณหนูกับข้าจะไม่ให้ความช่วยเหลือเจ้า เพราะนี่เป็นเรื่องในตระกูลของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้ารู้เหตุผลดี” ชายชราใคร่ครวญอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็เอ่ยปาก
“ข้าเข้าใจ” หลินสวินคล้ายตะหนักถึงข้อนี้อยู่แล้ว
ชายชราเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ริมฝีปากกดยิ้มลึก “แน่นอน ตอนนี้หลายคนในนครต้องห้ามเข้าใจว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับตำหนักแสงทมิฬ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ให้พวกเขาเข้าใจผิดต่อไปแล้วกัน”
หลินสวินนิ่ง ในใจพลันรู้สึกถึงความอบอุ่น ชายชรากำลังบอกเขาว่าแม้จะไม่ช่วยเหลือ แต่ก็ยังสามารถใช้อำนาจของตำหนักแสงทมิฬในการจัดการเรื่องราวได้ เพียงแค่คำพูดยืนยัน ก็เพียงพอให้หลินสวินจัดการปัญหาคณามือได้ไม่น้อย หลังจากนี้หากใครอยากจัดการหลินสวิน ก็ต้องคิดถึงอำนาจของตำหนักแสงทมิฬ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการถลกหนังเสือเลย
บางที อำนาจอย่างนี้ย่อมได้ใช้ในยามคับขัน
ยิ่งไปกว่านั้น หลินสวินไม่คิดว่าตำหนักแสงทมิฬจะทนมองเขาทำลายตนเอง ไม่อย่างนั้นสองปีมานี้ชายชราคงไม่ช่วยเหลือเขาไว้ตั้งหลายครั้ง ภายในต้องมีเหตุผลบางประการ เด็กหนุ่มเคยคิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับซย่าจื้อ หรืออาจเกี่ยวกับท่านลู่ และบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับสถานะของตัวเขาเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินสวินก็เชื่อมั่นว่าตนเองกับตำหนักแสงทมิฬเกี่ยวข้องกันมากจนแยกไม่ออกแล้ว
“ผู้อาวุโสขอรับ ขอบคุณท่านมาก” หลินสวินไม่รู้ว่าเอ่ยขอบคุณไปกี่รอบแล้ว แต่เขารู้ว่าตนติดค้างบุญคุณชายชราไว้มากทีเดียว
ชายชรายิ้ม ยังคงมีท่าทีโอบอ้อมอารีเช่นเคย
ไม่นานรถม้าก็หยุดลง
ชายชราพาหลินสวินลงมาจากรถม้า หลินสวินพลันผงะ เพราะตรงหน้าไม่ไกลมีภูเขาลอยได้ขนาดใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง
ภูเขานั้นใหญ่กว่าร้อยจั้ง สูงกว่าพันจั้ง ด้านบนมีสิ่งก่อสร้างทรงโบราณมากมาย
ท่ามกลางความมืดมิด ภูเขาลูกนี้ลอยอยู่เหนือพื้นดินกว่าร้อยจั้ง มีแสงสีเงินเปล่งประกายรายล้อม ดูศักดิสิทธิ์และยิ่งใหญ่
นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ
ตอนอยู่นอกนครต้องห้าม หลินสวินเคยมองจากที่แสนไกล แต่เมื่อเข้ามามองใกล้ๆ แล้ว เด็กหนุ่มถึงรู้ว่าภูเขานี้ยิ่งใหญ่ตระการตาเพียงใด
“ภูเขาลูกนี้มีนามว่าชำระจิต เป็นพื้นที่ในครอบครองของตระกูลหลิน ทว่านับแต่เกิดเรื่องนองเลือดนั้นขึ้น คนอื่นในตระกูลหลินต่างพากันย้ายออกไป ตอนนี้ที่นี่มีเพียงบ่าวชราเฝ้าอยู่เพียงลำพัง” ชายชราว่า
หลินสวินใจเต้น ไม่คิดว่าด้วยอำนาจของตระกูลหลิน จะสามารถครอบครองหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจได้ เขาเดาในใจว่าอย่างน้อยตระกูลหลินเมื่อวันวานก็ต้องเป็นตระกูลอำนาจระดับกลาง
“ข้าทราบมาว่า ถ้าตระกูลอำนาจตกต่ำจะถูกยึดภูเขาแห่งอำนาจคืน แล้วนี่หมายความว่าอย่างไรเล่าขอรับ” หลินสวินอดถามไม่ได้
“พูดแล้วซับซ้อน เกี่ยวโยงกับเรื่องราวของตระกูลหลินในอดีต รอเจ้าเข้าไปอยู่ในภูเขาชำระจิตแล้ว ก็จะมีคนบอกทุกอย่างแก่เจ้าเอง”
ชายชราว่าพลางก้าวนำไป ชายผ้าสะบัดพริ้ว แสงรำไรสาดส่องกระทบส่วนล่างของภูเขาชำระจิต หลินสวินจึงมองเห็นว่าที่ข้างล่างของภูเขาชำระจิตนั้น มีกระบวนรอยสลักวิญญาณอยู่ด้วย
วิ้ง
แสงรำไรสาดกระทบบนกระบวนรอยสลักวิญญาณจนเกิดเป็นคลื่นกระทบ จนรอยสลักวิญญาณหมุนเคลื่อนไหวแลดูลึกลับ
พลันเสียงหนึ่งก็ลอยออกมาจากกระบวนรอยสลักวิญญาณ “ที่นี่คือภูเขาชำระจิต พื้นที่ของตระกูลหลิน ไม่รู้ท่านคนใดมาเยี่ยมเยือน”
ชายชราพูดสบายๆ “บุตรชายของหลินเหวินจิ้งกลับมาแล้ว”
พลันเสียงตกใจก็ลอยออกมา “อะไรนะ!? แขกผู้มีเกียรติโปรดรอสักครู่”
ชายชราพยักหน้าแล้วหันมาอธิบาย “ภูเขาแห่งอำนาจก็เหมือนสถานที่ต้องห้าม หากไม่มีการแจ้งเตือนก่อน คนนอกก็ไม่มีทางผ่านเข้าไปได้”
หลินสวินพยักหน้า
ไม่นานก็เห็นกระบวนรอยสลักวิญญาณที่ใต้ภูเขาเคลื่อนไหว ก็กลายเป็นประตูวิญญาณ ในขณะเดียวกันบันไดคล้ายแสงรุ้งพลันเชื่อมลงมาถึงพื้นดิน มองไกลๆ คล้ายบันไดเชื่อมระหว่างก้อนเมฆ
ผู้เฒ่าหลังงุ้มคนหนึ่งออกมาจากประตูนั้น เขาเดินลงมาตามขั้นบันได มองชายชราก่อนแวบหนึ่ง แล้วจึงลากสายตามาที่หลินสวิน
เพียงปราดเดียวผู้เฒ่าหลังงุ้มก็คล้ายถูกฟ้าฝ่า คุกเข่ากับพื้นร่ำไห้ “นายท่าน สิบปีผ่านไปบ่าวคิดว่าท่าน…จากไปแล้ว ไม่คิดว่าท่านจะโชคดี ยังมีชีวิตอยู่”
หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“เขาไม่ใช่หลินเหวินจิ้ง เป็นบุตรชายของหลินเหวินจิ้งต่างหาก” ชายชราอธิบาย
บ่าวชราที่กำลังร้องไห้ชะงักงัน เงยหน้าเช็ดน้ำตาที่หางตา มองหลินสวินอย่างละเอียดครู่ใหญ่ถึงตระหนักได้ “ไม่ใช่จริงๆ ด้วย เขาอ่อนวัยกว่านายท่าน เหมือนนายท่านตอนวัยเยาว์ไม่มีผิด”
ว่าพลางยัดกายลุก เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ที่แท้…ที่แท้ท่านก็เป็นบุตรของนายท่าน สวรรค์มีตา นายท่านไม่ได้ไร้ทายาท ฮ่าๆๆๆๆ”
เขาพึมพำดีใจน้ำตาไหล อารมณ์เหนือการควบคุมคล้ายคนเสียสติ ปกปิดความตื่นเต้นดีใจไว้ไม่มิด
หลินสวินมองภาพนี้พลันปวดใจขึ้นมา “ท่านลุง พาข้าไปดูในตระกูลหน่อยได้หรือไม่”
บ่าวชราในยามนั้นพลันสูดลมหายในลึก ท่าทางเข้มขรึม ค้อมกายทำความเคารพ “ยินดีต้องรับคุณชายกลับบ้าน!” ธรรมเนียมมารยาทถูกต้องไม่ผิดแม้สักนิด
หลินสวินผงะ มองชายชราที่ยืนข้างๆ
ชายชราอมยิ้มพยักหน้า “ไปสิ ข้าก็ควรจะกลับแล้ว”
เด็กหนุ่มประสานมือขึ้น “ผู้อาวุโส ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากขอรับ ภายหลังข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านที่ตำหนักแสงทมิฬด้วยตัวเอง”
ชายชราโบกมือ เดินจากไป
“คุณชายเชิญขอรับ” บ่าวชราผายมือเป็นการเชื้อเชิญ
หลินสวินพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้าวขึ้นบันได
ภูเขาชำระจิต
ที่นี่เป็นพื้นที่ของตระกูลหลิน และเป็นที่ที่บิดาและมารดาเคยใช้ชีวิตมาก่อน ผ่านไปเกือบสิบห้าปี ในที่สุดตนเองก็ได้กลับมา
เมื่อผ่านประตูของภูเขาชำระจิตมาแล้ว ทางเดินภายใตประดับด้วยหินสีเขียวกว้างสิบกว่าจั้ง ทอดยาวคดเคี้ยวขึ้นไปบนยอดเขา
สองข้างทางมีตำหนักโบราณ หอโบราณ และมีดอกไม้แตกพุ่มไสว รวมถึงมีต้นไม้เก่าแก่จัดวางอยู่ ครั้นมองไกลออกไปเป็นน้ำตกและสวนไผ่ แสงจันทร์สาดกระทบสะท้อนเงางดงามคล้ายภาพในแดนเซียนก็ไม่ปาน
“คุณชายเชิญขอรับ”
บ่าวชราเดินนำทาง เมื่อเห็นหลินสวินในแวบแรก เขาก็รู้ว่าไม่ผิดแน่ เพราะหวินสวินเหมือนหลินเหวินจิ้งตอนวัยเยาว์มาก ไม่สามารถหลอกตบตากันได้
หลินสวินเดินไปข้างหน้าพลางมองสำรวจรอบๆ
บ่าวชราว่า “ท่านเรียกข้าว่าหลินจงก็ได้ขอรับ ตอนที่นายท่านเพิ่งเกิดข้าก็ถูกท่านเจ้าตระกูลส่งให้มารับใช้นายท่านอยู่หลายสิบปี”
หลินสวินหรือจะสามารถเรียกชื่อเขาตรงๆ ได้ “ลุงจง ท่านก็อย่าเรียกข้าว่าคุณชายเลย เรียกข้าว่าหลินสวินก็พอ”
หลินจงผงะ ส่ายหัว “นายน้อย กฎตระกูลเปลี่ยนไม่ได้”
เด็กหนุ่มจนใจ เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “ตอนนี้บนภูเขาชำระจิตเหลือแค่ท่านคนเดียวหรือ”
หลินจงได้ยินดังนั้นพลันสลดไป เขานึกถึงเรื่องเศร้าขึ้นมา หลินสวินเห็นดังนั้นจึงตบไหล่เขา แล้วกล่าวว่า “ลุงจง นับแต่วันนี้ ข้าจะอยู่บนภูเขาชำระจิตกับท่าน มีหลายเรื่องที่ข้ายังไม่เข้าใจ ขอให้ท่านบอกเล่าแก่ข้าด้วย”
บ่าวชรานามหลินจงพยักหน้า คล้ายได้พบที่พึ่งพา
เดินขึ้นมาอีกร้อยจั้ง เมื่อใกล้เข้ามาถึงจุดสูงสุดของยอดเขา เสียงเฮฮาก็แว่วมาจากที่ไกล กลายเป็นจึงเป็นเสียงดังสะท้อนท่ามกลางความมืดมิด
หลินสวินแน่นิ่งไป ตอนนี้ในตำหนักโบราณขนาดใหญ่มีไฟจุดสว่างไสว เสียงดังเฮฮาดังออกมาจากภายใน
ก่อนหน้านั้นหลินจงเคยบอกแล้ว ว่าตำหนักนั้นมีชื่อว่าตำหนักชำระจิต ครองพื้นที่สิบหมู่ มีเพียงสายเลือดตรงเท่านั้นที่สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ได้
แต่ตอนนี้ ตำหนักชำระจิตสว่างไสวเคล้าเสียงเฮฮาไม่หยุดหย่อน ไม่ได้เงียบสงัดเหมือนกับที่อื่น
“คุณชาย เหล่าคุณชายคุณหนูสายเลือดรองของตระกูลหลินกำลังจัดเลี้ยงกัน ข้าเคยห้ามปรามแล้ว แต่…” หลินจงรีบอธิบาย พูดถึงสุดท้ายกลับกลืนคำพูดลงไปด้วยท่าทีสลด
“พวกเขาไม่สนใจใช่ไหมหรือไม่” หลินสวินหรี่ตา “ข้าจำได้ว่าคนอื่นๆ ในตระกูลสลินย้ายออกไปตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนกันหมดแล้ว เหตุใดพวกคุณชายคุณหนูพวกนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
หลินจงยิ้มขื่น “คุณชาย ท่านเพิ่งกลับมา จึงยังไม่ทราบสถานการณ์”
หลินสวินขัดขึ้น “ลุงจง บอกข้ามาว่าคุณชายคุณหนูพวกนั้นมีสิทธิ์เข้าไปสังสรรค์ในตำหนักชำระจิตหรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่” หลินจงตอบโดยไม่ลังเล
หลินสวินยิ้มมุกปาก นัยน์ตาสีดำล้ำลึกขึ้น พลันกล่าวว่า “แค่นี้ก็พอ” ครั้นว่าจบก็สาวเท้าเข้าไปในตำหนักชำระจิตทันที
เมื่อครู่เขาใช้พลังรับรู้เข้าไปสำรวจ ในตำหนักชำระจิตมีคนประมาณสิบกว่าคน ผู้ชายคุยโวอวดตัวเอง ดื่มเหล้าเคล้านารี ผู้หญิงโปรยเสน่ห์ยั่วยวน ทั่วทั้งตำหนักชำระจิตแปดเปื้อนไปด้วยโลกีย์
หากไม่ได้เจอกับตา หลินสวินยังสงสัยว่าตนเองมาถึงหอนางโลมเสียแล้วหรืออย่างไร
หากเป็นเมื่อก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน แต่เมื่อทราบถึงสถานะของตัวเอง และได้กลับเข้ามาในนครต้องห้าม มาถึงภูเขาชำระจิต เขาก็ย่อมเตรียมตัวแบกรับภาระและเรื่องทั้งหมดไว้แล้ว
ดังนั้น เรื่องตรงหน้าเขาก็ย่อมต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวสักหน่อย
“คุณชาย ทะ ท่านจะทำอะไร” หลินจงชะงัก พลันท่าทางก็เปลี่ยนไป คล้ายกับตระหนักอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบตามเข้าไป “คุณชาย ไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ”
ปัง!
หลินสวินมาถึงหน้าประตูตำหนักชำระจิต ใช้เท้าถีบประตูออกไม่เกรงใจ
ท่านผู้นั้นในวังไม่ใช่บอกว่า เข้ามาในนครต้องห้ามแล้ว อยากก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดิน ก็ทำได้ตามอำเภอใจไม่ใช่หรือ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้ก็เริ่มจากที่นี่ก่อนก็แล้วกัน
ตอนที่ 322
ฝุ่นควันแปดเปื้อน
โดย
ProjectZyphon
ปัง!
ประตูหน้าตำหนักถูกถีบออกจนลมเย็ดพัดเอ่อเข้ามา หนุ่มสาวที่เฮฮากันอยู่หยุดการกระทำของตน เพราะพวกคิดว่ามีศัตรูบุกรุก
ชายคนหนึ่งที่กำลังซุกอยู่บนหน้าอกใหญ่โตของหญิงสาวตกใจจนเผลอกัดลงไปสุดแรง ทำเอาหญิงสาวคนนั้นร้องหวีดเสียงแหลม
หลินสวินปราดตามองโดยรอบ บนพื้นกระจุยกระจายไปด้วยข้าวของ กลิ่นเหล้าคละคลุ้งตามตัวชายหญิงทุกคน พวกเขาด่ากราดออกมา
“เด็กน้อย อยากตายหรืออย่างไร ถึงกล้าบุกเข้ามาในภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน”
“บัดซบ! ไอ้เด็กบ้านี่มาจากไหนกัน”
“หลินจง หลินจงไสหัวของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าอยากตายหรืออย่างไร ถึงปล่อยให้คนขึ้นมาบนภูเขาชำระจิตตามใจชอบเช่นนี้ เจ้ายังเคารพกฎตระกูลอยู่หรือไม่”
หลินสวินยืนมองเงียบๆ หลินจงที่อยู่ข้างๆ กลับเหงื่อตก รีบอธิบาย “คุณชายคุณหนูทั้งหลาย ผู้นี้คือ…”
“หุบปาก ข้าไม่อยากฟังคำแก้ตัวของเจ้า”
หญิงสาวชุดแดงโมโหสุดขีด หยัดกายลุกตะคอกใส่หลินสวิน “ไอ้ตัวสวะ ที่นี่คือตระกูลหลิน ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาหยาบช้าอยู่ ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษอีก”
ว่าพลางยกมือขึ้นตบหลินสวิน
อย่างไรถึงเรียกโอหัง
ก็คือสิ่งนี้เอง ไม่ว่าใครจะกล้าบุกเข้ามาก็ต้องลงมือก่อนค่อยว่ากัน
เพี๊ยะ!
ยังไม่รอให้หญิงชุดแดงเข้ามาใกล้ หลินสวินชิงตบนางเสียฉาดใหญ่ก่อน จนนางกรีดร้องลอยหวือออกไป ล้มลุกคลุกคลาน ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรังอยู่กับพื้น หน้าข้างหนึ่งบวมเป่งขึ้นมาทันที
“ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว” หญิงคนนั้นหวีดร้องคล้ายคนบ้า
“รนหาที่ตาย” ชายคนหนึ่งตบโต๊ะลุกขึ้น คว้ากระบี่ขึ้นมาตรงเข้าไปหาหลินสวิน ท่าทางเอาเรื่อง
หลินสวินไม่ถอยหนี แต่กลับเดินเข้าไป ก่อนจะยกมือขึ้นจับกระบี่ของอีกฝ่าย พร้อมกับใช้เท้าถีบเข้าที่หน้าท้อง
ชายคนนั้นตัวโค้งงอ ถูกถีบจนลอยหวือร่วงตุบลงคล้ายคางคกนอนกองกับพื้น ความเจ็บแล่นริ้วจนต้องนิ่วหน้า แม้เขาจะเหลือบตามองเด็ดหนุ่ม แต่ปากยังคงร้องยังโอดโอย
ผู้คนเห็นการกระทำของหลินสวินแล้วก็ตกใจ กลัวจนตัวสั่น สร่างเมาไปกว่าครึ่ง พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล สายตาที่มองหลินสวินจึงเต็มไปด้วยความสงสัยและหวาดเกรง
หลินสวินไม่วายส่ายหน้ากับให้กับท่าทางของพวกเขา ถ้าหากมีศัตรูบุกมาฆ่าจริงๆ ไม่ต้องเปลืองแรงก็สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
“พวกเจ้ายังยืนบื้ออะไรอยู่ จัดการสิ”
หญิงชุดแดงตวาด ผมของนางยุ่งเหยิง หน้าบวมแดง เวลานี้โมโหจนเสียสติ
ทุกคนมองหน้ากันไปมาแต่ไม่กล้าลงมือ หลินสวินดูยังอ่อนวัยมาก เขาเข้ามาในตำหนักไม่พูดจา แต่กลับลงมือได้อย่างรุนแรงจนน่ากลัว
หลินสวินยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปหาหญิงชุดแดง
“จะ เจ้าจะทำอะไร” หญิงชุดแดงร้องเสียงแหลม แม้หลินสวินจะยิ้ม แต่กลับสร้างความหวาดกลัวให้นางอย่างยิ่งยวด
“ลุงจง คุณหนูผู้นี้?” หลินสวินไม่ได้ลงมือ แต่ถามขึ้นเบาๆ
“คุณชาย ตามลำดับตระกูลแล้ว นางคือพี่สาวในตระกูลของท่าน หลินอวี่เจียว” หลินจงที่ยืนห่างออกไปรีบรายงาน
คุณชาย
พี่สาวในตระกูล
คนในตำหนักต่างสงสัย หรือเด็กคนนี้จะเป็นคนในตระกูลหลิน แต่เหตุใดถึงไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อนเลย
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นพี่สาวในตระกูลนี่เอง” หลินสวินยิ้ม นัยน์ดาสีดำลึกล้ำมองหลินอวี่เจียวในชุดสีแดงนิ่งสงบ ว่าเสียงเบา “เจ้ารู้กฎตระกูลหรือไม่”
หลินอวี่เจียวงุนงง “ไร้สาระ ข้าเป็นคนตระกูลหลิน จะไม่รู้กฎตระกูลได้อย่างไร”
หลินสวินทำท่าครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้น ใจของเจ้าคงไม่มืดบอด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดการง่ายแล้ว”
เด็กหนุ่มว่าพลางหิ้วหลินอวี่เจียวขึ้นเหมือนจับไก่ แล้วออกแรงสะบัดทิ้งไป
ทุกคนมองด้วยความตกใจ ร่างกายโค้งเว้าอรชรของหลินอวี่เจียวถูกผลักออกไปนอกตำหนัก ฝ่ายเจ้าตัวได้แต่หวีดร้อง
เหล่าหนุ่มสาวภายในตำหนักตัวสั่นระริก ด้วยไม่คิดว่าหลินสวินจะลงมือโดยไม่พูดจา
“สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า จะฆ่าเจ้า!” นอกตำหนัก เสียงหวีดร้องของหลินอวี่เจียวแว่วมา
“ไม่ว่าเจ้าจะอยากฆ่าข้าหรือไม่ ตอนนี้ก็อยู่นอกตำหนักรอคำสั่งจัดการ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะเชือดเจ้าให้พวกเขาดู”
หลินสวินบอก น้ำเสียงยังคงราบเรียบ แต่ทั่วร่างกลับแผ่ไอน่ากลัวออกมา
คล้ายกับว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนละคนในวินาทีนั้น คิ้วคมดุจดาบ ตาทอประกายดังสายฟ้า ไม่ว่าหยุดมองที่ไหนก็คล้ายจะเกิดพายุพัดพาขึ้นให้ได้
บรรยากาศในตำหนักเงียบกริบ ทุกคนล้วนใจเย็นวาบ สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามอยู่ทุกลมหายใจ โดยเฉพาะหลินอวี่เจียวที่อยู่นอกตำหนัก เดิมทีนางโมโหเสียสติ แต่เมื่อประสบกับความน่าเกรงขามของหลินสวิน ทั้งร่างก็คล้ายถูกน้ำเย็นสาด ใบหน้าซีดขาว แน่นิ่งเป็นรูปปั้น รับรู้ถึงความอันตราย
จากนั้นนางก็คุกเข่าลง ความรู้สึกบอกนางว่าหากยังลังเลอยู่ เด็กหนุ่มที่อยู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นมาคงจะฆ่านางในทันทีแน่นอน
หลินสวินที่ผ่านศึกล้างเลือดมามากมายจะเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาได้อย่างไร อย่าว่าแต่คุณชายคุณหนูเจ้าสำราญในตำหนักเลย แม้เป็นผู้ฝึกปราณที่เชี่ยวชาญการต่อสู้มาอยู่ตรงนี้ ก็สามารถสั่นสะท้านด้วยความน่าประหวั่นพรั่นพรึงของหลินสวินได้เช่นกัน
หลินจงที่อยู่ด้านหนึ่งของตำหนักเริ่มสับสน เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าคุณชายที่เคยถูกคนขโมยชีพจรวิญญาณไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่เพียงไม่ใช่คนไร้น้ำยา กลับกันเขามีพลังที่มากกว่าปกติเสียอีก
ในตำหนักเงียบสงัดด้วยถูกพลังของหลินสวินข่มเอาไว้
“ใครไม่ใช่คนในตระกูลหลินจงลุกขึ้น” หลินสวินปราดตามองคนเหล่านั้น
มีหญิงสาวอรชรห้าหกคนลุกขึ้นมา ทั้งหมดตัวสั่นก้มหน้าไม่กล้ามองหลินสวินตรงๆ
“พวกนางเป็นใคร” หลินสวินถาม
หลินจงกระอักกระอ่วน ลังเลเอ่ย “คุณชาย พวกนาง พวกนางคือคณิกาจากหอนางโลมขอรับ”
หลินสวินส่งเสียงรับรู้ โบกมือ “ลุงจง ท่านไปส่งพวกนางที จริงสิ ให้ค่าตอบแทนที่ควรแก่พวกนางด้วย”
“ขอรับ” หลินจงพยักหน้าตอบรับ
เวลานี้ ชายรูปงามคนหนึ่งที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเครื่องประทินโฉมพลันลุกขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ขะ ข้าก็ไม่ใช่คนตระกูลหลิน”
หลินสวินชะงัก ชายคนนี้อ้อนแอ้น ไม่ว่าท่าทางหรือแม้แต่กริยาที่แสดงออกมาล้วนไม่ต่างอะไรจากสตรี เด็กหนุ่มนึกแปลกใจ หรือว่าจะเป็นนายบำเรอที่เขาร่ำลือกัน
“คุณชาย นี่คือนายบำเรอนี่คุณชายซิวเหวินเลี้ยงเอาไว้ขอรับ” หลินจงอธิบาย
เด็กหนุ่มสังเกตว่ามีชายคนหนึ่งท่าทางแปลกไป ชัดเจนว่าเขาคือคุณชายซิวเหวิน
“พาเขาออกไปด้วย”
หลินสวินสะบัดมือ ถอนหายใจ นี่คือบุตรหลานของตระกูลหลินที่เขาพบเจอในวันนี้ แต่ละคนคลุกเหล้าเคล้านารี ไม่เพียงคลุกอยู่กับคณิกาหอนางโลม กระทั่งเลี้ยงนายบำเรอเอาไว้ด้วย เละเทะเป็นที่สุด
ไม่นานหลินจงก็พาสาวคณิกากับนายบำเรอเหล่านั้นออกไป
ในห้องเหลือเพียงชายสี่คนหญิงสองคน และหลินอวี่เจียวที่อยู่ข้างนอกอีกหนึ่งคน หลินสวินยืนอยู่ตรงกลางโถง ไม่พูดจา ทำให้บรรยากาศยิ่งเงียบลงจนชายหญิงเหล่านั้นแทบหายใจไม่ออก
“พวกเจ้าก็ไปคุกเข่านอกตำหนัก รอคำสั่งจัดการ” ในที่สุด หลินสวินก็ตัดสินใจ เอ่ยออกมาเสียงเรียบ
พลันสีหน้าของคนเหล่านั้นก็เปลี่ยนสี คล้ายไม่เชื่อหูตัวเอง
“เจ้าอย่าทำเกินเหตุไปนัก! ที่นี่คือภูเขาชำระจิต เป็นสถานที่ของตระกูลหลิน หากผู้อาวุโสในตระกูลทราบเข้า เจ้าต้องตายแน่ๆ” ใครบางคนทนไม่ไหวร้องบอก
“ใช่แล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจัดการพวกข้า” คนอื่นเริ่มโวยวายตาม
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “สิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ”
เขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เพียงครู่เดียวก็ผลักคนเหล่านั้นออกไปนอกตำหนักจนพวกเขาร้องระงม
แต่ต้นจนจบเด็กหนุ่มล้วนไม่มีท่าทีลังเล แม้จะลงมือหนักไป แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเอาชีวิต นี่ก็ล้วนเห็นแก่ที่เป็นคนในตระกูลหลินเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นหลินสวินคงฆ่าพวกเขาตั้งแต่เปิดประตูตำหนักเข้ามาแล้ว
“คุกเข่า”
สองคำที่ผ่านเข้ามาในหูของพวกเขาคล้ายเป็นคำประกาศิตจากจอมมาร ทำเอาพวกเขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เด็กคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงกล้าปฏิบัติกับพวกเขาเช่นนี้ หรือว่าเขาไม่กลัวตาย
แต่นี่คือภูเขาชำระจิต และเป็นพื้นที่ของตระกูลหลิน
แม้ในใจจะหวาดกลัวหรือโมโหเท่าไร เมื่อเห็นหวินสวินก้าวออกมาจากตำหนัก พวกเขาก็ตัวแข็งเหมือนมองเห็นเทพที่ละสังขารเดินมาหาตัวเอง จนต้องรีบคุกเข่าลงไป
หลินสวินหยุดเดิน สายตาปราดมองคนตระกูลหลินเหล่านี้ ในใจผิดหวัง คนพวกนี้คุกเข่าง่ายเสียจริง หากศัตรูเข้ามายังที่แห่งนี้ คนพวกนี้ล้วนไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“ข้าชื่อหลินสวิน นับแต่วันนี้ ข้าจะมาดูแลภูเขาชำระจิต” หลินสวินเอ่ยเรียบๆ
อะไรนะ? คนเหล่านั้นล้วนมีท่าทีไม่เชื่อ เด็กคนนี้กำลังพูดอะไร เขาบอกว่าจะมาดูแลภูเขาชำระจิตอย่างนั้นหรือ
บังอาจ!
แม้ตระกูลหลินจะย่ำแย่แตกระแหง แต่ในนครต้องห้ามยามนี้ ก็ไม่มีขุมอำนาจใดกล้ากล้ำกรายเข้ามาในภูเขาชำระจิต
แต่บัดนี้เด็กหนุ่มบุกเข้ามาบอกว่าจะดูแลพื้นที่ของตระกูลหลิน จะไม่เรียกว่าบังอาจได้อย่างไร หากหลินสวินไม่ได้พูดอย่างคร่ำเคร่งจริงจัง พวกเขาคงสงสัยว่าเด็กคนนี้สมองไม่ปกติ
ตอนที่ 323
เกียรติยศในวันวาน
โดย
ProjectZyphon
ด้วยหวาดกลัวพลังของหลินสวิน ชายหญิงพวกนั้นแม้ในใจจะพร่ำบ่น แต่ปากก็ไม่กล้าว่าออกมา
หลินสวินไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนพวกนี้คิดอะไร แต่เขาคร้านจะอธิบาย คำพูดวันนี้ก็ไม่ได้พูดให้พวกเขาฟัง เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นแค่พวกเจ้าสำราญ เด็กหนุ่มไม่คิดจะประกาศยืนยันตัวเองให้พวกเขารับรู้
ทุกอย่างที่หลินสวินทำไป เพียงต้องการให้พวกเขาเอาเรื่องในภูเขาชำระจิตไปเล่าต่อให้ตระกูลหลินทั้งหลายได้รับรู้ เขาอยากดูว่าถึงตอนนั้นแล้ว จะมีสักกี่คนที่เป็นปรปักษ์กับตน
ไม่นานหลินจงก็กลับมา ครั้นเห็นคนอื่นคุกเข่ากันหมด ชายชราก็มีท่าทีเป็นกังวล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เขามองออกว่าคุณชายผู้นี้ไม่ใช่คนมุทะลุ ที่ทำเช่นนี้ บางทีอาจเพราะกำลังประกาศศักดา บางทีอาจจะเป็นความต้องการอื่น แต่ไม่ใช่ทำไปเพราะอารมณ์แน่นอน
“วันนี้ข้าเพิ่งจะเข้ามาภูเขาชำระจิตครั้งแรก ข้าจะไม่รังแกพวกเจ้า แต่ หลังจากนี้หากพวกเจ้าต้องการขึ้นมาที่ภูเขาชำระจิต ก็ต้องได้รับการยินยอมจากข้าก่อน”
หลินสวินโบกมือหันหลังกลับเข้าตำหนัก
คนเหล่านั้นไม่อยากเชื่อว่าหลินสวินจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ จนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหายเข้าไปในตำหนักชำระจิตพวกเขาถึงแน่ใจว่าเป็นความจริง
“ไป” คนพวกนี้ลุกขึ้น เก็บความแค้นแล้วรีบจากไป
พวกเขาจะนำเรื่องราววันนี้ไปบอกผู้อาวุโสในตระกูล แค่ลูกกระต่ายอายุสิบกว่าปีเท่านั้น อาจหาญบอกว่าจะดูแลภูเขาชำระจิต รนหาที่ตายชัดๆ
จนเมื่อมาถึงชั้นล่างของภูเขาชำระจิต พลันชายคนหนึ่งก็ถามขึ้น “หลินจง เจ้าเด็กนั่นเป็นใคร”
คนอื่นต่างพากันรู้สึกตัว นั่นสิ ถึงตอนนี้แล้วพวกเขายังไม่รู้เลยว่าหลินสวินเป็นใคร
แต่จะโทษพวกเขาไม่ได้ ก่อนหน้านั้นหลินสวินไม่พูดจา เอาแต่ลงมือจนพวกเขางุนงง ไหนเลยจะมีจิตใจคิดเรื่องอื่น
“คุณชายคุณหนูทุกท่าน นั่นคือบุตรชายของหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวิน นายท่านและนายหญิงของข้า หลินสวิน” หลินจงพูดอย่างภูมิใจ
“อะไรนะ”
“บุตรของหลินเหวินจิ้ง เขาไม่ได้ตายตั้งแต่คลอดออกมาแล้วหรือ”
“หลินจง เจ้าไม่ได้เข้าใจผิดหรอกหรือ”
“มิน่าถึงคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
คนกลุ่มนั้นโวยวาย ตกใจ พวกเขาถามไถ่กับหลินจงเพื่อยืนยัน ฝ่ายชายชรายืนยันว่าหลินสวินเป็นบุตรของหลินเหวินจิ้งจริงๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะไปฟ้องผู้อาวุโสเพื่อแก้แค้นหลินสวินเท่านั้น แต่ยามนี้พวกเขารู้แล้วว่าเรื่องราวหนักหนาแค่ไหน อย่างไรก็ต้องรายงานไปให้ผู้อาวุโสรับรู้
ฉับพลันพวกเขาก็รีบจากไป
…
ในตำหนัก พื้นห้องเละเทะ กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
หลินสวินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สายตาเหม่อลอย ท่าทางสับสน คล้ายมีเรื่องราวค้างคาเต็มไปหมด
นับแต่รับรู้สถานะตัวเอง เดิมทีเขาควรจะดีใจ แต่ความจริงกลับทำให้เขาดีใจไม่ออก เรื่องราวในปีนั้นซับซ้อนเกินไป
เหตุการณ์นองเลือดนั้นทำให้ผู้เป็นบิดา หลินเหวินจิ้งถูกฆ่า ผู้เป็นมารดา ลั่วชิงสวินหายตัวไป แม้กระทั่งบรรดาญาติสายเลือดตรงทั้งหมดก็ไม่มีใครมีชีวิตรอด
คนร้ายมีนามว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ รู้เพียงว่าเขามาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งดินแดนลี้ลับ นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีข้อมูลอื่นใดอีก
หากเรื่องราวง่ายดายเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด แต่ความเป็นจริงมักโหดร้ายกว่านั้นมาก เพราะเหตุการณ์นองเลือดทำให้ตระกูลหลินเป็นมังกรไร้หัวตกอยู่ในความระส่ำระส่าย ท้ายที่สุดก็ถูกกลุ่มอำนาจเข้ายึดครองแบ่งสรรอำนาจและทรัพย์สิน จนตกต่ำลงในที่สุด
เดิมทีทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน แต่เมื่อเหยียบเข้ามาในนครต้องห้ามแล้ว เขารู้เพียงตนเป็นบุตรชายของหลินเหวินจิ้ง และต้องแบกรับหน้าที่อะไรบางอย่าง
พูดง่ายกว่ากระทำจริงเสมอ หลินสวินพบว่าลำบากนัก ทุกอย่างประดังปะเดเข้ามาจนไม่รู้จะเริ่มจัดการจากตรงไหน
เขาไม่เคยเจอเรื่องราวเช่นนี้ เด็กหนุ่มที่ออกมาจากคุกเหมืองใต้ดินกลายมาเป็นลูกหลานของตระกูลหลินแห่งนครต้องห้าม จากนั้นก็มีสิทธิ์ในการดูแลหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจ ภูเขาชำระจิต
สถานะที่เปลี่ยนไป ทำให้หลินสวินปรับตัวได้ค่อนข้างลำบาก
คล้ายขอทานตามมุมถนนได้กลายเป็นราชบุตรขององค์จักรพรรดิ ความแตกต่างที่ชัดเจนจนยากจะปรับตัวให้เคยชินได้ง่ายๆ
แน่นอน เรื่องราวของหลินสวินเปรียบดั่งจุดเปลี่ยนที่สวยงามสำหรับชาวบ้านตาดำๆ ไม่ต้องดิ้นรนก็กลายเป็นบุตรตระกูลผู้มีอำนาจ แถมยังเป็นทายาทสายเลือดตรง จะไม่ให้อิจฉาได้อย่างไร
แม้ตระกูลหลินจะตกต่ำ แต่อูฐที่แก่ตายอย่างไรก็ตัวใหญ่กว่าม้า แค่เพียงสถานะของตระกูลผู้มีอำนาจก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะมีได้
เหมือนลั่วชิงสวินที่แม้จะโดดเด่นได้ลำดับหนึ่งจากการทดสอบระดับอาณาจักร แต่เมื่อปลงใจกับหลินเหวินจิ้งแล้ว นางกลับถูกตระกูลหลินคัดค้าน
เพราะอะไร
ง่ายนัก เพราะว่าลั่วชิงสวินฐานะยากจน แค่สถานะนี้ก็ถูกมองว่าไม่คู่ควรกับหลินเหวินจิ้งแล้ว
มีเพียงหลินสวินที่เห็นชัดเจนว่าตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินนั้นยุ่งยากและลำบากเพียงใด ทั้งยังมีอันตรายซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด
หากเป็นไปได้ เขายอมที่จะไม่เป็นคนของตระกูลหลินจะดีกว่า
ฐานะสูงส่ง แต่มีหลายคนที่คอยจับผิดเขาในที่ลับ
ตำแหน่งก้าวกระโดด ตลกเป็นบ้า
เกรงว่าคงไม่มีคนในตระกูลหลินคนใดยอมให้เขาขึ้นปกครองภูเขาชำระจิตได้ง่ายๆ แล้วจะบอกว่าก้าวกระโดดได้อย่างไร
หากหลินสวินตัวคนเดียวอยากจะแบกทุกอย่างไว้บนบ่าแล้ว ทุกอันตรายและความลำบากที่จะประสบย่อมมากกว่าที่คิด หากพลาดก็อาจจะตายอย่างที่ไม่เหลือกระดูก
ตำหนักว่างเปล่าเงียบสงัด ทั่วพื้นเละเทะ เด็กหนุ่มที่อายุสิบห้าในปีนี้ นั่งอยู่บนเก้าอี้เหม่อลอย คิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
“เข้ามาในนครต้องห้าม เจ้าสามารถก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้ตามอำเภอใจ” ในหัวปรากฏจดหมายประทับตราดอกจื่อเย่าและคำในจดหมาย จากนั้นก็คิดถึงท่านผู้นั้นในวัง
อยู่ๆ นัยน์ตาสีดำของหลินสวินก็ทอประกายขึ้นมา “ตอนนี้มีหลายคนในนครต้องห้ามเข้าใจว่าข้ากับตำหนังแสงทมิฬมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาเข้าใจผิดต่อไปแล้วกัน”
ไม่นาน หลินสวินก็นึกถึงคำพูดของชายชราที่มาจากตำหนักแสงทมิฬ ริมฝีปากไม่วายยกยิ้ม
“เหตุใดต้องสนอันตรายที่อยู่ตรงหน้า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินให้พวกเจ้าดู” หลินสวินพึมพำในใจ เดิมทีใจที่อึมครึมอับจนหนทางก็มีความมุ่งมาดมาแทนที่
…
ไม่นานหลินจงก็กลับมา หลินสวินเชิญอีกฝ่ายนั่ง “ลุงจง เล่าเรื่องราวของตระกูลหลินให้ข้าฟังที”
หลินจงเตรียมตัวมาแล้วจึงไม่ได้ประหลาดใจ ใคร่ครวญสักพักจึงเริ่มเล่าออกมา
หลินสวินเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้เมื่อห้าร้อยปีก่อนตระกุลหลินเป็นถึงตระกูลอำนาจระดับสูงในจักรวรรดิจื่อเย่า เทียบได้กับเจ็ดตระกูลใหญ่ของทุกวันนี้
การวัดระดับของตระกูลนั้นง่ายดาย มีเพียงข้อเดียว คือในตระกูลมีราชาระดับสังสารวัฏอยู่หรือไม่
ในตอนนั้น บรรพบุรุษตระกูลหลินที่มีนามว่าหลินเต้าเฉิน เป็นราชาระดับสังสารวัฏเลื่องชื่อลือนามของจักรวรรดิ เพียงแต่จากนั้น หลินเต้าเฉินโชคร้ายพ่ายแพ้ให้กับราชาคนหนึ่งของจักรวรรดิมืด หลังจากนั้นตระกูลหลินก็เสียหายอย่างหนัก จากตระกูลอำนาจระดับสูงตกมาอยู่ตระกูลอำนาจระดับกลาง น่าอับอายไปกว่านั้นหลายร้อยปีมานี้กลับไม่มีราชาระดับสังสารวัฏถือกำเนิดขึ้นมาเลย
แต่กระนั้นอำนาจที่ตระกูลหลินมีก็ไม่ใช่อำนาจที่ตระกูลระดับกลางจะเปรียบได้ บอกได้ว่าเป็นรองเพียงเจ็ดตระกูลใหญ่เท่านั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ยาวนานมาหลายร้อยปี แม้ตระกูลหลินจะไม่ได้กลับเข้าไปเป็นตระกูลอำนาจระดับสูงแต่ก็ไม่ได้ตกต่ำ
จนเมื่อสิบห้าปีก่อน ตระกูลหลินเกิดเหตุการณ์นองเลือด ทำให้อำนาจที่ตระกูลหลินเคยมีเปลี่ยนแปลงไป
เจ้าตระกูลหลินเฟยถิง และทายาทสายเลือดตรงทั้งหมดถูกสังหาร มังกรไร้หัวทำให้ตระกูลหลินถูกกลุ่มอำนาจให้แบ่งแยกออกไปจนตกต่ำ
จนทุกวันนี้ อำนาจที่ตระกูลหลินมี เพียงฝืนพูดได้ว่าเป็นตระกูลระดับล่าง แม้แต่ตระกูลอำนาจระดับกลางก็ไม่ใช่
หลินสวินได้ยินเช่นนั้นก็เศร้าใจ ห้าร้อยปีก่อน ตระกูลหลินยังเป็นถึงตระกูลระดับสูง อำนาจคับฟ้า มีผู้ฝึกปราณระดับสังสารวัฏประจำในตระกูล
ห้าร้อยปีให้หลัง กลับตกต่ำถึงขั้นต้องฝืนเรียกว่าตระกูลอำนาจระดับล่าง ไม่เหลือเกียรติใดๆ เทียบกับตระกูลระดับสูงทั้งเจ็ดแล้ว ตระกูลหลินตกต่ำลงรวดเร็วมาก
ไม่นานหลินสวินก็สงบสติอารมณ์ แล้วเอ่ยถาม “ลุงจง เหตุการณ์ในตระกูลหลินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลินจงเล่าเสียงเบา ย้อนรำลึกพร้อมท่าทางเจ็บปวด “หลังจากเหตุการณ์นองเลือดครานั้น สายเลือดของท่านเจ้าตระกูลถูกสังหารหมดสิ้น เหลือเพียงญาติสายรอง…”
ที่แท้ ตระกูลหลินมีสายเลือดทั้งสิ้นห้าสาย หนึ่งในนั้นมีสายเลือดของหลินเฟยถิง ท่านปู่ของหลินสวินเป็นทายาทสายตรง ควบคุมอำนาจในตระกูล
นอกจากนี้ยังมีตระกูลสายรองสี่สาย ล้วนเป็นทายาทของน้องชายหลินเฟยถิ งและเครือญาติจากการแต่งงานที่ไกลออกไป
นี่คือตระกูลใหญ่ ญาติเยอะ สายตรง สายรอง เครือญาติจากการแต่งงาน ญาติห่างๆ ที่นับไม่ถ้วน
หลังจากเกิดเหตุการณ์นองเลือด ทายาทสายรองของตระกูลหลินพากันย้ายออกจากภูเขาชำระจิต ไปตั้งรกรากตามที่ต่างๆ ในนครต้องห้าม พวกเขายังคงใช้ชื่อเสียงของตระกูลหลิน แต่ความจริงกลับแตกแยกออกเป็นสี่อำนาจ ปกครองตนเอง
ได้ยินเช่นนี้หลินสวินก็มุ่นคิ้ว จับประเด็นปัญหาสำคัญได้ “ตอนนั้นเพื่อแย่งชิงอำนาจ ตระกูลรองสี่สายร่วมมือกับศัตรู ขโมยทรัพย์สมบัติของตระกูลหลินออกไป แล้วย้ายออกไปจากภูเขาชำระจิตอย่างนั้นหรือ”
ภูเขาชำระจิตเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ แสดงถึงเกียรติยศและตำแหน่ง ใครจะยอมปล่อยวางสมบัติเช่นนี้ แล้วไปตั้งรกรากที่อื่น
ย่อมต้องมีเหตุบางประการแน่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น