Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 303 - 319
303 เข้าใจผิดไปกันใหญ่
โดย
ProjectZyphon
คำประกาศิตจากฉือฉางเหมย ทำเอาเหล่าผู้ช่วยหวาดหวั่น
ด้วยอำนาจของหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ระดับสูงอย่างตระกูลฉือแล้ว ตระกูลลู่ที่เป็นเพียงตระกูลระดับกลางก็คงทำได้เพียงยอมตกลงอย่างว่าง่าย!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่เซ่าอวิ๋นก็ไม่มีทางได้ช่วยเหลือเป้าหมายหรือเป็นงัดข้อกับพวกเขาเลย!
เพื่อเป็นการระงับโทสะของตระกูลฉือ ตระกูลลู่ก็อาจจะสังหารลู่เซ่าอวิ๋นทิ้งเสียด้วยซ้ำ!
นี่คือพลังแห่งอำนาจ
เมื่อสองฝ่ายอำนาจไม่อาจคานกันได้ทัดเทียม ฝ่ายที่พ่ายแพ้ต้องยอมอ่อนโอน หากไม่เช่นนั้นก็ต้องรอโดนโจมตี
“แล้วจะทำอย่างไรกับทางฝั่งอัครการค้าเล่า” ใครบางคนโพล่งถามขึ้น
ฉือฉางเหมยนึกดูแคลนอยู่ในใจ ไม่ใช่ดูแคลนอัครการค้า แต่เป็นคนที่ตั้งคำถามนั่นต่างหาก
“เจ้าคิดว่าเพียงเพราะลู่เซ่าอวิ๋นคนเดียว จะทำให้ตระกูลฉือกับอัครการค้าผิดใจกันได้อย่างนั้นหรือ เจ้าให้ค่าลู่เซ่าอวิ๋นสูงเกินไปแล้วกระมัง” นางว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เหน็บแนมจนคนผู้นั้นหน้าเสียอยู่ไม่สุข
หากคิดให้ดีก็เป็นดังที่นางว่า แม้ลู่เทียนจ้าว บิดาของลู่เซ่าอวิ๋นจะเป็นหนึ่งในผู้จัดการอาวุโสของอัครการค้า แต่คนสติดีอยู่ย่อมรู้กันทั้งนั้นว่าลู่เซ่าอวิ๋นเป็นเพียงคุณชายไร้วิชาความสามารถ อัครการค้าจะออกหน้าช่วยเขาอยู่หรือ
การกระทำของลู่เซ่าอวิ๋นในวันนี้ก็เป็นเพียงแค่การใช้อำนาจของบิดาตัวเองเท่านั้น
“เอาล่ะ เรื่องนี้พอไว้เท่านี้ ลู่เซ่าอวิ๋นก็แค่ตัวปัญหาเล็กน้อย ไม่ควรให้ความสำคัญ ที่พวกเราต้องทำคือจัดการเป้าหมาย” ฉือฉางเหมยสูดลมหายใจลึกแล้วเริ่มสั่งการ
“จัดกองกำลังทั้งหมดล้อมเมืองมังกรเหลืองชั้นนอกไว้ เมื่อเป้าหมายปรากฏ ให้จัดการกับเขาอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม!”
” นำเรือรบวีรชนม่วงอีกห้าลำออกมาภารกิจในครั้งนี้ เพื่อโจมตีเป้าหมายจากทางอากาศด้วย!”
เหล่าผู้ช่วยได้ยินเช่นนั้นก็ใจกระตุก ฉือฉางเหมยสั่งการเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการดับเครื่องชนเลยสักนิด!
แม้การล้อมวงสังหารครั้งก่อนๆ จะล้มเหลวไม่เป็นท่า รวมแล้วสูญเสียผู้ฝึกปราณไปไม่กี่ร้อยเท่านั้น กลับกันพวกเขายังเหลือกองกำลังอีกตั้งสองพันกว่านาย
แต่ยามนี้ฉือฉางเหมยให้กองกำลังทั้งหมดมารวบตัวกันที่นอกเมืองมังกรเหลือง และยังให้นำเรือรบวีรชนม่วงที่เหลืออีกห้าลำออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าในการรบครั้งนี้วางแผนจะสู้เป็นตายให้รู้ผลแพ้ชนะ
นี่มันบ้าระห่ำเกินไปแล้ว
ทำเช่นนี้เท่ากับต้องละทิ้งกลยุทธ์และแผนการรบทั้งหมด และใช้พลังอันแข็งแกร่งห้ำหั่นกันโดยตรง
แต่เมื่อไตร่ตรองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าทำอย่างที่ว่า โอกาสประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก
ลองจินตนาการว่า ผู้ฝึกปราณสองพันกว่านายกับเรือรบวีรชนม่วงอีกห้าลำ ออกภารกิจจัดการเป้าหมายพร้อมกันจะน่ากลัวสักเท่าไหร่ เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเป้าหมายจะมีพลังต่อสู้ล้ำเลิศเพียงใด ก็ไม่วายต้องตายจากการถูกโจมตีที่มากมายขนาดนี้
“ภารกิจครั้งนี้เป็นการทุบหม้อข้าวสู้ หากชนะ ข้าจะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้พวกเจ้า” ฉือฉางเหมยกวาดสายตาไปโดยรอบ “แต่หากแพ้…”
ทุกคนพลันรู้สึกสั่นสะท้านในหัวใจ เพราะรับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างน่าประหลาด
“ข้าไม่มีคำพูดแก้ตัวต่อตระกูล ส่วนพวกเจ้าก็จะไม่มีวันได้รับการยกโทษจากข้า”
ฉือฉางเหมยพูดเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ครู่หนึ่งท่าทางก็กลับมาสงบนิ่งอย่างก่อน “แน่นอน ภายใต้การโจมตีระดับนี้ โอกาสที่เป้าหมายจะมีชีวิตเหลือรอดมีน้อยมาก ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวล หากไม่มีข้อผิดพลาดเราต้องชนะเป็นแน่แท้”
…
หลังประกาศคำสั่งเรียบร้อย ฉือฉางเหมยก็ออกจากเรือน เดินทอดน่องไปตามถนนยามค่ำคืนเพียงลำพัง
ที่นางทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะสิ้นไร้หนทางอื่น แต่เพราะรู้ดีว่าเมื่อเป้าหมายเหยียบเยื้องเข้ามาถึงเมืองมังกรเหลือง โอกาสของพวกนางก็เหลืออีกไม่มาก
เมืองมังกรเหลืองตั้งอยู่กลางจักรวรรดิ แม้จะอยู่ห่างจากนครต้องห้ามไม่ถึงพันลี้ แต่ระหว่างทางนี้กลับเต็มไปด้วยกองกำลังของทหารองครักษ์อยู่ทั่วทุกทิศ
นอกจากนี้ ระหว่างเมืองมังกรเหลืองกับนครต้องห้าม ส่วนใหญ่เป็นกำแพงเมืองโอ่อ่า ที่มีการขนส่งสินค้าและผู้คนสัญจรมากมาย ซึ่งในจำนวนนั้นมีผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจปะปนอยู่ไม่น้อย
สถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้ยากที่จะโจมตีเป้าหมายโดยไม่เกิดผลกระทบอย่างอื่นตามมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกจัดการให้รู้ผลแพ้ชนะที่เมืองมังกรเหลืองเสีย
“หลินสวิน…เจ้าเด็กคนนี้มาจากไหนกันนะ”
หลายวันมานี้ฉือฉางเหมยนึกถามตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะถึงแม้นางจะได้รับคำสั่งจากตระกูล ให้รับผิดชอบดูแลภารกิจครั้งนี้ แต่นางก็ไม่รู้ว่าทำไมทางตระกูลจึงต้องทำเช่นนั้น
เกินกว่าจะคาดเดานัก แค่เด็กหนุ่มที่มีปราณเพียงขั้นผสานใจเท่านั้น ควรค่าให้ตระกูลฉือจัดการเช่นนี้เชียวหรือ
“รอสังหารเจ้าแล้ว บางทีข้าอาจจะได้คำตอบก็เป็นได้…”
ฉือฉางเหมยพึมพำอยู่ในใจ ร่างโปร่งเดินทอดเงาไกลออกไปตามท้องถนนยามรัตติกาล
…
ในค่ำคืนเดียวกันนั้น
ณ ภาคีนักสลักวิญญาณ เมืองมังกรเหลือง
บุรุษในชุดดำคลุมหมวกปิดถึงครึ่งหน้า อาศัยความมืดมิดในยามค่ำคืนเดินเข้าไปในภาคีนักสลักวิญญาณ หลังจากหยิบป้ายสำริดบ่งบอกสถานะนักสลักวิญญาณระดับสามัญขึ้นมา หญิงรับใช้นางหนึ่งก็นำทางเขาไปที่ห้องรับรอง
นักสลักวิญญาณจะได้รับสิทธิประโยชน์ เพราะได้รับการรับรองจากภาคีนักสลักวิญญาณเท่านั้น
เมื่อหญิงรับใช้ออกไปแล้ว บุรุษผู้นั้นพลันถอดหมวกที่ปิดปังรูปลักษณ์ เผยให้เห็นเครื่องหน้าคมคาย ทว่าสุภาพอ่อนโยน เขาคนนั้นคือหลินสวินนั่นเอง
“ยังดีที่ทุกอย่างราบรื่น” หลินสวินนั่งขัดสมาธิลง สีหน้าผ่อนคลายขึ้น
นับตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในเมืองมังกรเหลือง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตามากมายที่จับจ้องตัวเองจากมุมมืด จึงไม่โง่เขลานั่งเก็บตัวอยู่ที่โรงเตี๊ยมนำโชค
เขาหลอกใช้ลู่เซ่าอวิ๋นคนนั้นเป็นตัวล่อหลอกว่าตนจะเก็บตัว เพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรู จากนั้นก็ใช้กระบี่ขุดทางลับ งัดพื้นของห้องพักในโรงเตี๊ยมแล้วหลบหนีออกมา จนสุดท้ายมาอยู่ที่ภาคีนักสลักวิญญาณแล้ว
หากเทียบกันแล้ว ในภาคีนักสลักวิญญาณย่อมปลอดภัยกว่าที่ใด เพียงอาศัยป้ายนักสลักวิญญาณระดับพื้นฐานที่ได้มาจากฉู่เฟิง เขาก็ได้รับสิทธิประโยชน์พร้อมกับการคุ้มครองชั้นดี นั่นหมายความว่าหลินสวินไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโจมตีในระหว่างที่ฝึกปราณทะลุขั้นผสานดินอีกต่อไป
หลังจากนั่งพักเพียงครู่เดียว หลินสวินก็ไม่รอช้า นั่งขัดขาหยัดแผ่นหลังตั้งตรงเพื่อเริ่มโคจรพลังปราณ
หลินสวินมีลางสังหรณ์ว่าตนจะทะลุขั้นพลังปราณตั้งแต่ที่หมู่บ้านหลิวเขียวแล้ว ที่ต้องเก็บตัวในตอนนี้ก็เพื่อที่จะไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกยามเพิ่มระดับปราณ
ฮูม
พลังปราณมหาศาลในร่างกายโคจรเปิดประสาน พลังวิญญาณบริสุทธิ์ไหลเอ่อท่วมท้นจนกึกก้องอยู่ภายใน ไม่ช้าหลินสวินก็จมลึกอยู่กับการบำเพ็ญ
ในโรงเตี๊ยมรวมโชค ลู่เซ่าอวิ๋นนั่งไขว่ขาร่ำสุราอย่างอารมณ์ดี วาดฝันแผนการแก้แค้นของตนอย่างย่ามใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งสุขใจ เขายังไม่รู้ว่าตนเองถูกเหล่าบุตรหลานตระกูลผู้ดีทั้งหลายชังน้ำหน้าเข้าเสียแล้ว ยิ่งไม่ทราบว่าฉือฉางเหมยได้ส่งคำประกาศิตไปยังตระกูลลู่ของตัวเองแล้วเช่นกัน
ความเข้าใจผิดทั้งหมดนั้นมาจากการที่เขาอยู่ข้างกายหลินสวิน เขาจึงถูกสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
หากเขาไม่ติดต่อคนของอัครการค้าในเมืองมังกรเหลืองไป อาจจะไม่สร้างความเข้าใจผิดจนสถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นก็เป็นได้
น่าเสียดายที่ลู่เซ่าอวิ๋นไม่รับรู้ เขาคิดเพียงแต่จะช่วยเหลือตัวเอง แต่ไม่คิดว่าการที่เขาติดต่ออัครการค้าในเมืองมังกรเหลืองนั้นถูกศัตรูมองว่าเป็นการช่วยเหลือหลินสวิน
ลู่เซ่าอวิ๋นไม่รับรู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย ยังคงร่ำสุราสบายอารมณ์ สุนทรีย์ยิ่งนัก
“ไม่ถูกต้อง!”
จู่ๆ ลู่เซ่าอวิ๋นคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ พลันขมวดคิ้วใคร่ครวญ “ไอ้เด็กน่าตายนั่นบอกว่าจะเก็บตัว ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังแอบจับตามองข้าอยู่”
“ไม่ได้ จะทำตัวผิดปกติไม่ได้ ข้าต้องแสดงละครแสร้งทุกข์ระทมสักหน่อยให้เขาดูสักหน่อย!”
นึกมาถึงตรงนี้ลู่เซ่าอวิ๋นก็หยัดกายลุก เปิดประตูห้องพักเดินไปที่หน้าประตูห้องของหลินสวินที่ปิดสนิท สูดลมหายใจลึกทำหน้าระทมคับแค้น บีบเสียงแหบพร่าร่ำไห้อยู่ในคอ “เจ้าคิดจะทำอย่างไรกันแน่ ข้าให้ความร่วมมือกับเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้าจะไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับข้าเลยหรือ”
“ไอ้สารเลว! พูดมาสิว่าจะให้ข้าทำยังไงอีก”
เขากดเสียงเบาทำเสียงพร่าพูดกับประตูห้องพักของหลินสวิน ไม่ได้โวยวายเสียงดังเรียกความสนใจผู้คน ไม่อย่างนั้นใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าเขาเสียสติเป็นแน่
เหตุการณ์ที่เหมือนไม่เป็นที่สนใจ กลับมีคนจับตามองอยู่ในมุมมืด ไม่นานข่าวที่ลู่เซ่าอวิ๋นไปหาหลินสวินก็แพร่งพรายออกไป
“เขาบอกว่าร่วมมือกับเป้าหมาย แถมยังให้เป้าหมายให้คำตอบที่ชัดเจนด้วยงั้นหรือ”
จุดรวมพลแห่งหนึ่งนอกโรงเตี๊ยมรวมโชค ชายสวมงอบมีสีหน้าหม่นลงเมื่อได้ฟังรายงานจากลูกน้อง เขากัดฟันกล่าวว่า “ลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับเป้าหมายอย่างที่คาด! ไป จับตาดูเขาต่อไป ข้าอยากรู้นักว่าเขากับเป้าหมายจะทำอะไรกันอีก!”
ลู่เซ่าอวิ๋นที่แสดงละครร้องทุกข์กลับเข้ามาห้องพักของตัวเอง เขาอดยิ้มย่ามใจไม่ได้ นี่สิถึงจะเรียกว่าปกติ การแสดงของเขาคงพอทำให้ไอ้สารเลวนั่นเชื่อสนิทใจ
ยิ่งคิด ลู่เซ่าอวิ๋นก็ยิ่งได้ใจ พลางชื่นชมตัวเองว่าแผนการครั้งนี้แยบยลนัก ด้วยเหตุฉะนี้ หลายวันต่อมาเขาจึงออกไปแสดงละครที่หน้าห้องของหลินสวินทุกวัน
ผู้ฝึกปราณของตระกูลฉือที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ต่างก็ปักใจเชื่อว่าลู่เซ่าอวิ๋นนั้นเสียสติไปแล้ว ยามนี้แม้จะมีหลักฐานมายืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลินสวิน พวกเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
ทางด้านชายสวมงอบหน้าตั้งเมื่อนึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นได้
หลายวันนี้พวกเขามัวแต่สนใจลู่เซ่าอวิ๋นจนละเลยบางสิ่งไป หลังจากที่เป้าหมายเข้าพักในโรงเตี๊ยมก็ไม่เคยปรากฏหน้าให้เห็นเลย นี่ชักไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
304 จดหมายลับ
โดย
ProjectZyphon
“เร็วเข้า ไปตรวจสอบดูว่าเป้าหมายอยู่ในห้องพักหรือไม่!”
ทันทีที่คิดได้ ชายสวมงอบก็สังหรณ์ใจไม่ดี รีบสั่งการออกไป
“ขอรับ!” ลูกน้องนายหนึ่งรับคำแล้วรีบจากไป
โรงเตี๊ยมรวมโชค
ลู่เซ่าอวิ๋นจัดชายผ้าเตรียมออกไปแสดงละครที่หน้าประตูห้องหลินสวินอย่างเคย ในตอนนั้นเองคนงานของโรงเตี๊ยมมาเคาะประตูแล้วยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้แก่ลู่เซ่าอวิ๋น
เขาถึงกับผงะ นึกว่าเป็นจดหมายลับจากอัครการค้าแห่งเมืองมังกรเหลือง ทว่าเปิดดูแล้วกลับต้องหรี่ตา เพราะบนจดหมายเขียนไว้ว่า ‘คุณชายลู่ เมื่อท่านได้รับจดหมายฉบับนี้คงจะแปลกใจเป็นอย่างมาก ไม่ต้องเดา ข้าคือคนที่ท่านเรียกว่าสารเลว’
เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสี เขาไม่ได้อยู่ข้างๆ ห้องหรอกหรือ เหตุใดจึงต้องส่งจดหมายลับมาให้กันด้วย เขาอ่านจดหมายต่อ “ท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าไม่ฆ่าท่านแต่เก็บท่านไว้ข้างกายสินะ ความจริงง่ายนิดเดียว เพราะข้าหลอกใช้ท่าน”
หลอกใช้!?
ลู่เซ่าอวิ๋นไม่เข้าใจ ตลอดเวลานี้แม้หลินสวินจะเย็นชากับเขา แต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เป็นการหลอกใช้เลย
“แน่นอน ท่านคงกำลังสับสนเป็นแน่ แต่อีกไม่นานท่านจะเข้าใจเอง ถึงตอนนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือโทษข้าล่ะ ใครให้ท่านเคยทำให้ข้าไม่พอใจเล่า ข้าไม่ใช่คนดีอะไร จะมีก็ดีแต่แก้แค้นเท่านั้น”
เขายิ่งสงสัยกว่าเก่า หลินสวินกำลังพูดพล่ามอะไรอยู่
“อ้อ ตอนนี้ท่านคงจะงุนงงยิ่งกว่าเดิม ไม่เป็นไร ไม่แปลกหรอก ที่เขียนจดหมายฉบับนี้ ข้าแค่อยากบอกท่านว่าวันนี้ข้าโกหกท่าน จริงๆ แล้วท่านไม่ได้โดนพิษ มันเป็นแค่บทลงโทษน่ะ”
รู้ดังนั้นแล้ว ลู่เซ่าอวิ๋นก็สมองด้านชา หน้าตาถมึงทึง เขาหลอกข้า บังอาจนัก! แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้โดนพิษ เขาก็แอบโล่งใจผ่อนคลายลงมาก
“ตอนนี้ท่านกำลังดีใจอยู่ใช่หรือไม่”
ลู่เซ่าอวิ๋นมุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ ดีใจกับปู่เจ้าสิ! เขาว่าในใจ เจ้ารอไปเถอะ อย่าให้ข้าจับตัวเจ้าได้นะ!
“แต่ว่าอีกไม่นานท่านก็จะดีใจไม่ออกแล้ว ข้ายืนยันได้ ดังนั้นท่านอย่าคิดว่าตัวเองโชคดี”
เด็กหนุ่มกัดฟัน อยากทึ้งฉีกจดหมายทิ้งไปเสีย จนตอนนี้แล้วเจ้าก็ยังขู่ข้าอีกหรือ ข้าจะไม่เชื่อคำเจ้าอีกแล้ว!
แต่เพราะความใคร่รู้อันแรงกล้าในใจทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นอ่านจดหมายไปเรื่อยๆ “ข้าเดาว่าท่านคงคิดว่าข้ากำลังโกหกท่านอีก ถ้าข้าเป็นท่าน อย่างแรกที่จะทำคือขอความช่วยเหลือจากพ่อของท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายได้ หากท่านถูกศัตรูพวกนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับข้า ท่านก็จบเห่แล้ว”
ลู่เซ่าอวิ๋นกระสับกระส่าย ศัตรู ความวุ่นวายอะไรกัน เจ้าช่วยพูดให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม ทั้งยังให้ข้าขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อ ตัวสารเลวอย่างเจ้าโง่นักหรือ หลายวันก่อนข้าติดต่ออัครการค้าไว้รอจัดการกับเจ้าแล้ว
แม้ในคุกรุ่นโมโหแต่ลู่เซ่าอวิ๋นกลับรู้สึกกระวนกระวาย คำพูดที่หลินสวินบอกมาคล้ายกับว่าไม่ได้โกหกตัวเองสับสนยิ่งนัก!
“จำไว้ ข้าไม่มีแค้นฝังลึกกับท่าน อย่าให้ความแค้นครอบงำดวงตา แน่นอน หากท่านไม่อยากเชื่อก็ตามใจ ข้าแสดงความจริงใจต่อท่านแล้ว หากท่านยังหลุดไม่พ้นจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ก็เพราะท่านทำตัวท่านเอง”
เนื้อความในจดหมายจบลงแค่นี้ ลู่เซ่าอวิ๋นแทบบ้า เขาหมายความว่ายังไงกัน เหตุใดถึงต้องเขียนจดหมายลับเข้าใจยากฉบับนี้ด้วย
เขาหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ สุดท้ายลู่เซ่าอวิ๋นก็ฉีกจดหมายฉบับนั้นทิ้ง ก่อนจะกัดฟันต่อว่า “หลอกลวง ข้าไม่เชื่อหรอก ข้าน่ะหรือจะได้รับวุ่นวายอะไรนั่น!”
พอคิดว่าตนเองมาจากตระกูลลู่ที่เป็นตระกูลอำนาจขนาดกลางในนครต้องห้าม แถมลู่เทียนจ้าวผู้เป็นบิดายังเป็นหนึ่งในผู้จัดการอาวุโสของอัครการค้าสาขาใหญ่ จิตใจของลู่เซ่าอวิ๋นก็สงบลงไม่น้อย
เขาไม่เชื่อ ว่าศัตรูกับความวุ่นวายที่หลินสวินกล่าวถึงจะทำอะไรเขาได้
ก๊อกๆๆ!
ในตอนนั้น ที่ประตูมีเสียงเคาะรัวติดกันจนดูหยาบคาย
ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าขรึม ใครช่างไร้มารยาทเช่นนี้ เขาเดินไปเปิดประตู แต่ก็ต้องตกใจเมื่อนอกประตูมีชายชรากับกลุ่มชายชุดแพรจีน พวกเขาคือหลีเทียนเป่า ผู้จัดการของอัครการค้าในเมืองมังกรเหลืองกับเหล่าผู้ติดตาม
เด็กหนุ่มพลันขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “ผู้จัดการหลี เหตุใดถึงมาที่นี่ ที่ข้านัดกับท่านไว้ไม่ใช่วันนี้”
ครั้นเผชิญหน้ากับหลีเทียนเป่า ลู่เซ่าอวิ๋นยังกล้ามีท่าทางหยิ่งผยอง หากนับตามศักดิ์แล้วเขาย่อมสูงกว่าหลีเทียนเป่าอยู่ไม่น้อย
ทว่าสิ่งที่ทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นประหลาดใจ คือหลีเทียนเป่าที่เคารพนอบน้อมกับเขาในครั้งก่อน บัดนี้กลับแสยะยิ้มเย็นชาไม่ใส่ใจตน
ชายชราว่าเสียงเย็น “คุณชายลู่ ท่านทราบหรือไม่ว่าตัวเองก่อวีรกรรมเลวร้ายอะไรเอาไว้”
ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าเปลี่ยนสี “ท่านว่าอะไรนะ”
นัยน์ตาของหลีเทียนเป่าปรากฏประกายเกลียดชังอยู่ปลาบหนึ่ง “คุณชายลู่ ถึงเวลานี้แล้วก็อย่าทำเฉไฉเลย การกระทำของท่านครั้งนี้เกือบทำร้ายข้าแล้ว หรือกระทั่งเกือบทำลายตระกูลลู่ของท่านด้วย หรือว่าท่านยังมัวเมาไม่รู้ตัวอีก”
ฝ่ายลู่เซ่าอวิ๋นนิ่งแข็งไปทั้งร่าง ท้วงถามกลับ “ท่านกำลังพูดอะไร ทำไมข้าฟังไม่รู้เรื่องเลย”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่ตกลงกันดีแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ เขาคิดไปทำร้ายหลีเทียนเป่าตั้งแต่เมื่อไร และคิดจะทำลายตระกูลของตัวเองเมื่อไรกัน
หลีเทียนเป่าโมโหที่เห็นลู่เซ่าอวิ๋นไม่รู้สำนึก ทำเอาชายชราบันดาลโทสะ โบกมือสั่ง “นำตัวเขาไป!”
ทันใดนั้นเหล่าชายชุดแพรจีนไม่พูดพร่ำทำเพลง กรูเข้ามาคุมตัวลู่เซ่าอวิ๋นเอาไว้เหมือนเป็นนักโทษ และพาตัวเขาออกไปจากโรงเตี๊ยมรวมโชค ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะตวาดร้องอย่างไรก็หลุดไม่พ้น
ลู่เซ่าอวิ๋นอ้อนวอนด้วยความกลัว “ผู้จัดการหลี พอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลีเทียนเป่าแค่นหัวเราะไม่พูดจา
“เช่นนั้นท่านก็ควรบอกข้า ว่าจะพาข้าไปที่ไหน” ลู่เซ่าอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“ไปที่ไหนงั้นหรือ ก็คุมตัวท่านไปส่งตระกูลลู่อย่างไรเล่า! นี่เป็นคำสั่งของบิดาท่านเชียวนะ!” หลีเทียนเป่ามองลู่เซ่าอวิ๋นอย่างเวทนา “คุณชายลู่ กลับไปกินข้าวให้อิ่มท้องนะ ไม่แน่ว่าหลังจากนี้…เฮ้อ ช่างเถอะ ท่านจัดการตัวเองก็แล้วกัน”
คำสั่งของท่านพ่อ!
ลู่เซ่าอวิ๋นดังโดนสายฟ้าฟาด ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
แวบหนึ่งในหัวของลู่เซ่าอวิ๋นพลันนึกถึงจดหมายลับของหลินสวิน
‘ถ้าข้าเป็นท่าน อย่างแรกที่จะทำคือขอความช่วยเหลือจากพ่อของท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายได้ หากท่านถูกศัตรูพวกนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับข้า ท่านก็จบเห่แล้ว’
คำพูดนี้สะท้อนขึ้นมาในหัวของลู่เซ่าอวิ๋น ทำเอาเขาชาไปร่าง ในที่สุดก็ตระหนักได้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่
ที่แท้การหลอกใช้ของหลินสวิน คือการทำให้ศัตรูเหลานั้นคิดว่าตนเป็นพวกเดียวกับเขา!
ที่ทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นหวากลัวที่สุดก็คือเบื้องหลังของศัตรูของหลินสวินนั้นทำให้บิดาของเขาก้มหัวให้ และสั่งให้คุมตัวเขาส่งกลับตระกูล ความวุ่นวายนี้…ใหญ่หลวงนัก!
ในตอนที่ออกมาจากโรงเตี๊ยม ลู่เซ่าอวิ๋นเหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในห้องหลินสวิน แต่ว่าในห้องนั้นกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาเจ้าของอย่างหลินสวิน
“ทำได้ดี ข้าถูกตัวสารเลวอย่างเจ้าต้มจนเปื่อยแล้ว”
…
“หัวหน้า ไอ้หมอนั่นถูกจับไปแล้ว นี่แหละคือโทษของมัน เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเด็กอวดดีจะมาสอดมือได้” ชายหนุ่มร่างผอมมองลู่เซ่าอวิ๋นถูกคุมตัวไปไม่วายยกยิ้ม
“ไอ้หมอนี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเป้าหมายหายไปจากสายตาของเราแล้ว” ชายสวมงอบหน้าดำคร่ำเคร่ง ไร้ซึ่งความยินดี
“หัวหน้า พบร่องรอยแล้วขอรับ พื้นห้องของเป้าหมายมีรอยกรีด มิน่าถึงได้หายไปโดยที่เราไม่รู้ตัว” มีลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารายงาน
“ไป ไปดูกัน!”
ชายสวมงอบสูดหายใจลึก สาวเท้ายาวก้าวไปที่ห้องของหลินสวิน เมื่อดูร่องรอยโดยละเอียดแล้วก็ก็ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดี แค่ดูรอยกรีดก็รู้แล้วว่าเป้าหมายหนีออกไปตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา
“ตรวจสอบปลายทางของช่องลับหรือยัง” ชายสวมงอบถามเสียงเข้ม
“เป็นถนนใหญ่ขอรับ ตามหาร่องรอยเป้าหมายไม่ได้แล้ว แต่เสี่ยวมู่กำลังจัดการ ไม่นานก็คงจับกลิ่นของเป้าหมายได้”
ได้ยินชื่อเสี่ยวมู่ชายสวมงอบก็วางใจ เพราะเสี่ยวมู่เป็นสหายของเขาที่ฝึกฝนวิชาลับ เรียว่า ‘สืบสัมผัสทั้งหก’ หากเขาได้มองใครสักคนแล้ว ก็ย่อมหลบหนีจากการเสาะหาของเขาไม่พ้น
“ส่งข่าวออกไปว่าเป้าหมายอาจจะออกจากเมืองมังกรเหลืองแล้ว ให้กองกำลังเตรียมพร้อมตามหาและจู่โจมเป้าหมาย” ชายสวมงอบสั่งการ แล้วพาลูกน้องทั้งหลายออกจากโรงเตี๊ยมนำโชคไป
กองกำลังของพวกเขารวมถึงเรือรบวีรชนม่วงทั้งห้าลำได้ประจำการที่นอกเมืองมังกรเหลืองแล้ว หากพลาดจากเป้าหมาย และปล่อยให้เป้าหมายหนีฝ่าวงล้อมไปได้ในครั้งนี้ ผลสุดท้ายคงเลวร้ายเกินจินตนาการ!
นอกเมืองมังกรเหลือง
หลินสวินเดินตามกลุ่มคนเลาะเลียบออกไปตามถนน เขาแต่งกายด้วยชุดธรรมดาไม่สะดุดตา ไม่แตกต่างไปจากผู้ฝึกปราณทั่วไป ด้วยวิชาแปลงกายอย่างง่ายนั้นทำให้หลินสวินยังคงมีลักษณะที่คล้ายเดิม แต่ลมหายใจ สีหน้า และการเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนราวกับเป็นคนละคน
วิชาแปลงกายอย่างง่ายนั้น เป็นเคล็ดลับที่ใช้ลอบสังหาร ซึ่งเขาเรียนรู้มาจากค่ายกระหายเลือด ทำให้หลินสวินในตอนนี้เป็นเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาที่แข็งแรงและบึกบึน หน้าตาไม่เตะตาอย่างยิ่ง จึงถูกมองข้ามไปได้ง่ายนัก
“ไม่รู้ว่าลู่เซ่าอวิ๋นจะรู้ตัวหรือยัง แต่ถ้าตายไปก็คงโทษใครไม่ได้” หลินสวินครุ่นคิดระหว่างเดินไปข้างหน้า
เขาไม่รู้ว่าลู่เซ่าอวิ๋นถูกคุมตัวเหมือนเป็นนักโทษอยู่ และคนที่ออกคำสั่งก็คือลู่เทียนจ้าว บิดาของลู่เซ่าอวิ๋นเอง
305 ตกอยู่ในวงล้อม คมดาบโหมกระหน่ำ (1)
โดย
ProjectZyphon
‘ตอนนี้ศัตรูน่าจะยังไม่รู้ตัวกระมัง’ หลินสวินคิดในใจ เหตุการณ์หลังจากมาถึงเมืองมังกรเหลืองเป็นไปตามที่ตัวเองคาดเอาไว้
เริ่มต้นจากใช้ลู่เซ่าอวิ๋นมาบังหน้า เพื่อดึงดูดความสนใจศัตรู จากนั้นแอบเข้าไปในภาคีนักสลักวิญญาณ ใช้เวลาสี่วันถ้วนทะลุปราณขั้นผสานดินอย่างราบรื่น จนตอนนี้ใช้วิชาแปลงกายอย่างง่ายออกจากเมืองมังกรเหลือง หลินสวินรู้สึกแน่ชัดว่าพวกที่ติดตามเขาราวกับเห็บนั้นไม่ได้ปรากฏให้เห็น
‘หากสามารถออกจากเขตแดนเมืองมังกรเหลืองได้อย่างราบรื่น เกรงว่าหลังจากนี้หากศัตรูจะล้อมวงตนเองอย่างเมื่อก่อน ก็คงจะมีโอกาสอีกไม่มากแล้ว’
หลินสวินเคยศึกษาเส้นทางมาแล้ว จึงรู้ดีว่าเส้นทางจากเมืองมังกรเหลืองไปยังนครต้องห้าม มีกองทัพต้องห้ามคุ้มกันอยู่มากมาย และระหว่างทางยังมีกำแพงเมืองสวยงามกระจายตัวตั้งอยู่ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมากที่ศัตรูจะจัดการตนเองโดยไม่ส่งผลกระทบอย่างอื่น
กระนั้นหลินสวินก็ไม่กล้าประมาท ตามข้อมูลที่เขาถามได้ความว่า ผู้ที่ต่อกรกับตัวเองในครั้งคือผู้ฝึกปราณยอดฝีมือถึงสามพันคน!
พูดอีกอย่างก็คือ ผู้ฝึกปราณที่เขาสังหารร้อยกว่าคนมาตลอดทางนั้นเป็น เพียงส่วนน้อยๆ ส่วนหนึ่งเพียงเท่านั้น
ตามคาดการณ์แล้ว อันตรายที่แท้จริงอยู่บนเส้นทางระหว่างนี้ไปต่างหาก!
…
ตอนที่ออกจากเมืองมังกรเหลืองได้เกือบสิบลี้ คนเดินถนนก็เริ่มบางตาลงเรื่อยๆ เพราะส่วนมากจะโดยสารรถลากหรือรถรับส่งรอยสลักวิญญาณในการเดินทางออกจากเมือง ที่เดินเท้าอย่างหลินสวินเกือบทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา มีเพียงน้อยนิดที่เป็นผู้ฝึกปราณเช่นกันกับเขา
“เอ๋ ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น”
“เป็นด่านที่พวกผู้ฝึกปราณตั้งไว้ หากต้องการจะผ่านออกไป ต้องได้รับการตรวจค้นจากพวกเขา”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า หรือเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอีกแล้ว”
เสียงเซ็งแซ่มาข้างหน้าพลันดึงดูดความสนใจของหลินสวิน เขาใจกระตุก ในภาพนิมิตสัมผัสได้ถึงมวลพลังมากมายกระจายเอ่อไหลปานน้ำนอง ทันใดนั้นเขากระจายสัมผัสรับรู้จนถึงระยะพันจั้ง จึงเห็นว่ามีผู้ฝึกปราณชุดดำกว่า ห้าสิบคน ในมือถืออาวุธวิญญาณหลายชนิดยืนอยู่สองฝั่งทางของถนน ด้านหน้าของผู้ฝึกปราณเหล่านี้มีแถวยาวเฟื้อยของเหล่าผู้คน ที่ต้องผ่านการตรวจค้นจากพวกเขาถึงจะผ่านออกไปได้
หลินสวินมองนิ่ง ศัตรูรู้ตัวไวยิ่งนัก!
เขาหันไปรอบๆ พบว่าในป่าทึบทั้งสองฝั่งมีกลิ่นลมหายใจแอบแฝงอยู่ ชัดเจนว่าหากอยากหลีกเลี่ยงเส้นทางเข้าไปในป่านั้นทำไม่ได้เลย
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าสูงกว่าหมื่นจั้ง เด็กหนุ่มพบว่ามีจุดสีดำลอยอยู่
นั่นคือเหยี่ยวสอดแนม!
ครั้งที่เขาถูกล้อมวงสังหารก่อนหน้านี้ หลินสวินรับรู้การมีอยู่ของเหยี่ยวสอดแนมมากกว่าหนึ่งครั้ง รู้ว่านี่คือสัตว์ที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนัก มีความสามารถในการสำรวจอันน่าครั่นคร้ามนัก
‘ดูท่าศัตรูคงจะปิดเส้นทางข้างหน้าไว้หมดแล้ว’ หลินสวินขมวดคิ้วสรุปสถานการณ์ในทันที เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากปลอมตัวแล้วจะสามารถปะปนไปกับคนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูได้ แต่เห็นได้ชัดว่าทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว
จะทำอย่างไรดี เข้าไปในป่าเผชิญหน้ากับศัตรูเพื่อหาทางเอาตัวรอด หรือว่าจะฝ่าด่านตรงหน้าออกไปเลย ตอนนี้หลินสวินไม่แน่ใจว่าศัตรูจัดวางกลศึกไว้มากแค่ไหนจึงต้องระวังตัวให้ดี
ในขณะนั้น มีเสียงรีบร้อนดังมาจากด้านหลัง ไม่ต้องหันกลับไปหลินสวินก็รู้ว่ามีกลุ่มผู้ฝึกปราณชุดดำกำลังตรงเข้ามาทางนี้
‘หรือว่าถูกพบเข้าแล้ว’ หลินสวินคิดในใจ พลางปะปนอยู่กับคนธรรมดาเพื่อมองดูเหตุการณ์ เขาต้องการเวลาเพื่อประเมินสถานการณ์เสียก่อน
ผู้คนพากันถอยหนีหลบไปชิดริมถนนเมื่อเหล่าผู้ฝึกปราณชุดดำกรูเข้ามา “ช้าก่อน”
เหล่าผู้ฝึกปราณตรงไปที่กลุ่มคน ทันใดนั้นชายผิวขาวซีด นัยน์ตาปูดเส้นเลือดที่นำขบวนอยู่ข้างหน้าก็หยุดเดิน จากนั้นผู้ฝึกปราณข้างหลังเขาจึงหยุดลงด้วย
ชายผู้นำขบวนมีนัยน์ตาปูดเลือดสีแดงก่ำปราดตามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ ในขณะเดียวกันก็ใช้จมูกสูดดมอากาศคล้ายกำลังดมหากลิ่นบางอย่าง
ผู้ฝึกปราณที่เต็มไปด้วยไอสังหารและชายนัยน์ตาสีแดงท่าทางประหลาดทำเอาเหล่าคนธรรมดาหวาดกลัวทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายผู้นำขบวนหยุดสายตาไว้ที่หลินสวิน นัยน์ตาสีเลือดสว่างวาบ ก่อนจะเอ่ย “เป้าหมาย…”
ทว่าเพิ่งเปล่งเสียงออกไป เสียงฟึบหนึ่งและแสงวาบจากหน้าไม้ก็ลอยทะลุอากาศพุ่งไปทางชายผู้นำขบวนคนนั้นอย่างรุนแรง
กระนั้นก็ยังผิดคาด เมื่อชายคนนั้นร้องเสียงประหลาด เบี่ยงกายหลบหายไปดังค้างคาว
ฉึก!
ลูกดอกหน้าไม้ปักลงจมพื้นหายวับไปดังไรฝุ่นในที่สุด
หลินสวินแปลกใจที่ชายผู้นำขบวนหลบการโจมตีของตัวเองได้ แต่เขาไม่ได้หยุดใคร่ครวญนานนัก ก่อนจะหายตัววิ่งเข้าไปในป่าทึบ
“จะหนีไปไหน!”
“เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว รีบตามไป!”
“ส่งสัญญาณบอกทุกคนให้เตรียมพร้อมสู้!”
รอบบริเวณวุ่นวายขึ้นมาในทันใด คนธรรมดาแถวนั้นหวีดร้องหวาดกลัวกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วพากันวิ่งหลบหนี แต่ไม่มีใครสนใจชีวิตของพวกเขา
ในยามที่เจอตัวหลินสวิน กลุ่มผู้ฝึกปราณชุดดำต่างก็เฮโลเข้าไปจัดการเขา ในขณะเดียวกัน ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้นก็รู้ตัว เริ่มส่งสัญญาณลงมือปฏิบัติภารกิจ
“จัดการมัน!”
ผู้ฝึกปราณชุดดำเจ็ดคนกรูเข้ามาขวางทางหนีของหลินสวินเอาไว้ ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ชายตามอง เขาตวัดกระบี่ออกไป ทันใดนั้นคล้ายกับมีความมืดมิดพุ่งพวยออกมาจากขุมนรก สะเทือนถึงวิญญาณ
ฉึก! ฉีก! ฉึก!
ผู้ฝึกปราณชุดดำทั้งเจ็ดถูกสังหารด้วยดาบเดียวตายลงในพริบตานั้น ทำเอาเลือดนองฉานไปทั่วทั้งบริเวณ
หลินสวินจะใช้โอกาสนี้หลบหนีเข้าไปในป่า เขาพลันหรี่ตาหยุดฝีเท้าทันทีเมื่อสัมผัสรับรู้พบว่าในป่าลึกนั้นมีคนไม่ต่ำกว่าร้อยกำลังมุ่งหน้าเข้ามา!
‘เหตุใดถึงเยอะขนาดนี้’ หลินสวินรำพึงด้วยความตกใจ ชั่วเวลาหนึ่งหยุดนั้นรอบกายของเขาทั้งสี่ทิศก็มีเงาของศัตรูกรูเข้ามา และมีผู้ฝึกปราณอีกจำนวนมากพุ่งมาจากหลากหลายทิศทาง
“จัดการมัน!”
“เป้าหมายอยู่ตรงนี้!” เสียงตระโกนกระหึ่มก้องทั่วบริเวณ เพิ่มบรรยากาศกดดันอย่างยิ่งยวด
‘นี่ไม่ใช่กลศึกของสวี่เชียนจิ้ง มันโหดร้ายและหยาบกระด้างเกินไป…’ นัยน์ตาสีดำคู่นั้นประกายเย็นเยือกวาบหนึ่ง รวมรวมสมาธิสงบนิ่ง พลังที่เพิ่งข้ามระดับผสานดินในกายของเขาปะทุออกมาดังภูเขาไฟระเบิดนั้น เพิ่มถึงระดับสูงสุดในทันที ทำให้เขามีแสงสีเขียวฟ้าเปล่งประกายอยู่รอบตัวคล้ายว่าเขาเป็นเทพเซียน
ฮูม
ดาบเวทเรืองแสงโบราณสีดำที่อยู่ในมือก็เรียกกระแสลับปลดปล่อยไออันตรายน่ากลัวออกมา ดังสัตว์บรรพกาลกระหายเลือดที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล
“จัดการมัน!”
“จัดการมัน!”
“จัดการมัน!”
ศัตรูล้อมเข้ามาจากรอบด้านล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร ปฏิบัติล้อมวงที่ล้มเหลวเมื่อหลายวันก่อนได้ยืนยันแล้วว่าเป้าหมายในครั้งนี้น่ากลัวเพียงใด แม้พวกเขาจะมีจำนวนคนที่มากกว่าแต่ก็ยังไม่กล้าวางใจ ในทางกลับกัน ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้ใช้ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดของตัวเองแล้ว
ฉับพลันนั้น พื้นที่บริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยแสงวิญญาณหลากสีฟาดฟัน เคล็ดวิชาการต่อสู้มากมายถูกนำมาใช้ เสียงกระทบกระทั่งสะท้านปานสายฟ้าถล่ม
ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือกว่าร้อยพันคนไม่มีใครมีปราณต่ำกว่าขั้นผสานใจ และยิ่งไม่ขาดแคลนคนเก่งจากขั้นผสานดินหรือขั้นผสานฟ้า ในยามที่พวกเขาลงมือพร้อมกันยิ่งราวกับกองทัพกล้าหาญไร้เทียมทานพอจะจัดการนายทหารนับพันให้ราบเป็นหน้ากลอง!
น่าสลดใจที่สุดก็คือ การถูกล้อมวงเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะหนีรอดออกไปได้เลย!
หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าจะถูกความน่ากลัวเช่นนี้ข่มขวัญหวาดหวั่นได้แต่นั่งรอความตายแล้ว แต่ว่า…หลินสวินที่ตกอยู่ในวงล้อมเพียงยิ้มเย็น ไม่หลบหลีก ไม่เกรงกลัว ท่าทีนิ่งสงบเฉยชา ดาบเวทเรืองแสงในมือที่ส่งเสียงเรียกมานานนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตู้ม!
เสียงกระหึ่มตามมาด้วยเสียงร้องขานของสรรพสัตว์ ทั่วบริเวณดังตกอยู่ในห้วงรัตติกาล ดวงดาวที่ร่วงหล่นส่องแสงประกายเจิดจรัส หลินสวินไม่ลังเลที่จะใช้วิชาที่ร้ายกาจที่สุด!
กระบวนท่าคว้าดารา!
ศัตรูที่รุมล้อมเข้ามาต่างมึนงง ตกอยู่ในความหวาดกลัว ทั้งร่างคล้ายกับจมดิ่งในห้วงความมืดมิดไร้ซึ่งทางออก
นี่คือความน่าสะพรึงของพลังวิชา ยิ่งเคล็ดวิชาโบราณเท่าไร พลังที่แสดงออกมายิ่งน่ากลัวเท่านั้น ท่าคว้าดาราเป็นหนึ่งในสามของกระบวนท่าในเพลงดาบวัฏจักรฟ้าจากห้องโถงมรรคาซึ่งเดิมทีมีที่มาลึกลับยิ่ง หลินสวินผ่านการฝึกฝนความเป็นตายจากด่านสมรภูมิร้อยศึกจนฝึกกระบวนท่าคว้าดาราถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว
พลังจากการใช้กระบวนท่าคว้าดาราในครั้งนี้มีความน่าเกรงขามและทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้มากขึ้น แตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่หลินสวินมีปราณขั้นผสานดินแล้ว พลังของเขามากขึ้นกว่าวันวานจนเทียบกันไม่ติด
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เพียงหนึ่งดาบที่ฟาดลง เปรียบดังรัตติกาลมาเยือน ดวงดาวมากมายร่วงหล่นลงมาพุ่งไปยังผู้ฝึกปราณนับร้อยคนที่นิ่งค้างไปพร้อมกันคล้ายรูปปั้นที่ถูกกำหนดไว้ พลันร่างของเหล่าผู้ฝึกปราณต่างปริแตก เลือดเนื้อสาดกระเซ็นย้อมทั่วทั้งบริเวณเป็นสีแดงฉาน
พื้นดินตรงหน้าหลินสวินแตกระแหงยาวกว่าหนึ่งร้อยจั้ง ลึกเกินหยั่งเห็น คล้ายหุบเหวทอดลงไปสู่นรกภูมิ
306 ตกอยู่ในวงล้อม คมดาบโหมกระหน่ำ (2)
โดย
ProjectZyphon
เสี่ยวมู่ผู้นำการค้นหาหลินสวิน เจ้าของนัยน์ตาสีแดงหลบหน้าไม้ได้อย่างปลอดตั้งแต่ช่วงเริ่มการต่อสู้ และหายตัวออกมาอยู่นอกวงล้อม
“เด็กคนนี้ไวยิ่งนัก ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่หลบไม่ทัน คงโดนหน้าไม้ของเขาสังหารไปแล้ว” เสี่ยวมู่ใจสั่นรัว
“ลำบากท่านแล้ว แต่ถึงเด็กคนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด ในยามนี้ต่อให้มีปีกก็หนีไม่พ้น!” ชายสวมงอบที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเนิบนาบ
ในสายตาพวกเขาทั้งสอง หลินสวินหัวเดียวกระเทียมลีบตกอยู่ในวงล้อม ต้องถูกกองกำลังมากมายดังมวลน้ำจัดการโดยแน่!
“หืม”
ฉับพลันชายสวมงอบหน้าเปลี่ยนสี เมื่อสังเกตได้ถึงบางอย่าง “เป็นมวลพลังที่น่าครั่นคร้ามนัก!”
เสี่ยวมู่ก็ตัวแข็งไปทั้งร่างในขณะเดียวกัน ภายในใจเย็นวาบด้วยพบว่าหลินสวินที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมมีกลิ่นอายน่าหวั่นเกรงโอบล้อมอยู่รอบกาย
โดยเฉพาะกระบี่ที่กู่ร้องไม่หยุดในมือของเขา คล้ายสุดยอดอาวุธร้ายถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา
“ลมหายใจของเขาแปลกไป…” ชายสวมงอบเอ่ยขึ้น
“น่ากลัวจริงๆ ไม่เหมือนผู้ฝึกปราณขั้นผสานดินแม้แต่น้อย หรือว่าเขา…” เสี่ยวมู่เสียงสั่น
หญิงสาวยังไม่ทันพูดจบ ในตอนนั้นเองหลินสวินใช้กระบวนท่าคว้าดารา ดวงตาของเสี่ยวมู่กับชายสวมงอบก็หดลง ท่าทางเหม่อลอย แม้จะอยู่ไกลเพียงใด พวกเขาทั้งสองก็รับรู้ถึงดวงดาวร่วงหล่นคล้ายรัตติกาลกำลังมาเยือน ส่วนตัวเองเหมือนตกอยู่ในห้วงความมืดมิดแห่งนั้น ทั้งหวาดกลัวและไร้เรี่ยวแรง
นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน!
เมื่อทั้งคู่รู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ทั้งร่างก็เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเฉียบ ทว่าไม่ทันรอให้พวกเขาได้ตั้งสติ ร่างกายของพวกพ้องร้อยกว่าคนที่อยู่รอบๆ หลินสวินเริ่มปริแตกคล้ายถูกบีบเละ เนื้อเลือดลอยกระเด็น บนพื้นดินมีรอยแยกลึกดำดิ่ง ผู้ฝึกปราณที่ไม่ทันระวังตัวพลัดตกลงไปได้แต่กรีดร้องโหยหวน ภาพเหตุการณ์นองเลือดนั้นเขย่าขวัญยิ่งนัก!
เสี่ยวมู่กับชายสวมงอบสูดปาก มีอาการเหม่อลอยตัวเย็นไปทั้งร่าง พลังจากดาบนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว…
ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคน ผู้ฝึกปราณที่รายล้อมหลินสวินอยู่ต่างก็หวาดหวั่นนิ่งงัน น่ากลัวเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเป้าหมายที่มีปราณเพียงขั้นผสานใจจะทำได้ถึงขนาดนี้ เกรงว่าหากผู้แข็งแกร่งอย่างระดับจิตผสานวิญญาณใช้วิชาที่รุนแรงที่สุดก็ยังไม่น่ากลัวถึงเพียงนี้!
แต่พวกเขาเข้าใจผิดไปเรื่องหนึ่ง ตอนนี้หลินสวินไม่ได้อยู่ในขั้นผสานใจแต่เป็นผู้มีปราณขั้นผสานดินที่ใช้พลังจากฟ้าดินได้แล้ว!
เช่นนี้เรียกว่าเหนือความคาดหมาย!
ไม่มีศัตรูคนไหนจะคิดว่าหลินสวินที่อยู่ในสายตาพวกเขาตลอดเวลา จะเพิ่มพลังปราณถึงขั้นผสานดินขณะที่อยู่เมืองมังกรเหลืองด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงสี่วันเท่านั้น
ความคิดที่ผิดพลาดคล้ายไม่เป็นปัญหาใหญ่หลวง แต่เวลาสู้รบกลับทำให้ศัตรูเหนือความคาดหมายไปได้มาก
หลินสวินใช้ปราณขั้นผสานดินและอาวุธวิญญาณอย่างดาบเวทเรืองแสง และแสดงกระบวนท่าคว้าดาราที่เป็นเคล็ดวิชาน่ากลัวที่สืบทอดมาอย่างลึกลับจากโบราณกาล เพียงกระบวนเดียวคร่าผู้คนไปได้กว่าร้อย สร้างความหวาดผวาแก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์
เหตุที่หลินสวินใช้กระบวนท่าคว้าดาราตั้งแต่เริ่มการต่อสู้นั้น เพราะเขาประเมินว่าครั้งนี้มีศัตรูมากเกินไป พวกเขาต่างมีความพร้อมและฮึกเหิม มีเพียงแสดงพลังของตัวเองออกมาตั้งแต่คราแรกเท่านั้น ถึงจะทำให้พวกเขาหวาดผวาและเพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้มากขึ้น
…
ในพื้นที่ต่อสู้ยามนี้ พลังจากหนึ่งดาบครอบคลุมทั่วสารทิศ สร้างความหวาดผวาลดความฮึกเหิมของศัตรู หลินสวินไม่ลังเลที่จะใช้โอกาสนี้ลุยออกไป แสงประกายสีฟ้าเขียวรอบตัวเขาคล้ายภาพลวงตา พลังดุจพายุโหมฟ้าดิน ดาบเวทเรืองแสงในมืออันตรายดั่งกำลังกระหายเลือด
เพียงพริบตาเดียว ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนที่ไม่ทันระวังตัวก็ถูกปลิดชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนมากมายดังขึ้นให้ได้ยิน พื้นที่ว่างแห่งนี้เจิ่งนองไปด้วยเลือดชวนสยอง
นี่เรียกว่านอกเหนือความคาดหมาย ประโยชน์ของการชิงลงมือให้ศัตรูหวาดหวั่น ทำให้หลินสวินคว้าโอกาสสร้างเส้นทางหลบหนีให้ตนเองได้
หลินสวินเคลื่อนไหวว่องไวดุจอัสนี ฝ่าดงศัตรูออกมาจนเปิดเป็นเส้นทาง เขาผ่านออกมาโดยไม่มีการโจมตีจากศัตรู ตลอดเส้นทางที่ผ่านนั้นก็มีกองศพเป็นพะเนิน
นี่คือพลังหลังจากที่หลินสวินบรรลุถึงขั้นผสานดิน พลังไร้เทียมทานดุจมหาสมุทร
ขั้นผสานดิน คือการใช้ตนเองเป็นที่ตั้ง หยั่งรู้พลังจากท้องนภาและพื้นพิภพ รับรู้ความสัมพันธ์ของตนเองและฟ้าดิน ครั้นเริ่มเข้าใจพลังฟ้าดิน ก็ใช้พลังจากฟ้าดินได้ ทำให้เส้นทางการฝึกตนเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ปราณของผู้ฝึกปราณในขั้นนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลง พลังจากปราณขั้นผสานใจกลายที่มีอยู่เดิม แปรเปลี่ยนเป็นพลังขั้นผสานดิน ผู้ฝึกปราณสามารถหลอมรวมพลังจากดินมาใช้ได้ ในการฝึกตนเรียกอีกอย่างว่า ‘รับพลังดิน’
มีคำกล่าวไว้ว่าผู้ยิ่งใหญ่จะไม่รับพลังดิน แต่ในการฝึกตน การรับพลังดินก็คือการบรรยายลักษณะของปราณขั้นผสานดิน
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ขั้นผสานดินทำให้ผู้ฝึกปราณสามารถรับรู้พลังจากดิน หลอมรวมพลังจากดิน รับดินเป็นพลังเพื่อทะยานสู่ฟ้า
‘ทะยานสู่ฟ้า’ ก็คือการรับรู้พลังจากฟ้า เป็นพลังในระดับขั้นผสานฟ้า
มีเพียงรับรู้และควบคุมพลังจากดินฟ้าได้อย่างแท้จริง ถึงจะสามารถควบคุมและเข้าใจความหมายของดินฟ้าได้ ถือเป็นระดับพลังของผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ
หลินสวินในยามนี้แม้เพิ่งจะบรรลุผ่านขั้นผสานดินมาได้ แต่ระดับปราณและพลังก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มรับพลังจากดินมาหลอมรวมใช้เป็นพลังได้ ผนวกกับการฝักใฝ่ในความสมบูรณ์ยามที่จะบรรลุขั้นระดับจะปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้เมื่อเขาเพิ่มชั้นปราณเป็นขั้นผสานดิน จึงมีพลังรองรับอยู่มากมาย และแข็งแกร่งเกินกว่าจะคาดเดา
และในตอนนี้ เด็กหนุ่มก็แสดงพลังทั้งหมดออกมาผ่านการต่อสู้!
หลินสวินว่องไวดุจพยัคฆ์ พลางเหลือบมองเหตุการณ์ข้างหน้า ไม่ว่าการต่อสู้จากวิชาหรืออาวุธวิญญาณชนิดใด จะเป็นผู้ฝึกตนขั้นผสานดินหรือขั้นผสานฟ้า เขาล้วนปลิดชีวิตทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย
ที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือหลินสวินประเมินสถานการณ์ด้วยความสงบเยือกเย็น หาใช่การกระทำเพราะความบุ่มบ่ามเลือดร้อน ทุกครั้งที่เขาโจมตีล้วนมีการประเมินจุดอ่อนของศัตรูและรูปการอยู่เสมอ
ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการประหยัดกำลังในยามต่อสู้ เขาจะนำหน้าไม้ที่กักตุนเอาไว้ออกมาใช้แทน เพราะการต่อสู้ระยะประชิด ทั้งศัตรูยังมีจำนวนมากเช่นนี้ หน้าไม้สามารถสังหารศัตรูได้โดยไม่ต้องเล็งเป้า
ส่วนฝ่ายศัตรู แม้จะพกหน้าไม้อย่างดีเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถใช้งานมันได้ เพราะพวกเขามีจำนวนมาก แต่เป้าหมายมีเพียงคนเดียว หากใช้หน้าไม้ก็อาจทำให้พรรคพวกตัวเองบาดเจ็บเสียมากกว่า
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ดูประหลาดนัก หลินสวินคล้ายมือสังหารเลือดเย็นใช้อาวุธมากมายรัวยิงเข่นฆ่าศัตรู และศัตรูทำได้เพียงใช้กำลังคนที่มากกว่าโอบล้อมหลินสวินไว้ พุ่งเข้าไปต่อสู้เท่านั้น
พื้นที่ห่างไกลนอกเขตการต่อสู้ เสี่ยวมู่กับชายสวมงอบใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโมโห ตาเบิกโพลงคล้ายไม่อยากเชื่อ ใครจะไปคาดคิดว่าเมื่อประจันหน้ากับผู้ฝึกปราณมากมายขนาดนี้ เป้าหมายจะยังยืนหยัดสู้อยู่ได้
ที่ทำให้พวกเขาละเหี่ยใจที่สุดก็คือ นับตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนถึงตอนนี้ เป้าหมายยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และฝ่าวงล้อมออกมาโดยไม่มีใครขัดขวางเอาไว้ได้
“แม้เด็กคนนี้จะมีปราณถึงขั้นผสานดินแล้ว แต่พลังต่อสู้ที่เปลี่ยนไปชักจะน่ากลัวเกินไปกระมัง นี่มันเหมือนขั้นผสานดินที่ไหน เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งอย่างระดับมหาสมุทรวิญญาณเลยด้วยซ้ำ” เสี่ยวมู่รำพึงด้วยท่าทางที่ดูไม่ดีนัก
“อย่าลืมสิว่าตอนที่อยู่ขั้นผสานใจ เขาได้ที่หนึ่งในการสอบคัดเลือกระดับมณฑลของมณฑลซีหนาน ทั้งจักรวรรดิมีเพียงสามสิบสี่มณฑลเท่านั้น ที่หนึ่งของการสอบคัดเลือกก็มีเพียงสามสิบสี่คน ซึ่งหลินสวินคนนี้เป็นหนึ่งคนในนั้น” ชายสวมงอบสูดหายใจลึก แล้วเอ่ยต่อ “เจ้าลองคิดดูสิ ในบรรดาการล้อมจู่โจมหลายๆ ครั้งเมื่อหลายวันก่อน เด็กคนนี้มีปราณเพียงขั้นผสานดินเท่านั้น แต่ก็ทำให้การล้อมจู่โจมของพวกเราล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และตอนนี้เขาปราณของเขาถึงขั้นผสานดินแล้ว…”
เสียงของชายสวมงอบแผ่วในตอนท้าย ขณะเดียวกันในใจก็เย็นวาบ แม้จะประเมินได้ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินน่ากลัวนัก แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีเด็กหนุ่มที่ร้ายกาจอย่างนี้มาก่อน
“ไม่ได้การ! ใกล้จะต้านเขาไม่อยู่แล้ว รีบเรียกรวมกองกำลัง นำกำลังทั้งหมดมาที่นี่!” ฉับพลันเสี่ยวมู่ก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะหลินสวินใกล้จะฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้ว!
“รวมกองกำลังมาก็ไม่พอให้เด็กคนนี้ฆ่าหรอก!” ชายสวมงอบกัดฟันกรอด พลางควักนกหวีดที่ขัดจากกระดูกสีขาวขึ้นมา
“หัวหน้า นี่ท่านจะ…” เสี่ยวมู่ตกใจ
ปี๊ด
ชายสวมงอบเป่านกหวีดสีขาว เสียงประหลาดนั้นดังกังวานไกลไปทั่วบริเวณ
เขากล่าวเสียงขรึม “โชคดีอย่างเดียวก็คือเด็กคนนี้ยังไม่ใช่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ บินบนฟ้าไม่ได้ และผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณอย่างพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา มีเพียงการใช้เรือรบวีรชนม่วงโจมตีจากบนอากาศเท่านั้นถึงจะสังหารเขาได้!”
307 อาวุธสงคราม
โดย
ProjectZyphon
บึ้ม!
ปลายกระบี่แหลมคมตวัดแกว่งไปรอบสารทิศ เลือดสาดกระเซ็นนองฉานชวนตกใจ
หลินสวินบุกฆ่าโดยไม่ถอยหลัง ไม่เคยเปลี่ยนทิศทางด้วยเป้าหมายง่ายๆ เป้าหมายของเขาเรียบง่ายมาก นั่นคือการขึ้นไปบนยอดเขา ไม่ใช่เพราะกลัว แต่สู้มาถึงตอนนี้แล้ว เด็กหนุ่มคะเนได้ว่าครั้งนี้ศัตรูใช้กำลังทั้งหมดเพื่อที่จะสังหารตนที่นอกเมืองมังกรเหลืองแห่งนี้!
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่กล้าต่อสู้อย่างรุนแรง เขาอาจเหนือกว่าฝ่ายศัตรูในเวลาอันสั้น แต่เมื่อเวลานานไปจะสูญเสียพลังกายเป็นอย่างมาก หากถูกโจมตีในยามอ่อนแอคงจะไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงต้องฝ่าวงล้อมออกไปก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ทำเช่นนี้แล้วประหยัดแรงกายได้มากที่สุด
ใต้เท้าของหลินสวินมีร่างไร้วิญญาณมากมาย ดังเขาเป็นเทพสังหารที่เดินอยู่บนกองศพ เขาเจ้ามาถึงป่าลึกเกือบจะฝ่าวงล้อมศัตรูออกมาได้แล้ว
ทันใดนั้นเอง บนฟากฟ้ามีเสียงกระหึ่มดัง เห็นได้ชัดว่าบนโพ้นฟ้านั้นมีเรือที่ยาวกว่าร้อยจั้ง คล้ายสัตว์ขนาดใหญ่อย่างเรือรบวีรชนม่วงเคลื่อนที่อยู่บนกลุ่มเมฆตรงมายังทางนี้
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เรือรบวีรชนม่วงที่สามารถสังหารผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ถึงห้าลำเชียวนะ!
เด็กหนุ่มคำรามก่อนรีบฝ่าวงล้อมออกไปไม่กดพลังตัวเองเอาไว้อีก ทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังน่ากลัวกว่าเมื่อครู่
เขาเป็นคนออกแบบเรือรบวีรชนม่วงแบบใหม่นี้เองกับมือ จึงทราบดีว่าพลังของมันน่ากลัวเพียงใด หากมีเพียงลำเดียวเขายังพอมีวิธีจัดการได้ แต่ตอนนี้มีอยู่ถึงห้าลำ นั่นเท่ากับเขาว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรปราณวิญญาณห้าคน
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะจัดการอย่างไร แม้แต่จะหนีเอาตัวรอดยังอันตรายจนถึงชีวิตได้เลย ที่หนักหนาไปกว่านั้น เรือรบวีรชนม่วงยามเหาะแล่นบนฟ้าด้วยความเร็วสูงมาก หากถูกพวกมันไล่ตามทัน และด้วยพลังโจมตีของของปืนใหญ่สลักวิญญาณที่ครอบคลุมอย่างดีเยี่ยมแล้ว ผลลัพธ์เลวร้ายยากจะจินตนาการทีเดียว!
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าศัตรูจะไม่ส่งยอดฝีมือที่มีปราณสูงกว่าระดับจิตผสานวิญญาณมาจัดการเขา แต่เมื่อเห็นเรือรบวีรชนม่วงทั้งห้าลำ เขาก็รู้ว่าความคิดของตัวเองช่างไร้เดียงสายิ่งนัก
ถูกต้อง ฝ่ายศัตรูไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับปราณสูงกว่าระดับจิตผสานวิญญาณมาเลยสักคน แต่เรือรบวีรชนม่วงห้าลำนั้นเป็นอาวุธที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ หากเพียงควบคุมได้ดีก็ไม่ต่างไปจากการมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณโดยสิ้นเชิง
รังแกกันเกินไปแล้ว! ในยามนี้ความเกลียดแค้นในใจที่ถูกกดเอาไว้มานานกลับลุกฮือขึ้นใหม่ ชังพวกคนที่กีดกันเขาไม่ให้เข้าไปในนครต้องห้ามพวกนั้น
ความจริงที่โหดร้ายไม่ได้ทำให้หลินสวินเสียสติ เขารู้ดีว่าครั้งนี้ตัวเองจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมของตัวเองแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ตัวเองยังทำได้คือหนี!
จะถูกเรือรบวีชนม่วงล้อมจากบนฟ้าไม่ไม่ได้เด็ดขาด!
…
หลินสวินคล้ายอสูรร้ายที่ถูกบีบจนอับจนหนทาง เด็กหนุ่มบุกไปข้างหน้าด้วยความบ้าระห่ำ พลางเหยียบย่ำอยู่บนกองศพมากมาย
ฮูม
เสียงหืดหาดจากเขาสัตว์แว่วมาจากที่ไกล พลันหวินสวินถึงได้พบว่าศัตรูที่ล้อมตัวเองอยู่คล้ายได้รับการแจ้งเตือนบางอย่าง และไม่ได้เข้ามาโจมตีเขาอีก ทว่าพากันหลบออกไป ชัดเจนว่าเสียงที่ดังขึ้นนั้นเป็นสัญญาณเรียกกลับทัพ
หลินสวินใจกระตุก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าศัตรูกลัวการโจมตีจากเรือรบวีรชนม่วงจะทำร้ายพรรคพวกของตนพี่อยู่บนพื้น
ในความเป็นจริง อาวุธสังหารอย่างเรือรบวีรชนม่วงจะถูกใช้เป็นแนวหน้าในการศึกใหญ่เพื่อใช้โจมตีศัตรู ที่นำออกมาใช้จัดการกับเป้าหมายคนเดียวอย่างเช่นตอนนี้นั้นแทบจะพบได้ยาก
‘หากข้าคลุกวงอยู่กับพวกเขา เรือรบวีรชนม่วงบนฟ้านั้นจะกล้าลงมือหรือไม่’ หลินสวินผุดความคิดบ้าระห่ำขึ้นมา
ไม่นานความคิดนั้นก็ถูกความจริงอันโหดร้ายทำลายไป เสียงกระหึ่มจากบนฟ้าตามมาด้วยแสงแวววาวยิงออกมา ทะลุอากาศตรงมาทางหลินสวิน เขารีบวิ่งหลบจากการโจมตีอย่างไม่คิด
แต่ในที่ที่เขาเคยยืนอยู่นั้น ศัตรูที่หนีไม่ทันต่างถูกแสงแวววาวสังหาร โดยไม่ทันแม้จะได้เอ่ยร้องสิ่งใด จนปรากฏรอยหลุมใหญ่กว่าร้อยจั้งมีควันพุ่งพวยอยู่บนพื้นดิน
’โหดเหี้ยมนัก’ หลินสวินสูดลมหายใจ เพื่อสังหารตัวเขา แม้พวกพ้องของตัวเองจะตายก็ไม่สนใจ บ้าไปกันใหญ่แล้ว
จากเหตุการณ์นี้เห็นได้ว่า ศัตรูใช้ภารกิจครั้งนี้เป็นโอกาสตัดสินแพ้ชนะให้ชัดเจน เพื่อชัยชนะแล้วพวกเขาไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น
หนี!
หนี!
หนี!
ความเร็วในการหนีของหลินสวินเพิ่มขึ้นมากในป่าทึบที่ไม่มีศัตรูคอยดัก
เรือรบวีรชนม่วงบนฟ้าที่จับตำแหน่งของหลินสวินไว้แล้วกำลังประชิดเข้ามาเช่นเดียวกัน มันคล้ายเป็นป้อมปราการรบบนฟ้าบินฉวัดเฉวียนไปมา ทำให้คนกดดันและรับรู้ถึงความอันตราย
ยานสำเภาของเสวี่ยจินนั้น เทียบไม่ได้เลยกับอาวุธรบเหล่านี้
หลินสวินเคยถกปัญหาเรื่องเรือรบกับเสวี่ยจินและเหล่าโม่อยู่หลายครั้ง อาวุธสงครามที่สร้างโดยนักสลักวิญญาณพวกนี้ ผู้คนบนโลกล้วนทั้งรักทั้งชัง
รักเพราะมันช่างทรงพลังเหลือคณา เพียงขับมันให้ดีก็สามารถปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมาได้
ชังเพราะการปรากฏตัวของอาวุธสงครามชนิดนี้ ทำให้ความสามารถระหว่างผู้ฝึกปราณห่างชั้นออกไป
หากผู้ฝึกปราณขั้นผสานใจควบคุมเรือรบวีรชนได้อย่างคล่องแคล่ว และใช้ปืนใหญ่สลักวิญญาณบนเรือรบได้ ก็สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณได้
แล้วจะให้ผู้ฝึกปราณไม่ชังได้อย่างไร ในเมื่อผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณสามารถฆ่าผู้ฝึกปราณขั้นผสานใจได้เพียงกระดิกนิ้ว แค่เพราะมีเรือรบก็ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
สิ่งเดียวที่น่ายินดีก็คือ เรือรบในจักรวรรดิล้วนอยู่ในมือของขุนนางชั้นสูงและกองทัพเท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แม้ตระกูลมีอำนาจบางตระกูลจะมีอาวุธสงครามเช่นนี้ ทว่ามีอยู่ในจำนวนจำกัด
แน่นอนว่าความจริงแล้วขุนนางและกองทัพของจักรวรรดิแทบจะมาจากตระกูลมีอำนาจเหล่านี้ทั้งสิ้น ในบรรดาพวกเขา มีขุนนางบางคนเป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก มีบ้างที่เป็นแม่ทัพในกองทัพ แต่ก็ล้วนมาจากตระกูลมีอำนาจต่างๆ เช่นกัน
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดตระกูลมีอำนาจถึงยิ่งใหญ่นัก พวกเขาแสดงถึงผลประโยชน์ของตระกูล ฐานะสูงส่ง มีทรัพยากรของจักรวรรดิอยู่ในการควบคุมมากมาย เช่นนี้จะไม่ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
เหมือนกับเรือรบวีรชนม่วงทั้งหกลำที่ตระกูลฉือใช้ในภารกิจจัดการหลินสวินครั้งนี้ มันเป็นอาวุธสังหารแบบใหม่ล่าสุดที่สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิผลิตออกมา ตระกูลธรรมดาไม่มีทางมีไว้ในครอบครอง
ตอนนี้หนึ่งในเรือรบวีรชนม่วงหกลำเสียหายอย่างหนักไปแล้ว จึงไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก ไม่อย่างนั้นสถานการณ์วันนี้คงจะอันตรายมากขึ้นไปอีก
บึ้ม!
เรือรบวีรชนม่วงห้าลำไล่ตามมา พร้อมทั้งโจมตีจากระยะไกล แสงแวววาวหลายสายพุ่งเข้ามาคล้ายดาวหางตกจากฟากฟ้า
ป่าทึบอุดมสมบูรณ์ถูกเผาไหม้เป็นหย่อมๆ บนพื้นเกิดเป็นรอยหลุมขรุขระ ฝุ่นดินตลบคลุ้งอบอวล
’น่ากลัวเกินไปแล้ว!’ หลินสวินขนลุกชัน ในใจมีกลิ่นอายของอันตรายคุกรุ่นขึ้นมา เมื่อครู่เขาหลบอยู่หลายครั้งถึงหวุดหวิดหลบพ้นจากการโจมตีได้ เขาในยามนี้เปรียบดังหนอนบนพื้นดิน และลูกกระสุนพวกนั้นเป็นกับดักจากบนฟ้าที่หมายจะสังหารตัวเขา
สรรพสิ่งบนโลกล้วนไม่จีรัง ก่อนหน้านี้เขายังฝ่ายเข่นฆ่าศัตรู แต่ในยามนี้กลับกลายเป็นฝ่ายต้องหนีเอาชีวิตรอดเสียเอง
เสียงระเบิดดังขึ้นจากเบื้องหลัง ข้างหูยังได้ยินเสียงโจมตีมาจากเรือรบวีรชนม่วงที่อยู่กลางอากาศ หลินสวินไม่กล้าหันหลัง ยิ่งไม่กล้าคิดอะไรมาก เขากลัวว่าหากประมาทไปเพียงนิดเดียว ก็อาจจะถูกไฟจากลูกปืนวิญญาณเผาเป็นจุณ เด็กหนุ่มวิ่งฉิวหลบหลีกไปทางซ้ายบ้างขวาบ้างเพื่อหลบจากการโจมตี
พลังจากการรับรู้วิญญาณทำให้เขารู้ว่าอันตรายเข้ามาใกล้ทุกที กลิ่นไอคร่าชีวิตหนัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ คล้ายคมมีดกำลังจ่อคอที่อันตรายถึงชีวิต
บึ้ม! บึ้ม!
พลังไฟที่ยิงมาจากบนฟ้ารุนแรงสะท้านไปแปดทิศ
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี เมื่อเบี่ยงตัวหลบถึงได้รู้สึกถึงไอความร้อนแผดเผาอยู่ข้างหลัง เด็กหนุ่มตัวกระดอนลอยฟ้าทั่วร่างถูกไฟครอก อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหกเจ็บเหมือนโดนฉีก
เขากัดฟันคำรามในลำคอ ใช้พลังจากแรงสะเทือนนั้นเพิ่มความเร็วในการหลบหนี
ทิวป่าตรงหน้าดูบางตาขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าอีกไม่นานร่างของเขาก็จะไร้กำบังจากมุมมองบนฟ้า และเมื่อนั้นสถานการณ์คงยิ่งอันตรายมากขึ้น
แต่หลินสวินไม่มีทางเลือก เขาทำได้เพียงวิ่งไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าตัวเองอดทนมานานแค่ไหน แต่เขารู้ชัดว่าหากล้มเลิกการหนี แม้ตายก็คงตายอย่างไม่ยินยอม
เสื้อผ้าของหลินสวินขาดวิ่น ผิวข้างหลังถูกเผาเกรียมจนมีเลือดอาบไหล ทั้งร่างคลุกไปด้วยฝุ่นดินแลดูเหนื่อยล้า แต่บนใบหน้าของเขากลับยังมีแววยืนหยัด แม้จะอยู่ในสภาวะอับจนหนทางเช่นนี้ก็ไม่เคยคิดยอมแพ้
เด็กหนุ่มผ่านการฝึกฝนอยู่บนความเป็นความตายมาหลายครั้ง และเคยสัมผัสการเฉียดตายจากดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึกในทางเดินเมฆาหยกมาแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไร้ซึ่งความตระหนกและตื่นกลัว กลับกันในใจของเขาสงบนิ่งดั่งแม่น้ำยามฤดูใบไม้ร่วง
308 โอกาสรอด
โดย
ProjectZyphon
มีชีวิตอยู่ต่อไป!
ความกระหายอยู่รอดทำให้หลินสวินระเบิดพลังขึ้นมา พลังผสานดินในกายปะทุ กลิ่นไอรอบตัวเดือดพล่าน ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ
ฮึม
ด้านหลังของหลินสวินมีเรือรบวีรชนม่วงไล่ตามมาเป็นเห็บหมัด พลังไฟของปืนใหญ่สลักวิญญาณพุ่งออกมาเป็นแสงแสบตาน่ากลัว พื้นดินแตกระแหง ฝุ่นคลุ้งตลบ ตลอดเส้นทางที่หลินสวินวิ่งผ่านล้วนย่อยยับกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ
เรือรบวีรชนม่วงที่มีพลังถึงขั้นสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณจะธรรมดาได้อย่างไร บางทีข้อเสียเพียงอย่างเดียวของมันก็คือไม่ใช่ผู้ฝึกปราณที่แท้จริง วิธีการต่อสู้มีเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องใช้ผู้ฝึกตนควบคุมจึงจะสามารถปล่อยพลังไฟออกมาได้
นี่เป็นโอกาสเพียงน้อยนิดที่หลินสวินมี ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปอีกนานเท่าใด หากเมื่อใดหมดซึ่งเรี่ยวแรงแล้ว นั่นก็หมายความเวลาตายของเขามาถึงแล้ว ตลอดทางมานี้เขาทำได้เพียงวิ่งไปข้างหน้าเท่านั้นไม่เห็นโอกาสที่จะมีชีวิตรอดเลย
“ฮ่าๆๆ เด็กคนนี้เก่งนักไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้วิ่งหนีเป็นสุนัขเลยเล่า”
ด้านหลังของเรือรบวีรชนม่วง ชายสวมงอบกับเสี่ยวมู่นำทัพผู้ฝึกปราณทั้งหลายไล่ตามมา เมื่อเห็นว่าหลินสวินวิ่งหางจุกก้นเป็นสุนัข พวกเขาก็พลันหัวเราะขึ้น เพราะทั้งคู่มองว่าหลินสวินที่กำลังหนีเรือรบวีรชนม่วงจนหน้าซีดขาวเช่นนี้ คล้ายกับมดน้อยดิ้นรนอยู่บนกองไฟ รอเพียงความตายเท่านั้น
“สะใจนัก!”
“เด็กคนนี้สังหารคนของเราไปมากมาย สมควรได้รับโทษ” ผู้ฝึกปราณทั้งหลายพากันตื่นเต้น ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกหลินสวินเข่นฆ่าจนหมดกำลังใจต่อสู้ แต่ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกเข่นฆ่าจนต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แล้วจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร
“น่าขำนักหรือ คนของพวกเราถูกสังหารไปทั้งหมดสี่ร้อยสิบเก้าคนในการต่อสู้เมื่อครู่ หากไม่นำเรือรบวีรชนม่วงออกมาคงจะสูญเสียมากยิ่งกว่านี้ พวกเจ้าคิดว่ามันตลกมากหรือ”
เสี่ยวมู่เอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาสีแดงปราดมองทุกคนจนพวกเขารอยยิ้มแข็งค้าง ความทะนงตนหดหาย ใช่แล้ว เยาะเย้ยศัตรูในตอนนี้แตกต่างจากการเยาะเย้ยว่าตัวเองไร้ความสามารถก็ไม่ปาน
“พวกเจ้าแหกตาดู เด็กคนนี้มีปราณเพียงขั้นผสานดินก็ทำให้เรือรบวีรชนม่วงไล่ตามมาจนถึงตอนนี้ ถามตัวเองในใจดู ว่าพวกเจ้ามีใครทำได้แบบนี้บ้าง”
เสี่ยวมู่ตะเบ็งเสียงดังคล้ายกำลังโมโห “ทั่วทั้งจักรวรรดิมีผู้ฝึกปราณขั้นผสานดินคนไหนทำได้เช่นนี้บ้าง หืม?”
เสียงกัมปนาทนั้นทำให้ผู้ฝึกปราณทั้งหลายสลดลง ความทะนงและตื่นเต้นในใจหายไปจนสิ้น
“แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าหากเด็กคนนี้มีชีวิตรอดในวันนี้ และกลับมาแก้แค้นพวกเราในภายหลัง พวกเจ้ามีใครยังยิ้มได้อีก”
ผู้ฝึกปราณล้วนทำหน้าปุเลี่ยน นึกถึงความแข็งแกร่งของหลินสวินแล้ว ในใจพวกเขาต่างระส่ำระส่าย คนประเภทนี้หากยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขในภายภาคหน้าแน่นอน
“เอาล่ะ ทุกคนไม่ต้องเป็นกังวล เด็กคนนี้แทบจะไม่เหลือโอกาสมีชีวิตรอดภายใต้การโจมตีจากเรือรบวีรชนม่วง แต่ก็อย่าประมาทไป หากไม่เห็นกับตาว่าเด็กคนนี้ถูกสังหาร ก็อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด” ชายสวมงอบเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนเริ่มระวังตัวขึ้นมาอีกครั้ง
เวลาผ่านเลยไป เสียงระเบิดยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับหลินสวินแล้ว ช่วงเวลานี้ช่างยาวนานเหลือเกิน หนึ่งวันคล้ายหนึ่งปี นับแต่เริ่มฝึกตนจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยหมดท่าเท่านี้มาก่อน แต่ดวงตาของเด็กหนุ่มยังมีความมุ่งมาดอยู่เต็มเปี่ยมไม่เคยแปรเปลี่ยน เป็นหรือตายอาจพลิกผันได้ในช่วงพริบตา แต่เขายอมสู้จนวินาทีสุดท้าย
ซ่า~
ทันใดนั้น ในภาพนิมิตปรากฏเสียงน้ำหลาก ทำให้หลินสวินดวงตาเป็นประกายวาววาบ ไม่นานแม่น้ำไหลเชี่ยวกราดกว้างกว่าสิบจั้งก็ผุดขึ้นในสายตา เขากัดฟันเพิ่มความเร็วขึ้นสามส่วน มุ่งตรงไปทางแม่น้ำทันที
ชายร่างบึกบึนผู้ควบคุมเรือรบวีรชนม่วงบนฟ้ากำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ขณะใช้ปืนใหญ่สลักวิญญาณโจมตีเป้าหมาย ครั้นเห็นแม่น้ำอยู่ไกลออกไปเขาก็ผงะ ก่อนจะยกมุมปากยิ้มเหี้ยมเกรียม
ข้างหน้ามีแม่น้ำขวางเอาไว้ เด็กคนนี้หนีไปไหนไม่รอดแน่
จัดการมัน!
ขณะที่ควบคุมเรือรบวีรชนม่วง ชายร่างบึกบึนจุดพลังไฟทั้งหมดให้ลูกปืนใหญ่สลักวิญญาณทะยานออกไป เรือรบวีรชนม่วงอีกสี่ลำเมื่อเห็นเช่นนั้นต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน ว่าโอกาสสังหารเป้าหมายมาถึงแล้ว
บึ้ม!
พวกเขาโจมตีด้วยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ฉับพลันนั้นกลางอากาศมีแสงวาววับปานฝนดาวตกแหวกทะลุม่านอากาศร่วงหล่นลงบนพื้นดิน
แย่แล้ว!
เมื่อเห็นแม่น้ำจากที่ไกลโพ้นชายสวมงอบเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เขาชักสีหน้า และมีความคิดเห็นแตกต่างจากผู้ฝึกปราณที่ควบคุมเรือรบวีรชนม่วงทั้งหลาย
เขาจำได้แม่นยำว่าในการล้อมจู่โจมเมื่อหลายวันก่อนนั้น พวกเขาวางกับดักรอบแอ่งน้ำอย่างหนาแน่น ใครจะคิดว่าเป้าหมายกลับดำลงไปในน้ำ หลบหนีจากการล้อมโจมตีอย่างไร้ร่องรอย หากเป็นเช่นนี้ แม่น้ำข้างหน้าไม่มีทางเป็นสิ่งกีดขวางเป้าหมายได้ กลับกันเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นโอกาสให้เด็กหนุ่มรอดไปได้ด้วยซ้ำ
เสียดายที่ชายสวมงอบรู้ตัวช้าเกินไป เพราะหลินสวินดีดตัวขึ้นกระโดดลงไปในแม่น้ำอย่างว่องไวแล้ว
บึ้ม!
ลูกปืนไฟมากมายพวยพุ่งลงมา ร่วงหล่นบนผืนน้ำในเวลาเดียวกัน พลันเกิดเป็นคลื่นน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง หลินสวินที่เพิ่งกระโดดลงมาใต้น้ำรู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวพุ่งเข้ามา เสียดทานผ่านแรงดันน้ำกระแทกแผ่นหลังเข้าอย่างจัง
ตู้ม!
ในหัวได้ยินเสียงกระแทกอั่กสร้างความปวดร้าวไปทั่วร่าง กระดูกในร่างแทบป่น กายของเขาถูกแรงกระแทกดันลงไปใต้น้ำไปแล้ว
อั่ก
หลินสวินหน้าซีดขาวกระอักเลือดออกมา เขานั่งลงบนพื้นดินที่ใต้น้ำ ครางขรมด้วยความทรมาน ลูกปืนเมื่อครู่นั้นน่ากลัวปานภูเขาทับลงมา หากไม่ใช่เพราะแรงดันน้ำมหาศาลเกรงว่าเขาคงไม่รอดแล้ว
เด็กหนุ่มหอบหายใจ แม้จะอยู่ใต้น้ำเชี่ยวกราก แต่เขากลับคล้ายอยู่บนพื้นดินธรรมดา หายใจได้อย่างสะดวก กระทั่งไม่ได้รับมวลพลังจากน้ำแต่อย่างใด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแสงสีฟ้าที่โอบอยู่รอบตัวเขา มันคือพลังจากมุกนักบุญอมตะในนิมิตของเขานั่นเอง
ของสิ่งนี้เป็นของวิเศษของสำนักคนเถื่อนวารี แม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่พลังจากธรรมชาติก็เพียงพอให้หลินสวินปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างใจนึก ไม่แตกต่างไปจากไข่มุกเลี่ยงวารีในตำนานเลย
ไม่นานหลินสวินก็กัดฟันลุกยืน ลากสารร่างที่บาดเจ็บหนักเดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีฝูงปลาแหวกว่ายไปมา พืชใต้น้ำโบกไสว ปะการังสีต่างๆ ส่องแสงประกายเป็นภาพสวยงามน่าชมดู
กระนั้นเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจชื่นชมนัก ไม่นานเด็กหนุ่มก็พบถ้ำหิน ก่อนจะเข้าไปหย่อนก้นนั่งลง
เขาควักเครื่องจับพลังออกมาปักนอกถ้ำหิน พรูลมหายใจยาวแล้วหยิบยาผสานแผลขึ้นมาหนึ่งขวด ยกกรอกมันลงไปทั้งหมดโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงหลับตาลงทำสมาธิ
แม้เรือรบวีรชนม่วงจะมีพลังมาก แต่ลูกปืนใหญ่ของมันไม่มีทางทะลุลงมาในพื้นน้ำลึกกว่าร้อยจั้งได้
นอกเสียจากว่าศัตรูจะดำล้ำลงมาจัดการเขา แต่หากไม่มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ ก็ไม่มีทางที่จะทนอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานานได้ ผนวกกับสายน้ำที่เชี่ยวกรากและแรงดันน้ำมหาศาล ยิ่งลึกลงเท่าไหร่ มวลกดดันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น หากผู้ฝึกปราณที่ไม่ใช่ระดับมหาสมุทรวิญญาณดำลงมา หลินสวินที่มีมุกนักบุญอมตะก็สามารถสังหารพวกเขาได้โดยง่าย!
เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยหลินสวินก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยแล้ว สามารถตั้งใจรักษาบาดแผลได้
“ในที่สุดก็มีความหวังที่จะพลิกสถานการณ์เสียที” นี่เป็นห้วงความคิดสุดท้ายก่อนที่หลินสวินจะเข้าฌานไป
…
เรือรบวีรชนม่วงที่ลอยวนอยู่เหนือแม่น้ำไม่ได้โจมตีอีก ด้วยรู้ชัดว่าแม้ปืนใหญ่สลักวิญญาณจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถตัดสายน้ำให้ขาดได้
ที่ริมแม่น้ำมีผู้ฝึกปราณกว่าร้อยพันยืนรวมกันอยู่ ชายสวมงอบยืนนำอยู่ข้างหน้า สายตาจ้องนิ่งบนผืนน้ำที่เชี่ยวกรากท่าทางเคร่งขรึม
เป้าหมายหายไปแล้ว ไม่รู้เป็นหรือตาย ไม่รู้ว่าถูกกระแสน้ำพัดไปแล้วหรือยัง
“การโจมตีเมื่อครู่น่าหวั่นกลัวนัก เด็กคนนั้นไม่มีทางรับไหวหรอก ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะร่างแหลกไปแล้วก็ได้” มีคนกล่าวขึ้นมา
นี่คือความคิดของหลายคน ภาพเรือรบวีรชนม่วงห้าลำยิงปืนใหญ่เต็มกำลังเมื่อครู่ดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก แม้แต่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณยังรอดไปได้ยาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเป้าหมายเลย
“ส่งคนลงไปดู” ชายสวมงอบสูดลมหายใจลึก เอ่ยคำที่ทำให้หลายคนประหลาดใจ
“หัวหน้าขอรับ ไม่จำเป็นกระมัง” ใครบางคนสงสัย
“พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร! ตอนนั้นข้างบึงมีกับดับวางอยู่มากมาย แต่เป้าหมายก็ยังหนีรอดไปได้ พวกเจ้าคิดว่าถ้าเป้าหมายยังมีชีวิตอยู่แล้ว เขาจะลอยขึ้นมาบนน้ำให้จับหรืออย่างไร!”
ชายสวมงอบเก็บอาการร้อนรนไม่อยู่ จึงตวาดออกมาในที่สุด ทำเอาผู้คนแถวนั้นหน้าถอดสีไปหลายคน ก่อนจะมีผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนรวบรวมความกล้าอาสากระโดดลงไปในแม่น้ำ
“แต่ถ้าเป้าหมายยังมีชีวิตอยู่ ถึงเราจะส่งคนพวกนี้ลงไปก็ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” เสี่ยวมู่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“ไม่ เป้าหมายถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสแล้ว ข้าเดาว่าตอนที่กระโดดลงแม่น้ำไปนั้น เขามีบาดแผลอยู่แล้วไม่น้อย หากเขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็คือเวลาที่ดีที่สุดในการสังหารเขา”
ว่ามาถึงตรงนี้ชายสวมงอบก็ปราดตามองผู้ฝึกปราณโดยรอบ “ไป พวกเจ้าไปเฝ้าตามริมแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ให้เรือรบวีรชนม่วงทั้งห้าลำ และเหยี่ยวสอดแนมทั้งหมดจับตาสังเกตบริเวณที่แม่น้ำสายนี้ไหลผ่าน หากพบเห็นเป้าหมายแล้ว ให้ฆ่าได้ทันที!”
เห็นได้ชัดว่าชายสวมงอบกลัวว่าเป้าหมายจะหนีออกไปทางใต้น้ำเหมือนครั้งก่อน จึงจงใจซ้อนแผนที่รัดกุมไว้เสียก่อน!
309 เลือดนองผืนน้ำ
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินลืมตาขึ้นมาจากการทำสมาธิ เมื่อสัมผัสได้ว่าเครื่องจับพลังพลังสั่นกระเพือม จนเกิดคลื่นที่มองไม่เห็น
ศัตรูบุกมาแล้ว!
เขาหรี่ตาลง นับแต่เริ่มนั่งสมาธิจนถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งยามเท่านั้น แต่ศัตรูกลับมาถึงใต้แม่น้ำแล้ว ชัดเจนว่าพวกเขาต้องการลงมือในตอนที่เด็กหนุ่มบาดเจ็บ
มือขวาของเขากำดาบเวทเรืองแสงไว้จนแน่น ส่วนมือซ้ายจับหน้าไม้ด้ามหนึ่งเดินออกมาที่ปากถ้ำเงียบๆ พลางแผ่กระจายมวลพลังจากจิตออกไป
พลันเขารับรู้ถึงผู้ฝึกปราณหลายสิบคนมุ่งหน้ามาทางนี้พร้อมกับกระแสน้ำที่ไหลเอ่อ ยิ่งศัตรูใกล้เข้ามาเท่าไร สายตาของหลินสวินก็ยิ่งเย็นชามากเท่านั้น แม้เขาจะบาดเจ็บหนัก แต่ด้วยพลังจากมุกนักบุญอมตะ ทำให้การอยู่ใต้น้ำที่มีแรงดันสูงเพียงพอให้เขาไม่ต้องกลัวศัตรูหน้าไหน
แรงดันน้ำมีมวลความหนาแน่นสูงมาก หากคนธรรมดาลงมา เกรงจะต้องเลือดทะลักเจ็ดรูทวารจนเสียชีวิตไปนานแล้ว หรือแม้แต่ผู้ฝึกปราณระดับจิตผสานวิญญาณก็ไม่สามารถดำน้ำเป็นเวลานานๆ ได้ เพราะเมื่อเคลื่อนไหวร่างกายจะมีแรงต้านสกัดเอาไว้ หากต่อสู้จะใช้พลังได้เพียงครึ่งเดียว
มีเพียงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ที่สามารถเดินเหินใต้น้ำได้ตามอำเภอใจ พวกเขาใช้พลังจากภายในสื่อสารกับพลังฟ้าดิน ทำให้สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ ทั้งในอากาศและในน้ำ
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกปราณที่ดำน้ำลงมาในเวลานี้กำลังเผชิญหน้ากับแรงต้านขนาดใหญ่ ยามเคลื่อนไหวจึงยืดยาดคล้ายมีของถ่วง
ฟิ้ว
คลื่นน้ำสะเทือนเมื่อผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามาทางถ้ำ ขณะที่เขาเพิ่งประชิดเข้ามา ยังไม่ทันได้สำรวจลักษณะภายในถ้ำก็เกิดอาการตาพร่า ใบมีดหนึ่งตัดลำคอเขาอย่างง่ายดายเสียแล้ว
เขาตกใจ ให้ตายก็ไม่กล้าเชื่อว่ามีดใบนั้นจะเร็วปานนี้ คล้ายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากแรงต้านของน้ำเลย
เลือดสดสีแดงทะลักออกมาย้อมแม่น้ำกลายเป็นสีแดงฉาน
ฟิ้ว
ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนที่อยู่ไกลออกไปนั้นสังเกตได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบกรูกันเข้ามา แรงต้านของน้ำทำให้พวกเขาเหมือนสัตว์ประหลาดกำลังเต้นระบำก็ไม่ปาน
ฉึบ ฉึบ ฉึบ
หลินสวินเคลื่อนไหวว่องไวเข้าไปหาผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง ก่อนจะม้วนอาวุธออกมาแทงเข้าที่ท้องของอีกฝ่าย
ฉึก
ในขณะเดียวกันมือซ้ายก็ยิงหน้าไม้จนเกิดรอยริ้วน้ำ ทะลุกะโหลกผู้ฝึกปราณที่ห่างออกไปสิบจั้ง ผู้ฝึกปราณคนนั้นแม้ถือหน้าไม้อยู่ในมือก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน
ตูม
ผู้ฝึกปราณต่างพากันถืออาวุธวิญญาณพุ่งเข้ามา ทำให้น้ำบริเวณนั้นกระเพื่อม ฝูงปลาแตกฮือ ตะไคร่น้ำปลิวไหว คลุ้งจนมองเหตุการณ์ได้ไม่ชัดเจน
ใต้น้ำที่เต็มไปด้วยแรงดันมหาศาลนี้ เป้าหมายกลับเดินเหินได้อย่างว่องไวราวกับไม่ได้รับผลกระทบใด ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณแม้จะใช้หน้าได้สกัดยิง แต่ก็ไม่เฉียดกายของเป้าหมายแม้แต่น้อย
เด็กคนนี้เป็นสัตว์น้ำหรืออย่างไร ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นตระหนกขนลุกชัน
ฟึบ ฟึบ ฟึบ
ท่ามกลางความวุ่นวาย ผู้ฝึกปราณค่อยๆ ล้มลงไป ไม่ถูกมีดสังหารก็ถูกหน้าไม้ยิงทะลุร่าง สีแดงของเลือดลอยขึ้นเหนือผืนน้ำอยู่หลายดวง ทำให้แม่น้ำที่เดิมทีขุ่นมัวเป็นสีชาด
ผู้ฝึกตนที่อยู่ใต้น้ำไม่สามารถพูดได้ ยิ่งไม่สามารถส่งเสียงขอความช่วยเหลือได้เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ เหตุนองเลือดนี้มีเพียงกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงความน่ากลัวเท่านั้น
ตายเสียเถิด!
หลินสวินที่บาดเจ็บหนักใช้พลังได้แค่สองส่วนจากทั้งหมด แต่เมื่ออยู่ใต้น้ำ ณ ขณะนี้ เขาคล้ายเป็นยมทูตที่คร่าชีวิตคนครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้ฝึกปราณบางคนหวาดกลัวจนต้องหนีขึ้นไปบนผิวน้ำ แต่สุดท้ายก็ถูกหลินสวินตามไปสังหารอย่างรวดเร็ว การสังหารใต้น้ำครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไร้ตัวช่วย ตกตาย น่ากลัว และนองไปด้วยเลือด
…
ที่ริมแม่น้ำ
“หัวหน้าขอรับ จัดกองกำลังที่เหลือ 1,922 คนไปเฝ้าตามทุกแยกเวิ้งน้ำตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว”
“และทุกสิบลี้ก็มีเรือรบวีรชนม่วงเฝ้าอยู่บนอากาศ เหยี่ยวสอดแนวก็เรียกมาใช้หมดแล้ว ต่อให้ตัวประหลาดโผล่มาเราก็จะเห็นได้ในทันทีขอรับ” เสี่ยวมู่รายงาน
ชายสวมงอบพยักหน้า เขาวางใจลงไม่น้อย พลางมองไปที่ผืนน้ำ ผู้ฝึกปราณห้าสิบคนที่ส่งลงไปล้วนมีพรสวรรค์ทางน้ำ ขณะนี้เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาแล้ว หากไม่เหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้ ไม่นานก็คงได้ข่าวคราวอะไรบ้าง
บุ๋ง
ทันใดนั้น ผืนน้ำเชี่ยวกรากพลันมีศพลอยขึ้นมา ชายสวมงอบกับเสี่ยวมู่เพ่งมองด้วยใบหน้าถอดสี ศพนั้นถูกกระแสน้ำซัดพาไปโดยที่ไม่ทันได้เก็บขึ้นมาด้วยซ้ำ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
“เป้าหมายซ่อนอยู่ใต้น้ำ เขายังไม่ตายจริงๆ”
“ศพเมื่อครู่นั้นเหมือนจะเป็น คุณชายสองแห่งตระกูลอู๋!”
ผู้ฝึกตนนับร้อยที่ยืนอยู่ข้างหลังชายสวมงอบพากันร้องตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ช่างน่าหวาดหวั่นเสียเหลือเกิน
เป้าหมายบาดเจ็บหนักเพราะถูกเรือรบวีรชนม่วงไล่สังหาร ในตอนที่กระโดดลงไปในแม่น้ำก็โดนโจมตีจากเรือรบเข้าอย่างจัง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ตาย
เหลือเชื่อยิ่งนัก!
ที่น่ากลัวไปกว่านั้น เป้าหมายไม่เพียงไม่ตาย เขาหลบอยู่ในน้ำเพื่อรอสังหารคนของพวกเขาที่ดำน้ำลงไป ไม่ได้แอบหนีไปไหนด้วยซ้ำ
หรือเด็กคนนี้จะฆ่าไม่ตาย?
ประหลาดเกินไปแล้ว แม้แต่ชายสวมงอบกับเสี่ยวมู่ก็ยังไม่อยากเชื่อ นี่มันเกินความคาดหมายของพวกเขาไปแล้วจริงๆ
บุ๋ง บุ๋ง
ไม่รอให้พวกเขาได้ตั้งสติ ผืนน้ำเชี่ยวกรากพลันมีศพลอยขึ้นมาศพแล้วศพเล่า ก่อนจะถูกกระแสน้ำพัดลอยไป แม่น้ำที่เดิมทีเป็นสีขุ่นก็ถูกย้อมจนเป็นสีเลือดแดงฉาน แม้จะถูดซัดให้จางลงบ้าง แต่ไม่นานก็มีเลือดกองใหม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หมายความว่าใต้ผืนน้ำนั้นมีคนถูกฆ่าอยู่เสมอ
ชายสวมงอบกับเสี่ยวมู่รู้สึกเย็นวาบทั่วกาย ทั้งคู่ยืนเหม่อลอย ถึงขั้นนี้แล้วก็ยังสังหารเป้าหมายไม่ได้หรือนี่!
เหล่าผู้ฝึกปราณข้างหลังพวกเขาต่างตะลึง ใจเต้นระส่ำ เป้าหมายโผล่มาจากที่ไหนกัน พลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์ประหลาด พลังชีวิตก็ถึกทนฆ่าไม่ตาย บนโลกมีคนแบบนี้อยู่จริงๆ หรือ!
ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว บนผืนน้ำไม่มีศพลอยขึ้นมาอีก ทว่าเสี่ยวมู่หน้ากลับเสียกิริยาอย่างหนัก เขาเค้นเสียงกล่าว “หัวหน้าขอรับ นับแล้วห้าสิบศพพอดี ไม่มีใครรอดชีวิต”
เส้นเลือดบนขมับชองชายสวมงอบปูดโปน เขาเม้มปากกัดฟันกรอด ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปาก “เจ้าว่าเด็กคนนั้นจะฆ่าไม่ตายจริงๆ หรือ”
เสี่ยวมู่ถอนหายใจไร้คำพูด “หัวหน้าขอรับ วิธีดำน้ำลงไปจัดการเป้าหมายใช้ไม่ได้ผลแล้ว แต่ถ้าเป้าหมายหลบอยู่ในนั้นไม่ยอมออกมา แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีเล่าขอรับ”
คำถามนี้ช่างตรงไปตรงมานัก แม้พวกเขาจะมีกำลังคนมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามริมแม่น้ำ แต่จะให้รออย่างนี้ไปตลอดก็ไม่ได้ เป้าหมายอยู่ได้ แต่พวกเขาทนไม่ได้ แค่เสบียงอาหารที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่เพียงพอสำหรับผู้ฝึกตนกว่าพันคนแล้ว การควบคุมเรือรบวีรชนม่วงห้าลำต้องใช้ผลึกวิญญาณชั้นสูงเป็นจำนวนมาก ยิ่งเวลาผ่านนานไปเข้า ค่าความเสียหายย่อมเกินกว่าจะจินตนาการได้แน่นอน
“ส่งข่าวกลับไป รายงายเหมยจวิ้นจู่ตามความจริง ให้นางเป็นคนตัดสินใจ”
ชายสวมงอบถอนหายใจยาวหลังจากเงียบอยู่นาน ท่าทางข่มขื่นสิ้นไร้หนทาง
ครั้งนี้พวกเขาขัดกำลังทั้งหมดไว้ที่นอกเมืองมังกรเหลืองเพื่อจะตัดสินแพ้ชนะกับเป้าหมาย ใครจะคิดว่ากลที่วางแผนมาอย่างดีกลับล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้เหตุการณ์เริ่มเกินกว่าที่จะควบคุมได้แล้ว จะให้ชายสวมงอบทำใจรับได้อย่างไร
เขารู้ดีว่าหากภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว หลังจากนี้ก็จะไม่มีโอกาสจัดการเป้าหมายในเส้นทางไปสู่นครต้องห้ามอีกแล้ว และหมายความว่าพวกเขาจะหมดคำแก้ตัวต่อฉือฉางเหมย ผลลัพธ์หลังจากนั้นหนักหนาเกินกว่าพวกเขาจะทนรับไหว
กระนั้นเหตุการณ์วันนี้ก็ไม่มีทางจะปกปิดได้ เขาต้องรายงานเรื่องทั้งหมดต่อฉือฉางเหมย เพื่อให้นางตัดสินใจด้วยตนเอง
“หัวหน้าจะทำอย่างนี้จริงหรือขอรับ” เสี่ยวมู่อดไม่ไหวถามขึ้นมา
“ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเราไม่ลงแรง แต่เพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก”
ชายสวบงอบเอ่ยถึงตรงนี้ก็ตบไหล่เสี่ยวมู่ “เราทำเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เหมยจวิ้นจู่ตัดสินใจเถิด”
เสี่ยวมู่ยืนเงียบ ครู่ใหญ่จึงกัดฟันกลาว “พวกเรายังไม่แพ้ อย่างน้อยเป้าหมายก็ยังอยู่ในการควบคุมของเรา ไม่มีทางหนีรอดออกไปได้ ข้าจะสู้จนนาทีสุดท้ายขอรับ!” ว่าแล้วเขาก็เดินจากไป
’พวกเราไม่ได้แพ้ แต่สู้มาถึงตอนนี้ไม่มีใครเหลือความมุ่งมาดอย่างเจ้าแล้ว…’ ชายสวมงอบคิดในใจ
การต่อสู้หรือทำสิ่งใด หากไม่กลัวคู่แข่งที่เก่งกาจ ก็ให้กลัวความมุ่งมาดที่จะหดหาย
…
เรือนโบราณ ในนครต้องห้าม
“ในข่าวที่ส่งมาเมื่อวานบอกว่า ลู่เซ่าอวิ๋นถูกกักบริเวณโดยมีตระกูลลู่จัดการบทลงโทษ” ผู้ช่วยคนหนึ่งยิ้มว่า “เจ้าเดาสิว่าใครเป็นคนออกคำสั่ง”
“ใครหรือ” หลายคนอยากรู้
“ก็ลู่เทียนเจ้าบิดาของเขาอย่างไรเล่า ฮ่าๆๆ คราวนี้ถึงลู่เซ่าอวิ๋นไม่ตาย ก็คงขายขี้หน้าจนอยู่ในนครต้องห้ามไม่ได้แล้ว แม้แต่บิดาของเขาก็ยังถูกครหาว่าเป็นคนขายตระกูลไปแล้วด้วยซ้ำ”
คนอื่นพากันหัวเราะครืน นี่เป็นผลของการทำให้พวกเขาไม่พอใจ คิดจะช่วยหลินสวินต่อกรกับพวกเขาหรือ ช่างรนหาที่ชัดๆ!
ฉือฉางเหมยเลิกคิ้ว แค่จัดการเด็กไร้ความสามารถคนหนึ่งได้ต้องดีใจขนาดนี้เลยหรือ นางไม่เคยเห็นลู่เซ่าอวิ๋นในสายตาแม้แต่น้อย เพราะคนพรรค์นี้ไม่ควรค่าให้นางสนใจอยู่แล้ว
ปัง!
พลันประตูห้องถูกเปิดออก องครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน
310 คิดไม่ตก
โดย
ProjectZyphon
“มีอะไร เหตุใดลุกลนเช่นนี้นี้” ฉือฉางเหมยตำหนิ
องครักษ์กลืนน้ำลายว่าเสียงสั่น “ทัพหน้ารายงานมาว่า ภารกิจ…ภารกิจ…”
“ภารกิจเป็นอย่างไร” ใครบางคนร้อนรนถาม
“ภารกิจพลิกผันขอรับ” องครักษ์รวบรวมลมหายใจแล้วว่าให้จบ
พลิกผัน?
หลายคนตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ในใจกลับไม่คิดว่าหนักหนาอะไร แค่พลิกผันไป มิใช่ล้มเหลวเสียหน่อย เหตุใดต้องตกใจถึงเพียงนี้
ฉือฉางเหมยถอนหายใจโล่งอก ภารกิจครั้งนี้นางสั่งให้ยกกองกำลังทั้งหมดไปล้อมรอบนอกเมืองมังกรเหลือง หากยังล้มเหลวอีกครั้งก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ เล่ามา” ฉือฉางเหมยบอก
องครักษ์พยักหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผู้บัญชาการใหญ่ของทัพหน้าส่งข่าวมาว่าเป้าหมายปลอมตัวออกมาจากเมืองมังกรเหลือง…” เขารายงานข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับออกมา
เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวมู่ตามตัวหลินสวินได้ หลายคนก็เอ่ยชมนางยกใหญ่ แต่เมื่อได้ยินว่าเป้าหมายตัวคนเดียวสังหารกองกำลังของพวกเขาไปมากมายก็อึ้งงันไปตามๆ กัน
เรื่องราวหลังจากนั้น เมื่อหลินสวินใกล้จะฝ่าวงล้อมออกมาได้ เรือรบวีรชนม่วงทั้งห้าลำไล่โจมตีเขาจนต้องกระโดดลงแม่น้ำ ทุกคนรวมทั้งฉือฉางเหมยหน้าเขียวครึ้มเสียอาการ บรรยากาศในห้องเริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ จนแทบหายใจไม่ออก มีเพียงเสียงขององครักษ์ที่ยังดังกังวานอยู่
“เดิมทีคิดว่าแม้เป้าหมายไม่ตาย เขาก็คงบาดเจ็บสาหัส กองกำลังจึงดำน้ำลงไปดู แต่ไม่คิดว่าผู้ฝึกปราณห้าสิบคนที่ดำน้ำลงไปจะถูกสังหารจนหมดสิ้น”
เพล้ง!
ฟังมาถึงตรงนี้ แก้วน้ำชาในมือของฉือฉางเหมยก็แหลกละเอียดกลายเป็นเศษผงร่วงกราวลงพื้นโดยที่นางไม่รู้ตัว สายตาของนางแน่นิ่ง ใบหน้างามเขียวครึ้ม หว่างคิ้วขมวดมุ่นด้วยโทสะ
ยอดฝีมือผู้ฝึกปราณสองพันกว่าคนกับอาวุธอย่างดี ทั้งยังมีเรือรบวีรชนม่วงอีกห้าลำ กองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ยังสังหารเป้าหมายไม่ได้ ไม่ได้เรื่องจริงๆ!
ภายในห้องเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าสบตาฉือฉางเหมย พวกเขารู้ดีว่าฉือฉางเหมยใกล้จะโมโหจนสุดขีดแล้ว ในยามนี้หากพูดไม่เข้าหู คงจะถูกนางฆ่าไอด้ง่ายๆ
ฉือฉางเหมยใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ นางเกลียดที่หลังจากสวี่เชียนจิ้งจากไปแล้ว ข่าวคราวที่มาจากทัพหน้าล้วนไม่เคยทำให้นางยินดีได้เลยสักครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ ที่กองกำลังจำนวนมหาศาลขนาดสามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ แต่สุดท้ายก็ยังทำอะไรเป้าหมายไม่สำเร็จ ผู้ใหญ่ในตระกูลจะมองนางเช่นไร คนอื่นๆ จะมองตระกูลฉืออย่างไร ขายหน้าที่สุด!
ฉือฉางเหมยแทบอยากจะพุ่งไปอยู่ทัพหน้าเสียเอง ไม่ช้านางก็สงบสติลง ความโกรธเป็นการแสดงออกว่าตัวเองไร้ความสามารถ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือทำความเข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังทั้งหมด
“นอกจากพวกนี้ ยังมีข่าวอื่นอีกหรือไม่” ฉือฉางเหมยพยายามความคุมอารมณ์และน้ำเสียงของตน
“มีขอรับ จากการประเมินสถานการณ์คาดว่าเป้าหมายน่าจะบรรลุปราณขั้นผสานดินแล้ว พลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากเป็นเท่าตัว”
องครักษ์หวาดหวั่น เกรงว่าฉือฉางเหมยจะบันดาลโทสะฆ่าคนตาย จึงตอบกลับด้วยความระมัดระวัง “นอกจากนี้ ทราบมาว่า ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่เพราะพวกเราไม่ลงแรง แต่เพราะว่าศัตรูแข็งแกร่งเกินไป แม้พวกเราจะพยายามจนสุดความสามารถแล้วก็ยังทำไม่สำเร็จ”
ปั่ก!
แก้วชาลอยกระทบหัวองครักษ์อย่างแรงจนร่างของเขาซวนเซ มีเลือดไหลจากหน้าผาก
ไม่ใช่ฉือฉางเหมยลงมือ แต่เป็นบุตรหลานจากตระกูลใหญ่คนหนึ่งข่มโทสะไม่ไหว ตะคอกว่า “เพราะว่าศัตรูแข็งแกร่งเกินไปอย่างนั้นหรือ!? เหตุผลบ้าอะไรกัน”
“พอแล้ว”
ฉือฉางเหมยเอ่ยขึ้นสองคำ ชายที่ระบายโทสะเมื่อครู่แน่นิ่งไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
“ทัพหน้าบอกมาอย่างนี้จริงๆ หรือ” ฉือฉางเหมยถาม
องครักษ์รับรองด้วยชีวิตว่าเป็นความจริง “ผู้บัญชาการใหญ่ทัพหน้าคือตู้ซิงชวน ข้ารู้จักเขาดี ในเมื่อเขาพูดอย่างนี้แล้วก็ย่อมเป็นความจริง”
ฉือฉางเหมยนวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า “บอกตู้ซิงชวนว่าทำต่อไป รายงานครั้งหน้าข้าต้องการบันทึกจากเหยี่ยวสอดแนมทั้งหมด”
ตอนนี้ข้อมูลอาจจะไม่ใช่ความความจริง หากได้เห็นรายละเอียดกับตาถึงจะรู้ชัดว่าเป้าหมายแข็งแกร่งแค่ไหน
องครักษ์รับคำสั่งแล้วจากไป
บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ฉือฉางเหมยเม้มปากคล้ายกำลังคิดอะไร ใบหน้าคมสวยปกคลุมไปด้วยไอหมอกครึ้มที่มองไม่เห็น เหล่าผู้ช่วยที่มาจากตระกูลใหญ่ต่างมองหน้ากันไปมา ทนอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหว
“มันเรียกว่าพลิกผันอะไรกัน นี่มันล้มเหลวอีกครั้งแล้วชัดๆ” ใครบางคนพึมพำ
ตาคมของฉือฉางเหมยปราดมองจนคนผู้นั้นตัวแข็งทื่อ อึกอักว่า “ขะ…ข้าแค่บ่นไปอย่างนั้นเอง”
“แค่บ่นหรือ ข้าว่าพวกเจ้าก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร เก่งแต่บ่นนั่นแหละ” ฉือฉางเหมยเอ่ยเสียงเย็น
ประโยคนั้นทำเอาเหล่าผู้ช่วยทั้งหลายนิ่งเป็นหุ่น สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“อย่าลืมที่ข้าเคยพูดไว้ หากภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว พวกเจ้า…จะไม่ได้รับการยกโทษจากข้า”
ฉือฉางเหมยพูดพร้อมลุกขึ้นยืน เปิดประตูเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงเหล่าผู้ช่วยที่ยืนนิ่งงัน
…
ปราสาทรัตติกาล
“น้องซย่าจื้อ ข้าทำอะไรผิด เหตุใดเจ้าจึงจะฆ่าข้า”
เสียงหนึ่งถามขึ้นท่ามกลางความมืดมน
หากมองดีๆ แล้ว จะเห็นว่าที่ตรงนั้นมีเด็กชายอายุสิบกว่าปียืนอยู่ เขาอยู่ในชุดสีขาวราวหิมะ ริมฝีปากแดงสด ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวดุจดวงดาว หว่างคิ้วมีปานรูปดอกบัวสีม่วงเด่นชัดติดตัวมาตั้งแต่เกิด
แม้อายุจะยังน้อย แต่รอบกายของเขากลับมีแสงสีม่วงโอบล้อมปานทวยเทพ เด็กชายคนนี้คือผู้ครอบครองปราณดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง ฉือฉางเฟิง เพียงแต่ตอนนี้ที่ลำขอของเขามีรอยนิ้วมือสีแดงปรากฏอยู่ ตรงข้ามกันนั้นคือประตูที่ถูกปิดแน่น ฉือฉางเฟิงมองประตูบานนั้นด้วยความไม่สบอารมณ์นัก
ก่อนหน้านั้นทุกครั้งที่มาหาซย่าจื้อ แม้นางจะไม่สนใจแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธตัวเองเช่นนี้ มาครั้งนี้เขายังไม่ทันพูดอะไร ซย่าจื้อก็พุ่งเข้ามาบีบคอเสียแล้ว หากไม่ใช่ราชินีแห่งรัตติกาลมาได้ทันเวลา คอของเขาคงขาดไปแล้ว
ฉือฉางเฟิงมั่นใจว่าซย่าจื้อคิดจะฆ่าตัวเขาจริงๆ ทำให้เขาทั้งตกใจและโมโห รับไม่ได้กับเรื่องทั้งหมด
ยามนี้ราชินีแห่งรัตติกาลขังซย่าจื้อไว้ในห้อง แต่ฉือฉางเฟิงยังไม่ถอดใจ เขาไม่ได้จะแก้แค้น เพียงแต่อยากถามว่าเพราะอะไร
“ข้าไม่เพียงจะฆ่าเจ้า ข้ายังอยากจะฆ่าพี่สาวของเจ้าด้วย” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาดังกังวานออกมาจากในห้อง จากนั้นก็เงียบหายไป
“จะ เจ้าอยากฆ่าพี่สาวข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”
ฉือฉางเฟิงผงะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยด้วยโทสะ “ซย่าจื้อ เพราะอะไร มันต้องมีเหตุผลสิ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงสะท้อนของเขาลอยกลับมา
“ได้ เจ้าไม่บอกข้า เช่นนั้นข้าจะสืบเอาเอง หากรู้ต้นเหตุแล้วข้าจะจัดการมันทิ้งเสีย”
ฉือฉางเฟิงกัดฟัน หันหลังเดินออกไป
เช่นกันนั้นในปราสาทรัตติกาล ชายชราท่าทางใจดีนั่งอยู่ท่ามกลางห้องที่ว่างเปล่า ลูบจี้สีดำทรงคล้ายดาบโบราณขนาดประมาณสามชุ่น
มันคือสมบัติที่เขาพกติดตัวมาครึ่งชีวิต ร่วมรบเรียงใต้หล้า และพบปะกับยอมฝีมือมามากมาย
“เด็กตระกูลฉือนั่นกลับไปแล้ว” ทันใดนั้นเสียงหนักแน่นก็ดังขึ้น
ชายชรานิ่งสักพักแล้วยิ้มบาง “คุณหนูกลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาให้กับหลินสวินหรือขอรับ”
“ไม่ได้กลัว มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดอยู่แล้ว”
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปที่หอดูดาวหลวง เพื่อถามพวกเขาว่าถ้าคนของทางนั้นตุกติกนอกข้อตกลง ใครจะรับผิดชอบ” ชายชราว่าเสียงอ่อนโยน
“รบกวนแล้ว”
“ไม่รบกวนขอรับ คำนวณจากเวลาแล้ว หากหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ อีกไม่นานเขาก็คงมาถึงนครต้องห้าม ข้าจะใช้โอกาสนี้ออกไปสืบข่าวด้วย”
“เจ้ากลับมาแล้วเข้าไปดูซย่าจื้อด้วย ข้าว่านางรู้เรื่องอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่คิดจะฆ่าฉือฉางเฟิง”
ดวงตาฝ้าฟางของชายชราปรากฏความซับซ้อน “คงมีเพียงเรื่องเกี่ยวกับหลินสวินเท่านั้นที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้นี้”
ชายชราเก็บจี้หยกรูปดาบ ลุกออกไปจากห้อง
…
ริมแม่น้ำ
ชายสวมงอบหน้าตาอึมครึมไม่พูดจา เขาคือคนที่ฉือฉางเหมยเรียกว่าตู้ซิงชวน เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของภารกิจครั้งนี้
เขาได้รับคำสั่งจากฉือฉางเหมยให้จับตาดูต่อไป แต่ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว กลับไม่มีข่าวคราวของเป้าหมายแม้แต่น้อย แต่ตู้ซิงชวนมั่นใจว่าเป้าหมายยังอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้
พวกเขาจัดกำลังไว้ตลอดแนวแม่น้ำ หากเป้าหมายปรากฏตัวก็จะพบได้ในทันที จึงเป็นไปไม่ได้ที่เป้าหมายจะหนีรอดออกไป
‘ใกล้จะไม่ไหวแล้ว’ ตู้ซิงชวนรำพึงในใจ เจ็ดวันมานี้พวกเขาสูญเสียทรัพยากรเป็นจำนวนมาก เสบียงที่เหลืออยู่ก็ใกล้จะหมดลงแล้ว
การไม่พบตัวเป้าหมายทั้งๆ ที่ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว ทำให้ผู้ฝึกปราณทั้งหลายเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่สุข ความมุ่งมาดในการต่อสู้ลดลงเรื่อยๆ นี่ต่างหากที่น่ากลัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์มีแต่จะย่ำแย่ลง
’จะทำอย่างไรดี’ ตู้ซิงชวนคิดไม่ตก
311 ความเปลี่ยนแปลงของไข่มุกศักดิ์สิทธิ์
โดย
ProjectZyphon
เจ็ดวันมานี้ตู้ซิงชวนทำได้เพียงจัดกำลังตามตลอดแนวแม่น้ำเพื่อรอเวลา
หลินสวินฝึกปราณอยู่ใต้แม่น้ำมาตลอดเจ็ดวัน เขาบาดเจ็บหนักเพราะถูกลูกปืนใหญ่จากเรือรบวีรชนม่วงตามยิง แม้ไม่ได้โดนเข้าจังๆ แต่แรงพลังน่ากลัวที่สะเทือนไปโดยรอบนั้นก็ไม่ได้เบานัก
เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่ในถ้ำ รอบกายมีแสงสีฟ้าเขียวดั่งสีหยกรายล้อม หลังจากที่บรรลุปราณขั้นผสานดิน พลังวิญญาณทั้งกายของเขาก็เป็นพลังที่มาจากพลังการรวมผสานของดิน พลังวิญญาณที่เมื่อก่อนเป็นเพียงแสงลวงตา กลับเด่นชัดขึ้นมาคล้ายหินหยกบริสุทธิ์เนื้องาม
ฟู่
ฝูงปลาหลากสีแหวกว่ายไปมา เมื่อผ่านหน้าถ้ำก็เข้ามาใกล้หลินสวินอย่างชิดเชื้อ พวกมันรับรู้ได้ว่าในกายหลินสวินมีพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เป็นพลังธรรมชาติที่ให้ชีวิตแก่สรรพสิ่งในน้ำ
ไม่ใช่พลังจากกายของหลินสวิน แต่เป็นพลังของมุกนักบุญอมตะในนิมิตของเขา
หลายวันก่อนหลินสวินสัมผัสได้ว่ามุกนักบุญอมตะในนิมิตของเขามีกระแสพลังบางอย่างคล้ายกำลังจะตื่นขึ้นมา พลังที่เคลื่อนไหวออกมานี้ดึงดูดเอาพลังพิสุทธิ์จากมวลน้ำเข้าสู่ร่างกาย ผ่านเข้าไปถึงมุกนักบุญอมตะในนิมิตของเขา
ในที่สุดหลินสวินรู้ว่าเขาเข้าใจผิดมาตลอด มุกนักบุญวิญญาณจะตื่นขึ้นเมื่อมีการเติมพลัง หาใช่การฟื้นฟูสภาพร่างกายของตัวเอง และพลังที่มันต้องการอยู่ในแหล่งน้ำนั่นเอง
เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ เขาจึงพบว่าระหว่างที่ตัวเองฝึกฝน มุกนักบุญอมตะในนิมิตก็กำลังฝึกฝนด้วยวิธีพิเศษเช่นกัน พลังที่มันดูดซับเป็นพลังลึกลับจากกระแสน้ำ แม้ในท้ายที่สุดมุกนักบุญอมตะจะดึงดูดพลังเหล่านั้นเข้าไป แต่มันก็ผสานและชำระล้างผิวกาย เลือดเนื้อ เอ็นกระดู อวัยวะภายใน ระบบไหลเวียน และทวารทั้งหลายขณะที่ไหลผ่านร่างกายของหลินสวินด้วย ทำให้บาดแผลของเขาได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
บาดแผลที่เดิมทีต้องใช้เวลานานในการรักษา เพียงเจ็ดวันกลับหายดีดังเดิม และพลังกายก็ชัดเจนว่าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากพลังกระแสน้ำลึกลับนั่น
เหตุที่หลินสวินไม่ได้ด่วนจากไปไหน เพราะต้องการทดลองว่าจะใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูพลังของมุกนักบุญอมตะได้หรือไม่ แต่มาวันนี้ กระแสลึกลับของมุกนักบุญวิอมตะกลับหลับไหลหายไปอีกครั้ง
หลินสวินแปลกใจ ครู่ใหญ่จึงคิดได้ว่า คงเพราะพลังกระแสน้ำในแม่น้ำแห่งนี้ธรรมดาเกินไป ไม่เพียงพอต่อความต้องการของมุกนักบุญอมตะกระมัง
ช่างเถิด วันหลังค่อยหาโอกาสศึกษาความลึกลับของมุกนักบุญอมตะนี้ก็ไม่สาย
หลินสวินคิดเช่นนั้นแล้วจึงลืมตาขึ้นมาจากการทำสมาธิ นัยน์ตาสีดำใสคู่นั้นมีแววน่ากลัววาดผ่านวาบหนึ่ง ฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่รอบกายเขาตื่นฮือกระจัดกระจายหนี
“ผ่านไปหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าพวกศัตรูจะไปหรือยัง”
หลินสวินออกจากถ้ำ ลัดเลาะไปตามกระแสน้ำกว่าสิบลี้จึง
…
บริเวณเทือกเขาสูงชันมีเสียงสัตว์ป่าคำรามร้องออกมาเป็นระยะ แม่น้ำแห่งนี้ไหลเชี่ยวลงมาตามธารน้ำแข็ง เสียงกระทบมุมเขาซู่ซ่าดังแว่วออกไปไกลแลดูอันตราย
ที่ริมแม่น้ำ ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนเฝ้าอยู่ด้วยท่าทีเกียจคร้านไม่มีชีวิตชีวา
“บ้าเอ๊ย ไม่มียาเสริมกำลังเช่นนี้ อย่าว่าแต่ฝึกฝนเลย เกรงว่าแม้แต่พลังปราณก็จะถดถอยไปด้วย”
“รอมาเจ็ดวันแล้ว แม้แต่ขนสักเส้นของเป้าหมายก็ยังไม่เจอ ถ้าศัตรูไม่ออกมาพวกเราต้องเฝ้าอยู่ตรงนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือ”
“เหอะๆ เลิกพูดเรื่องพวกนี้สักที น่าเบื่อ ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง มีบันทึกว่าแม่น้ำแห่งนี้ชื่อว่าเกล็ดน้ำค้างเงิน ประมาณเจ็ดร้อยปีก่อน ใต้แม่น้ำเกล็ดน้ำค้างเงินนี้เคยเกิดคลื่นน้ำวนที่มีพลังทำลายล้าง ลือกันว่าหากใครได้เข้าไปส่วนลึกของน้ำวนได้ ก็จะพบกับสมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายใน”
“จริงหรือ”
“หากมีเรื่องแบบนี้ ป่านนี้คงดึงดูดผู้ฝึกตนมามากมาย เหตุใดพวกข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเล่า”
“นั่นสิ ไร้สาระจริงๆ ”
“พวกเจ้าไม่รู้อะไร พลังของคลื่นน้ำวนนั้นน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเข้าใกล้ก็ยังถูกมันพัดวนจนแหลกละเอียด แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าเข้ามาสำรวจเล่า”
“เหอะๆ อย่าโม้น่า เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า ในจักรวรรดิมีเรื่องเล่าไร้สาระเช่นนี้ตั้งมากมาย ไม่เห็นใครโชคดีเช่นนั้นเลย”
เหล่าผู้ฝึกปราณนั่งสนทนากันด้วยความผ่อนคลาย ไม่มีใครสังเกตว่ามีหน้าไม้ลอยออกมาจากกลางแม่น้ำ
ฉึก!
เสียงของหน้าไม้ถูกเสียงกระแสน้ำเชี่ยวกรากกลบจนมิด หากไม่ได้ตั้งใจฟังโดยละเอียดก็ยากจะแยกออก
“ข้าน่ะหรือโม้ รับประกันด้วยชีวิตเลยว่าเรื่องเล่านี้เป็นความจริง” ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งยืดอกสาบาน ฉับพลันคอเขาก็กระจุยแตก เลือดทะลักล้มตึงลงไป
คนที่เหลือแตกฮือร้องตกใจ
พรวด!
ร่างของหลินสวินพุ่งขึ้นมาจากน้ำ เงาร่างสีดำถือดาบเวทเรืองแสงเปิดศึกสังหาร ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ บนพื้นก็มีศพนอนอาบเลือดแน่นิ่งอยู่สิบกว่าคน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลินสวินกลับไม่ได้หยุดพัก รีบเคลื่อนตัวไปอีกด้านหนึ่งของยอดเขา
ฉึก!
ปลายเท้าของเขาแตะบนโขดหินเบาๆ ดีดร่างขึ้นไปไกลสูงถึงสิบจั้ง ดาบเวทเรืองแสงในมือหายไป แทนที่ด้วยธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่ทำจากโครงกระดูกสีขาวขนาดใหญ่
ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มเกี่ยวสายธนูสีแดงปานเลือด สายตาเล็งไปที่ตำแหน่งหนึ่งบนยอดเขา
“แกว๊ก”
เสียงหนึ่งร้องขึ้นก่อน ตามมาด้วยเงาร่างสีดำของนกบินขึ้นบนฟ้าสูง ลูกธนูวิญญาณดอกหนึ่งปักเข้าที่ลำคอของมันจนร่วงหล่นบนพื้น เหยี่ยวสอดแนมนั่นเอง
นี่คือเป้าหมายหลักของเขาในครั้งนี้ การสังหารผู้ฝึกปราณสิบกว่านายเมื่อครู่เป็นเพียงของแถมเท่านั้น
หลินสวินหักคอเหยี่ยวสอดแนมทันทีที่มันส่งเสียงร้อง ใช้มีดกรีดหน้าอกควักไข่มุกที่ถูกย้อมเลือดสีแดงออกมา
วิ้ง
เมื่อเช็ดเศษเลือดบนไข่มุกออก ภาพแสงวาบหนึ่งพลันสะท้อนออกมา ภาพแสงนั้นกว้างขวางจากมุมมองบนฟ้า สามารถเห็นพื้นที่ข้างล่างทั้งภูเขาและแม่น้ำอย่างชัดเจน
ไม่นานหลินสวินถึงเห็นภาพริมแม่น้ำ มีกลุ่มผู้ฝึกตนเฝ้าอยู่หนาแน่นหลายจุด แทบไม่มีโอกาสให้เขาหลบหนี ในที่ห่างไกลนั้นยังมีเรือรบวีรชนม่วงบินวนจับตาดูสถานการณ์จากบนฟ้า
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าบนผืนฟ้าไม่ได้มีเพียงเรือรบวีรชนม่วง แต่ยังมีเหยี่ยวสอดแนมอีกหลายตัว พวกมันถูกจัดให้เฝ้าอยู่ตามที่ต่างๆ หากเขาปรากฏตัวก็คงถูกจับได้ในทันที สุดท้ายก่อนภาพจะตัดไป ในที่ไกลออกไปนั้นมีเหยี่ยวสอดแนมตัวหนึ่งกำลังบินวนอยู่ จากนั้นแสงภาพก็หายวับไป
“มีเหยี่ยวตัวหนึ่งจับสังเกตข้าได้ในตอนที่ยิงนกตัวนี้”
หลินสวินคร่ำครวญกับตัวเองก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหว เขาค้นศพผู้ฝึกปราณทั้งหมดแล้วกระโดดหายไปในแม่น้ำอีกครั้ง
ฮูม
หนึ่งเค่อผ่านไป เรือรบวีรชนม่วงก็บินมาถึงบริเวณนี้ ปืนใหญ่สลักวิญญาณมีแสงของรอยสลักวิญญาณส่องประกายเตรียมพร้อมโจมตี กลุ่มผู้ฝึกปราณออกค้นหาบริเวณโดยรอบนั้น แต่ไม่ว่าจะค้นอย่างไร ก็ไม่พบร่องรอยของเป้าหมาย สุดท้ายพวกเขาจึงหันไปมองทางแม่น้ำ ลงความเห็นเช่นเดียวกันว่าเป้าหมายดำลงไปในน้ำอีกแล้ว
“บัดซบ!”
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
“แต่ว่า เขาหลบอยู่ใต้น้ำเช่นนี้ แล้วเราจะทำอะไรเขาได้” เสียงก่นด่าดังขึ้นด้วยทำอะไรไม่ได้ สีหน้าคล้ำเขียว โมโหแทบเสียสติ
ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ ตู้ซิงชวนได้ยินข่าวและตามมา เมื่อทราบเหตุการณ์ทุกอย่างแล้ว เขาโกรธเลือดแทบกระอัก หน้าตาถมึงทึงทีเดียว
“หัวหน้าขอรับ ตรงนี้มีศพของเหยี่ยวสอดแนมอยู่ ไข่มุกบันทึกภาพถูกควักออกไปแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด เป้าหมายน่าจะรู้แผนการณ์ทั้งหมดของเราแล้ว” เสี่ยวมู่เดินถือร่างเหยี่ยวสอดแนมเข้ามา
ได้ยินดังนั้นสมองของตู้ซิงชวนหยุดทำงาน อารมณ์แปรปรวนอย่างหนัก
จัดการยากเกินไปแล้ว!
ครั้งนี้เป้าหมายมีแม่น้ำเป็นเกราะกำบัง เดิมทีเขาไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขายังรู้ถึงแผนการณ์ทุกอย่างของฝั่งพวกเขาอีก เช่นนี้เขาย่อมสามารถหาโอกาสลอบโจมตีพวกเขาได้ตลอดเวลา
หากไม่เปลี่ยนแผน กำลังที่เขาจัดไว้ต้องโดนเป้าหมายถล่มยับแน่นอน
312 โจมตี
โดย
ProjectZyphon
ยิ่งคิดตู้ซิงชวนก็ยิ่งสลดใจ หากยืมแม่น้ำเป็นเกราะกำบังแล้ว ก็คงใช้การเรือรบวีนชนม่วงไม่ได้ หมดตัวช่วยอย่างดีนี้ไปเช่นนี้ เหลือเพียงพลังจากผู้ฝึกปราณพวกเขา ทว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของเป้าหมายเอาเสียเลย
อย่าลืมว่าหลายวันก่อนผู้ฝึกปราณจำนวนมากถูกเป้าหมายสังหารจนแตกพ่าย สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้เลย รวมกับหลายวันมานี้พวกเขาสูญเสียทรัพยากรไปมาก ทำให้ความมุ่งมาดในการต่อสู้ของหลายคนลดทอนลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเอาอะไรไปสู้กับเป้าหมายได้
ตู้ซิงชวนกระทั่งมีความคิดว่า แม้นปรมาจารย์วางแผนการศึกอายุน้อยอย่างสวี่เชียนจิ้งมาที่นี่ ก็เกรงว่าจะไม่มีวิธีพลิกสถานการณ์เช่นกัน
“หัวหน้าขอรับ มีรายงานมาว่าเป้าหมายซุ่มโจมตีจุดที่ห่างจากนี้ไปสามสิบเจ็ดลี้ คนของเราทั้งสิบเก้าคนคนไม่มีใครรอดชีวิตเลย”
เสียงตะโกนร้องดังฝันร้ายแว่วมาจากที่ไกล ทำให้ตู้ซิงชวน เสี่ยวมู่ และผู้ฝึกตนทั้งหลายล้วนหน้าถอดสี เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร เป้าหมายเริ่มลงมืออีกแล้ว
“บัดซบ!”
“ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้นำเรือรบวีรชนม่วงออกมาสังหารมันเสีย”
“เหลวไหล ไม่ได้ยินหรือว่าเป้าหมายซุ่มโจมตี ใครจะรู้ว่าเขาจะปรากฏตัวอยู่ที่ใด และลอบโจมตีด้วยวิธีไหน เรือรบวีรชนม่วงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้ในทันที”
“แล้วจะทำอย่างไร”
หลายคนก่นด่าระบายความร้อนรนหวาดกลัวในใจ ทำให้บรรยากาศจอแจวุ่นวาย
ตู้ซิงชวนในยามนี้แน่ใจในสิ่งที่ตนคาดคะเนไว้ เป้าหมายวางแผนใช้วิธีซุ่มโจมตีโดยหยิบยืมแม่น้ำเป็นเกราะกำบังโจมตีกองกำลังที่พวกเขาจัดวางตามที่ต่างๆ
คิดได้เช่นนี้เขาก็กายเย็นวาบ ก่อนจะตะโกนขึ้นมาสุดเสียง “หุบปากให้หมด! รีบรายงานกองกำลังที่เหลือให้มารวมตัวกันที่นี่โดยด่วน!”
ผู้ฝึกปราณหลายคนแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง
“หัวหน้าขอรับ ทำเช่นนี้หากเป้าหมายโผล่ขึ้นจากน้ำก็สามารถหลบหนีออกไปได้โดยง่าย” เสี่ยวมู่เอ่ยเตือน “จะทำอย่างนี้จริงๆ หรือขอรับ”
ตู้ซิงชวนคร่ำเคร่ง ว่าเสียงขื่น “ให้เรือรบวีรชนม่วงกับเหยี่ยวสอดแนมจับตาดูการเคลื่อนไหวของเป้าหมายไปก่อน พวกเราสูญเสียกำลังคนมากเกินไป จะปล่อยให้สถานการณ์ย่ำแย่อย่างนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้”
เสี่ยวมู่ถอนหายใจไม่พูดอะไรอีก
คืนนั้น กองกำลังที่จัดวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ ก็ทยอยมารวมตัวกับตู้ซิงชวน แต่เมื่อนับจำนวนที่ชัดเจนแล้วตู้ซิงชวนแทบลมจับ กระอักเลือดออกมา
สี่ร้อยสิบเก้าคน!
จากเมืองหมอกอำพรางมาจนถึงตอนนี้ รวมทั้งคนที่อยู่บนเรือรบวีรชนม่วงแล้ว พวกเขาเหลือเพียงสี่ร้อยสิบเก้าคน!
“ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือทั้งสิ้นสามพันคน เรือรบวีรชนม่วงหกลำ อาวุธและทรัพยากรจำนวนมหาศาล ตอนนี้กลับเหลือเพียงเท่านี้”
น้ำเสียงของตู้ซิงชวนทั้งขมขื่นและเศร้าสลด “และสาเหตุทั้งหมดเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ใครจะอยากเชื่อ ใครจะจินตนาการได้”
เสี่ยวมู่เองก็สลดใจไร้ซึ่งคำพูดเช่นเดียวกัน ผู้ฝึกปราณคนอื่นกำลังใจหดหาย พากันตื่นตระหนก พวกเขากลัวแล้วจริงๆ ในความคิดของพวกเขา หลินสวินคือสัตว์ร้ายที่ไม่มีทางเอาชนะได้ ทำให้พวกเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงและหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในยามนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเขาสู้รบกับหลินสวิน เกรงว่าหากหลินสวินปรากฎกายขึ้นมา พวกเขาก็คงกลัวจนแตกฮือวิ่งหนี
เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้สายตาของตู้ซิงชวน ทำเอาเขาแน่นหน้าอกหายใจไม่คล่องคอ
จะทำอย่างไรดี
ความจริงตู้ซิงชวนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของฉือฉางเหมย เขากลับลังเลขึ้นมา
จะถอยดีหรือไม่
…
กลางดึก หลินสวินขึ้นมาจากน้ำเงียบๆ ร่างกายหายวับไปที่ไกล
ไม่นานก็ปรากฏเห็นเรือรบวีรชนม่วงขนาดยาวกว่าร้อยจั้งจอดนิ่งอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง มองไปราวกับอสูรร้ายกำลังหลับใหล
“โอกาสอยู่ข้างหน้าแล้ว”
หลินสวินสูดหายใจลึกท่ามกลางความมืด เขารอโอกาสนี้มานาน รอเวลาที่เรือรบวีรชนม่วงจะลงจอดบนพื้น
นี่ไม่ใช่การกระทำไร้ซึ่งการตรึกตรอง หลินสวินรู้ดีว่าเรือรบวีรชนม่วงบินต่อเนื่องได้นานสุดสี่ชั่วโมง และต้องจอดพักเพื่อเปลี่ยนผลึกวิญญาณระดับสูงในเตาหลอมวิญญาณ หากไม่ทำเช่นนี้แล้ว เรือรบจะสูญเสียพลังจนร่วงหล่นลงมาเหมือนนกไร้ปีก
สวบ
หลินสวินกระโดดขึ้นไปบนท้ายเรือ เขาดั่งวิญญาณที่เดินเหินท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับเรือรบวีรชนม่วงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนสร้างมันมากับมือ
พลันร่างหนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากมุม ยังไม่ทันตั้งตัวลำคอก็ถูกมือหนึ่งหัก ร่างอ่อนย้วยลงกับพื้น เมื่อจัดการเรียบร้อยหลินสวินเคลื่อนไหวไปอีกสิบกว่าลี้ หยุดลงที่หน้าประตูห้องบังคับเรือ
เขานำดาบเวทเรืองแสงออกมาแทงบานประตูกว่าสิบครั้ง ก่อนจะมีเสียงแกรกดังขึ้น ในที่สุดประตูก็เปิดออก
นี่คือกลอย่างหนึ่ง หากใช้แต่เพียงแรงกระแทก แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณก็ไม่มีทางเปิดมันออกได้โดยง่าย แต่หากทราบวิธีไขกลแล้ว การจะเปิดประตูออกย่อมง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ
สวบ
หลินสวินหายตัววับเข้าไปข้างใน ประตูเรือปิดอีกครั้ง
ภายในห้องบังคับมืดมิดไม่มีผู้ฝึกปราณเฝ้าอยู่ หลินสวินพบว่าแผ่นจานควบคุมกระบวนวิญญาณเตรียมพร้อมสั่งการอยู่แล้ว ริมฝีปากไม่วายกระตุกยิ้ม ผู้ฝึกปราณพวกนี้โง่เขลาจริงๆ
เดิมทีที่เขาออกแบบเรือลำนี้ สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเมื่อเรือรบวีรชนม่วงลงจอด คือใช้วิธีการพิเศษปิดตายแผ่นจานควบคุมกระบวนวิญญาณ เช่นนี้แม้ศัตรูจะเข้ามาในห้องบังคับการ ก็ไม่มีทางขับเรือรบวีรชนม่วงออกไปได้ ทั้งนี้ยังสามารถป้องกันการใช้งานเรือโดยพละการด้วย
ชัดเจนว่าผู้ฝึกปราณที่ควบคุมเรือรบวีรชนม่วงละเลยรายละเอียดข้อนี้ไป
หรือบางทีพวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีใครเปิดประตูเข้าห้องบังคับเรือได้โดยง่าย
หลินสวินไม่มัวไตร่ตรอง กำดาบเวทเรืองแสงในมือแน่นด้วยสายตาเย็นชา เปิดประตูด้านหนึ่งของห้องบังคับการ
ประตูนี้คือทางลงไปท้องเรือ หากหลินสวินคาดการณ์ไม่ผิด เหล่าผู้ฝึกตนน่าจะอยู่ในห้องบังคับการ
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลินสวินกลับมาจากห้องบังคับการอย่างปลอดภัย ใต้ท้องเรือนั้นมีกองเลือดและศพนอนเกลื่อนอยู่ตามพื้น
“ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ข้าจะเป็นฝ่ายโจมตีเสียที”
หลินสวินนั่งลงตรงหน้าแผ่นจานควบคุมกระบวนวิญญาณ ดวงตาสีดำล้ำลึกเย็นเยือก
นี่คือเรือรบวีรชนม่วงที่เขาออกแบบมากับมือ แต่กลับถูกศัตรูนำมาใช้จัดการตัวเขาจนเขาเกือบสังเวยชีวิตให้มัน ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะใช้ผลงานของตัวเองโจมตีพวกมันกลับบ้างแล้ว
…
“เสี่ยวมู่ เราถอยทัพกลับดีกว่ากระมัง”
ตู้ซิงชวนเอ่ยขึ้นหลังจากในใจคิดไม่ตกอยู่สองนาน เมื่อพูดออกไปแล้วก็โล่งอก คล้ายได้โยนหินหนักอึ้งในใจทิ้ง
“หัวหน้า พวกเรายังมีเรือรบวีรชนม่วงอีกตั้งห้าลำนะขอรับ”
เสี่ยวมู่ตกใจ ไม่คิดว่าตู้ซิงชวนจะคิดถอยเวลานี้ มันจะแตกต่างกับการยอมแพ้อย่างไร แล้วหากยอมแพ้ก็เท่ากับว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวจริงๆ
หากฉือฉางเหมยทราบ นางย่อมไม่ปล่อยตู้ซิงชวนเอาไว้แน่
“ไม่ไหวแล้ว หลายวันนี้เรือรบวีรชนม่วงใช้ผลึกวิญญาณระดับสูงไปมหาศาล อีกไม่นานก็จะไม่สามารถนำออกมาใช้การได้อีก แล้วถ้าตอนนั้นเป้าหมายปรากฏตัวขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ตู้ซิงชวนว่าเสียงต่ำ “ที่สำคัญ ในเมื่อเป้าหมายรู้ว่าเรามีเรือรบวีรชนม่วง เขาจะโผล่ออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร”
“หัวหน้า…” เสี่ยวมู่คล้ายจะบอกอะไร ทว่าตู้ซิงชวนยกมือขึ้นห้าม
“ตกลงตามนี้แหละ ตอนนี้เราก็แพ้แล้ว หากยังดึงดันต่อไปผลลัพธ์ก็จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”
เสี่ยวมู่ถอนหายใจ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ทำได้เพียงรับปาก
ฮูม
หลังจากที่ตู้ซิงชวนออกคำสั่งไปแล้ว พลันบนอากาศมีเสียงสนั่นดังขึ้น ทุกคนมองขึ้นไปด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเรือรบวีรชนม่วงลอยส่องแสงแสบตาอยู่ท่ามกลางความมืด
เป้าหมายปรากฏตัวแล้วหรือ
ตู้ซิงชวน เสี่ยวมู่ และคนอื่นๆ พากันผงะ
ไม่นานเรือรบวีรชนม่วงอีกลำก็ทะยานขึ้นฟ้าตาม
“หัวหน้าขอรับ ดูเหมือนจะเจอร่องรอยของเป้าหมายแล้ว หากถอยทัพตอนนี้คงไม่ดีนัก” เสี่ยวมู่ว่า
“งั้นก็รออีกหน่อยแล้วกัน” ตู้ซิงชวนเปลี่ยนคำสั่งแล้วถอนหายใจ
เขารู้ดีว่าการทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ ใช้ปืนใหญ่สลักวิญญาณแล้วอย่างไร หากเป้าหมายกระโดดลงน้ำไป ทุกอย่างก็เท่ากับสูญเปล่า
“หือ? หัวหน้าขอรับท่านดูสิ เรือลำนั้นใช้ปืนใหญ่สลักวิญญาณ ต้องกำหนดที่อยู่ของเป้าหมายได้แล้วแน่ๆ” เสี่ยวมู่ยกมือชี้ ร้องดีใจ
ตู้ซิงชวนประหลาดใจ ไม่กล้าเชื่อว่าจะเป็นความจริง เป้าหมายน่ะหรือจะโง่เขลาปรากฏตัวต่อหน้าเรือรบวีรชนม่วง
ผู้ฝึกปราณโดยรอบร้องโห่ อารมณ์หวาดกลัว กริ่งเกรง หดหู่ กดดันที่สั่งสมมาหลายวันปะทุขึ้น พวกเขาอยากให้เรือรบวีรชนม่วงยิงสังหารเป้าหมายใจจะขาดแล้ว
ฮูม
เรือรบวีรชนม่วงลำนั้นเริ่มโจมตี แสงแวววาวสว่างจ้าพุ่งฝ่าความมืดลอยออกไปในอากาศ เสียงสนั่นสะท้านผืนฟ้า
เพียงแต่ว่า…ทิศทางที่ลำแสงพุ่งไปนั้นกลับเป็นเรือรบวีรชนม่วงอีกลำที่อยู่บนอากาศ พาให้ทุกคนในเหตุการณ์ตะลึงงัน ความทะนง ความคาดหวัง และความตื่นเต้นในจิตใจพลันมลายหาย ได้แต่อ้าปากค้าง
นะ นี่…นี่มันอะไรกัน
313 ควบคุมได้อย่างไร้ที่ติ
โดย
ProjectZyphon
เรือรบวีรชนม่วงอีกลำก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงไหวตัวไม่ทัน
บึ้ม!
เสียงกัมปนาทดังกระหึ่ม เรือรบลำนั้นพรุนเป็นรู เขม่าควันลอยโขมงร่วงหล่นลงกับพื้น กองไฟลามไหม้อยู่ตรงหน้า ทำเอาตู้ซิงชวน เสี่ยวมู่และผู้ฝึกปราณคนอื่นตะลึงตาค้าง
ทำร้ายพวกของตัวเองก็ได้หรือ เล่นอะไรกันอยู่เนี่ย
โครม! เรือรบวีรชนม่วงลำนั้นร่วงลงถึงพื้น เกิดเสียงระเบิดตามมาด้วยควันโขมงดำ ไม่ต้องสงสัย ผู้ฝึกปราณบนเรือนั้นไม่มีชีวิตรอดแน่แล้ว
เสียงระเบิดโครมครามทำให้พวกตู้ซิงชวนตื่นจากภวังค์ กระวีกระวาดตกใจ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
“เกิดอะไรขึ้น”
“บัดซบ! นั่นเรือรบวีรชนม่วงเชียวนะ หนึ่งลำมีมูลค่ากว่าแสนเหรียญทองเสียอีก!”
ยามนี้แม้แต่ตู้ซิงชวนก็งงงัน ไม่เข้าใจเรื่องราว
พลันเขาก็เห็นเรือรบวีรชนม่วงอีกลำบินมาจากที่ไกล ชัดเจนว่ารับรู้ถึงเหตุการณ์วุ่นวายตรงนี้แล้ว
ฉึก
เรือรบวีรชนสีม่วงลำแรกก็เตรียมลูกปืนใหญ่สลักวิญญาณอีกครั้ง แสงแวววาวสะท้อนออกมาจากรอยสลักวิญญาณแสบสะท้านตา
แย่แล้ว!
ตู้ซิงชวนตระหนก
บึ้ม!
ลูกปืนใหญ่พุ่งออกไปอีกครั้ง เรือรบวีรชนม่วงที่มาใหม่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงถูกยิงร่วงบนพื้นดิน
“หัวหน้าขอรับ ข้าว่าเหตุการณ์มันแปลกๆ” เสี่ยวมู่ตะโกนบอก
“ไม่ต้องเดาหรอก เรือรบวีรชนม่วงลำนั้นถูกเป้าหมายโจรกรรมไปแล้ว” ตู้ซิงชวนหน้าครึ้มเขียว ถ้าเขายังมองสถานการณ์ไม่ออกก็โง่เต็มทนแล้ว
“อะไรนะ ถูกเป้าหมายโจรกรรมแล้ว”
“บ้าเอ๊ย! นั่นมันเรือรบวีรชนม่วงที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณยังเปิดประตูเรือไม่ออก ทำไมถึงถูกเป้าหมายโจรกรรมไปได้”
“แล้วการควบคุมเรือรบวีรชนม่วงต้องมีเคล็ดวิชาลับด้วย เป้าหมายรู้วิธีควบคุมเรือรบได้อย่างไร”
เสียงร้องตกใจดังขึ้น ถูกความจริงที่พบเห็นตีแสกหน้า
สำหรับพวกเขาแล้ว เรือรบวีรชนม่วงคืออาวุธสังหารที่พึ่งพาได้ที่สุด แต่ตอนนี้เรือรบสองลำถูกทำลาย อีกหนึ่งลำถูกเป้าหมายควบคุม ใครจะรับได้กันเล่า
“หัวหน้าขอรับ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี” เสี่ยวมู่ร้อนรน
ตู้ซิงชวนยืนซวนเซ ด้วยรับไม่ไหวกับเรื่องราวที่ถาโถม ปากสั่นระริก “จบแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้…น่าจะถอยไปตั้งนานแล้ว จะได้ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…”
“หัวหน้าขอรับ ท่านเป็นอะไรไป” เสี่ยวมู่ร้อง
ตู้ซิงชวนกระอักเลือดออกมา หน้าขาวซีด สองตาไร้แวว
“หนี หนีไป ถ้าไม่ไปเราจะตายกันหมด” ตู้ซิงชวนอ่อนแรงคล้ายสูญเสียพลังทั้งหมด คิดดูว่าเขาถูกเรื่องราวถาโถมหนักหนาเพียงใด
“หนี! รีบหนีไป!” เสี่ยวมู่ตะโกนก้อง
ผู้ฝึกปราณที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่นานแล้วได้ยินเช่นนั้นจึงวิ่งกันหางจุกก้น เสี่ยวมู่แบกร่างของตู้ซิงชวนวิ่งหนีท่ามกลางความมืด เขารู้ว่าภารกิจครั้งนี้จบเห่ไม่มีทางกลับลำแล้ว ในตอนนี้อย่างอื่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ชีวิตสำคัญที่สุด
…
บนท้องฟ้า
หลินสวินควบคุมเรือรบวีรชนม่วงอย่างคล่องแคล่ว การควบคุมแผ่นจานควบคุมกระบวนวิญญาณสำหรับเขานั้นไร้ซึ่งความลำบาก ช่วยไม่ได้ ใครให้เขาเป็นคนออกแบบมันมากับมือกันเล่า
พูดได้ว่าทุกตารางพื้นที่ ทุกรอยสลักวิญญาณหรือแม้กระทั่งเตาหลอมวิญญาณบนเรือรบวีรชนม่วงนี้หลินสวินก็เป็นคนสร้างมันขึ้นมา เขาจึงควบคุมมันได้อย่างคุ้นเคยจนผู้ฝึกปราณคนอื่นอ้าปากค้าง หลินสวินควบคุมเรือรบวีรชนม่วงโผบินไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานสายตาก็กำหนดเป้าหมายจุดใหม่ได้
เรือรบวีรชนม่วงสองลำบินขนาบกันมาท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติได้อย่างชัดเจน พวกมันมุ่งเข้ามาทางเรือรบวีรชนม่วงที่เขาควบคุมอยู่ จากนั้นก็เริ่มโจมตี
ฮูม
พลันกลางอากาศมีลูกไฟพุ่งลอยออกมาท่ามกลางความมืด ทั่วบริเวณสว่างจ้าไม่ต่างจากยามกลางวัน
หลินสวินบังคับเรือรบวีรชนม่วงหลบลูกปืนด้วยความนิ่งสงบ แม้เขาจะเพิ่งเคยขับเรือรบในยามต่อสู้เป็นครั้งแรก แต่ก็ไร้ซึ่งความกลัว เพราะเขาเข้าใจการทำงานของเรือรบวีรชนม่วงอย่างดีและควบคุมมันได้อย่างไร้ที่ติ
ฟิ้ว
หลินสวินขับเรือรบวีรชนม่วงหลบหลีกการโจมตีได้คล่องแคล่วดุจผีเสื้อโผบิน คล้ายกับเรือรบวีรชนม่วงมีชีวิต จนผู้ฝึกปราณบนเรือรบวีรชนม่วงอีกสองลำประหลาดใจ เบิกตาโพลง
ใช่แล้ว พวกเขาเพิ่งเคยเห็นการควบคุมเรือรบวีรชนม่วงได้อย่างไร้ที่ติถึงเพียงนี้ เปรียบกันแล้ว เรือรบที่พวกเขาควบคุมนั้นช่างหยาบกระด้างเหลือเกิน
“เร็วเข้า เปิดใช้ไฟทั้งหมด!”
“บ้าเอ๊ย! ใครเป็นคนขับเรือรบวีรชนลำนั้นกัน”
ศัตรูในเรือรบวีรชนม่วงทั้งสองลำก่นด่า เพราะตะลึงกับการควบคุมเรือรบอย่างคล่องแคล่วของหลินสวิน
ฮูม
เรือรบที่อยู่บนฟ้ายิ่งใหญ่สง่างาม แสงลูกปืนใหญ่ลอยคล้ายดาวตกอยู่บนอากาศสะท้อนบนผืนภูเขาและแม่น้ำ
บนภาคพื้น ภูเขาและก้อนหินแตกละเอียด ผืนดินถล่มย่อยยับ ไม่ต่างไปจากการสู้กันระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับหาสมุทรวิญญาณแม้แต่น้อย
ที่น่าแปลกก็คือ หลินสวินเอาแต่บังคับเรือรบหลบหลีกไม่ได้โจมตีกลับสักครั้ง คล้ายกำลังรอโอกาส
ผู้ฝึกปราณบนเรือรบวีรชนม่วงสองลำต่างสะท้าน ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับงูพิษที่เอาแต่หลบหลีกแล้วโอกาสรอฉกฉวยชีวิตพวกเขา
ไม่ว่าเรือรบวีรชนม่วงทั้งสองลำจะร่วมมือกันอย่างไร สุดท้ายก็ไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายได้เลย กลับกันการโจมตีไม่หยุดพักทำให้เรือรบของพวกเขาสูญเสียผลึกวิญญาณชั้นสูงไปเป็นจำนวนมาก
ไม่นาน ผู้ฝึกปราณบนเรือรบวีรชนม่วงลำหนึ่งตะโกนขึ้น “แย่แล้ว เหลือผลึกวิญญาณระดับสูงเพียงก้อนเดียว พวกเราต้องรีบลงจอด ไม่อย่างนั้นเรือรบจะตกลงไปเพราะสูญเสียการควบคุม”
ประโยคนั้นทำเอาผู้ฝึกปราณคนอื่นตัวแข็ง ไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็สำคัญกว่าสิ่งใด เหล่าผู้ฝึกปราณบังคับเรือรบวีรชนม่วงออกไปไกล เตรียมการลงจอด
ขณะนั้น เรือรบวีรชนม่วงที่หลินสวินขับอยู่โจมตีอย่างไม่ลังเล เหมือนกับรอเวลานี้มานานแล้ว
บึ้ม!
ลูกปืนไฟยาวดุจประทัดพุ่งรัวออกมาท่ามกลางอากาศ ยิงไปที่เรือรบวีรชนม่วงที่เตรียมจะหนี ทำให้เรือลำนั้นระเบิดกลางอากาศร่วงลงบนพื้น
เรือรบวีรชนม่วงอีกลำหวาดหวั่น เก็บลูกไฟหักหัวเรือบินหนีไปอีกด้าน
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ในการสู้แบบตัวต่อตัว พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเป้าหมายเลย ต้องหนีเท่านั้นถึงจะมีโอกาสมีชีวิตรอด
กระนั้นพวกเขาประเมินความสามารถของหลินสวินต่ำเกินไป ขณะที่ยิงเรือรบวีรชนม่วงลำนั้น เด็กหนุ่มก็บังคับเรือไล่ตามตามเรืออีกลำไป ก่อนจพปล่อยลูกปืนใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ ทำลายเรือรบวีรชนม่วงลำสุดท้าย
แสงไฟลุกโชนบนฟ้าและควันโขมงดำเหล่านั้นทำให้หลินสวินนึกถึงลั่วลั่ว แม่ของลั่วลั่วที่เรียบร้อยจิตใจดี และรถรับส่งรอยสลักวิญญาณคันนั้นที่ถูกเรือรบวีรชนม่วงทำลาย
“แค้นของพวกเจ้า ข้าชำระคืนแล้ว พักผ่อนอย่างสงบเถิด”
หลินสวินรำพึงในใจด้วยท่าทีสงบนิ่ง แค้นของคนอื่นชำระแล้ว แต่เส้นทางความแค้นของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น โจมตีศัตรูกลับก็จบแล้วอย่างนั้นหรือ เข้าไปในนครต้องห้ามแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบสิ้นใช่หรือไม่
ไม่มีทาง!
ภารกิจล้อมวงสังหารเขาครั้งนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ แน่
ตระกูลฉือที่อยู่เบื้องหลังศัตรู รวมไปถึงขุมอำนาจที่อาจจะอยู่เบื้องหลังตระกูลฉืออีกทอดหนึ่ง คนเหล่านั้นต่างหากที่เป็นผู้ชักใยที่แท้จริง!
หลินสวินจะไม่ปล่อยความแค้นนี้ไปง่ายๆ ไม่ว่าเพราะต้องแก้แค้น หรือเพื่อสืบหาความจริงที่พวกเขากีดกันไม่ให้ตัวเขาเข้าไปในนครต้องห้ามก็ตาม
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงร้องของเรือดังขึ้นทำเอาหลินสวินผงะ ก่อนจะบังคับเรือรบลงจอดอย่างระมัดระวัง
ปัง!
หลินสวินเปิดประตูเรือ แล้วหายตัวเข้าไปในความมืด
เรือรบวีรชนม่วงเป็นของล้ำค่าที่มีมูลค่าสูง น่าเสียดายที่ใช้การไม่ได้อีกเมื่อหมดผลึกวิญญาณชั้นสูง หลินสวินทำได้เพียงทิ้งมัน แต่ก่อนจากไป เขาก็ค้นหาสมบัติทั้งหมดบนเรือและนำไปด้วย ไม่วายทำลายเตาหลอมวิญญาณที่เป็นจุดสำคัญบนเรือทิ้ง แม้ศัตรูจะนำมันกลับไป หากไม่เสียเวลาและทุนทรัพย์อย่างมาก ก็ไม่สามารถซ่อมแซมมันได้อีก
แกว๊ก
หลินสวินหยุดวิ่งเมื่อได้ยินร้อง เงยหน้าขึ้นฟ้าเห็นเหยี่ยวสอดแนมตัวหนึ่งกำลังบินผ่านไป เด็กหนุ่มผุดยิ้ม โบกมือให้กับเหยี่ยวสอดแนมก่อนเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
314 ความวุ่นวายสิ้นสุดลง
โดย
ProjectZyphon
เรือนโบราณ นครต้องห้าม
เพล้ง! เพล้ง!
ในห้องที่ปิดมิดมีเสียงแตกของสิ่งของและมีเสียงก่นด่า
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกห้องสองคนตัวสั่น หลังจากที่ทัพหน้าส่งข่าวมา ในห้องก็สั่นสะเทือนปานแผ่นดินไหว
“ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือสามพันคน เหลือรอดอยู่ไม่กี่ร้อยอย่างนั้นหรือ พวกตัวขยะ!”
“ตู้ซิงชวนผู้นั้นสมควรตาย!”
“มีใครบอกข้าได้บ้างว่าเด็กคนนั้นโจรกรรมเรือรบวีรชนม่วงได้อย่างไร แล้วยังเอามายิงเรือรบของเราจนเละหมดเลย”
“เรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่หกลำเชยวนะ ราคาลำละหนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญทอง แถมยังเป็นของที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ แต่ตอนนี้…มีสองลำที่เสียหายอย่างหนัก ที่เหลือเสียหายไม่เป็นท่า! ใครจะรับผิดชอบ”
“บัดซบ!”
เหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่เป็นผู้ช่วยก่นด่าไม่รักษาอาการกับข่าวที่เพิ่งได้รับ
ที่พื้น มีเศษแก้วชา เศษโต๊ะเก้าอี้และของต่างๆ แตกกระจาย
แสงเทียนสว่างไสวสะท้อนให้เห็นใบหน้าถมึงทึงคล้ำเขียวของแต่ละคน
ภารกิจที่วางแผนมาอย่างดี ระหว่างเส้นทางเมืองหมอกอำพรางจนถึงนครต้องห้าม จัดเตรียมกองกำลังและทรัพยากรของจำนวนมาก แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้
แพ้ให้เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปี!
แพ้ราบคาบ!
ใครจะไปรับได้
“ไม่ได้เรื่อง! พวกตัวขยะ! ถ้าตู้ซิงชวนกลับมา ข้าจะจัดการเขาเสีย!”
เสียงก่นด่ายังคงดำเนินต่อไป
มีเพียงฉือฉางเหมยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาตั้งแต่ต้น นางนั่งอยู่ลำพัง ใบหน้าเข้มสวยไร้อารมณ์ นิ่งจนคล้ายรูปปั้น ไม่ว่ารอบข้างจะมีเสียงก่นด่าเพียงใดนางก็ยังเฉยเมย
ไม่รู้ผ่านมานานแค่ไหนเสียงก่นด่านั่นจึงเริ่มหายไป เหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่ด่าจนเหนื่อย ต้องนั่งพักทั้งที่ยังอารมณ์เสีย
“ไม่ด่าแล้วหรือ” ฉือฉางเหมยที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น นางเงยหน้าสายตาดูแคลนไม่ปิดปังกวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่ปิดใจ
เหล่าผู้ช่วยกระอักกระอ่วน ไม่กล้าสบตาฉือฉางเหมย
“กองกำลังพวกนั้นถึงจะไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็เคยเอาชีวิตเข้าแลก ข้าเป็นพยานได้ว่าการตายเกิดขึ้นจากความพยายาม พวกเจ้าต่างหาก…” ฉือฉางเหมเสียงเย็น “ที่ควรจะเรียกว่าตัวขยะ!”
ตัวขยะ!
ถูกหยามตรงๆ เช่นนี้ เหล่าผู้ช่วยได้แต่กำหมัดแน่นไม่กล้าตอกกลับ
“ดูสิ แม้แต่จะต่อคำข้ากลับก็ไม่กล้า แล้วพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร”
ฉือฉางเหมยเสียงราบเรียบลงเรื่อยๆ คำพูดกลับยิ่งแฝงความถากถาง “ข้าผิดเองที่คาดการณ์ผิดพลาด เก็บพวกเจ้าเอาไว้เป็นผู้ช่วยตั้งแต่คราวแรก บางทีนี่อาจจะบอกได้ว่าข้า ฉือฉางเหมยก็แค่คนโง่ตาถั่วเท่านั้น”
ยิ่งนางพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้เหล่าผู้ช่วยกระอักกระอ่วน
“เหมยจวิ้นจู่ แม้ภารกิจครั้งนี้จะล้มเหลว แต่เป้าหมายยังไม่ได้เข้ามาในนครต้องห้าม นั่นหมายความว่าพวกเรายังมีโอกาส” ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว เอ่ยขึ้น “ข้ายินดีเป็นทัพหน้าสังหารเด็กคนนี้”
“ใช่แล้ว พวกเราก็ยินดี”
คนอื่นเริ่มว่าตาม เพื่อแสดงความภักดี
ฉือฉางเหมยเมินเฉย มองคนเหล่านั้นด้วยความเวทนา “พวกเจ้าแน่ใจหรือ”
“แน่นอน” ผู้ช่วยเหล่านั้นเอ่ยไม่ลังเล
ฉือฉางเหมยคล้ายนึกอะไรได้ จึงแค่นหัวเราะออกมา “เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย ใครกล้ารับรองว่าจะสามารถสังหารเป้าหมายได้ด้วยความสามารถตัวเอง พวกเจ้าไม่ต้องรีบตอบก็ได้ เพราะข้าถามจริงจัง”
เหล่าผู้ช่วยพากันนิ่งไป ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรอีก
หลายวันมานี้พวกเขาจับตามองภารกิจของทัพหน้าอยู่ตลอด จะไม่ทราบได้อย่างไรว่าเป้าหมายเป็นตัวประหลาดฝีมือร้ายกาจ แม้แต่เรือรบวีรชนม่วงหกลำและผู้ฝึกตนยอดฝีมือสามพันคนร่วมมือกันก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเด็กคนนี้ หากพวกเขาไปจะชนะได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเอะอะอยากไปเป็นทัพหน้าก็เพียงเพราะถูกฉือฉางเหมยดูแคลนจนเสียหน้า จึงเอ่ยออกไปด้วยความโมโห หากให้พวกเราไปสู้กับเป้าหมายจริงๆ เกรงว่าจะวิ่งหนีไวเสียยิ่งกว่ากระต่าย
ฉือฉางเหมยหยัดกายลุกด้ายท่าทีห่างเหิน “งานเลี้ยงฉลองไม่มีแล้ว ทุกท่านตามสบายเถิด” นางว่าพลางผลักประตูจากไป
คำพูดคล้ายไม่ได้ข่มขู่ แต่เหล่าผู้ช่วยต่างตระหนกกันได้แล้ว พวกเขาทราบดี ฉือฉางเหมยกำลังโกรธจริงๆ แล้ว ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นมีไม่น้อยแน่ๆ
…
ยามค่ำคืน ฉือฉางเหมยนั่งอยู่ในรถม้า มองไข่มุกตรงหน้าด้วยความสับสน
ไม่ขุกนั้นสะท้อนสงภาพหนึ่ง เป็นภาพเด็กหนุ่มท่ามกลางความมืดเงยหน้ายิ้มโบกมือให้กับท้องฟ้า
ฉือฉางเหมยมองเงียบๆ คล้ายสบตาอยู่กับเขา นางรู้มานานแล้วว่าเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลานี้คือหลินสวิน เพียงแต่เมื่อได้มองเขาอีกครั้งในยามนี้ กลับพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างแปลกหน้าเหลือเกิน คล้ายไม่ใช่คนที่นางคุ้นเคยมาก่อน
เขาในยามนี้ดูยิ้มแย้ม เป็นรอยยิ้มที่พูดได้ว่าสว่างไสว แต่สำหรับฉือฉางเหมยแล้ว รอยยิ้มนี้ขัดตานัก โดยเฉพาะในตอนที่สบตากับนัยน์ตาสีดำล้ำลึกราบเรียบปานน้ำนิ่งไร้ซึ่งระลอกคลื่นคู่นั้น มันทำให้นางเดาอารมณ์ของเขาไม่ออก และพาให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่น
ปัง!
นางบีบไข่มุกนั้นแหลกละเอียดด้วยท่าทีเย็นชา แม้เจ้าจะมาถึงนครต้องห้าม ข้าก็จะไม่รามือเด็ดขาด!
…
“ท่านพ่อ ภารกิจล้มเหลวแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อกลับมาถึงตระกูล ฉือฉางเหมยก็ตรงมาที่ห้องหนังสือของฉือหลิงเซียว ผู้เป็นบิดา
ฉือฉางเหมยปลดความเข้มแข็งที่แบกไว้ ท่าทีที่เคยมีเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานเชื่อฟัง เมื่อเห็นบิดาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ
“อืม เล่ามาให้ละเอียดสิ”
ฉือหลิงเซียวพูด เขาเป็นชายร่างผอม สวมชุดโบราณท่าทางสุภาพเรียบร้อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังสือ เขานั่งหลังเหยียดตรง สองไหล่ไม่ได้กว้างแต่กลับแข็งแกร่งดั่งภูเขาที่แบกฟ้าได้ทั้งผืน
ฝ่ายบุตรสาวใคร่ครวญสักพักจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉือหลิงเซียวยังคงเปิดอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะเงียบๆ จนกระทั่งฉือฉางเหมยเล่าจบ เขาถึงพยักหน้าเอ่ย “ไม่เลว ที่ควรทำพวกเราก็ทำแล้ว ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา”
ฉือฉางเหมยงงงัน ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง อะไรคือไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา
ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว สูญเสียกองกำลังมากมาย เหตุใดจึงไม่เกี่ยวกับเรา
“ท่านพ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ” ฉือฉางเหมยอดไม่ได้ถามขึ้น
ผู้เป็นบิดาปิดตำราในมือ “นับแต่รับปากสัญญาว่าจะไม่ส่งกำลังที่พลังสูงกว่าระดับผสานวิญญาณร่วมในภารกิจครั้งนี้ ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว หากชนะเด็กคนนี้ก็จะตาย หากแพ้แล้ว เด็กคนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในนครต้องห้าม”
ว่าถึงตรงนี้ฉือหลิงเซียวก็ผุดยิ้ม “หากเจ้าคิดถึงเบื้องหลังของคำสัญญาก็จะเข้าใจ เบื้องหลังมีคนอยากให้เด็กตระกูลหลินคนนี้กลับมา แต่ก็มีคนที่ไม่อยากให้เขากลับมาเช่นกัน จึงจัดภารกิจครั้งนี้ขึ้นมา”
ฉือฉางเหมยเคยใคร่ครวญปัญหานี้ แต่เมื่อได้รับคำอธิบายจากบิดาก็ตกตะลึง “ที่แท้ ที่แท้ไม่ใช่ตระกูลฉือต้องการจัดการหลินสวินคนนั้นหรอกหรือ”
“สถานะของเด็กคนนี้ซับซ้อนอยู่บ้าง เขาเกี่ยวพันกับเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อน เดิมทีทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาอีก…” ฉือหลิงเซียวพยักหน้าขณะเอ่ย
“ท่านพ่อ เขาเป็นใครกันแน่”
เด็กสาวถามด้วยความประหลาดใจ นางคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่สถานะของหลินสวิน จะสร้างความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้
แม้แต่ตระกูลฉืออย่างพวกเขายังเป็นได้เพียงตัวประกอบ แล้วอำนาจของตัวละครหลักหลังม่านจะยิ่งใหญ่เพียงใดกัน
“เมื่อเด็กคนนี้มาถึงนครต้องห้ามเจ้าก็จะรู้เอง”
ฉือหลิงเซียวเอ่ย “เหมยเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก แม้จะล้มเหลว แต่ภารกิจก็ผ่านลุล่วงด้วยดี ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อเถอะ”
แม้ออกมาจากห้องหนังสือแล้ว ฉือฉางเหมยก็ยังคงงุนงง เดิมทีนางคิดว่าหากภารกิจล้มเหลว คงจะถูกท่านพ่อลงโทษอย่างหนัก ใครจะคิดว่าความล้มเหลวก็นับเป็นการลุล่วงภารกิจอย่างหนึ่ง
นี่มันอะไรกัน
ฉือฉางเหมยเพิ่งเคยรู้สึกถึงความไม่กระจ่างเป็นครั้งแรก แต่ไม่นาน นางก็ลงความเห็นกับตัวเองว่า หากรู้สถานะที่แท้จริงของหลินสวินแล้ว ก็จะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ
“หลินสวิน เจ้าเป็นใครกันแน่”
นางหอบความสงสัยออกจากตระกูลไป เพื่อไปสืบเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เกิดขึ้นในนครต้องห้าม
…
ปราสาทรัตติกาล
ชายชราเดินเข้ามาในโถงโล่งมืดมิด น้อมกายทำความเคารพ “คุณหนู ภารกิจของตระกูลฉือล้มเหลวแล้วขอรับ”
“เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่ได้ ดูแล้วก็คงมีสิทธิ์ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ผู้เฒ่าที่หอดูดาวหลวงมีท่าทีอย่างไรบ้าง” เสียงของราชินีแห่งรัตติกาลดังกังวานขึ้นท่ามกลางความมืด
ฝ่ายชายชรามีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย สักพักจึงเอ่ยตอบ “เขาคล้ายว่าจะคาดเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว จึงพูดออกมาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”
“คำไหนบ้าง”
“ความวุ่นวายกำลังจะบังเกิด”
“ตาเฒ่านี่ชอบมีลับลมคมใน ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเมื่อเด็กหลินสวินมาถึงแล้ว เขาจะสร้างความวุ่นวายอะไรให้นครต้องห้ามบ้าง”
…
ณ หอดูดาวหลวง
ชายชราผู้ถูกขนานนามว่าราชครูนั่งมองวัฏจักรดวงดาวอยู่เพียงลำพัง ดวงตานั้นมีแววบริสุทธิ์สดใสคล้ายนัยน์ตาของเด็กเล็ก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงรำพึงขึ้นด้วยความพอใจ “ปิดบังมาสิบกว่าปี ใครจะคิดว่าหลังจากถูกควักชีพจรวิญญาณหุบเหวกลืนกินออกไปแล้วเด็กคนนี้ยังมีโอกาสกลับมาในนครต้องห้ามอีก โลกนี้ไม่แน่นอนจริงๆ”
315 คลื่นน้ำวนดูดกลืน พบพานราชาแห่งตะพาบเขียว
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินเคลื่อนกายไปข้างหน้าราวกับเดินเหินบนพื้นปกติ ทั้งๆ ที่ใต้น้ำมีคลื่นซัด
แม้เขาจะแน่ใจแล้วว่าศัตรูแพ้ยับเยินไม่มีทางกลับมาจัดการตัวเองอีก แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน การเดินทางในน้ำจึงปลอดภัยที่สุด
“ตลอดทางมานี้ เพียงหน้าไม้ก็ได้มาไม่ต่ำกว่าร้อยด้าม นอกจากนี้ยังมีอาวุธวิญญาณกับยาอีกมากมาย หากแลกเป็นเหรียญทองก็คงจะได้เงินมาจำนวนมาก”
เด็กหนุ่มคำนวนในใจ ตอนนี้ในแหวนเก็บชองของเขามีของกำนัลจากการต่อสู้เป็นกองพะเนิน แต่ส่วนใหญ่ใช้การไม่ได้ หลินสวินจึงวางแผนจะขายพวกมันทิ้งทั้งหมด
เข้าไปในนครต้องห้ามจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ยังต้องยังต้องเตรียมของสำหรับฝึกฝนปราณ ทำให้หลินสวินเริ่มวางแผนสำหรับวันข้างหน้าแล้ว
ฮูม
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ใต้น้ำไกลออกไปเกิดคลื่นน้ำวนน่ากลัว หลินสวินหยุดมองนิ่ง คลื่นน้ำวนนั้นมีปากหลุมขนาดใหญ่แฝงไปด้วยพลังน่ากลัว คล้ายกับสามารถดูดกลืนได้ทุกสิ่ง ฝูงปลาที่หลบหลีกไม่ทันถูกกระแสน้ำวนนั้นพัดหมุนแหลกละเอียดจนหายลับ
ฟิ้ว
หลินสวินลองโยนหินที่หนักสิบกว่าจินเข้าไป ก่อนจะได้ยินเสียงหวืดดัง หินก้อนนั้นถูกพลังในคลื่นน้ำวนน่ากลัวนั้นพัดจนแตกเป็นเสี่ยงหายไป ทำเอาเด็กหนุ่มตกใจเพราะความน่าประหวั่นพรั่นพรึงของพลังนั้น หากเข้าไปใกล้สุ่มสี่สุ่มห้า แม้จะเป็นผู้ฝึกปราณก็เกรงว่าจะร่างจะฉีกขาดเอาได้
เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ จึงดีดร่างกายขึ้นไปบนผิวน้ำด้วยหวังหลบหลีกคลื่นน้ำวนที่ขวางอยู่ตรงหน้า ใครจะคิดว่ายิ่งพุ่งขึ้นไปสูง พลังดูดกลืนของคลื่นน้ำนั้นก็ยิ่งรุนแรง หลินสวินเพิ่งดีดตัวขึ้นไปไม่ถึงสิบจั้งพลันรู้สึกถึงพลังดูดกลืนอันน่ากลัว ม้วนหมุนทั้งร่างของเขาเข้าไปในคลื่นน้ำวนโดยที่ตัวเองควบคุมไม่ได้เลย
แย่แล้ว
หลินสวินหวาดหวั่น รีบขับเคลื่อนพลังปราณพยายามขัดขืน ทั้งร่างมีแสงประกายทอออกมา
แต่พลังคลื่นน้ำวนรุนแรงเกินไป แม้หลินสวินจะสามารถสังหารผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าได้ แต่เทียบพลังของเขากับคลื่นน้ำวนแล้วก็เหมือนจิ้งหรีดขย่มต้นไม้ ไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนใดได้
เพียงพริบตา คลื่นน้ำวนก็พาทั้งร่างของเขาหมุนเข้าไปยังใจกลาง
ครืน
เด็กหนุ่มรู้สึกมึนหัวคล้ายมีดาวลอยละล่อง สายตาพร่าเลือน ร่างกายร่วงลงไปในเวิ้งลึก เขาพลันนึกถึงฝูงปลากับก้อนหินที่ถูกบดละเบียด คิดกับตัวเองว่าตัวเขาคงไม่มีสภาพอเนจอนาถถึงเพียงนั้น จากนั้นหลินสวินก็ตัวสั่นสะท้าน มึนชาไปทั้งร่าง และไม่รู้สึกอะไรอีกเลย
หากมีผู้ฝึกปราณคนอื่นอยู่ตรงนี้ คงจะเห็นว่าบังเกิดแสงสีฟ้ารอบกายเด็กหนุ่ม มันปกป้องหลินสวินขณะที่ถูกพัดเข้าไปในน้ำวน ทำให้เขารอดพ้นจากพลังอันน่ากลัวของคลื่นน้ำวนไปได้
นั่นเป็นพลังจากมุกนักบุญอมตะที่แสดงอิทธิฤทธิ์ในยามฉุกเฉิน
…
หลินสวินรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีฟ้าใส มีปะการังสวยงามสะท้อนแสงจากน้ำงดงามดังภาพลวงตา มันสะบัดพริ้วไหวงดงามปานเทพเซียนเต้นระบำ
ไม่ช้าเขาก็รู้สึกตัว ครั้นสำรวจร่างกายและพบว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็พรูลมหายใจโล่งอก
ที่นี่ที่ไหนกัน
หลินสวินลุกขึ้น เริ่มมองสำรวจไปรอบๆ เขามั่นใจว่าตัวเองถูกคลื่นน้ำวนพัดเข้ามา เพียงแต่ไม่คิดว่าน้ำวนนั้นจะเชื่อมโยงมาถึงสถานที่สวยงามปานนี้
ฮูม
พลันเกิดคลื่นน้ำขึ้นข้างกาย ปลาสีเขียวตัวใหญ่มีปีกและขนหลากสีว่ายผ่านเด็กหนุ่มไป
นี่มัน…หลินสวินหรี่ตา นี่คือสัตว์ประหลาดชนิดใด
ขนหลากสี มีสองปีก เกล็ดสีเขียว มีหนวด สองตาคล้ายลูกไฟ…
ในหัวของหลินสวินนึกถึงบันทึกภาพสัตว์ที่เคยอ่าน ล้วนไม่มีสัตว์ที่ลักษณะคล้ายปลาเช่นนี้
“แปลกนัก หรือคลื่นน้ำวนนั้นจะเป็นกาลเวลาพิเศษ พาข้าเข้ามาในดินแดนวารีที่ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อน” หลินสวินใคร่ครวญอยู่นานก็คิดไม่ออก
“ช่างเถิด หาทางออกดีกว่า” ไม่นานหลินสวินก็สลัดความคิดต่างๆ ทิ้ง แล้วเดินออกไปข้างหน้า
ตลอดทางมีปะการังประปราย แสงที่สาดเข้ามาตกกระทบหักเหเกิดภาพสวยงาม เหมือนเข้ามาในที่อยู่ของเทพแห่งมหาสมุทรในตำนาน
บางครั้งมีปลารูปร่างประหลาดว่ายวนไปมา ทั้งมีสองปีก ที่ท้องมีครีบเท้า ตรงหัวมีนอ และอีกหลายลักษณะแตกต่างกันไป ปลาเหล่านี้มีพลังวิญญาณกระจายอยู่รอบตัว การที่พวกมันไม่ดุร้ายไม่เข้ามาโจมตี ทำให้หลินสวินสบายใจลงไปมาก
เขากลัวจริงๆ ว่าหากปะทะกับสัตว์ประหลาดดุร้ายใต้น้ำแล้ว เขาคงจบเห่
เมื่อเดินออกไปไกลกว่าสิบลี้ หลินสวินก็ดูทิวทัศน์จนเบื่อหน่าย เริ่มตั้งสติและหาทางออก
เวิ้งน้ำห่างไกลโพ้นนั้นพลันมีแสงประกายระยิบระยับ พอเข้าไปใกล้ก็เห็นแสงเงินเหมือนฝนเม็ดละเอียดส่องสว่างคล้ายดวงดาว ทั้งยังคล้ายน้ำตกขนาดเล็กดุจผลึกใสพิสุทธิ์
งดงามนัก
หลินสวินใจเต้นมองด้วยความลุ่มหลง เขามองไปรอบๆ พบว่าแสงประกายดุจดวงดาวนี้มาจากพืชน้ำสีเงิน
พืชน้ำสีเงินโดดเด่นด้วยลำต้นและก้านที่ตรงเหยียดแหลมคมปานมีด ทั้งต้นเป็นเกล็ดสีเงินเกาะอยู่เหมือนดาบเทวะที่สามารถทำลายท้องนภาได้
ที่ทำให้หลินสวินตะลึงที่สุด ก็คือรอบลำต้นของพืชน้ำสีเงินนั้น มีไอวิญญาณลึกล้ำมวลพิสุทธิ์หนาแน่นกระจายออกมา มันส่งกลิ่นหอมที่แม้แต่หลินสวินก็กลิ่น งดงามจนสามารถซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ ล่อลวงผู้มองเห็นลุ่มหลง
นี่คือของวิเศษในใต้หล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
พลันหลินสวินจึงกระจ่าง ทั้งร่างตื่นตัวสดใส เขาเดินเข้าไปจะเด็ดพืชวิญญาณชนิดนี้มาทำการสำรวจโดยละเอียด
ขณะนั้นเองก็เกิดแผ่นดินไหว เต่าตัวหนึ่งมองหลินสวินตาขวาง เอ่ยตำหนิภาษาคน “เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดไม่ถามไถ่แล้วจะขโมยยาเซียน”
หลินสวินผงะ โตมาขนาดนี้เพิ่งจะเคยเห็นเต่าพูดภาษาคน
เต่าตัวนั้นเดินต้วมเตี้ยมปีนไปหยุดที่ปะการังข้างๆ มันปราดตามองหลินสวิน เสียงชราเฒ่านั้นวางอำนาจ “เด็กน้อย เหตุใดไม่พูดไม่จา หรือเพราะเป็นโจรที่เกิดละอายขึ้นมาจริงๆ ”
หลินสวินสูดลมหายใจลึก พยายามสงบอารมณ์ตัวเอง เหตุการณ์ที่เจอวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งไม่คาดฝัน หากไม่เห็นกับตาเขาก็คิดว่ามันคือความฝัน
“เอ่อ…ข้าขอถามได้หรือไม่ว่า เจ้าเป็นคนหรือเป็นปิศาจ”
หลินสวินเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เขาได้ยินมาว่าอสูรวิญญาณที่มีพลังระดับสวรรค์ จะมีความคิดฉลาดปราดเปรื่องไม่ต่างจากผู้ฝึกปราณ
แต่สัตว์ที่สามารถพูดภาษาคนได้นั้นกลับพบได้น้อยมาก หรือจะบอกว่ามีอยู่เพียงในตำนานเทพเจ้าเท่านั้น
“ไอ้หยาๆ เด็กน้อยเช่นเจ้ากล้าหาว่าราชาอย่างข้าเป็นตัวประหลาดงั้นรึ น่าโมโหนัก” เต่าเฒ่าร้องโวยวาย
หลินสวินมองเต่าที่ส่ายหัวไปมาด้วยท่าทางโมโห เด็กหนุ่มรู้สึกว่าน่าขันนัก อดเย้าไม่ได้ “แล้วตกลงเจ้าเป็นราชาอะไร ราชาเต่าอย่างนั้นหรือ”
เจ้าเต่าแทบบ้าเมื่อได้ยินคำถากถางนั้น สองตาของมันแดงก่ำเหมือนเลือด พลางกัดฟันกรอด “เต่า เจ้าว่าข้าเป็นเต่าอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กน้อยไม่มีตา! ข้าเกิดมาเป็นถึงตะพาบเขียว สายเลือดชั้นสูงไม่มีใครเทียบเทียม สัตว์วิญญาณในทะเลกลืนวิญญาณเห็นข้า ก็ยังต้องเรียกข้าว่าราชาแห่งตะพาบเขียว!”
ตะพาบเขียว!
นี่มันสัตว์วิญญาณระดับสวรรค์และปรากฏเพียงในตำนานเท่านั้น เล่าขานกันว่าสัตว์ชนิดนี้เกิดอยู่ในน้ำเก้าลำนำ มีปัญญาล้ำเลิศตั้งแต่กำเนิด สามารถควบคุมคลื่นลม บังคับเมฆหมอก มีพลังมหาศาล
หลินสวินไม่คิดว่าเต่าตรงหน้าจะเป็นอสูรวิญญาณตะพาบเขียวที่มีเพียงชื่อ แต่ไม่สามารถพบพานตัวตนที่แท้จริงได้
ไม่นานเขาก็ถูกคำพูดตะพาบเขียวดึงสติกลับมา
ทะเลกลืนวิญญาณ!
ก่อนจะออกมาจากเมืองหมอกอำพราง หลินสวินเคยได้ยินเสวี่ยจินพูดว่าหากเดินทางผ่านทางตะวันออก จะต้องผ่านประตูกลเข้าออกของทะเลกลืนวิญญาณ อีกนัยหนึ่งก็คือทะเลกลืนวิญญาณอยู่ทางตะวันออกสุดของจักรวรรดิ แต่ก่อนที่เขาจะถูกคลื่นวนดูดมานั้น เขาอยู่ที่เขตเมืองมังกรเหลือง ซึ่งระหว่างเมืองมังกรเหลืองกับทะเลกลืนวิญญาณห่างกันมากกว่าหมื่นลี้
ตามที่เสวี่ยจินบอก ทุกปีในยามฤดูนี้ ทะเลกลืนวิญญาณจะสะท้านสะเทือน เกิดภัยพิบัติรุนแรง ลมกรรโชก คลื่นละเลพัดสูง สัตว์ร้ายในทะเลจะปรากฏออกมา ไม่มีผู้ฝึกปราณคนไหนมาที่ทะเลกลืนวิญญาณในเวลานี้ กระทั่งผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะยังต้องยอมถอย
หากที่นี่คือทะเลกลืนวิญญาณจริงๆ นั่นก็หมายความว่าตัวเขาพลัดหลงจากภาคกลางของจักรวรรดิมาถึงดินแดนตะวันออกสุดของจักรวรรดิ
“เด็กน้อย เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่” ตะพาบเขียวตะคอกด้วยความไม่พอใจ
“ขอรับ”
หลินสวินตื่นจากภวังค์ เก็บงำความวุ่นวายและว้าวุ่นไว้ในใจ
เด็กหนุ่มมองตะภาพเขียวตรงหน้าแล้วก็ตระหนักได้ จึงโค้งกายทำความเคารพ “ผู้อาวุโส เมื่อครู่ผู้น้อยเสียมารยาทเพราะไม่รู้ความ ไม่ทราบว่าบนโลกนี้ยังมีผู้อาวุโสที่เป็นหนึ่งไร้สองอยู่จึงตกใจ ขอท่านอาวุโสโปรดอภัย”
ตะพาบเขียงได้ฟังก็หัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ นับว่าเจ้ารู้จักพูด ที่เจ้าบอกว่าเป็นหนึ่งไร้สองพูดได้ดี ถูกใจข้านัก โดยเฉพาะที่เจ้ายังรู้ตัวว่าตัวเองไม่รู้ความ ทำให้ข้าตำหนิเจ้าไม่ลงแล้ว”
หลินสวินยิ้มในใจ ตะพาบเขียวตัวนี้ชอบให้คนยกยอตนเองดังที่คาด เห็นได้จากการที่ชอบยกตนข่มท่านจากคำพูดก่อนหน้านั้น
เช่นนี้ก็ง่ายแล้ว เพียงต้องพูดเอาใจเขา หลินสวินไม่เชื่อว่าจะไม่ได้อะไรที่มีประโยชน์กลับมา
316 ตามหาสมบัติ
โดย
ProjectZyphon
ดังคาด หลังจากที่หลินสวินยกยอปอปั้นเสร็จสรรพ ตะพาบเขียวนั้นก็หายอารมณ์เสีย มันหัวเราะร่า ทำตัวสนิทสนมดั่งหลินสวินเป็นสหายรู้ใจ เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้ถามหาคำตอบที่อยากรู้
ที่แท ผืนน้ำแห่งนี้อยู่ในทะเลกลืนวิญญาณ ห่างจากพื้นดินของจักรวรรดิจื่อเย่าหลายหมื่นลี้
ตะพาบเขียวบอกว่า หลายพันปีมานี้มีผู้ฝึกปราณมาถึงที่นี่น้อยมาก เพราะทะเลแห่งนี้ห่างไกลเกินไป ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยอันตราย แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะก็ยากจะมีชีวิตรอด
ความจริงตีแสกหน้าหลินสวินอย่างจัง เดิมทีเขาสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อจะเดินทางไปนครต้องห้าม ใครจะคิดว่าจะถูกพัดมาอยู่กลางทะเลห่างไกลจากจักรวรรดิจื่อเย่ากว่าหลายหมื่นลี้ หากตอนนี้เขาจะเดินทางกลับจักรวรรดิจื่อเย่า ยังไม่พูดถึงอันตรายมากมายระหว่างทาง เพียงระยะเวลาเดินทางก็นานถึงสามเดือนแล้ว
“ใช่แล้ว”
ตะพาบเขียวเอ่ยขึ้น “เจ้าอ่อนแอขนาดนี้ เพียงฉลามมารหัวเขียวก็กินเจ้าได้ง่ายๆ เหตุใดถึงเข้ามาถึงที่นี่ได้”
หลินสวินถอนหายใจเอ่ยเล่าเรื่องราวของตัวเองบอกไปไม่ปิดบัง
เมื่อได้ยินทุกอย่างแล้วตะพาบเขียวจะร้องคำรามอย่างคับแค้น “แม่น้ำวนลวงตา! เจ้าเข้ามาในแม่น้ำวนลวงตาอย่างนั้นหรือ สวรรค์ เจ้ามีชีวิตรอดอยู่ได้ช่างเป็นปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ชัดๆ ”
หลินสวินแทบกลอกตาขาว แค่ไม่ตายก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้วหรือ
“ผู้อาวุโส แม่น้ำวนลวงตาคืออะไรหรือขอรับ” เขาถาม
ตะพาบเขียวไม่ตอบคำถาม แต่มองหลินสวินด้วยตาเป็นประกายตื่นเต้น “เด็กน้อย ข้าเดาว่าเจ้าต้องมีของล้ำค่าที่สามารถป้องกันตัวเองจากพลังลวงตาใช่หรือไม่”
ตะพาบเขียวกระโดดโลดเต้นดีใจ “รอดแล้ว ในที่สุดก็รอดแล้ว ข้าติดอยู่ในทะเลแห่งนี้มานับพันปี ในที่สุดก็มีคนมาช่วยข้าเสียที ฮ่าๆๆ”
เจ้าตัวนี้บอกว่าตนเองเป็นราชาแห่งตะพาบเขียว ได้รับความนับถือจากสัตว์ใต้ท้องทะเลมากมาย แต่ยามนี้กลับบอกว่าติดอยู่ในที่แห่งนี้ เด็กหนุ่มกังวลว่าเขาจะเป็นแค่เต่าเฒ่าขี้โม้ หากเก่งอย่างที่ปากว่าจริง เหตุใดจึงมาติดอยู่ในที่ทะเลแห่งนี้ได้
น่าขันนัก
ใครเคยเห็นตะพาบเขียวที่สามารถควบคุมคลื่นลมในตำนาน ติดอยู่ในทะเลที่เป็นถิ่นของตัวเองเช่นนี้บ้าง
ตะพาบเขียวหยุดหัวเราะ คล้ายรับรู้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของหลินสวิน กระแอมว่า “เด็กน้อย แม้ข้าจะมีความสามารถรอบรู้ แต่ก็ยังมีบางเรื่องบนโลกใบนี้ที่ข้ายังทำไม่ได้”
เขามีทีท่าเคร่งขรึม ปลงตก “ทะเลแถวนี้พิเศษมาก เป็นอนุสรณ์สถานโบราณที่แฝงไปด้วยพลังลี้ลับจากบรรพกาล ไม่ว่าตัวข้าหรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับสังสารวัฏติดอยู่ในนี้ ก็ไม่มีทางออกไปได้เช่นกัน”
อนุสรณ์สถานโบราณ!?
นี่มันเกินความคาดหมายของหลินสวินไปมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับสังสารวัฏยังหนีออกไปไม่ได้ สถานที่แห่งนี้ต้องมีพลังน่ากลัวเพียงใดกัน
ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่เพียงที่เดียวที่หลงเหลือมาจนถึงวันนี้ไม่รู้ว่าผ่านมาเป็นเวลาเท่าไหร่ แต่พลังของที่นี่แข็งแกร่งปานพลังจากทวยเทพ
“โชคดีที่เจ้าเข้ามา”
พลันตะพาบเขียวก็ตื่นเต้น มองหลินสวินตาเป็นประกายเหมือนมองสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยาก สายตาเต็มไปด้วยด้วยความหวังและเฝ้ารอ “นี่เป็นโชคชะตา ชีวิตข้าจะไม่ดับสูญ”
หลินสวินยิ้มขื่น “ผู้อาวุโส ท่านอย่าเพิ่งดีใจไป ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร”
ตะพาบเขียวว่า “ง่ายมาก เพราะเจ้ามีของล้ำค่าที่สามารถทะลุผ่านน้ำวนลวงตาได้ ก็เพียงพอที่จะพาข้าออกไปได้แล้ว”
ว่าแล้วเขาก็เหม่อมองไปในที่แสนไกล “ทางออกอยู่ตรงนั้น เมื่อก่อนข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่ไม่ใช่วันนี้”
หลินสวินได้สติขึ้นมา ของล้ำค่าที่ตะพาบเขียวหมายถึง คงจะเป็นมุกนักบุญอมตะในนิมิตเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเพียงแต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่คิดว่าของสิ่งนี้จะมีประโยชน์ สามารถทะลุผ่านน้ำวนลวงตาได้
เมื่อเห็นหลินสวินลังเล ตะพาบเขียวก็กลอกตาขาวไปรอบๆ คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงยิ้มชี้ไปที่พืชน้ำสีเงินส่องประกายอยู่ “เด็กน้อยเจ้าดูสิ นี่คือหญ้ากระบี่เกล็ดเงิน ของวิเศษในใต้หล้าที่มีอยู่ในยุคโบราณเท่านั้น นับเป็นสุดยอดยาเซียนชั้นยอดบนโลก”
หลินสวินสนใจในทันที
ตะพาบเขียวได้ใจ “ในเมื่อถูกขนานนามว่าเป็นยาเซียนก็ย่อมมีสรรพคุณเหนือคณา หากกินเข้าไปจะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ เนื้อกระดูกจะขับพลังร่างกายช่วยในการฝึกปราณ หากออกไปโลกภายนอก แม้แต่ราชาระดับหยั่งสัจจะก็ยังต้องแย่งชิง ราชาระดับสังสารวัฏก็ปรารถนาจนตาร้อน”
“สุดยอดขนาดนั้นเชียวหรือ” หลินสวินหวั่นไหว
เฒ่าตะพาบเขียวเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ได้โม้หรอกนะ แต่หากไม่ใช่เพราะตามหาสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ข้าก็คงไม่เสี่ยงมาที่นี่หรอก”
หลินสวินสงสัย “แล้ว…เหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่เก็บไว้ใช้เองเล่า”
ตะพาบเขียวตอบ “เด็กน้อย เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว ติดอยู่ในนี้ตั้งหลายปี ข้ากินหญ้ากระบี่เกล็ดเงินเข้าไปไม่ต่ำกว่าร้อยต้น ปราณสูงจนถึงขีดจำกัด จนมันไม่เกิดประโยชน์กับข้าต่อไปแล้วต่างหาก”
ว่ามาถึงตรงนี้ คำพูดที่มักอวดดีของเขาก็แผ่วลง “คนบนโลกยกยอว่ามันเป็นของล้ำค่า แต่สำหรับข้า มันกลับเป็นพืชธรรมดา กินเข้าไปไม่ได้รสชาติ จะทิ้งก็เสียดาย รอเมื่อเจ้าเป็นเหมือนข้า มีระดับปราณสูงถึงขั้นอมตะ เข้าถึงจักรวาลไกลความตายแล้วก็จะเข้าใจเอง”
เด็กหนุ่มเมินผ่านคำยอตัวเองนั้น รู้ว่าที่แท้ตะพาบเขียวก็กินยาเซียนเข้าไปเยอะจนเอียนแล้ว มันจึงแนะนำพืชน้ำชนิดนี้ให้กับเขา
“เด็กน้อย ได้พบพานเป็นวาสนา คิดเสียว่าของเหล่านี้เป็นของขวัญที่ข้าให้เจ้าเถิด” ตะพาบเขียวเอ่ยเนิบนาบ
“ข้าขอบคุณในความเอ็นดูของท่าน”
หลินสวินยิ้ม ไม่ว่าตะพาบเขียวจะโม้ไปเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าหญ้ากระบี่เกล็ดเงินนั้นเป็นของล้ำค่าแน่นอน
“อย่าเพิ่งจับ ของสิ่งนี้รักษายากยิ่ง หากสัมผัสมันจะตาย หากเจอไฟจะไหม้ม้วย หากเก็บมาแล้วไม่รักษาอย่างดีก็จะสูญสลาย”
ตะพาบเขียวท้วงขึ้นเมื่อเห็นหลินสวินทำท่าจะเด็ดมัน จากนั้นจึงอ้าปากสำรอกแผ่นม้วนสีเขียวออกมากลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ครอบหญ้ากระบี่เกล็ดเงินเอาไว้
หญ้ากระบี่เกล็ดเงินที่ถูกครอบนั้นลอยออกมาทั้งราก
“เด็กน้อย นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า เจ้ารับไว้สิ มีพลังของข้าปกป้องอยู่ ก็จะเก็บรักษาหญ้ากระบี่เกล็ดเงินนี้ได้อย่างไม่เสียหาย”
“เวลาจะใช้ ก็จงใช้พลังวิญญาณนำทาง เด็ดมันอกมาจากแสงครอบนั้น”
“ขอบคุณผู้อาวุโสขอรับ” หลินสวินไม่เกรงใจ เปิดแหวนเก็บของแล้วนำหญ้ากระบี่เกล็ดเงินทั้งหลายลงไปเก็บไว้
“ฮ่าๆๆ เด็กน้อย คราวนี้เจ้าจะพาข้าออกไปจากที่นี่ได้หรือยัง” ตะพาบเขียวหัวเราะ
หลินสวินใคร่ครวญสักพัก ยิ้มออกมา “ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านแน่ใจว่าข้าสามารถพาท่านออกไปได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราจะออกไปเมื่อใดก็ได้ ทว่าการเข้ามาในที่อนุสรณ์สถานโบราณนี้ไม่ง่าย หากรีบด่วนไปจากคงน่าเสียดายแย่”
ตะพาบเขียวผงะ “ไม่คิดว่าเจ้าจะโลภมากอย่างนี้”
หลินสวินยิ้ม “สมบัติพวกนี้หากเหลือทิ้งไว้ที่นี่ ไม่เท่ากับว่าทิ้งไปเสียเปล่าๆ หรือ”
เฒ่าตะพาบเอ่ยเสียงเข้ม “ความจริงแล้ว สมบัติของอนุสรณ์สถานชั้นที่หนึ่ง ข้าเก็บไปด้วยความถูกใจจนหมดแล้ว ของพวกนี้ข้ายกให้เจ้าไม่ได้ แต่ว่าก็ยังมีบางอย่างที่อาจมีประโยชน์กับเจ้า”
“ตามข้ามา” ว่าแล้วตะพาบเขียวก็หายแวบไปเวิ้งทะเลข้างหน้า
“อนุสรณ์สถานชั้นที่หนึ่ง…” หลินสวินตื่นเต้น รีบตามหลังไป
ยิ่งเดินไปข้างหน้า น้ำทะเลก็ยิ่งใส พลังลึกลับจากกระแสน้ำแม้จะไม่เป็นผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว แต่ก็ทำให้ใจคนสะท้านด้วยสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวดุดันของมัน
แม้แต่ตะพาบเขียวก็ยังพูดน้อยลง ท่าทีเคร่งขรึมเมื่อเดินลึกเข้าไป
ข้างภูเขาหินใต้น้ำปรากฏต้นไม้สีแดงดุจเพลิงกัลป์ ลำต้นแข็งแรงปานดาบ กิ่งก้านห้อยย้อยผลสีแดงขนาดประมาณหัวแม่มือ เหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยโดดเด่นสะดุดตา
“ผลแกนมังกรสุริยา สามารถเปิดปัญญาวิญญาณให้ตื่นขึ้น เป็นยาวิญญาณเทพเทวะที่หาได้ยาก แต่ผู้ฝึกปราณกินได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น มากกว่านั้นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
ตะพาบเขียวสะบัดเท้าหน้า ผลแกนมังกรสุริยายี่สิบกว่าลูกก็ลอยมาทางหลินสวิน
หลินสวินรีบควักขวดหยกขึ้นมาเก็บพวกมันเข้าไป แล้วปิดฝาอย่างระมัดระวัง เก็บมันไว้ในแหวนเก็บของ
เดินเข้าไปอีกไม่นาน ตะพาบเขียวมุดคอเข้าไปในกอพืชน้ำสีฟ้า เมื่อโผล่หน้าออกมา ก็เป็นที่เท้าของมันหนีบผลึกสีม่วงขนาดเท่าเหรียญทองแดงส่องประกายทั้งก่อนออกมาด้วย
“ผลึกวิญญาณพิสุทธิ์ม่วง สามารถนำมาทำเป็นอาวุธวิญญาณ พวกมนุษย์ที่เป็นนักสลักวิญญาณน่าจะชอบมันมาก ได้ยินว่าสามารถใช้มันได้ตอนหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ แต่สำหรับข้าแล้วไม่มีประโยชน์ใดเลย”
ตะพาบเขียวว่าแล้วก็โยนมันมาให้หลินสวินเหมือนเป็นเพียงขยะ
หลินสวินกลับตื่นตาตื่นใจมาก เขารู้จักผลึกวิญญาณพิสุทธิ์ม่วงดี อย่ามองว่ามันมีขนาดเท่าเหรียญทองแดง เพราะมีคุณค่าเหลือคณานัก
ในยามต้องสร้างชุดศึกวิญญาณ หากมีของสิ่งนี้แม้เพียงเศษไรฝุ่น และใช้มันใส่รวมไปพร้อมกับสิ่งของวิญญาณอื่นๆ ก็จะทำให้โอกาสในการสร้างชุดศึกวิญญาณสำเร็จสูงมากขึ้น
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ตะพาบเขียวก็หาของได้มากขึ้น มันคุ้นเคยกับที่นี่มาก ไม่ต้องเสียเวลามากมายก็หาสมบัติล้ำค่าได้กว่าสิบชนิด แน่นอนว่าของเหล่านี้เป็นเพียงของเหลือเลือกจากตะพาบเขียว
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ของล้ำค่าเหล่านี้มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น มูลค่าของมันไม่มีสามารถประเมินได้ เด็กหนุ่มกระทั่งลืมความคิดที่จะออกไปจากที่นี่ ก็บนโลกนี้จะมีอะไรที่น่าดีใจไปกว่าการได้ค้นหาสมบัติกันเล่า
317 ดั่งฝัน
โดย
ProjectZyphon
โสมหิมะหยก ผลึกเก้าลำนำผสานใจ ดอกอำพรางวิญญาณพันปี ผลึกสายฟ้าหยวนเป่า…
หลินสวินนึกถึงชื่อของสมบัติที่เขาได้รับมาตลอดทางก็ใจเต้น ของเหล่านี้ล้วนเป็นของของวิเศษจากอนุสรณ์สถานโบราณ
ทั่วทั้งจักรวรรดิอาจมีเพียงคลังสมบัติของราชวงศ์เท่านั้นถึงจะพบสิ่งของเหล่านี้ได้ แต่ตอนนี้ของพวกนี้กลับถูกตะพาบเขียวโยนดั่งเป็นขยะให้หลินสวิน ทำให้เด็กหนุ่มเบิกบานใจยิ่งนัก
“ของเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่ตะพาบเขียวไม่ให้ความสำคัญเท่านั้น ไม่รู้ว่าสมบัติที่เขาเก็บไปจะล้ำค่าเพียงใด” หลินสวินใคร่ครวญในใจ มีคำบอกว่าสมบัติทำให้คนใจสั่น เมื่อมีสมบัติกองอยู่ตรงหน้าหลินสวินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เป็นเรื่องปกติ ไม่เพียงเขาเท่านั้นเขา หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะก็คงไม่ได้ดีกว่าหลินสวินไปสักเท่าไร
“ไปต่อไม่ได้แล้ว ที่ไกลออกไปนั้นเป็นอาณาเขตอนุสรณ์สถานชั้นที่สอง พลังในนั้นร้ายกาจจนน่ากลัว แค่เข้าใกล้ก็ร่างแหลกเป็นจุณได้แล้ว” ตะพาบเขียวที่อยู่หน้าหน้าหยุดเดิน
หลินสวินเงยหน้ามอง ทะเลไกลเวิ้งไม่ได้ใสกระจ่างอย่างที่ตรงเขายืนอยู่ แต่กลับมีกลิ่นอายลึกล้ำหนาวเย็น ทางเข้าที่ลึกลงไปนั้นทำให้รู้สึกหวาดกลัว
เพียงมองหลินสวินก็กายเย็นวาบ ขนกายลุกชัน คล้ายแค่กลิ่นไอนั้นก็สามารถปลิดชีวิตเขาได้ง่ายๆ
ตะพาบเขียวหันตัวกลับไปทางเดิม
“ผู้อาวุโส เหตุใดอนุสรณ์สถานโบราณถึงมีชั้นที่สองด้วยเล่าขอรับ”
หลินสวินรีบตามไป
“ที่ข้ารู้มา อนุสรณ์สถานโบราณนี้อาณาเขตกว้างไกล จนครองพื้นที่ด้านหนึ่งของโลก ข้างในของมันมีสถานที่ต้องห้ามมากมาย อันตรายเกินจะนับ ไม่เพียงมีชั้นที่สอง ยังมีชั้นที่สาม สี่ ห้า…ส่วนทั้งหมดมีกี่ชั้น แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่มั่นใจว่าในตอนนี้ มีเพียงราชาอย่างระดับสังสารวัฏเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปในอนุสรณ์สถานชั้นที่สองได้”
หลินสวินได้ยินก็ใจเต้น เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้อนุสรณ์สถานโบราณกว้างขวางยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก แค่ชั้นที่หนึ่งก็ทำให้เขาได้รับสมบัติมากมายขนาดนี้ แล้วในชั้นที่สองจะมีสมบัติที่น่าตื่นตาเพียงใดกัน
หากเป็นเช่นนี้ ระดับชั้นยิ่งสูง เกรงว่าของที่อยู่ข้างในก็ยิ่งล้ำค่า
หลินสวินฮึกเหิม หากไม่ใช่เพราะความสามารถไม่เพียงพอ เขาก็อยากจะลองบุกเข้าไปดูสักครั้ง ว่าในอนุสรณ์สถานโบราณนี้ซ่อนความลับไว้มากแค่ไหน
ไม่นานหลินสวินก็สงบสสติอารมณ์ลงได้ ดังที่ตะพาบเขียวว่า อนุสรณ์สถานโบราณนี้มีข้อห้ามมากมาย และมีอันตรายอยู่ทุกหนแห่ง แม้ราชาอย่างระดับสังสารวัฏก็ยังมีคุณสมบัติแค่เพียงเข้าไปถึงอนุสรณ์สถานชั้นที่สอง เห็นได้ว่าอนุสรณ์สถานส่วนลึกลงไปนั้นอันตรายเพียงใด
“เหตุใดท่านไม่เข้าไปเล่า” หลินสวินถาม
“แม้พลังของข้าจะสูงเหนือใครบนโลกหล้า แต่ก็ไม่กล้าเอาชีวิตเข้าไปแลกหรอก ชั้นที่สอง…” พูดถึงตรงนี้ ตะพาบเขียวก็ถอนหายใจไม่อยากยอมรับ “ข้าในวันนี้ไม่อาจย่างกราย หากเพียงเข้าไปก็ต้องปางตาย ในนั้นเต็มไปด้วยกลลับมากมายจนต้องยอมแพ้”
เด็กหนุ่มร้องรับในลำคอ เขารู้ว่าตะพาบเขียวชอบคุยโม้ คำพูดของเขาแม้จะเกินความจริงไปบ้าง แต่ความกลัวต่ออนุสรณ์สถานชั้นที่สองนั้นเป็นความจริงแน่นอน
ไม่นาน ตะพาบเขียวก็พาหลินสวินมาถึงทะเลที่มีกระแสน้ำรุนแรง
“นั่นคืออะไรหรือขอรับ”
เมื่อมาถึง หลินสวินก็เห็นน้ำวนอันคุ้นเคยกำลังหมุนไปในทิศไกล เกิดเป็นคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าน่ากลัว ไม่ต้องสงสัยว่าพลังที่สามารถบดกลืนทุกอย่างลงไปได้จะรุนแรงเพียงใด
ตอนที่อยู่ใต้แม่น้ำเมืองมังกรเหลือง หลินสวินถูกคลื่นน้ำวนอย่างนี้พัดพาไปโดยไม่ทันระวัง จนมาโผล่ที่อนุสรณ์สถานกลางทะเลกลืนวิญญาณ
“นั่นคือน้ำวนลวงตา”
นัยน์ตาของตะพาบเขียวปรากฏแววเคียดแค้น “อย่ามองว่ามันอยู่ใต้ทะเล แต่คลื่นน้ำวนลวงตานั้นเชื่อมโยงกับกระแสน้ำพรางตาสายอื่นด้วย หากตกเข้าไปอยู่ข้างใน ไม่ว่าผู้ฝึกปราณหน้าไหนก็ไม่มีชีวิตรอด”
“แต่มันเป็นทางออกเพียงทางเดียวของอนุสรณ์สถานโบราณนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ติดอยู่ที่นี่เกือบพันปีหรอก” ตะพาบเขียวค่อนแคะ
“ผู้อาวุโส ท่านแน่ใจใช่หรือไม่ ว่าหากผ่านตรงนี้ไปแล้วจะทำให้กลับไปอยู่ในที่เดิมได้” หลินสวินเค้นถาม
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ความลึกล้ำของกระแสน้ำพรางตานั่นมากเกินไป แม้ข้าเองก็ไม่กระจ่าง แต่มั่นใจได้ว่า หากต้องการจะออกจากที่นี่ ก็มีเพียงแต่ข้ามผ่านมันไปเท่านั้น”
ตะพาบเขียวว่า หันมามองหลินสวินด้วยสายตาเป็นประกายร้อนแรง “เด็กน้อย ข้าดีกับเจ้ามาก ตอนนี้เจ้าจะยอมพาข้าออกไปจากที่นี่ได้ด้วยหรือไม่”
“แน่นอนขอรับ” หลินสวินยินดี
“ดีมาก!” ตะพาบเขียวเงยหน้าหัวเราะ
พลันก่อนที่หลินสวินกำลังจะเริ่มลงมือ ตะพาบเขียวกลับเรียกเขาไว้ “ช้าก่อน”
เด็กหนุ่มหันไปมองตะพาบเขียว ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไร
เวลานี้ตะพาบเขียวมีท่าทีสับสน ไม่อยากจากแต่ก็ดีใจ สุดท้ายจึงโพล่งขึ้น “มีเหล้าหรือไม่”
“มีขอรับ” ในแหวนของหลินสวินมักจะมีเหล้าติดไว้เสมอ ไม่ใช่เก็บไว้ดื่มเอง แต่เคยชินกับการซื้อให้เสวี่ยจินเมื่อตอนอยู่เมืองหมอกอำพราง
“เมื่อเข้าไปในน้ำวนแล้ว บางทีเจ้ากับข้าอาจจะแยกกันจริงๆ เช่นนั้นพวกเราใช้โอกาสนี้มาร่ำสุรากันหน่อยดีหรือไม่” ตะพาบเขียวมองหลินสวินด้วยความคาดหวัง
มันติดอยู่ในนี้เกือบพันปี เงียบเหงาเดียวดาย ไม่มีใครคุยด้วย วันนี้จะจากไป ในใจกลับไม่เต็มใจพะวงหา
“พูดได้ดี” หลินสวินว่าแล้วก็หยิบเอาสุราขึ้นมา ก่อนจะนั่งร่ำสุรากับตะพาบเขียวที่ใต้ท้องทะเล
หลังจากที่ตะพาบเขียวได้ดื่มสุราแล้ว มันก็นับหลินสวินเป็นสหายรู้ใจ เล่าเรื่องราวที่อัดอั้นเก็บเอาไว้มากมายให้เด็กหนุ่มฟัง หรืออาจเพราะว่านี่เป็นการระบายอย่างหนึ่งหลังจากที่เดียวดายอยู่นาน
หลินสวินดื่มไปฟังไป ที่แท้ตะพาบเขียวมาจากเกาะแสงขจีที่อยู่ลึกลงไปในทะเลกลืนวิญญาณ และเรียกตนเองว่าราชาแห่งตะพาบเขียว เป็นผู้ปกครองเกาะแสงขจี ชื่อเสียงขจรไกล เพียงแต่เพื่อการฝึกฝนปราณ มันหลงเข้ามาในอนุสรณ์สถานโบราณนานเกือบพันปี จนกระทั่งวันนี้ได้เจอกับหลินสวิน ถึงมีความหวังจะได้ออกไป
เด็กหนุ่มแปลกใจที่นับจากอายุขัยแล้ว ตะพาบเขียวตัวนี้มีอายุราวสองพันหกร้อยกว่าปี แต่ในสายพันธุ์ของตะพาบเขียว สองพันปีนับได้ว่าเพิ่งพ้นวัยเด็ก ขณะนี้นับว่ามันเข้าสู่วัยกำลังเติบโต ยังห่างจากวัยผู้ใหญ่อีกยาวไกล ดังนั้น ตะพาบเขียวตัวนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับวัยหนุ่มของมนุษย์
หลินสวินจึงกระจ่างว่าเหตุใดมันมักพูดจาวางอำนาจเหมือนคนแก่ แต่นิสัยกลับขี้โวยวาย ชอบให้คนชม หยิ่งยโสอวดดี ไม่ต่างอะไรไปจากวัยหนุ่มแม้แต่น้อย
เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายใช้ชีวิตมากว่าสองพันปี การที่จะให้หลินสวินมองเขาว่าเป็นเด็กหนุ่มก็ชักทะแม่งๆ อยู่
กระทั่งเหล้าหมดลง ตะพาบเขียวถึงพูดอย่างอาวรณ์ “น้องหลินสวิน เมื่อเจ้าเก่งถึงระดับหยั่งสัจจะแล้วก็จะเข้าใจว่าโลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่เจ้าคิดนัก เปรียบเทียบกับโลกนี้ จักรวรรดิจื่อเย่านั่นก็เล็กเท่าเม็ดลูกกลอนเท่านั้นเอง หากภายหลังเจ้าอยากเที่ยวเล่นบนโลกนี้ ก็ให้มาหาข้าที่เกาะแสงขจีได้เสมอ ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักว่าวิถีเซียนที่แท้จริงเป็นอย่างไร”
หลังจากร่ำสุรากันสนุกสนานแล้ว ตะพาบเขียวเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกหลินสวิน มองเขาเป็นดั่งคนสนิท แววความห่างเหินในวาจาลดลงไปมาก
คำพูดของเขายามนี้ เห็นชัดว่าพูดออกมาจากใจจริง
หลินสวินตื้นตัน ไม่คิดว่าบังเอิญมาจนถึงทะเลลึกห่างไกลจากจักรวรรดิเป็นหมื่นลี้แล้ว ยังได้รู้จักกับอสูรวิญญาณที่มีสติปัญญาเช่นนี้
เขาเริ่มเข้าใจความไม่เที่ยงธรรมของโลก รู้สึกโชคดีที่ได้พบพานกับตะพาบเขียวในครั้งนี้
“พี่ตะพาบเขียวไม่ต้องห่วง หากจัดการเรื่องวุ่นวายเสร็จแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมท่านเอง” เขาเอ่ยรับปากทันที
ตะพาบเขียวเงยหน้าหัวเราะร่วน ไม่พูดอะไร พุ่งตัวเข้าไปในน้ำวนพร้อมกับหลินสวิน
โครม!
น้ำวนหมุนเวียน คลื่นน้ำพลังน่ากลัวดูดกลืนทึ้งมวลสรรพสิ่ง เพียงพริบตาก็พัดพาหลินสวินกับตะพาบเขียวเข้าไปข้างใน
ก่อนที่จะหมดสติลงหลินสวินเห็นตะพาบเขียวกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ทั้งยังสวมชุดสีเขียว หน้าตาหล่อเหลา ที่แท้มันก็ฝึกฝนจนกลายร่างเป็นคนได้แล้ว
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว ภาพตรงหน้าหลินสวินดำมืด ร่างกายคล้ายถูกมือหนึ่งดึงตัวไป หายไปท่ามกลางกระแสน้ำพรางตา
…
ซู่ซ่า
เสียงกระแสน้ำเชี่ยวกรากปลุกหลินสวินให้ตื่น เมื่อลืมตาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในใต้น้ำ เขารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่อนุสรณ์สถานโบราณแล้ว เด็กหนุ่มสะบัดหัวสูดลมหายใจ พุ่งขึ้นไปเหนือพื้นน้ำร้อยกว่าจั้ง
บัดนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาวพราวระยับ สองฝั่งของแม่น้ำเป็นแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน บางทีก็มีเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังขึ้นมา
หลินสวินสำรวจบริเวณโดยรอบแล้ว ถึงแน่ใจว่าตนเองกลับมาที่จักรวรรดิ และสถานที่แห่งนี้ก็คือแม่น้ำที่อยู่นอกเมืองมังกรเหลืองนั่นเอง
เขามองหาโขดหินแล้วนั่งลงเหม่อลอย หว่างคิ้วมีแววสับสนว่าที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงฝันหรือไม่ แต่เมื่อสำรวจเห็นสมบัติล้ำค่ามากมายในแหวน หลินสวินก็ตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่ฝัน แต่เกิดขึ้นจริงๆ
และที่ทำให้เป็นทุกอย่างเช่นนั้น ก็คือน้ำวนลึกลับที่อยู่ใต้แม่น้ำนั่น มันคล้ายเป็นทางเชื่อมลับพรางตา มีพลังพรางตาเคลื่อนย้ายที่คาดไม่ถึง
“รักษาตัวด้วย”
หลินสวินรำพึงขึ้นในใจ ในหัวปรากฏภาพของตะพาบเขียว
สวบ
เด็กหนุ่มไม่มัวลังเล เขาแวบไปกับความมืด ในเมื่อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ก็รีบไปที่นครต้องห้ามดีกว่า
318 พลังของมหาสมุทรวิญญาณ
โดย
ProjectZyphon
ครึ่งเดือนต่อมา เมืองเพลงยุทธ์
เมืองเพลงยุทธ์มีชื่อเสียงเนื่องด้วยเป็นหนึ่งในเมืองที่ใกล้นครต้องห้ามที่สุด ที่นี่และอีกสิบเอ็ดเมืองรายล้อมนครต้องห้ามไม่เพียงเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังเต็มไปด้วยกลุ่มอำนาจมากมาย
ยามเที่ยงตรงดวงตะวันสาดแสงแรงกล้า อากาศร้อนอบอ้าว
ถนนนอกเมืองห่างไปจากเมืองเพลงยุทธ์สิบกว่าลี้ เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเหนื่อยล้าเข้ามา เขาอยู่ในชุดเรียบง่ายสะอาดตา ผมดำสะบัดพริ้วอยู่ข้างหลัง หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตาสีดำล้ำลึก ริมฝีบางยิ้มบางๆ คนผู้นี้ย่อมคือหลินสวิน
เมื่อเห็นกำแพงเมืองตั้งสง่าอยู่จากที่ไกลๆ หลินสวินก็รีบเร่งฝีเท้า หากคำนวณแล้ว หลังจากออกเดินทางมากจากเมืองหมอกอำพรางจนถึงวันนี้ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า ตอนนี้มาถึงเมืองที่อยู่ใกล้นครต้องห้ามที่สุด ทำให้หลินสวินแอบโล่งใจ
เขารู้ว่าหากเหยียบเข้าไปในเมืองเพลงยุทธ์ก็ไม่ต้องกลัวการสังหารของตระกูลฉืออีก เพราะในฐานะที่เมืองนี้เป็นหนึ่งในสิบสองเมืองพิทักษ์เมืองหลวง ที่นี่จึงมีกำลังทหารและผู้ฝึกปราณอยู่มากมาย ตระกูลต่างๆ มีรากฐานแข็งแกร่ง แม้จะเป็นตระกูลฉือก็ไม่กล้าจัดการตัวเขาอย่างเปิดเผยไม่เกรงกลัว
“เข้าไปในเมืองเพลงยุทธ์แล้ว ค่อยใช้รถม้าเร่งเดินทางไปในนครต้องห้ามก่อนท้องฟ้าจะมืด…” หลินสวินเดินพลางคิดไปด้วย
ในตอนนั้นเอง บนฟ้ามีแสงปรากฏ เด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บกระบี่บิน เขาคิ้วเข้มดุจดาบ ตาประกายดังดวงดาว ริมฝีปากแดง หัวสวมเครื่องหัวสูงประดับขนนกทองคำ ยามบินแสงดาบดุจคลื่นสะท้อน เสื้อผ้าพัดไสว เป็นภาพที่สง่างามนัก
ระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
หลินสวินแปลกใจเล็กน้อย ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง คาดว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ยังดูอ่อนวัย แต่กลับขี่กระบี่เหินฟ้า รอบกายมีไอสีม่วงลอยล้อม
เขาเพิ่งเคยเจอผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณที่อายุน้อยขนาดนี้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเขามักถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด แต่ว่ากับเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วเทียบไม่ได้เลย
ก่อนจะเขาแปลกใจที่เด็กหนุ่มคนนั้นขี่กระบี่มาทางตนเองด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“เจ้าคือหลินสวินใช่หรือไม่” เด็กหนุ่มหยุดกระบี่บนฟ้า ปรายสายตามองหลินสวิน
“เจ้ารู้จักข้าหรือ” หลินสวินประหลาดใจ
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ข้ารอเจ้าที่นี่นานแล้ว ถึงเวลาที่จะฆ่าเจ้าเสียที” เด็กหนุ่มท่าทางเย็นชา แสงสีม่วงรอบกายเข้มข้นขึ้น ทั่วทั้งร่างปล่อยไอสังหารออกมา เขาสะบัดมือให้กระบี่ในเท้าลอยขึ้นบนอากาศ โดยไม่รอให้หลินสวินตั้งตั้ว
ฟิ้ว
แสงกระบี่ส่องประกาย พลางลอยขึ้นบนฟ้าสูงกว่าสิบจั้ง แหวกผ่านอากาศขึ้นไปคล้ายสายฟ้าฝ่าพสุธา
ฟ้าดินเปลี่ยนแปลง มวลอากาศคล้ายกับจะเกิดฟ้าร้องคำราม
หลินสวินนึกได้รีบหลบกายหนี กระบี่มีพลังจากดินฟ้า ทำให้เขารับรู้ถึงความอันตราย
เปรี้ยง!
ฟ้าผ่าแตกเป็นรอยกว่าสิบจั้ง เกิดควันลอยโขมง
หลินสวินรู้สึกเจ็บไหล่ขวา เพราะโดนกระบี่เล่มนั้นปาดเฉือนเนื้อจนเลือดอาบในขณะที่หลบ นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่มพลันเย็นเยือก ใจปลาบแวบความคิดอยากสังหาร
อยู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายโจมตีจนเกือบสังเวยชีวิต จะให้หลินสวินไม่โกรธได้อย่างไร
ปัง!
หลินสวินเรียกหน้าไม้ฝนดาวตกที่เหลือด้ามสุดท้ายมาใช้ เกล็ดแสงเปล่งประกายคล้ายลูกดอกวิญญาณพุ่งทะยานออกไป
ก่อนหน้านั้นหลินสวินอาศัยหน้าไม้ฝนดาวตกทำให้ศัตรูบาดเจ็บหนักได้ แต่ครั้งนี้ผลลัพธ์กลับไม่เหมือนเคย ลูกดอกวิญญาณคล้ายห่าฝนนั้นพุ่งเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มได้เพียงหนึ่งฉื่อ ก็พลันหยุดนิ่งคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้
ฉึก ฉึก ฉึก
แสงสีม่วงรอบกายของเด็กหนุ่มเข้มข้นเดือดดาล กลายเป็นตาข่ายส่องแสงวาบตา พริบตาเดียวลูกดอกวิญญาณปล่งประกายเหล่านั้นก็ถูกแสงสีม่วงละลายหายไปดุจหิมะละลายเป็นน้ำ
อาศัยพลังฟ้าดินสร้างพลังสายฟ้า ไม่เมินเฉยการโจมตีของคู่ต่อสู้ พลังเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นพลังระดับเทพในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ต้องครอบครองวิชาลับเก่าแก่เท่านั้นถึงจะเรียกใช้มันออกมาได้
“ยืมพลังภายนอกปกป้องร่างกาย เด็กหนุ่มผู้นี้อายุยังน้อย กลับใช้วิชาทรงพลังในเส้นทางฝึกตนได้ถึงเพียงนี้ เขาจะต้องมีชื่อเสียงแน่” หลินสวินประหลาดใจ
ระดับมหาสมุทรวิญญาณ เป็นระดับที่ผู้ฝึกปราณเริ่มควบคุมและรับรู้พลังมหัศจรรย์ของฟ้าดินได้ สามารถเรียกเรียกสายฟ้า บินเหินบนอากาศ ฆ่าคนผ่านอากาศ และหยิบใช้พลังจากดินฟ้าได้
เมื่อบรรลุถึงระดับนี้ ก็เท่ากับย่างเข้าสู่เส้นทางเหยียบฟ้าแล้ว การปลุกเมฆขี่หมอก หรือเรียกฟ้าฝนล้วนไม่ใช่เรื่องยาก
บนโลกนี้แม้จะมีผู้ฝึกปราณมากมาย แต่ผู้ที่สามารถฝึกจนฝนถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย และหากจะเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้า ที่เหยียบย่างระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ในอายุเพียงสิบกว่าปี และได้ครอบครองวิชาลับชั้นสูงยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ เรียกได้ว่าสุดยอดอย่างแท้จริง
หลินสวินแม้จะสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าในขณะอยู่ขั้นผสานดินได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว เขาก็ยังรู้สึกกดดันอยู่มาก
“เป็นเพียงผู้ฝึกปราณขั้นผสานดิน แต่สามารถต้านทานพลังของข้าได้ ก็นับว่าเจ้าเป็นคนใช้ได้ทีเดียว แต่ว่าสำหรับข้าแล้วยังไม่พอหรอก” คำพูดช้าสลับเร็วเอ่ยออกมาหลังจากสลายลูกดอกหน้าไม้ฝนดาวตก เด็กหนุ่มกระดิกนิ้วในอากาศ
เสียงฟึบหนึ่งเกิดเป็นไอสีม่วงรูปกระบี่สามเล่มยาวสิบกว่าจั้ง ก่อนจะแหวกตัดอากาศ!
กลิ่นอายดาบน่ากลัวนั่นแหวกตัดอากาศพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว
ฉึก ฉึก ฉึก
หลินสวินไม่มีพลังจะต่อกร ทำได้เพียงหลบหลีก แม้จะหลบดาบทั้งสามออกมาได้ แต่ขาขวา แผ่นหลัง และไหล่ก็ได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลจนเห็นกระดูกขาวรางๆ
น่ากลัวเกินไปแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ หลินสวินจึงเข้าใจถ่องแท้ถึงความน่ากลัวของระดับนี้ พวกเขาสามารถบีบบี้ผู้มีปราณระดับจิตผสานวิญญาณได้โดยง่ายเลยทีเดียว
แม้เรือรบวีรชนม่วงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีสติปัญญา ไม่เหมือนผู้ฝึกปราณที่ครอบครองวิชาลับและมีสติปัญญา เมื่อได้ลงมือขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมแสดงพลังที่แตกต่างออกมาโดยสิ้นเชิง
“เอ๋”
เด็กหนุ่มคนนั้นประหลาดใจเมื่อหลินสวินหลบหลีกจากโจมตีครั้งที่สองได้ เขามีสีหน้ามึดครึ้ม ก่อจะว่าเสียงเย็น “ข้าก็อยากรู้ว่าคนอ่อนแออย่างเจ้าจะฝืนไปได้สักเท่าไร”
เขายกมือขึ้นฟ้า
เปรี้ยง!
กระบี่วิญญาณปรากฏออกมา หมุนล้อมรอบกายเขาจนเกิดพลังน่ากลัว
อากาศถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังจากกระบี่ ยามที่กระบี่ปรากฏออกมาย่อมสะท้านสะเทือนฟ้าดินอย่างไม่ต้องสงสัย
บริเวณนี้ถูกจำกัดอาณาเขตไว้ ไม่มีทางให้หลบหลีกไปได้
หลินสวินกัดฟัน นัยน์ตาสีดำฉายแววเหลื่อยล้าวาบผ่านไป พลังในกายพลุกพล่าน มือขวามีดาบเวทเรืองแสง ในมือซ้ายกำไข่มุกสีดำทอประกายขนาดเท่าไข่นกเอาไว้
ขณะที่การต่อสู้กำลังจะเริ่ม พลันเสียงอบอุ่นใจดีก็ดังขึ้น
“หากกล้าลงมือ ข้าจะสังหารเจ้าเสีย”
เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าถอดสี หว่างคิ้วปรากฎความไม่พอใจ กระบี่วิญญาณที่เตรียมพร้อมมานานลอยขึ้นทันที
โครม!
ห้วงอากาศแห่งนั้นถูกทำลายลง ก่อนที่มือเหี่ยวย่นจะจับกระบี่วิญญาณเล่มนั้นเอาไว้ได้ ไม่ว่ามันจะต่อต้านอย่างไร ก็ออกไปจากเงื้อมมือนั้นไม่ได้
กายผอมสูงใหญ่ของชายชรานั้นคล้ายภูเขายืนบดบังอยู่ตรงหน้าหลินสวิน
“เจ้ากล้าขัดขวางข้าหรือ” เด็กหนุ่มโมโห ตะเบ็งเสียงใส่
ชายชราเพียงสะบัดปลายนิ้ว กระบี่วิญญาณก็ปริแตก
เด็กหนุ่มคล้ายถูกเอาคืน ใบหน้าพลันซีดขาว พร้อมทั้งสะบัดเสียงใส่
“หลังจากสามลมหายใจ หากยังไม่หนีไปก็ทิ้งชีวิตไว้ตรงนี้เถิด” เสียงอารีอบอุ่นของชายชราไร้ความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
เด็กหนุ่มหน้าถมึงทึง กัดฟันด้วยความโกรธเคือง “ข้าจำเรื่องวันนี้ไว้แล้ว สักวันข้าจะเอาคืนเป็นสิบเท่า” ว่าแล้วเขาก็สะบัดชายผ้าบินออกไป
กระทั่งไร้เงาของเด็กหนุ่ม ชายชราจึงหันกลับหลังมามองหลินสวิน เอ่ยเสียงเจือแววขอโทษ “ข้าไม่คิดว่าเด็กตระกูลฉือคนนี้จะมาหาเจ้าโดยไม่สนใจคำทัดทาน”
หลินสวินส่ายหัว “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสมากที่มาช่วยได้ทันเวลา”
เขาปิดบาดแผลบนร่างกายขณะพูด ท่าทางนิ่งสงบจนเรียกได้ว่าสงบเกินไป หลังจากจัดการบาดแผลเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส คนผู้นั้นคือใครหรือขอรับ”
“ฉือฉางเฟิง หนึ่งในผู้มีความสามารถเป็นเลิศของตระกูลฉือในรุ่นนี้ ผู้มีสายเลือดดอกบัวม่วงกลางทะเลทองโดยกำเนิด พรสวรรค์โดดเด่น” ชายชราบอก เขาไม่ได้เอ่ยชมแต่พูดตามความเป็นจริง ฉือฉางเฟิงคนนี้เป็นตัวประหลาดที่โดดเด่นสะดุดตา ผู้มีอำนาจในนครต้องห้ามต่างยอมรับในตัวเขา
“เหตุใดเขาถึงจะเอาชีวิตข้า” หลินสวินถามต่อ
“เพราะซย่าจื้อ” หลินสวินผงะเมื่อชายชราบอกคำตอบที่นอกเหนือความคาดหมาย
ครู่หนึ่งเขาถึงมุ่นคิ้วถาม “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
ชายชราหวนนึก “พูดแล้วเรื่องยาว เจ้าตามข้ามาเถอะ เมื่อเข้าไปในนครต้องห้ามแล้ว ข้าจะบอกเรื่องราวทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้ให้เจ้าฟัง”
หลินสวินพยักหน้า
ชายชราสะบัดชายผ้า พลังนุ่มนวลสายหนึ่งหลั่งไหลออกมา ครอบคลุมตัวเขาและหลินสวินให้โผบินขึ้นฟ้า ลอยออกไปยังที่แสนไกล
หลินสวินเก็บไข่มุกสีดำในมือซ้ายไว้ ไข่มุกเม็ดนี้คือไข่มุกสะเทือนสวรรค์ เป็นไข่มุกที่ตะพาบเขียวสร้างขึ้นฆ่าเวลาเมื่อตอนอยู่ติดอยู่ในอนุสรณ์สถานโบราณเกือบพันปี พลังของมันแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำร้ายยอดฝีมือในระดับหยั่งสัจจะได้
การสร้างไข่มุกนี้มีขั้นตอนยุ่งยาก ภายในหนึ่งพันปีตะพาบเขียวสร้างขึ้นมาได้เพียงเก้าลูก ในตอนแยกจากได้แบ่งให้หลินสวินปกป้องตัวเองสามลูก
หากชายชราไม่ปรากฏกาย หลินสวินคงไม่ลังเลที่จะให้ฉือฉางเฟิงทดลองพลังของไข่มุกสะเทือนสวรรค์ลูกนี้
น่าเสียดายที่พลาดโอกาสไปแล้ว คงต้องรอใช้มันในโอกาสหน้าแล้วสินะ
319 สถานะลึกลับกับความจริงที่ได้รับรู้
โดย
ProjectZyphon
ลมบนฟ้าพัดเสียดหน้าเจ็บเหมือนดาบบสด
หลินสวินเพิ่งจะเคยเดินเหินบินบนอากาศอย่างนี้เป็นครั้งแรก ก้อนเมฆที่อยู่ไกลออกไปให้ความรู้สึกเหมือนควบคุมมันได้ ทำให้เด็กหนุ่มดูเปรมปรีดิ์ อารมณ์ขุ่นมัวที่ถูกทำร้ายหมายชีวิตหายไปไม่น้อย
“การกีดกันไม่ให้เดินทางมานครต้องห้ามครั้งนี้ ข้ากับคุณหนูล้วนรู้แต่ห้ามไม่ได้ เพราะว่าทั้งหมดเป็นการทดสอบของเจ้า” ชายชราเอ่ยบอก คำนั้นทำให้หลินสวินใจกระตุก สงบอารมณ์ไม่มองบรรยากาศโดยรอบอีก
“เจ้าก็คงจะเดาได้ หากอยากฆ่าเจ้าจริงๆ ตระกูลฉือไม่จำเป็นต้องจัดตั้งภารกิจนี้ แค่ส่งผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณไปคนเดียวก็จัดการเจ้าได้แล้ว” แม้คำพูดของชายชราจะไม่ไว้หน้า แต่ก็เป็นความจริงดังนั้น หลินสวินพอเดาได้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริง
อาจเพราะหลินสวินผ่านการทดสอบแล้ว ชายชราจึงเอ่ยอย่างเถรตรงไม่ปิดบังกันเหมือนก่อน
“เพราะเหตุใด” หลินสวินถามต่อ
“เพราะสถานะของเจ้า” ชายชราเสียงอบอุ่นแต่แผ่วเบา เพียงไม่กี่คำก็พอที่จะทำให้หลินสวินสั่นสะท้าน ในที่สุดก็จะบอกความจริงกับเขาแล้วสินะ
ตั้งแต่ออกจากคุกใต้เหมืองวันนั้น เขาก็ตั้งใจเข้ามาตามหาสถานะของตัวเองในจักรวรรดิจื่อเยา เขารอเวลานี้มานานเหลือเกิน
ถ้ารู้สถานะของตัวเองก็ ย่อมรู้ว่าใครเป็นคนพรากชีพจรวิญญาณของตนเองไป
“ผู้อาวุโส โปรดบอกความจริงแก่ข้า” หลินสวินสูดลมหายใจ เอ่ยอย่างจริงจัง
ชายชรามีท่าทีซับซ้อน ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “ข้าเคยรับปากเจ้าไว้ เมื่อเจ้าเข้ามาในนครต้องห้ามแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะบอกความจริงแก่เจ้าแล้ว”
สายตาของชายชรารำลึกไปถึงอดีต “พ่อของเจ้านามว่าหลินเหวินจิ้ง เป็นผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในนครต้องห้าม พรสวรรค์โดดเด่น มีพลังเหนือกว่าใคร เขาถูกคนในตระกูลหลินเล็งเอาไว้ให้เป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลิน”
หลินเหวินจิ้ง
ตระกูลหลิน
หลินสวินทบทวนกับตัวเองในใจเงียบๆ
“แม่ของเจ้านามว่าลั่วชิงสวิน นางทีฐานะยากจน กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง”
“นางมีพรสวรรค์การฝึกฝนที่เหนือปกติตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยความที่เป็นคนฉลาดหลักแหลม ทำให้ย่างเข้ามาในเส้นทางสายฝึกปราณ”
“นางผ่านการทดสอบระดับอำเภอ จังหวัด มณฑล และอาณาจักร เข้าศึกษาในสำนักศึกษามฤคมรกต หากข้าจำไม่ผิด นางน่าจะเป็นที่หนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน”
“ใช่แล้ว ปีนั้นพ่อของเจ้าได้ที่สอง เป็นรองเพียงแม่ของเจ้า”
หลินสวินตกตะลึง ที่แท้…มารดาของขาก็เก่งกาจถึงเพียงนี้ แม้จะเกิดจากบ้านฐานะยากจน แต่ก็ต่อสู้จนได้รับเกียรติยศ เป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของการทดสอบระดับมหัศจรรย์ ช่างมหัศจรรย์เสียจริง
หลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้ถึงรู้ชัด ว่ากว่าคนยากจนจะได้รับเกียรติยศเช่นนี้ยากลำบากเพียงใด
แต่ชัดเจนว่า มารดาที่เขาไม่เคยพบหน้าคือสตรีในตำนาน
เสียงอบอุ่นของชายชราเล่าเรื่องราวในตอนนั้นออกมา
ปีนั้นหลังจากที่ลั่วชิงสวินกับหลินเหวินจิ้งผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรแล้ว พวกเขาก็เข้าศึกษาต่อในสำนักศึกษามฤคมรกต ปีที่สองที่ทั้งสองคนเข้าศึกษา ทั้งคู่ตกลงปลงใจจะแต่งงานกัน แต่ไม่คิดว่าตระกูลหลินจะคัดค้านเป็นเสียงเดียว
ตระกูลหลินคิดว่าหลินเหวินจิ้งเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลหลิน ฐานะสูงส่ง เป็นตัวแทนอำนาจของตระกูลหลิน ส่วนลั่วชิงสวินแม้จะมีพรสวรรค์โดดเด่น แต่อย่างไรก็ยากจนข้นแค้น ไม่คู่ควรกับหลินเหวินจิ้ง
หากอยากให้ลั่วชิงสวินแต่งเข้าตระกูลหลินก็ย่อมได้ แต่ไม่สามารถแต่งเป็นภรรยาหลวง เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น
ตอนนั้นหลินเหวินจิ้งไม่ยอมรับ ไม่สนใจคำทัดทาน และเลือกที่จะอยู่เคียงคู่กับลั่วชิงสวิน ทำให้ตระกูลหลินโมโหจะปลดตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลไปจากหลินเหวินจิ้ง
แต่สุดท้ายบิดาของหลินเหวินจิ้งก็ออกหน้าไกล่เกลี่ยเรื่องราว ไม่กีดกันหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวินอีก ความวุ่นวายนี้จึงสงบไป หลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวินได้อยู่ด้วยกัน กลายเป็นคู่รักเทพเซียนที่ทั้งนครต้องห้ามต้องอิจฉา
ผ่านไปหลายปี ในตอนที่ลั่วชิงสวินท้องกำลังจะคลอดในเดือนที่สิบ ภัยร้ายก็มาเยือน
เล่าถึงตรงนี้ ชายชราพลันเสียงแผ่วลง
หลินสวินหัวใจบีบคั้น เม้มปากลุ้นตามไปด้วย เขาเดาไว้ว่าภัยร้ายน่าจะเกิดตอนที่ตนเขาเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้น เพราะคนร้ายขโมยชีพจรวิญญาณของเขาไปด้วย
“เหตุการณ์ตอนนั้นกะทันหันนัก แทบไม่มีใครทราบชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่นอนก็คือ ในคืนที่เจ้าเกิดมา พ่อของเจ้าถูกฆ่า แม่ของเจ้าหายตัวไป ทั้งตระกูลหลินตกอยู่ในภาวะระส่ำระส่าย”
ชายชราเอ่ยเบาๆ “หลังจากนั้นถึงมีข่าวรั่วไหลออกมา ว่าคืนวันนั้นสายเลือดตรงของตระกูลทั้งหมดถูกสังหารจนสิ้น ไม่มีใครรอดชีวิตมาได้เลย”
ได้ยินเช่นนี้หลินสวินก็ปวดใจแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้ไม่เคยเจอหน้าบิดามารดา ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับพวกเขา แต่เมื่อได้ยินเรื่องเลวร้ายที่พวกเขาประสบ เด็กหนุ่มก็ทำใจรับได้ยากเช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าหากบิดามารดายังอยู่ อาจจะมีโอกาสได้อยู่กันพร้อมหน้า เขาถึงกับมีความคิดว่าหากได้เจอหน้าผู้ให้กำเนิดทั้งสอง จะถามให้ชัดว่าเหตุใดตอนนั้นถึงทนมองเขาถูกทำร้ายได้
แต่เมื่อได้รู้ว่าหลินเหวินจิ้งผู้เป็นบิดาถูกสังหาร มารดาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ แม้แต่ทายาทสายตรงทั้งหมดก็ยังถูกสังหารจนหมด จิตใจของหลินสวินพลันว่างเปล่า ในอกคล้ายมีหินยักษ์ทับอยู่จนอึดอัด เขาเม้มปากแน่น สองหมัดกำแน่น กดข่มความสั่นไหวในใจ
“คนร้ายคือใคร” หลินสวินถาม แสงแหบพร่าคล้ายบีบเค้นออกมา
“อวิ๋นชิ่งไป๋” ชายชราเสียงแฝงไปด้วยความซับซ้อนสับสน
“เหตุใด…เขาถึงทำเช่นนี้” เสียงของหลินสวินสั่นเครือ คล้ายกดอารมณ์แปรปรวนในใจไม่ได้
“ไม่มีใครรู้” ชายชราถอนหายใจ
หลินสวินนิ่งไป
ชายชราจึงเอ่ยต่อ “เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ใช่ผู้ฝึกตนในจักรวรรดิจื่อเย่า แต่มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าในดินแดนลี้ลับ”
หลินสวินงุนงง “สำนักกระบี่เทียมฟ้าหรือขอรับ”
เขาเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่คุ้นเคย
ชายชราพยักหน้า “ใช่แล้ว สำนักกระบี่เทียมฟ้าอยู่ไกลโพ้นฟ้า มันเป็นดินแดนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่อย่างเดียวดาย” ชายชราเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าจงจำเอาไว้ อวิ๋นชิ่งไป๋คนนี้ที่มาใหญ่โต สำนักกระบี่เทียมฟ้าที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็น่ากลัวนัก เพียงพอให้คนใหญ่โตในจักรวรรดิเกรงกลัวได้”
หลินสวินเงียบ
อวิ๋นชิ่งไป๋ สำนักกระบี่เทียมฟ้า
หลินสวินจดจำสองชื่อนี้ขึ้นใจ หนึ่งเป็นชื่อคน หนึ่งเป็นชื่อสำนัก
เขามั่นใจกระทั่งว่าคนที่ขโมยชีพจรวิญญาณหุบเหวกลืนกินของเขาคืออวิ๋นชิ่งไป๋
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะตามหาพวกเจ้าให้ได้” หลินวินสงบนิ่งไม่สมวัยเด็กหนุ่ม คล้ายไม่มีความรู้สึก
ชายชราตระหนักข้อนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ เดิมทีคิดว่าหลินสวินจะรับเรื่องราวไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่ทั้งหมดล้วนไม่เกิดขึ้น กลับกันหลินสวินในยามนี้ยังสงบนิ่งได้มากกว่าเขาเสียอีก
ชายชราประหลาดใจแต่ก็กักเก็บอารมณ์ “ตอนนี้ เจ้ารู้สถานะของตัวเองหรือยัง”
หลินสวินพยักหน้า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่บอกกล่าว บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืม”
ชายชราไม่ว่าอะไร เขาชักรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเด็กหนุ่มตรงหน้า คล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
“ผู้อาวุโส ตระกูลฉือกีดกันข้าไม่ให้เข้ามาในนครต้องห้ามเพราะสถานะของข้าใช่หรือไม่” หลินสวินโพล่งถามขึ้น
ชายชราส่ายหน้า “เกี่ยวข้องกับสถานะของเจ้า แล้วก็เกี่ยวข้องกับตระกูลหลินของเจ้าด้วย”
หลินสวินงุนงง “ตระกูลหลินหรือขอรับ”
ชายชราว่า “ถูกต้อง ปีนั้นที่ตระกูลหลินประสบภัยร้าย ปู่ของเจ้า ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลถูกคนสังหาร แม้แต่ผู้สืบทอดอย่างพ่อของเจ้าก็ไม่เหลือชีวิตอยู่ ตระกูลหลินกลายเป็นมังกรที่ไม่มีหัว มีปัญหาภายในอย่างหนัก”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลหลินก็เหมือนชิ้นเนื้อที่คนจ้องมอง อำนาจใหญ่ในนครต้องห้ามเข้าไปยึดแบ่งปันสมบัติของตระกูลหลินจนสิ้นเนื้อประดาตัวตกต่ำลงในที่สุด”
หลินสวินเกิดโทสะในใจ “นี่มันต่างกับการขโมยอย่างไรกัน คนตระกูลหลินพวกนั้นไม่ต่อสู้ ยืนมองทุกอย่างเกิดขึ้นเฉยๆ เลยหรือ”
ชายชรายกยิ้มเยาะเย้ย “พวกเขาสนใจแต่เพียงการต่อสู้ภายในตระกูล เมื่อประสบกับการกลืนกินของอำนาจใหญ่แล้วจะต่อกรได้อย่างไร”
“น่าเสียใจที่สุดก็คือ เพื่อแย่งชิงอำนาจ หลายคนในตระกูลหลินลัฏลอบติดต่อสานสัมพันธ์กับคนพวกนั้น คนในคนนอกร่วมมือแบ่งเอาสมบัติของตระกูลหลินไป”
ได้ยินดังนี้ในใจหลินสวินแทบระเบิด บิดาและท่านปู่ต้องตายตก มารดาหายตัวไป คนในตระกูลเหล่านั้นไม่สนใจแก้แค้นแต่กลับแก่งแย่งอำนาจ ต่อสู้กันภายใน แม้กระทั่งร่วมมือกับคนนอกแบ่งเอาทรัพย์สินของตระกูลหลินออกไป ช่างน่าโมโหนัก
เมื่อเห็นท่าทีอึมครึมของหลินสวิน ชายชราก็ถอนหายใจออกมา “นี่เป็นชะตาของตระกูลทรงอำนาจ เมื่อไร้ซึ่งคานหลักค้ำจุน ก็ย่อมกลายเป็นอาหารอันโอชะของผู้อื่น ใครๆ ก็อยากลิ้มลองแล้วเหยียบให้จมลงไปจนไม่มีโอกาสให้ฟื้นตัวกลับมาใหม่ได้ สำหรับคนพวกนั้นแล้ว นี่เป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการเห็นที่สุด”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น