Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 295 - 302
ตอนที่ 295 สังหารเดือดพล่าน
โดย
ProjectZyphon
เมื่อหลินสวินปรากฏกายและถูกผู้ฝึกปราณเหล่านั้นจำได้ แทบจะไม่มีใครเชื่อลงเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง
ใครจะกล้าคิดว่า เด็กหนุ่มขั้นผสานใจผู้หนึ่งกลับรอดชีวิตจากการถล่มสังหารด้วยเรือรบวีรชนม่วงได้
ช่างเกินคาดไปแล้ว!
แต่ไม่นานนักก็ไม่มีใครกล้าคิดอะไรอีก ด้วยหลินสวินเริ่มโจมตีแล้ว
เขาตัวคนเดียวชัดๆ แถมยังแบกเด็กหญิงคนหนึ่งไว้อีก แต่เมื่อเขาลงมือกลับมีพลังราวพายุม้วนกลืน ไม่อาจต้านทานได้ ประหนึ่งราชันประจัญบานในสนามรบ!
ทุกดาบที่ฟันลงมาต้องได้ชีวิตหนึ่งไป ทักษะสังหารที่เรียบง่าย แม่นยำ และปราดเปรียวนั้น มีพลานุภาพสยบยับยั้งที่น่าไหวหวั่นอยู่ในที
หลินสวินเวลานี้ไร้สิ่งใดให้กังวล เขาต้องการระบายความโกรธแค้น ความเกลียดชัง และความรู้สึกโทษตัวเองที่สั่งสมในจิตใจราวภูเขาไฟปะทุ ทำให้เขาไม่มีทางยั้งมือได้ ทั้งไม่คิดจะยั้งมือด้วย!
ฆ่า!
เขาถือดาบเวทเรืองแสงไว้ในมือ พลังพลุ่งพล่านราวภูผาถล่มมหาสมุทรหวีดร้อง ตัวเขาเหมือนพายุที่ม้วนกลืนฟ้าดิน พุ่งปะทะตรงหน้า ไม่อาจขวางต้านได้!
“เร็วเข้า! โจมตีพร้อมกัน หยุดมันไว้!”
บุรุษใบหน้ามีแผลเป็น ผู้เป็นหัวหน้าร้องคำรามเคืองแค้น
ทันใดนั้นก็มีผู้ฝึกปราณมากมายพุ่งเข้ามา พยายามอาศัยข้อได้เปรียบยิ่งยวดด้านจำนวนคนเข้าล้อมสังหารหลินสวิน
ตู้ม!
แต่ไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็เห็นว่าคมดาบของหลินสวินบดขยี้ห้วงอากาศราวม้วนกลืนธารดารา ทำให้กลุ่มศัตรูที่ล้อมเข้ามากระเด็นออกไป ผู้ฝึกปราณเจ็ดแปดคนร้องโหยหวน ถูกกระแทกปลิวออกมาอย่างจัง บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย สูญเสียพลังการต่อสู้
ศัตรูหลายคนตื่นตะลึง ร้องออกมาด้วยความหวั่นกลัวไม่หยุดหย่อน ไม่อาจทำใจเชื่อทุกอย่างนี้ได้
นี่ช่างน่าหวาดหวั่นนัก อย่างไรเสียในกลุ่มนี้ก็ไม่ขาดผู้แข็งแกร่งขั้นผสานฟ้า แต่ในเวลานี้กลับไม่อาจต้านทานก้าวย่างของหลินสวินได้เลย!
ฆ่า!
เลือดสาดกระเซ็น ร่างกระเด็นไปทั่ว เสียงร้องโหยหวนหดหู่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในสันดอนหินนี้พร้อมกับที่หลินสวินพุ่งโจมตี
ภาพนองเลือดและโหดร้ายทุกฉากประหนึ่งเปลี่ยนที่แห่งนี้ให้เป็นนรก
ชิ้ง!
มีผู้ฝึกปราณจู่โจมจากข้างหลัง ทวนยาวเล่มหนึ่งเหนี่ยวนำแสงวาวสีดำขลับพุ่งเข้าแทงเด็กหญิงลั่วลั่วที่หลินสวินแบกไว้บนหลัง ราวงูพิษฉกลิ้นออกมา
ปัง!
แต่หลินสวินราวมีตาหลัง ทั้งที่เห็นว่าเขาไม่ได้เหลียวดู ในมือซ้ายกลับมีหน้าไม้พุ่มพฤกษาคันหนึ่งเพิ่มขึ้นมาทันใด ยิงกระจายออกไป
เสียงฟุ่บดังขึ้น ผู้ฝึกปราณที่ลอบจู่โจมผู้นั้นไม่ทันป้องกันตัว ก็ถูกลูกดอกลูกหนึ่งแทงเข้าตาซ้าย ทะลุไปทั้งศีรษะ ร้องเจ็บปวดล้มลงไปกับพื้นดังตึงไม่ลุกขึ้นมา
ในชั่วขณะเดียว ภาพน่าหวาดหวั่นชวนสังเวชนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณกลุ่มนั้นตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้อีก ยังผลให้รอบตัวหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
“ไอ้โง่เอ๊ย! นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ยังไม่รีบยิงหน้าไม้อีก!?” บุรุษใบหน้ามีแผลเป็นผู้เป็นหัวหน้าคำรามดุดัน
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณเหล่านั้นพากันล้วงหน้าไม้แล้วเล็งไปยังหลินสวินจากทิศต่างๆ ราวเพิ่งตื่นจากฝัน
แต่ทว่า…
ก่อนพวกเขาจะเคลื่อนไหว มือซ้ายของหลินสวินก็นำหน้าไม้คันหนึ่งออกมาก่อนแล้ว!
ไม่ใช่ทั้งหน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์ หน้าไม้พุ่มพฤกษา หรือหน้าไม้ชนิดใดที่พบได้ในท้องตลาด หน้าไม้นี้ธรรมดาสามัญ สีดำสนิททั้งคันดูไม่เตะตา
แต่ชั่วขณะที่หลินสวินเหนี่ยวไก ฟ้าดินพลันมีเสียงประหลาดราวเครื่องเป่าครวญเสียงต่ำดังขึ้น
วู้ม~
ในเสี้ยววินาที ในทัศนวิสัยของศัตรูทุกคนในที่นั้นพลันปรากฏแสงดาวสีเงินราวดอกไม้ไฟระเบิดออกดอกแล้วดอกเล่า งดงามตระการตาถึงที่สุด
ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรงพลันบังเกิดในจิตใจของทุกคน จิตวิญญาณล้วนประหวั่นพรั่นพรึงแทบจะพังทลาย
นั่นก็คือห่าลูกศรสีเงินที่งดงามราวภาพนิมิต!
พวกมันตระการตาราวดอกไม้ไฟ ลึกลับราวแสงดาว ทั้งงดงามจนสะท้านจิตสะเทือนวิญญาณเหมือนเกล็ดหิมะที่ควบแน่นเกล็ดแล้วเกล็ดเล่ากระจายอยู่ในห้วงอากาศ
ความงามเช่นนั้น ประหนึ่งทำให้ฟ้าดินอับสี จิตวิญญาณจมดิ่ง!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนไม่ทันได้ดิ้นรน ถูกคมธนูสีเงินลูกแล้วลูกเล่าแทงทะลุ ก่อนตายสีหน้ายังคงงุนงงเหม่อลอย ราวกับไม่คิดเลยว่าโลกนี้ยังมีหน้าไม้ที่ทั้งงดงามและน่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วย
เมื่อภาพราวแสงดาวแจ่มจรัสทั้งหมดนั้นหายไป บนพื้นดินก็มีซากศพเพิ่มขึ้นมาสิบกว่าศพ เลือดสดๆ ยังไหลริน แต่คนนั้นตายในชั่วพริบตา
นี่ก็คือหน้าไม้ฝนดาวตก!
อาวุธสังหารที่หลินสวินหลอมขึ้นเองกับมือชิ้นหนึ่งสมัยอยู่ที่ค่ายกระหายเลือด ล้วนเคยทำให้เสี่ยวเคอ เสี่ยวหม่าน และสวีซานชีตื่นตะลึงและไหวหวั่นมาแล้ว
ทั้งเคยทำให้เหล่าโม่ปรมาจารย์สลักวิญญาณผู้นี้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม ร้องออกมาด้วยความชื่นชมไม่หยุดหย่อน!
หน้าไม้ฝนดาวตกก็เป็นหนึ่งใน ‘ของเล่นเล็กๆ’ ที่หลินสวินหลอมเองกับมือก่อนออกมาจากเมืองหมอกอำพราง เช่นเดียวกับเครื่องจับพลัง
ที่น่าเสียดายก็คือ วัตถุดิบวิญญาณที่จำเป็นของหน้าไม้ฝนดาวตกราคาสูงเกินไป ด้วยกำลังทรัพย์ของเขาในตอนนั้น อย่างมากที่สุดก็หลอมได้เพียงคันเดียว
อีกทั้งหน้าไม้ฝนดาวตกแม้มีอานุภาพมากมายมหัศจรรย์หาใดเทียบ แต่ใช้ไปครั้งหนึ่งก็จะพัง ไม่มีทางเอามาใช้อีกได้ นี่อาจเป็นข้อด้อยที่ใหญ่ที่สุดของหน้าไม้ฝนดาวตกแล้ว
ด้วยวิชาสลักรอยสลักวิญญาณที่หลินสวินมีตอนนี้ ก็ไม่สามารถแก้ไขจุดด้อยนี้ได้อย่างสมบูรณ์
…
ชั่วพริบตาห่าลูกธนูราวดอกไม้ไฟและแสงดาวก็หายวับไป ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนล้วนถูกปลิดชีพคาที่!
ภาพน่าหวาดหวั่นนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณที่หนีพ้นเคราะห์นี้ล้วนขวัญหนีดีฝ่อ ใจหล่นไปถึงตาตุ่ม
ขนาดบุรุษใบหน้ามีแผลเป็นผู้เป็นหัวหน้าผู้นั้นยังมือเท้าเย็นเฉียบเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อคิดโดยละเอียด ตั้งแต่การสังหารหมู่ครั้งนี้เริ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ สหายของพวกเขาตายไปติดๆ กันสามสิบกว่าคนแล้ว
ส่วนคู่ต่อสู้ ถึงตอนนี้กลับไม่บาดเจ็บเลย!
โดยเฉพาะหลังได้รู้อานุภาพของหน้าไม้ฝนดาวตกนั้นแล้ว ทำให้ผู้ฝึกปราณที่ตื่นตระหนกแต่เดิมสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง ปณิธานในการต่อสู้มลายสิ้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลินสวินเริ่มลงมือสังหารอีกครั้ง ผู้ฝึกปราณที่เหลือเพียงยี่สิบกว่าคนนี้ล้วนหวีดร้องด้วยความตื่นกลัวอย่างอดไม่ได้ หนีหัวซุกหัวซุน
พวกเขาตกใจกลัวพลังต่อสู้ที่กล้าแข็งหาใดเทียบของหลินสวิน ทั้งยังรู้ถึงพลังสังหารน่าหวั่นกลัวของหน้าไม้ฝนดาวตกด้วย แล้วจะกล้าดื้อดึงต่อต้านได้อีกที่ไหน
หนี!
เวลานี้ในใจของพวกเขา หลินสวินช่างเหมือนปีศาจร้ายโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลินสวินแววตาเย็นเยียบราวสายฟ้า ไม่รามือเพียงเท่านี้ แต่กลับตามขึ้นไป
ทว่าเพียงตามไปหลายสิบจั้ง เขาก็พลันส่งเสียงอู้อี้ มุมปากมีเลือดไหลออกมา
การประจันบาญกันก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่เพราะฝืนตัวใช้พลังปราณ ประกอบกับบาดแผลภายในที่ได้รับก่อนหน้านี้ ยังผลให้เส้นปราณและอวัยวะภายในเจ็บปวดรุนแรงเหมือนไฟแผดเผา ไม่ได้ดีกว่ากันเลย
แต่กระนั้นหลินสวินก็ไม่หยุด ความโกรธแค้นและจิตสังหารในใจทำให้เขาไม่อาจยอมให้ศัตรูรอดพ้นสายตาไปได้
ปัง!
หลินสวินรีบไล่ตามไป พลางล้วงหน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์ออกมาคันหนึ่ง เล็งจังหวะเหนี่ยวไก ได้ยินเสียงปึ้งดังออกมา ร่างของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งที่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งก็ถูกยิงทะลุ ล้มลงบนพื้นดังพลั่ก
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงหวือแหลมเสียดหูของหน้าไม้อาวุธวิญญาณสะท้อนก้องทั่วฟ้าดินไม่หยุดหย่อน
ในเวลาต่อมาหลินสวินก็เหมือนพรานที่ฝีมือเฉียบขาดและใจเย็น ออกล่าเหยื่อที่หนีกระเจิดกระเจิงไปทั่วสารทิศอย่างไม่รามือ
ในการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อหลายวันก่อนทำให้เขาได้หน้าไม้จำนวนมาก เดิมทีคิดจะขายแลกเงิน แต่เวลานี้เขาใส่ใจอะไรมากมายไม่ได้ จึงใช้โจมตีศัตรูจนหมด
แม้ระหว่างไล่ตามต่อสู้จะทำให้ความแม่นยำของหน้าไม้ลดลงอย่างยิ่ง แต่ด้วยการโจมตีถี่ยิบหนาแน่น ก็มีผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนถูกปลิดชีพตายคาที่ดังเดิม
ไม่ทันได้รู้สึกตัว หลินสวินก็ไล่ตามถึงแนวภูเขาที่กว้างใหญ่ไพศาล หลังจากเขาฆ่าผู้ฝึกปราณผู้หนึ่งอีกครั้ง ดวงตาพลันหรี่ลง มองเห็นว่าไกลออกไปพันจั้งนั้นมีเรือรบวีรชนม่วงลำหนึ่งจอดนิ่งอยู่ตรงนั้น
หลินสวินเลิกตามไล่โจมตี หันกายเดินไปโดยไม่ลังเล ความเร็วยังเร็วขึ้นจากก่อนหน้านี้ไม่น้อย
ฮูม!
เรือรบวีรชนม่วงบินขึ้นฟ้าไปพร้อมกับเสียงครั่นครื้นราวอัสนีบาตรแรงกล้า ทอดเงามหึมาลงมาบนพื้น
และในเวลานี้ หลินสวินก็หายตัวลับไปในภูเขาที่ทอดตัวยาวเหยียดแนวหนึ่ง ใช้ทั้งมือเท้าปีนป่ายขึ้นบนยอดสุดของยอดเขาสูงหลายร้อยจั้ง
ฟู่!
หลินสวินสูดลมหมายใจเข้าออกลึกๆ นำธนูวิญญาณไร้แก่นสารออกมา นั่งยองลงกับพื้น ดวงตาสีดำมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป สายตาแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมราวเหยี่ยว
นิ้วชี้ลากขึ้นดึงสายธนูที่มีสีแดงสดราวเลือดนั้นจนตึง ในห้วงการรับรู้รักษาความสงบนิ่งและจดจ่ออย่างยิ่งยวด
ในชั่วพริบตา ทัศนวิสัยตรงหน้าก็เปลี่ยนไป เรือรบวีรชนม่วงที่บินสูงขึ้นไปบนฟ้าสะท้อนชัดในดวงตาของหลินสวิน
ทุกกระเบียดของเรือรบราวถูกขยายใหญ่หลายสิบเท่า รายละเอียดเล็กน้อยล้วนปรากฏขึ้นหมดสิ้น มันกำลังเข้าใกล้จากห้วงอากาศเต็มกำลัง
แต่บนแท่นปืนใหญ่แท่นหนึ่งที่อยู่กลางเรือรบเกิดแสงสว่างแวววาวหาใดเทียบแสงหนึ่ง รอยสลักวิญญาณหนาแน่นนับไม่ถ้วนไหลออกมาไม่หยุด
นี่ก็คือปืนใหญ่สลักวิญญาณ ปืนใหญ่สลักวิญญาณรุ่นที่ถูกติดตั้งบนเรือรบวีรชนม่วงนี้ มีชื่อที่เต็มไปด้วยจิตสังหารหลั่งล้นว่า ‘ปืนใหญ่วิญญาณทลายนคร’!
อานุภาพแข็งกล้าของมันสามารถถล่มสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณอย่างง่ายดาย!
และเวลานี้ เห็นชัดว่าเรือรบวีรชนม่วงนั้นกำลังคิดจะหมุนเคลื่อนปืนใหญ่วิญญาณทลายนครมาโจมตีหลินสวินอย่างราบคาบ
หลินสวินไม่ได้เคลื่อนที่ เขาอยู่บนยอดเขา ยังคงง้างสายธนูเล็งไว้ไม่ไหวติงโดยไม่สนใจว่าเสี่ยงจะเผยร่องรอย ส่วนในสมองของเขารักษาความสงบนิ่งและจดจ่ออย่างยิ่งยวด
แทบจะในชั่วพริบตา เรือรบวีรชนม่วงก็ปรากฏบนท้องฟ้าสูงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง จ่อปากปืนใหญ่ไปยังยอดเขาที่หลินสวินอยู่
ผึง!
และก็ในเวลานี้เอง หลินสวินพลันคลายนิ้วชี้ออก ฃลูกศรวิญญาณที่แทบไร้รูปยิงพุ่งออกไปอย่างไม่ให้สุ้มเสียง
เปรี้ยง!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ปืนใหญ่วิญญาณทลายนครที่สะสมพลังไว้นานแล้วพลันยิงออกไปท่ามกลางแสงสว่างแวววาวหาใดเทียบ
แต่ชั่วพริบตาที่ลูกปืนใหญ่ที่สามารถปลิดชีพผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณนั้นเพิ่งพุ่งออกมาจากแท่นปืนใหญ่ ก็ถูกลูกธนูไร้รูปไร้เสียงโจมตีเข้าอย่างแม่นยำ
ในชั่วเสี้ยววินาที เสียงระเบิดสะเทือนเลือนลั่นน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบระลอกหนึ่งพลันกระจายออกที่บริเวณแท่นปืนใหญ่ ราวกับภูเขาไฟระเบิด ฉีกทึ้งแท่นปืนใหญ่นั้นในชั่วอึดใจ ม้วนกลืนไปบนเรือรบวีรชนม่วง
เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็เห็นว่าคลื่นไฟหมื่นจั้งพุ่งสู่ผืนเมฆ เรือรบวีรชนม่วงสั่นสะเทือนรุนแรงกลางอากาศ ส่งเสียงตูมตาม โคลงเคลงจนจะตกลงมา!
ศรเดียวถึงกับแทบจะทำลายเรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่เอี่ยมลำหนึ่งจนสิ้น!
หากผู้ฝึกปราณผู้อื่นในจักรวรรดิเห็นภาพนี้เข้า จะต้องตกใจจนอ้าปากค้างเป็นแน่ เพราะยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มขั้นผสานใจผู้หนึ่งจะสามารถทำถึงเพียงนี้ได้ น่าตื่นตะลึงสะเทือนโลกาไปแล้ว!
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่บ้าระห่ำไร้เหตุผลอย่างถึงที่สุด ด้วยเรือรบวีรชนม่วงนี้เดิมทีก็เป็นสิ่งที่เขาออกแบบเองกับมือ!
สัญญาณหมุนวนทั้งหมดของปืนใหญ่วิญญาณทลายนครนั้น ในสายตาของผู้อื่นอาจเป็นเพียงแสงแวววาวแสบตา แต่ในสายตาของหลินสวิน กลับสามารถสันนิษฐานเวลาโจมตีของปืนใหญ่วิญญาณทลายนครได้อย่างแม่นยำด้วยทุกอย่างนี้ได้
เพียงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ และอาศัยพลังของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร คว้าโอกาสชั่วพริบตาเดียวนี้ ก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้วหรือนี่!
ตอนที่ 296 ทำใจเชื่อได้ยาก
โดย
ProjectZyphon
เปลวไฟลุกโหม เรือรบวีรชนม่วงโคลงเคลงจนจะตกลงมา
เพียงแต่ในที่สุดมันกลับไม่ได้ตกลงมาและแหลกสลายลง แต่หันหัวกลับไป เคลื่อนตัวตุปัดตุเป๋ไปยังห้วงอากาศที่ไกลออกไปเหมือนกับคนกักขฬะเมาแอ๋ ไม่นานก็หายลับไม่เห็นอีก
หลินสวินทอดถอนใจแล้วเก็บธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เขาออกแบบให้เรือรบวีรชนม่วงทรงพลังเกินไปเสียแต่แรก ขอเพียงเตาหลอมวิญญาณไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรง ก็ไม่มีทางตกลงมาพังเสียหายได้
ต่อให้ใช้ทักษะของหลินสวินในตอนนี้ ก็หาโอกาสโจมตีเตาหลอมวิญญาณของเรือรบวีรชนม่วงไม่ได้เลย
ทว่าพูดไปพูดมา หากเรือรบวีรชนม่วงถูกทำลายง่ายขนาดนั้น กลับจะทำให้การออกแบบของหลินสวินดูอ่อนแอนัก
ผลลัพธ์เช่นนี้ก็น่าจนใจยิ่ง เห็นชัดๆ ว่าเป็นเรือรบขนาดเล็กโดดเด่นมากลำหนึ่งที่ตนออกแบบเอง ตอนนี้กลับถูกนำมาใช้จัดการตนเอง คิดดูก็รู้สึกน่าขันนัก
“ท่านแม่…ท่านแม่…”
ทันใดนั้นเด็กน้อยลั่วลั่วที่อยู่บนหลังก็ส่งเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจนออกมา ยังให้หลินสวินพลันคืนสติ สายตาของเขากวาดออกไปทั่วทุกทิศ เลือกเส้นทางหนึ่งแล้วเดินไปทางภูเขาทันที
เวลานี้ศัตรูถูกโจมตีจนล่าถอยชั่วขณะ ต่อไปก็ต้องเร่งฟื้นฟูบาดแผลแล้ว สำหรับเด็กน้อยลั่วลั่ว…
หลินสวินไม่มีทางทิ้งไว้ไม่ดูดายได้!
…
นครต้องห้าม
เสียงพูดคุยรื่นเริงดังขึ้นในคฤหาสน์เก่าแก่
“อ้อ รอภารกิจครั้งนี้จบลง ข้าจะไปร่ำสุราที่ ‘หอสรวลทรัพย์’ ที่นั่นต้องมีแม่นางหลายคนระริกระรี้รอร่วมห้องกับข้าอยู่ ฮ่าๆ”
“ชิ แม่หญิงโคมเขียวจะน่าสนุกตรงไหน เมื่อครู่ข้าให้คนไปหาสาวน้อยเผ่าพ่อมดเถื่อนกลุ่มหนึ่งจากตลาดทาส คิดว่าตอนนี้คงถูกฝึกให้เป็นทาสแล้ว ถึงเวลาต้องไปลิ้มลองเสน่ห์ของสตรีต่างเผ่านี้ดีๆ เสียหน่อย”
“พวกเจ้านี่นะ รู้จักแต่เที่ยวเล่นรักสนุก ข้าไม่เหมือนกับพวกเจ้า ตระกูลได้เตรียมห้องลับชั้นยอดที่ใช้ในการฝึกปราณให้แห่งหนึ่งแล้ว รอเพียงภารกิจนี้จบลง ข้าก็จะเก็บตัวฝึกปราณเพื่อเตรียมบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณ”
คนหนุ่มเหล่านั้นล้วนสนทนาถึงแผนหลังภารกิจจบลงอย่างออกรส พูดคุยอย่างเริงร่า วาจาไม่ขาดน้ำเสียงประกวดประขันกัน
นี่ก็คือท่าทางของลูกหลานตระกูลผู้มีอิทธิพลส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเที่ยวเล่นดื่มกิน หรือทำธุระฝึกปราณ ล้วนต้องนำมาเปรียบเทียบกัน แบ่งแยกสูงต่ำ
“ทุกท่าน ไม่ว่าพวกเจ้าอยากทำอะไร อย่าลืมว่ายังมีงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จรอพวกเจ้าอยู่ หากใครไม่มาก็อย่าหาว่าโกรธจนไม่ไว้หน้าก็แล้วกันน”
เวลานี้ฉือฉางเหมยดูอารมณ์ดี ถึงได้พูดหยอกล้อออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง พาให้ผู้อื่นล้วนหัวเราะเออออไม่หยุดหย่อน
ปัง!
ทันใดนั้นประตูใหญ่ถูกผลักออก ยามอารักขาผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วร้องเสียงดังว่า “แย่แล้วขอรับ! แนวหน้าส่งข้อมูลกลับมาว่าเป้าหมายยังไม่ตาย!”
อะไรนะ?
ชั่วพริบตาบรรยากาศในห้องที่แต่เดิมรื่นเริงก็พลันหายไป แปรเปลี่ยนเป็นกดดันเงียบเชียบ ผู้ช่วยเหล่านั้นมองหน้ากันเลิกลั่ก สีหน้าตื่นตะลึงราวไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
ด้วยการถล่มโจมตีของเรือรบวีรชนม่วง เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ
เรื่องบ้าๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร!?
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉือฉางเหมยสีหน้าเย็นชา ดวงตากระจ่างของนางแข็งทื่อคมกริบราวมีด
เป็นยามอารักขาที่สั่นเทาไปทั้งร่าง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ขณะกำลังจะพูดอะไรออกมา ยามอารักขาอีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง ท่าทางอกสั่นขวัญแขวน แทบจะชนเข้ากับร่างของฉือฉางเหมย
“ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ ท่าทางไม่เรียบร้อยเลย”
ฉือฉางเหมยตวาดเสียงแข็ง
ผู้นั้นหน้าเหยเกยามที่เพิ่งวิ่งเข้ามา แล้วร้องออกมาว่า “คุณหนู แย่แล้วขอรับ เรือรบวีรชนม่วงที่ส่งไปเทือกเขาราตรีต้นเฟิงได้รับความเสียหายอย่างหนัก เกือบตกลงไปพังเสียหายขอรับ!”
ทุกคนหน้าเจื่อนราวถูกฟ้าฟาด ขนาดเรือรบวีรชนม่วงยังเสียหายอย่างหนัก นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร!?
พวกเขาในเวลานี้มีหรือจะทำท่าทางลำพองพูดคุยเรื่อยเปื่อยอย่างเมื่อครู่นี้ได้ ต่างพากันทึ่มทื่อไปหมด
“มีบันทึกหรือไม่”
ฉือฉางเหมยสูดหายใจลึก เก็บกักความไม่สงบและฉงนไว้ในใจ ขมวดคิ้วถามขึ้น
ยามผู้นั้นนำเหยี่ยวสอดแนมตัวหนึ่งออกมาอย่างรีบร้อน นิ้วมือบีบคอมัน ครั้นได้ยินเสียงร้องแหวะออกมาครั้งหนึ่ง ถึงเห็นไข่มุกส่องแสงเรืองล้อมรอบออกมาเม็ดหนึ่งด้วย
ในไข่มุกโคจรหมุนคว้าง ฉายแสงแสงหนึ่งขึ้นมา ในนั้นฉายภาพทุกภาพ เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพนองเลือดที่หลินสวินกำลังแบกเด็กหญิงตัวน้อยประจัญบานผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งตัวคนเดียว
ไม่ได้ตายไปจริงด้วย!
สีหน้าผู้ช่วยเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นเหยเกหาใดเทียบ
ขนาดฉือฉางเหมยก็ปรากฏสีหน้าอึมครึม เคลื่อนเรือรบวีรชนม่วงคราวนี้ เดิมทีเป็นเรื่องที่คาดเดาผลได้ง่าย แต่ใครจะคิดว่าเป้าหมายกลับมีชีวิตรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์!
ไม่นานนักภาพเรือรบวีรชนม่วงระเบิดก็สะท้อนลงบนจอภาพ ต่อให้แค่ดูจอภาพก็ยังทำให้ผู้ช่วยเหล่านั้นตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปมาตาเบิกกว้าง ทำใจเชื่อได้ยาก
นั่นเป็นเรือรบวีรชนม่วงเชียวนะ จะมีผู้ฝึกปราณขั้นผสานใจที่ไหนสามารถสร้างความเสียหายให้ได้
ในจอภาพไม่ได้แสดงว่าหลินสวินทำเช่นนี้ได้อย่างไรกันแน่ แต่พวกฉือฉางเหมยแน่ใจว่าข่าวเรื่องเรือรบวีรชนม่วงได้รับความเสียหายอย่างหนักเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนแล้ว!
เมื่อจอภาพสลายไป บรรยากาศในห้องก็เงียบเชียบอย่างน่ากลัว อึดอัดเสียจนทำให้หลายคนหายใจไม่สะดวก
ถล่มรถรับส่งรอยสลักวิญญาณลำหนึ่ง แต่ไม่สามารถปลิดชีพเป้าหมายได้ กลับถูกเขาใช้โอกาสนี้สร้างความเสียหายใหญ่ให้เรือรบวีรชนม่วง ทั้งหมดนี้ดูไร้เหตุผลและแปลกประหลาดเกินจะจินตนาการ
ทว่า ทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นจริงแล้ว!
หรือเป้าหมายนั่นจะเป็นสัตว์ประหลาดฆ่าไม่ตายตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“สมควรตายนัก สมควรตาย…”
มีคนอดไม่ไหวด่าทอออกมาอย่างเคืองแค้น “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ เจ้านั่นไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ เหตุใดถึงวิปริตได้เพียงนี้”
“หรือจะมีใครแอบยื่นมือมาช่วย”
มีคนสงสัย เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไปก็ถูกฉือฉางเหมยโต้แย้งทันควัน “ไม่มีทาง!”
ส่วนสาเหตุนั้น นางไม่ได้แจกแจง
“แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลายคนสีหน้าอึมครึม
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ แต่ที่ควรคิดก็คือ พวกเราควรทำเช่นไรในการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป!”
ฉือฉางเหมยเอ่ยเสียงเย็น “จนถึงตอนนี้พวกเราเสียผู้ฝึกปราณฝีมือดีไปแล้วเกือบสองร้อยคน เรือรบวีรชนม่วงลำหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก ความสูญเสียเหล่านี้ไม่ถือว่าร้ายแรงนัก แต่ความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ที่เป้าหมายแสดงออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้เราให้ความสำคัญอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน”
“ท่านหญิงเหมย เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี”
สายตาของผู้ช่วยเหล่านั้นล้วนมองไปยังฉือฉางเหมย
นางครุ่นคิดครู่ใหญ่ แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งร้อนใจ นางคิดถึงสวี่เชียนจิ้งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในใจอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ ถ้ารู้เช่นนี้อยู่ก่อน ก็ไม่น่าให้เขาจากไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น…
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกผิดที่ไล่สวี่เชียนจิ้งออกแต่อย่างใด
นางรู้ดีว่าคนอย่างสวี่เชียนจิ้งผู้นี้ ที่ช่วยตนในครั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนน้ำใจ ด้วยเหตุนี้ต่อให้เก็บเขาไว้ตนก็ไม่สามารถบังคับควบคุมได้
“จริงด้วย ก่อนหน้านี้สวี่เชียนจิ้งเพ่งเล็งความเคลื่อนไหวเมื่อเป้าหมายข้ามเทือกเขาราตรีต้นเฟิง ได้มีแผนกับการเตรียมการอะไรไว้หรือไม่”
ฉับพลันฉือฉางเหมยก็นึกขึ้นมาได้แล้วเอ่ยถามออกมา
ผู้ช่วยเหล่านั้นพลันมองหน้ากันเลิกลั่ก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่พอใจสวี่เชียนจิ้งอยู่ก่อนแล้ว จึงเอาแต่ถากถางและเยาะเย้ยเขา ไม่เคยคิดถามเขาเลยว่ามีความคิดหรือแผนเช่นไรกันแน่
เห็นเช่นนี้ฉือฉางเหมยอดขัดเคืองไม่ได้อยู่บ้าง ในที่สุดก็ยับยั้งตัวเองให้อดทนไว้แล้วพูดว่า “จากนี้ไปพวกเจ้าช่วยข้ารวบรวมรายงานข่าว วางกลศึกอย่างเต็มที่ โดยมีข้าเป็นผู้ออกคำสั่งสุดท้าย ควบคุมการเคลื่อนไหว”
ชั่วอึดใจสีหน้าของนางก็กลับมาสงบนิ่ง เอ่ยเสียงเนิบว่า “นอกเสียจากว่าเป้าหมายตาย หาไม่แล้ว ใครก็ออกจากที่นี่ตามใจชอบไม่ได้!”
ทุกคนล้วนจิตใจสั่นสะท้าน เงียบกริบราวจิ้งหรีดเหมันต์
…
เทือกเขาราตรีต้นเฟิง ในถ้ำแคบห่างไกลแห่งหนึ่ง
กองไฟกำลังจะมอด กลิ่นเนื้อย่างยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ
หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่ง ดูเด็กหญิงน้อยลั่วลั่วที่กินอิ่มแล้วนอนอยู่บนหนังสัตว์อ่อนนุ่ม ในใจลอบถอนใจโล่งอก
ยามเด็กน้อยเพิ่งตื่นก็ร้องไห้เรียกหามารดา หลินสวินใช้ทุกวิธีถึงปลอบจนนางสงบใจได้ กินเนื้อสัตว์ป่าย่างเป็นเพื่อนนางถึงกล่อมให้นางหลับได้
มารดาของลั่วลั่วไม่น่ารอดชีวิตได้ นี่ยังให้หลินสวินรู้สึกผิดและโทษตัวเองนัก ยิ่งทะนุถนอมลั่วลั่วมากดี กลัวแต่จะดูแลนางได้ไม่ดี
ทว่าเมื่อคิดว่าตนยังต้องพบกับอันตรายมากมายระหว่างทาง เขาก็ปวดหัวไม่รู้จะจัดการเรื่องลั่วลั่วอย่างไรดี
เขาไม่คิดให้เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพิ่งสามสี่ปีผู้นี้ไปเสี่ยงอันตรายกับตน
หลินสวินคิดไปคิดมาก็คิดวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ออก สุดท้ายก็ส่ายหัว วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
เขาดับกองไฟ เปิดเครื่องจับพลังวางไว้ที่ปากถ้ำ และวางกระบวนรอยสลักวิญญาณปิดบังพลังปราณชนิดหนึ่ง ถึงได้วางใจได้เต็มที่ เริ่มนั่งขัดสมาธิบนพื้น สงบใจฟื้นฟูบาดแผลบนร่างกาย
เขามียาสมุนไพรวิญญาณที่จำเป็นต่อการรักษาบาดแผล หากเร่งฟื้นตัว ประมาณห้าหกวันบาดแผลก็น่าจะได้รับการเยียวยา
เช่นนี้แล้ว ตอนนี้เขาจึงพักฟื้นที่เทือกเขาราตรีต้นเฟิง ทุกวันนอกจากรักษาแผลก็ดูแลลั่วลั่ว
เด็กน้อยอายุเพิ่งสามสี่ปี เป็นช่วงเวลาที่ต้องอยู่ข้างกายมากที่สุด ทั้งประสบเภทภัย สูญเสียมารดา สภาพจิตใจอ่อนแอยิ่งนัก
เพื่อไม่ให้ลั่วลั่วโศกเศร้าและเจ็บปวด หลินสวินนำเจ้าจิ๊บจิ๊บที่ซ่อนตัวนอนหลับในฝ่ามือตนออกมาเป็นของเล่นให้ลั่วลั่ว
ไม่คิดเลยว่าการทำเช่นนี้กลับได้ผลชะงัด เมื่อเห็นเจ้าจิ๊บจิ๊บที่นุ่มนิ่มกลมเกลี้ยงเหมือนลูกหนัง ทั้งท่าทางยังน่ารักน่าชังยิ่งเข้า ลั่วลั่วก็ตาเปล่งประกาย ร่าเริงขึ้นมา
ส่วนเจ้าจิ๊บจิ๊บตัวนี้เดิมทีก็เป็นวิญญาณที่ไม่มีพิษภัย ทั้งถูกหลินสวินฝึกสอน จึงเล่นกับลั่วลั่วได้อย่างอย่างเต็มที่
เห็นเช่นนี้เขาก็พึงพอใจ มีเจ้าจิ๊บจิ๊บดูแลลั่วลั่ว ทำให้เขาสามารถจดจ่อกับการดูแลรักษาบาดแผลได้
เจ็ดวันผ่านไปเช่นนี้ บาดแผลของหลินสวินก็หายดี เขาจึงไม่หยุดพักต่อ พาลั่วลั่วจากมาทันที
“ลั่วลั่ว รับปากพี่เรื่องหนึ่งสิ”
“เจ้าคะ? พี่ชายพูดมาเลยเจ้าค่ะ”
“หากภายหน้าพบกับคนไม่ดีระหว่างทาง เจ้าต้องหลับตาไว้ ทำแบบนี้เจ้าก็จะไม่ถูกคนไม่ดีทำให้ตกใจกลัว”
“เจ้าค่ะ! ข้าจะเชื่อฟังพี่ชาย”
“ลั่วลั่วเป็นเด็กดีจริงๆ คราวหลังพี่จะซื้อของเล่นให้เจ้าเยอะๆ เลย”
“ข้าไม่เอา ข้าขอแค่มีเจ้าจิ๊บจิ๊บเป็นเพื่อนข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“เอ่อ…ก็ได้”
หลินสวินแบกลั่วลั่วเดินก้าวไปข้างหน้าบนทางเดินที่สูงชันขรุขระของเทือกเขาราตตรีต้นเฟิง
เมื่อคุยกับลั่วลั่วตลอดทาง หลินสวินก็เผลอคิดถึงซย่าจื้อ ตอนนี้เด็กคนนี้จะยังอยู่ดีหรือไม่นะ
ตอนที่ 297
หอสุราราตรีต้นเฟิง
โดย
ProjectZyphon
เมืองหลิวเขียวตั้งอยู่ติดกับเทือกเขาราตรีต้นเฟิง ผู้ที่อาศัยในเมืองส่วนใหญ่ยังชีพด้วยการเก็บสมุนไพรและล่าสัตว์ ไม่ถือว่ายากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย
เหมือนเมืองส่วนใหญ่ในจักรวรรดินี้ เมืองหลิวเขียวพื้นที่ไม่ใหญ่โต แต่ดีที่ประชากรหนาแน่น เดินทางสะดวก หอสุรา โรงเตี๊ยม ห้างร้านที่ควรมีล้วนครบครัน
เที่ยงตรงพอดี
ในหอสุราราตรีต้นเฟิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคึกครื้นอยู่ก่อนแล้ว ที่นี่สามารถพบเจอกับผู้ฝึกปราณหนุ่มน้อยที่ท่องไปทั่วสารทิศ พ่อค้าและสมุนที่รอนแรมนานปี หรือคุณชายคุณหนูตระกูลร่ำรวยที่แอบออกมาเที่ยวเล่นดื่มกิน…
สามารถพบเห็นคนทุกประเภทได้ในที่แห่งนี้
หอสุราเดิมทีก็เป็นสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ที่นี่คึกครื้นอยู่เสมอ คนร้อยพ่อพันแม่มารวมกันในที่เดียว ดื่มเหล้าเคล้าสนทนา พูดคุยทุกเรื่องจากเหนือสู่ใต้ ตั้งแต่เรื่องใหญ่อย่างราชสำนักยันเรื่องเล็กในตรอกตลาด ล้วนกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่สนุกสนานที่สุดในหอสุรา
หอสุราราตรีต้นเฟิงวันนี้คึกคักเหมือนเก่า เพียงแต่บนชั้นสองของหอสุราบรรยากาศกลับดูเงียบเชียบไปบ้าง
ที่นี่ไม่ได้ไร้ชีวิตชีวา ตรงข้าม ในโต๊ะของหอสุราส่วนใหญ่กลับเต็มไปด้วยเงาร่างนั่งอยู่
เพียงแต่เงาร่างเหล่านี้ล้วนดื่มเหล้าจนเมามาย พูดคุยกันไม่มาก ยังให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดไปบ้าง
“มีอาหารขึ้นชื่ออะไรบ้าง”
“เรียนลูกค้า อาหารขึ้นชื่อมากมายเลยขอรับ พวกเรามีหมดทั้งที่บินขึ้นฟ้า วิ่งบนดิน ว่ายในน้ำ เช่นปลาหางม่วงตุ๋น ลิ้นนกกระจอกเขียวผัดฉ่า รวมมิตรของป่าตุ๋น…”
“งั้นก็เอามาอย่างละที่ เหล้าล่ะ”
“ท่านลูกค้า ‘สุราต้นเฟิงเมฆลอย’ ของหอสุราราตรีต้นเฟิงของเราเป็นเอกลักษณ์เลยขอรับ แขกที่มาที่นี่ได้ดื่มก็ชมว่ารสดี”
“เอามาลองก่อนหนึ่งกา”
“ได้ขอรับ ท่านขึ้นไปรอข้างบนสักครู่”
เงาร่างสูงโปร่งเงาหนึ่งเดินขึ้นชั้นสองท่ามกลางเสียงพูดคุย
เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวนวลเรียบง่าย ผมยาวสีดำรวบไว้อย่างลวกๆ หลังศีรษะด้วยเชือกฟาง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาคมสัน
ที่หลังของเขายังแบกตะกร้าไว้ใบหนึ่ง ในตะกร้ามีเด็กหญิงตัวน้อยอายุสามสี่ปีผู้หนึ่งนั่งอยู่ กำลังพิงตะกร้ากะพริบตาโตสีดำสุกใสประเมินรอบทิศอย่างใคร่รู้
คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินสวิน ชุดที่เขาสวมอยู่เป็นชุดที่มารดาของเด็กหญิงลั่วลั่วมอบให้
เมื่อเดินขึ้นมาชั้นสอง สายตาเขากวาดไปยังลูกค้าที่กำลังดื่มกินโดยรอบ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างยากสังเกต จากนั้นระบายยิ้มมุมปาก หาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลงไป ค่อยอุ้มเด็กหญิงลั่วลั่วที่อยู่ในตะกร้าออกมาวางลงบนที่นั่งที่อยู่ข้างกาย
“พี่ชาย ข้าอยากเล่นเจ้าจิ๊บจิ๊บเจ้าค่ะ”
ลั่วลั่วเงยใบหน้าน้อย มองอย่างกระตือรือร้นมาทางหลินสวิน
หลินสวินรับคำอย่างสดใส นำเจ้าจิ๊บจิ๊บออกมาจากกลางอากาศ แล้วโยนลงบนโต๊ะเหล้าเล่นกับลั่วลั่ว
ลูกค้าไม่น้อยที่อยู่ใกล้เคียงเห็นภาพนี้เข้า ดวงตาก็อดหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้ พลันถอนสายตาออกมาไม่มองอีก
หลินสวินเหมือนไม่ได้รับรู้ทั้งหมดนี้ ยิ้มพลางมองลั่วลั่วที่เล่นกับเจ้าจิ๊บจิ๊บ ฉับพลันถูกเสียงพูดคุยโหวกเหวกที่อยู่ชั้นหนึ่งของหอสุราดึงดูดความสนใจ
“ให้ตายสิ รถรับส่งรอยสลักวิญญาณบทจะตกก็ตกเสียแล้ว ได้ยินว่าคนที่อยู่บนนั้นมีหลักร้อยคน ไม่ขาดผู้ฝึกปราณเสียด้วย!”
“ข้าก็ได้ยินมา นี่เป็นข่าวที่กระจายออกมาเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าตอนรถรับส่งรอยสลักวิญญาณลำหนึ่งกำลังข้ามเทือกเขาราตรีต้นเฟิงก็ถูกนกร้ายจู่โจม ในที่สุดก็จบลงที่ตกลงมาจนรถเสียหายคนก็ตาย”
“ตายหมดเลยหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ตาย ตกลงมาในเทือกเขาราตรีต้นเฟิงที่สัตว์ป่าดุร้ายแบบนั้น จะรอดชีวิตมาได้อย่างไร”
“โธ่ นี่สิเรียกว่าตาสีตาสารับเคราะห์”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ หลินสวินพลันบังเกิดความอัดอั้นที่พูดไม่ถูกขึ้นในจิตใจ ตาสีตาสารับเคราะห์อะไรกัน ถูกนกร้ายจู่โจมอะไรกัน นี่มันการสังหารหมู่ที่วางแผนไว้ก่อนแล้วชัดๆ!
แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าข่าวนี้ถูกศัตรูปิดบังไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็ใช้สาเหตุที่น่าขันอ่อนด้อยอย่าง ‘นกร้ายจู่โจม’ มาหลอกลวงคนทั้งโลก!
หลินสวินคิดไว้ก่อนแล้วว่าในเมื่อศัตรูจะกล้าทำเช่นนี้ได้ ย่อมมีที่พึ่งไม่หวั่นกลัว แต่เขายังประเมินความไร้ยางอายของศัตรูต่ำไปอยู่บ้าง
ส่วนนี่คงจะเป็นวิธีหลอกลวงผู้คนบนโลกของคนใหญ่คนโตอวดเบ่งพวกนั้น เพียงแค่หาข้ออ้างชุ่ยๆ สักอย่างก็สามารถปิดบังความจริงทั้งหมดได้
เด็กหนุ่มไม่สงสัยเลย ว่าต่อให้เขาพูดความจริงเวลานี้ น่ากลัวจะไม่มีใครเชื่อตนเลย!
อย่างไรเสีย ใครจะเชื่อว่าเรือรบจากจักรวรรดิจะสังหารหมู่ประชาชนของจักรวรรดิได้
ในระหว่างที่หลินสวินจิตใจว้าวุ่นอยู่นี้เอง พลันมีเสียงหัวเราะได้ใจดังขึ้น
“อาเจียว พี่ขอพูดอย่างไม่ถ่อมตัวคำหนึ่งว่า ในเมืองหลิวเขียวนี้ ถ้าตระกูลรุ่ยของพี่กล้าเรียกตนเองเป็นที่สอง ก็ไม่มีตระกูลไหนกล้าเรียกที่หนึ่ง! หากเจ้าไปกับข้า รับรองว่าเจ้าจะกลายเป็นสตรีที่ถูกจับตามองที่สุดในเมืองหลิวเขียว”
“พี่รุ่ยชิง ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นจับตามอง เพียงท่านดีกับข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสตรีอ่อนหวานน่ารักเสียงหนึ่งดังขึ้นตาม
หลินสวินพลันอึ้งไป บนโลกนี้ยังมีคนยกยอตนเองเช่นนี้ด้วยหรือ
ที่ทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจที่สุดก็คือ เสียงสตรีผู้นั้นออดอ้อนออเซาะ ฟังก็รู้ว่าพูดเกินจริง
ทันใดนั้นก็เห็นว่าที่ปากทางบันไดมีคุณชายแต่งกายหรูหราผู้หนึ่งเดินมา ข้างกันนั้นยังมีสตรีรูปงามผิวขาวนางหนึ่งมาด้วยกัน
ทั้งสองเดินขึ้นมาชั้นสองก็หาที่นั่งลง คุณชายรุ่ยชิงคุยโวว่าตระกูลของตนเลอเลิศเพียงใดอยู่ตลอด ส่วนสตรีนามอาเจียวก็ยกยอปอปั้นอย่างเต็มใจ พูดคุยกันสนิทสนมอย่างถึงที่สุด
หลินสวินอดส่ายหน้าไม่ได้ ไม่สนใจเรื่องนี้อีก เวลานี้อาหารและสุราก็ส่งขึ้นมา เขากับลั่วลั่วตั้งหน้าตั้งตากินข้าวทันที
เจ้าจิ๊บจิ๊บกลับนอนนวยนาดอยู่อีกด้านหนึ่ง พลางหาวออกมา ท่าทางเหมือนจะหลับเสียให้ได้ มันไม่แลอาหารเหล่านั้น เพราะที่ชอบกินที่สุดก็คือผลึกวิญญาณ
“โห เจ้าตัวเล็กน่ารักจัง ท่านพี่รุ่ยชิงดูสิเจ้าคะ นั่นอสูรวิญญาณอะไร ข้าอยากหยิกท้องกลมๆ น้อยๆ ของมันเสียหน่อย”
ฉับพลันอาเจียวที่อยู่โต๊ะข้างกันก็ชี้มาที่เจ้าจิ๊บจิ๊บ ร้องเสียงแหลมเหมือนเสียสติ
“ฮ่าๆ ในเมื่ออาเจียวชอบ พี่ก็จะช่วยจัดการให้”
รุ่ยชิงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะร่าแล้วหันกายเดินมา สายตาชำเลืองมองมาที่หลินสวินแล้วพูดว่า “พี่ชาย อสูรวิญญาณนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่ เอาอย่างนี้ ข้าให้เจ้าหนึ่งร้อยเหรียญเงิน เจ้าขายของเล่นนี้ให้ข้าเสีย”
เขาพูดพลางล้วงถุงเงินออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะเหล้าดังโผละ ไม่ถามหลินสวินเลยว่ายอมขายหรือไม่ก็ยกมือขึ้นมาจะจับเจ้าจิ๊บจิ๊บไป
เผียะ!
ตะเกียบคู่หนึ่งตีลงมา เคาะอย่างแม่นยำเข้าที่ข้อต่อข้อมือของรุ่ยชิง ก็เห็นว่ารุ่ยชิงพลันชักแขนกลับไปราวถูกสายฟ้า เจ็บจนสูดหายใจยะเยือกไม่หยุดหย่อน
อาเจียวร้องเสียงแหลม ลุกขึ้นพรวดพราดแล้ววิ่งเข้ามา เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “พี่รุ่ยชิง ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”
เมื่อเสียท่าไม่น้อยต่อหน้าผู้หญิงของตน ทำให้รุ่ยชิงขายหน้า จึงยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่วันนี้เจ้าเด็กนี่น่าจะมีเรื่องแล้ว! ให้ตายสิ ในเมืองหลิวเขียวแห่งนี้ ข้าไม่เคยเสียท่าเช่นนี้มาก่อน!”
เขาพูดพลางหวดมือไปทางหลินสวิน
เรียบง่าย ตรงไปตรงมา รุนแรง นี่ก็คือรุ่ยชิง หลินสวินไม่สงสัยเลยว่าเจ้านี่เป็นพวกเกเรเหลือทน ทั้งยังไร้สติปัญญา
เผียะ!
หลินสวินนั่งตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว ตะเกียบในมือกลับตีเข้าที่ข้อต่อข้อมือของรุ่ยชิงอย่างแม่นยำ เจ็บจนฝ่ายหลังร้องโอดโอยโหยหวน ใบหน้าเหยเก
“เวรเอ๊ย เจ้าหาที่ตายแล้ว! ถึงกับกล้าลงมือตีข้า! เจ้าจบสิ้นแล้ว วันนี้อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลิวเขียว!” รุ่ยชิงโวยวาย
เขาได้รับบทเรียนสองครั้งติดต่อกัน ไม่เพียงไม่หลาบจำกลับบ้าคลั่งขึ้นมา หลินสวินรับรู้ได้อย่างสนิทใจว่าครั้งนี้ตนได้พบกับลูกผู้มีอำนาจเสเพลที่ก้าวร้าวโง่งม ไม่เพียงไร้สติปัญญา ยังเป็นคนเขลาไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกด้วย
ฉับพลันหลินสวินรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เขากวาดสายตาไปรอบทิศผ่านๆ ก่อนจะนิ่วหน้า จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างไม่ชักช้า พูดพลางยิ้มว่า
“สหาย ข้าส่งเจ้าไปเป็นทหารกองหนุนดีหรือไม่”
รุ่ยชิงที่กำลังร้องโวยวายนิ่งไป “เจ้าหมายความว่าอะไร”
หลินสวินยื่นมืออกมาไวปานสายฟ้าฟาด คว้าสาบเสื้อของรุ่ยชิงแล้วตวัดมือโยนฝ่ายตรงข้ามลอยออกไปนอกหน้าต่าง
ได้ยินเสียงดังตุ้บจากถนนด้านนอก เสียงรุ่ยชิงร้องโอดโอยโหยหวนก็แว่วมา “ไอ้บ้าเอ๊ย ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
อาเจียวตกใจจนใบหน้างามซีดเผือด ร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “เจ้า เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่ารุ่ยชิงเป็นใคร เขาเป็นถึงคุณชายสามแห่งตระกูรุ่ย ขุมพลังอันดับหนึ่งในเมืองหลิวเขียว ผิดใจกับเขา วันนี้เจ้าอย่าคิด…”
ไม่ทันพูดจบนางก็ถูกหลินสวินจับไว้แล้วโยนออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ส่ายหน้าเย้ยหยัน “เป็นคู่อัศจรรย์เสียจริง”
เขาพูดพลางก้มหัวถามลั่วลั่ว “กินอิ่มแล้วใช่หรือไม่”
ลั่วลั่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย นางโอบเจ้าจิ๊บจิ๊บไว้ในอ้อมกอด เหมือนกลัวว่ามันจะถูกคนแย่งไป
“เช่นนั้นพวกเราก็เตรียมตัวไปกันเถิด” หลินสวินอุ้มลั่วลั่วขึ้นวางลงในตะกร้า จากนั้นก็แบกไว้บนหลัง
“พี่ชาย สองคนเมื่อครู่นี้เป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ” ลั่วลั่วถาม
หลินสวินเอ่ยว่า “สองคนนี้ไม่ถือว่าเป็นคนไม่ดีหรอก อย่างเก่งก็เป็นคนโง่คู่หนึ่ง”
เขาพูดถึงตรงนี้ สายตาก็กวาดไปยังลูกค้าที่รับประทานอาหารรอบทิศเหล่านั้น มุมปากระบายรอยยิ้มเลือนราง “แต่ว่า ลั่วลั่วเจ้าหลับตาเสียก่อน อีกเดี๋ยวคนไม่ดีตัวจริงก็จะปรากฏตัวแล้ว”
ลั่วลั่วตื่นตะลึง แต่ก็เชื่อฟังแล้วปิดตา พลางมุดเข้าในตะกร้า แล้วพูดว่า “ท่านพี่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ดูหรอก”
หลินสวินส่งเสียงอืม ดวงตาสีดำพลันแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เขากวาดสายตามองลูกค้าที่มารับประทานอาหารบนชั้นสองเหล่านั้น พูดพลางยิ้มว่า “ทุกท่าน ข้าวก็กินแล้ว ได้เวลาออกเดินทางแล้ว พวกท่านว่าอย่างไร”
ชิ้ง!
ระหว่างที่พูดดาบเวทเรืองแสงพลันปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเห็นว่าเงาร่างหลินสวินกระโจนออกไป คมดาบม้วนกลืนพลังดุดันน่าหวั่นกลัว ฟาดไปยังลูกค้าสามคนที่อยู่ที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุด
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกค้าสามคนนั้นก็พุ่งทะยานขึ้น เห็นได้ชัดว่าเตรียมตั้งท่ารอไว้ก่อนแล้ว เมื่อหลินสวินโจมตี พวกเขาโต้กลับตามจิตใต้สำนึก
“ถูกดูออกแล้ว ร่วมกันลงมือ!”
พร้อมกับเสียงตะโกนดังนั้น ลูกค้าที่เดิมนั่งรับประทานอาหารที่ชั้นสองโดยรอบพลันลุกขึ้นทันที สีหน้าโหดเหี้ยมเย็นชา ในมือถืออาวุธวิญญาณแบบต่างๆ โจมตีอย่างอุกอาจ
ชั่วพริบตาบรรยากาศที่เงียบสงบแต่เดิมก็มลายไป ที่นี่ราวกับแปรสภาพเป็นสนามรบ แสงดาบเงากระบี่เกลื่อนกลาด ไอสังหารราวพายุโหมคลั่ง!
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงมากเกินไป ลูกค้าที่รับประทานอาหารอยู่ชั้นหนึ่งล้วนตื่นตระหนก ส่งเสียงกรีดร้องหวาดกลัวหนีกระเจิง
ทั้งหอสุราราตรีต้นเฟิงตกอยู่ในเหตุสังหารนองเลือด ลมแรงพัดโหม ผนังถล่ม ยังมาพร้อมกับเสียงโต๊ะเก้าอี้จานชามสลายกลายเป็นฝุ่น
ขนาดผู้สัญจรไปมาบนถนนใกล้กันยังถูกทำให้ตกใจ พากันหลบหลีกบริเวณนี้ ด้วยกลัวว่าจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
ไม่มีใครสังเกตว่าหลังคาอาคารบ้านเรือนห้างร้านมากมายที่อยู่โดยรอบหอสุราราตรีต้นเฟิงไม่รู้ว่ามีเงาร่างเงาแล้วเงาเล่าซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไร
ในมือของทุกร่างล้วนถือหน้าไม้ไม่ก็คันธนูวิญญาณ พากันเล็งไปยังหอสุราราตรีต้นเฟิงที่อยู่ตรงกลาง!
ตอนที่ 298
หยั่งรู้ทัศนวิสัย
โดย
ProjectZyphon
หม่าหมิงซ่อนตัวในเงามืดของหลังคา รออย่างใจเย็น
ในฐานะที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการนี้ เขามีความสามารถที่น่าเชื่อถืออยู่
เขามีปราณขั้นผสานฟ้า มีวิชาธนูเลิศล้ำสามารถปลิดชีพศัตรูที่ห่างออกไปสามพันจั้งได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเปี่ยมด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการศึกที่เคี่ยวกรำจากการออกศึกมานานปี
นี่ถึงเป็นสาเหตุแท้จริง ที่เขาได้เป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการนี้
ตอนนี้ในมือของหม่าหมิงจับคันธนูวิญญาณเรียวยาวเก่าแก่เรียบง่ายไม่หรูหราคันหนึ่ง คันธนูนี้มีนามว่า ‘ผนึกลมหายใจ’ มาจากการผนึกลมหายใจได้ในลูกธนูเดียว
ในหอสุราราตรีต้นเฟิงที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยสามสิบหกจั้งกำลังเกิดการต่อสู้นองเลือดฉากหนึ่ง หอสุราสั่นสะเทือนเลือนลั่นแทบจะสลายลงมาแล้ว จินตนาการได้เลยว่าการต่อสู้ในนั้นจะโหดร้ายขนาดปานใด
ทว่าจากการที่หม่าหมิงวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับหลายวันมานี้ เป้าหมายที่รอดจากการถล่มโจมตีของเรือรบวีรชนม่วงได้ ย่อมไม่ถูกสังหารได้อย่างง่ายดายปานนั้น
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาก็ไม่หวังว่าสหายที่อยู่ในหอสุราราตรีต้นเฟิงเหล่านั้นจะสามารถฆ่าเป้าหมายได้เลย
ในแผนของเขา สิ่งที่สหายยี่สิบเจ็ดคนที่กระจายอยู่ในหอสุราเหล่านั้นต้องทำจริงๆ ก็คือล้อมตัวเป้าหมายไว้!
ขอเพียงรั้งเป้าหมายไว้ได้ หม่าหมิงก็จะถือโอกาสนี้จัดวางกำลังอย่างถ้วนถี่ ปิดทางหนีของเป้าหมายจนหมดสิ้น ทำให้เขากลายเป็นหนูติดจั่นยากหลบหนี!
แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่สหายยี่สิบเจ็ดคนนั้นจะต้องสละชีวิตกลายเป็นผู้ที่สลายกลายเป็นจุณ แต่เขาไม่สนใจ
สำหรับเขาแล้วคิดจะสังหารเป้าหมายที่ร้ายกาจ วิปริตและต่อกรได้ยากเช่นนี้ จะไม่จ่ายค่าตอบแทนได้อย่างไร
รูปการณ์ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าแผนของหม่าหมิงถูกต้อง หลังจากเกิดการต่อสู้ขึ้นในหอสุรา เขาก็เตรียมคนซ่อนตัวในสถานที่ต่างๆ รอบหอสุรา หมายจะผนึกอาณาเขตบริเวณนั้นไว้
ตอนนี้รอเพียงเป้าหมายปรากฏตัวเท่านั้น!
แน่นอนว่า หากเป้าหมายตายระหว่างการต่อสู้ในหอสุราย่อมดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หม่าหมิงไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา
หอสุราราตรีต้นเฟิงที่โคลงเคลงใกล้ล้มในที่สุดก็รับแรงโจมตีไม่ไหว ถล่มลงมาอย่างครึกโครมกลายเป็นซากปรักหักพัง
นัยน์ตาหม่าหมิงพลันหรี่ลง แสดงสัญญาณมือขึ้นไปในอากาศ บอกผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งที่ซุ่มตัวอยู่ใกล้ๆ ให้เตรียมตัวให้ดี เพียงเป้าหมายปรากฏตัวก็จะเริ่มโจมตีทำลายล้างอย่างมืดฟ้ามัวดิน!
วิธีการโจมตีเรียบง่ายดิบเถื่อนยิ่งนัก นั่นก็คือใช้หน้าไม้และคันธนูวิญญาณโจมตีครอบคลุมพื้นที่ที่เป้าหมายปรากฏตัว
หม่าหมิงมั่นใจว่าด้วยการโจมตีนี้ อย่าว่าแต่เป้าหมาย ขนาดแมลงวันตัวหนึ่งยังถูกสังหารแหลกเป็นผุยผง!
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและน่าหวั่นเกรง บนถนนบริเวณนี้ไม่มีคนสัญจรสักคนแล้ว ว่างเปล่าเงียบเหงา
แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริเวณซากหอสุรานั้นยังคงเงียบเชียบดังเดิม ไม่ปรากฏเงาร่างของเป้าหมายเลย
แน่นอนว่าสหายยี่สิบเจ็ดคนที่ห้ำหั่นกับเป้าหมายเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏตัวออกมาสักคน
เงียบจนน่ากลัว!
จิตใจหม่าหมิงพลันบังเกิดความรู้สึกชอบกล ในการวิเคราะห์ของเขา เมื่อหอสุราถล่มลง เป้าหมายย่อมต้องเลือกโผล่ออกมาเพื่อหลบหนี
แต่รูปการณ์เงียบเชียบตรงหน้ากลับเกินความคาดหมายของเขา
หรือว่าเป้าหมายก็จบชีวิตลงไปพร้อมกับสหายเหล่านั้นแล้ว
เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในสมอง เสียวหวีดแหลมหาใดเทียบเสียงหนึ่งก็ระเบิดดังขึ้นในหูของเขา ทำให้นัยน์ตาเขาอดหดตัวลงไม่ได้
นี่เป็นเสียงของหน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์!
ไอ้คนไหนมันลงมือเองไม่ฟังคำสั่ง
ในใจของหม่าหมิงเกิดความหงุดหงิด แต่เมื่อสายตาเขามองไป สีหน้ากลับอดเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้ มองเห็นว่าสหายที่เดิมซ่อนตัวบนหลังคาบ้านเรือนหลังหนึ่งกลิ้งหล่นตุ้บลงมาบนพื้น กลางศีรษะถูกเจาะเป็นโพรงมีเลือดไหลรินรูหนึ่ง เลือดไหลออกมาไม่หยุด!
เฮือก!
หม่าหมิงลอบสูดหายใจยะเยือก รับรู้ได้ว่าที่ตนวิเคราะห์ไว้ผิดพลาดแล้ว เสียงยิงพุ่งของหน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์เมื่อกี้นี้ย่อมไม่ได้มาจากสหายที่อยู่ใกล้เคียง แต่มาจากเป้าหมาย!
ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!
ยังไม่ทันตั้งตัว เสียงหวีดแหลมต่อเนื่องเริ่มดังขึ้นติดต่อกันในเวลานี้ ราวกับเสียงมารปีศาจที่มาจากนรก ซัดสาดกลางอากาศเหนือตรอกว่างเปล่าเงียบเชียบ
หม่าหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถสงบใจได้ ด้วยขณะนี้เขาเห็นลูกศรวิญญาณที่หน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์ยิงพุ่งออกมาหลายสิบลูกจากซากหอสุรานั้น ฉีกขาดห้วงอากาศตามวิถีต่างกันยิงออกมารอบทิศ
โครม!
ในชั่วขณะเดียว อาคารหลายหลังที่อยู่ใกล้เคียงถูกทำลาย ก้อนหินกระจุยกระจายคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น เสียงร้องโหยหวนดังตามมา พาให้บรรยากาศดูน่าอกสั่นขวัญแขวน
เท่าที่หม่าหมิงเห็นด้วยตัวเอง มีสหายที่ซ่อนตัวในแต่ละที่เจ็ดแปดคนถูกปลิดชีพไปในชั่วพริบตา!
มือเท้าของเขาเย็นเฉียบราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง
เขาไม่อาจคาดคิดไว้ว่าเป้าหมายทำเช่นนี้ได้อย่างไรกันแน่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาซ่อนตัวมิดชิดพอแล้ว แต่เป้าหมายกลับเหมือนมือธนูเทพที่หยั่งรู้สรรพสิ่ง แม้ไม่เคยปรากฏกาย แต่ก็สร้างเภทภัยนองเลือดให้พวกเขาได้!
น่ากลัว!
น่ากลัวเกินไปแล้ว ในที่สุดหม่าหมิงก็รับรู้ได้ว่าเหตุใดเป้าหมายถึงรอดชีวิตจากการล้อมสังหารครั้งแล้วครั้งเล่ามาจนถึงทุกวันนี้
เจ้านี่ช่างเหมือนผีร้าย แผนการและการวางหมากทั้งหมดตรงหน้าเขาเหมือนไม่เคยมีอยู่ ล้วนถูกอีกฝ่ายทำลายด้วยความโหดเหี้ยมบ้าเลือดและฝีมือร้ายกาจเกินธรรมดา!
ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!
เสียงหวีดแหลมที่เกิดขึ้นยามยิงหน้าไม้นั้นสะท้อนก้องฟ้าดิน ประหนึ่งเสียงคำรามเร่งเอาชีวิต ทุกที่เต็มไปด้วยเงามืดแห่งความตาย
หม่าหมิงลุกลี้ลุกลนแล้ว ร้องเสียงเข้มยาวอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นว่า “ถอย!”
ปั้ง!
และก็ในเวลานี้เอง ลูกธนูวิญญาณลูกหนึ่งฉีกห้วงอากาศเสียบเข้าอย่างแม่นยำที่ปากของหม่าหมิง ทะลุผ่านไปทำให้ทั้งร่างสั่น แล้วตรึงไว้อย่างโหดเหี้ยมบนชายคาที่อยู่ไม่ไกล
ดวงตาหม่าหมิงเบิกกว้างเหม่อลอย ก่อนตายยังคิดไม่ออกเลยว่าเป้าหมายพบที่ที่พวกเขาซ่อนตัวได้อย่างไรกันแน่…
ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!
เสียงหวีดแหลมกระชั้นยังคงสะท้อนก้อง
…
ครู่หนึ่งผ่านไป
ลึกเข้าไปในซากหอสุราราตรีต้นเฟิง หลินสวินเก็บธนูวิญญาณไร้แก่นสารแล้วลุกขึ้นยืน ข้างกายเขามีหน้าไม้ที่ถูกทิ้งไว้หลายสิบคันหล่นอยู่
ในห้วงนิมิต ความรู้สึกสงบนิ่งโดยสิ้นเชิงประหนึ่งสามารถหยั่งรู้สรรพสิ่งได้กำลังมลายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงตาสีดำของหลินสวินค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
ตั้งแต่ชั่วขณะที่เหยียบหอสุราราตรีต้นเฟิง เขาก็รู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากล
กลุ่มลูกค้าที่อยู่บนหอสุราชั้นสองนั้น แม้เก็บงำพลังปลอมตัวอย่างแนบเนียนยิ่งนัก แต่สำหรับหลินสวินแล้ว เพียงเห็นรอยด้านที่โผล่ออกมาบนฝ่ามือ เขาก็รู้ชัดว่านี่เป็นกลุ่มตัวฉกาจที่เคี่ยวกรำวิชายุทธ์มานานปี!
เดิมทีเขาไม่กล้าฟันธงว่าเพ่งเล็งตน แต่ภายหลังไม่ว่าเขาจะนำเจ้าจิ๊บจิ๊บออกมาจากกลางอากาศ หรือลงมือจัดการพวกรุ่ยชิงสองคนนั้น ปฏิกิริยาของลูกค้าเหล่านั้นล้วนสงบนิ่งเกินไป ไม่มีการแสดงออกที่คนทั่วไปควรมีเลย
ถ้าบอกว่าร่องรอยเหล่านี้ยังไม่พอให้เขามองทุกอย่างขาด เช่นนั้นเมื่อหลินสวินเก็บของ คิดจะพาลั่วลั่วออกไปด้วยกันนั้น กลับรับรู้ได้ในชั่วอึดใจว่าลูกค้าที่กำลังรับประทานอาหารเหล่านั้น ล้วนตั้งใจหยุดการกระทำของตัวเอง
ทั้งหมดนี้พาให้หลินสวินชี้ชัดว่านี่เป็นฉากที่จัดวางไว้ก่อนเพื่อพุ่งเป้ามาที่ตน!
ครั้นการต่อสู้เปิดฉากขึ้น เขายิ่งรับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่านอกหอสุราราตรีต้นเฟิงปรากฏพลังคลุมเครือไม่น้อย
จนกระทั่งสังหารศัตรูทุกคนในหอสุราจนสิ้น หลังจากที่อาคารหอสุรากลายเป็นซาก หลินสวินก็นำธนูวิญญาณไร้แก่นสารออกมา ชั่วขณะที่ดึงสายธนูขึ้น ก็หยั่งรู้ได้อย่างเฉียบคมว่ามีเงาร่างผู้ฝึกปราณคนแล้วคนเล่าซุ่มอยู่ตามอาคารมากมายในบริเวณใกล้เคียงรอบทิศ
นี่ก็คือคุณประโยชน์ของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ทุกครั้งที่ดึงสายธนูสีแดงสดราวโลหิตขึ้น การรับรู้และความรู้สึกทั้งหมดของหลินสวินจะเข้าสู่ความสงบนิ่งโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกันทัศนวิสัยของเขาจะเกิดคุณประโยชน์มหาศาล ราวหยั่งรู้สรรพสิ่ง ทำให้อันตรายทั้งปวงปรากฏขึ้นในทัศนวิสัยของเขาจนหมดสิ้น
ช่วงแรกที่อยู่บนเทือกเขาราตรีต้นเฟิง หลินสวินเคยอาศัยคุณประโยชน์นี้ของธนูไร้แก่นสารสร้างความเสียหายใหญ่โตแก่เรือรบวีรชนม่วงลำนั้นในการโจมตีเดียว
ทว่าไม่เหมือนกับคราวก่อน คราวนี้เขาเพียงอาศัยความสามารถหยั่งรู้อัศจรรย์นั้นของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ยามสังหารศัตรู ที่ใช้กลับเป็นหน้าไม้อาวุธวิญญาณที่ชิงมาได้จากศัตรู
สาเหตุที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหลินสวินมือเติบตั้งใจจะใช้หน้าไม้อย่างฟุ่มเฟือย แต่เพราะหน้าไม้อาวุธวิญญาณไม่ต้องเปลืองพลังวิญญาณ เช่นนี้ก็สามารถรักษาและออมพลังกายได้มากถึงขีดสุด
‘ศัตรูในหอสุรามียี่สิบเจ็ดคน ที่ซุ่มอยู่ข้างนอกมีสามสิบสามคน สุดท้ายมีเก้าคนหนีไป…’
‘การต่อสู้ครั้งนี้ได้ ‘หยั่งรู้ทัศนวิสัย’ ของธนูวิญญาณไร้แก่นสารช่วยไว้ หาไม่หากเมื่อกี้พุ่งออกไปกะทันหัน น่ากลัวจะถูกแทงพรุนเป็นรังผึ้งในพริบตาแน่’
หยั่งรู้ทัศนวิสัยก็คือชื่อที่หลินสวินตั้งให้พลังหยั่งรู้อัศจรรย์นั้นของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร นอกจากนี้แล้ว ยังมี ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ ที่มีประโยชน์ด้วย
ยิ่งผ่านการต่อสู้มากเท่าไร หลินสวินยิ่งรับรู้ความมหัศจรรย์ของธนูวิญญาณไร้แก่นสารมากเท่านั้น นี่ย่อมเป็นสมบัติชั้นยอดที่มีที่มายิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งแน่ เพียงคุณประโยชน์ ‘หยั่งรู้ทัศนวิสัย’ กับ ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ สองอย่างนี้ คันธนูวิญญาณคันอื่นก็เทียบไม่ได้แล้ว!
หลินสวินไม่ร่ำไรอีก แบกตะกร้าพลางหายตัวออกไปจากกลางซากปรักหักพัง
บนถนนกว้างขวางว่างเปล่าวังเวงไร้คน หากสังเกตดูบนชายคาบนตรอกที่ใกล้กันนั้น กลับมีศพร่างแล้วร่างเล่าที่ยังคงมีเลือดไหลออกมากองอยู่
หลินสวินไม่แน่ใจว่าที่อื่นในเมืองหลิวเขียวนี้ยังมีศัตรูแฝงตัวอยู่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงคิดจะจากไปทันที
ทว่าที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือเขายังไม่ทันเคลื่อนไหว บนตรอกที่ไกลออกไปก็มีกลุ่มคนท่าทางดุดันพุ่งเข้ามา
“ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าลูกไร้ความสามารถ แต่ไอ้เวรนั่นมันร้ายกาจเกินไป ข้าเอ่ยชื่อตระกูลรุ่ยของพวกเราแล้ว แต่มันก็ยังแผลงฤทธิ์หาใดเทียบดังเดิม เหิมเกริมทำร้าย เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตระกูลรุ่ยของเราอยู่ในสายตาเลย!”
“ท่านพ่อ ท่านต้องออกหน้าแทนลูกนะขอรับ เมืองหลิวเขียวนี้เป็นถึงอาณาเขตของตระกูลรุ่ยของเรา จะยอมให้ไอ้เด็กต่างที่มากำเริบเสิบสานได้หรือ”
ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้หนึ่ง รุ่ยชิงที่ก่อนหน้านี้หลินสวินโยนออกไปนอกหน้าต่างตามมาข้างกายชายวัยกลางคน
เวลานี้รุ่ยชิงกำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าขัดเคือง
เห็นได้ชัดเจนว่าชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นั้นเป็นบิดาของรุ่ยชิง ด้านหลังสองคนนั้นมีกลุ่มคนรับใช้กลุ่มหนึ่งติดตาม ย่อมเป็นลูกสมุนที่มาจากตระกูลรุ่ยอย่างไม่ต้องสงสัย
“หืม? เหตุใดหอสุราราตรีต้นเฟิงถึงถูกทำลายสิ้น ข้าจากไปไม่ทันไร เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้แล้ว”
รุ่ยชิงเห็นหอสุราราตรีต้นเฟิงถูกทำลายมาแต่ไกลก็อดอึ้งไปไม่ได้ ทันใดนั้นสายตาชำเลืองไป
เมื่อเห็นหลินสวินที่อยู่หน้าซากนั้น เขาก็พลันกัดฟันกรอดร้องตะโกนออกมาอย่างเคืองแค้นว่า
“เป็นมัน เป็นมันนี่เอง!”
ตอนที่ 299
เงียบกริบราวจิ้งหรีดเหมันต์
โดย
ProjectZyphon
รุ่ยชิงร้องตะโกนขึ้นอย่างขัดเคือง ทำให้สายตาของชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นั้นจ้องเขม็งไปที่ร่างของหลินสวิน
เพียงดูจากรูปลักษณ์ภายนอก หลินสวินเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา อบอุ่นไร้พิษสงผู้หนึ่ง แต่เมื่อได้สบดวงตาสีดำลุ่มลึกและเย็นชานั้นของหลินสวิน ใจของชายวัยกลางคนท่าทางภาคภูมิก็เต้นโครมครามอย่างบอกไม่ถูก
นัยน์ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย กวาดไปรอบทิศ แล้วพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เมื่อครู่นี้ที่นี่ดูเหมือนเกิดการต่อสู้โหดร้ายขึ้นรึ”
หลินสวินหัวเราะในใจ รู้ว่าชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นี้เป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง สังเกตได้แล้วว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
“ใช่” หลินสวินพยักหน้า
รุ่ยชิงที่อยู่ด้านข้างร้องขึ้นว่า “ท่านพ่อ เหตุใดถึงต้องพูดพร่ำทำเพลงกับเขาอีกขอรับ ฆ่าเขาเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
หลินสวินพูดไปยิ้มไป “สหายท่านนี้ เมื่อครู่หากข้าไม่ได้โยนเจ้าออกไปจากหอสุรา เจ้าคิดว่าจะมีชีวิตมาถึงตอนนี้หรือ”
เขาพูดพลางชำเลืองมองหอสุราซึ่งกลายเป็นซากไปนานแล้วที่อยู่ไกลออกไป
รุ่ยชิงพูดอย่างเดือดดาลว่า “แบบนี้เจ้าเรียกว่าช่วยข้าหรือ ข้าต้องให้เจ้าช่วยหรือ”
เขาพูดพลางพุ่งขึ้นไป มือหนึ่งก็ตวัดไปที่ใบหน้าหลินสวิน ประหนึ่งว่ามีบิดาเป็นที่พึ่ง ยามเขาลงมือไม่ต้องหวั่นกลัวอะไร
แต่เมื่อรุ่ยชิงจะเคลื่อนไหว ผู้เป็นบิดาก็นิ่วหน้าก้าวมาข้างหน้า พลันยกมือขึ้นตบหน้าเขาเสียจนเงาร่างโซซัดโซเซ ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ลูบหน้าร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อน
“ท่านพ่อ…ท่าน…ท่านทำอะไรขอรับ”
รุ่ยชิงทำหน้ายากเชื่อได้ รวมถึงผู้รับใช้ที่ติดตามมาเหล่านั้นก็พากันมีสีหน้าตื่นตะลึง สับสนงงงวยไปหมด
กลับเห็นว่าชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามผู้นั้นไม่สนใจรุ่ยชิงเลย แต่กุมมือคารวะให้หลินสวิน พูดด้วยใบหน้าซาบซึ้งว่า “ขอบพระคุณสหายน้อยที่ไม่ถือโทษโกรธเคือง ใช้ความดีตอบโต้ความชั่ว หากไม่ได้เห็นทุกอย่างนี้กับตา ข้าผู้แซ่รุ่ยเกือบจะถูกเจ้าลูกหมาหลอกลวง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
หลินสวินเอ่ย
“ท่านพ่อ ท่านเชื่อคำพูดบ้าๆ ของเจ้านี่หรือ” รุ่ยชิงโวยวาย
เผียะ!
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามยื่นมือไปตบอีกครั้ง ต่อว่าเสียงแข็งว่า “ไอ้โง่ตาบอดเอ๊ย ครั้งนี้หากไม่ได้คุณชายผู้นี้ช่วยไว้ เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ที่ไหน”
“ข้า…”
รุ่ยชิงถูกตบจนงงงวย จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตา ช่วยชีวิตเขาอะไรกัน เจ้านั่นโยนตนออกมาจากหอสุราชัดๆ เลย!
นี่ก็เรียกว่าช่วยชีวิตได้หรือ
“หุบปาก!” ชายวัยกลางคนภูมิฐานถลึงตา ยังให้รุ่ยชิงตกใจตัวสั่นงันงก พลันหุบปากทันที
ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามย่อมโกรธมาก แค่พอมีสมองนิดหน่อย เพียงมองหสุราที่กลายเป็นซากก็รู้ว่า หากรุ่ยชิงยังอยู่ในหอสุรา จะโชคดีมีชีวิตรอดได้อย่างไร
ต่อให้ก่อนหน้านี้รุ่ยชิงถูกเล่นงานอย่างหนัก ได้รับความอับอายที่ถูกคนโยนออกมาจากหน้าต่าง แต่เพียงยังมีชีวิตอยู่ นี่ย่อมไม่ถือเป็นเรื่องราวใหญ่โต
“ขายหน้าสหายน้อยเสียแล้ว เจ้าลูกหมาตั้งแต่เล็กก็เกิดและโตที่เมืองหลิวเขียว ก้าวร้าวไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหมือนกับกบในกะลา หากมีเรื่องใดผิดใจ ข้าหวังว่าเจ้าจะให้อภัยด้วย”
เขายกมือคารวะพลางเอ่ยปาก ท่าทีจริงใจ ยังให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อลูกคู่นี้ต่างกันเสียจริง คนหนึ่งเฉลียวฉลาดราวจิ้งจอกเฒ่า อีกคนกลับหัวทึบเป็นคนโง่ ต่างกันมากไปแล้ว
“สหายน้อย หากไม่รังเกียจ ขอเชิญท่านมาเยือนเรือนซอมซ่อของข้า ข้าจะเตรียมสุราและที่พักเพื่อแสดงความซาบซึ้งของข้าคนสกุลรุ่ยอย่างแน่นอน”
ชายวัยกลางคนภูมิฐานเอ่ยปากเชื้อเชิญ
เขามองแวบเดียวก็รู้ ว่าหลินสวินที่แต่งตัวดูไม่เตะตา แต่ท่าทางกลับมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา
“ไม่ต้องหรอก หากทำได้ ช่วยข้าเป็นธุระเล็กน้อยเรื่องหนึ่งดีกว่า”
หลินสวินกล่าว
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามอึ้งไป พลันพูดขึ้นอย่างสบายว่า “สหายน้อยพูดมาเถิด”
“ในบริเวณใกล้เคียงและซากปรักหักพังนั้นมีศพทั้งสิ้นห้าสิบเอ็ดศพ ขอผู้อาวุโสสั่งการให้บริวารช่วยข้าน้อยริบของที่ติดตัวพวกเขาทีขอรับ”
หลินสวินพูดพลางยิ้ม
นัยน์ตาของชายกลางคนผู้ผ่าเผยหรี่ลง แล้วโบกมือให้บริวารที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นลงมือทำตามที่สั่ง เวลานี้ถึงมองหลินสวินอย่างสงสัยเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำว่า “สหายน้อย ขอเสียมารยาทถามสักคำ ศพพวกนั้น…ล้วนถูกเจ้าฆ่าใช่หรือไม่”
หลินสวินยิ้มแย้มไม่พูดอะไร
แต่นี่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ทำให้ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นั้นลอบสูดหายใจเย็นเยือกไม่ได้ จากที่เขาสังเกตเมื่อครู่ สามารถทำลายหอสุราราตรีต้นเฟิงย่อยยับเช่นนี้ได้ การต่อสู้ระดับนี้ไม่ใช่การตีกันเล็กๆ แน่
บ่งชัดว่าคู่ต่อสู้เหล่านั้นของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าต้องร้ายกาจนัก อย่างน้อยก็ต้องมีปราณขั้นผสานใจ!
“ยอดเยี่ยม”
ชายวัยกลางคนท่าทางภาคภูมิผู้นั้นทอดถอนใจออกมา เขาไม่ได้ถามถึงเหตุผลของการต่อสู้ และไม่ต้องการถูกดึงเข้าไปในเรื่องวุ่นวายนี้
ไม่นานนัก กลุ่มบริวารก็กลับมา แต่ละคนล้วนหอบอาวุธวิญญาณ หน้าไม้ และคันธนูวิญญาณหลากหลายรูปแบบ สามารถรวมกันเป็นกองภูเขาเล็กๆ กองหนึ่งได้
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามผู้นั้นกวาดสายตาดู ทันใดนั้นก็สีหน้างงงวย หน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์ หน้าไม้ทลายเกราะ หน้าไม้เจาะโลหิต…
หากเพียงไม่กี่ชิ้นก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีถึงหลายสิบชิ้น! เพียงแค่รวมของพวกนี้เข้าด้วยกันอย่างน้อยก็เป็นเงินหลายพันเหรียญทองแล้ว!
แต่นี่เป็นเพียงส่วนน้อยของทรัพย์หลังศึกของเด็กหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเกราะชั้นในหลายสิบชุด รองเท้าศึกหลายสิบคู่ ปลอกหุ้มข้อมือหลายสิบคู่…รวมถึงอาวุธวิญญาณชั้นดีระดับมนุษย์นานาประเภทกองหนึ่ง กับยาสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับการรักษาฟื้นฟูบาดแผลอีกหลายชนิด!
ที่ทำให้ชายวัยกลางคนภูมิฐานสั่นสะท้านที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ อาวุธวิญญาณ หรือว่ายาสมุนไพร ล้วนมีมาตรฐานเดียวกัน ถือเป็นของชั้นเลิศที่แทบหาซื้อในตลาดไม่ได้!
เวลานี้ไม่เพียงชายวัยกลางคนท่าทางภาคภูมิผู้นั้น ขนาดบริวารยังตื่นตระหนก ตกอยู่ในความเงียบงัน หายใจแรง แต่ละคนอิจฉาตาร้อน ไฟโลภลุกโหม
ส่วนรุ่ยชิงยิ่งอดไม่ได้ ลูกตาแทบหลุดออกมา อ้าปากกว้าง ในสมองมีเพียงเสียงเดียวดังก้อง นี่มันมีราคาเท่าไรกัน!
“ทุกท่าน ของที่อยู่บนศพแม้มีค่า แต่อยู่ในมือกลับร้อนลวกมือนัก ไม่แน่ว่ายังจะชักนำเภทภัยถึงตายมาให้ตัว”
เวลานี้หลินสวินเอ่ยปากแล้ว น้ำเสียงเปรยๆ แต่เมื่อเข้าหูชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามผู้นั้น กลับไม่เบาไปกว่าเสียงอัสนีบาต
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ในดวงตาพลันปะทุรังสีโหดเหี้ยมน่ากลัว กวาดตามองอย่างเยียบเย็นไปยังบริวารเหล่านั้น “ตอนสะสางทรัพย์หลังศึกเมื่อครู่ ใครขโมยของมา รีบส่งออกมาโดยเร็ว หาไม่อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
บริวารเหล่านั้นล้วนตัวแข็งทื่อ หลายคนสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีใครยอมรับเลยว่าอาศัยโอกาสนี้เก็บของไว้เป็นของตน
หลินสวินยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ได้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่กังวลว่าคนใหญ่คนโตจากนครต้องห้ามพวกนั้นจะมาทวงแค้น เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก”
ยามเขาพูด ก็เริ่มลงมือเก็บทรัพย์หลังศึกที่อยู่บนพื้นแล้ว
แต่เมื่อคำพูดนี้ของเขาเข้าหูชายกลางคนท่าทางสง่างามและกลุ่มบริวารเข้า กลับทำให้สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป ตื่นตระหนกไม่หยุดหย่อน
ศพเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกปราณจากนครต้องห้าม นครหลวงแห่งจักรวรรดิ!?
“โอกาสสุดท้ายแล้ว หากนำออกมาให้ตอนนี้ ข้าจะไม่ซักไซ้อีก หากใครกล้าเก็บของพรรค์นี้ไว้กับตัว ข้าจะฆ่ามันยกครัว!”
ชายวัยกลางคนผู้สง่าผ่าเผยคำรามดัง เขารู้สึกหวั่นกลัวถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดจะจริงหรือหลอก เขาล้วนไม่กล้าเสี่ยงโชคอีก
จากนั้นก็มีบริวารเจ็ดแปดคนก้าวออกมา ยื่นอาวุธวิญญาณจำนวนหนึ่งให้ด้วยสีหน้าผิดหวัง
“พวกเจ้า…ช่างสมควรตายเสียจริง!”
ชายวัยกลางคนผู้ภาคภูมิโกรธจนควันออกหู
หลินสวินกลับยิ้มแล้วเก็บทรัพย์หลังศึกทุกชิ้นแล้วโบกมือแล้วพูดว่า “ทุกท่าน ข้าขอลาล่ะ”
เสียงพูดเพิ่งเงียบไป เขาก็ก้าวเท้าจากไปแล้ว
ดวงตามองตามเงาร่างของเด็กหนุ่มค่อยๆ หายไปจากสุดถนน ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานสีหน้าแปรเปลี่ยนหลากอารมณ์ ที่สุดก็ถอนใจยาว ชักสายตากลับมา
“ท่านพ่อ จะ…จะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือ”
รุ่ยชิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ
คราวนี้ชายวัยกลางคนผู้สง่างามไม่ได้โมโห เอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “ของเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้”
“หรือท่านเชื่อคำพูดของเด็กนั่นจริงๆ” รุ่ยชิงซักไซ้
ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานโบกมือ สั่งให้บริวารเหล่านั้นยกศพที่อยู่ใกล้เคียงมาทีละศพ
มองดูท่าทางน่าหดหู่ก่อนตายของศพเหล่านั้น เขาก็อดหนาวยะเยือกในใจไม่ได้ ขนลุกขนพอง
เขาสูดหายใจยาวแล้วพูดว่า “พวกเจ้าดู ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นผสานฟ้า แต่สุดท้ายพวกเขากลับถูกโจมตีที่จุดสำคัญจนตาย และทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั้น”
เมื่อทุกคนได้ยินก็ล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตระหนก ขนาดรุ่ยชิงก็ไม่เว้น
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามพูดต่อ “หากพวกเจ้าคิดดูอีกครั้ง เมื่อครู่อาวุธวิญญาณเหล่านั้นล้วนเป็นของชั้นเลิศในหมู่อาวุธวิญญาณที่มีมาตรฐานเดียวกัน หาซื้อในท้องตลาดไม่ได้ พวกเจ้าคิดว่าจะมีขุมอำนาจไหน ที่สามารถส่งยอดฝีมือมากขนาดนี้ออกมาในคราวเดียวพร้อมอุปกรณ์ชั้นเยี่ยมเช่นนี้ได้”
เวลานี้ทุกคนก็ถูกการสันนิษฐานนี้ทำให้สั่นสะท้านหวาดกลัว ตกใจจนหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง
“ข้ามีสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้หลอกพวกเรา ศพเหล่านี้…ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากขุมอำนาจใหญ่สักกลุ่มหนึ่งในนครต้องห้าม และมีเพียงขุมพลังเหล่านั้น ถึงสามารถส่งผู้ฝึกปราณฝีมือเฉียบแหลมมากมายขนาดนี้ออกมาได้ในคราวเดียว”
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามสีหน้าอ่านยาก ทั้งหวั่นกลัว ยินดีปรีดา และตกตะลึง
“ท่านพ่อ ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นกล้าฆ่าคนมากถึงเพียงนี้ เขา…เขาไม่กังวลว่าจะถูกทวงแค้นหรือ”
รุ่ยชิงถามเสียงสั่น
“เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะยื่นมือเข้าไปได้ ภายหลังก็ไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีก พวกเราตระกูลรุ่ยแม้ไม่มีใครในเมืองหลิวเขียวกล้าหาเรื่อง แต่กลับไม่มีค่าในสายตาของขุมอำนาจใหญ่ที่แท้จริงพวกนั้นเลยสักนิด เมื่อเข้าไปอยู่ในความวุ่นวายแล้ว ต้องชักนำภัยพิบัติเลวร้ายมาให้แน่!”
ชายวัยกลางคนผู้ผ่าเผยสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ หลายรอบค่อยกัดฟันแล้วพูดว่า “จำไว้ เรื่องราววันนี้ ใครก็แพร่งพรายออกไปไม่ได้ หาไม่ข้ารับรองว่าจะฆ่าล้างครัวมันแน่!”
ทุกคนพากันพยักหน้า เงียบกริบราวจิ้งหรีดเหมันต์
…
เวลานี้ หลินสวินออกมาจากเมืองหลิวเขียวแล้ว ข้างหน้าเป็นป่าทึบเตี้ยๆ มองเห็นได้กว้างไกล
ตามที่หลินสวินสันนิษฐานไว้ เมื่อมาถึงที่นี่ก็เท่ากับมาถึงครึ่งทางแล้ว หากทุกอย่างราบรื่น ก็จะถึงนครต้องห้ามได้ในเจ็ดวัน
เห็นได้ชัดนักว่าทางข้างหน้ามีแต่จะอันตรายยิ่งขึ้น ทั้งสถานการณ์ไม่มีทางราบรื่น
แต่ว่า เพียงไม่มีผู้ฝึกปราณที่มีพลังเกินระดับจิตผสานวิญญาณปรากฏตัว ไม่ว่าต่อไปจะพบอันตรายใด เขาก็ไม่กลัว
ในตะกร้า ลั่วลั่วหลับสนิทแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยรับความตกใจไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มต่อสู้ก็ถูกหลินสวินทำให้หลับด้วยพลังควบคุมห้วงการรับรู้
‘สวี่เชียนจิ้ง…มีปรมาจารย์กลศึกผู้นี้อยู่ ต่อไปเมื่อพบกับการล้อมสังหาร น่ากลัวจะยิ่งอันตรายขึ้น ยังดีที่พลังปราณของเราในช่วงนี้สามารถบรรลุเข้าขั้นผสานดินอย่างราบรื่นได้ สภาพแบบนี้น่ากลัวว่าสวี่เชียนจิ้งผู้นั้นจะคาดเดาไม่ได้เลย…’
หลินสวินรีบเดินไปพลางขบคิดไปพลาง
300 คุณชายผู้ถือดี
โดย
ProjectZyphon
ในการต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ หลินสวินได้รู้จากปากของผู้ฝึกปราณที่ถูกจับเป็นบางคนแล้วว่าผู้ที่ส่งกองกำลังมาต่อกรกับตนครั้งนี้ก็คือตระกูลฉือที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลมหาอำนาจชั้นสูงจากนครต้องห้าม
แต่ผู้ที่ดำเนินการเคลื่อนไหวครั้งนี้ กลับเป็นลูกหลานรุ่นหลังตระกูลฉือนามฉือฉางเหมย รวมถึงสวี่เชียนจิ้ง ‘ปรมาจารย์กลศึก’ รุ่นเยาว์จากสำนักศึกษามฤคมรกต
สำหรับปรมาจารย์กลศึกที่เชี่ยวชาญการจัดทัพวางแนวรบอย่างสวี่เชียนจิ้งแล้ว หลินสวินไม่กล้าเพิกเฉยอย่างแน่นอน
เขาถึงกับสงสัยว่า การล้อมสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าหลายวันก่อน ทำให้สวี่เชียนจิ้งรู้จักรูปแบบการต่อสู้และพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของตนราวนิ้วมือตัวเองอยู่นานแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูยิ่งเข้าใจตนมากเท่าไร ก็รังแต่จะเป็นผลเสียต่อตัวเองมากเท่านั้น
ทว่าหากตนสามารถบรรลุเข้าขั้นผสานดินได้ในเวลาอันใกล้นี้ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีก ต่อให้สวี่เชียนจิ้งต้องการต่อกรกับตน ก็อาจจะต้องทำความเข้าใจพลังที่แท้ของตนใหม่อีกครั้ง
และหากสวี่เชียนจิ้งต้องการทำได้ถึงขั้นนี้ ก็ต้องสิ้นเปลืองเวลายิ่งขึ้นเพื่อรวบรวมรายงานข่าวและวิเคราะห์สันนิษฐาน!
ขอเพียงมีเวลาเป็นตัวกันกระแทก ก็สามารถทำให้หลินสวินมีโอกาสใช้ประโยชน์ได้มากมาย
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าความคิดและการสันนิษฐานทั้งหมดของเขาเวลานี้เสียเปล่าถึงเพียงไหน เพราะก่อนเขาสร้างความเสียหายอย่างหนักให้เรือรบวีรชนม่วง สวี่เชียนจิ้งก็ถูกฉือฉางเหมยชิงอำนาจสั่งการและจากไปอย่างเศร้าสร้อย…
แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินสวินก็รู้สึกได้อย่างแรงกล้าถึงเค้าลางบรรลุขั้น หากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน เขาจะบรรลุเข้าสู่ขั้นผสานดินอย่างราบรื่นในไม่กี่วันนี้!
วิธีการเลื่อนขั้นเช่นนี้เป็นการพรั่งพรูที่กดทับไว้ไม่ได้แล้ว เป็นไปตามสถานการณ์ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ประหนึ่งน้ำเต็มแก้วเอ่อไหลออกมาเอง ทดสอบว่าแก่นการฝึกปราณของผู้ฝึกปราณรุ่มรวยถึงที่สุดหรือไม่ได้ดีที่สุด
ตัวหลินสวินรอคอยยิ่งว่าเมื่อตนเข้าสู่ขั้นผสานดิน ความเปลี่ยนแปลงของพลังต่อสู้จะนำความประหลาดใจอย่างไรมาให้ตนบ้าง
…
หลังจากเดินหน้ามาหลายชั่วยาม ทัศนวิสัยตรงหน้ายิ่งเปิดกว้างขึ้น สามารถเห็นได้แล้วว่าบนขอบฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาปรากฏเค้าโครงเมืองเมืองหนึ่ง
นั่นคือเมืองมังกรเหลือง ถือเป็นเมืองใหญ่พลุกพล่านเมืองหนึ่งในมณฑลซิงอวิ๋นที่อยู่ภาคกลางของจักรวรรดิ
ตามเส้นทางที่หลินสวินวางไว้ก่อนหน้านี้ เมืองมังกรเหลืองเป็นหนึ่งในเมืองที่ต้องผ่าน
เขาคิดจะเร่งไปให้ถึงเมืองมังกรเหลืองก่อนฟ้ามืดอย่างเต็มกำลัง จากนั้นก็หาที่ปลอดภัย เก็บตัวเพื่อเตรียมตัวบรรลุขั้นผสานดิน
ในป่ากว้างอันตรายเกินไป หากตอนบรรลุขั้นเกิดอันตรายอะไรเข้า ย่อมถูกโจมตีถึงชีวิตแน่
ส่วนระหว่างเข้าเมืองมังกรเหลืองจะพบอันตรายหรือไม่ หลินสวินไม่ได้กังวลมากนัก
น่าขันนัก นั่นเป็นเมืองที่พลุกพล่านเมืองหนึ่งในจักรวรรดิเชียวนะ ต่อให้ศัตรูกำเริบเสิบสานกว่านี้ ก็ย่อมไม่กล้าต่อกรกับตนอย่างใจกล้าบ้าระห่ำแบบก่อนหน้านี้อีก
หืม?
เมื่อหลินสวินมุ่งหน้าเดินไปนั้นเอง พลันสังเกตได้ว่ายังสถานที่ไกลโพ้นมีขบวนขบวนหนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้
นัยน์ตาเขาหรี่ลง ขณะที่กำลังประเมินอยู่ว่ากองกำลังนั้นเป็นของศัตรูหรือไม่ กลับค้นพบอย่างไม่ตั้งใจว่ารถลากที่แผ้วทางอยู่หน้าขบวนแขวนธงลายเมฆสีเหลืองผืนหนึ่งไว้ ด้านบนเขียนว่าอัครการค้าอย่างชัดเจน
เหตุใดถึงพบกองกำลังของอัครการค้าที่นี่ได้
หลินสวินอึ้งไป เมื่อขบวนนั้นใกล้เข้ามา เขาก็ยิ่งค้นพบเงาร่างของคนคุ้นเคยคนหนึ่ง…หวังหลิน!
หวังหลินผู้นี้เป็นนักประเมินทรัพย์ของอัครการค้าเมืองตงหลิน ทั้งเป็นบริวารข้างกายมู่หวั่นซูที่มีฝีมือที่สุด
ช่วงแรกที่อยู่เมืองตงหลิน หลินสวินก็เคยสานสัมพันธ์กับหวังหลิน แต่ไม่คิดว่ากลับบังเอิญพบเขาที่นี่ได้
“หลินสวิน! เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้”
แทบจะในเวลาเดียวกัน หวังหลินที่นั่งอยู่บนรถลากนั้นก็พบหลินสวินเข้า พลันโบกมืออย่างประหลาดใจและมีท่าทีเกินคาดถึงที่สุด
ทันใดนั้นขบวนที่มีขนาดหลักร้อยคนกองนี้ก็หยุดลง
หวังหลินรีบลงจากรถลากมาอยู่ตรงหน้าหลินสวิน พูดพลางยิ้มว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในที่ป่ากว้างเช่นนี้จะบังเอิญเจอเจ้าได้”
หลินสวินหัวเราะ “ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน”
“เจ้ามากับข้า คุณหนูหวั่นซูก็อยู่ในขบวน หากนางเห็นเจ้าต้องประหลาดใจมากแน่ ฮ่าๆ” หวังหลินพูดพลางพาหลินสวินเดินไปกลางขบวน
ระหว่างที่เดินอยู่ หลินสวินถึงสังเกตเห็นว่าขบวนของอัครการค้าครั้งนี้มีเอกลักษณ์มาก นอกจากมีทหารยามที่มีฝีมือและไหวพริบหลายสิบคนแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีหลายคน แม้ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่พลังและความแข็งแกร่งเต็มเปี่ยม
เมื่อหลินสวินประเมินเด็กหนุ่มเหล่านั้น พวกเขาก็ประเมินหลินสวินด้วยความสงสัยเช่นกัน
“พวกนี้เป็นต้นอ่อนชั้นดีที่คุณหนูหวั่นซูคัดเลือกมาจากอัครการค้าเมืองมังกรเหลือง เพียงต้องขัดเกลาเสียหน่อยก็จะกลายเป็นบริวารที่มีความสามารถที่สุด”
หวังหลินแจกแจง
หลินสวินพูดอย่างตกตะลึงว่า “แค่บริวารเท่านั้นเอง เหตุใดต้องถ่อมาไกลถึงเพียงนี้”
หวังหลินอธิบายเสียงค่อย “คุณหนูหวั่นซูเพิ่งตั้งตัวในเมืองหมอกอำพราง ข้างกายขาดคนที่ใช้การได้ แต่เพื่อไม่ให้มีเรื่องคนตั้งใจเข้ามาเป็นสายลับเกิดขึ้น ก็ทำได้เพียงทิ้งคนใกล้มาหาคนไกลนี่ล่ะ”
เวลานี้หลินสวินถึงเข้าใจในทันทีทันใด อดพูดอย่างทอดถอนใจไม่ได้ว่า “คิดจะทำการสักอย่างต้องวางพื้นฐานให้ดีเสียก่อน ยามใช้คน ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติอย่างแรกๆ ที่สำคัญที่สุด”
หวังหลินพูดไปยิ้มไปว่า “เช่นนั้นล่ะ”
เวลานี้หลินสวินถึงนึกขึ้นมาได้ มิน่าตอนเขากำลังจะออกจากเมืองหมอกอำพราง เขาไปอัครการค้าเพื่อไปบอกลามู่หวั่นซู แต่กลับรับทราบว่านางไม่อยู่ ที่แท้ก็ไปเมืองมังกรเหลืองเพื่อคัดเลือกบริวารเสียแล้ว
“หวังหลิน เหตุใดขบวนถึงหยุดเล่า”
ยังไม่ทันเดินถึงตรงกลางขบวน ก็เห็นว่าบุรุษชุดเงินผู้หนึ่งเดินมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
บุรุษชุดเงินผู้นี้รูปลักษณ์สง่างาม สวมเกี้ยวขนนกบนศีรษะ คาดเข็มขัดหยกที่เอว สวมรองเท้าหุ้มข้อลายมังกร ในมือถือพัดหรูหราเล่มหนึ่ง ยามยกมือย่างเท้าเผยให้เห็นท่าทีหยิ่งผยองวางโต
“ระหว่างทางบังเอิญเจอสหายของคุณหนูหวั่นซูท่านหนึ่ง ข้าจึงพาเขามาพบคุณหนูเสียหน่อย”
หวังหลินสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา ใบหน้าเก็บซ่อนความชิงชังและต่อต้านที่ยากสังเกตเห็นไว้ เขาพูดพลางพาหลินสวินเดินต่อไป
กลับเห็นว่าบุรุษชุดเงินส่งเสียงหึหยัน ย่างก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวขวางทางไว้ แล้วพูดว่า “เพื่อนคนไหนหรือ เหตุใดข้าไม่ยักเห็น”
เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นหลินสวินกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น ดูจองหองไร้มารยาทถึงที่สุด
เวลานี้ขนาดหลินสวินก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ เขารู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า บุรุษชุดเงินผู้นี้แสดงความไม่เป็นมิตรกับตนอย่างเปิดเผย
หวังหลินสีหน้าอึมครึมไม่น้อย เขาสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ ท่านผู้นี้ก็คือเพื่อนของคุณหนูหวั่นซู นามว่าหลินสวิน”
เขาพูดพลางแนะนำหลินสวินว่า “หลินสวิน นี่คือคุณชายลู่เซ่าอวิ๋น”
หลินสวินร้องอ๋อ ในโสตประสาทพลันมีเสียงสื่อจิตแผ่วเบาของหวังหลินดังขึ้นว่า “บิดาของเจ้านี่ชื่อลู่เทียนจ้าว เป็นผู้ดูแลอาวุโสที่มีอำนาจมากผู้หนึ่งของสาขาใหญ่อัครการค้า”
“และเจ้าลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้หลงตัวเองนัก อาศัยชื่อบิดาเขาเกี้ยวสตรีไปทั่ว ไม่รู้จักร่ำเรียน ชื่อเสียงที่ลือออกไปก็ย่ำแย่ ได้ยินมาว่าเพราะไปต่อสู้แย่งชิงสตรีนางหนึ่ง เลยหมางใจกับลูกผู้ดีที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งท่านหนึ่งในนครต้องห้าม ถูกบิดาเขาขับออกจากนครต้องห้าม”
“ครานี้เมื่อคุณหนูหวั่นซูมาทำธุระที่เมืองมังกรเหลือง ก็ถูกเจ้าลู่เซ่าอวิ๋นนี่พบเข้า ทันใดนั้นก็ติดแจเหมือนแผ่นแปะยาหนังหมา เห็นได้ชัดว่าหมายใจความงามของคุณหนูหวั่นซู แต่ไม่ว่าอย่างไร บิดาของเจ้านี่ก็เป็นผู้ดูแลอาวุโสที่มีอำนาจมากผู้หนึ่งของสาขาใหญ่อัครการค้า ด้วยกลัวจะผิดใจกัน คุณหนูหวั่นซูก็จนใจกับเจ้านี่ ทำได้เพียงให้เขาติดตามมา”
การส่งกระแสจิตอธิบายนี้ทำให้หลินสวินเข้าใจในทันทีทันใด
เวลาเดียวกับที่หวังหลินอธิบาย ลู่เซ่าอวิ๋นก็ทอดสายตามายังหลินสวิน ประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเหิมเกริมไม่เกรงกลัว แล้วแค่นหัวเราะออกมา “เจ้านี่อายุเพิ่งสิบกว่าปีกระมัง แต่งกายก็ซอมซ่อเช่นนี้ จะเป็นเพื่อนของหวั่นซูไปได้อย่างไร”
คำถากถางตรงไปตรงมานี้ขอเพียงหูไม่หนวกก็ฟังออก
หวังหลินไม่คิดเลยว่าลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้จะปากคอเราะรายได้ถึงเพียงนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ สำรวมกิริยาด้วย!”
ลู่เซ่าอวิ๋นยกพัดหยกในมือขึ้น พลันตีที่หน้าผากของหวังหลิน “ไอ้หมารับใช้ ใครให้เจ้ากล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้!”
เผียะ!
พัดหยกลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วถูกมือหนึ่งคว้าไว้ได้ เป็นหลินสวินที่ลงมือ
เขาทนดูต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ เดิมทีเขานึกว่ารุ่ยชิงที่เขาได้พบในเมืองหลิวเขียวก็ก้าวร้าวมากพอแล้ว ใครจะคิดว่าเมื่อเทียบกับลู่เซ่าอวิ๋นตรงหน้า ช่างเหมือนพ่อมดน้อยพบพ่อมดใหญ่
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
พัดหยกถูกยึดไว้ ลู่เซ่าอวิ๋นพยายามอย่างสุดแรงก็ยังชิงมาไม่ได้ พลันโวยวายด่าทอแล้วเตะหลินสวิน
ผลัวะ!
ก็เห็นว่าหลินสวินรอดูท่าทีค่อยลงมือ หมัดเดียวกระแทกบนหน้าผากของลู่เซ่าอวิ๋นจนดั้งยุบ เกิดเสียงวิ้งในหัว มึนงงมองเห็นดวงดาว ร่างกายกระเด็นออกไปอย่างเสียการควบคุม
ยังไม่จบเท่านี้ หลินสวินไม่แม้แต่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งขึ้นไปหาลู่เซ่าอวิ๋นแล้วต่อยตีอย่างบ้าคลั่งจนเขาตัวคดตัวงอ ร้องเสียงดังโหยหวน
หวังหลินพลันมองนิ่ง ลู่เซ่าอวิ๋นเหิมเกริมมาก แต่ก็เพียงแค่แกว่งปาก หลินสวินเสียอีกที่ไม่เปลืองวาจาสักคำก็เริ่มลงมือ สองคนนี้เทียบกันแล้ว หลินสวินกลับดูอหังการแข็งกร้าวยิ่งนัก
พูดตามจริง เมื่อหวังหลินเห็นลู่เซ่าอวิ๋นถูกตีจนเป็นเช่นนั้น ในใจก็สะใจยิ่งนัก แต่เมื่อคิดถึงฐานะของลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้ เขาก็พลันปวดหัวขึ้นมาทันที
ความเคลื่อนไหวของฝั่งนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในขบวนรถอยู่นานแล้ว แต่เมื่อเห็นลู่เซ่าอวิ๋นถูกเล่นงานกลับไม่มีใครมาขัดขวาง กลับรู้สึกพอใจเหมือนกับหวังหลิน
ระหว่างทางลู่เซ่าอวิ๋นกริยาเสแสร้ง เย่อหยิ่งยโส เห็นใครขัดหูขัดตาก็เอาแต่ตำหนิติเตียน พาให้ผู้อารักขาเหล่านั้นล้วนเก็บกักความโกรธไว้ในใจ
แต่เพราะมู่หวั่นซูเคยสั่งไว้ว่าไม่สามารถมีเรื่องกับลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้ได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงขัดเคืองแต่พูดออกมาไม่ได้
ทว่าตอนนี้หลินสวินเมื่อมาถึงก็สั่งสอนคุณชายจากตระกูลร่ำรวยผู้นี้เสียยกหนึ่ง พวกเขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร
“ไอ้เวร! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
ลู่เซ่าอวิ๋นถูกสั่งสอนจนใบหน้าฟกช้ำ คำรามเสียงแหลม
ปึ้กๆๆ !
ที่รอรับเขาอยู่ก็คือการเตะอย่างบ้าระห่ำ
“เจ้าตายแน่! ตายแน่ๆ!”
ลู่เซ่าอวิ๋นเบ้าตาแทบฉีกขาด โกรธจนแทบระเบิด
ร้องโหยหวนครั้งหนึ่ง ปากเขาก็ถูกดินโคลนที่เหม็นคละคลุ้งยัดเข้าไปในปาก ไม่สามารถส่งเสียงได้อีก ในที่สุดตาก็เหลือกขึ้นด้วยถูกเล่นงานจนสลบไป
เห็นเช่นนี้หลินสวินถึงได้รามือ พ่นลมหายใจยาวออกมา ปลอดโปร่งสบายใจนัก
เขากวาดตาไปโดยรอบแล้วพูดพลางยิ้มว่า “ทุกท่านอย่าถือสา ข้าเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่าที่แท้ยังมีคนที่ขาดการสั่งสอนเช่นนี้ด้วย ครั้งนี้หากไม่สั่งสอนเขาให้สมใจ ใจข้าคงรู้สึกผิดอยู่บ้าง”
301 คนชั่วมีคนชั่วกว่าจัดการเสมอ
โดย
ProjectZyphon
หวังหลินยิ้มขื่น ขณะที่เหล่าองครักษ์โดยรอบต่างก็มีสีหน้าชื่นชมนับถือ ดูสิ เด็กหนุ่มผู้นี้ดุดันเพียงใด พูดกันไม่เข้าใจก็ลงไม้ลงมือเสียแล้ว ใจนักเลงดีจริงๆ!
เวลานี้หลินสวินพลันเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปยังตรงกลางกองทหารก่อนเอ่ย “พี่หวั่นซู ข้าลำบากช่วยท่านจัดการแก้ปัญหาแล้ว หากท่านยังไม่ยอมปรากฏตัวข้าจะเสียใจแล้วนะ”
ที่แท้ ก่อนหน้าที่จะจัดการลงหมัดกับลู่เส้าหยุน หลินสวินก็รับรู้ถึงความสนใจที่มุ่งมาทางนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นมู่หวั่นซูอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ตรงนี้เสียงเอะอะครึกโครม ผู้เป็นนายใหญ่ของขบวนสินค้านี้อย่างมู่หวั่นซูหรือจะไม่รับรู้
เป็นไปดังคาด หลินสวินเพิ่งกล่าวจบ เขาพลันเห็นมู่หวั่นซูในชุดกระโปรงดำ พร้อมกับใบหน้าสวยสะพรั่งดั่งดอกกุหลาบผลิบานเดินนวยนาดออกมา
“หึ ช่วยข้าจัดการปัญหาอะไรกัน เจ้าไม่ใช่พวกคนมุทะลุบุ่มบ่ามเสียหน่อย ในเมื่อกล้าลงมือโดยไม่เกรงกลัวก็เจ้าต้องมีแผนการเป็นแน่!”
มู่หวั่นซูเดินเข้ามาถลึงตาเป็นประกายใส่เด็กหนุ่ม
หลินสวินยิ้มรื่นโดยพลัน “พี่หวั่นซูสายตาเฉียบคมรอบรู้ยิ่งนัก ความจริงถูกท่านเตือนมาอย่างนี้ ข้าก็นึกได้ว่ามีเรื่องอยากให้พี่หวั่นซูช่วยจริงๆ “
“เลิกแกล้งเหลวไหลได้แล้ว คนอย่างเจ้าจะต้องมีแผนการมาก่อนอยู่แล้ว ตามข้ามา” มู่หวั่นซูกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ว่าแล้วนางก็เดินกลับเข้าไปยังรถม้า แต่ต้นจนจบก็ไม่ได้มองลู่เซ่าอวิ๋นที่สลบอยู่สักกะผีก
หลินสวินยิ้ม ประสานมือไว้ตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยว่าไปโดยรอบ “ทุกท่าน รบกวนพวกท่านสักเรื่อง ห้ามแตะต้องเด็กคนนี้เด็ดขาด เดี๋ยวข้าจะพาเด็กผู้นี้ไปด้วยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้พวกท่านอีก”
“คุณชาย ท่านมีคุณธรรมยิ่งนัก! พวกเรานับท่านเป็นเพื่อนแล้ว!” ทุกคนต่างยิ้มในทันใด ตอบกลับกันระรัว
หลินสวินยิ้มพลางเดินไปหามู่หวั่นซู
หวังหลินงงงันก่อนจะรีบตามเข้าไป “หลินสวิน เจ้าจะพาลู่เซ่าอวิ๋นไปด้วยจริงๆ หรือ พ่อของเขาเป็นถึง…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง คนชั่วมีคนชั่วกว่าจัดการเสมอ เพื่อจัดการกับคนผู้นี้ ข้าทำจะทำตัวเป็นคนชั่วชั่วคราว” อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ หลินสวินก็ขัดขึ้นมา
หวังหลินตะลึง เป็นคนชั่วชั่วคราวอย่างนั้นหรือ หากเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนชั่วขึ้นมา ใครจะไปโหดร้ายกว่าเขาอีกเล่า
ระหว่างพูดคุย หลินสวินก็เร่งสาวเท้าไปที่รถม้าที่อยู่กลางขบวน และนั่งลงตรงข้ามมู่หวั่นซูที่กำลังต้มชากลิ่นหอมอบอวล ใบหน้าของนางงดงาม ประกอบกับผิวเนียนเปล่งปลั่ง มือเรียวที่จดจ่อกับการชงชา ทุกกิริยาล้วนชวนพิศชม
“ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามาก หากเจ้าไม่ปรากฏตัว ข้าก็คงยังปวดหัว ไม่รู้จะจัดการกับลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้อย่างไร” มู่หวั่นซูยกแก้วหยกมันแพะที่ใส่ชาไว้เต็มแก้วให้หลินสวิน
“โถ่ พี่หวั่นซูท่านเกรงใจกันเกินไปแล้ว” หลินหวินยิ้มพลางยกชาขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวพร้อมสีหน้าจริงจัง “เห็นว่าพี่หวั่นซูตกลำบากอยู่ต่อหน้า น้องชายอย่างข้าจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร”
“ช่วยเหลืออะไรกันล่ะ ผีน่ะสิถึงจะเชื่อเจ้าลง” มู่หวั่นซูต่อว่าเสียงเบา ก่อนถามด้วยความสงสัย “ครั้งนี้เราน่าจะพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น ทำไมถึงมีเรื่องรบกวนข้าได้ล่ะ”
“บังเอิญจริงๆ นั่นแหละ ข้าก็ไม่คิดว่าจะเจอกับพี่หวั่นซูที่นี่” หลินสวินยิ้ม
“มีเรื่องอะไรกันแน่”
มู่หวั่นซูคร้านจะต่อความยาวสาวความยืด จึงเอ่ยขึ้นมาตามตรง
หลินสวินชี้ไปที่ตะกร้าข้างหลังตน
มู่หวั่นซูมองไป จึงสังเกตเห็นว่าในตะกร้ามีเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่ นางงงงัน “เจ้า…คงไม่ได้เสียสติไปลักพาตัวเด็กน้อยมาจากที่ไหนใช่หรือไม่ ข้าไม่ช่วยหรอกนะ”
“ข้าดูเหมือนคนเช่นนั้นหรือ” หลินสวินหัวเสีย
“ไม่เหมือน แต่ใช่เลยล่ะ” นางตอบจริงจัง ว่าแล้วก็หัวเราะร่าเบิกบาน นัยน์ตาของนางหวานหยาดเยิ้ม พร้อมกับความรู้สึกมากมาย
หลินสวินเองก็พลอยหัวเราะไปด้วย นับแต่ออกมาจากเมืองหมอกอำพรางเขาก็ถูกศัตรูตามฆ่ามาตลอด ต้องเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ประมาทไม่ได้เลย เมื่อได้พบคนคุ้นเคยอย่างมู่หวั่นซูครานี้ เขารู้สึกผ่อนคลายไปได้มากทีเดียว
ในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดแค้นต่อตระกูลฉื่อแห่งนครต้องห้ามที่ทำเรื่องทุกอย่างขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งสงสัย และคาดเดาตามข่าวที่เสวี่ยจินได้บอกกล่าวในคราวนั้น ว่าตระกูลฉื่ออาจจะเป็นศัตรูที่ขโมยชีพจรวิญญาณของเขาไปตั้งแต่แรก!
ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางหลินสวินให้เข้าไปนครต้องห้าม หลังจากที่รู้เรื่องราวของเด็กหนุ่มแล้วกระมัง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของหลินสวินเพียงเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อตระกูลฉื่อกล้าทำเช่นนี้ก็ย่อมมีความน่าสงสัยเป็นอย่างมาก!
“บอกมาสิว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร” มู่หวั่นซูถาม ไม่วายเติมน้ำชาให้หลินสวิน
หลินสวินคิดสักพักจึงว่า “ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าพาเด็กหญิงผู้นี้กลับไปที่เมืองหมอกอำพราง แล้วบอกกับสืออวี่ให้เขาช่วยออกหน้า ส่งเด็กคนนี้ไปที่ค่ายกระหายเลือด และให้ครูฝึกเสี่ยวหม่านดูแล”
“ข้าขอทราบเหตุผลได้หรือไม่” มู่หวั่นซูชะงักถาม
หลินสวินไม่ปิดบัง บอกเล่าเรื่องที่เขาถูกตามฆ่าคร่าวๆ
คำบอกเล่าเรียบง่ายและสั้นกระชับ กลับทำให้มู่หวั่นซูเคร่งขรึมขึ้นมา จนสุดท้ายในสายตาก็มีแววตกใจ “มีคนไม่อยากให้เจ้าไปยังนครต้องห้ามหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าศัตรูเป็นใคร”
หลินสวินกล่าวตอบทันใด “พี่หวั่นซู ทางที่ดีท่านอย่าถามเลยดีกว่า รู้เพียงว่าศัตรูของข้าในครั้งนี้มีอำนาจมากก็พอ”
มู่หวั่นซูขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังเห็นข้าเป็นคนนอกนะ”
หลินสวินเพียงยิ้มไม่ว่าอะไร แต่สายตากลับแน่วแน่ เขาบอกไม่ได้ และจะให้มู่หวั่นซูมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้
มู่หวั่นซูจับจ้องหลินสวินอยู่นาน ก่อนจะคิดได้ว่าแม้ตัวเองจะพยายามถามเพียงใด หลินสวินก็คงไม่ยอมบอกคำตอบกับนาง
“ด้วยความสัมพันธ์ของเจ้ากับคุณชายสาม ครั้งนี้ให้เขาช่วยเหลือได้ บางที…” นางยังคงไม่สบายใจ
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “อัครการค้าไม่ได้เป็นของสืออวี่ ยิ่งกว่านั้น แม้จะให้อัครการค้าออกหน้าก็คงช่วยข้าไม่ได้”
แม้แต่อัครการค้าก็ช่วยไม่ได้เชียวหรือ
มู่หวั่นซูสายตาแน่นิ่ง ใจสั่นระรัว แม้แต่อัครการค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ เช่นนั้นอำนาจที่หมายหัวหลินสวินจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกัน
“เจ้านี่นะ เหตุใดถึงชอบสร้างศัตรูมากมายนัก เจ้า…ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเข้าไปนครต้องห้ามมันอันตรายมาก เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้อีก” มู่หวั่นซูกล่าวพร้อมสีหน้าอันซับซ้อน หลังจากเงียบอยู่นาน
“ข้าไม่ใช่พวกเกรงอันตรายจนไม่ยอมเดินหน้า” หลินสวินตอบยิ้มๆ
ครานี้ม่หวั่นซูกลับไม่คิดว่าหลินสวินกำลังล้อเล่น นางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวพร้อมถอนหายใจ “ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอก ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
“เช่นนั้น ท่านว่าอย่างไรกับเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้” หลินสวินกล่าว
“เจ้าไม่ต้องห่วง ส่งเด็กคนนี้มาให้ข้าก็พอ” มู่หวั่นซูว่า
หลินสวินเหมือนได้ปลดภาระหนักหน่วงออกในทันใด วาดมือขึ้นมาทำความเคารพ “ขอบคุณท่านมาก”
“เจ้าทำท่าเกรงใจกันอย่างนี้ ใจข้าขนลุกไปหมด คิดว่าเจ้าวางแผนจะทำอะไร ดังนั้นจากนี้ไปก็อย่าเกรงใจข้าเลย” มู่หวั่นซูค่อนแคะ
หลินสวินพยักหน้าพอใจ
…
คุยกันอีกไม่นาน หลินสวินก็ขอตัวลาไป
ก่อนจากไป หลินสวินลูบหัวลั่วลั่วที่หลับอยู่ และบอกกับมู่หวั่นซูว่า “หางนางตื่นแล้วก็บอกนางว่า กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ถึงจะมีชีวิตอย่างเข้มแข็งต่อไป”
มู่หวั่นซูชะงัก “นางเพิ่งจะสามสี่ขวบ ไม่เข้าใจหรอก”
หลินสวินส่ายหน้า “ตั้งแต่วินาทีที่สูญเสียแม่ไป นางก็ควรที่จะเรียนรู้ที่จะเติบโตได้แล้ว”
ว่าแล้วหลินสวินก็ลากที่ลู่เซ่าอวิ๋นที่สลบอยู่จากไป
“นี่ ฐานะของลู่เซ่าอวิ๋นไม่ธรรมดา เจ้าอย่าทำเขาตายล่ะ” มู่หวั่นซูตะโกนบอกอยู่ไกลๆ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลเขาอย่างดี” หลินสวินตอบกลับและโบกมือให้โดยไม่ได้หันกลับไปมอง ก่อนที่เงาร่างของเขาจะหายลับไปในป่าอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว
“คุณหนูหวั่นซู ทำอย่างนี้…จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับหลินสวินหรือไม่” หวังหลินว่าอย่างเป็นกังวล
มู่หวั่นซูยิ้มกว้าง “เด็กคนนี้มีปัญหาทุกวันไม่เคยว่างเว้น เจ้าควรจะห่วงว่าลู่เซ่าอวิ๋นจะตายเพราะหลินสวินหรือไม่ต่างหาก” ว่าแล้วนางก็เดินกลับเข้าไปในรถม้า
หวังหลินชะงักนึก ก่อนจะนึกถึงวีรกรรมของหลินสวิน เขาอดรู้สึกเช่นเดียวกับหมู่หวั่นซูไม่ได้ ถูกต้องแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินคนนี้ไม่ใช่คนที่จะเอาตรรกะธรรมดาไปตัดสินได้
…
ยามใกล้ค่ำ ในที่สุดหลินสวินก็มองเห็นโครงร่างของเมืองมังกรเหลือง
สง่างาม
เก่าแก่
ตระการตา
สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกที่หลินสวินสัมผัสได้โดยตรง กำแพงเมืองโบราณที่ยาวเฟื้อยนั้น กำลังอาบแสงอาทิตย์อัสดงเป็นสีสันสวยงาม
แม้จะเย็นย่ำแล้ว แต่ยังคงเห็นผู้คนมากมายเข้าออกประตูเมือง แลดูครึกครื้นยิ่งนัก
ความเจ็บแสบจากฝ่ามือที่ตบกระทบบนหน้าทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นตื่นจากการสลบไสล ครั้นลืมตาขึ้นเห็นหลินสวิน เขาก็หน้าตื่น เตรียมจะหวีดร้องในทันใด
หลินหวินบอกขัดเสียงเนิบ “ไม่อยากตายก็อยู่เงียบๆ ดีๆ “
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบ แต่ในสายตาไม่วายมีประกายสังหารดั่งมีดเย็นเยียบปักลงในหัวใจแผ่ออกมาอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาลู่เซ่าอวิ๋นตัวสั่น สีหน้าตระหนกกลัว “เจ้า…เจ้าจะพาข้าไปไหน”
เขากลัวจริงๆ เพราะเมื่อตื่นขึ้นมา ก็เหลือเพียงหลินสวินอยู่ตรงหน้า แล้วลู่เซ่าอวิ๋นจะเข้าใจสถานการณ์ของตนเองได้อย่างไรกัน
“ไม่ต้องห่วง เมื่อข้าออกจากเมืองมังกรเหลือง เจ้าก็จะเป็นอิสระเอง” หลินสวินว่าแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองมังกรเหลืองที่อยู่ห่างออกไป
“อ้อ จริงสิ ข้าวางยาพิษเจ้า ดังนั้นทางที่ดีตามข้ามาซะ อย่าคิดจะหนี”
ยาพิษ!
ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าตาตื่น พลางสำรวจร่างกายตัวเอง แต่กลับไม่พบอะไร ครั้นเห็นท่าทางไม่หวั่นเกรงสิ่งใดของหลินสวิน เขาพลันคิดได้ว่าตนเองคงไม่มีโชคดีแล้ว
เขาจำต้องเชื่อ ถ้าหาก…ถ้าหากถูกพิษจนตัวตายจริง เช่นนั้นก็จบเห่!
“เจ้า…เจ้าต้องการอะไรกันแน่” ลู่เซ่าอวิ๋นเดินตามไป ถามอย่างร้อนรนระคนโมโห
“ก็ไม่อย่างไร” หลินสวินตอบโดยไม่ต้องคิด
เขาพูดอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นสับสน และยิ่งโมโหขึ้นไปอีก จึงกัดฟันกล่าวอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าอย่าอย่าได้รังแกคนอื่นมากนักเลย! หากเจ้ากล้าวางแผนใดกับข้า เจ้าไม่มีทางพบจุดจบที่ดีแน่!”
“อื้ม”
“เจ้า…เจ้า…สารเลว!”
“อื้ม”
“เจ้ามันชั่วช้านัก!”
“อื้ม”
“เจ้ามีการตอบโต้ที่พึงมีหน่อยไม่ได้หรือ ปัดโธ่เอ๊ย จ้าไม่เคยพบเห็นคนเช่นเจ้าเลยจริงๆ!”
“อื้ม”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินไม่เกรงกลัวยี่หระตัวเอง ยิ่งทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นโมโห ทั้งหวาดหวั่น ทั้งกังวล จิตใจมีแต่ความสับสน หมดเรี่ยวแรงและไร้ซึ่งความหวังอย่างบอกไม่ถูก
แต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเจอใครที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ พอได้ลงมือก็ไม่หวาดหวั่นสิ่งใดอย่างเจ้าคนนี้มาก่อน จึงทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นได้แต่สิ้นหวัง ดังตัวเองเป็นปลาในเขียง ทำได้เพียงรอให้เขาฆ่าแกง
302 ความผิดพลาด
โดย
ProjectZyphon
เมืองมังกรเหลือง
เพียงเดินเข้าประตูเมืองมาก็ได้ยินเสียงครึกครื้น
ถนนเส้นใหญ่เป็นระเบียบสะอาดตา มีผู้คนเดินขวักไขว่กันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงผู้คน ไม่ด้อยไปกว่าเมืองหมอกอำพรางแม้แต่น้อย
หลินสวินทำตัวราวกับนักท่องเที่ยว เดินทอดน่องชมเมืองไปเรื่อยๆ ส่วนลู่เซ่าอวิ๋นที่เป็นผู้ติดตามนั้นหน้าครึ้มสลับเขียวเหมือนกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง
“น่าสนใจ” จู่ๆ หลินสวินก็รำพึงรำพันกับตัวเองแล้วเผยยิ้มบางเบา
“เจ้าว่าอะไรนะ” ลู่เซ่าอวิ๋นถาม
หลินสวินไม่ได้สนใจเขา ก้าวเดินต่อไป
ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าครึ้มสลับขาว หากทำได้ เขาไม่ลังเลเลยที่จะแล่เนื้อหลินสวินทั้งเป็น เจ้าคนนี้น่าบัดซบเป็นที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเก็บความคับแค้นเกลียดชังเอาไว้แล้วเดินตามไป
…
“ระวังด้วย เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว แถมยังมีบุรุษชุดแพรตามมาด้วยอีกคน”
“ให้สายลับจับตามองเป้าหมายไว้ แล้วให้คนไปสืบที่มาของบุรุษชุดแพรคนนี้ด้วย”
“จำเอาไว้ ทำงานอย่างระมัดระวังด้วย เป้าหมายเป็นบุคคลอันตราย ไม่มีคำสั่งห้ามลงมือเด็ดขาด”
ทันทีที่หลินสวินกับลู่เซ่าอวิ๋นย่างเข้ามาในเมืองหวงเฉิงก็ถูกจับตามองจากที่ลับอยู่ตลอดเวลา
โรงเตี๊ยมรวมโชค
หลินสวินเช่าห้องพักติดกันเอาไว้สองห้อง สำหรับตัวเองหนึ่งห้องและอีกห้องให้ลู่เซ่าอวิ๋น
“ข้าจะเก็บตัวฝึกปราณหลายวัน เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสงบล่ะ หากทะเล่อทะล่าออกไปวิ่งเล่นจนพิษกำเริบขึ้นมาก็รับผิดชอบตัวเองแล้วกัน” หลินสวินขู่แล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป
“ข้า” ลู่เซ่าอวิ๋นเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็มีเสียงปิดประตูใส่หน้าเสียแล้ว เขากัดริมฝีปากด้วยความคับแค้น อยากจัดการหลินสวินให้รู้แล้วรู้รอด บังอาจรังแกคนอื่นเช่นนี้ช่างสารเลวนัก จะฆ่าจะแกงอย่างไรก็ทำให้มันชัดเจนไปเลยสิ
ลู่เซ่าอวิ๋นนึกสลดใจ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ให้ตายเขาก็ไม่มีทางหาเรื่องหลินสวินหรอก แต่แน่นอนว่าเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว
“ไม่ได้ ข้าจะนั่งรอความตายอย่างนี้ไม่ได้” ลู่เซ่าอวิ๋นตัดสินใจหลังจากเดินเข้าห้องพัก เขาต้องช่วยเหลือตัวเองอย่าคิดรอให้คนสารเลวอย่างหลินสวินปรานีปล่อยเขาเด็ดขาด เขากัดฟันคว้ากระดาษและพู่กันมาเขียนบางอย่างลงไป
ลู่เซ่าอวิ๋นเป็นถึงลูกชายของลู่เทียนจ้าว ผู้จัดการอาวุโสของสำนักงานใหญ่แห่งอัครการค้าประจำนครต้องห้าม แม้จะไม่เอาการเอางาน เบ่งอำนาจอวดกร่างไปวันๆ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาพึ่งพาได้ในยามนี้ก็คือสถานะของตัวเอง
เมื่อเขียนเสร็จและปิดผนึกจดหมายเรียบร้อยแล้ว ลู่เซ่าอวิ๋นก็เดินออกมาจากห้องพัก เรียกคนงานมาสั่งการและแนบเหรียญเงินให้ไป ฝ่ายคนงานออกอาการดีใจรีบจากไปทันที
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสรรพ ลู่เซ่าอวิ๋นก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย เขาเดินกลับไปที่ห้องพักอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะนั่งรออย่างใจเย็น
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป
ชายชุดแพรจีนกลุ่มนึงเดินตามหลังชายชราคล้ายดาวล้อมเดือน พวกเขาเดินเข้าไปที่ห้องพักของลู่เซ่าอวิ๋นในโรงเตี๊ยมรวมโชคด้วยความรีบเร่ง
ขณะเดียวกัน ห้องของหลินสวินกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาเจ้าของ ที่มุมหนึ่งข้างกำแพงมีพื้นไม้ถูกเปิดออก ไม่นานก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นแผ่นไม้ถึงปิดลงตามเดิม หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่เห็นร่องรอยเลยแม้แต่น้อย
…
แสงไฟตามริมทางเปิดได้ไม่นาน กลุ่มชายชุดแพรจีนก็คุ้มกันชายชราออกมาจากโรงเตี๊ยมรวมโชค
ลู่เซ่าอวิ๋นที่อยู่ในห้องพักยิ้มย่ามใจ จิบสุราด้วยความอภิรมย์
ที่โรงชาตรงข้ามโรงเตี๊ยมรวมโชค
“ตรวจสอบได้หรือยัง” ชายรูปลักษณ์ธรรมดาสวมงอบเอ่ยถาม
“ตรวจสอบมาแล้วขอรับ ชายที่อยู่กับเป้าหมายคือลู่เซ่าอวิ๋น บิดาเป็นผู้จัดการอาวุโสของสำนักงานใหญ่แห่งอัครการค้าประจำนครต้องห้าม นามว่าลู่เทียนจ้าว”
ตรงข้ามชายหนุ่มสวมงอบเป็นชายหนุ่มร่างผอมผิวคร้ามดำ ที่ตอบคำถามด้วยเสียงเบาอย่างรวดเร็ว
“ตระกูลลู่นับว่าเป็นตระกูลมีอำนาจระดับกลางในนครต้องห้าม แต่ก็เทียบกับตระกูลเก่าแก่ไม่ได้”
“อัครการค้า ตระกูลลู่ พวกเขากล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ”
ชายสวมงอบผงะ ขมวดคิ้วพึมพำสักพักก็เอ่ยถาม “ตรวจสอบหรือยังว่าลู่เซ่าอวิ๋นมีความสัมพันธ์ธ์กับเป้าหมายอย่างไร”
“ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ขอรับ” ชายหนุ่มร่างผอมส่ายหัว
ในตอนนั้นเองชายร่างอ้วนก็เดินเข้ามาหย่อนก้นลงตรงข้ามชายสวมงอบ แล้วกล่าวว่า “หัวหน้า ตรวจสอบได้แล้วขอรับ จดหมายที่ลู่เซ่าอวิ๋นส่งออกมา คือจดหมายขอความช่วยเหลือจากหลีเทียนเป่า ผู้จัดการของอัครการค้าแห่งเมืองมังกรเหลือง”
ชายสวมงอบหรี่ตา ประกายวาบหนึ่งพาดผ่านแววตา เอ่ย “หึๆ ไม่คิดเลยว่าลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้จะใจกล้าขนาดนี้ คิดจะยืมอำนาจบิดามาช่วยเหลือเป้าหมายงั้นหรือ รนหาที่จริงๆ “
หากลู่เซ่าอวิ๋นได้ยินคงมีกระอักเลือด เขาขอความช่วยเหลือเพียงเพราะให้พวกเขามาช่วยเหลือตัวเอง ไหนเลยจะอยากช่วยหลินสวิน น่าเสียดายที่ตัวลู่เซ่าอวิ๋นไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย
และการเข้าใจที่ผิดพลาดก็บังเกิดด้วยประการฉะนี้
“หัวหน้า คนพวกนั้นออกมากันแล้ว”
ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยขึ้น ชายสวมงอบกับชายร่างอ้วนต่างหันขวับไปมองที่ประตูของโรงเตี๊ยมรวมโชค ต่อมาพวกเขาก็เห็นว่าเหล่าชายชุดแพรจีนคุ้มกันชายชราขึ้นรถม้าไป
“หัวหน้า ตาเฒ่านั่นคือหลีเทียนเป่า ผู้จัดการของอัครการค้าแห่งเมืองมังกรเหลือง” ชายร่างอ้วนตาเป็นประกาย
ตอนนี้ชายสวมงอบเชื่อสนิทใจแล้วว่าลู่เซ่าอวิ๋นจะสอดมือเข้าช่วยเป้าหมายในเรื่องนี้ เขาเห็นกับตาว่าหลีเทียนเป่าพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมรวมโชค หากจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็คงมีแต่ผีที่เชื่อแล้ว
“ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าคุณชายตระกูลลู่จะกล้าหาญเช่นนี้ กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเราเพื่อช่วยเหลือเป้าหมาย เก่งนัก เก่งเสียจริง” ชายหนุ่มร่างผอมแค่นยิ้ม คำพูดแปลกประหลาดนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังค่อนขอด
“เหอะ กล้าหาญหรือ ข้าว่าเขากำลังทรยศบิดา ทรยศต่อตระกูลเสียมากกว่า กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับเราในยามนี้ ถึงจะเป็นอัครการค้าก็ช่วยตระกูลลู่ไม่ได้”
ชายสวมงอบสูดลมหายใจลึก ก่อนออกคำสั่ง “รวมพลกำลังทั้งหมดมาเฝ้าสังเกตการณ์ที่โรงเตี๊ยมรวมโชค แล้วจับตาดูความเคลื่อนไหวของอัครการค้าของเมืองมังกรเหลืองให้ดี ข้าต้องการรายงานกับข้อมูลโดยละเอียด”
ชายสวมงอบเอ่ยต่อหลังเงียบไปเพียงครู่ “แล้วอีกอย่าง ให้คนเข้าไปเป็นคนงานอยู่ในโรงเตี๊ยมรวมโชค ตรวจสอบอย่างใกล้ชิดว่าเป้าหมายกำลังวางแผนอะไรอยู่ คิดจะยืมอำนาจจากลู่เซ่าอวิ๋นเพื่อสู้กับพวกเราอย่างนั้นหรือ อย่าแม้แต่จะคิด”
“ขอรับ” ชายหนุ่มร่างผอมกับชายร่างอ้วนตอบรับพร้อมกัน
ไม่นานชายสวมงอบก็หยัดกายลุกจากไป นำข้อมูลผนึกด้วยวิชาลับมอบต่อให้เหยี่ยวสอดแนมส่งข้อมูลออกไป
…
เรือนโบราณในนครต้องห้าม
ตุบ!
ฉือฉางเหมยข่มอารมณ์โกรธเกรี้ยวในแววตาไว้ไม่อยุ่ นางวาดฝ่ามือตบลงบนเอกสารตรงหน้าจนกระเด็นไป
ดวงตาสุกใสของนางคมกริบดุจใบมีด เย็นเยือกปานน้ำแข็ง ทั่วสรรพางค์มีแต่พลังอันน่ากดดัน “ภารกิจที่หมู่บ้านหลิวเขียวล้มเหลว ไม่มีสวี่เชียนจิ้งประจำการอยู่ที่นั่น พวกเจ้าก็เดินหมากไม่เป็นแล้วกระนั้นหรือ”
ผู้ช่วยโดยรอบพากันเงียบกริบ หน้าเสียกันยกใหญา
ก่อนหน้านี้เหยี่ยวสอดแนมมาส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจที่หมู่บ้านหลิวเขียว รวมถึงจอภาพบันทึกการต่อสู้ทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าส่งกองกำลังไปมากมาย ทั้งยังมีกับดักอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังสังหารเป้าหมายไม่ได้ ทำให้ฉือฉางเหมยอดโมโหไม่ได้
ที่แย่ไปกว่านั้น การต่อสู่ในหมู่บ้านหลิวเขียว หน้าไม้ที่เป้าหมายใช้เป็นอาวุธ ก็ล้วนเป็นของตระกูลฉือ
มาวันนี้ อาวุธของตระกูลถูกนำมาใช้ทำร้ายคนของตระกูล ถือเป็นการตบหน้ากันชัดๆ
“เหมยจวิ้นจู่ ท่านไม่ได้มาร่วมในภารกิจครั้งก่อนๆ คงไม่เข้าใจสถานการณ์ ความจริงแล้ว…ภารกิจณ์ครั้งนี้ล้มเหลวก็ไม่ผิดแปลกไปจากครั้งก่อนๆ เลย ไม่ใช่ว่าการจัดการรบไม่ดี แต่เพราะว่าเป้าหมายแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก”
ใครบางคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงตะกุกตะกัก คนอื่นต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดเขา
ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนเข้าร่วมจัดกองทัพกับสวี่เชียนจิ้ง รู้เห็นว่าเป้าหมายฝ่าฟันการล้อมวงโจมตีอย่างไร แต่ฉือฉางเหมยไม่เป็นเช่นนั้น นางเพิ่งมาร่วมจัดทัพเป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจเหตุการณ์จึงไม่แปลก
แม้คำพูดนั้นจะเป็นความจริง แต่ฉือฉางเหมยกลับรู้สึกฟังแล้วไม่เข้าหูนัก นางตีสีหน้าเงียบขรึม ก่อนจะแสยะยิ้มด้วยความโมโห “หากพูดเช่นนั้น พวกเจ้าคิดว่าการที่ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวเป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่”
ทุกคนรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาโดยพลัน พากันส่ายศีรษะอย่างพร้อมเพรียง ฉือฉางเหมยที่ไม่สบอารมณ์สุดขีดอาจจะสะบัดก้นทิ้งกันได้ทุกเมื่อ พวกเขาต่างไม่อยากรับเคราะห์จากนาง
ตอนนั้นเอง องครักษ์นายหนึ่งเดินปรี่เข้ามารายงาน “ทัพหน้ารายงานมาว่า เป้าหมายปรากฏตัวที่เมืองมังกรเหลือง แต่สถานการณ์คราวนี้แปลกออกไป ข้างกายเป้าหมายมีคนชื่อลู่เซ่าอวิ๋นอยู่ด้วย…”
องครักษ์รายงานสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ฟังจบเหล่าผู้ช่วยล้วนพากันโมโหฟาดงวงฟาดงา
“ลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้บังอาจยิ่งนัก! รนหาที่ตายชัดๆ เลย!”
“ข้ารู้จักลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้ บิดาของเขาเป็นผู้จัดการของอัครการค้าจริงอย่างที่ว่า แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้เรื่อง วันๆ เอาแต่เกี้ยวสตรี เบ่งอำนาจ ข้ายังสงสัยเลยว่าเขาโดนมนตร์อะไรดลใจเข้า ถึงกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับเรา”
“เหตุใดต้องสนอัครการค้าหรือตระกูลลู่นั่นด้วย ในเมื่อเด็กคนนี้เลือกจะช่วยเหลือเป้าหมายโดยไม่หวาดกลัวความตายก็ย่อมเป็นศัตรูของเรา”
ผู้ช่วยเหล่านี้ล้วนแต่มาจากตระกูลผู้มีอำนาจของนครต้องห้าม หากพูดถึงสถานะอาจจะสูงศักดิ์กว่าลู่เซ่าอวิ๋นด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่สนใจลู่เซ่าอวิ๋นแม้แต่น้อย
เมื่อรู้ว่าลู่เซ่าอวิ๋นเสียสติคิดช่วยเหลือหลินสวิน พวกเขาจึงโมโหเป็นอย่างมาก
เวลานี้พวกเขาทำอะไรหลินสวินไม่ได้ แต่หากคิดจะจัดการลู่เซ่าอวิ๋นก็ง่ายนิดเดียว
หากลู่เซ่าอวิ๋นรับรู้เรื่องเหล่านี้จะมีท่าทียังไงหนอ จะร้องไห้หรือโมโหจนสิ้นใจกันแน่
“ถ่ายทอดคำสั่งจากข้าส่งถึงตระกูลลู่ ไปถามพวกเขาว่าเป็นความคิดของลู่เซ่าอวิ๋นคนเดียวหรือว่าพวกเขาคอยชักนำอยู่เบื้องหลัง ความอดทนของข้ามีจำกัด ให้พวกเขารีบให้คำตอบที่ชัดเจนตอบกับข้าโดยเร็วที่สุด!” หลังจากใคร่ครวญสักพักแล้ว ฉือฉางเหมยที่ยามนี้นิ่งสงบลงมากก็ออกประกาศิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น