Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1146-1149
ตอนที่ 1146 กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะเทพ
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยซากศพเศษชิ้นส่วนทุกแห่งหน เลือดสีสดแสบตา
จู่ๆ ในอากาศก็อัดแน่นด้วยไอสังหารที่ชั่วร้ายและกลิ่นคาวเลือดรุนแรงฉุนจมูก
ภาพนองเลือดแต่ละฉาก ราวกับภาพนรกที่วาดด้วยหมึกดำมากมาย
ส่วนหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็ประหนึ่งเทพสังหารสามองค์ที่อยู่ในภาพนรก ห่อหุ้มด้วยคาวเลือดและไอสังหาร ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
“เพราะเหตุใด นี่มันที่บ้าบออะไรกัน!”
อูหลิงเฟยและผู้แข็งแกร่งที่เหลือยังคงคำรามอย่างเดือดดาล แต่ประตูตำหนักไม่ถูกสะเทือนแม้สักนิด
“นี่คือดินแดนแห่งศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเผาเซียน เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้เทียมทานคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ ได้ตายที่นี่พวกเจ้าควรรู้สึกโชคดีอย่างมากถึงจะถูก”
เจ้าคางคกยิ้ม ในดวงตาสีทองกลับเย็นเยียบอย่างที่สุด
เขาไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกือบสิ้นชีพก่อนหน้านี้หรอกนะ!
เผาเซียน?
ใครกล้าเรียกตัวเองว่า ‘เซียน’
สีหน้าของพวกอูหลิงเฟยเปลี่ยนไป แม้แต่หัวใจยังสั่นไหว
กระทั่งหลินสวินกับอาหลู่ยังอึ้งเล็กน้อย เผาเซียนหรือ
สรรพนามนี้เผด็จการอย่างไม่ต้องสงสัย มีพลังที่สะเทือนใจคน!
“ทั้งสามท่าน ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคร้าย ยินยอมชดเชยอย่างสาสมเพื่อแลกชีวิต ปล่อยพวกข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”
ชายคนที่ผิวพรรณเปล่งประกายสีเขียวอ่อน บนแก้มประทับรอยสักดอกไม้อสูรแปลกประหลาดสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พูดเสียงขรึมขึ้นมา
นี่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่งในเผ่าไพรปฐพี
“เป็นไปไม่ได้!”
เจ้าคางคกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
แม้รู้แต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ท่าทางแข็งกระด้างของเจ้าคางคกก็ยังทำให้พวกอูหลิงเฟยหัวใจดิ่งวูบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็สู้กันให้รู้แล้วรู้รอดเถอะ!”
จู่ๆ ชายเผ่าไพรปฐพีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในฝ่ามือปรากฏโคมไฟที่สานจากเถาวัลย์สีเหลืองแปลกประหลาด
ทันทีที่ปรากฏ โคมไฟเถาวัลย์เหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางนี่ก็แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ในโคมไฟเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม ราวกับมีเทพไท้ควบคุม!
สมบัติอริยะ!
หลินสวินกับอาหลู่นัยน์ตาหดรัด
แต่เจ้าคางคกกลับยิ้ม มุมปากเผยองศายากจะคาดเดา “เจ้าโง่ ก่อนมาผู้อาวุโสของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า อริยะไม่อยู่ในแดนมกุฎ”
เขาเอามือไพล่หลัง ดูใจเย็นมาก ในสายตาที่จ้องโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนั่นแฝงความเสียดายและทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
แดนมกุฎ ไม่มีอริยะเทพ!
นี่คือกฎเหล็ก
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้นล้วนมาจากมหาสำนัก ก่อนมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เคยได้ยิน ‘กฎเหล็ก’ ขั้นสูงเช่นนี้
“จะตายอยู่แล้ว ไม่สู้สักหน่อยจะจำยอมได้อย่างไร”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีสีหน้าเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
“งั้นเจ้าสู้เถอะ”
เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ แฝงความสงสารเสี้ยวหนึ่ง
สายตานี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีทนไม่ไหวทันที เขาส่งเสียงตะโกน จู่ๆ อานุภาพรอบตัวก็ยกระดับขึ้นจนถึงขีดสุด
และในมือเขา โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางก็เปล่งแสงสว่างไสว
โครม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน โคมไฟอันหนึ่งกลับเหมือนจะจุดประกายฟ้าดินโดยรอบ
พวกอูหลิงเฟยต่างถอยหนี สีหน้าอึมครึมสับสน
ห่างออกไปเจ้าคางคกสุขุมเยือกเย็น เพียงแต่สื่อจิตถึงหลินสวินกับอาหลู่ ‘แดนมกุฎไม่มีอริยะ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นอายอริยะ เมื่อใช้ล้วนถูกลบล้าง! ในสมัยบรรพกาลเคยเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว’
ระหว่างที่พูดผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีนั่นโจมตีออกมาแล้ว โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองปลดปล่อยเพลิงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งออกมา ขับให้สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดและดุดันเป็นพิเศษ
แน่อนอนว่าเขาเองก็รู้กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะ มิฉะนั้นคงใช้สมบัติอริยะต่อสู้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่รอมาถึงตอนนี้
แต่ตอนนี้เขาจนหนทางแล้ว กลายเป็นหมาจนตรอก ฝากความหวังทั้งหมดบนสมบัติอริยะในมือ ในใจรู้สึกโชคดี
ถ้า… ฆ่าคู่ต่อสู้ได้ล่ะ?
หมาจนตรอกยังกระโดดข้ามกำแพงไปได้อย่างไม่คาดคิด แล้วนับประสาอะไรกับคน
ครืน!
เพียงแต่ไม่นานการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
ทันทีที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นปรากฏ ยังไม่ทันสำแดงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ พลังกฎระเบียบไร้รูปสายหนึ่งก็พลุ่งพล่านขึ้นในอากาศกะทันหัน
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างหยุดหายใจ ในใจหวาดกลัว ทั้งยังมีความรู้สึกอยากจะคุกเข่าลงกราบกับพื้น!
เหตุผลอยู่ที่ว่าพลังกฎระเบียบนี้สูงส่งและไร้เทียมทานเกินไป น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เผชิญหน้ากับมันก็เหมือนมดตะนอยแหงนมองเทพ!
ฉ่า!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นดับลง
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีเปลี่ยนไปอย่างมาก ส่งเสียงคำรามออกมา กระตุ้นโคมไฟเถาวัลย์เหลืองเต็มกำลัง
เพียงแต่ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาตื่นตะลึงของทุกคน สมบัติอริยะที่มีอานุภาพเทียมฟ้าและที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเหมือนกระดาษที่แสนเปราะบาง
จากนั้นก็แปรเป็นละอองแสงศักดิ์สิทธิ์งดงาม
สุดท้ายเหมือนมีฝ่ามือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งลูบในอากาศ ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ไม่มีการปะทะที่ดุเดือดสะเทือนฟ้าดิน และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะดิ้นรนใดๆ
อยู่เบื้องหน้าพลังกฎระเบียบที่ไร้รูปนั่น สมบัติอริยะที่เพียงพอจะสยบโลกชิ้นหนึ่งได้ถูกทำลายไปเช่นนี้!
ทุกคนหนาวสะท้านไปทั้งร่างราวกับร่วงลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
นี่เป็นพลังกฎระเบียบที่ไร้ที่เปรียบและน่ากลัวเพียงใด
นั่นเป็นถึงสมบัติอริยะ!
ถูกลบหายจนหมดจดไปง่ายๆ เช่นนี้ แม้แต่กลิ่นอายและร่องรอยก็ยังไม่หลงเหลือสักเสี้ยว!
“ไม่…!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีส่งเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกฟ้าผ่า สมบัติอริยะชิ้นหนึ่งถูกทำลาย ทำให้เขารับการกระทบกระเทือนระดับนี้ไม่ไหว ในปากพลันกระอักเลือดออกมาทันใด เงาร่างโซซัดโซเซคล้ายจะร่วงลงมา
สมบัติอริยะ!
นี่ปกติเสียที่ไหน
“เจ้าโง่ ผู้ใหญ่ตระกูลเจ้าอนุญาตให้เจ้าเอาสมบัตินี้เข้ามายังแดงมกุฎ ก็คงต้องเคยเตือนเจ้าว่า อนุญาตให้เจ้าใช้สมบัตินี้ในการเก็บวัตถุดิบเทพและวาสนาเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดมากว่าความโง่ของเจ้าทำให้สมบัติอริยะชิ้นนี้ถูกทำลายแล้ว!”
น้ำเสียงของเจ้าคางคกแฝงความเย้ยหยันและมีความปวดใจอย่างหนึ่ง เขาจำที่มาของโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนี้ได้ พอเห็นว่าสมบัติอริยะระดับนี้ถูกทำลายเขาเองก็เสียดาย
ฟุ่บ!
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีกระอักเลือดคำใหญ่ ใบหน้าซีดเซียว สายตายังมืดมนไร้ประกาย
“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แต่แรก เหตุใดจึงไม่เตือนข้ากับพี่ใหญ่” อาหลู่เดือดดาล
เจ้าคางคกพูดอย่างไม่เข้าใจ “ก่อนจะเข้ามาในแดนมกุฎข้าบอกพวกเจ้าหมดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะใช้สมบัติอริยะไม่ได้เด็ดขาด!”
หลินสวินพยักหน้า เขาก็จำเรื่องนี้ได้
ถึงขั้นที่ยังจำได้ว่า เจ้าคางคกเคยบอกว่าในการแย่งชิงอำนาจของแดนมกุฎ น้อยมากที่จะมีคนเอาสมบัติอริยะเข้าไป
เพราะหากคนตายไปแล้ว สมบัติอริยะที่ทิ้งเอาไว้ก็จะถูกทำลาย!
ตอนนั้นหลินสวินยังคิดจะซ่อนเจดีย์สมบัติไร้อักษร ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต และยานขนส่งอวกาศซ่อนไว้ในโลกภายนอก
แต่หลังจากนั้นพอคิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
ถึงอย่างไรหากเขาตายในแดนมกุฎ สมบัติอริยะเหล่านี้หากไม่ถูกฝัง ก็คงถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ มาเจอเข้าแล้วครอบครอง เป็นการทำให้คนอื่นได้เปรียบไปเปล่าๆ
และตอนนี้เห็นว่าโคมไฟเถาวัลย์เหลืองถูกทำลาย ก็ทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของกฎเหล็กที่ว่า ‘ไม่มีอริยะ’
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีราวกับรับความกระทบกระเทือนนี้ไม่ไหว ตอนนี้ได้บ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง สติแตกไปแล้ว!
พรูด!
สุดท้ายเขาแหงนหน้าขึ้นกระอักเลือดคำหนึ่ง จากนั้นเบิกตากลมโต ล้มหงายหลังลงพื้น สิ้นลมอย่างสิ้นเชิง
“โกรธจนตายไปเองหรือ” อาหลู่แปลกใจ
“จิตมรรคของเขาพังทลายแล้ว คิดๆ แล้วก็จริง เผชิญกับความสิ้นหวังเช่นนี้ ง่ายต่อการกระทบกระเทือนจิตใจมากอยู่แล้ว ตอนนี้สมบัติอริยะยังถูกทำลาย ถือว่าหมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพียงแต่… ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะรับความกระทบกระเทือนไม่ได้ขนาดนี้”
เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ “สภาพจิตใจเช่นนี้ แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีทางกลายเป็นราชันในแดนมกุฎได้”
“หยุดพูดไร้สาระ จัดการเจ้าพวกนี้ก่อนค่อยว่า”
แม้จะสนทนากันหลินสวินก็ไม่ได้ผ่อนความระแวดระวังลง ยิ่งเวลาเช่นนี้ยิ่งอันตราย ต้องระวังการโต้ตอบก่อนตายของอีกฝ่าย
ตูม!
ราวกับเป็นการยืนยันการคาดเดาของหลินสวิน เขาพูดยังไม่ทันจบอูหลิงเฟยก็โจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว
เขาแปลงเป็นอีกาทองตัวหนึ่ง ปีกแผ่เปลวเพลิงสีทองที่สว่างไสวท่วมฟ้า พุ่งสังหารเข้ามาทางหลินสวิน
เปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างรุนแรงราวกับจะเผาไหม้ทุกอย่าง!
มองจากระยะไกลเหมือนสุริยันสีทองดวงหนึ่งลุกไหม้ขึ้นในชั่วขณะนี้
นี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอูหลิงเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย มีความเด็ดเดี่ยวและเหี้ยมโหดที่หมายจะเผาผลาญให้ตายไปพร้อมกัน ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ที่น่าเสียดายคือหลินสวินระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีทางทำให้เขาสมปรารถนา!
ฉัวะ!
ดาบหักที่สั่งสมพลังมานานแล้วโฉบพุ่งออกมา กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้กวาดออกไป ราวกับการเปลี่ยนแปลงมหามรรคลงมาเยือน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไม่อาจคาดเดา
ฮูม
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น อีกาทองที่ยังไม่เคยสังหารมาก็ถูกเฉือนปีกข้างหนึ่ง ฝนเลือดสาดกระเซ็น
อาหลู่ที่อยู่ข้างๆ กวัดแกว่งกระบองเหล็กยักษ์ ฉวยโอกาสนี้กระแทกศีรษะของอีกาทองจนแหลก
องค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานได้จบชีวิตลงเช่นนี้!
“ฆ่า!”
คนอื่นๆ แม้จะหมดหวังแต่ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมนอนรอความตาย ส่งเสียงตะโกนพร้อมพุ่งปราดขึ้นมา
เพียงแต่นี่ถูกกำหนดให้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์
ฟุ่บ!
ชายในชุดคลุมเงินถูกหลินสวินชิงสังหารไปก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างกายถูกเฉือนเป็นสองท่อนล้มลงบนพื้น เลือดสดไหลพรู
ร่างเดิมของเขาปรากฏออกมา เป็นนกเสวียนสีเงินตัวหนึ่ง
และในเวลาเดียวกันอีกด้านมีเสียงกึกก้องไม่หยุด เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างกำลังสำแดงฤทธิ์เดช ทั้งสองร่วมมือกัน มีท่าทีว่าจะกวาดล้างทุกอย่าง
ไม่นานก็มีคู่ต่อสู้อีกคนถูกฆ่า ร่างกายถูกตีจนระเบิด ฝนเลือดปลิวว่อน
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน เจ้าคางคก หรืออาหลู่ ล้วนไม่มีทางออมมือ
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกปิดล้อมโจมตี สถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย สั่งสมความแค้นจนเต็มอกมานานแล้ว จะยอมออมมือได้อย่างไร
เพียงแค่ชั่วขณะห้าคนที่เหลือก็ถูกพวกหลินสวินร่วมแรงกันโจมตีสังหาร เลือดกระเด็นเต็มพื้น ก่อนตายแต่ละคนล้วนแฝงความไม่จำยอมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่นี่ยังไม่จบ!
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ยังมีคู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยถูกโจมตีจนหมดสติไป สูญเสียพลังต่อสู้แต่กลับยังไม่ตาย
ไม่รอหลินสวินออกคำสั่ง อาหลู่และเจ้าคางคกก็เคลื่อนไหวตรวจสอบสนามรบ สังหารคู่ต่อสู้ที่ยังเหลือรอดเหล่านั้น
หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตานิ่งสงบ ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง
เขารู้ว่าอาหลู่และเจ้าคางคกต้องการระบาย ก่อนหน้านี้ทั้งสองถูกปิดล้อม เผชิญกับความสิ้นหวัง ในใจสั่งสมความเคียดแค้นไม่น้อย
และพอเห็นเลือดที่นองเต็มพื้น ในใจหลินสวินเองก็มีความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้ามาในตำหนักเพลิงเทพนี้ ล้วนก้าวเดินบนมกุฎมรรคาแล้ว ถูกขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคนฝากความหวังเอาไว้ มีความหวังที่จะทะลวงสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชัน
ในโลกภายนอกพวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นสะเทือนฝั่งหนึ่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่ด้วยการตายของพวกเขา ทุกอย่างที่มีก่อนตายล้วนถูกกำหนดให้ไม่คงอยู่
นี่ก็คือการต่อสู้มหามรรค โหดร้ายมาก!
หลินสวินรู้ดี หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่ถูกฆ่าวันนี้ ไม่ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีชื่อเสียงและความหวังมากเพียงใด ตายไปก็ต้องมลายหายไปทั้งหมด
เรื่องในทำนองนี้ ในอนาคตจะยังเกิดขึ้นอีก!
ตอนที่ 1147 แผ่นหลังของเผาเซียน?
ยอดฝีมือยี่สิบหกคนตายทั้งหมด!
อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง ซางหลันทายาทเผ่าวิญญาณสมุทร หลิงหวาผู้สืบทอดสำนักยุทธ์นครนิล เหลียงเซวี่ยอิ๋นผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร…
ศพของผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งในนั้นต่างคืนร่างเดิม มีสิงห์ค่อมที่ใหญ่ราวกับภูเขา นกเสวียนที่ปีกเป็นสีคราม ไพรปฐพีที่เต็มไปด้วยกิ่งก้าน ล้วนถูกทำลายและย้อมด้วยเลือดน่าสยดสยอง
ยอดฝีมือระดับนี้หากอยู่ในโลกภายนอก สูญเสียคนหนึ่งก็เพียงพอจะทำให้เกิดคลื่นลมรุนแรงแล้ว
แต่ในตำหนักเพลิงเทพนี้กลับตายเรี่ยราดเต็มพื้น ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน หวาดผวากับภาพนี้
ท่ามกลางเลือดที่เต็มพื้นนี้ หลินสวินผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง พินิจรอบๆ แล้วพึมพำว่า “ในนี้มีอาหารชั้นเลิศไม่น้อยเลย”
หากคำพูดนี้เข้าหูผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จะต้องกลัวจนตัวสั่นอย่างแน่นอน
แต่อาหลู่กับเจ้าคางคกตาเป็นประกายโดยพร้อมเพรียง พลันพูดว่า “ที่พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล ทรัพย์หลังศึกเหล่านี้จะเสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด!”
จากนั้นแน่นอนว่าเป็นการเก็บทรัพย์หลังศึก
เหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ในตัวมีของดีจำนวนไม่น้อย
“แม่งเอ๊ย ขี้ผึ้งแท้แมลงเม่ามรกตหรือ นี่เป็นสมบัติชั้นดีเลยเชียว สามารถเกิดผลมหัศจรรย์ตอนที่หลอมรวมเมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตน”
“หรูหราเกินไปแล้ว ถึงขั้นใส่น้ำแรกปฐพีชำระวิญญาณไว้ขวดหนึ่ง!”
“เดี๋ยว นี่คือโอสถราชันสามต้นหรือ”
ในตำหนักเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นของเจ้าคางคกดังไม่ขาดสาย
เขาเป็นลูกหลานเผ่าคางคกทองสามขา เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญรอบรู้ในสมบัติกลางฟ้าดิน มองแวบเดียวก็สามารถแยกแยะความดีเลวและสูงต่ำได้แล้ว
ไม่ทันไรเขาก็เก็บรวบรวมสมบัติได้กองหนึ่ง ลำแสงพรั่งพรู เต็มไปด้วยแสงอบอวลส่องสว่างทั่วทั้งตำหนัก
ในนั้นมีโอสถราชัน วัตถุดิบเทพ ลูกกลอนวิญญาณ ของมีค่า… เรียกได้ว่ามีแต่ของดีเต็มไปหมด ถ้าอยู่ในโลกภายนอก ทุกชิ้นล้วนเพียงพอจะดึงดูดให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน
“ของเล่นนี้คืออะไร ขาสุนัขหรือ” อาหลู่หิ้วสมบัติที่หนาเท่าแขนทารก ความยาวราวสองฉื่อท่อนหนึ่งขึ้นมา ใบหน้าเปี่ยมความสงสัย หมายจะย่างมาลองดู
เจ้าคางคกอุทานด้วยความตกใจพร้อมพุ่งเข้ามาคว้าสมบัติชิ้นนั้น ก่นด่าว่า “ขาสุนัขอะไร นี่มันหลินจือราชันผี! หลังจากบรรลุระดับราชัน ใช้สิ่งนี้สามารถหลอมรากฐานมรรคราชัน มูลค่าไม่อาจประเมิน!”
อาหลู่อุทานด้วยความประหลาดใจ อดพูดไม่ได้ “มีอะไรที่ข้าใช้ได้บ้าง”
“มีแน่นอน! แต่เจ้าหลบไป ระวังจะทำสมบัติเสียหาย!” เจ้าคางคกถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
ครู่หนึ่งเจ้าคางคกจึงรวบรวมทรัพย์หลังศึกครบ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพอใจ “แม่งเอ๊ย คราวนี้รวยแล้ว! หลินสวิน ข้ามีคำแนะนำหนึ่ง ต่อไปพวกเราเน้นการปล้นดีไหม เจ้าลองคิดดู พวกที่อยู่ในขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ใครบ้างไม่ใช่แกะอ้วน หากไม่ฆ่าพวกเขาสักดาบคงรู้สึกผิดต่อโอกาสที่ฟ้ามอบให้นี้แย่!”
อาหลู่ลูบคางพูดอย่างเห็นด้วยยิ่ง “ข้าเห็นด้วย!”
หลินสวินมุมปากกระตุก ในใจสงสัยมากว่าเป็นตนที่พาพวกเขาเสียคน หรือพวกเขาชั่วร้ายเช่นนี้แต่แรกอยู่แล้ว
ทว่า…
คำแนะนำนี้ไม่เลวเลยจริงๆ!
หลินสวินเองก็หวั่นไหว เขารู้ดีว่าในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในแดนมกุฎนี่ ต้องมีคนอยากฆ่าตนแน่นอน
หากมีโอกาสได้พบอีกฝ่ายจริง อืม… ปล้นสักหน่อยย่อมได้อยู่แล้ว!
……
หลังจากจัดการทรัพย์หลังศึกเสร็จ ล้วนถูกหลินสวินเก็บไป
เจ้าคางคกยังไม่จำยอม พลันถามอาหลู่ “ทรัพย์หลังศึกเข้ากระเป๋าเขาทั้งหมด เจ้าไม่รู้สึกว่าเขาทำเกินไปหรือ”
อาหลู่คลี่ยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าพี่ใหญ่ไม่เอาเปรียบข้าแน่”
เจ้าคางคกกลอกตา “ดูท่าทางสุนัขรับใช้อย่างเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานเลยสักนิด”
ป๊าบ!
เพิ่งจะสิ้นเสียง ท้ายทอยของเขาก็ถูกตีเข้าทีหนึ่ง เจ็บจนกัดฟันไม่กล้าโวยอีก
“อาหลู่ กระบองยักษ์นั่นของเจ้าให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” จู่ๆ เจ้าคางคกก็พูดขึ้น
หลินสวินชะงัก จากนั้นในใจหวั่นไหวขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่ากระบองเหล็กยักษ์ในมืออาหลู่ก็เป็นสมบัติอริยะที่แข็งแกร่งอย่างมากชิ้นหนึ่ง
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
มิฉะนั้นภายใต้กฎเหล็ก ‘อริยะไม่คงอยู่’ นี้ คงถูกทำลายไปนานแล้ว ไม่มีทางถูกอาหลู่ใช้แน่
อาจจะเพราะเจ้าคางคกมองจุดนี้ออกจึงเกิดความสงสัยขึ้น
อาหลู่พูดอย่างระแวง “ไม่ได้!”
ตอนที่พูดเขาก็ได้เก็บสมบัติไปแล้ว
“แค่กระบองพังๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ทำเหมือนใครจะอยากได้” เจ้าคางคกเยาะเย้ย
“ไม่อยากได้แล้วเจ้าจะดูทำไม วอนหาเรื่องจริงๆ!” อาหลู่ประชดประชัน
หลินสวินกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาพินิจรอบๆ ตำหนักแล้วพูดว่า “เจ้าคางคก ตำหนักนี้เป็นสถานที่อะไรกันแน่”
เจ้าคางคกตอบอย่างตื่นเต้นทันที “สถานที่แห่งมหาศุภโชค! เมื่อครู่นี้ตอนเข้ามาเจ้าก็คงเห็นแล้วว่านอกตำหนักมีรูปปั้นทองแดงกวางเขียวและกระเรียนขาว ในสมัยบรรพกาลนี่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก…”
กวางกระเรียน หมายถึงหกประสาน
ส่วนหกประสาน ก็หมายความถึงฟ้าดินและทิศทั้งสี่
ในขณะเดียวกันหลังคาของตำหนักนี้ขยายออกไปแปดทิศ หมายความถึงแปดยอด แปดเทพ
ตามที่เจ้าคางคกพูด นี่เป็นรูปแบบ ‘เหนือฟ้าใต้หล้า ข้าเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว’! แม้เป็นอริยะก็ไม่กล้าสร้างอาศรมเช่นนี้ง่ายๆ
เพราะพลิกฟ้าเกินไป จึงง่ายที่จะละเมิดกฎสวรรค์!
“ในสมัยบรรพกาลข้าเคยเข้ามาที่นี่แล้ว ตอนนั้นตำหนักแห่งนี้ยังอยู่ในระหว่างการปิดผนึก ไม่สามารถเข้าได้”
เจ้าคางคกสายตาร้อนระอุ จ้องเสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดเสา “แต่ตอนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง การปิดผนึกได้หายไปแล้ว ศุภโชคใหญ่นี้ะต้องเป็นของเราสามพี่น้องแน่!”
“ศุภโชคอะไร”
อาหลู่อดถามไม่ได้
“เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้ที่เปรียบที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ คนหนึ่ง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า ถึงอย่างไรแดนมกุฎนี้ก็ลึกลับเกินไป ที่มานั้นไม่มีใครรู้ ข้าเองก็ทำได้เพียงคาดการณ์ คนที่ทิ้งที่แห่งนี้ไว้ในตอนนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ชวนให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนแน่!”
เจ้าคางคกลุกพรึ่บขึ้น แทบทนรอไม่ไหวแล้ว เอ่ยพูดว่า “พวกเจ้าตามข้ามา”
ตอนที่พูดเขาก็ได้พาหลินสวินกับอาหลู่มาถึงสุดทางของตำหนักแล้ว
ที่แห่งนี้ว่างเปล่า มีเพียงผนังขวางอยู่ด้านหน้า ผนังเป็นสีแดงเพลิงราวกับก่อขึ้นจากหินหยก เปล่งแสงพราวพร่าง
ดวงตาสีทองของเจ้าคางคกส่องประกาย สีหน้าตื่นเต้นและปลื้มปริ่ม “หากข้าเดาไม่ผิด ในผนังนี้ก็คือที่ซ่อนของศุภโชค”
หลินสวินกับอาหลู่ตะลึง พวกเขาสัมผัสอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่กลับไม่พบว่าผนังนี้จะมีความพิเศษอะไร
เพียงแต่ตอนที่เจ้าคางคกเอื้อมมือไปกดผนังนี้ ภาพอันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น
วงพลังแปลกประหลาดเป็นระลอกแพร่กระจายออกจากพื้นผิวผนัง จากนั้นก็ปรากฏประตูที่ใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้บานหนึ่ง
บนประตูบานนั้นสลักเพียงเงาแผ่นหลังเงาหนึ่ง สูงใหญ่กำยำ เย่อหยิ่ง ราวกับเทพที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือชั้นเมฆ!
เขาหันหลังให้ทุกคน แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกหลินสวินรับรู้ได้ถึงอานุภาพดุดันอันน่ากลัวที่ปะทะเข้ามา ร่างกายแข็งทื่ออย่างควบคุมไม่อยู่ จิตใจสั่นสะท้าน
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
เพียงแค่รูปเงาหลังหนึ่งเท่านั้น แต่กลับประหนึ่งคับแน่นเต็มจักรวาล สูงส่งราวกับเทพไท้
“เขา… จะเป็นเผาเซียนที่เจ้าพูดถึงหรือไม่”
อาหลู่สูดหายใจเย็น แม้แต่สองขาของเขายังสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้สักนิด นั่นเป็นอานุภาพกดดันอย่างหนึ่ง ไม่สามารถต้านทานได้
“น่าจะใช่”
เจ้าคางคกสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งก่อนพูดว่า “พวกเจ้าก็สัมผัสได้แล้ว นี่เป็นเพียงแค่รูปภาพรูปหนึ่ง แต่กลิ่นอายระดับนั้นกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าอริยะเสียอีก! แค่คิดก็รู้ว่าในประตูบานนั้นจะต้องซ่อนศุภโชคที่สุดยอดไว้อย่างแน่นอน!”
หลินสวินเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก
เขาเคยได้เห็นว่าพลังของอริยะน่ากลัวเพียงใด และเคยติดตามอยู่ข้างกายหญิงลึกลับคนนั้น ได้เคยเห็นวิธีการสำแดงฤทธิ์ของอริยะมาแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับกลิ่นอายที่แพร่กระจายออกจากแผ่นหลังนี้ อริยะเหล่านั้นยังเหมือนจะด้อยกว่า!
แต่ถ้าเทียบกับหญิงลึกลับคนนั้น กลับไม่สามารถเปรียบเทียบความสูงต่ำได้
เพราะทั้งสองต่างมีความ ‘ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา’ อย่างหนึ่ง ไม่สามารถประเมินได้เลยจริงๆ!
“ไม่ต้องสนใจพวกนี้แล้ว ผลักประตูบานนี้ออกก่อนค่อยว่ากัน!”
ว่าแล้วเจ้าคางคกก็ยื่นมือออกไป กดบนประตูบานนั้น
แต่ฝ่ามือชะงักอยู่กลางทางเขาก็อดทนไว้ พูดพร้อมสีหน้าสับสน “ในประตูบานนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นศุภโชคใหญ่ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะซ่อนอันตรายอะไรไว้ด้วย พวกเจ้าว่าจะผลักมันออกดีหรือไม่”
หลินสวินกับอาหลู่เงียบไปทันที ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ยิ่งเป็นศุภโชคใหญ่ก็ยิ่งไม่ง่ายที่จะได้ครอบครอง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมาพร้อมกับอันตรายที่ไม่อาจคาดเดา นี่เป็นความรู้ทั่วไปในการฝึกปราณ
ในประตูบานนี้มีวาสนาหรืออันตรายซ่อนอยู่กันแน่
ไม่มีใครกล้ายืนยัน!
และตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น…
“มีวาสนากับข้าก็สามารถสืบทอดวาสนาภายในได้ หากไร้วาสนากับข้า เข้าประตูนี้มามีแต่ตายกับตาย”
เสียงนี้ราวกับดังมาจากบนชั้นเมฆ คลุมเครือและเฉยชา แผ่พลังตรงเข้าใจคน ทำให้พวกหลินสวินสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
แผ่นหลังบนประตูบานนั้นกลับพูดขึ้นในตอนนี้ นี่ถือว่าเหนือความคาดหมาย!
“ขอถามผู้อาวุโสว่าวาสนามาจากที่ใด” เจ้าคางคกกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถามอย่างระมัดระวังเป็นการหยั่งเชิง
“สมัยบรรพกาลเคยมีแม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคนติดตามข้าไปทำศึกเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ลูกหลานของพวกเขาล้วนมีวาสนากับข้า”
เสียงอันคลุมเครือนั่นดังขึ้นอีกครั้ง
พร้อมกันกับเสียงนั่น เสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดต้นที่กระจายอยู่ในตำหนักก็ส่งเสียงอึงอลขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พื้นผิวปรากฏรูปภาพมนุษย์ที่สมจริงราวกับมีชีวิตภาพแล้วภาพเล่า
บางคนถืออาวุธควบม้า แหงนหน้าคำราม มีเก้าศีรษะ ธรรมลักษณ์ตะลึงโลก
บางคนราวกับชือหลง เงาร่างใหญ่โตขดอยู่บนท้องฟ้า เกล็ดทุกแผ่นมีขนาดประมาณดวงดาราส่องแสงศักดิ์สิทธิ์
บางคนอยู่ในชุดคลุมแต่กลับมีศีรษะเป็นกระเรียน บนหลังมีปีกวายุอสนี แผ่กลิ่นอายเข่นฆ่ามหาศาล ทำให้สุริยันจันทราหม่นแสง
บางคน…
ทุกคนล้วนมาจากเผ่าที่แตกต่างกัน รูปลักษณ์แปลกประหลาด แต่อานุภาพล้วนน่ากลัวปานเทพมารอย่างไม่มีข้อยกเว้น!
รวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดคน เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘แม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคน’ ที่เสียงคลุมเครือนั่นพูดถึง!
ดูไปดูมาอาหลู่อดผิดหวังไม่ได้ ในนั้นไม่มีเผ่ามนุษย์ นี่ก็หมายความว่าเขาไม่มีวาสนากับศุภโชคด้านในไม่ใช่หรือ
นอกจากความตกใจหลินสวินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แม่ทัพเทพเหล่านี้ล้วนเป็นรูปภาพที่สมจริงราวกับมีชีวิต อานุภาพสะท้านขวัญ
แต่หลินสวินเองก็ค้นพบเช่นกันว่า ที่อยู่ภายในเหมือนจะไร้เผ่ามนุษย์!
“นี่… นี่คือบรรพบุรุษของข้า?”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกตะโกนเสียงสั่น จ้องระฆังทองแดงหนึ่งในนั้นด้วยสายตาอึ้งงัน ท่าทางยากจะเชื่อ
พริบตานั้นสายตาของหลินสวินและอาหลู่ต่างถูกดึงดูดไปโดยพร้อมเพรียง
ตอนที่ 1148 เซียนผลาญ เฉินหลินคง
เจ้าคางคกอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ตื่นตระหนกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
บนเสาทองแดงแดงเพลิงที่ราวกับสูงเทียมฟ้านั่น ภาพวาดที่ปรากฏออกมาเป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์คนหนึ่ง ผมขาวพลิ้วไหว ดวงตาสีทองอร่าม มุมปากแฝงรอยยิ้ม
รอบตัวเขากลืนตะวันคายจันทรา บนฝ่ามือเรียวยาวขาวผ่องปรากฏเหรียญทองแดงสีทองที่ด้านในกลมด้านนอกเหลี่ยม มีปีกงอกออกมาสองข้างเหรียญหนึ่ง
ทอดสายตามองไป ชายที่หล่อเหล่าไร้เทียมทานให้ความรู้สึกน่าทึ่ง
แต่พอสัมผัสอย่างละเอียดแล้วกลับมีความเย่อหยิ่งที่เหยียดหยันฟ้าดินอย่างหนึ่ง ไม่ปกปิดเลยสักนิด สะท้านขวัญไร้เทียมทาน!
“นี่คือบรรพบุรุษของข้า! ไม่ผิดแน่!”
เจ้าคางคกสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ยากจะเชื่อ
ในใจของหลินสวินและอาหลู่เองก็ไม่สามารถสงบได้
นี่คือตำหนักลึกลับแห่งหนึ่งที่อยู่ในแดนมกุฎ คล้ายจะเกี่ยวข้องกับ ‘เซียนผลาญ’ ท่านนี้ แต่รูปบรรพบุรุษของเผ่าคางคกทองสามขากลับปรากฏอยู่ที่นี่ นี่หมายความว่าอะไร
บนผนังห่างไป เงาร่างเย่อหยิ่งกำยำที่หันหลังให้ทุกคนเคยบอกว่า แม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคนนี้เคยติดตามเขากรำศึกเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
บรรพบุรุษของเผ่าคางคกทองสามขาก็เป็นหนึ่งในแม่ทัพเทพจากทั้งหนึ่งร้อยแปดคนอย่างไม่ต้องสงสัย!
และพอคาดเดาเช่นนี้ ที่มาของ ‘แม่ทัพเทพ’ คนอื่นๆ ก็ไม่ธรรมดาแน่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นบรรพบุรุษของทุกเผ่า!
แต่ก็เพราะเช่นนี้ยิ่งขับให้ที่มาของเงาร่างบนผนังซึ่งหันหลังให้ทุกคนไม่ธรรมดา
เขาคือใคร
เขามีอานุภาพเช่นไรกันแน่ จึงสามารถทำให้บรรพบุรุษหนึ่งร้อยแปดคนจากเผ่าที่แตกต่างกันยอมติดตามเขาไปกรำศึก
ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ!
“เจ้าคางคกยังอึ้งอยู่ทำไม ศุภโชคครั้งนี้มีวาสนากับเจ้า!” อาหลู่ฟาดฝ่ามือใส่ไหล่เจ้าคางคกทีหนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา
เจ้าคางคกได้สติ กลับดูไม่ตื่นเต้นและดีใจเท่าไหร่อย่างยากจะเห็น แต่พูดพร้อมสีหน้าสับสน “ในความทรงจำของข้า บรรพบุรุษเหมือนปริศนามาโดยตลอด ในประทับสายเลือดของข้าแทบไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเขา ไม่คิดว่าข้ากลับมาเจอเบาะแสที่นี่”
เสียงทุ้มต่ำราวกับดีใจและเสียใจในขณะเดียวกัน
หลินสวินพูด “คราวก่อนตอนที่เจ้าเข้ามาในแดนมกุฎก็ค้นพบที่แห่งนี้แล้ว ตอนนี้มาถึงที่นี่อีกครั้งราวกับถูกกำหนดไว้แล้ว นี่คือวาสนาชะตาลิขิต”
เจ้าคางคกเอ่ยเสียงถอนหายใจ “เฮ้อ วาสนาชะตาลิขิตอะไร ข้าเองก็เพียงแค่พึ่งบารมีบรรพบุรุษ หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขาเคยติดตามผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ไปออกศึก มีหรือข้าจะมีโอกาสได้รับศุภโชคในวันนี้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งเหลือบมองหลินสวินและอาหลู่แวบหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าอย่าได้อิจฉาไป คนอื่นใช้บิดาเข้าสู้ ข้าคงทำได้แค่เอาบรรพบุรุษเข้าสู้ โชคดีที่บรรพบุรุษคนนี้ของข้าก็ถือว่าไม่เลว”
พูดถึงตอนท้าย เจ้าหมอนั่นก็เริ่มได้ใจอีกแล้ว ท่าทางย่ามใจ
อาหลู่กลอกตาใส่ เหยียดหยามเขาอย่างรุนแรง
หลินสวินเองก็ยังรู้สึกอยากฆ่าเจ้าหมอนี่ เมื่อครู่นี้ยังทำท่าถอนหายใจหดหู่ เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็เปลี่ยนไปแล้ว น่ารังเกียจจริงๆ!
“คางคกน้อยอย่างเจ้านี่นับว่าน่าสนใจ”
จู่ๆ เสียงที่ราวกับลอยมาจากชั้นเมฆดังขึ้น
เงาร่างดุจภาพมายาพลันปรากฏขึ้นพร้อมเสียงนั้น
เงาร่างของเขาราวกับก่อตัวจากละอองแสงที่ตัดสลับกัน คล้ายภาพในฝัน ท่าทางดูพร่ามัว สามารถดูออกเพียงว่ารูปร่างตรงสง่าผึ่งผาย ประหนึ่งภูเขาที่สันโดษพุ่งทะลวงขึ้นฟ้า
สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ชัดก็คือดวงตาคู่หนึ่ง เมื่อลืมตาราวกับดวงดาวนับพันล้านท่ามกลางความว่างเปล่าโดยรอบดวงดับสูญ เดือดพล่าน แพร่กระจายอยู่ภายใน สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่ที่จักรวาลผันเปลี่ยน สรรพชีวิตเกิดดับ
เพียงแค่ถูกสายตาของเขากวาดผ่านก็ทำให้จิตวิญญาณของพวกหลินสวินสั่นไหว ขนลุกไปทั้งตัว ราวกับทั้งภายในและนอกร่างกายล้วนถูกมองทะลุ!
แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็เก็บสายตา กลางนัยน์ตาปรากฏความนิ่งสงบอย่างที่สุด ไม่มีคลื่นความรู้สึกอีกต่อไป เสมือนบ่อน้ำโบราณที่คล้ายกับสามารถสะท้อนฟ้าได้
ตำหนักเงียบสงบ เงาร่างของพวกหลินสวินต่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น รู้สึกถึงความกดดันและตะลึงอย่างที่สุด ต่างไม่กล้าเชื่อ
“นี่เป็นเพียงแค่พลังกฎระเบียบเสี้ยวหนึ่งของข้า พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้” เงาที่ราวกับภาพมายาพูดขึ้น
พร้อมกับเสียงนั้น ในชั่วพริบตาบรรยากาศกดดันในตำหนักก็หายไป ในอากาศปรากฏกลิ่นอายที่กลมกลืนและสงบ ทำให้รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัว ราวกับอาบอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ในใจพวกหลินสวินวูบไหวอีกครั้ง ราวกับขอเพียงแค่เป็นความปรารถนาของเงาร่างมายานี่ สรรพสิ่งท่ามกลางฟ้าดินก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความรู้สึกของเขา!
นี่ ประหนึ่งนายเหนือหัวแห่งฟ้าดินอย่างแท้จริง!
“มหายุคมาเยือนแล้ว”
แววตาของชายผู้นี้กวาดผ่านคราบเลือดในตำหนัก อดถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้ เคลื่อนสายตาไปมองเจ้าคางคกแล้วพูดว่า “คราวนั้นตอนที่กลุ่มพวกเราออกจากดินแดนรกร้างโบราณ ข้าเป็นห่วงว่าการไปครั้งนี้จะมีอันตราย เป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงทิ้งมรดกวิชาและศุภโชคไว้ที่นี่เพื่อสืบทอดพลัง แม้พวกข้าเสียชีวิตในต่างแดน การสืบทอดก็จะไม่ขาดหาย”
“บรรพบุรุษของเจ้าเป็นอัจฉริยะ มีจิตใจที่ซื่อตรงต่อข้า เคยพิชิตใต้หล้าเคียงบ่าเคียงไหล่ข้า ในเมื่อเจ้าเป็นคนรุ่นหลังของสหายเก่า ศุภโชคที่นี่ย่อมคืนสู่เจ้า”
เจ้าคางคกชะงัก อดถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส บรรพบุรุษของเข้าเขา…”
ชายคนนั้นส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องถาม รอในอนาคตมีโอกาสไปจากดินแดนรกร้างโบราณ เจ้าจะเข้าใจเองว่าตอนนั้นพวกข้าไปไหน”
“ไปเถอะ มหายุคมาเยือนแล้ว โอกาสที่จะกลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันก็เริ่มขึ้นแล้ว พวกข้าในตอนนั้นก็ไม่เคยเหยียบย่างสู่ขอบเขตนี้ หวังว่าพวกเจ้า… จะไปได้ไกลกว่าพวกข้า!”
ว่าแล้วเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ร่างเงาของเจ้าคางคกถูกพลังไร้รูปสายหนึ่งห่อหุ้ม พุ่งเข้าไปในประตูของผนังบานนั้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าคางคกไม่มีแม้แต่โอกาสจะปฏิเสธ!
เห็นเช่นนี้ในใจหลินสวินและอาหลู่ต่างสั่นสะท้านไม่หยุด แต่ทั้งสองต่างดูออกว่านี่เป็นศุภโชคที่ควรเป็นของเจ้าคางคก คงจะไม่มีอันตราย
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าความสามารถของข้าเป็นอย่างไร” อาหลู่ถามอย่างหน้าด้าน
ชายคนนั้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ที่เจ้าฝึกคือคัมภีร์ดาวเหนือสยบโลกา ไร้วาสนากับข้า หากเป็นไปได้ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่ ‘แดนโบราณหมื่นคชา’ สักครั้ง อาจจะมีผลเก็บเกี่ยว”
“แดนโบราณหมื่นคชา…” อาหลู่พึมพำ จำชื่อนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ
คราวนี้แม้แต่หลินสวินเองก็นิ่งไม่อยู่แล้ว เขามาแดนมกุฎครั้งนี้ก็เพื่อเป็นมกุฎราชันเช่นกัน
แต่แดนมกุฎนี้ใหญ่เกินไป ทั้งยังแบ่งเป็นสามพันแดนกับแดนเก้าบน ศุภโชคกระจายอยู่ไม่รู้เท่าไหร่
หากไม่มีคนชี้แนะ อยากจะหาศุภโชคที่เข้ากับตัวเองก็แทบไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร!
“ส่วนเจ้า…”
สายตาของชายคนนั้นมองไปทางหลินสวิน
หัวใจของหลินสวินแขวนลอยขึ้นสูงทันที ความคาดหวังเต็มเปี่ยม
“มรรคาของเจ้า…”
สายตาที่เดิมสงบของชายคนนั้นพลันปรากฏประกายแปลกประหลาดไร้ที่เปรียบ จ้องหลินสวินนิ่งแต่กลับไม่พูดอะไรเสียที
ราวกับเจอโจทย์ยาก
จมสู่ภวังค์ความคิดอีกครั้ง
หลินสวินถูกจ้องจนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว ในใจก็อดประหม่าไม่ได้
บรรยากาศในตำหนักเงียบขึ้นมา อาหลู่เองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ทนไว้
จนครู่ใหญ่ชายคนนั้นจึงพูดว่า “มรรคาของเจ้าจะต้องเดินเองเท่านั้น ไร้วาสนากับข้า ข้าเองก็ไม่สามารถชี้แนะเจ้าได้”
ในเสียงแฝงแววประหลาดที่ยากสังเกตเห็น
หลินสวินที่เดิมเปี่ยมไปด้วยความหวังชะงัก จากนั้นประสานหมัดพูด “ขอบคุณผู้อาวุโสอย่างยิ่ง”
“เหตุใดต้องขอบคุณข้า” ชายคนนั้นฉงน
“นี่ก็เป็นการชี้แนะอย่างหนึ่งแล้ว” หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง
เขาไม่ได้พูดปด ก่อนหน้านี้นานแล้วเขาก็แสวงหามรรคาที่แตกต่างอย่างที่สุดมาโดยตลอด หมายจะเอาชนะอดีต เข้าถึงมรรคาที่ต่างออกไป!
จู่ๆ ชายคนนั้นก็หัวเราะลั่นพูดว่า “เจ้าทำให้ข้านึกถึงจักรพรรดิสงครามซิงเยียน แต่เห็นได้ชัดมากว่าเจ้ากับจักรพรรดิสงครามซิงเยียนไม่เหมือนกัน มรรคาของเจ้าก็ไม่เหมือนเขาเช่นกัน ข้ารอคอยอย่างมากว่าเจ้าจะบรรลุมรรคาแบบไหน”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “ข้าเคยได้เจอจักจั่นทองตัวหนึ่งด้วยความโชคดี เขาเองก็เคยพูดคุยกับข้าและพูดเช่นนี้”
ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “พูดคุย?”
หลินสวินพยักหน้า
เขานึกถึงคำพูดของจักจั่นทองตัวนั้น ที่พูดคุยกันแน่นอนว่าคุยกันถึงเรื่องบนสวรรค์ การดำรงอยู่ของสวรรค์ก็เหมือนการเปลี่ยนแปลงแห่งมหามรรค สูงส่งไม่อาจสัมผัส ห่างไกลไม่อาจไปถึง
อยากจะเดินบนมรรคาของตนก็ต้องเข้าใจและแสวงหามัน!
“จักจั่นทองตัวนั้นไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าถ้าอยากเดินบนมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อน จะต้องแลกกับอะไร” ชายคนนั้นถาม
หลินสวินใคร่ครวญแล้วพูดว่า “มันพูดเพียงว่า วาสนาชะตาลิขิตราวมายา การปรารถนาตามใจต้องการนั้นดี แต่หากลุ่มหลงมัวเมาเข้าแล้ว กลับจะกลายเป็นของธรรมดาไป”
ชายผู้นั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้”
เขาหันมองหลินสวินอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีผู้เป็นเลิศอย่างเจ้าไม่รู้เท่าไหร่หมายจะสร้างหนทางใหม่ แตกต่างเป็นหนึ่งในมรรคา แต่คนที่ทำได้จริงๆ มีน้อยมาก กลับเพราะแสวงหามรรคานี้ ต่างประสบการโจมตีที่ไม่สามารถคาดเดา เบาหน่อยก็ธาตุไฟเข้าแทรก ถ้าหนักก็กายสิ้นมรรคสลาย เจ้าจะต้องระวัง”
สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบเอ่ยว่า “ในเมื่อแสวงหามรรคนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว”
“ไม่มีอะไรต้องเสียใจดียิ่ง!”
ชายคนนั้นหัวเราะลั่นกล่าว “ข้าดูถูกคนรุ่นเยาว์ยุคนี้เกินไป ไม่เลวๆ คนสมัยนี้เหนือกว่าคนโบราณ เพลิงมรรคไม่ดับ ย่อมสามารถคาดหวังมหามรรค สหายน้อย บอกชื่อเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“หลินสวิน”
ชายคนนั้นพยักหน้าพูด “คนบนโลกเรียกข้าว่าเซียนผลาญ แต่กลับมีน้อยคนมากที่จะรู้ชื่อของข้า ต่อไปหากเจ้ามีโอกาสเข้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดารา หากเจอปัญหาอะไรก็สามารถอ้างชื่อข้าเท่าที่จะทำได้”
“จำไว้ ข้าชื่อเฉินหลินคง!”
พูดจบชายหนุ่มเงยหน้าหัวเราะลั่น เงาร่างราวกับละอองแสงโปรยปรายหายแวบไป
เฉินหลินคง!
สามคำนี้ราวกับมีความเผด็จการอันไร้รูป ก้องไปทั่วทั้งตำหนัก ทำให้เสาทองแดงทั้งหนึ่งร้อยแปดต้นสั่นสะท้าน ส่งเสียงกู่ก้องไปด้วย
เซียนผลาญ เฉินหลินคง!
ในใจหลินสวินจำชื่อนี้เอาไว้เงียบๆ ในขณะเดียวกันก็จำทางเดินโบราณฟ้าดาราไว้ด้วย!
เพราะเขาจำได้แม่นว่าตอนนั้นเจ้าคางคกเคยพูดว่า หากอยากจะเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนที่เป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล คล้ายว่าจะต้องผ่านทางเดินโบราณฟ้าดารานี่
“แซ่เฉินหรือ”
และในเวลาเดียวกันอาหลู่ก็เกาหูเกาแก้ม “ทำไมข้าถึงเคยได้ยินเฒ่าสารเลวพูดว่า นี่เหมือนจะเป็นตระกูลที่เก่าแก่มากตระกูลหนึ่ง แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก”
หลินสวินอดพูดไม่ได้ “สายตระกูลเฉินร้ายกาจมากหรือ”
อาหลู่ส่ายหน้า “ข้าเองก็เพียงแค่ได้ยินเฒ่าสารเลวพูดถึงเป็นครั้งคราว อาจจะร้ายกาจมากล่ะมั้ง ไม่ได้ยินหรือว่าเซียนผลาญท่านนั้นก็แซ่เฉิน”
ตอนที่ทั้งสองคุยกัน ในตำหนักพลันมีพลังที่ไร้รูปสายหนึ่งเพิ่มเข้ามา ห่อหุ้มรอบตัวพวกเขาทั้งสองพุ่งออกนอกตำหนัก
และประตูที่ปิดสนิทนั่นก็เปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียงในตอนนี้
ตอนที่ 1149 หนึ่งหอหนึ่งเจดีย์ อำนาจข...
เมืองเผาเซียน
ระหว่างที่เรื่องเผ่าอีกาทองถูกเทพมารหลินปล้นยังคงเป็นที่ฮือฮาอยู่ ก็มีข่าวน่าตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แพร่กระจายออกไป
“เทพมารหลินบุกเข้าไปในหุบเขาผลาญสวรรค์เพียงลำพัง กำลังจะถูกบุคคลขอบเขตมกุฎของแต่ละขุมอำนาจใหญ่สังหาร!”
หินก้อนหนึ่งทำให้เกิดคลื่นพันระลอก เดือดพล่านขึ้นมาทั้งเมือง
“ไป ไปดูสักหน่อย!”
“เพิ่งเข้ามาในแดนมกุฎได้ไม่เท่าไหร่ เทพมารหลินก็จะประสบเคราะห์แล้วหรือ”
ไม่นานผู้สืบทอดขุมอำนาจจำนวนหนึ่งต่างเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปที่หุบเขาผลาญสวรรค์หมายจะไปสืบให้ชัด
ตอนที่ไปถึงหุบเขาผลาญสวรรค์ทุกคนกลับพบว่า การดวลครั้งนี้เกิดขึ้นในตำหนักลึกลับแห่งนี้ ไม่สามารถรู้ได้ว่าเทพมารหลินถูกฆ่าไปแล้วหรือยัง
ดังนั้นผู้ฝึกปราณที่ตามมาใหม่จึงจำต้องรออยู่ด้านนอก
“มีบุคคลขอบเขตมกุฎยี่สิบกว่าคน ในนั้นยังมีบุคคลเยี่ยมยอดอย่างอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง เหลียงเซวี่ยอิ๋นแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูร เทพธิดาหลิงหวาแห่งสำนักยุทธ์นครนิล เทพมารหลินคงไม่สามารถเดินออกมาได้อีกแล้ว”
ตอนที่รู้สถานการณ์ในตำหนัก ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างตกใจ
ผู้แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้รวมตัวกัน อย่าว่าแต่เทพมารหลิน แม้เป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎคนอื่นๆ ก็คงต้านทานไม่อยู่!
“เทพมารหลินนี่ก็ถือว่ากล้าหาญ เพื่อช่วยสหายไม่สนอันตราย หากเป็นสหายกับเขาย่อมเป็นเรื่องที่โชคดีเรื่องหนึ่ง”
มีคนถอนหายใจ เรียกเสียงเห็นด้วยไม่น้อย
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นถ้ำเสือก็ยังเสียสละชีวิตมาเพียงเพื่อช่วยสหายที่ตกระกำลำบาก การกระทำเช่นนี้เพียงพอจะทำให้ทุกคนหวั่นไหว
“ไม่ เป็นสหายกับเขาก็เป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่งเช่นกัน อย่าลืมว่าศัตรูของเจ้าหมอนี่มีนับไม่ถ้วน ใครกล้าข้องเกี่ยวกับเขาก็ล้วนต้องรับผลลัพธ์ที่พลอยลำบากไปด้วย!”
มีคนหัวเราะเยาะ มองหลินสวินเป็นศัตรู
นี่คือผู้แข็งแกร่งของเผ่าอีกาทอง ต่างขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ก่อนหน้านี้หลินสวินปล้นสะดมที่พักของพวกเขา ทำให้พวกเขาเคียดแค้นจนคลั่ง
“ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตายแน่!”
พวกหลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูร เกาเซวียนแห่งสำนักยุทธ์นครนิลก็มาด้วย ตอนนี้ต่างเฝ้ารอ ย่ามใจอย่างมาก
เทพมารหลินน่ากลัวเกินไป
เขาทำอะไรไม่สนกฎเกณฑ์ พลังต่อสู้พลิกฟ้า ถึงขั้นกล้ามองข้ามกฎระเบียบ ไม่ยึดตามเหตุผลทั่วไป เข่นฆ่าในเมืองโบราณเผาเซียนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน
ถ้าเขามีชีวิตอยู่ หากกำเริบเสิบสานต่อไปเช่นนี้ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ
เพราะฉะนั้นพวกเขาต่างอยากฆ่าหลินสวินเสียเดี๋ยวนี้!
“หืม! ประตูตำหนักเปิดออก สวรรค์ นั่น… นั่น…”
ทันใดนั้นมีคนร้องด้วยความตกใจ สร้างความฮือฮาในที่นั้น
จากนั้นทุกคนต่างเห็นว่าประตูตำหนักเพลิงเทพนั่นไม่รู้ว่าเปิดออกเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเงาร่างสองร่างเดินมาจากด้านใน
ร่างหนึ่งสูงใหญ่ราวกับภูเขา หยาบกระด้างและป่าเถื่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นอาหลู่!
ก่อนหน้านี้หลายคนต่างเห็นอย่างชัดเจนว่าอาหลู่ถูกจับพร้อมกับเจ้าคางคก ถึงได้ทำให้เทพมารหลินต้องมาช่วย
เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขากลับรอดออกมา!
“เทพมารหลิน!?”
แทบจะในเวลาเดียวกันมีคนร้องเสียงหลง ตกใจจนเกือบจะกระโดดขึ้นมา
ข้างๆ อาหลู่มีคนหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวพระจันทร์ เงาร่างสง่างามผมดำพลิ้วไสว เป็นหลินสวินที่คนส่วนใหญ่มั่นใจว่าจะต้องตาย
“นี่เป็นผีหรือ”
มีผู้หญิงหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก
“ไม่มีทาง เป็นไปได้อย่างไร”
กลุ่มผู้สืบทอดเผ่าอีกาทอง เขาวิญญาณหมื่นอสูรและสำนักยุทธ์นครนิลตอนนี้ต่างเหมือนถูกฟ้าผ่า ลูกตาแทบจะหลุดออกมา
เทพมารหลินยังมีชีวิตอยู่ งั้น… คนอื่นๆ ล่ะ
คิดถึงตรงนี้ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยในที่นั้นต่างใจสั่น และยังมีคนยื่นคอออกมา หมายจะดูสถานการณ์ในตำหนักนั่น
ที่น่าเสียดายคือประตูตำหนักถูกปิดไปอย่างไร้สุ้มเสียงนานแล้ว
“สหายยุทธ์หลิน คนอื่นๆ ล่ะ”
มีคนทำใจกล้าถาม
หลินสวินกวาดสายตามองทั่วทั้งที่นั้นแวบหนึ่งก่อนถึงพูดว่า “กำลังแย่งศุภโชคกันอยู่ ความสามารถของข้าสู้ไม่ได้ ทำได้เพียงถอยออกมาก่อน”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่สีหน้ากลับไม่มีความผิดหวังเสียใจเลยสักนิด
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนสงสัย ในการรับรู้ของพวกเขา บุคคลขอบเขตมกุฎทั้งยี่สิบหกอย่างพวกอูหลิงเฟยไม่มีทางปล่อยหลินสวินแน่
“แล้วสหายอีกคนของเจ้าล่ะ” มีคนถามอย่างอ้อมค้อม
“ดวงขึ้น กำลังแย่งชิงศุภโชคอยู่เหมือนกัน” อาหลู่ตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ
นี่ทำให้ยากจะเชื่อเหลือเกิน!
สีหน้าของเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองต่างเปลี่ยนไป ผลลัพธ์เช่นนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกตั้งตัวไม่ติด
“พี่ใหญ่ ไม่ได้ครอบครองศุภโชคข้าเสียใจมาก อยากระบายสักหน่อย” อาหลู่พูด สายตาพินิจเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ
“ช่างเถอะ กลางคืนเตรียมของอร่อยให้เจ้าสักหน่อย นี่เป็นเรื่องดีที่เจ้าคางคกไม่อาจได้รับเชียวนะ” หลินสวินส่ายหน้า ในที่นี้มีผู้ฝึกปราณมากมาย ยากมากที่จะแยกแยะว่ามีศัตรูอยู่เท่าไหร่
“ดีเลย” อาหลู่ตาเป็นประกาย
ในขณะที่พูดทั้งสองก็เดินไปนอกหุบเขา
“หยุด!”
หลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรก้าวออกมาพูดเสียงเย็น “ไม่พูดให้รู้เรื่องก็คิดจะไปหรือ”
ในเวลาเดียวกันสีหน้าของเกาเซวียนแห่งสำนักยุทธ์นครนิลก็มองมาอย่างไม่หวังดี
ลางสังหรณ์ของพวกเขาบอกว่านี่ไม่ค่อยปกตินัก
“พูดให้รู้เรื่องหรือ ได้สิ งั้นข้าไปพูดกับพวกเจ้าให้รู้เรื่องที่อาณาเขตของพวกเจ้าในเมืองดีหรือไม่”
หลินสวินยิ้มถาม
ประโยคเดียวทำให้สีหน้าของพวกหลูชวน เกาเซวียนเปลี่ยนไปโดยพลัน นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่หลินสวินปล้นสมบัติของเผ่าอีกาทอง
“หลินสวิน ท่าทีของเจ้าไม่ถูกต้องอย่างมาก พวกข้าเพียงอยากถามเรื่องในตำหนัก เจ้ากลับออกปากข่มขู่กัน คิดจะขัดแย้งกับสหายยุทธ์ทั้งแดนเผาเซียนเลยหรือ”
ชายรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ ผมของเขาเป็นสีเขียวทั้งศีรษะ เห็นได้ชัดว่ามาจากเผ่าวิญญาณสมุทรเหมือนซางหลันที่ตายในมือหลินสวิน
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ประโยคเดียวสามารถเหมารวมทุกคนได้หรือ ไม่อยากตายก็ไสหัวไป!”
หลินสวินพูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วไม่สนใจอีก เพียงพาอาหลู่เดินออกจากหุบเขาไปด้วยกัน
“เจ้า…”
ชายรูปร่างผอมสูงเดือดดาลยกใหญ่ แต่พอนึกถึงพลังต่อสู้อันน่ากลัวของหลินสวิน ในใจเขากลับลังเลขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้เขาหมดหวังที่สุดคือ ในระหว่างนี้กลับไม่มีคนกล้ารั้งหลินสวินเอาไว้ หากเขากระโดดออกไปก็เท่ากับ ‘ยื่นคอ’ ออกไปเอง!
“ขยะ ฮ่าๆๆ”
อาหลู่อดหัวเราะอย่างดูถูกไม่ได้ ทำเอาชายผอมสูงปอดแทบระเบิด โกรธจนหน้าเขียว แต่สุดท้ายก็ยังทนเอาไว้
จนกระทั่งทั้งสองจากไป เหล่าผู้กล้าในที่นั้นกลับไม่มีใครกล้าขวาง!
นี่ก็คืออานุภาพที่มาจากความสามารถ!
ก่อนหน้านี้ในเมืองโบราณเผาเซียน หลินสวินไม่สนใจกฎระเบียบเหยียบอาณาเขตของเผ่าอีกาทองอย่างแข็งกร้าว สังหารอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งยังทำการปล้นไปรอบหนึ่ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะอยากตายกระโดดออกมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา
“กลัวก็แต่ว่าคงมีแค่บุคคลระดับยักษ์ใหญ่แห่งยุคอย่างพวกชื่อหลิงเซียว ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ย อวิ๋นชิ่งไป๋ กู่ฝอจื่อจึงจะสามารถสยบเทพมารหลินนี่ได้”
มีคนถอนหายใจ
ส่วนเหล่าขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง สำนักยุทธ์นครนิล เขาวิญญาณหมื่นอสูร แต่ละคนสีหน้าล้วนย่ำแย่มาก อัดอั้นจนทรมาน
“หากองค์ชายเจ็ดอยู่ จะยอมให้เขาอวดดีขนาดนี้ได้อย่างไร”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งส่งเสียงอย่างเดือดดาล
“เกิดอะไรขึ้นในตำหนักแห่งนั้นกันแน่ เหตุใดเทพมารหลินจึงสามารถเดินออกมาได้อย่างปลอดภัยหายห่วง”
ในใจคนส่วนใหญ่ต่างประหลาดใจ รู้สึกสงสัยนัก
“ข้าไปดูสักหน่อย”
เงาร่างที่อาบอยู่ท่ามกลางแสงสีครามเดินออกไป ทะยานไปยังตำหนักเพลิงเทพที่อยู่ไกลออกไป
“โจวชิงอวิ๋น!”
หลายคนต่างนัยน์ตาหดรัด จำฐานะของชายคนนี้ได้ เป็นปีศาจแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจาก ‘ถ้ำสวรรค์ดารามายา’ แห่งแดนเร้นอริยะคนหนึ่ง!
ตอนที่ผ่านรูปปั้นกวางกระเรียนคู่หนึ่งตรงหน้าตำหนัก โจวชิงอวิ๋นเองก็ถูกขวางกั้นไปด้วย เสียแรงอยู่มากกว่าจะผ่านไปได้
ภาพนี้ถูกผู้ฝึกปราณที่รออยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกเห็นเข้า ในใจต่างพลิกตลบขึ้นมาระลอกหนึ่ง
เพราะเมื่อเทียบกับตอนที่เทพมารหลินผ่านการทดสอบนี้ โจวชิงอวิ๋นปีศาจแห่งยุคที่มาจากถ้ำสวรรค์ดารามายาคนนี้เหมือนจะด้อยกว่าเล็กน้อย!
ประตูตำหนักเปิดออกเงียบๆ
ท่ามกลางสายตารอคอยของทุกคน สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ โจวชิงอวิ๋นกลับไม่ได้เข้าไป
เพราะในสายตาเขามองเห็นเลือดและชิ้นส่วนศพเกลื่อนเต็มพื้น เลือดอาบนอง ราวกับเป็นภาพนรกภาพหนึ่ง
เฮือก!
โจวชิงอวิ๋นสูดหายใจด้วยความตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดสุดท้ายมีเพียงเทพมารหลินและอาหลู่ที่เดินออกมา เพราะคนอื่นๆ ต่างตายอนาถอยู่ด้านในแล้ว!
และดูจากร่องรอยในตำหนัก เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เคยปะทุการต่อสู้รุนแรงที่ย่ำแย่อย่างที่สุด!
“บุคคลขอบเขตมกุฎยี่สิบหกคนเชียวนะ ในนั้นยังรวมถึงอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าอีกาทอง… ล้วนถูกเทพมารหลินฆ่าหมดแล้วหรือ…”
ในใจโจวชิงอวิ๋นปรากฏความหนาวเยือกอย่างควบคุมไม่อยู่ มือเท้าเย็นเฉียบ
ขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็ฉวยโอกาสนี้ ในที่สุดก็เห็นภาพอันนองเลือดแต่ละฉากในตำหนักชัดเจนแล้ว
ในที่นั้นบรรยากาศเงียบสงัดลงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็แตกตื่นขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง ราวกับน้ำมันเดือดกระเด็นจากหม้อ มีเสียงกรีดร้องอุทานด้วยความตกใจและหวาดกลัวดังขึ้นไม่รู้เท่าไหร่
โดยเฉพาะขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง สำนักยุทธ์นครนิล เขาวิญญาณหมื่นอสูร และเผ่าวิญญาณสมุทร ต่างรับการโจมตีระดับนี้ไม่ไหว คำรามเสียงดังขึ้นมา
ตายแล้ว…
ตายหมดแล้ว!
ความกระทบกระเทือนจิตใจนี้รุนแรงเกินไป ทำให้สายตาทุกคนต่างหม่นแสงลง แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว
ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนก เนิ่นนานก็ยังไม่อาจสงบได้ ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของเทพมารหลินหรือ
……
ตอนที่หลินสวินกับอาหลู่กลับไปยังเมืองโบราณเผาเซียนก็สร้างความฮือฮาระลอกหนึ่ง แต่ทุกคนที่เห็นหลินสวิน สีหน้าล้วนเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ตัดสินใจจะหาที่พักก่อน
“เมื่อวานตอนที่เขาเข้าเมือง เจ้าคางคกเคยบอกว่าในเมืองนี้มีหนึ่งหอหนึ่งเจดีย์ ล้วนตั้งชื่อว่ามกุฎ มีความลึกลับที่แตกต่างกันออกไป”
“อยากเข้าไปในแดนเก้าบน จะต้องผ่านการทดสอบของหอมกุฎก่อน”
”หอมกุฎจะปรากฏทางเดินสายหนึ่งในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นมีเพียงผู้แข็งแกร่งในหนึ่งพันอันดับแรก จึงจะสามารถใช้ทางเดินนี้เข้าไปในแดนเก้าบน”
“และถ้าอยากเข้าไปในอาณาเขตอื่นๆ ของสามพันแดน ก็ต้องพึ่งพลังของเจดีย์มกุฎ ได้รับการยอมรับจึงจะมีคุณสมบัติจะเข้าเสาะหาวาสนาในแดนอื่นๆ”
ระหว่างทางอาหลู่พูดถึงเรื่องสำคัญเหล่านี้กับหลินสวิน
หลินสวินประหลาดใจ เขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินเรื่องของหอมกุฎและเจดีย์มกุฎเป็นครั้งแรก
“ถ้าอย่างนั้นในสามพันแดน ทุกแดนล้วนมีหนึ่งหอหนึ่งเจดีย์ใช่หรือไม่” หลินสวินเหมือนคิดอะไรอยู่
“ใช่แล้ว”
อาหลู่พูดถึงตรงนี้พลันชี้ไปในระยะไกลและพูดว่า “พี่ใหญ่ท่านดู นั่นคือหอมกุฎ”
หลินสวินเงยหน้ามองตามไป ก็เห็นว่าตรงกลางเมืองมีหอสูงแห่งหนึ่ง
มันสูงทะลวงฟ้า โดดเด่นและยิ่งใหญ่อย่างมาก แผ่กลิ่นอายเก่าแก่ไปทั่วทั้งหอ ราวกับตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกจนชินชาไปแล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น