Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1130-1141

ตอนที่ 1130 มหายุคมาแล้ว

 

ตึง!


ฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงนั้นแน่นลึกจนทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลกใจสั่น


เวลานี้บริเวณใกล้แม่น้ำพรมแดนที่กระจายอยู่ระหว่างสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณล้วนเกิดภัยพิบัติชวนประหวั่น เมือง ภูเขาแม่น้ำ ก้อนหินและต้นไม้นับไม่ถ้วน…


ล้วนพังทลายกลายเป็นจุณ!


เพราะตอนนี้แม่น้ำพรมแดนได้หายไปแล้ว!


ระยะห่างระหว่างสี่แดนวิภูหายไปเช่นนั้น ราวแผ่นเปลือกโลกมหึมาทั้งสี่ปะทะกันอย่างหนักหน่วง


พลังนั้นเกี่ยวพันถึงต้นกำเนิดของโลก ห้วงอากาศว่างเปล่าโดยรอบ และฟ้าดิน ยามปะทะกันพลังทำลายล้างชวนประหวั่นที่เกิดขึ้นล้วนเพียงพอทำให้อริยะขวัญหนีดีฝ่อ!


‘มาแล้ว!’


เวลานี้ในสี่แดนวิภู ชัยบูรพา ฐิติประจิม กาฬทักษิณ ดาราอุดร ไม่รู้ว่ามีอริยะที่อยู่ในการปิดด่านกี่คนหยุดการกระทำในมือ รับรู้ได้จากภายในใจ


มหายุคใกล้มาแล้ว!



แต่ละสำนักโบราณ แดนเร้นอริยะมากมาย ทุกบริเวณในดินแดนรกร้างโบราณ ทุกขุมอำนาจ เวลานี้ต่างสังเกตเห็นว่ามหายุคที่พวกเขารอมาเนิ่นนาน ความพินาศที่อยู่ร่วมกับการผงาดง้ำ ยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ถึงขีดสุดกำลังจะเปิดฉากในวันนี้


หนึ่งหมื่นปีนานเหลือเกิน ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า!


ไม่ว่าครั้งนี้จะเป็นมหายุคหรือกลียุค ล้วนแต่ไม่เคยมีมาก่อน แตกต่างจากที่ผ่านมา!


“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!”


แดนเร้นอริยะหอฤทธิ์เทพ มีอริยะทอดถอนใจ ไม่รู้ว่ายินดีหรือโศกเศร้า


“มหายุคอะไรกัน ความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดก็หมายถึงอันตรายยิ่งยวด ผู้คนในใต้หล้าจับจ้องเพียงความรุ่งโรจน์ชั่วครั้งคราว แต่กลับไม่รู้เลยว่ามหากลียุคจะมาเยือน!”


เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เก็บตัวเงียบไม่รู้นานเท่าไรเกรี้ยวกราด ในน้ำเสียงเจือความหดหู่


“มหายุคดั่งเหยื่อล่อ นำมาซึ่งการจ้องหาโอกาสและความละโมบ ไฟสงครามแห่งเก้าดินแดนอยู่ไม่ไกลแล้ว…”


มีอริยะแห่งมหาวิหารธรรมคาดการณ์


“สมัยบรรพกาลแปดดินแดนบุกโจมตีก่อให้เกิดศึกแห่งการดับสูญ ทำให้เหล่าอริยะร่วงหล่นดั่งพิรุณ สำนักโบราณมากมายดับสิ้นในไฟสงคราม ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณแบ่งเป็นสี่ส่วน แยกออกเป็นสี่แผ่นดิน!”


“มหายุคในตอนนี้ต่างจากแต่ก่อน หากไฟสงครามถูกจุดชนวน ไม่ว่าอริยะหรือมดปลวกก็ไม่อาจไม่ข้องเกี่ยว!”


เวลานี้มีผู้ฝึกปราณของสำนักโบราณไม่รู้เท่าไรตื่นตระหนก ขนพองสยองเกล้าไปทั้งตัว รู้สึกตกตะลึงอย่างไม่อาจอธิบายได้ ด้วยพวกเขาเพิ่งเคยได้ยินข่าวเหล่านี้เป็นครั้งแรก


“รูปแบบที่ดินแดนรกร้างโบราณเชื่อมั่นมาเนิ่นนานจะต้องถูกปรับเปลี่ยนใหม่ในมหายุคครั้งนี้แน่ จะเด่นผงาดหรือพังพินาศในความรุ่งโรจน์นี้ ไม่มีใครรู้ได้!”


“ทุกอย่างล้วนขึ้นกับตัวแปร! คณาเคราะห์! โชคชะตา! ไม่มีใครสามารถตัดสินชี้ขาด”


“เรื่องทางโลกดั่งหมากกระดาน สถานการณ์นี้ยากคาดเดา!”


“เช่นนั้นก็มา… แข่งกันให้เต็มที่เถอะ!”


ความลับนับไม่ถ้วนหลุดออกจากปากเหล่าอริยะ ก่อให้เกิดคลื่นถาโถมโหมกระหน่ำ ทำให้ผู้ฝึกปราณแต่ละสำนักต่างรู้สึกหวั่นหวาดยากบรรยาย


มหายุค?


กลียุค?


ใครเล่าจะสามารถให้คำตอบ


ทุกคนต่างงุนงง สถานการณ์นี้ไม่อาจเข้าใจ!



ดินแดนรกร้างโบราณกำลังเปลี่ยนแปลง


แม้แต่ปุถุชนทั่วไปบนโลกก็ตื่นตระหนก ด้วยสถานการณ์ที่ราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทุกหนแห่งล้วนโกลาหล


แต่ละคนต่างกำลังหลบหนี แต่กลับไม่รู้ว่าควรหนีไปที่ไหน เพราะแรงกระเพื่อมนั้นดำรงอยู่ทุกแห่งหน


ในป่าเขาลำเนาไพรเหล่าสัตว์อสูรวิ่งอย่างบ้าคลั่ง นกปีศาจแผดเสียงหวาดผวา


ในทะเลสาบและมหาสมุทร คลื่นทะเลม้วนซัดสิ่งมีชีวิตไหลไปตามกระแส


ไม่ว่าคนทั่วไปหรือผู้ฝึกปราณ ไม่ว่าภูตผีปีศาจหรืออริยะที่เข้าถึงมรรค ก็ล้วนไม่อาจสงบใจต่อหน้า ‘การเปลี่ยนแปลงชวนตะลึง’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนฉากนี้


ต่อให้เป็นอริยะ ก็ไม่มีทางมองการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงที่กำลังเกิดขึ้นทั่วดินแดนรกร้างโบราณออกในปราดเดียว


ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครรู้ว่าการสั่นสะเทือนครานี้มีเทือกเขาโผล่พ้นปฐพีหยัดทะลวงเมฆาเท่าไหร่


ไม่รู้ว่ามีชีพจรปราณวิญญาณ โอสถวิญญาณ สิ่งล้ำค่าและวัตถุดิบเทพเท่าไหร่เกิดขึ้นในแต่ละบริเวณทั่วหล้าราวหน่อไม้หลังฝน


ไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาด ร่างวิญญาณเท่าไหร่อุบัติขึ้นบนโลกในเวลานี้


และไม่รู้ว่ามีโบราณสถาน ซากปรักหักพัง แดนลึกลับที่ถูกฝังกลบในสายน้ำแห่งกาลเวลาเท่าไหร่ปรากฏบนพิภพอีกครั้ง!


ทั่วดินแดนรกร้างโบราณต่างกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึง


ทุกสรรพสิ่งเริ่มต้นขึ้นเสมือนตื่นจากการจำศีล การเปลี่ยนแปลงนานัปการเปิดฉากด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ เปลี่ยนภาพลักษณ์และรูปแบบที่มีมาแต่เดิมบนโลก


กฎเกณฑ์วัฏจักร โชควาสนามหามรรค ไอวิญญาณฟ้าดิน… ล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง ผลักดันไปในทางรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด!



ตึง!


ท้องฟ้าเหนือสนามรบโบราณเกิดเสียงกึกก้องราวเสียงกลอง แฝงพลังกฎระเบียบสูงสุดของจักรวาลจนทำให้เทพเซียนภูตผีหวั่นหวาด


บนเวิ้งฟ้ามืดมัวมีหมอกหลากสีงามตระการแปลกตาแผ่พลังชีวิตอบอวล ทำให้ฟ้าดินแถบนี้พลันคลายลักษณ์พยับเมฆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมา


บนสนามรบโบราณที่เดิมปรักหักพังผุกร่อนเปี่ยมบาดแผล มีจิตวิญญาณอันอุดมไร้รูปหนึ่งกำลังไหลบ่าอาบแผ่นดิน


ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตขึ้นกลางซากปรักหักพัง ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนถูกปกคลุมด้วยกระแสอากาศราวหมอกควันชั้นหนึ่ง เสมือนภาพมายาอันพร่ามัว


ต้นไม้ใบหญ้ามีชีวิตชีวา แตกใบอ่อนเขียวขจีแวววาว สนามรบโบราณที่เปี่ยมไอมรณะราวคืนชีพจากความเหี่ยวเฉา ส่องประกายพลังชีวิตที่ต่างออกไป!


ใบไม้ไหวจึงรู้ทิศทางลม


แม้แต่สนามรบโบราณยังเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าทั้งดินแดนรกร้างโบราณกำลังมีการเปลี่ยนแปลงเช่นไร!


“ฉากโหมโรงมหายุค ในที่สุดก็มาแล้ว!”


หน้าเมืองนำทาง ไม่ว่าพวกหลินสวินหรือผู้ฝึกปราณคนอื่นในที่นั้น หลังผ่านเหตุการณ์เขย่าขวัญช่วงแรกแล้ว เวลานี้สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเผยความมุ่งหวัง


พวกเขารู้สึกถึงพลังชีวิตอันยิ่งใหญ่กลางฟ้าดินได้อย่างชัดเจน ร่างกายเหมือนถูกน้ำพุใสสะอาดชะล้างรอบหนึ่ง ทำให้รู้สึกสบายไปทั้งตัว


สัมผัสที่มีต่อฟ้าดิน การหยั่งถึงมหามรรค และการควบคุมมรรคาราวเปลี่ยนเป็นเด่นชัดกว่าแต่ก่อน!


นี่เป็นเพราะพลังระเบียบมหามรรคแห่งใต้หล้ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง


สำหรับคนรุ่นเยาว์แล้ว มหายุคก็คือความเปล่งประกายรุ่งโรจน์ ทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้าน!


มหายุคมาเยือน นำมาซึ่งศุภโชคและวาสนาที่คาดไม่ถึง สามารถทำให้พวกเขาก้าวสู่ระดับมกุฎราชันที่ถวิลหาแม้ยามฝัน นี่คือสิ่งล่อใจที่ผู้ฝึกปราณคนใดต่างไม่อาจต้านทาน


ถ้าไม่อย่างนั้นเหล่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณไยต้องทนอยู่ในความเงียบงันแห่งกาลเวลา แล้วค่อยตื่นขึ้นมาบนโลกตอนนี้อย่างยากลำบากเล่า


ทุกอย่างล้วนเพื่อมหายุคนี้!


‘ในที่สุดก็มาแล้ว!’


นัยน์ตาดำของหลินสวินแหงนมองฟ้า อารมณ์ปั่นป่วน


ปีนั้นที่จากโลกชั้นล่างเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ มาด้วยเหตุใด


หนึ่งเพื่อแก้แค้น


สองเพื่อเข้าถึงมรรค!


การแก้แค้นมีวี่แววแล้ว


และการเข้าถึงมรรคก็อยู่ในมหายุคนี่!


หลินสวินยังจำคำพูดที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าเคยกล่าวก่อนตนจากมาได้ชัดเจน


‘ดินแดนรกร้างโบราณจะต้องกลายเป็นดินแดนแห่งการช่วงชิงมรรคที่ผู้แข็งแกร่งแก่งแย่ง โลกจะตกอยู่ในความโกลาหลอย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยเหตุนี้!’


‘เจ้าไปเยือนดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้ จำไว้เพียงคำเดียวก็พอแล้ว’


‘สู้!’


‘การต่อสู้แห่งมหามรรคประหนึ่งร้อยนับร้อยแย่งกันวิ่งบนผิวน้ำ รั้งท้ายเพียงก้าว ชีวิตนี้ก็อาจไม่มีหวังได้ก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งมหามรรคอีก!’


‘และถ้าอยากช่วงชิงศุภโชคใหญ่ในมหายุคที่กำลังจะเปิดม่านขึ้นนี้ สิ่งที่ต้องใช้ก็คือพลัง’


‘การกระทำที่ผ่านมาของเจ้ามักจะใช้วิธียืมพลังผู้อื่นมาสะท้อนพลัง นี่เป็นเพียงกลวิถีเล็กๆ เท่านั้น เจ้าต้องจำไว้ว่าเมื่อเผชิญหน้าพลังที่แท้จริง แม้สติปัญญาของเจ้าจะล้นฟ้า กลยุทธ์ตะลึงโลก ก็ยังจะถูกโจมตีจนร่างแหลกละเอียดอย่างแน่นอน’


‘พลัง นี่แหละคือมหามรรค!’


‘การเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิต การยกระดับพลังปราณ ความยิ่งใหญ่แห่งจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของร่างกาย กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็ล้วนสะท้อนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงของพลังที่ตนครอบครองทั้งสิ้น’


‘พลังเช่นนี้สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นราชันสูงสุด สามารถต้านทานมหาอมตะเคราะห์ ทั้งสามารถสร้างมรรคบรรลุสู่อริยะ!’


‘มหามรรคเหล่านี้ก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง เพียงแต่ต้องหยั่งรู้และเข้าใจ’


‘วิชานับหมื่นพันก็คือวิธีการใช้พลัง เพียงแต่ต้องฝึกฝนและควบคุม’


‘แม้แต่ความรู้ ประสบการณ์ ความคิดความอ่านที่เจ้าครอบครองก็เป็นพลังภายในอย่างหนึ่ง มีสิ่งเหล่านี้จึงจะทำให้เจ้าเข้าใจแก่นแท้จริงของการฝึกปราณยิ่งขึ้นไปอีกขั้น’


‘พลังไม่ได้ถึงแรงเท่านั้น แต่เป็นการอธิบายคำว่าบำเพ็ญเพียรที่เรียบง่ายที่สุด!’



หลินสวินในตอนนี้ได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติขอบเขตมกุฎแล้ว แต่ยามนึกถึงคำพูดที่จักรพรรดิเคยกล่าวในปีนั้นก็ยังรู้สึกสะท้อนก้องในหู


ในสมองปรากฏเงาร่างชายชุดเขียว เท้าสวมรองเท้าสาน ร่างสูงตระหง่านดั่งสนขจีต้นหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่


นี่คือยอดผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ประชาชนในใต้หล้ายำเกรง ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนก้มหัวยอมสวามิภักดิ์คนหนึ่ง


อยู่ต่อหน้าเขาก็เหมือนเผชิญหน้านายเหนือหัวที่บัญชาตะวันจันทรา ควบคุมฟ้าดิน ยืนตระหง่านอยู่เหนือโลกาพิภพ!


พริบตานี้หลินสวินถึงได้รู้ว่าจักรพรรดิผู้นี้ทรงอานุภาพมากแค่ไหน หลายปีก่อนก็คาดเดาเรื่องมหายุคจะมาเยือนได้แล้ว ทั้งยังกล่าวเตือนพร่ำบอกตนด้วย


เวลานี้ไม่ใช่แค่หลินสวิน แม้แต่อาหลู่และเจ้าคางคกที่อยู่ข้างกายก็ยังมีความรู้สึกต่างกันไป จิตใจปั่นป่วน สายตามองไปยังเวิ้งฟ้าพร้อมกัน ความคิดฟุ้งซ่าน


ผู้ฝึกปราณคนอื่น ณ ที่นั้นก็เป็นแบบเดียวกัน!


มหายุคครานี้ในที่สุดก็จะเผยผ้าคลุมปริศนาออกต่อหน้าพวกเขา การเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตนั้น ไม่อาจอธิบายโดยละเอียดได้จริงๆ



แรงกระเพื่อมที่กระเทือนทั่วดินแดนรกร้างโบราณครานี้นานต่อเนื่องสิบวันเต็ม


ภายในสิบวันนี้สี่แดนวิภูได้ผสานรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ เผยโฉมหน้าและภาพของดินแดนรกร้างโบราณสมัยบรรพกาลอีกครั้ง


ภายในสิบวันนี้เขตแคว้นนับไม่ถ้วน เมืองมากมาย ชานเมืองอันเวิ้งว้างไร้สิ้นสุดในใต้หล้า ต่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน


ไอวิญญาณหนาแน่นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว


สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนให้กำเนิดผลผลิตและทรัพยากรที่เพียงพอทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่ง


แม้แต่กฎระเบียบวัฏจักร หลักการฟ้าดิน โชควาสนามหามรรค… ก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน


เมื่อเผชิญเคราะห์ร้ายถึงขีดสุดจึงประสบเคราะห์ดี!


หลังจากศึกแห่งการดับสูญเมื่อครั้งบรรพกาล ดินแดนรกร้างโบราณที่แตกแยกได้เงียบสงบมานานเหลือเกิน บัดนี้พลังที่รวบรวมไว้ในที่สุดก็ระเบิดออก กลายเป็นภาพมหายุคในวันนี้!


เรียกมันว่าความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน นับว่าไม่ใช่การกล่าวเกินจริง!


และภายในสิบวันนี้ ‘สถานที่นำทาง’ สามพันแห่งที่กระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ของดินแดนรกร้างโบราณ ก็ได้ดึงดูดผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนให้มาเยือน


อัจฉริยะ ผู้โดดเด่น ผู้กล้า สัตว์ประหลาดยุคโบราณ ปีศาจแห่งยุค… หลั่งไหลมายัง ‘สถานที่นำทาง’ สามพันแห่งจากที่ต่างๆ ราวกระแสน้ำหลาก


เพราะเมื่อม่านโหมโรงแห่งมหายุคได้เปิดฉาก แดนมกุฎก็จะมาเยือน!


มีเพียงเฝ้ารออยู่ที่สถานที่นำทางถึงจะสามารถเข้าไปในแท่นมรรคบูชาอริยะได้ จากนั้นค่อยเข้าสู่แดนมกุฎที่ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนถวิลหาแม้ยามฝัน


วายุก่อ


เมฆาซัด


สายตาทั่วหล้าเริ่มจับจ้องอยู่กับการต่อสู้แห่งมกุฎนี้!

 

 

 


ตอนที่ 1131 แท่นมรรคบูชาอริยะ

 

มหายุคมาเยือน ใต้หล้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


ส่วนสถานที่นำทางสามพันแห่งที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของดินแดนรกร้างโบราณ ก็กำลังจะกลายเป็นสถานที่รวมผู้มีอิทธิพลในใต้หล้า!


ผู้กล้าและอัจฉริยะจากสำนักเก่าแก่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ลูกหลานสายตรงและเหล่าผู้โดดเด่นรุ่นเยาว์ของเผ่าใหญ่โบราณกับตระกูลอริยะแต่ละกลุ่ม ล้วนหลั่งไหลไปยังสถานที่นำทางต่างๆ ราวกระแสธาร


ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าต่างให้ความสนใจ!


วันนี้ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ยุคอันตระการตาถึงที่สุดมาเยือน จะกลายเป็นรอยประทับที่ไม่อาจลบเลือน เป็นสิ่งที่ตราตรึงในภายภาคหน้า


“วาดหวังถึงมหามรรคได้”


ที่สำนักกระบี่เทียมฟ้า อวิ๋นชิ่งไป๋สีหน้าเรียบเฉยดังเดิม


เพียงแต่หว่างคิ้วราวดาบของเขาแผ่พุ่งไอดุดันที่ไม่เคยมีมาก่อน คล้ายสามารถแทงทะลุนภากว้าง


สิบปีที่ลับกระบี่ ย่อมลองคมกระบี่ในมหายุค!


เขาได้รับกล่องกระบี่โบราณที่อยู่ในมือของข้ากระบี่ แบกกล่องกระบี่ไว้บนหลังอย่างจริงจังหาใดเทียบเหมือนสมัยฝึกกระบี่ในอดีต


ทุกคนในโลกต่างรู้ว่า เขาอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่เคยสะพายกระบี่ แบกกระบี่เดินทางคือวิถีกระบี่ของเขา


วันนั้น อวิ๋นชิ่งไป๋ลงจากเขาเพียงลำพัง


“ควรออกเดินทางแล้ว!”


วันนี้บุคคลผู้มีอิทธิพลจากสำนักโบราณใหญ่ต่างๆ อย่างหวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ ล้วนเดินทางไปยังสถานที่นำทางต่างๆ พร้อมผู้อาวุโสในสำนักที่ติดตามมา


ส่วนเหล่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างชื่อหลิงเซียวผู้ฝึกเคล็ดวิชาหกนรกดับโลกา หลิ่นเสวี่ยธิดาเทพแห่งยุคที่ทำให้ผู้กล้านับไม่ถ้วนต้องสยบเมื่อสามพันปีก่อน ไป๋หลงถิงจากเผ่าเจียวขาว…


ก็เริ่มออกเคลื่อนไหว!


หมื่นผู้กล้าธรรมบาล อัจฉริยะทุกยุคสมัยเริ่มรวมตัวกันในมหายุค ปรากฏตัวในสถานที่นำทางต่างๆ ทำให้ทั้งใต้หล้ากริ่งเกรง


ที่เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันยังมีขุมอำนาจที่อยู่ในแดนเร้นอริยะด้วย!


มหาวิหารธรรม หอฤทธิ์เทพ อารามกษิติครรภ์ ลัทธิไร้สวรรค์…


ขุมพลังเก่าแก่ที่ตัดขาดจากโลกมาตลอดเหล่านี้ หลังจากมหายุคมาเยือนก็เริ่ม ‘ปรากฏตัวในโลก’


“จำไว้ว่าต้องฆ่าเจ้าลูกหมาหลินสวินนั่น!”


ที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มีคนใหญ่คนโตออกคำสั่ง


“ยังจำความอัปยศที่เจ้าเดรัจฉานหลินสวินนั่นนำมาสู่สำนักพวกเราได้ไหม เชื่อว่าพวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่าหลังจากเข้าไปในแดนมกุฎควรทำเช่นไร”


“ไม่ว่าอย่างไร อย่าให้เจ้าเดรัจฉานตัวนี้เป็นราชันได้โดยเด็ดขาด!”


“ในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในมหายุค ข้อแรกต้องชิงศุภโชคที่ทำให้เป็นราชัน ข้อสองคือฆ่าเจ้าเด็กหลินสวินนี่”


การสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้นในหมู่มหาอำนาจอย่างแดนพิสุทธิ์อมตะ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้า สำนักยุทธ์สมุทรคราม เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ


ตอนนั้นหญิงลึกลับเปลี่ยนอริยะเป็นเดรัจฉาน ไล่ต้อนพวกเขาราวคนเลี้ยงแกะ เหยียบย่ำขุมอำนาจเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียว ความอัปยศอดสูครั้งใหญ่เช่นนี้ แม้สามารถทนได้ แต่ใครก็ไม่ลืม!


และตอนนี้แดนมกุฎกำลังจะมาเยือน ผู้ที่อยู่ระดับราชันขึ้นไปล้วนเข้าไปไม่ได้ นี่จึงกลายเป็นโอกาสงามที่สุดที่พวกเขาจะแก้แค้นล้างอายอย่างไม่ต้องสงสัย


อีกทั้งผู้สืบทอดที่จะเข้าไปในแดนมกุฎของขุมอำนาจเหล่านี้ คราวนี้ไม่เพียงมีจำนวนมาก ยังมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณควบคุมด้วย!


นี่ จึงจะเป็นรากฐานพลังและไพ่ตายที่แท้จริงของพวกเขา!


……


ฟ้าดินกำลังแปรเปลี่ยน


ท้องนภาเหนือสนามรบโบราณ หมอกครึ้มถูกกวาดไปสิ้นอยู่ก่อนแล้ว ท้องฟ้ากระจ่างราวกระจกใสปลอดโปร่ง พลังชีวิตไพศาลแผ่พุ่งกลางซากปรักหักพัง ดูเป็นมงคลและบริสุทธิ์


เมื่อเวลาผ่านไป หน้าเมืองนำทางเงาร่างของผู้ฝึกปราญเหมือนกระแสธารไหลกลบพื้นที่รัศมีร้อยลี้


เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน คนที่นี่ก็มีมากขึ้นจากเดิมหลายเท่า!


โดยมากเป็นผู้สืบทอดสำนักและขุมอำนาจเผ่าต่างๆ และไม่ขาดผู้กล้าขอบเขตมกุฎและสัตว์ประหลาดยุคโบราณ


ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอีกาทองหรือเขาวิญญาณหมื่นอสูรก็ต่างดูระงับอารมณ์ ไม่ต่องการสร้างความขัดแย้งในตอนนี้


ยังดีที่ผู้ฝึกปราณที่มาถึงบริเวณนี้ล้วนรู้ฐานะของหลินสวินอย่างต่อเนื่อง แม้พวกเขามีคนน้อย แต่ก็ไม่มีใครไปหาเรื่อง


“คนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”


เจ้าคางคกถอนใจเบาๆ นี่เป็นวันที่สี่ที่มหายุคมาเยือน หลายวันนี้ไม่เพียงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฟ้าดิน แม้แต่จำนวนของผู้ฝึกปราณที่มาเมืองนำทางก็ทะยานสูงขึ้นหลายเท่า


สามารถคาดการณ์ได้ว่า หลังจากเข้าสู่แดนมกุฎการแข่งขันจะใหญ่โตปานไหน


อาหลู่กำลังหลับปุ๋ย ส่วนหลินสวินนั่งขัดสมาธิ คล้ายไม่รับรู้เรื่องราวในโลกภายนอก


เจ้าคางคกหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง เจ้าสองคนนี้… ซื่อจริงๆ สิน่า!


“ข่าวล่าสุด! ข่าวล่าสุด!”


ไกลออกไปผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งตีปีกบินมา ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณไม่น้อย


หลายวันมานี้หากผู้ฝึกปราณที่มาถึงเมืองนำทางก่อนต้องการล่วงรู้ข่าวสารโลกภายนอก ก็มีแต่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยเท่านั้นที่นำข่าวมาให้ได้


“อริยะหอฤทธิ์เทพสันนิษฐานว่าภายในเจ็ดวัน แท่นมรรคบูชาอริยะจะปรากฏบนโลก!”


ครืน!


ทั้งที่นั้นเดือดพล่าน


ผู้ฝึกปราณหลายคนล้วนนั่งไม่ติดที่แล้ว ดวงตาส่องประกาย


เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเมื่อทุกโมงยามยังมีผู้ฝึกปราณมากมายเร่งมาถึง ทำให้ทุกคนยิ่งกดดันขึ้นทบทวี


“จากสถิติของคนเบื้องบนเผ่าข้า จำนวนผู้ฝึกปราณที่รวมตัวอยู่หน้าสถานที่นำทางสามพันแห่งทะลุห้าสิบล้านคนไปแล้ว!”


และเมื่อข่าวนี้กระจายออกไป คนจำนวนไม่น้อยทั้งที่นั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกจิตใจหดรัด


“ทำไมถึงมีคนมากขนาดนี้”


หลายคนตกใจ


ไม่นานนักก็มีคนให้คำตอบ


ดินแดนรกร้างโบราณเดิมก็กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเทียบ เขตแคว้นและเมืองมากมายนับไม่ถ้วนกระจายตัวอยู่ ผู้ฝึกปราณมีจำนวนถึงหลักร้อยล้าน!


และอย่างที่ทุกคนรู้กัน เงื่อนไขการเข้าแดนมกุฎก็ง่ายดายนัก ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันล้วนเข้าไปได้ทั้งนั้น


นี่ก็หมายความว่าผู้ฝึกปราณที่ตรงเงื่อนไขทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์หรือไม่ ล้วนมีคุณสมบัติเข้าสู่แดนมกุฎ!


บุคคลขอบเขตมกุฎมาเพื่อช่วงชิงศุภโชคเย้ยฟ้า บรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน


ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นไม่มีความเพ้อฝันใหญ่โตเช่นนี้ ที่พวกเขาเข้าไปในแดนมกุฎก็เพียงเพื่อเสาะหาวาสนาและศุภโชคบางประการเท่านั้น


แล้วอย่างสำนักเก่าแก่บางแห่ง เหตุใดถึงส่งผู้สืบทอดออกมามากมายขนาดนั้น


ง่ายดายนัก ก็เพื่อฉกฉวยศุภโชคในแดนมกุฎให้ได้มากที่สุด ต่อให้ไม่สามารถเป็นระดับมกุฎราชันได้ อย่างน้อยก็มีความหวังอย่างยิ่งที่จะเลื่อนขั้นเป็นราชัน!


หรืออย่างเลวร้ายที่สุด ก็สามารถเสาะหาโอสถวิญญาณและของล้ำค่าที่บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอบางอย่าง


ส่วนพวกคนที่พลังอ่อนแอย่อมมีแผนเช่นนี้ หมายจะเข้าไปเสี่ยงดวงในแดนมกุฎ ต่อให้รู้ดีว่าอันตรายถึงที่สุด แต่เพื่อให้ผงาดขึ้นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จะไม่รับความเสี่ยงได้อย่างไร


เช่นนี้แล้วแค่คิดก็รู้ว่ายามแดนมกุฎมาเยือนคราวนี้ ใต้หล้านี้จะมีผู้ฝึกปราณที่ตรงเงื่อนไขแห่กันเข้าไปภายในนั้นเท่าไร


“ทุกท่านไม่รู้อะไร เมืองนำทางของสนามรบโบราณแห่งนี้ยังถือว่าดีแล้ว สถานที่นำทางที่กระจัดกระจายอยู่ในอาณาเขตที่พลุกพล่านบางแห่งมีผู้ฝึกปราณหลักล้านคนรวมตัวอยู่ สภาพการณ์เช่นนั้นน่าตกใจมาก!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยก็เริ่มทอดถอนใจไม่ว่างเว้น


“การแข่งขันยิ่งโหดร้ายขึ้นแล้ว!”


มีคนวิตกกังวล


“หึ! อย่างมากก็เป็นแค่ตัวรับกระสุน ทำได้เพียงใช้เลือดสดๆ และซากกระดูกปูทางสู่ราชันให้คนอื่น!”


มีคนหยิ่งผยอง ดูถูกคนเหล่านี้


“พวกคนอ่อนแออยากผงาดขึ้นมาก็ทำได้เพียงเอาชีวิตเข้าสู้ แม้พูดว่าความหวังริบหรี่ แต่หากคว้าวาสนาในแดนมกุฎไว้ได้สักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจสามารถพุ่งทะยานสู่เมฆครามที่นี่ก็ได้!”


“แต่เสียดายความหวังริบหรี่เกินไปแล้ว มีเพียงหนึ่งในหมื่น ศุภโชคที่แท้จริงไม่ใช่พึ่งดวงจึงจะได้มา”


ในที่นั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด


“ถือโอกาสก่อนแท่นมรรคบูชาอริยะมาเยือน ข้ามีบางเรื่องต้องบอกพวกเจ้า”


เจ้าคางคกทอดสายตามองหลินสวินและอาหลู่ สื่อจิตว่า ‘เส้นทางที่พวกเราเลือกนี้ จะไปถึง ‘แดนเผาเซียน’ ในสามพันแดน’


‘ขอเพียงเข้าไปได้ ผู้ฝึกปราณทุกคนจะถูกแยกออกจากกัน แล้วส่งเข้าไปในบริเวณต่างๆ ของแดนเผาเซียน’


‘เพรากฎระเบียบฟ้าดินภายในนั้นไม่เหมือนกัน วิธีการสื่อสารที่ใช้ในโลกภายนอกบางวิธีจะใช้ไม่ได้เลย หากพวกเราสามพี่น้องอยากรวมตัวกัน ก็ต้องไปถึงเมืองโบราณเผาเซียน’


‘เมืองโบราณเผาเซียนหรือ’ หลินสวินเลิกคิ้ว


‘ใช่ ที่นั่นคือใจกลางแดนเผาเซียน มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เมืองพรมแดน’ ในทุกแดนล้วนมีเมืองโบราณทำนองนี้อยู่เมืองหนึ่ง’


พูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกก็เอ่ยเตือนว่า ‘ถึงเวลานั้นพวกเจ้าต้องระวังตัว แม้ในแดนมกุฎมีศุภโชคนับไม่ถ้วนซุกซ่อนอยู่ แต่ก็มีอันตรายมากมายเช่นเดียวกัน!’


หลินสวินกับอาหลู่พยักหน้า


‘แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือต้องไปถึงเมืองโบราณเผาเซียนก่อน ถึงเวลาข้าจะพาพวกเจ้าไปแดนศุภโชคอันยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง…’


เมื่อพูดจบเจ้าคางคกก็น้ำลายไหล เหมือนนึกถึงประสบการณ์ในอดีต


ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณคนอื่นก็ลอบพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอยู่


สำนักโบราณบางแห่งครอบครองความลับที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ ความรู้เรื่องแดนมกุฎไม่ด้อยไปกว่าเจ้าคางคก เวลานี้ก็กล่าวเตือนผู้สืบทอดในสำนักของพวกเขาเช่นกัน


……


เวลาผ่านไป ผู้ฝึกปราณที่อยู่หน้าสถานที่นำทางสามพันแห่งยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศกดดันยิ่งขึ้น


ตูม!


วันนี้เหนือเวิ้งฟ้าสนามรบโบราณ ลำแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายสายหนึ่งทอดลงมาจากฟ้า ตระการตาและผ่องแผ้วหาใดเทียบ งดงามจนทุกคนใจสั่นระรัว


ทุกคนพากันทอดสายตามองไป สั่นสะท้านไปทั้งร่างเพราะตื่นเต้น แท่นมรรคบูชาอริยะที่รอคอยมานาน…


ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!


ลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือการวิวัฒน์ของมรรค ในยุคบรรพกาลก็เคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง วันนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว งดงามและบริสุทธิ์


อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ แม้แต่สัตว์ประหลาดระดับราชันที่อยู่ที่นั่นบางคน รวมถึงอริยะที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด เวลานี้ล้วนหรี่ตาจ้องมองด้วยใจจดจ่อ


นั่นเป็นระเบียบมหามรรคอันสูงสุด เดิมทีไร้รูปร่าง แต่ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นมาเหมือนสามารถหยั่งรู้ กระทั่งอาจจะส่งเสริมมรรคาได้!


ละอองแสงปลิวว่อนกระจ่างใสแวววาวอบอวลไปทั้งฟ้าดิน เวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายของ ‘มรรค’ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง สัมผัสอยู่เงียบๆ


ที่น่าเสียดายก็คือพลังเช่นนี้สูงส่งเกินไป แม้ถูกสัมผัสได้ แต่ยามต้องการหยั่งรู้กลับคลุมเครือดุจบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี


โครม!


ลำแสงเปล่งประกายพุ่งเข้าไปในเมืองนำทาง ฉับพลันทันใดแสงมรรคไร้ที่สิ้นสุดก็ผุดขึ้นมา ย้อมไอศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งฟ้าดิน


แสงมรรคนั้นเคลื่อนไหวไหลเวียนเหมือนธารดารา รุ้งเทพเทลงมาราวน้ำพุ งดงามและปราดเปรียว ประหนึ่งแหล่งกำเนิดแห่งมรรคกำลังอบอวล


ท้ายที่สุดแสงมรรคไร้ที่สิ้นสุดก็รวมตัวเป็นแท่นมรรคเก่าแก่แท่นหนึ่ง


ในขณะเดียวกันประตูใหญ่ของเมืองนำทางที่ถูกผนึกมาไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด ก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบในเวลานี้

 

 

 


ตอนที่ 1132 แดนเผาเซียนอันเหลือเชื่อ

 

แท่นมรรคสูงมาก สูงถึงเก้าสิบเก้าจั้ง ประหนึ่งภูผาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ทั้งแท่นอาบชโลมกลางแสงมรรคศักดิ์สิทธิ์ราวธารดาราปลิวไหวตามลม


มันตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น มีกลิ่นอายผ่านร่องรอยกาลเวลาหลงเหลืออยู่บนนั้น


แต่ยามสังเกตอย่างละเอียดกลับดูธรรมดา เรียบง่ายไม่พิเศษ


ทว่าในความคิดของอริยะ แท่นมรรคนี้กลับแตกต่าง มีรูปลักษณ์คืนสู่ธรรมชาติ ประทับด้วยพลังกฎระเบียบ ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันและหวาดหวั่น


ตูม!


แทบจะในเวลาเดียวกัน สถานที่นำทางสามพันแห่งในดินแดนรกร้างโบราณล้วนเกิดภาพเช่นเดียวกันนี้ แสงศักดิ์สิทธิ์ทอลงมา แปรสภาพเป็นแท่นมรรคปรากฏสู่โลก


ทันใดนั้นใต้หล้าก็อึกทึกครึกโครม


ขนาดอริยะแต่ละฝ่ายยังดวงตาลุกวาว ที่น่าเสียดายก็คือศุภโชคสูงสุดคราวนี้ไม่มีวาสนากับพวกเขา


แท่นมรรคบูชาอริยะก็คือจุดเชื่อมต่อสู่แดนมกุฎ ขอเพียงเหยียบย่างบนแท่นมรรคก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่สอดคล้องกัน!


“ไป!”


เสียงร้องดังขึ้น ผู้ฝึกปราณกรูกันไปที่แท่นมรรคบูชาอริยะราวกระแสธารซัดสาด


คนใหญ่คนโตบางคนเมื่อเห็นเช่นนี้ต่างทอดถอนใจไม่ว่างเว้น นี่เป็นมหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อนครั้งหนึ่ง ตระการตาถึงที่สุด แต่ในแดนมกุฎแห่งนั้นต้องเกิดการช่วงชิงความเป็นหนึ่งของหมื่นผู้กล้าที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์แน่!


ใครจะเหยียบย่ำคนรุ่นเดียวกัน ผงาดขึ้นอย่างโดดเด่น


และจะมีผู้โชคดีคนไหนที่บรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชันได้สำเร็จ


ทั้งหมดนี้จะเผยคำตอบภายในแดนมกุฎแห่งนั้น!


……


“บุกเข้าไป!”


ที่สนามรบโบราณ ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนพุ่งไปที่แท่นมรรคโบราณอย่างรีบเร่งกลัวรั้งท้ายเหมือนคลุ้มคลั่ง


ขนาดพวกบุคคลขอบเขตมกุฎและสัตว์ประหลาดอัจฉริยะยังไม่อาจสงบใจได้ เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล


“ไสหัวไป! ใครกล้าขวางทาง”


ด้านเผ่าอีกาทอง เหล่าผู้แข็งแกร่งพุ่งไปข้างหน้า แสงไฟสีทองเจิดจรัสไหลหลั่งออกมาจากร่างกายเปิดแหวกเส้นทาง


อูหลิงเฟยตามมาอย่างสบายๆ เหยียบย่างลงบนแท่นมรรคบูชาอริยะ


โครม!


ส่วนเขาวิญญาณหมื่นอสูร เหล่าเผ่าพันธุ์บรรพกาลต่างๆ พุ่งกวาด กระแทกผู้ฝึกปราณที่ขวางทางออกไป และกระโจนไปยังแท่นมรรคบูชาอริยะในคราเดียว


การกระทำนี้แข็งกร้าวอหังการนัก แต่กลับไม่มีใครถือสา เพราะที่นั่นเกิดเรื่องทำนองนี้ไปทั่ว


เพื่อเข้าไปในแดนมกุฎได้ก่อน ผู้สืบทอดของขุมอำนาจเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ขอเพียงกล้าขวางหน้าก็จะถูกพวกเขากระแทกกระเด็นออกไป!


“พวกเราก็เคลื่อนไหวเถอะ”


หลินสวินพูดพลางพาเจ้าคางคกกับอาหลู่เดินหน้าเข้าไป เบียดเสียดกับกลุ่มคนมหาศาลราวกระแสน้ำด้วยกัน


ฮูม


แสงมรรคไหวเคลื่อนอย่างต่อเนื่องที่แท่นมรรคบูชาอริยะ ผู้ฝึกปราณที่เหยียบอย่างบนนั้นหายไปในชั่วพริบตาประหนึ่งเคลื่อนย้ายกลางอากาศ


“อ๊าก…!”


เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น กลับเห็นว่าที่แท้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่งถูกซัดกระเด็น เลือดไหลกบปาก แทบจะถูกสังหารคาที่!


คนผู้นี้เดิมทีเรียกสมบัติลับออกมา กดข่มพลังปราณของตนลงไปที่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่ทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์ ไม่เพียงสมบัติลับถูกทำลาย ขนาดตัวเขายังแทบสิ้นชีพ


เดิมสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันบางคนก็หมายมาดเช่นกัน แต่เมื่อเห็นภาพนี้จิตใจก็หนาวเหน็บทันใด ไม่กล้าเข้ามาอีก


ทว่ายังมีคนไม่เชื่อ!


โครม!


ฟ้าดินสะเทือนเลื่อนลั่น อริยะเผ่าอีกาทองผู้หนึ่งลงมือแล้ว ตัวเขามีแสงเทพสีทองเปล่งประกายพลุ่งพล่านราวมายา พุ่งลงมาจากเวิ้งฟ้า หมายจะเข้าไปในแท่นมรรค


เห็นได้ชัดว่าแม้แต่อริยะก็ไม่อาจต้านทานความยั่วยวนของแดนมกุฎได้ ไม่เสียดายที่จะลองเสี่ยงอันตรายสักครั้งเพื่อเข้าไปในนั้น


เพียงแต่ผลลัพธ์กลับชวนหวาดผวา ชั่วพริบตาเท่านั้นอริยะผู้นี้ก็ถูกพลังกฎระเบียบสายแล้วสายเล่าโจมตีทะลวงร่าง โชกเลือดไปทั้งตัว ส่งเสียงคำรามเจ็บปวด หนีหัวซุกหัวซุน


ผู้แข็งแกร่งที่เห็นภาพนี้ล้วนศีรษะชาหนึบอย่างอดไม่ได้ ตื่นตระหนกจนร่างสั่นเทิ้ม


นั่นเป็นถึงอริยะผู้หนึ่ง!


แต่ต่อหน้าพลังของแท่นมรรคบูชาอริยะ กลับดูอ่อนแอไม่อาจรับการโจมตีได้ ชั่วพริบตาก็ถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส น่ากลัวถึงที่สุด


ถึงตอนนี้ขนาดอริยะยังล้มเลิกความคิดที่จะลองดู ด้วยรับรู้ได้ว่ามหาศุภโชคที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกตนแตะต้องได้แล้ว


สถานการณ์โกลาหลนัก ผู้ฝึกปราณในที่นั้นมีจำนวนมากมาย ล้วนกรูกันเข้าไปทำให้บริเวณใกล้เคียงแท่นมรรคบูชาอริยะดูแน่นขนัดจนรับไม่ไหว


พวกหลินสวินกลับไม่พบอุปสรรคมากนัก อาหลู่แผ้วทางอยู่ข้างหน้าดุจเทพเถื่อนองค์หนึ่ง เพียงแค่กลิ่นอายดุร้ายเช่นนั้นก็บีบให้ผู้ฝึกปราณตามทางพากันถอยหนี


ไม่นานนักอาหลู่ก็พุ่งขึ้นไปก่อน แล้วเจ้าคางคกก็ตามติดหายไปด้วยกัน


แต่ในชั่วพริบตาที่หลินสวินเพิ่งมาถึงแท่นมรรคบูชาอริยะ การเปลี่ยนแปลงประหลาดก็เกิดขึ้นกะทันหัน…


ฉึก!


หนามแหลมบางราวขนวัวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น แทงเข้ามาทางหว่างคิ้วหลินสวิน


หนามแหลมนี้เหมือนไร้รูป บางเฉียบยิ่งนัก ทั้งรวดเร็วอัศจรรย์หาใดเทียบ ยากจะจับได้อย่างยิ่ง หนำซ้ำยังเกิดขึ้นในที่ที่โกลาหลที่สุด ทำให้ผู้อื่นแทบไม่ได้สังเกต


ดวงตาดำของหลินสวินพลันหดรัด อยากจะหลบก็ไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงสำแดงนัยเร้นลับของผนึกป้าเซี่ยเพื่อยับยั้งการโจมตีนี้


เพียงแค่ยับยั้งได้ชั่วพริบตาก็พอแล้ว!


แต่ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจก็คือ ผนึกป้าเซี่ยที่สามารถกักขังผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง ตอนนี้กลับเหมือนใช้ไปเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เขาจึงถูกหนามแหลมเส้นนี้แทงเข้าไปในหว่างคิ้ว


ทว่าหลินสวินกลับไม่กระวนกระวาย


เพราะเขาสังเกตได้แล้วว่านี่เป็นการจู่โจมจิตวิญญาณ


‘ฆ่า!’


ในห้วงนิมิตเสี่ยวอิ๋นที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้น ฟันเจตกระบี่ไร้รูปสายหนึ่งออกไปดังสวบ


หนามแหลมเส้นนั้นแท้จริงเป็นเข็มเงินสีเทาอ่อนที่เรียวเล็กราวเส้นขนเล่มหนึ่ง เป็นสมบัติลับจิตวิญญาณที่อัศจรรย์และร้ายกาจถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง หายากยิ่งนัก


หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เพียงการโจมตีนี้ก็สามารถทำลายพลังจิตของเขาได้อย่างง่ายดาย


แต่ตอนนี้ด้วยการโจมตีของเสี่ยวอิ๋น เข็มเงินสีเทาอ่อนก็แหลกเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ เสียงดังปึง


เสี่ยวอิ๋นยื่นมือไปคว้าเศษเล็กๆ เหล่านี้ไว้ในมือแล้วเอาเข้าปากเคี้ยว จากนั้นก็คายออกมาทันที สีหน้าประหลาด ‘ไม่อร่อยเลย!’


“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”


ในขณะเดียวกันเสียงร้องตกใจหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลๆ ชั่วพริบตาก็ถูกหลินสวินจับจ้อง


คนผู้นั้นใบหน้างามงด หน้าผากเกลี้ยงเกลา สีหน้าดุดัน เป็นหลิงหวาสัตว์ประหลาดยุคโบราณแห่งสำนักยุทธ์นครนิล


ตอนนี้นางแสดงสีหน้าตระหนก ทำใจเชื่อได้ยาก


เข็มเงินสีเทาอ่อนเล่มนั้นเป็นถึงสมบัติลับจิตวิญญาณชิ้นหนึ่ง มูลค่าเหลือคณา พลังพิฆาตน่าตกใจ หากไม่ใช่เพื่อเอาคืนหลินสวินนางก็เสียดายที่จะเอามาใช้


ทว่าตอนนี้สมบัตินี้ถูกทำลายไม่ว่า แต่หลินสวินไม่บาดเจ็บเลยสักนิด!


ชิ้ง!


และตอนนี้หลินสวินก็ลงมืออย่างไม่ลังเล ดาบหักโฉบออกไปฟันหลิงหวาทันที


ผู้หญิงคนนี้ใจคออำมหิตยิ่งนัก ยังไม่ทันเข้าไปในแดนมกุฎก็เลือกซุ่มโจมตีที่นี่เสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการเล่นงานตนทีเผลอ ถือโอกาสนี้จะเอาชีวิตเขา!


ดังนั้นการโจมตีนี้หลินสวินจึงไม่ออมมือแต่อย่างใด


หลิงหวาส่งเสียงหวีดร้อง เห็นได้ชัดว่ารับรู้ได้ถึงภัยคุกคาม รีบชิงหลบหนีเข้าไปในแท่นมรรคบูชาอริยะ


ผู้ฝึกปราณบริเวณนั้นมีมากเกินไป หากการโจมตีนี้พลาดย่อมทำให้หลายคนบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ หลินสวินทำได้เพียงเก็บดาบหักมา ทว่าสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมถึงที่สุดไปแล้ว


“พวกผู้หญิงน่าเกลียด อย่าให้ข้าจับเจ้าได้ก็แล้วกัน!” เขาเอ่ยปากอย่างเย็นชา


หลิงหวาหันหน้ากลับมา สีหน้าอึมครึมเจือความไม่ยินยอมเช่นกัน กัดฟันยิ้มหยันแล้วพูดว่า “ข้าจะรอเจ้า”


เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ตัวนางก็หายลับถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว


สวบ!


หลินสวินไม่ร่ำไรอีก พุ่งเข้าไปในแท่นมรรคบูชาอริยะเช่นกัน


ฉับพลันทันใดเขาเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว สูญเสียการรับรู้ทั้งหมดไป


หนึ่งวันผ่านไป


แท่นมรรคบูชาอริยะในสถานที่นำทางสามพันแท่นตกอยู่ในความเงียบสงัด หลงเหลือแต่ร่องรอยโบราณ ไม่มีแสงมรรคหลั่งไหลออกมาแล้ว


“การนำทางสิ้นสุดลงแล้ว”


มีคนใหญ่คนโตพูดเสียงเบา


“สิบปีต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับศุภโชคของพวกเขาแต่ละคนแล้ว”


มีอริยะถอนหายใจ


ผู้ฝึกปราณที่รีบร้อนมาถึงบางคนเห็นเช่นนี้ก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด บ้างตีอกชกหัว บ้างร้องเสียงดังไม่ยินยอม บ้างจะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตา


ที่ร้ายยิ่งกว่ายังมีคนร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาคล้ายสะเทือนใจจนรับไม่ไหว


พลาดไปก้าวเดียวกลับเสียโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎ สิ่งนี้น่าสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างจะหมดอาลัยตายอยากรอมร่อ


หนทางแห่งการฝึกปราณเดิมทีก็เป็นเช่นนี้


ดูเหมือนที่พลาดไปก็คือโอกาสเข้าไปในแดนมกุฎครั้งหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่พลาดไปก็คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงดวงชะตาและมรรคคาได้ครั้งหนึ่ง!


……


เทือกเขาสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้โบราณเรียงรายไม่ราบเรียบ


ไอวิญญาณฉ่ำชื้นอวลในห้วงอากาศ ทิวทัศน์เก่าแก่ราวยุคดึกดำบรรพ์


ที่มหัศจรรย์ก็คือไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาหรือต้นหญ้าล้วนมีสีแดงเพลิง เจิดจรัสดุจแสงเพลิง ทั้งเหมือนแสงโลหิตที่กำลังลุกโชน


ขนาดดินโคลนบนพื้นดินยังมีสีแดงชาดสดใสดั่งโลหิต


มองไปรอบทิศหมู่เขาราวอัคคี ฟ้าดินสีแดงชาด ประหนึ่งอยู่ในโลกที่กำลังลุกโชนแผดเผาแห่งหนึ่ง


สวบ!


กลางป่าเขา เงาร่างหนึ่งกำลังก้าวเดิน เรือนกายสูงโปร่งอาภรณ์สีขาวพระจันทร์โบกสะบัด ผมสีดำทั้งศีรษะปลิวไปตามลม


เป็นหลินสวินนั่นเอง


“พลังมหามรรคกลางฟ้าดินแจ่มชัดและมหาศาล หากหยั่งรู้มหามรรคจะเร็วขึ้นกว่าที่โลกภายนอกมากกว่าสามเท่า!”


“ไอวิญญาณก็เข้มข้นกว่าโลกภายนอกนัก ขนาดน้ำค้างบนใบหญ้ายังเก็บกักพลังวิญญาณเข้มข้นไว้ เรียกว่า ‘น้ำค้างวิญญาณ’ ได้แล้ว! หากฝึกปราณ ไม่ต้องอาศัยแกนวิญญาณก็สามารถทำให้พลังปราณเกิดความเปลี่ยนแปลงทันทีได้”


“กลางภูผาธาราล้วนเต็มไปด้วยไอวิญญาณ มีวัตถุดิบวิญญาณและโอสถสมบัติที่ไม่เคยพบเห็นในโลกภายนอกบางอย่างเติบโตอยู่… อุดมสมบูรณ์เกินไปแล้ว ช่างเป็นขุมทรัพย์ที่ถือกำเนิดขึ้นในธรรมชาติแห่งหนึ่งจริงๆ!”


หลินสวินสังเกตโดยละเอียด


การสำแดงนัยน์ตาเฉาเฟิงทำให้เขาสามารถมองทะลุความลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ผืนดินและบนฟ้า รวมถึงภูผาและแหล่งน้ำต่างๆ ได้ชัดเจน


หลังจากถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่หลินสวินไม่ได้ลุกลี้ลุกลนและไม่ได้ร่ำไร เริ่มเคลื่อนไหวทันที สันนิษฐานและเปรียบเทียบผ่านการรับรู้ทุกอย่างที่เห็นด้วยพลังทั้งหมด


ในที่สุดขนาดเขายังต้องยอมรับว่าแดนมกุฎมหัศจรรย์เหนือธรรมดามากจริงๆ ประหนึ่งแดนพิสุทธิ์ไอวิญญาณแห่งหนึ่ง ดุจเทวภูมิในตำนาน


พลังมหามรรคในโลกนี้ไอวิญญาณกับพลังชีวิตที่แฝงอยู่ในสรรพสิ่งในภูผาธารานี้ โลกภายนอกต่างไม่อาจเทียบได้


พูดได้อย่างไม่เกินเลยว่าหาสถานที่ลวกๆ สักแห่งฝึกปราณที่นี่ ล้วนได้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับฝึกปราณในถ้ำสวรรค์แดนมงคลของโลกภายนอก!


นี่ยังเป็นสิ่งที่หลินสวินเห็นในช่วงแรกเท่านั้น หากสำรวจต่อไปต้องค้นพบของดีที่คาดไม่ถึงแน่ๆ


หืม?


ทันใดนั้นยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน


บนหน้าผาด้านหนึ่งของยอดเขานั้นมีน้ำตกสายหนึ่งเทลงมา ส่งเสียงน้ำสาดกระเซ็นโครมคราม


เหนือหน้าผาที่อยู่ภายในน้ำตกสายนั้น แสงมายางดงามวงหนึ่งกำลังไหววูบ ดูคลุมเครือเพราะถูกน้ำตกบดบัง


และด้วยการจับจ้องของนัยน์ตาเฉาเฟิงของหลินสวิน แสงมายาวงนั้นก็ไม่อาจซ่อนงำได้เลย สะท้อนชัดแจ้งอยู่ในสายตา


มีดอกไม้วิญญาณเพลิงแดงส่ายไหวอยู่ในรอยแยกของหินผาดอกหนึ่ง กลีบดอกไม้งดงามน่าดึงดูด มีสีแดงสด ประหนึ่งจันทร์เพ็ญสีโลหิตกำลังลุกโชนดวงหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1133 ดอกสยบวิญญาณ

 

โอสถราชันต้นหนึ่ง!


ปราดเดียวหลินสวินก็ตัดสินได้


อีกทั้งที่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีก็คือโอสถราชันต้นนี้มหัศจรรย์กว่าโอสถวิญญาณที่เขาเคยเห็นในโลกภายนอกอยู่บ้าง ยามก้านดอกไม้ไหวเอน มีแสงพิสุทธิ์สีชาดสายแล้วสายเล่าโชยมา เหมือนน้ำตกน้อยเป็นสายๆ พ่นออกมาจากเกสรดอกไม้


เงาร่างหลินสวินพริบไหวขยับเข้าไปใกล้


น้ำตกเทลงมาจากหน้าผาราวมังกรขาว บนหินผามีต้นสนโบราณต้นหนึ่ง มีสีแดงชาดเก่าแก่ ประหนึ่งฉิวหลงขดตัวอยู่ที่นั่น


โอสถราชันสีแดงสดราวจันทร์เพ็ญต้นนั้นหยั่งรากลงไปในรอยแยกของหินด้านหนึ่ง ดูดไอวิญญาณจากฟ้าดิน กลิ่นหอมสดชื่นกำจาย


หลินสวินร้องด้วยความชื่นชมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่นี่ไอวิญญาณเข้มข้นเกินไปแล้ว ดุจดั่งหมอกหนาแน่น หายใจเข้าไปหน่อยทั้งร่างก็สดชื่นเหมือนอาบน้ำพุกระจ่างใส จิตใจปลอดโปร่ง


เขาเข้าไปใกล้ เพียงแต่ร่างกายกลับพุ่งเข้าไปยังต้นสนโบราณสีชาดที่ไม่ไกลจากโอสถราชันต้นนั้นมากนัก


เปรี๊ยะ!


เสียงหักดังลั่นดังขึ้นมา ต้นสนสีชาดต้นนั้นกลับส่งเสียงโหยหวนเจ็บปวด จากนั้นก็กลายร่างเป็นชายชุดดำผู้หนึ่งอย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มผิวดำคล้ำ หน้าผากประทับรอยสัญลักษณ์ ร่างกายสูงใหญ่บึกบึน เป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจาก ‘เผ่าไพรปฐพี’ คนหนึ่ง


“ไอวิญญาณบริเวณหน้าผาแห่งนี้ล้วนถูกโอสถวิญญาณต้นนี้ดูดซับ ไม่อาจหลอมรวมเข้าไปในต้นไม้ต้นอื่น สหายยุทธ์ วิชาบังตาของเจ้านี่แย่ไปแล้ว”


หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ


โครม!


ชายหนุ่มกลับไม่พูดแต่ลงมือทันที กระบี่วิญญาณลายสนสีเขียวเจิดจ้าเล่มหนึ่งพุ่งออกจากมือไปฟันหลินสวิน


เมื่อยกกระบี่ขึ้นเจตกระบี่น่าหวาดหวั่นราวทะเลคลั่งบดทำลายกดข่มลงมา น่าหวาดหวั่นถึงที่สุด


เพียงแต่หลินสวินไม่แม้แต่มอง ยื่นมือออกไปดีดนิ้ว เจตกระบี่ระเบิดแหลกดังปึง กระบี่วิญญาณลายสนโหยหวน กระดอนออกไปเหมือนงูตาย


ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นเหมือนถูกสายฟ้าฟาด กระอักเลือดทั้งทางปากและจมูก


เขากำลังจะหลบหนีก็ถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือกดไว้ กักอยู่ที่เดิมแล้วพูดว่า “ถ้าข้าอยากฆ่าเจ้า เจ้าก็คงสิ้นชีพแต่แรกแล้ว”


ชายหนุ่มสีหน้าเหยเกพูดว่า “เจ้าอยากรู้อะไร”


นี่สิคนฉลาด!


หลินสวินก็ไม่ปิดบังเอ่ยว่า “เห็นได้ชัดว่าเจ้ามาถึงก่อนแล้ว ทำไมถึงไม่เก็บสมุนไพรแล้วจากไป แต่ยังรออยู่ที่นี่เล่า”


“ถ้าข้าบอกแล้วเจ้าจะปล่อยข้าไปไหม” ชายหนุ่มถาม


หลินสวินพยักหน้า


“เจ้าดูนี่”


ชายหนุ่มชี้ไปยังส่วนรากของโอสถราชันที่อยู่ระหว่างซอกหินนั้น


ตรงนั้นมีแสงสีชาดเปล่งประกายสะดุดตาถึงที่สุด แต่เมื่อพินิจดูก็พบว่ามีหนอนโปร่งแสงเหมือนเม็ดทรายตัวแล้วตัวเล่าปีนอยู่บนรากของโอสถราชัน กำลังกลืนกินไอพิสุทธิ์ที่โอสถวิญญาณพ่นออกมา


ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง หนอนเหล่านี้มีประมาณสิบกว่าตัว เล็กละเอียดหาใดเทียบ ทั้งถูกลำแสงปกคลุม หากจิตใจของผู้ฝึกปราณถูกโอสถราชันดึงดูด ก็จะละเลยหนอนเหล่านี้ได้ง่ายดายยิ่ง!


“ก่อนที่ข้ามาก็มีคนพบโอสถราชันต้นนี้แล้ว แต่เมื่อลงมือจะเด็ดไปกลับดิ้นรนรุนแรงอย่างไร้เหตุผลขึ้นมา ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าหดหู่ แค่ชั่วไม่กี่อึดใจเท่านั้นร่างของเจ้าหมอนั่นก็ถูกกลืนกินจนสิ้น ขนาดเศษกระดูกยังไม่เหลือ”


ยามชายหนุ่มพูดจา สีหน้าก็เจือไปด้วยความหวาดหวั่นและหนักอึ้ง


นี่เป็นสาเหตุที่เขายังไม่ลงมือสักที


เพียงแต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เมื่อได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้วหลินสวินกลับมีสีหน้าปกติไม่เปลี่ยนแปลง


หลินสวินเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปได้แล้ว”


ชายหนุ่มยิ่งประหลาดใจ อึ้งงัน “เจ้า… ไม่กลัวว่าข้าจะมาแก้แค้นเจ้าทีหลังหรือ”


“ถ้าวันๆ ข้าเอาแต่ห่วงว่าจะถูกแก้แค้น จะยังฝึกปราณอะไรได้” หลินสวินเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง


ชายหนุ่มกุมมือคารวะ “ขอบคุณมาก!”


เขาหันกายจากไป


เดินมาได้ครึ่งทางเขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกชอบกล นิ่วหน้าครุ่นคิดครู่ใหญ่ถึงตบหน้าผากในทันใด หน้าพลันเปลี่ยนสี มิน่าถึงว่าหน้าคุ้นๆ ที่แท้ก็เทพมารหลิน!


เมื่อนึกออกเหงื่อกาฬก็ไหลท่วมกาย รีบร้อนหนีไป


เบื้องหน้าหินผา หลินสวินพินิจพิเคราะห์โอสถราชันต้นนี้ ไม่ได้เด็ดไปแต่เอ่ยว่า “ทุกท่าน พวกเจ้าไม่คิดจะจากไปหรือ”


โดยรอบเงียบเชียบไม่มีใครตอบกลับ เหมือนเขาพูดกับตัวเอง


โครม!


หลินสวินกดมือลงไปอากาศ เบื้องล่างน้ำพุห้วงอากาศพลันทรุดตัว หินผามหึมาทั้งก้อนระเบิดแหลก จากนั้นเงาร่างหลายร่างต่างหนีออกมา


“เทพมารหลิน โอสถวิญญาณต้นนี้ถูกพวกเราจองไว้ก่อนนะ!”


คนเหล่านี้คือสามบุรุษหนึ่งสตรี เห็นได้ชัดว่ามาจากขุมอำนาจเดียวกัน ชายหนุ่มชุดขาวหนึ่งในนั้นสีหน้าอึมครึม มองหลินสวินอย่างโกรธเคือง


“ไร้สาระ ทำไมเจ้าไม่พูดว่าแดนเผาเซียนแห่งนี้ก็ถูกพวกเจ้าจองไว้แล้วล่ะ” หลินสวินพูดอย่างเย็นชา


“เทพมารหลิน เมื่อเข้ามาในแดนเผาเซียนเจ้าก็จะหัวเดียวกระเทียมลีบ หญิงลึกลับที่อยู่เบื้องหลังเจ้าผู้นั้นก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ฟังข้าเตือนสักครั้ง อ่อนน้อมถ่อมตัวหน่อยจะดีกว่า หาไม่แล้วแดนมกุฎแห่งนี้ก็จะกลายเป็นที่ฝังกระดูกเจ้า”


ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดอย่างโอหัง


“ใช่แล้ว เจ้ายังนึกว่าที่นี่เป็นโลกภายนอกหรือ ที่สามารถช่วงชิงศุภโชคได้มีเพียงผู้สืบทอดจากสำนักโบราณต่างๆ อย่างพวกเราเท่านั้น!”


“จะบอกเจ้าให้ว่าศิษย์พี่เสิ่นหนานเทียนแห่งหอเทพคืนกำเนิดของพวกข้า อีกเดี๋ยวก็มาแล้ว!”


ผู้สืบทอดที่มาจากหอเทพคืนกำเนิดเหล่านี้หวาดกลัวหลินสวินมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่าทีกลับอวดดีดังเดิม วาจาเผยการข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง


โดยเฉพาะยามยกชื่อ ‘เสิ่นหนานเทียน’ พวกเขาต่างแสดงสีหน้าหยิ่งผยอง


“เสิ่นหนานเทียนหรือ ไม่เคยได้ยิน”


หลินสวินน้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ถ้ายังไม่จากไปอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี!”


“เจ้า…”


คนเหล่านี้สีหน้าแปรเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทันที ขุ่นเคืองจนทนไม่ได้


“ได้ยินว่าพลังต่อสู้ของเจ้าเทพมารหลินเกินธรรมดามานานแล้ว วันนี้ข้าอยากจะดูเสียหน่อยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งอย่างในข่าวลือหรือไม่!”


ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นก็สูดหายใจลึก ดวงตาเจือจิตสังหาร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้ โอสถราชันต้นนั้นมหัศจรรย์ถึงที่สุด ถือได้ว่าเป็นวาสนาน้อยๆ ชิ้นหนึ่ง


ตุ้บ!


เพียงแต่เขาเพิ่งลุกขึ้นมาก็ถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือซัดกระเด็นออกไปกลางอากาศ ล้มลงไปบนพื้นที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง กระอักเลือดไม่หยุด


ผู้อื่นงุนงง คิดไม่ถึงเลยว่าพวกพ้องจะอ่อนแอได้ปานนี้ เพียงโจมตีลวกๆ ก็ถูกซัดกระเด็นแล้ว ขนาดพลังตั้งรับยังไม่มี


“ไสหัวไป!”


ความอดทนของหลินสวินหมดลงแล้ว จึงยื่นคำขาด


“เจ้ารอก่อนเถอะ! ผู้ที่มีเรื่องกับพวกเราหอเทพคืนกำเนิดจบไม่สวยสักราย!”


ในที่สุดคนเหล่านี้ก็จากไปอย่างตกต่ำ ก่อนจากยังไม่ลืมทิ้งคำพูดร้ายกาจ


“สวะไม่เอาไหนฝูงหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคัดออก”


หลินสวินยิ้มหยันคร้านจะไปถือสา เขาทอดสายตามองโอสถราชันอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถอนใจอย่างอดไม่ได้ พึมพำว่า “ก็ไม่รู้ว่าข้าโชคดีหรือเจ้าตัวน้อยนั่นโชคดีเกินไป…”


จากนั้นเสี่ยวอิ๋นก็ปรากฏตัวกลางอากาศ สองมือกอดอก ใบหน้าน้อยที่หล่อเหลาหาใดเทียบเจือความเย็นชาเย่อหยิ่ง “นายท่าน พบกับเรื่องยุ่งยากที่สะสางไม่ได้อีกแล้วหรือ ข้าเคยพูดไว้นานแล้วว่าจะไม่แลกหมัดกับพวกสวะชั้นต่ำเด็ดขาด”


หลินสวินมุมปากกระตุก เจ้าหนูนี่ยังหยิ่งทระนงเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ นะ!


เขายื่นนิ้วชี้ไปที่โอสถราชันต้นนั้น “ถ้าเจ้าไม่ชอบงั้นข้าจะเก็บไปแล้วนะ”


ตอนแรกเสี่ยวอิ๋นอึ้งไป จากนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย ส่งเสียงร้องยินดีในทันใด ไม่มีท่าทีแข็งกระด้างเย่อหยิ่งอีก กลับเหมือนเด็กคนหนึ่ง


เขาอ้าปากสูดเข้าไปทันที


ทันใดนั้นหนอนน้อยโปร่งแสงสิบกว่าตัวที่คลานอยู่บนรากโอสถราชันก็สั่นเทาไปทั้งตัว จากนั้นจึงถูกม้วนตลบขึ้นแล้วถูกเสี่ยวอิ๋นกลืนหมดในคำเดียว


เสี่ยวอิ๋นเผยรอยยิ้มเคลิบเคลิ้มมีความสุข


หลินสวินอดไม่ได้เอ่ยว่า “พวกนี้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเจ้า เจ้า… กินหมดอย่างนี้เลยหรือ”


ถูกต้อง หนอนน้อยที่คลานอยู่บนรากโอสถราชันเหล่านี้ล้วนเป็นหนอนกินเทพ!


ในโลกภายนอก นอกจากเสี่ยวอิ๋นก็แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับปรากฏในแดนมกุฎแห่งนี้


เมื่อหลินสวินเห็นเป็นครั้งแรกก็ออกจะตื่นตระหนกและประหลาดใจ ต้องยอมรับว่าแดนมกุฎแห่งนี้ช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้วจริงๆ


“ไม่ ข้าเป็นเผ่าราชัน พวกมันยังไม่มีสติปัญญา ทำได้เพียงตกเป็นอาหารช่วยส่งเสริมให้ข้าแปรสภาพและมีวิวัฒนาการ หากข้าไม่มีสติปัญญาก็ต้องตกเป็นอาหาร นี่เป็นธรรมชาติที่เผ่าหนอนกินเทพของข้ากำหนดไว้ขอรับ”


เสี่ยวอิ๋นส่ายหน้าแจกแจงรอบหนึ่ง


ตอนนี้หลินสวินถึงเข้าใจ


“นี่คือ…”


เมื่อเสี่ยวอิ๋นมองไปยังโอสถราชันต้นนั้น ครู่เดียวก็ตาเบิกกว้างเหมือนไม่อยากเชื่อ “ดอกสยบวิญญาณหรือ”


สวบ!


เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลงเสี่ยวอิ๋นก็พุ่งเข้าไป ไม่ได้กลืนกิน แต่กลับถอนรากของดอกไม้ดอกนี้ เก็บมาอย่างระมัดระวัง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความปรีดา


หลินสวินกระแอมครั้งหนึ่ง


เสี่ยวอิ๋นอึ้งไป พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันทีว่า “ขอบคุณนายท่านที่มอบศุภโชคใหญ่ชิ้นนี้แก่ข้า มีดอกสยบวิญญาณนี้แล้ว เพียงพอจะทำให้ข้ามั่นใจว่าจะมีโอกาสแปรสภาพเป็นราชันได้สำเร็จมากขึ้นอีกหน่อย! ภายหน้าหากท่านมีเรื่องใดให้ข้ารับใช้ แม้บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่หวั่นขอรับ!”


ตอนนี้หลินสวินถึงพอใจ รู้จักตอบแทนบุญคุณถึงจะถูกต้อง เย่อหยิ่งแข็งกระด้างไปก็ไม่ดี!


ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ดอกสยบวิญญาณดอกหนึ่งเพิ่มโอกาสได้หน่อยเดียวเองหรือ”


หนทางวิวัฒน์ของเสี่ยวอิ๋นไม่เหมือนกับผู้ฝึกปราณ ตอนนี้ยังถือเป็นเพียงหนอนตัวอ่อนที่มีคุณสมบัติแฝงของราชันตัวหนึ่งเท่านั้น


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็แข็งแกร่งถึงที่สุด!


หากเขาแปรสภาพเป็นราชันหนอนได้ จินตนาการได้เลยว่าต่อให้ไปสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป


ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ การจู่โจมของหนอนกินเทพย่อมยากป้องกัน!


เสี่ยวอิ๋นพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “หากนายท่านช่วยข้าเก็บรวมรวมดอกสยบวิญญาณได้มากยิ่งขึ้น เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่ข้าจะแปรสภาพเป็นราชันได้สำเร็จก็จะยิ่งมากขึ้นขอรับ”


หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้านึกว่าโอสถราชันเป็นผักกาดที่เก็บได้ตามใจหรือไง”


สายตาเสี่ยวอิ๋นกวาดไปรอบทิศแล้วกล่าวว่า “นายท่าน ที่นี่อยู่ในแดนมกุฎ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ ในความทรงจำของข้าก็มีรอยประทับที่เกี่ยวข้องกับแดนมกุฎ เสียดายที่ถูกผนึกไว้ มีเพียงเลื่อนขั้นเป็นระดับราชันถึงเปิดผนึกได้”


หลินสวินพลันหน้าเปลี่ยนสี เจ้าคางคกเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ หรือว่า… เสี่ยวอิ๋นก็ด้วย?


เรื่องนี้เป็นไปได้จริงๆ!


อย่างไรเสียตามคำพูดของเซ่าเฮ่าเผ่าราชันเร้นดาราผู้นั้นในตอนนั้น เผ่าหนอนกินเทพเดิมทีควรจะสูญสิ้นไปตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว


แต่เสี่ยวอิ๋นกลับมีชีวิตรอดมาได้ อีกทั้งความทรงจำของเขาก็ถูกผนึก แทบจะเหมือนกับเจ้าคางคก นี่จะต่างอะไรกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณ


ในที่สุดหลินสวินก็ตอบตกลงว่าจะช่วยเสี่ยวอิ๋นหาดอกสยบวิญญาณ เจ้าตัวจ้อยถึงได้กลับเข้าไปในห้วงนิมิต ท่าทีสนิทสนมกว่าแต่ก่อนไม่น้อย แน่นอนว่ายังแก้นิสัยแข็งกระด้างเย็นชาไม่ได้


“ต้องรีบไปเมืองโบราณเผาเซียนแล้ว…”


หลินสวินสูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ตัดสินใจว่าจะเลิกล้มแผนสำรวจศุภโชคชั่วคราว แล้วไปรวมตัวกับเจ้าคางคกและอาหลู่ที่เมืองโบราณเผาเซียน


แม้พูดว่าผู้มีระดับต่ำกว่าราชันสามารถเข้ามาในแดนมกุฎได้หมด แต่ในแดนมกุฎกลับสามารถกลายเป็นราชันได้


ตอนนี้แม้หลินสวินไม่กลัวว่าต้องแข่งขันกับคนรุ่นเดียวกันผู้ใด แต่ทันทีที่มีคนบรรลุระดับราชันได้ก่อน ต่อให้ไม่ใช่ระดับมกุฎราชัน ก็ย่อมนำพาภัยคุกคามใหญ่หลวงมาด้วย!

 

 

 


ตอนที่ 1134 คนนอกรีตอย่างที่สุด

 

ตอนนี้ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่แดนมกุฎมีนับสิบล้านคน


แม้ต่างเป็นผู้ฝึกปราณที่มีระดับต่ำกว่าราชัน แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด เพราะจะมีบุคคลระดับราชันถือกำเนิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!


ทุกคนล้วนรู้ ว่ามีเพียงเหล่าผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่สามารถมุ่งหวังในขอบเขตมกุฎระดับราชัน


แต่ทำไมสำนักเก่าแก่เหล่านั้นถึงส่งผู้สืบทอดออกมามากมายปานนั้น


คาดเดาเหตุผลได้ง่ายนัก ในหมู่ผู้สืบทอดเหล่านี้บางทีอาจไม่มีทางเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชัน แต่คุณสมบัติกลายเป็นราชันก็ยังมีอยู่!


คาดการณ์ได้ว่าผ่านไปไม่เท่าไร เป็นไปได้สูงมากที่จะมี ‘ราชันคนใหม่’ รุ่นเยาว์มากมายถือกำเนิดขึ้น จากนั้นก็จะอาศัยระดับที่เหนือกว่าบดขยี้คู่ต่อสู้!


เวลากระชั้นนัก!


แม้ว่าแดนมกุฎจะปิดฉากในอีกสิบปี แต่ใครก็ไม่อาจชักช้าได้ เพราะทุกเวลาเต็มไปด้วยวิกฤต การแข่งขันก็ย่อมโหดร้ายหาใดเทียบ


ที่หลินสวินเข้าสู่แดนมกุฎก็เพื่อกลายเป็นราชันเช่นกัน


ทว่าที่เขาไล่ตามคือระดับมกุฎราชัน ทั้งมรรคาที่เดินอยู่ก็ไม่เหมือนผู้อื่นในโลก หมายจะเป็นราชันย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายปานนั้น


ระดับสังสารวัฏก็คือระดับราชัน


สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การขึ้นเป็นราชันก็เท่ากับหลุดพ้นระดับใหญ่ทั้งห้า ทำลายพันธนาการแห่งการเกิดดับ มีผลกระทบมากมายเหนืออดีต เกี่ยวโยงถึงความสำเร็จมากน้อยบนมรรคาอมตะในอนาคต


หลินสวินตัดสินใจไว้นานแล้วว่าจะไม่เดินบนเส้นทางของคนในอดีต ต้องการเหยียบย่างลงบนมหามรรคที่เป็นของตนเอง ช่วงชิงความเป็นหนึ่งกับอริยะทั้งในอดีตและปัจจุบัน


อีกทั้งตามที่หญิงลึกลับพูดไว้ ระดับราชันยังกำหนดเส้นทางสู่การกลายเป็นอริยะในภายภาคหน้าด้วย!


หากก้าวนี้ทำได้ไม่ดี ความสำเร็จในภายหน้าก็ย่อมมีจำกัด


ตอนนี้หลินสวินมาถึงแดนเผาเซียนแล้ว เรื่องที่ต้องทำก่อนก็คือไปรวมตัวกับเจ้าคางคกและอาหลู่ จากนั้นถึงเสาะหาศุภโชคเพื่อเตรียมหลอมมรรคกลายเป็นราชัน!


……


สวบ!


ภูผาธารากว้างใหญ่ แดงชาดราวเปลวเพลิง หลินสวินวิเคราะห์ทิศทางแล้วเริ่มเร่งเดินทาง


แดนเผาเซียนเป็นหนึ่งใน ‘สามพันแดน’ ของแดนมกุฎ เปรียบเสมือนโลกใบน้อยขนาดมหึมาไร้ขอบเขตใบหนึ่ง ตลอดทางหลินสวินได้พบผู้ฝึกปราณไม่น้อย ต่างเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อน


เห็นได้ชัดว่ากำลังรีบทำเวลาหาศุภโชคและวาสนาทั้งนั้น


ไกลออกไปมีเสียงประจัญบานดุเดือดแว่วมาระลอกหนึ่ง ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกำลังห้ำหั่นกันจนภูผาธาราหม่นหมองหมอง ฟ้าดินสาดแสงไปทั่ว


พวกเขากำลังชิงบ่อน้ำหินเก่าแก่บ่อหนึ่ง บ่อน้ำหินนั้นมีแสงเพลิงเปล่งประกายพวยพุ่งออกมาเรื่อยๆ แสงเทพไพศาลไหลวน น่าตระหนกถึงที่สุด


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเบื้องล่างของบ่อน้ำหินนั้นต้องมีศุภโชคซุกซ่อนไว้!


หลินสวินเหลือบมองครั้งหนึ่งก็หลบไปไกล เดินหน้าต่อไป


ตลอดทางนี้เขาได้พบการปะทะและห้ำหั่นทำนองนี้หลายครั้ง ที่ช่วงชิงกันย่อมเป็นโอสถวิญญาณ ของล้ำค่า วัตถุดิบเทพ และสมัติมหัศจรรย์บางประการ


สิ่งเหล่านี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นศุภโชค ถือเป็นวาสนาที่บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอในโลกภายนอก


แต่ของเหล่านี้ไม่ได้ดึงดูดหลินสวินมากนัก มรรคาของเขาเดินไปจนสุดทางแล้ว ที่ต้องการก็คือมหาศุภโชคที่ใช้หลอมเพื่อเป็นระดับมกุฎราชันชิ้นหนึ่ง


เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


สวบ!


เมื่อหลินสวินผ่านแม่น้ำที่มีสีแดงเพลิงหาใดเทียบสายหนึ่ง ปลาใหญ่ตัวหนึ่งพลันกระโจนขึ้นมาจากน้ำ อ้าปากจะกัดเขา


ปลาใหญ่ตัวนี้ยาวหลายจั้ง สีแดงเพลิงราวหยกทั้งตัว มีหัวเป็นมังกรหางเป็นปลา มีปีกเปลวเพลิงพิสดารงอกออกมาจากทั้งสองข้าง


ตู้ม!


มันแข็งแกร่งถึงที่สุด ยามกระโจนเข้ามาแสงเพลิงโหมกระพือเผาไหม้ห้วงอากาศ ในปากมหึมาที่อ้าออกฟันแหลมคมราวทวนซี่แล้วซี่เล่ามีประกายแสงโหดเหี้ยมน่ากลัวไหวเคลื่อน


ปึง!


ร่างกายหลินสวินพริบไหว หลบหนีอย่างง่ายดาย


ก็เห็นว่าภูเขาแคระเตี้ยลูกหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ถูกแสงเพลิงที่อยู่บนตัวปลาประหลาดสีแดงเพลิงนี้หลอมละลายจนสิ้นในชั่วพริบตาเสียอย่างนั้น


ในขณะเดียวกันเรือนกายหลินสวินพริบไหวอีกคราพุ่งเข้าโจมตี พลังหมัดยิงพุ่ง ปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลกที่สามารถสั่นคลอนฟ้าดินบังเกิดขึ้น


ปลาประหลาดสีแดงเพลิงไม่หลบไม่หนี สะบัดหางตั้งรับหมัดนี้ของหลินสวิน!


นี่ทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี ควรรู้ว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ต่อยออกไปสักหมัดก็เพียงพอจะสังหารบุคคลระดับยอดมกุฎรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งได้


ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ ก็ไม่กล้าสู้กับหลินสวินซึ่งหน้าง่ายๆ


แต่ตอนนี้ปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนี้กลับตั้งรับไว้ได้!


“น่าสนใจ เข้ามาอีก!”


หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งกระโจนตัดห้วงอากาศ ทั้งร่างเปล่งแสงใสกระจ่าง ประหนึ่งเทพยาตราทัพ สำแดงนัยเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์


ไม่นานปลาประหลาดสีแดงเพลิงก็ตั้งกระบวนท่าไม่อยู่ ถูกพลังหมัดกำราบ เกล็ดปลาบนร่างเริ่มหลุดร่วงอย่างต่อเนื่อง


สวบ!


ฉับพลันนั้นปลาประหลาดสีแดงเพลิงสังเกตได้ว่าไม่สู้ดี เผ่นหนีไปโดยไม่ลังเล พุ่งไปที่แม่น้ำสีแดงเพลิงสายนั้นอย่างรวดเร็วหาใดเทียบ


หลินสวินตามประชิดโจมตี


ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เงาร่างของปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนี้หดเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือในทันใด หลบหนีการสังหารของเขาอย่างตื่นกลัวเข้าไปในน้ำ


ซ่า!


ฟองคลื่นสีแดงเพลิงสาดกระเซ็น เมื่อหันไปดูปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนั้นก็หายลับไปแล้ว


ปล่อยให้ปลาตัวหนึ่งหลุดมือไปได้ทำเอาหลินสวินออกจะเสียหน้า ขณะที่กำลังจะตามไป ความหวาดผวาสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในจิตใจ


เหมือนกับใต้แม่น้ำสีแดงเพลิงนั้นมีสิ่งที่น่าครั่นคร้ามยิ่งบางอย่างซ่อนอยู่!


หลินสวินหยุดเท้าทันที เงาร่างถอยหลัง ส่วนจิตรับรู้แผ่ขยายออกไปสำรวจด้านล่างของแม่น้ำสายนั้น


ชั่วพริบตาภาพการณ์พิสดารหาใดเทียบฉายขึ้นในสมอง


ในที่ที่ลึกลงไปพันจั้งของแม่น้ำ กลับมีประตูสำริดลี้ลับบานหนึ่ง ด้านบนสลักด้วยลายมรรคพร่างพร้อย ประกายแสงแปลกประหลาดไหวเคลื่อนอยู่


ส่วนด้านข้างประตูสำริดก็มีเสาหินเสาหนึ่งตั้งตระหง่าน บนเสาหินมีสายโซ่แดงเพลิงใหญ่หนาเปล่งปลั่งเส้นหนึ่งพันอยู่


ส่วนปลายอีกด้านของสายโซ่ผูกไว้กับรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจตัวหนึ่ง


สัตว์ปีศาจนั้นรูปร่างเหมือนเจียวหลง ร่างหนาใหญ่ราวสันเขาปักหลักอยู่ก้นแม่น้ำ ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ


ทันทีที่จิตรับรู้ของหลินสวินสัมผัสถึงรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจก็พลันหนาวเหน็บในใจ แข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกถึงความกดดันและหวั่นกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก


ฮูม!


แทบจะในขณะเดียวกันรูปปั้นสัตว์ปีศาจนั้นเหมือนมีชีวิตขึ้นมา กลิ่นอายดุร้ายน่าครั่นคร้ามถาโถมแผ่กระจายออกมา ทำให้แม่น้ำสายนี้เดือดคลั่งขึ้นทันตา


ทว่ากลิ่นอายดุร้ายนี้ยังไม่แผ่ขยายออกมาก็ถูกโซ่สีเพลิงที่ผูกอยู่บนรูปปั้นหินนั้นกำราบไว้


สายโซ่เส้นนั้นส่องแสงเปล่งปลั่งเป็นประกาย ปรากฏเป็นสัญลักษณ์ลึกลับ กดข่มความดุร้ายของรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจนี้ไว้มั่น


หลินสวินใจสะท้าน


ใต้แม่น้ำสายหนึ่งกลับมีประตูสำริดบานหนึ่งอยู่ และด้านหนึ่งของประตูมีรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งถูกพันธนาการไว้ด้วยสายโซ่


ภายในประตูสำริดบานนั้นซ่อนอะไรไว้


แล้วรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจนั้นถูกกำราบไว้ที่นี่หรือไม่ กำลังเฝ้าประตูสำริดบานนี้อยู่หรือ


ครุ่นคิดครู่หนึ่งหลินสวินก็ตัดสินใจจากไปอย่างไม่ลังเล


ที่นี่อันตรายและพิสดารเกินไปแล้ว ไม่ใช่ที่ที่เขาในตอนนี้จะสำรวจได้เลย หากบุ่มบ่ามเข้าไป กลับมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันถึงแก่ชีวิต


‘คิดไม่ถึงว่าในแดนมกุฎแห่งนี้ยังมีสถานที่อันตรายเช่นนี้ด้วย บางทีเมื่อข้าเหยียบย่างเข้าสู่ระดับราชัน อาจจะเข้าไปสำรวจสักครั้งได้’


หลินสวินพอจะรู้สึกได้รางๆ ว่าเป็นไปได้สูงที่ภายในประตูสำริดบานนั้นจะซ่อนอะไรไว้!


ปักษาทมิฬตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ กำกระทะใบหนึ่งไว้ในกรงเล็บ เข้ามาข้างหลังหลินสวินอย่างเงียบเชียบ กระทะเล็งเข้าที่ท้ายทอยของหลินสวินอย่างแม่นยำ จากนั้นก็ยกขึ้นโดยพลัน…


แต่ในตอนนี้เองหลินสวินก็หันกายฉับไว


ฟึ่บ!


กระทะที่ยกขึ้นมากลางอากาศถูกเก็บไปไว้ด้านหลังของปักษาทมิฬตัวใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นมันก็แหงนหน้าขึ้น ไอกระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดอย่างเนิบนาบว่า “ฮ่า พ่อหนุ่ม พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”


หลินสวินจะยิ้มก็ไม่ใช่ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ที่แท้ก็เป็นเจ้า ทำไมถึงชอบแบกกระทะไว้เหมือนเมื่อก่อนนะ”


ชอบแบกกระทะ…


ปักษาทมิฬงุนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแหะๆ กวาดสายตามองไปรอบด้านแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่ม ข้ายังมีธุระ ไปก่อนล่ะ”


เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ปีกนกสีดำใหญ่สยายออกแล้วพุ่งเข้าไปในห้วงอากาศ เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อประหนึ่งเคลื่อนย้ายมวลสารฉับไว


“ต้าเฮย อย่าเพิ่งไป!”


แทบจะในเวลาเดียวกันหลินสวินทะยานขึ้นไปบนฟ้า โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งถึงขีดสุด เงื้อมือซัดลูกหมัดกระแทกออกไปครั้งหนึ่ง


ปักษาทมิฬตัวนี้ไม่ธรรมดานัก!


ตอนนั้นในอารามโบราณหักพังที่อยู่ใต้วังน้ำวนแม่น้ำพรมแดน มันมีรูปร่างเหมือนหงส์ทมิฬ สองปีกดำขลับราวราตรีนิรันดร์ แสงธรรมแปลกประหลาดสายแล้วสายเล่าตลบอบอวล


มันเคยถูกมองว่าเป็นครรภ์พุทธะ เก็บตัวเงียบจำศีลอยู่ภายในซุ้มธรรมหลังหนึ่ง ภายหลังถูกมู่เจิ้งหนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ใช้วิชาลับปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้น


ตามที่มู่เจิ้งพูดไว้ ปักษาทมิฬใหญ่ตัวนี้ก็คือ ‘ครรภ์พุทธะ’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนตัวหนึ่ง เป็นไปได้สูงที่จะเป็นสิ่งที่อริยะตู้จี้หลงเหลือไว้!


หลินสวินยังจำได้อย่างแจ่มชัดว่าตอนนั้นปักษาทมิฬใหญ่ถือกระทะ ทุบตีอย่างป่าเถื่อนเรียบง่ายไม่กี่ทีก็ทำให้บุคคลขอบเขตมกุฎแห่งอารามกษิติครรภ์อย่างมู่เจิ้งสลบเหมือด โหดร้ายถึงที่สุด


อีกทั้งเจ้าหมอนี่ยังเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง สับปลับชั่วช้าหาใดเทียบ ชอบลอบโจมตีที่สุด เมื่อกี้หากเขาไม่สังเกตเห็นก่อน ก็เกือบถูกเจ้าหมอนี่ใช้กระทะทุบเข้าที่ท้ายทอยเสียแล้ว!


ตู้ม!


ไกลออกไปปักษาทมิฬตัวใหญ่สะบัดปีก เพลิงธรรมสีดำพิสดารลุกโชนขึ้นมา ทำให้พลังหมัดของหลินสวินที่อยู่กลางอากาศหลอมละลายไปสิ้น


“ข้าปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม ปกติไม่ชอบลงมือ แต่หากเจ้ายังลงมืออีกก็อย่าโทษข้าที่ตบเจ้าก็แล้วกัน!”


ปักษาทมิฬตัวใหญ่น้ำเสียงกะล่อน


“ถ้าเจ้ารั้งอยู่ข้าก็ไม่ลงมือ”


หลินสวินยิ้มพูด


ยามสนทนาทั้งสองต่างไม่ได้หยุดมือ คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่กวด ว่องไวอย่างประหลาดหาใดเทียบ แข่งขันกันเหนือห้วงอากาศ


“ให้ตายสิ ตอนนั้นเจ้าชิงศุภโชคที่ตาแก่ตู้จี้เหลือไว้ให้ไป ข้ายังไม่คิดบัญชีกับเจ้าก็บุญแล้ว เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก”


ปักษาทมิฬพูดอย่างหมดความอดทน


หลินสวินพูดอย่างจริงจังว่า “เพราะแบบนี้ล่ะ ข้าถึงคิดว่าพวกเราต้องคุยกันสักหน่อย ไม่แน่ข้าอาจจะเอาศุภโชคมาคืนเจ้าก็ได้”


ในมือเขายังมีไม้โพธิ์เหี่ยวแห้งท่อนหนึ่ง ในไม้โพธิ์ผนึกพลังสีทองที่น่ากริ่งเกรงสูงส่งถึงที่สุด


จากการสันนิษฐานของหลินสวิน ในอดีตปักษาทมิฬตัวนี้เก็บตัวเงียบเชียบในซุ้มธรรมหยกดำแห่งนั้นโดยตลอด ต้องรู้ความลับที่คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้บางอย่างแน่


“คืนให้ข้าหรือ”


ปักษาทมิฬนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะบ้าคลั่งขึ้นมาทันที “ศุภโชคนี้เกี่ยวโยงกับมรรคต้องห้าม ข้าไม่ต้องการเสียหน่อย เกิดภายหน้าม้วยไปแบบตาแก่ตู้จี้จะทำอย่างไร”


จากนั้นเขาก็เหมือนมีความสุขที่เห็นคนอื่นลำบากอยู่บ้าง พูดว่า “พ่อหนุ่ม ข้าขอเตือนให้เจ้าระวังหน่อยเถอะ สิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์กับ ‘กู่ฝอจื่อ’ ที่เก็บตัวเงียบตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนกระทั่งตอนนี้เพิ่งปรากฏตัวบนโลก ตอนนี้เข้ามาในแดนมกุฎแล้ว ส่วนเจ้าถูกไอ้โล้นพวกนี้มองว่าเป็น ‘คนนอกรีต’ อย่างที่สุด!”


เสียงพูดเงียบลง ปักษาทมิฬทะยานขึ้นฟ้าไปแล้ว รวดเร็วขึ้นอย่างมาก หายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งเคลื่อนย้ายในพริบตา


หลินสวินหยุดเท้า รู้ว่าตามไม่ทันแล้ว


ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์หรือ


คนนอกรีตชั้นเลิศหรือ


หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจไม่ได้กริ่งเกรง เพียงแต่ออกจะกังขาว่าคำพูดของปักษาทมิฬตัวนี้หมายความว่าอย่างไร


เป็นเพราะตนได้ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยะตู้จี้กับหงส์ทมิฬหลงเหลือไว้หลังจากสิ้นชีพ ถึงได้ถูกอารามกษิติครรภ์เพ่งเล็งหรือ


แล้ว ‘กู่ฝอจื่อ’ นั่นเป็นใครอีก

 

 

 


ตอนที่ 1135 อุบายของเผ่าอีกาทอง

 

ครุ่นคิดครู่ใหญ่หลินสวินก็ส่ายหัว สลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วเดินทางต่อไป


ไม่ว่ากู่ฝอจื่ออะไรนั่นเป็นใคร ในแดนมกุฎแห่งนี้ หากกล้าเป็นศัตรูกับตน หลินสวินก็ไม่ถือสาที่จะฆ่าพระฆ่าเจ้า!


แดนเผาเซียนกว้างใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ ทุกที่ล้วนปรากฏทิวทัศน์แดงเพลิง ภูผาธารา ลำน้ำแม่น้ำ ผืนแผ่นดิน ราวลุกโชนเผาไหม้


แม้แต่เวิ้งฟ้ายังมีสีแดงชาดงดงาม


ทว่ากลับไม่ร้อนแผดเผา


ตลอดทางหลินสวินเริ่มพบผู้ฝึกปราณมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างรีบรุดไปในทางเดียวกัน


อีกทั้งด้วยการสนทนากับพวกเขา ทำให้หลินสวินได้รู้ว่าผู้ฝึกปราณเหล่านี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปเมืองโบราณเผาเซียนเช่นเดียวกันกับเขา


เห็นได้ชัดว่าหลังจากเข้าสู่แดนเผาเซียน ไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจเก่าแก่ไหน ต่างถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป


นี่ก็หมายความว่ามีเพียงเข้าสู่เมืองโบราณเผาเซียนเท่านั้น ผู้สืบทอดขุมอำนาจเหล่านั้นถึงรวมตัวกันได้ จากนั้นถึงเริ่มเคลื่อนไหว


แน่นอนว่ามีผู้ฝึกปราณที่ฉายเดี่ยวเช่นกัน หากไม่ใช่พวกเชื่อมั่นในพลังที่แท้จริงของตนอย่างยิ่งยวด ก็เป็นพวกผู้ฝึกปราณอิสระที่พลังปราณอ่อนแอ เข้ามาในแดนมกุฎเพื่อเสี่ยงดวงอย่างแท้จริง


ครืน!


เหนือเวิ้งฟ้าอีกาทองหลายตัวเคลื่อนที่ในอากาศ ปีกสีทองเจิดจ้ากระพือแสงเทพเปลวเพลิงออกมานับหมื่นพัน แผดเผาห้วงอากาศ ราวดวงอาทิตย์หลายดวงเคลื่อนขวาง


“เร็วเข้า เป้าหมายกำลังมุ่งหน้าไปเมืองโบราณเผาเซียน องค์ชายเจ็ดบัญชาลงมาแล้วว่าต้องจับคนผู้นี้ให้ได้!”


“เป็นเทพมารหลินใช่ไหม”


“ไปแล้วเจ้าจะรู้เอง”


อีกาทองหลายตัวนั้นเพิ่งมารวมตัวกันอย่างชัดเจน พูดคุยกันพลางเคลื่อนกายไปในเวิ้งฟ้าไกลลิบ


การพูดคุยไม่มีปิดบัง ดูกำเริบเสิบสานไร้ความหวั่นเกรง และดูออกว่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าอีกาทองมีความมั่นใจนัก ไม่กลัวถูกคนอื่นได้ยิน


ดวงตาดำของหลินสวินวาบแววเย็นเยียบ อีกาทองเหล่านี้คิดจะต่อกรกับใครบางคนอย่างเห็นได้ชัด แต่ในคำพูดของพวกเขากลับพูดถึงตนเสียอย่างนั้น!


‘ไม่ร่วมมือกับพวกเจ้า ก็เลยคิดจะมองข้าเป็นศัตรูหรือ…’


ไอสังหารในใจไหววูบ พอจะตัดสินได้ว่าอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองต้องร่วมมือกับเทพธิดาหลิงหวาผู้นั้น มองตนเป็นศัตรูคู่แค้นแล้วแน่ๆ!


สวบ!


หลินสวินไม่ได้ลังเล พุ่งขึ้นไปอย่างว่องไว รวดเร็วอัศจรรย์ เงาร่างทะยานท่องไปในฟ้าดินกว้างใหญ่ราวชือน้ำแข็งตัวหนึ่ง


……


“แม้ผู้ฝึกปราณที่เข้าไปในแดนเผาเซียนมีหลายสิบล้านคน แต่เกินครึ่งก็เป็นตัวเป้ากระสุนที่ต้านทานการโจมตีไม่ได้!”


“ขุมอำนาจที่สามารถต่อต้านเผ่าอีกาทองของพวกเรา ก็มีเพียงสิบกว่ากลุ่มเท่านั้น”


เหนือห้วงอากาศ ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองผู้หนึ่งเอ่ยปากอย่างหยิ่งผยอง เจือความอวดดี


“ถ้าแบ่งกันชัดๆ ในแดนเผาเซียนแห่งนี้ กำลังของเผ่าอีกาทองของเราเพียงพอจะยึดกุมข้อได้เปรียบโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยก็อยู่ในสามอันดับแรก!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งยิ้มพูดว่า “ที่น่าขันก็คือองค์ชายเจ็ดออกตัวเชื้อเชิญเอง เทพมารหลินนั่นกลับไม่รู้ดีชั่ว ดื้อแพ่งขัดแย้งกับองค์ชายเจ็ด โง่งมอะไรปานนี้”


“เจ้าหมอนี่ไม่ได้โง่ แต่บ้าระห่ำเกินไปต่างหาก ยามอยู่โลกภายนอกเขาก็ขึ้นชื่อเรื่องใจกล้าคับฟ้า นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั้งโลก น่าเสียดาย คราวนี้เขามาก่อเรื่องผิดที่เสียแล้ว ในแดนมกุฎแห่งนี้เทียบกับโลกภายนอกไม่ได้ หากจะฆ่าเขา ใครก็ช่วยเขาไม่ได้!”


คนอื่นก็พากันเออออ “ถูกต้อง คนที่กล้าขัดแย้งกับเผ่าอีกาทองของเรา ยังไม่มีใครตายดีสักคน!”


“เป้าหมายที่องค์ชายเจ็ดต้องการจับเป็นคราวนี้เป็นใคร”


จู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นตอนนี้


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่เป็นหัวหน้ากล่าว “รอถึงเมืองโบราณเผาเซียนก็รู้แล้ว”


ทันใดนั้นเขาก็อึ้งไป พลันรับรู้ได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ผู้ที่เอ่ยถามไม่ได้เป็นพวกพ้องข้างกายตน!


ในขณะเดียวกันนี้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนอื่นๆ ก็ได้สติกลับมา ต่างพากันทอดสายตามองไปไกล


คนหนุ่มเงาร่างสูงโปร่ง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ผู้หนึ่งกลับมาขวางทางกลางอากาศเบื้องหน้าไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน


“เทพมารหลิน!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองเหล่านี้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย


แม้ว่าจะดูถูกดูแคลนหลินสวินถึงที่สุด แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าเทพมารหลินแข็งแกร่งเกินธรรมดา เป็นตัวร้ายที่สามารถกำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้คนหนึ่ง


“เจ้าคิดจะทำอะไร”


มีคนตะคอกเสียงดัง แต่กลับเจือความไหวหวั่นไว้ภายใน


“จะถามอะไรพวกเจ้าหน่อย ถ้าร่วมมือแต่โดยดีก็จะปล่อยพวกเจ้าไป แต่ถ้าไม่ร่วมมือแต่โดยดี… อืม ข้ายังไม่เคยกินเนื้ออีกาทอง ก็ไม่รังเกียจที่จะลองดูสักหน่อย”


หลินสวินพูดพลางย่างเท้าก้าวเข้ามา ดวงตาดำเย็นชา สายตาที่มองพวกเขาเหมือนกำลังประเมินวัตถุดิบอาหารกองหนึ่ง


ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนกลัวจนตัวสั่น ในใจทั้งขุ่นเคืองและหวาดหวั่น ตอนอยู่หน้าเมืองนำทาง พวกเขาเห็นภาพหลินสวินกินอินทรีฟ้ากิเลนเขียวกับตา


“นี่เจ้าจะเป็นศัตรูกับเผ่าอีกาทองโดยสมบูรณ์หรือ ขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำเช่นนี้ดีกว่า หาไม่แล้วหากองค์ชายเจ็ดรู้เข้าต้องไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!”


ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งตะคอกดังลั่น


หลินสวินคร้านจะพูดจาไร้สาระ ลงมือทันควัน รีบจัดการอย่างเด็ดขาด ไม่ต้องการเสียเวลา


ตูม!


พลังหมัดสายแล้วสายเล่ายิงพุ่ง อานุภาพราวมังกรใหญ่ทะยานสู่เก้าชั้นฟ้า บดอัดห้วงอากาศ


ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมและเสียงคำรามก็ดังขึ้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองเหล่านี้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อต้านทาน แต่จะต้านท้านไว้ได้อย่างไร เพียงพริบตาก็มีผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งถูกฆ่าตาย


ปึง!


ร่างกายระเบิดออก ขนนกร่วงโรย ฝนเลือดเทลงกลางอากาศ


ไกลออกไปผู้ฝึกปราณที่ผ่านมาบางคนเห็นเช่นนี้ก็ล้วนตื่นตระหนกยกใหญ่ มีใครกล้าสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองด้วยหรือนี่


แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหลินสวินอย่างชัดเจนต่างแสดงสีหน้าพิกล ที่แท้เป็นเทพมารหลิน! ทีนี้ก็เข้าใจได้ง่ายแล้ว…


“ฆ่า!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองเหล่านั้นตาแทบถลน แต่ละคนเรียกวิชาลับและสมบัติออกมา แสงเทพโชติช่วง แสงไฟดุจทะเลเพลิง เอาชีวิตเข้าแลกกับหลินสวิน


ฟุ่บ!


เงาร่างของหลินสวินหายลับไปจากที่เดิม เขารวดเร็วเกินไปแล้ว โลดแล่นปราดเปรียวไม่หยุดนิ่ง ประหนึ่งชือน้ำแข็งกำลังท่องไปในเมฆหมอก


เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งนิ้วมือของเขาส่องแสง หนึ่งหมัดระเบิดร่างของผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งให้แตกกระจุย


“เศษเดนอย่างเจ้าถึงกับกล้าทำตัวร้ายกาจเช่นนี้ ก็รอถูกฆ่าเถอะ!”


หญิงสาวผู้หนึ่งหวีดร้อง ถูกกระตุ้นจนแทบคลุ้มคลั่ง ชูมือเรียกร่มเปลวเพลิงสีทองเจิดจ้าคันหนึ่งออกมา เปล่งแสงสะดุดตากำราบหลินสวิน


ร่มเพลิงทะยานทอง สิ่งนี้เป็นสมบัติอันมีเอกลักษณ์ที่เผ่าอีกาทองหลอมขึ้นชิ้นหนึ่ง หน้าร่มกางออกราวม่านฟ้าปิดลงมา เปลวเพลิงไหลอยู่ในนั้นประหนึ่งเพลิงสวรรค์มาเยือนโลก


ส่วนแกนร่มใช้เพลิงสมาธิหลอมขึ้น ดุจดั่งเสาอัคคีค้ำฟ้า เปล่งประกายเหมือนทองคำ พลานุภาพดุดันอหังการ


ถึงกระนั้นที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงก็คือ หลินสวินวาดฝ่ามือออกไปคราเดียว แก่นมรรคธาตุน้ำที่แข็งแกร่งเกินต้านทานแปรสภาพเป็นคมดาบฟันแกนร่มนั้นหัก ต่อมาก็กดข่มลงจนร่มระเบิดกระจุยดังปัง


ฟุบ!


หญิงสาวผู้นั้นกำลังจะหลบหนีก็ถูกประทับปี้อั้นกระแทกตัว เลือดเนื้อในกายระเบิดแตกตายคาที่


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองสามคนก็ตายคาที่ ถูกหลินสวินสังหารราบคาบ ดูอ่อนแอถึงที่สุด


และวิธีสังหารอหังการเช่นนี้ ผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่ดูอยู่ไกลออกไปล้วนตัวสั่นเทา ดุร้ายเกินไปแล้ว สมเป็นเทพมารหลินที่กิตติศัพท์ร้ายกาจสะท้านโลก!


สวบ!


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่เหลืออยู่นั้นเห็นท่าไม่ดี แปลงกายเป็นอีกาทองตัวหนึ่ง กระพือปีกหนีไปไกลอย่างว่องไว


หลินสวินยื่นมือคว้า พลังไร้รูปร่างของผนึกป้าเซี่ยแผ่ขยายดุจตาข่ายมหามรรค กักขังอีกาทองตัวนั้นไว้แล้วลากกลับมาอย่างรุนแรง


“เจ้า…”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองตัวนี้กำลังจะแผดเสียง ก็ถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือหนึ่งตบให้สลบ ตกเป็นเหยื่อที่ถูกถือเอาไว้ในมือ


จากนั้นหลินสวินก็เหลือบมองผู้ฝึกปราณโดยรอบปราดหนึ่ง เงาร่างไหววูบแล้วหายลับไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็ว


“ขะเขา… คิดจะกินเนื้ออีกาทองจริงๆ หรือ”


ผู้ฝึกปราณบางคนสูดหายใจเย็นเฉียบ นี่เทพมารหลินจะอยากอาหารมากไปแล้วกระมัง ไม่กลัวลวกปากหรือไร


……


ในหุบเขาที่มีหินผาสีแดงชาดแห่งหนึ่ง รอบทิศปราศจากผู้คน


ไม่ต้องทรมานเค้นเอาคำสารภาพ เมื่อผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่ถูกจับมาคนนั้นฟื้นคืนสติ ก็เอ่ยปากบอกเรื่องที่ควรปกปิดออกมาจนหมด


ที่แท้เป้าหมายที่พวกเขาต้องการต่อกรด้วยคราวนี้คือเจ้าคางคกกับอาหลู่!


นี่เป็นบัญชาขององค์ชายเจ็ดอูหลิงเฟย ให้จับเป็นทั้งสองคนเพื่อใช้ข่มขู่หลินสวินให้ยอมสยบ เชื่อฟังคำสั่งเขา!


“ทำไมต้องหาเรื่องข้าด้วย” หลินสวินนิ่วหน้า


เขาใคร่ครวญกับตัวเองแล้วว่าไม่ได้ผิดใจแค้นเคืองกับอีกฝ่าย แต่อูหลิงเฟยกลับหมายหัวเขาอย่างชัดเจน กำลังเคลื่อนไหวต่ำช้าบางประการอย่างลับๆ


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนนี้ยิ้มหยัน “เทพมารหลินอย่างเจ้าทำไมถึงใสซื่อปานนี้ ที่นี่เป็นถึงแดนมกุฎ ไม่ใช่มิตรก็คือศัตรู ไม่มีทางเลือกที่สาม!”


“น่าขัน แดนมกุฎมีสามพันแดน ผู้แข็งแกร่งหลายสิบล้านมาถึงในนี้ หากไม่เป็นมิตรกับพวกเจ้าเผ่าอีกาทอง จะถูกพวกเจ้าฆ่าจนเกลี้ยงหรือไม่”


หลินสวินรู้ดีว่าเหตุผลไม่เรียบง่ายเช่นนั้นได้!


ที่น่าเสียดายก็คือ ด้วยฐานะของผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนนี้ เห็นได้ชัดว่ายังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของอูหลิงเฟยผู้นั้น และย่อมไม่อาจให้คำตอบที่หลินสวินต้องการได้


“หากเจ้าฆ่าข้าแล้ว สหายของเจ้าก็อย่าคิดจะรอดชีวิตเลย!” คนผู้นี้เยือกเย็นนัก เอ่ยปากอย่างเย็นชาไม่มีความกลัวเกรง


หลินสวินยิ้มบางๆ บิดคอเจ้าหมอนี่หักดังกร๊อบ


ก่อนตายเขามีท่าทางตื่นตระหนกทำใจเชื่อได้ยาก คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะลงมืออย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่รู้ตัวว่าถูกคุกคามเลยสักนิด


“ต่อให้ไม่ฆ่าเจ้า ก็ไม่อาจทำให้อูหลิงเฟยล้มเลิกการกระทำเช่นนี้แน่ ไม่สู้ฆ่าเจ้าซะ ภายหน้ายังได้กินอิ่มหนึ่งมื้อ ได้ลิ้มรสอีกาทองสักหน่อย”


หลินสวินพูดกับตัวเอง


ไอสังหารเกาะกุมในใจเขาไปแล้ว


อูหลิงเฟย องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองมองตนเป็นศัตรูก็ช่างเถิด แต่เขากลับเอาความคิดนี้ไปลงกับเจ้าคางคกและอาหลู่ เรื่องนี้แตะโดนเกล็ดย้อนของหลินสวินเสียแล้ว!


ไม่นานนัก หลินสวินก็ยัดศพอีกาทองเข้าไปในแหวนเก็บของแล้วออกจากหุบเขา


……


สองวันผ่านไป


เงาร่างผู้ฝึกปราณที่เห็นตามทางยิ่งมากขึ้นอีก ในห้วงอากาศก็มีแต่รุ้งเทพแสงท่องงดงามสะดุดตาไปทุกหนแห่ง


แต่เช่นเดียวกัน ความขัดแย้งและการฆ่าฟันกันเองก็มากยิ่งขึ้นไปด้วย


ในแดนมกุฎแห่งนี้ที่พึ่งพิงก็คือพลังแท้จริง เพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชค ไม่ว่าใครก็ต่างไม่เลือกวิธี


และเรื่องเล่นสกปรก ย่อมห้ามไม่ได้ตลอดกาล


เหล่าคนที่พลังปราณอ่อนแอ ต่อให้ได้วาสนาและศุภโชคมาก็เกรงว่าจะถูกจับจ้อง ทำได้เพียงถูกบีบให้มอบของออกมา หาไม่แล้วก็ต้องสิ้นชีพ


ระหว่างทางหลินสวินก็ได้รู้ว่า ในโลกแห่งนี้มีโอสถวิญญาณและวัตถุดิบวิญญาณมากมายหลากหลาย เก็บโอสถราชันได้ก็ไม่ใช่เรื่องพิเศษ หากโชควาสนาเย้ยฟ้ามากพอก็จะได้รับของล้ำค่าในฟ้าดินอย่าง ‘ผลอมตะ’ ไปบ้าง การบรรลุระดับราชันในก้าวเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!


เพียงแค่ในแดนเผาเซียนแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกปราณรวมตัวอยู่หลายล้านคน ในหมู่ผู้ฝึกปราณด้วยกันก็มีการพูดคุย ต้องการแลกเปลี่ยนโอสถวิญญาณ วัตถุดิบเซียนที่จำเป็น รวมถึงเงื่อนงำขุมทรัพย์ถ้ำเซียนบางแห่ง


ส่วนสถานที่แลกเปลี่ยนก็อยู่ในเมืองโบราณเผาเซียน!


พูดง่ายๆ เมืองนี้เหมือนป้อมปราการแห่งหนึ่งให้ผู้ฝึกปราณทุกคนแลกเปลี่ยนกันได้


“ถึงแล้ว…”


ผ่านไปหลายชั่วยาม ไกลออกไปหลินสวินเห็นว่าบนขอบฟ้าปรากฏโครงร่างเมืองแห่งหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างฟ้าดิน

 

 

 


ตอนที่ 1137 ไม่มีสิ่งใดให้เกรงกลัว

 

หลินสวินเองก็อึ้งงันน้อยๆ สีหน้าดูผิดประหลาดไป


“มัวอึ้งอะไรอยู่ มอบบรรณาการของเจ้าสิ” ชายจมูกเหยี่ยวงองุ้มขมวดคิ้วกล่าว


ผู้คนล้วนอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ ยืดคอชะเง้อ ตั้งใจจะดูสักหน่อยว่า ‘ของบรรณาการ’ ของหลินสวินจะเป็นอะไรกันแน่


หลินสวินขบคิดครู่หนึ่ง ล้วงเอากรงเล็บสีทองอร่ามออกมาอย่างมาดมั่น ดูเหมือนไม้กระบองด้ามหนึ่ง สีทองอร่าม ปลายเล็บแหลมคมปรากฏแสงเย็น ซ้ำยังไหลเวียนด้วยเปลวเพลิง


“นะ… นี่คือกรงเล็บอะไร ทำไมถึงดูเหมือนกรงเล็บกระเรียนทองเพลิงโหม” บางคนอึ้งค้าง ฉงนสงสัยไม่รู้จบ


“กระเรียนทองเพลิงโหมอะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าแค่กรงเล็บไก่อันหนึ่ง” มีคนพึมพำว่า “ของบรรณาการนี้นับว่าเป็นของเล่นอะไร โกโรโกโสชะมัด”


“กรงเล็บไก่? ใหญ่เบ้อเริ่มได้ขนาดนี้เชียวหรือ ก็นับว่าน่าตกใจเหมือนกันนะ” คนมากมายต่างหัวเราะขึ้นมา สีหน้าล้อเลียน


แต่เหนือความคาดหมายของพวกเขา เมื่อมองเห็นกรงเล็บนี้องครักษ์สองคนที่เฝ้าหน้าตำหนักตาแทบถลน ท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อ


ถึงขั้นสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง


“แค่กรงเล็บไก่เท่านั้น ถึงกับทำให้ใต้เท้าสูงศักดิ์สองท่านตื่นเต้นจนเป็นสภาพเช่นนี้ หรือกรงเล็บไก่นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างนั้นหรือ”


ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งงงงัน


เผียะ!


เสียงเพิ่งสิ้นสุด บนหน้าเขาก็ประทับฝ่ามือหนึ่ง ฟันทั้งปากปลิวลอยเจือเลือดออกไป ใบหน้าถูกตบแตก ตัวพลิกรอบหนึ่งก่อนโซซัดโซเซนั่งลงกับพื้น สมองตื้อไปหมด


ทั่วลานเงียบกริบ ร่างแข็งทื่อ เพราะทุกคนเห็นว่าคนที่ลงมือคือชายจมูกเหยี่ยวงุ้มของเผ่าอีกาทองคนนั้น


เขาในยามนี้สีหน้าคล้ำเขียว เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุบๆ ใบหน้าไม่น่าดูได้มากเท่าไรก็ไม่น่าดูเท่านั้น


ผู้คนล้วนงงเป็นไก่ตาแตก เพื่อกรงเล็บไก่อันเดียว ถึงกับ…


มีคนเฉลียวใจว่าสถานการณ์ชักชอบกล ทะแม่งๆ ยิ่ง


“ของบรรณาการอันนี้ได้หรือไม่” หลินสวินถาม


“เจ้าเป็นใคร ถึงขั้นกล้าฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าข้า!” ชายจมูกงุ้มสูดหายใจลึก ฝืนระงับไอสังหารที่เดือดพล่านในใจ


เป็นดังคำกล่าวที่ว่า คนดีไม่มา คนมาไม่ดี


เจ้าหนุ่มตรงหน้าคนนี้กล้ามาที่นี่เพียงลำพัง นี่ก็ไม่ปกติยิ่ง ทำให้ชายจมูกงุ้มนึกเอะใจถึงความผิดปกติบางอย่าง


และยามนี้ในลานต่างปั่นป่วนขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นผิดประหลาดไร้ใดเปรียบ ในที่สุดก็ตระหนักว่านั่นไม่ใช่กรงเล็บไก่แต่อย่างใด และไม่ใช่กรงเล็บกระเรียนทองเพลิงโหมด้วย แต่เป็นกรงเล็บอีกาทองที่ถูกฟันขาดต่างหาก!


เจ้าหมอนี่เป็นใคร ช่างใจกล้านัก!


ผู้คนต่างใจสะท้าน รู้สึกสยองขวัญอย่างบอกไม่ถูก


ส่วนหวังตงที่อยู่ไกลๆ อึ้งค้างอยู่ตรงนั้นโดยสิ้นเชิง สหายที่รู้จักกันโดยบังเอิญคนนี้… เหมือนจะมาหาเรื่อง?


นั่นเป็นถึงเผ่าอีกาทองเชียวนะ!


เขาบ้าไปแล้วหรือไร!


ไม่อาจไม่พูดว่าหวังตงนับว่าไม่เลวทีเดียว ถึงแม้จะเพิ่งพบกันครั้งแรก แต่ยามที่เห็นภาพนี้ก็เริ่มหวั่นใจแทนหลินสวินตามจิตใต้สำนึก


“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ข้าแค่ถามพวกเจ้าประโยคเดียว เคยเห็นสองคนนี้หรือไม่”


เมื่อหลินสวินวาดนิ้ว ม่านแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้น ฉายภาพของเจ้าคางคกและอาหลู่


ชายจมูกงุ้มอึ้งงันก่อน จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ กล่าวว่า “จะ… เจ้าคือ…”


น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด คอเขาก็ถูกหลินสวินคว้าหมับผ่านอากาศ ยกขึ้นมา “เจ้าแค่ต้องบอกข้า เคยเห็นพวกเขาหรือไม่!”


“ท่าไม่ดีแล้ว มีคนมาหาเรื่อง!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่อยู่อีกฟากของตำหนักส่งเสียงตะโกนลั่น สั่นสะเทือนราวฟ้าคำรามก็ไม่ปาน


ปึง!


หลินสวินยื่นมือตบฉาด พลังมหามรรคอันน่าสะพรึงวูบหนึ่งทะยานขึ้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองไม่ทันโต้ตอบก็ถูกสยบฆ่าตายคาที่ ร่างถูกกระแทกระเบิดกระจุย


เพียงการโจมตีเล็กๆ ครั้งเดียว กลับสะเทือนไปทั่วลาน


ผู้ฝึกปราณที่กำลังต่อแถวอยู่บริเวณนั้นตกใจจนตะโกนเสียงหลง พากันหลบเลี่ยง หนีกระเจิดกระเจิง


เมืองโบราณเผาเซียนห้ามเข่นฆ่า นี่คือกฎ ใครกล้าฝ่าฝืนต้องถูกขุมอำนาจใหญ่มองเป็นศัตรูร่วมกัน


แต่หลินสวินกล้าเหยียบย่ำกฎระเบียบนี้ ยิ่งฆ่าคนตรงๆ ในถิ่นของเผ่าอีกาทองอีก นี่น่าตกใจเกินไปแล้ว


ขอเพียงไม่โง่ ล้วนมองออกว่านี่คือจอมอำมหิตคนหนึ่งชัดๆ!


“ฆ่าคนแล้ว เจ้ายังไม่รีบหนีอีกหรือ!” ไกลออกไปหวังตงตะโกนลั่น


“ทำไมต้องหนี”


หลินสวินเอ่ยส่งๆ จากนั้นออกแรงที่ฝ่ามือ บีบจนคอชายจมูกงุ้มคนนั้นแทบหักเป็นเสี่ยง แม้แต่หายใจยังยาก


“จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เคยเห็นพวกเขาหรือไม่”


นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ คล้ายเหวลึกวังน้ำวน แผ่พลังน่าสยดสยองออกมา


ชายจมูกงุ้มรู้สึกเพียงหน้ามืดวิงเวียน พยักหน้าโดยไม่รู้ตัวราวกับใกล้จมดิ่งลงไปก็ไม่ปาน


“พวกเขาอยู่ที่ไหน” หัวใจหลินสวินหนักอึ้ง หรือว่าอูหลิงเฟยจะลงมือจับตัวเจ้าคางคกกับอาหลู่ไว้เรียบร้อยแล้ว


หากเป็นจริง นั่นคือข่าวร้ายอย่างแน่นอน!


แต่ไม่รอให้ชายจมูกงุ้มตอบคำถาม ในตำหนักโอ่อ่าไร้ใดเปรียบนั้นมีเงาร่างสิบกว่าสายพุ่งพรวดออกมา มีทั้งชายหญิง เห็นได้ชัดว่าล้วนถูกทำให้ตกใจทั้งสิ้น


“ช่างกล้าเหลือเกิน ถึงขั้นกล้าโร่มาหาเรื่องที่เผ่าอีกาทองของข้า!” บางคนตะโกนลั่น


ทันใดนั้นชายจมูกงุ้มตื่นตระหนก ตั้งท่าจะส่งเสียงเตือน ลำคอก็เกิดเสียงครึ่กหนึ่งคราก็ถูกหลินสวินบีบหัก สิ้นลมทันที


“เจ้ารนหาที่ตาย!”


ชายหญิงเหล่านั้นต่างเป็นลูกหลานเผ่าอีกาทอง ในหมู่คนรุ่นเดียวกันล้วนเป็นบุคคลชั้นยอด เมื่อเห็นว่ามีคนกระทำการอุกอาจใต้จมูกพวกเขา ก็ทำให้พวกเขาเดือดดาลทันที


“ข้ามาหาคน ทำไมถึงเรียอกว่ามาหาเรื่องเสียได้”


หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย เก็บศพอีกาทองในมืออย่างมือไวเท้าไว นี่เป็นถึงวัตถุดิบที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนเชียว


การกระทำนี้ของเขาพาให้คนจำนวนมากหน้าเปลี่ยนสีขึ้นเรื่อยๆ ฆ่าคนในเผ่าของพวกเขาแล้ว แม้แต่ศพก็ยังไม่ยอมปล่อย สมควรฆ่าชัดๆ!


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน ไม่กลัวเอาชีวิตกระจอกของตัวเองมาทิ้งหรือ”


ชายหนุ่มชุดเข้มโครงหน้าเรียวยาวที่อยู่ด้านหน้าสุดกล่าวอย่างเย็นชา เขาสังเกตเห็นความผิดปกติจึงห้ามกลุ่มคนข้างกายเอาไว้ ไม่ได้เคลื่อนไหวตั้งแต่แรก


ตามกฎแล้วภายในเมืองโบราณเผาเซียนห้ามฆ่าคน แม้จะเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎล้วนไม่กล้าทำเช่นนี้ง่ายๆ เพราะจะล่วงเกินขุมอำนาจใหญ่มากมายเอาได้


แต่ตอนนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งกลับมุ่งหน้ามาเพียงลำพัง ลงมือฆ่าคนอย่างไม่เกรงใจสักนิด นี่หากไม่บ้าก็คงไม่เกรงกลัวที่จะแหกกฎ!


“พวกเจ้าแค่ต้องบอกข้าว่าตอนนี้พวกเขาสองคนอยู่ที่ไหน”


หลินสวินกล่าว ปลายนิ้ววาดม่านแสงที่ฉายภาพของเจ้าคางคกและอาหลู่ เอ่ยถามอีกครั้ง


ทันใดนั้นพวกชายหนุ่มชุดเข้มล้วนหน้าเปลี่ยนสี ร้องโพล่งว่า “เจ้าคือเทพมารหลิน?”


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนเคยเห็นเจ้าคางคกและอาหลู่ ดังนั้นจึงเดาตัวตนของหลินสวินออกเพียงชั่วอึดใจ


ห่างออกไปไกลๆ มีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยรวมตัวอยู่ตั้งแต่ต้น ยังมีผู้แข็งแกร่งของขุมอำนาจอื่นๆ ด้วย ถึงอย่างไรการคเลื่อนไหวที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ใหญ่โตเกินไป


และเมื่อได้ยินคำว่า ‘เทพมารหลิน’ สามคำนี้ คนมากมายพากันหน้าเปลี่ยนสีทันควัน สูดหายใจเฮือกไม่รู้สิ้น


“ในเมื่อรู้ว่าเป็นข้า เช่นนั้นพวกเจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าข้ามาทำไม ให้อูหลิงเฟยโผล่หัวออกมา วันนี้หากไม่มีคำอธิบายให้ข้า ข้าก็ไม่เกี่ยงที่จะฆ่าล้างบางครั้งใหญ่!”


ยามหลินสวินเอ่ยวาจา รูปร่างหน้าตาก็คืนสู่สภาพเดิมแล้ว


เป็นเขาจริงๆ ด้วย!


ทั่วลานตาค้าง เพียงแต่ผู้คนยังคงไม่อาจจินตนาการได้ว่า เหตุใดเทพมารหลินถึงกล้าวางโตเปิดฉากเข่นฆ่าภายในเมืองอย่างไม่เกรงกลัว ไม่กลัวจะกลายเป็นศัตรูสาธารณะของทุกๆ ขุมอำนาจใหญ่หรือไงกัน


ส่วนพวกชายหนุ่มชุดเข้มล้วนไหววูบหน้าเปลี่ยนสี ต่างคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะปรากฏตัวด้วยวิธีเช่นนี้ ตรงมาคนเดียวและมาฆ่ากันถึงหน้าประตู!


“หลินสวิน คนอื่นกลัวเจ้า แต่พวกเราเผ่าอีกาทองไม่กลัว จะบอกเจ้าเจ้าให้ว่าอีกเดี๋ยวองค์ชายเจ็ดเผ่าข้าก็จะออกด่านแล้ว ฆ่าเจ้าเหมือนฆ่าไก่ ตอนนี้เจ้ามายั่วโทสะก็เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ!”


ชายหนุ่มชุดเข้มสูดหายใจลึก เชิดหน้าชูคอ มองสำรวจหลินสวินอย่างเย็นชา


ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าอีกาทอง มีคนมีฝีมือเป็นกำลังหลักมากมาย เขาไม่เชื่อว่าหลินสวินจะกล้าบุ่มบ่าม


ปึง!


แต่ปฏิกิริยาของหลินสวินอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนอีกครั้ง เขาไม่พูดมากความ ยื่นมือแล้วคว้าชายหนุ่มชุดเข้มเข้ามา เงื้อฝ่ามือขึ้นแล้วฟาดใส่อย่างจังเสียงก้องกังวาน


คนรอบบด้านพากันตกใจ รวดเร็วยิ่งนัก เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นบุคคลชั้นยอดของเผ่าอีกาทองคนหนึ่งก็ประสบเคราะห์ทันที!


“จะ จะ… เจ้ารนหาที่ตาย!” ชายชุดเข้มตะโกน ใบหน้าเขาบวมแดง แม้จะรวบรวมพลังทั้งร่างก็ไม่อาจหลุดพ้นได้


เผียะ!


หลินสวินตบบ้องหูอย่างแรงอีกครั้ง ฟาดจนสะเทือนก้องฟ้า ทำให้เขากระอักเลือดทั้งปากจมูก


ในระหว่างนี้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนอื่นๆ ล้วนลงมือแล้ว แต่กลับค้นพบอย่างตระหนกว่า ไม่ว่าการโจมตีใดๆ ทันทีที่เข้าใกล้หลินสวินก็ถูกสลายกลืนหายไปประหนึ่งวัวโคลนจมทะเล!


“ข้าจะฆ่าเจ้า ยั่วโทสะพวกเราเผ่าอีกาทอง ไม่ว่าเป็นใครล้วนต้องตาย!” ชายชุดเข้มบ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง แผดคำรามด้วยความโกรธสุดขีด


ทั่วร่างเขาไหลเวียนด้วยเปลวเพลิงสีทอง โคจรวิชาลับ หมายจะสู้กับหลินสวินสุดชีวิต


น่าเสียดายที่ต่อหน้าหลินสวิน เขาซึ่งถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่กร้าวแกร่งยิ่งกลับไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ แม้แต่น้อย ไม่สามารถหลุดพ้นจากการกักขังของหลินสวินได้เลย


“เผ่าอีกาทองเส็งเคร็ง ที่นี่คือแดนมกุฎ ไม่ใช่หุบเขาตะวันคล้อยเสียหน่อย ไม่ต้องพูดถึงว่าจากนี้ไปเผลอๆ ข้ายังจะไปแวะเวียนหุบเขาตะวันคล้อยสักเที่ยวด้วยตัวเองอีก”


หลินสวินฟาดเต็มแรงอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจ


เผียะๆๆ!


เสียงตบเหมือนลั่นกลองถี่รัว เพียงชั่วพริบตาชายชุดเข้มคนนั้นฟันหักร่วง เบื้องหน้าผุดดาวสีทอง ปากเบี้ยวตาเหล่ บวมแดงเหมือนหัวหมู


“องอืออิ อ้าอันไอ้อ้า!” ชายชุดเข้มแผดคำราม


เพียงแต่เขาฟันหลุดร่วงเกลี้ยง ปากรั่วลม เสียงพูดเพี้ยนไปหมด


หลินสวินยังอึ้งพักหนึ่ง เพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองเอาตอนนี้ว่าอีกฝ่ายพูดว่า ‘ลงมือสิ ฆ่ามันให้ข้า’


ด้านข้าง ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองทั้งกลุ่มร้องแรกแหกกระเชอ พวกเขาลงมือกันหมดแล้ว แต่จนป่านนี้ยังไม่ได้ผลเลย การโจมตีใดๆ ล้วนถูกกลืนหายหมดเกลี้ยง สลายไปอย่างไร้ร่องรอย


แม้แต่สมบัติที่เรียกออกมาล้วนถูกซัดปลิวออกไปง่ายดาย!


นี่มันเหมือนหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกรายชัดๆ!


ปึง!


หลินสวินยกมือขึ้นฟาดชายชุดเข้มคนนี้สลบไป จากนั้นเก็บขึ้นมาตั้งใจจะเอามาเป็นตัวประกัน


“พวกเจ้าล่ะ รู้ที่อยู่ของสองคนนี้หรือไม่” นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ มองสำรวจผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองพวกนั้นที่รายล้อมตนอยู่


“ถอดใจซะเถอะ ต่อให้พวกข้ารู้ก็ไม่มีวันบอกเจ้าเด็ดขาด! รอให้องค์ชายเจ็ดกลับมาจะต้องสังหารเจ้าทันใดแน่!”


ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ล้วนสีหน้าอาฆาตมาดร้าย


ตึง!


เงาร่างหลินสวินพริบไหว พุ่งพรวดขึ้นหน้า เพียงพริบตาก็สังหารชายอ้วนเตี้ยคนหนึ่งที่ตะโกนกราดเกรี้ยวที่สุด


คนอื่นๆ ต่างตกใจและเดือดดาล ร้องตะโกนว่า “ที่นี่เป็นถึงเมืองโบราณเผาเซียน เจ้าทำเช่นนี้มีแต่ต้องพบแรงกดดันจากขุมอำนาจใหญ่ทุกแห่งเท่านั้น!”


ตูม!


เงาร่างหลินสวินแผ่แสงเรืองน่าสะพรึงออกมาทันที เพียงกวาดเบาๆ แสงมรรคนับไม่ถ้วนไหลเวียน ปรากฏพลังมหาศาลที่ไม่อาจทำลายล้าง สะเทือนจนผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองพวกนั้นพากันกระอักเลือดถอยร่น


ไกลออกไปเหล่าผู้ฝึกปราณที่มุงดูต่างใจสะท้าน ในใจผุดไอเย็นเยียบ เทพมารหลินคนนี้ทรงอานุภาพเกินไปแล้ว วิ่งโร่มากร่างถึงเผ่าอีกาทอง เผด็จการอย่างที่สุด


โดยเฉพาะหวังตง มองดูจนโง่งมไปนานแล้ว คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าสหายคนหนึ่งที่ตนบังเอิญพบ ถึงกับเป็นคนดุดันเหี้ยมโหดไร้ใดเปรียบเช่นนี้เสียได้!

 

 

 


ตอนที่ 1138 ปล้นคลังสมบัติ

 

เรื่องราวบานปลายใหญ่โต ผู้ฝึกปราณในพื้นที่แถบนี้ล้วนถูกทำให้ตกใจ


นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกปราณจำนวนมากที่กำลังเร่งรุดมาจากพื้นที่ต่างๆ


แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินเหนือความคาดหมายคือ ปัญหาบานปลายมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองกลับยังไม่เคยปรากฏตัวเลย


ยิ่งกว่านั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่กรูกันออกมาพวกนี้ก็มีบุคคลขอบเขตมกุฎเพียงแค่หยิบมือ คนอื่นๆ ล้วนถือว่ามีฝีมือชั้นยอดในระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น


พลังแค่นี้ ห่างไกลเกินกว่าจะสามารถข่มขู่หลินสวินได้


“อูหลิงเฟยไปไหนแล้วล่ะ”


นัยน์ตาดำของหลินสวินราวกับอสนี กวาดมองผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองพวกนั้น


“เทพมารหลิน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” คนเหล่านี้สีหน้าฉุนแกมโศก แต่กลับไม่มีใครกล้าพุ่งพรวดขึ้นมา เพราะความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างกันลิบลับ


หลินสวินคร้านจะพูดไร้สาระ ก้าวขึ้นหน้า เพียงไม่กี่อึดใจก็สยบผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองเหล่านี้จนหมด ต่างล้มพับลงกับพื้นระเนระนาด


ขณะที่หลินสวินตั้งท่าจะเดินเข้าไปในตำหนักแห่งนั้น เสียงเย็นเยียบสายหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมาแต่ไกล


“เทพมารหลิน ภายในเมืองไม่อนุญาตให้ฆ่าคน นี่เจ้ากำลังเหยียบย่ำกฎ!”


ครานี้เป็นคนกลุ่มหนึ่ง ต่างสวมเครื่องแต่งกายของผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร ผู้ที่เอ่ยปากคือชายหนุ่มที่มีจอนหงอกสองข้าง


คนอื่นๆ ในใจสั่นสะท้าน รีบร้อนถอยห่างพื้นที่แถวนี้ทันที


เห็นได้ชัดว่าการกระทำที่ทำลายกฎเมืองของหลินสวิน ได้กระตุกต่อมความไม่พอใจของสำนักโบราณอย่างเขาวิญญาณหมื่นอสูรเข้าให้แล้ว


หลินสวินหันขวับทันที มุมปากโค้งองศาเยียบเย็นขึ้นกล่าวว่า “ข้ายังไม่ทันคิดบัญชีพวกเจ้าเลย พวกเจ้ากลับโร่ออกมาเอง! ทำไม พวกเจ้าอยากรับหน้าแทนเผ่าอีกาทองหรือ”


เขาไม่มีทางลืมว่าระหว่างทางที่มุ่งหน้ามายังเมืองนำทาง กองทัพเขาวิญญาณหมื่นอสูรจองหองเพียงใด กระแทกกระทั้นตลอดทาง เห็นเขา อาหลู่ และเจ้าคางคกเป็นสิ่งกีดขวาง หมายจะเหยียบย่ำพวกเขา!


“เจ้าพูดผิดแล้ว พวกเราก็แค่ปกป้องกฎของเมืองเท่านั้น หากเจ้ารามือเสียตอนนี้ พวกข้าก็จะให้โอกาสเจ้าสักครั้งหนึ่ง หาไม่ เกรงว่าผู้ฝึกปราณในเมืองทุกคนคงไม่ปล่อยให้เจ้าอาละวาดเช่นนี้ต่อไปแน่!”


ชายหนุ่มจอนหงอกเอ่ยปากเย็นเยียบ เขามีนามว่าหลูชวน เป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง มีชื่อเสียงมานานแล้ว


ขณะพูดพวกเขาก็เดินเข้ามาเป็นที่เรียบร้อย ท่วงท่าบารมีแกร่งกล้า มีกันถึงสิบกว่าคน กลิ่นอายล้วนกร้าวแกร่งและไม่ธรรมดาอย่างที่สุด


“ไม่ผิด กฎก็คือกฎ ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎก็ไม่อาจทำลายได้!”


เสียงเย็นยะเยือกสายหนึ่งดังก้องขึ้น ผู้ฝึกปราณอีกกลุ่มเดินออกมา บุคลิกองอาจ สายตาที่มองทางหลินสวินดูไม่เป็นมิตร


“ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์นครนิล!”


กลุ่มคนในลานฮือฮา จำฐานะของผู้มาเยือนได้ ชายหนุ่มผอมสูงชุดบัณฑิตที่นำหน้าคนนั้น นามว่าเกาเซวียน เป็นบุคคลแห่งยุคในหมู่คนรุ่นเยาว์สำนักยุทธ์นครนิล


“พวกเจ้าอยู่สำนักเดียวกับผู้หญิงอำมหิตหลิงหวาคนนั้นหรือ”


หลินสวินถาม


พวกเกาเซวียนต่างหน้าขรึม เทพธิดาหลิงหวาผู้นั้นเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณของสำนักพวกเขา กลับถูกด่าเสียเกียรติเช่นนี้ เรื่องนี้ทำให้พวกเขาต่างฉุนเฉียว


“เทพมารหลิน เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับผู้ฝึกปราณทั้งเมืองจริงๆ หรือ”


เกาเซวียนเอ่ยเสียงเย็นชา


หลินสวินยิ้มเยาะ “พวกเจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าเป็นตัวแทนผู้ฝึกปราณทั้งเมือง พวกเจ้าคู่ควรด้วยหรือ ถ้ากล้า พวกเจ้าก็ลองขวางข้าดู!”


ขณะพูดเขาก็หันหน้าเดินไปกลางตำหนักแห่งนั้นแล้ว


ไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิด ตั้งแต่ต้นจนจบยิ่งไม่เคยเผยอาการหวาดกลัวใดๆ ออกมาสักเสี้ยว


สิ่งนี้พาให้ผู้ฝึกปราณเขาวิญญาณหมื่นอสูรและสำนักยุทธ์นครนิลพากันสีหน้าผิดแปลกอย่างที่สุด แค้นจนกัดฟันกรอด เทพมารหลินคนนี้ช่างยโสโอหังเกินไปแล้ว!


กลุ่มคนที่อยู่ไกลๆ พากันลอบปากอ้าตาค้าง เมื่อก่อนทุกคนรู้ดีว่าเทพมารหลินกล้าหาญเต็มเปี่ยม แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจกล้าถึงขั้นนี้!


อะไรที่เรียกว่าไม่เห็นหัวใคร


ก็นี่อย่างไรล่ะ!


ทิ้งไว้หนึ่งประโยคก็หมุนตัวออกไป มองเหล่าผู้กล้าราวกับไร้ตัวตน


“แย่แล้ว สมบัติชั้นเลิศที่เสาะหามาให้องค์ชายเจ็ดยังอยู่ในตำหนัก!”


ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งที่ถูกซัดหมอบกระแตร้องโพล่งขึ้น ดีดตัวขึ้นมาดังผึง พุ่งพราดไปด้านในตำหนัก


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนอื่นๆ ที่นอนราบกับพื้นล้วนไม่อาจ ‘แกล้งตาย’ ต่อได้แล้ว หน้าเปลี่ยนสีกันใหญ่ รีบพุ่งเข้าไปในตำหนักด้วยความตื่นตระหนก


ผู้ฝึกปราณที่อยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้เข้าต่างอดอึ้งค้างครู่หนึ่งไม่ได้ หากไม่เกรงกลัวอานุภาพเหี้ยมหาญของเผ่าอีกาทอง พวกเขาก็คงทนไม่ไหวพุ่งไปฮุบสมบัติสักตั้งเหมือนกัน


ต่อให้เทพมารหลินกินเนื้อไปแล้ว ให้พวกเขากินน้ำแกงเอาก็ยังได้!


ควรรู้ว่าหลายวันมานี้เผ่าอีกาทองใช้วิธีต่างๆ นานาในการรวบรวมสมบัติจำนวนมหาศาล ล้วนเป็นของล้ำค่าหายากสภาพเยี่ยม ไม่ขาดโอสถราชัน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติฝึกปราณที่เตรียมไว้สำหรับอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าอีกาทอง


นี่ก็เพียงพอจะทำให้ใครก็ตามน้ำลายหกและตาลุกวาวได้!


‘เทพมารหลินจะรวยแล้ว’ ผู้ฝึกปราณมากมายพึมพำในใจ


แม้แต่ผู้ฝึกปราณเขาวิญญาณหมื่นอสูรและสำนักยุทธ์นครนิลก็ยังใจเต้นไม่หยุด ภายในใจดิ้นรน ควรเข้าไปขวาง ‘การกระทำชั่วร้าย’ ของเทพมารหลินหรือไม่กันแน่


แต่สุดท้ายพวกเขาก็หักห้ามเอาไว้


ตำหนักนี้เป็นถิ่นของเผ่าอีกาทอง หากพวกเขาพรวดพราดเข้าไป นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการรุกล้ำอาณาเขตเผ่าอีกาทอง


‘ถึงจะไม่เข้าไป แต่ก็ลงมือกับเทพมารหลินได้อยู่ดี!’


จังหวะนี้หลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรและเกาเซวียนจากสำนักยุทธ์นครนิล ต่างผุดความคิดเดียวกันขึ้นมาในหัวโดยไม่ได้นัดหมาย


……


ภายในตำหนักโอ่อ่าอลังการ


หลังจากเข้ามาแล้วหลินสวินเพิ่งสังเกตว่าฐานหลักของเผ่าอีกาทองนี้โล่งโถง มีเพียงบริวารชั้นยอดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ยอดฝีมือสักคนก็ยังไม่มี


‘ดูท่าอูหลิงเฟยคงไม่อยู่จริงๆ’


หลินสวินตั้งข้อสันนิษฐาน


จากนั้นเขาเดินตรงดิ่งไปยังส่วนลึกของตำหนัก


ระหว่างทางมีบริวารเผ่าอีกาทองคอยขวางอยู่ไม่ขาด แต่ล้วนถูกหลินสวินกำราบเพียงชั่วเงื้อมือ ไม่มีผู้ใดทัดเทียม


ท้ายที่สุดหลินสวินก็มาถึงหน้าคลังสมบัติแห่งหนึ่ง


ประตูบานใหญ่ของคลังสมบัติถูกลงผนึกปิดไว้ หากใช้กำลังทำลาย เป็นไปได้อย่างสูงว่าอาจทำลายสมบัติที่อยู่ในนั้นด้วย


“หยุดนะ!”


“เทพมารหลิน เจ้าคิดจะล่วงเกินเผ่าข้าถึงที่สุดจริงๆ รึ!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองพวกนั้นพุ่งกรูเข้ามา ต่างหวาดกลัวเดือดดาลระคนกัน ลุกลี้ลุกลนขุ่นเคือง


เสียงตุบตับดังรวนระลอกหนึ่ง คนกลุ่มนี้เพิ่งกรูเข้ามาก็ถูกหลินสวินสยบอีกครั้ง ทรุดฮวบลงกับพื้น ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด


“เปิดมันออก” หลินสวินชี้ไปที่ชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่ง เอ่ยออกคำสั่ง


“ข้างในนั้นเป็นสมบัติที่เตรียมไว้ให้องค์ชายเจ็ดโดยเฉพาะ หากใครกล้าแตะต้อง มันผู้นั้นต้องตาย!” ชายหนุ่มชุดเทาคนนั้นกล่าวเสียงสั่น


พวกเขาล้วนรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นี่เหมือนฝันร้ายชัดๆ พวกเขาเผ่าอีกาทองอันสูงส่ง ในเมืองโบราณเผาเซียน ใครกล้าหาเรื่องพวกเขาบ้าง


แต่วันนี้ไม่เพียงถูกคนมาอาละวาดถึงที่ แถมอีกฝ่ายยังตั้งใจจะปล้นพวกเขาจนหมดตัวอีกด้วย!


หากแพร่งพรายออกไปใครจะกล้าเชื่อ


“หากเจ้าให้ความร่วมมือ พวกเจ้าทุกคนจะรอดชีวิต หากไม่ให้ความร่วมมือ ข้าก็จะทำลายคลังสมบัตินี้ จากนั้นก็ล้างบางพวกเจ้าเสียให้หมด!”


หลินสวินกล่าวสบายๆ


เงาร่างของเขาสง่างาม สีหน้าราบเรียบ นัยน์ตาดำกลับพุ่งพล่านด้วยไอเย็นเยียบ อานุภาพแห่งเทพมารอันไร้รูปคละคลุ้ง บีบรัดจนผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง


“ข้า…” ชายชุดเทาเหมือนสูดหายใจไม่เข้าท้อง อึดอัดอักอ่วน ลูกตากลอกวน ก่อนเป็นลมหมดสติไปดื้อๆ


แกล้งเป็นลม?


หลินสวินอึ้งงัน มุกนี้ก็ถือว่าเชยไปหน่อยแล้ว!


แต่ว่านี่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง เขายื่นมือคว้าชายหนุ่มชุดเทาคนนี้ขึ้นมา ตบบ้องหูลงไปหนึ่งครา ฟาดเขาจนตื่นขึ้นมาตรงๆ


อีกฝ่ายจมูกเขียวหน้าบวม สะอึกสะอื้น สุดท้ายก็ยอมรับชะตากรรมอย่างสิ้นเชิง


ตูม!


คลังสมบัติถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว กลิ่นยาฉุนกึกลอยปะทะหน้า พาให้ผู้คนมึนเมา


ด้านในคลังสมบัติเต็มไปด้วยวัตุดิบวิญญาณและสมบัติล้ำค่าหลากหลายชนิด ถึงแม้จำนวนจะไม่ถึงขั้นมากมาย ทว่าแต่ละอย่างล้วนเป็นสมบัติชั้นเลิศที่บังเอิญพบเห็นได้แต่ไม่อาจครอบครองในโลกภายนอกทั้งสิ้น


พอลองคิดดูก็จริง ของพวกนี้ล้วนเป็นสมบัติที่เตรียมไว้สำหรับอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองคนนั้นโดยเฉพาะ คุณภาพจะเลวร้ายไม่ได้เด็ดขาด


เมื่อหลินสวินทอดสายตามองเข้าไปก็สังเกตเห็นโอสถราชันห้าเม็ดเต็มๆ ต่างส่องแสงเรืองทอประกาย กลิ่นหอมกรุ่นฉุนกล้าแผ่ลอย พราวระยับพร่าตา ส่องสว่างทั่วทั้งคลังสมบัติ


นอกจากนี้ยังมีกล่องหยกม่วงสำริดที่ถูกปิดผนึกใบหนึ่ง หลังจากเปิดออกก็เผยให้เห็นขวดหยกมันแพะใบหนึ่ง ขวดหยกถูกยันต์สีทองปิดผนึก เห็นได้ชัดว่าลึกลับไร้ใดเปรียบ


“อย่า… เจ้าแตะต้องมันไม่ได้!” ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งร้องโพล่งขึ้น พุ่งถลาเข้ามาอย่างกับคลุ้มคลั่ง เห็นชัดว่าสมบัติในขวดหยกมันแพะนี้สำคัญต่ออูหลิงเฟยยิ่ง


หลินสวินเตะเขาปลิวในคราเดียว เขาไม่ได้เปิดขวดหยกมันแพะออก วางมันกลับเข้าไปในกล่องหยกม่วงสำริดใบนั้นตามเดิม จากนั้นก็เก็บเอาไว้


สมบัติข้างในนี้จะต้องชวนตกใจมากเป็นแน่ หาไม่คงไม่ปิดผนึกชั้นแล้วชั้นเล่าเช่นนี้


ต่อมาหลินสวินกวาดข้าวของในคลังสมบัติในคราวเดียว เก็บมันเอาไว้ ยึดไปอย่างหมดจด ทำเอาคนเผ่าอีกาทองพวกนั้นมองดูจนเลือดไหลในใจ แทบจะพังทลาย


ของพวกนี้ล้วนเป็นศุภโชคที่พวกเขาเก็บรวบรวมมาอย่างลำบากตรากตรำ แต่ตอนนี้กลับถูกคนแย่งไปจนหมด!


และในใจหลินสวินก็อดทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ การปล้นสะดมเป็นวิธีรวบรวมทรัพย์สมบัติที่รวดเร็วที่สุดจริงๆ ด้วย ทั้งง่ายดาย ดุดัน ยังต้องเสาะหาศุภโชคและวาสนาอะไรกัน แค่ปล้นศัตรูคู่แค้นตรงๆ ก็ได้แล้ว


“เจ้าเอาไปไม่ได้! หากองค์ชายเจ็ดรู้เข้าต้องเดือดดาลเปิดฉากสังหารเป็นแน่ ถึงตอนนั้นใครก็ไม่อาจแบกรับเพลิงโทสะนี้ไว้ได้!”


ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นต่างกระวนกระวาย


“พูดถึงอูหลิงเฟย พวกเจ้ามีใครบอกข้าได้บ้างว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” หลินสวินเอ่ยถาม


เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เทพมารหลินคนนี้ทำเรื่องหน้าไม่อายไร้จิตสำนึกเช่นนี้ ยังมีหน้ากล้าไปหาองค์ชายเจ็ดอยู่อีกหรือ


ไม่กลัวตายอนาถหรือไร


และเวลานี้เอง ด้านนอกตำหนักก็มีเสียงดังสนั่นปานฟ้าคำรามดังก้องขึ้น


“เทพมารหลิน เจ้าถึงกับกล้าบุกมาอาละวาดถึงถิ่นข้า ช่างไม่รักตัวกลัวตาย!”


ตามหลังเสียงดังสนั่น เงาร่างสีทองอร่ามสี่สายก็พุ่งเข้ามา


คนเผ่าอีกาทองในตำหนักล้วนฮึกเหิมจนน้ำตาจะไหล ตื่นเต้นดีใจไร้ใดเปรียบ


ผู้ที่กลับมาคราวนี้คือบุคคลขอบเขตมกุฎสี่คน หนำซ้ำล้วนเป็นผู้โดดเด่นของเผ่าอีกาทองอีกด้วย พลังต่อสู้กร้าวแกร่งไร้ใดเปรียบ เพียงพอจะสยบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎได้!


……


ด้านนอกตำหนัก


ผู้ฝึกปราณที่กำลังชมการต่อสู้พากันตื่นเต้น พวกเขาเป็นพยานเห็นบุคคลขอบเขตมกุฎสี่คนของเผ่าอีกาทองเร่งรุดกลับมา แต่ละคนกร้าวแกร่งกินกันไม่ลง พาให้ผู้คนใจสะท้าน


“บุคคลขอบเขตมกุฎชั้นยอดของเผ่าอีกาทอง ทั้งยังกลับมาพร้อมกันสี่คนอีก เทพมารหลินคนนั้นถึงคราวเคราะห์แล้ว!”


เหล่าผู้ฝึกปราณเขาวิญญาณหมื่นอสูรและสำนักยุทธ์นครนิลต่างพากันลอบถอนหายใจโล่งอก


แต่พร้อมกันนั้นพวกเขาก็รู้สึกผิดหวังน้อยๆ เดิมทีพวกเขายังตั้งใจว่ารอให้หลินสวินปล้นเผ่าอีกาทองแล้ว พวกเขาก็จะใช้วิธีโจรปล้นโจร ปล้นสะดมจากหลินสวินเหมือนกันเสียหน่อย


แต่ตอนนี้ดูท่าจะทำไม่ได้แน่นอนแล้ว


ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องอย่างใกล้ชิด ครั้งนี้เทพมารหลินยากจะติดปีกหนีรอดหรือไม่


‘เฮ้อ เขากระทำการตามอำเภอใจเกินไปแล้ว เมื่อครู่ไม่ควรเข้าไปในที่พักของเผ่าอีกาทองเลย คราวนี้ดีนัก ถูกคนขวางเอาไว้ตรงๆ เข้าให้แล้ว…’ หวังตงทอดถอนใจในใจ หวาดหวั่นไม่หาย


เขามีความรู้สึกดีต่อหลินสวิน จึงเศร้าหมองใจเมื่อเขาต้องประสบเคราะห์


แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภาพที่พาให้ผู้คนปากอ้าตาค้างก็บังเกิดขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 1139 หุบเขาผลาญสวรรค์

 

ภายใต้สายตาตะลึงงันของผู้คน ในประตูใหญ่ตำหนักของเผ่าอีกาทอง เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมา…


อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ โดดเด่นเป็นเอกเทศ มีกลิ่นอายแปลกแยกเหนือธรรมชาติ


เทพมารหลิน!


ทั่วลานล้วนอึ้งค้าง ไม่อยากจะเชื่อ


เมื่อครู่เห็นชัดๆ ว่ามีบุคคลขอบเขตมกุฎเผ่าอีกาทองสี่คนเข้าไปในตำหนัก แต่ทำไมเทพมารหลินถึงเดินตัวปลิวออกมาเช่นนี้ได้


แล้วผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎเผ่าอีกาทองสี่คนนั้นล่ะ


พวกเขาวิญญาณหมื่นอสูรอย่างหลูชวน สำนักยุทธ์นครนิลอย่างเกาเซวียน เวลานี้ในใจต่างผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา คงไม่ใช่ว่า…


เมื่อนึกถึงผลลัพธ์แบบนั้น พวกเขาล้วนหน้าเปลี่ยนสี น่องแข็งเกร็ง สายตาที่มองหลินสวินเจือแววหวาดวิตก


หลินสวินไม่ได้สนใจพวกเขา หมุนตัวเดินดุ่มๆ ออกไป


ไม่มีใครขวาง!


ต่อให้ทุกคนในลานต่างรู้ดีว่าก่อนหน้านี้หลินสวินบุกรุกอาณาเขตเผ่าอีกาทอง กระทำการอุกอาจฆ่าฟันดุเดือด ทำลายกฎของเมืองโบราณเผาเซียนอย่างร้ายแรง


แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครกล้าชี้หน้าหาว่าเขาผิด?


แล้วใครจะกล้าลงโทษเขากัน


เว้นแต่มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณออกหน้า บางทีอาจข่มเพลิงกำแหงของเทพมารหลินได้ แต่ใครจะไปผูกพยาบาทกับเทพมารหลินโดยใช่เหตุกันเล่า


ก็เหมือนกับสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งคิดไว้ กฎ เป็นเพียงวิธีผูกมัดผู้อ่อนแอ ผู้แข็งแกร่งแท้จริงต่างยืนอยู่เหนือกฎเกณฑ์ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว!


“รีบไปดูเร็วเข้า!”


ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งเคลื่อนสายตามองไปทางตำหนักโอ่โถงซึ่งเป็นที่พำนักของเผ่าอีกาทอง


แม้ว่าจะไม่สามารถบุกเข้าไปโดยพลการ แต่อาศัยจิตรับรู้ก็ยังพอสำรวจสถานการณ์ส่วนหนึ่งได้อยู่


“สวรรค์!”


ไม่นานผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างตัวสั่น ศีรษะมึนชา ได้เห็นภาพนองเลือดฉากหนึ่ง…


ผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎสี่คนที่กรูเข้าตำหนักก่อนหน้านี้ สามคนสิ้นชีพคาที่ ร่างถูกระเบิด เลือดสดๆ เจิ่งนอง


อีกคนกลับไม่เห็นร่องรอย


และในตำหนัก ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่ถูกหลินสวินสยบก่อนหน้านี้ต่างรอดชีวิต แต่ล้วนมีอาการเหม่อลอย สีหน้าเห็นได้ชัดว่าตกใจจนไร้สติ


ไม่ทันไรกลุ่มคนนอกตำหนักก็รู้เรื่องทั้งหมดนี้ ทุกคนล้วนสมองตื้อ ช่างเหี้ยมหาญเกินไปแล้ว สามคนนั้นเป็นถึงบุคคลแกนหลักของเผ่าอีกาทองเชียว เป็นอัจฉริยะที่มีหวังจะย่างเหยียบขอบเขตมกุฎระดับราชัน แต่ทั้งหมดล้วนถูกหลินสวินสังหาร ศพเกลื่อนตายคาที่!


“เทพมารหลินแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่”


เป็นครั้งแรกที่คนมากมายได้เห็นหลินสวินสำแดงอานุภาพเกรียงไกร


“อย่าลืมสิ เขาเคยสยบจินเซี่ยวหมิงสัตว์ประหลาดยุคโบราณเผ่างูสวรรค์ทองคำ พลังต่อสู้ของเขา ทอดสายตาทั่วแดนเผาเซียนก็เพียงพอจะทะยานสู่อันดับหนึ่งได้!”


บางคนทอดถอนใจ


การต่อสู้ครั้งนี้ไม่นานก็หอบม้วนไปทั่วเมืองโบราณเผาเซียนราวกับมรสุมก็ไม่ปาน บังเกิดคลื่นลมครั้งใหญ่ พาให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตื่นตระหนก


นี่เพิ่งเข้าสู่แดนมกุฎไม่กี่วันเท่านั้น เทพมารหลินก็สำแดงอานุภาพ ไม่เห็นกฎของเมืองในสายตา บุกเข้าถิ่นเผ่าอีกาทองเสียแล้ว!


นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ชวนให้ผู้คนสยองยามได้ยิน!


การต่อสู้ครั้งนี้ยังเสริมสร้างอานุภาพมารของหลินสวิน ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายกริ่งเกรง แม้แต่ขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นยังเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาแล้ว


……


นอกเมืองโบราณเผาเซียน หลินสวินกำลังเหินทะยานด้วยความเร็วเต็มที่


“นี่เจ้าหาเหาใส่หัวชัดๆ!”


ในมือหลินสวินยังหิ้วผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งเอาไว้ ยามนี้เขาสีหน้าคล้ำเขียว สายตาที่มองหลินสวินเปี่ยมด้วยแววอาฆาต


“เจ้าแค่ต้องบอกเส้นทางข้าก็พอ” หลินสวินสีหน้าราบเรียบ


ก่อนหน้านี้ในตำหนักของเผ่าอีกาทอง หลังจากจัดการฆ่าบุคคลขอบเขตมกุฎสามคนที่โผล่มากะทันหันแล้ว หลินสวินยั้งมือไว้แล้วคว้าตัวผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนนี้ออกมา


คนผู้นี้นามว่าอูเทียนซุ่น เป็นหนึ่งในทายาทแกนหลักรุ่นนี้ของเผ่าอีกาทอง เหยียบย่างขอบเขตมกุฎ โดดเด่นอย่างยิ่ง


พร้อมกันนั้นเขายังเป็นหนึ่งในลูกน้องคนสำคัญขององค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองอูหลิงเฟย


“พวกเขาอยู่ที่หุบเขาผลาญสวรรค์”


อูเทียนซุ่นตอบอย่างหน้าชื่นตาบาน เพราะเขารู้ดี เทพมารหลินไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการไปตาย!


“หุบเขาผลาญสวรรค์?”


“ถูกต้อง สหายสองคนนั้นของเจ้าระวังตัวมาก เมื่อวานหลังจากเข้าเมืองก็จับสังเกตถึงความไม่ปกติ จึงออกจากเมืองโบราณเผาเซียนก่อนหนึ่งก้าว น่าเสียดาย พวกเขาถูกองค์ชายเจ็ดหมายหัวตั้งแต่แรก จะปล่อยให้พวกเขาหนีรอดได้อย่างไร”


จากข้อมูลของอูเทียนซุ่น เมื่อวานเจ้าคางคกกับอาหลู่เข้าเมืองโบราณเผาเซียนแล้ว แต่กลับรู้สึกถึงอันตราย จึงถอนตัวออกจากเมืองโบราณอย่างเด็ดขาด


แต่อูหลิงเฟยหมายหัวพวกเขาแต่เนิ่นๆ ดังนั้นจึงเคลื่อนกำลังออกไล่ล่า


ตอนนี้ทั้งคู่ล้วนถูกขังอยู่ในเทือกเขาที่มีชื่อเรียกว่า ‘หุบเขาผลาญสวรรค์’


“มีกี่คนที่ลงมือ” หลินสวินถาม


อูเทียนซุ่นอึ้งงัน ก่อนหัวเราะหยันขึ้นมา “เยอะแยะมากมาย ไม่เพียงองค์ชายเจ็ดเผ่าข้าเท่านั้น ยังมีเทพธิดาหลิงหวาแห่งสำนักยุทธ์นครนิล  เหลียงเซวี่ยอิ๋นสัตว์ประหลาดยุคโบราณแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรอีกด้วย”


เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ยังมีบุคคลขอบเขตมกุฎจากขุมอำนาจโบราณอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ขาดพวกร้ายกาจส่วนหนึ่งด้วย…”


หลินสวินขมวดคิ้ว ในใจงงงวยยิ่ง อูหลิงเฟยหมายจับตัวอาหลู่กับเจ้าคางคก ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากบีบตนให้ยอมจำนนเท่านั้น แต่ขุมอำนาจอื่นๆ ไยต้องเข้ามาเกี่ยวด้วย


อีกทั้งยังออกจะยกขบวนเต็มกำลังเกินไปหน่อย


“กลัวแล้วใช่หรือไม่ ฮ่าๆ เทพมารหลินอย่างเจ้าก็มีเรื่องที่กลัวด้วยหรือ”


อูเทียนซุ่นระเบิดหัวเราะเยาะปนความรู้สึกสะใจปานว่าได้แก้แค้น “น่าเสียดายนะ ต่อให้เจ้าไปก็ช่วยชีวิตสหายสองคนของเจ้าไม่ได้แน่ คงได้แต่มองตาปริบๆ ดูพวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตา!”


เผียะ!


หลินสวินฟาดเข้าให้หนึ่งฉาด ตบจนสองหูของเขาส่งเสียงวิ้งๆ ดาวสีทองปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มุมปากมีเลือดไหล


แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้อูเทียนซุ่นกลับยังคงหัวเราะลั่น “ดูสิ เจ้าโกรธแล้ว ในใจคงรับไม่ได้กระมัง เทพมารหลินก็มีวันนี้กับเขาด้วย? บอกเจ้าให้นะ ไม่ว่าใครหน้าไหนที่หาเรื่องเผ่าอีกาทองของพวกเราล้วนไม่มีจุดจบที่ดี รวมถึงเทพมารหลินอย่างเจ้าด้วย!”


น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความสะใจ


“เผ่าอีกาทองที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเล่นงานสหายสองคนของข้า กลับไม่เคลื่อนกำลังพลออกมาตั้งมากมายขนาดนี้อย่างไม่เสียดาย เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าขายหน้าไปหน่อยหรือ” หลินสวินกล่าวราบเรียบ


อูเทียนซุ่นแค่นเสียงเย็นกล่าว “เฮอะ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามอะไร จะบอกเจ้าให้ ครั้งนี้องค์ชายเจ็ดเผ่าข้าไม่ได้เชิญขุมอำนาจอื่นๆ สักนิด จะผิดก็ผิดที่สหายสองคนของเจ้าดันหนีเข้าหุบเขาผลาญสวรรค์ไปต่างหาก!”


“พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”


“ภายในหุบเขาผลาญสวรรค์มีศุภโชคซ่อนอยู่ แต่ก็มีอันตรายร้ายแรงด้วย แต่สหายสองคนของเจ้ากลับเข้าไปได้โดยสวัสดิภาพ ย่อมเรียกความสนใจจากคนอื่นเป็นธรรมดา!”


อูเทียนซุ่นกล่าวเสียงเย็น “ทุกคนล้วนสงสัย ว่าในมือสหายสองคนของเจ้าน่าจะครอบครองสมบัติที่สามารถเข้าสู่แดนแห่งศุภโชคหุบเขาผลาญสวรรค์ ไม่ถูกหมายหัวสิถึงเรียกว่าผิดปกติ!”


พูดถึงตรงนี้เขาอดทอดถอนใจไม่ได้ “น่าเสียดายจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวออกมา ถึงได้ดึงดูดการสอดส่องจากผู้แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ หาไม่ศุภโชคครานี้ย่อมตกอยู่ในมือเผ่าอีกาทองของข้าเป็นแน่!”


สีหน้าหลินสวินไหววูบไม่นิ่ง


ในที่สุดเขาก็เข้าใจ เพราะศุภโชคใหญ่คราหนึ่ง เจ้าคางคกกับอาหลู่ถึงได้กลายเป็นขนมหวานในสายตาผู้คน!


หลินสวินยังจำได้ ก่อนที่จะเข้าสู่แดนมกุฎเจ้าคางคกเคยบอกว่า หลังจากเข้าสู่แดนเผาเซียนแล้วจะพาเขากับอาหลู่ไปแดนมหาศุภโชคแห่งหนึ่งด้วยกัน


ดูท่าแดนแห่งมหาศุภโชคนั้นก็คือ ‘หุบเขาผลาญสวรรค์’ ที่อูเทียนซุ่นพูดถึง


เห็นได้ชัดว่าถูกอูหลิงเฟยไล่ล่าสังหารครานี้ เพื่อรักษาชีวิตรอดทั้งคู่ได้แต่หนีเข้าหุบเขาผลาญสวรรค์แห่งนั้น กลับไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเจอกับความละโมบของขุมอำนาจอื่นๆ เห็นพวกเขาเป็นแกะอ้วนพีด้วยเหตุนี้!


“อ้อ รู้สึกถึงความลำบากแล้วใช่หรือไม่ ฮ่าๆ ไม่สู้เจ้าขอร้องข้าดีกว่า บางทีข้าอาจจะขอความเมตตากับองค์ชายเจ็ดให้ ขอเพียงเจ้าสวามิภักดิ์ต่อองค์ชายเจ็ด ยอมเป็นม้ารองอานให้เขา ไม่แน่ว่ายังพอจะรักษาชีวิตสหายสองคนของเจ้าไว้ได้”


อูเทียนซุ่นหัวเราะอย่างลำพองยิ่ง


ปึง!


หลินสวินตบเขาหนึ่งฉาดจนสลบเหมือดทันที


……


หุบเขาผลาญสวรรค์ ตั้งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาสูงตระหง่าน เวิ้งนภาดั่งไฟ คล้ายหุบเขาที่ลุกโชนลูกหนึ่ง มีทะเลเมฆสีแดงเพลิงอบอวล


หุบเขาแปลกประหลาดยิ่ง คล้ายกับดอกไม้เพลิงที่กำลังแผดเผาอยู่ เพียงแต่มีขนาดใหญ่และเวิ้งว้างอย่างที่สุด ทอดสายตาออกไปมองไม่เห็นปลายทาง


ก้อนหินต้นไม้ใบหญ้าภายในหุบเขาล้วนปรากฏสีแดงชาดที่งดงามหยาดเยิ้ม ทอดมองจากไกลๆ หุบเขาทั้งลูกราวกับเปลวเพลิงคุโชน เผาผลาญเวิ้งนภาทั้งแถบนี้


ฟึ่บ!


เงาร่างหลินสวินทิ้งตัวลงมา


สายตาเขาทอดมองส่วนลึกของหุบเขา กล่าวถามว่า “พวกเขาอยู่ข้างในนี้หรือ”


อูเทียนซุ่นพยักหน้า จากนั้นกล่าวว่า “ว่าอย่างไร เจ้าคิดดีแล้วหรือไม่ จากความแข็งแกร่งของเจ้า หากหลบภัยภายใต้ร่มบารมีขององค์ชายเจ็ดต้องไม่ถูกฝังกลบเป็นแน่ หนำซ้ำด้วยเหตุนี้เจ้ายังช่วยชีวิตสหายสองคนนั้นของเจ้าได้อีกด้วย สิ่งที่เรียกว่าทำหนึ่งได้ถึงสอง ต่างฝ่างต่างมีความสุข แล้วไยจะไม่ทำเล่า”


“เจ้าว่าหากข้าเอาชีวิตเจ้าไปแลก อูหลิงเฟยจะตกลงหรือไม่” หลินสวินถาม


อูเทียนซุ่นอึ้งงัน จากนั้นจึงหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ องค์ชายเจ็ดทำการใดล้วนเลือดเย็นที่สุด ไม่ถูกผู้อื่นคุกคามได้หรอก!”


“เช่นนั้นข้ายังจะไว้ชีวิตเจ้าเพื่อประโยชน์อะไร” หลินสวินถาม


อูเทียนซุ่นหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ตระหนักถึงความไม่เข้าที ลุกลนในบัดดลกล่าวว่า “อย่าลืมสิ ข้าเป็นคนบอกทางให้เจ้ามาถึงที่นี่นะ…”


กร๊อบ!


ยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกหลินสวินหักคอ พลังจิตก็ถูกดับทำลาย ก่อนตายเขายังเบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อและไม่อยากยอมรับทุกสิ่งนี้


หลินสวินยกมือขึ้นเก็บศพเขาไว้ในแหวนเก็บของ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เดินเข้าไปทางหุบเขาผลาญสวรรค์ที่อยู่ไกลๆ


เงาร่างสูงโปร่งของเขาปลดปล่อยอานุภาพบีบคั้นออกมาอย่างไร้รูป ภายในใจมีไอสังหารที่จวนจะควบคุมไม่อยู่กำลังพลุ่งพล่าน


เพิ่งจะมาถึงแดนมกุฎไม่กี่วัน เจ้าคางคกกับอาหลู่ก็ประสบอันตราย เรื่องนี้จะให้หลินสวินทนได้อย่างไรกัน


คิดว่าเขาหลินสวินรังแกง่ายจริงๆ หรือ


เช่นนั้นก็คิดผิดมหันต์แล้ว!


เมื่อเดินเข้าสู่หุบเขาผลาญสวรรค์ก็เป็นภาพทิวทัศน์อีกอย่างหนึ่ง มีเปลวเพลิงพราวตาพุ่งปราดจากบนโขดหิน ต้นไม้ใบหญ้าอยู่เป็นคราวๆ นี่เป็นภาพที่สะท้อนถึงพลังเปลวเพลิงอันน่าตกใจล้นเหลือ


อากาศร้อนเร่าแผดเผาอวัยวะของผู้คน คล้ายกับสามารถหลอมละลายโลหะจนหมด ยามหายใจพาให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกำลังกลืนถ่านหิน


แต่นี่ไม่เกินกำลังหลินสวินสักนิด


เขามุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของหุบเขา ปรากฏเขาเปลวเพลิงขรุขระสูงโดด ความสูงเต็มหนึ่งพันจั้ง คล้ายเสาเพลิงค้ำฟ้าที่ลุกโหม


ด้านล่างของเขาเปลวเพลิงมีปากถ้ำตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง


“หยุดนะ ที่แห่งนี้ถูกปิดผนึกแล้ว ห้ามเข้าไป!”


ยังไม่ทันรอให้หลินสวินเข้าใกล้ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นขวางปากถ้ำเสียก่อน สีหน้าล้วนเยียบเย็นยิ่ง สายตาชวนสยองประหนึ่งมีดก็ไม่ปาน


“ข้ามาหาคน” หลินสวินกล่าว


“ใคร”


“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์รู้ แค่หลีกทางก็พอ”


หลินสวินพูดไปพลางเดินมุ่งสู่ปากถ้ำไปพลาง สีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่ง เพียงแต่ไม่มีใครรู้ ไอสังหารในใจเขาจวนจะควบคุมไม่อยู่แล้ว


แม้แต่ปากถ้ำแห่งนี้ยังถูกปิดผนึก แสดงให้เห็นว่าเจ้าคางคกและอาหลู่ตกอยู่ในอันตรายมากเพียงใด!


หลินสวินไม่อยากคิดเลยว่าหากพวกเขาประสบเคราะห์และไม่ได้เจอกันอีก ตนจะมีสภาพเป็นแบบไหน…

 

 

 


ตอนที่ 1140 ฆ่าพวกมันให้เรียบ

 

“สามหาว!”


พอเห็นหลินสวินย่างเท้าเข้ามา ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งสีหน้าเคร่งขรึม เงื้อมือขึ้นฟันดาบออกไป


สวบ!


แสงมรรคเจิดจ้า แผ่กว้างประดุจทะเลสีเงินเดือดพล่าน


เพียงแต่ไม่รอให้เข้าใกล้ ดาบกร้าวแกร่งคมกริบเล่มนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ละอองแสงระเบิดกระจุยลอยละล่อง


แย่แล้ว!


คนผู้นั้นนัยน์ตาหดรัด ขณะกำลังจะเปลี่ยนกระบวนท่าพลันสัมผัสได้ว่าพลังกดดันน่าสะพรึงประหนึ่งเขาถล่มทะเลหวีดร้องพุ่งเข้ามา เขาลมหายใจสะดุด กระดูกในร่างแตกหัก ราวกับถูกภูเขาเทพบดขยี้ เสียงตึงดังขึ้นบนพื้น เลือดออกเจ็ดทวารตาย


และตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยเคลื่อนไหวเลย!


เงาร่างของเขาสูงโปร่ง นัยน์ตาดำราวกับสายฟ้า สีหน้าเยียบเย็นจนน่ากลัว แสงมรรคสว่างไสวโอบรอบตัวเขา


ย่างก้าวมั่นคงราวกับเทพมารกำลังเดินเหิน!


ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี ส่งเสียงคำรามว่า “ศัตรูบุก!” แล้วหมุนตัวแล้วพุ่งเข้าไปในปากถ้ำ


โครม!


เพียงแต่พวกเขาเพิ่งจะหมุนตัว ชือน้ำแข็งเจิดจ้าตัวหนึ่งแหงนหน้าทะยานอากาศ ฟาดหางหนึ่งครา คนพวกนี้ต่างกระเด็นลอย กระอักเลือดคำใหญ่ กระแทกกับกำแพงหินจนกระดูกแตกระเบิด


ไม่มียั้งมือ!


พอรู้ว่าเจ้าคางคกและอาหลู่ประสบอันตราย หลินสวินก็ขับเคลื่อนไอสังหาร หากทั้งสองเกิดเหตุใดๆ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะล้างบางพวกมันทุกคนเลย!


ภายในปากถ้ำถึงกับเป็นอีกเขตแดนหนึ่ง เมื่อเข้าไปด้านในนั้นแล้วราวกับเข้าสู่แดนลับสุดมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง ฟ้าดินสีแดงฉานประหนึ่งเตาไฟระอุ


แสงเพลิงงดงามสายแล้วสายเล่าพุ่งทะยาน ลอยพลิ้วอยู่กลางฟ้าดิน เหมือนเข้าสู่เขตแดนแห่งเพลิงเขตแดนหนึ่ง


เมื่อหลินสวินเข้าไปก็เห็นตำหนักโอ่อ่าไร้ใดเปรียบตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ ราวกับก่อสร้างจากหยกงามสีแดงสดที่สุดในโลก มีประกายแสงไหลเวียน ทั้งเจิดจ้าและงดงาม


เบื้องหน้าตำหนักมีรูปปั้นทองแดงสองตัวตั้งอยู่ กวางเขียวตัวหนึ่งและกระเรียนขาวตัวหนึ่ง


กวางกระเรียน (ลู่เฮ่อ) ออกเสียงคล้ายกับหกประสาน (ลิ่วเหอ หมายถึงฟ้าดินหรือจักรวาล)


เมื่อมองชายคาตำหนัก ยื่นออกไปแปดทิศ แต่ละทิศมีตะเกียงน้ำมันทองแดงแปดตะเกียง แสงไฟศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง ส่องสว่างทุกทิศทาง


ตำหนักแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน ราวกับค้ำยันกระดูกสันหลังแห่งจักรวาล


นี่คือรูปแบบแห่งแปดทิศหกประสาน ข้าเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว!


เห็นได้ชัดว่าแดนลับแห่งนี้เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่ง และตำหนักนี้ต้องมีที่มาที่ไปแน่


“เอ๋! มีคนมา”


“คนผู้นั้นเหมือนจะเป็น… เทพมารหลิน?”


ด้านนอกตำหนักมีผู้ฝึกปราณรวมตัวกันมากมาย อยู่ภายใต้ขุมอำนาจที่แตกต่างกัน เมื่อเห็นหลินสวินเดินเข้ามาจากเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ ต่างพากันอึ้งงันอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เป็นความตกใจ


เทพมารหลิน!


เขาถึงกับเข้ามาเพียงลำพังหรือ!


หลินสวินไม่มีอะไรต้องกลัว สาวเท้าเดินขึ้นหน้า มุ่งตรงไปทางตำหนักเพลิงเทพที่อยู่ไกลๆ แห่งนั้น สายตาของเขาเยียบเย็น บนตัวปลดปล่อยไอสังหารน่าสะพรึงออกมา ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างพากันหน้าเปลี่ยนสีไม่ว่างเว้น


ท่ามกลางความเลือนรางเหมือนมองเห็นเทพมารผู้ยิ่งใหญ่มาเยือนโลก มาพร้อมไอสังหารเปี่ยมล้น บรรยากาศชั่วขณะนั้นพาให้ผู้คนเสียขวัญ


“รีบขวางเขาเร็ว!”


“ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามทำลายภารกิจครั้งนี้เด็ดขาด!”


เสียงตะโกนดังก้อง ผู้ฝึกปราณที่อยู่ภายใต้ขุมอำนาจแตกต่างกันพวกนี้พุ่งกรูเข้ามา ลงมือตรงๆ โดยไม่ถามจุดประสงค์การมาของหลินสวินสักแอะ


เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องสำคัญอย่างที่สุดกำลังเกิดขึ้นในตำหนักเพลิงเทพแห่งนั้น ไม่อนุญาตให้ถูกรบกวน!


ดังนั้นแม้จะรู้ว่าหลินสวินมาแล้ว พวกผู้ฝึกปราณที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกเหล่านี้ก็ล้วนไม่เกรงใจสักนิด


ตูม!


เพียงชั่วอึดใจแสงศักดิ์สิทธิ์คับฟ้าพุ่งปราด เจิดจรัสบาดตา ยิ่งมีสมบัติมากมายร่ายระบำ ทอแสงส่องสะท้อน ทั้งหมดล้วนไหลหลั่งไปทางหลินสวิน


ภาพเช่นนั้นเพียงพอจะทำให้บุคคลขอบเขตมกุฎใจสะท้าน


และพร้อมกันนั้นในที่สุดหลินสวินก็ลงมือ นัยน์ตาดำราวกับเหวลึก ไอสังหารแผ่ซ่านครอบฟ้าคลุมดินประหนึ่งกระแสน้ำหลาก ร่างของเขาเปล่งแสง แสงพิสุทธิ์ไหลเวียน ท่วงทำนองมหามรรคดังก้องกระหึ่ม


ตูม!


หมัดหนึ่งซัดออกไป ฟ้าสนั่นดินสะเทือน มองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าห้วงอากาศราวกับผืนผ้าที่ถูกฉีกทำลาย แหวกออกเป็นรอยแยกน่าตกใจสายหนึ่ง และแผ่ขยายยาวออกไป


ปึง!


ผู้ฝึกปราณที่วิ่งมาหน้าสุดถูกหมัดทรงพลังนี้กลบจนจมหายไปในชั่วอึดใจ ร่างระเบิดออกทันที ฝนเลือดแผ่กระจาย


ปึงๆๆ!


จากนั้นเสียงระเบิดดังอู้อี้ข้างหูไม่หยุดหย่อน ประหนึ่งสับกุยช่ายก็ไม่ปาน ผู้แข็งแกร่งที่ถูกพลังหมัดกวาดซัดล้วนถูกทะลวงโจมตี ร่างระเบิดกระจุย เลือดสดๆ สาดเซ็น ไม่ต่ำกว่าสิบกว่าคนล้วนตายคาที่


ส่วนวิชาลับ สมบัติที่พุ่งโจมตีเข้ามานั้น ส่วนหนึ่งถูกพลังหมัดบดขยี้ตรงๆ อีกส่วนยังไม่ทันเข้าใกล้หลินสวินก็ถูกขวางตามๆ กัน จากนั้นก็พังทลายไป


หมัดเดียวสะเทือนเหล่าผู้กล้า!


ในที่นั้นเงียบกริบ คนมากมายใจหายวาบ ร่างกายกำลังสั่นเทิ้ม ถูกหมัดนี้ทำให้สยดสยอง


ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่ได้หยุดฝีเท้า สีหน้าสงบนิ่งจนน่ากลัว


“เทพมารหลิน นี่เจ้ารนหาที่ตาย จะต้องถูกจัดการแน่!” มีคนไม่พอใจที่ถูกหลินสวินบุกเข้าตำหนักเพลิงเทพแห่งเช่นนี้ จึงร้องตะโกนข่มขู่


ตูม!


หลินสวินโบกเสื้อแขนหนึ่งครา ธารดาราแถบหนึ่งกระจายตัวออกไปในห้วงอากาศ ดาวดวงใหญ่ดวงแล้วดวงเล่าระเบิดตัวแผดเผาอยู่ในนั้น บังเกิดพลังล้างผลาญอันน่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุด


เพียงชั่วพริบตาผู้ที่แหกปากคนนั้นก็ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน แถมผู้ฝึกปราณแถวนั้นก็โดนลูกหลง พลอยถูกธารดาราหลอมเพลิงหอบม้วนปกคลุมไปด้วย ถูกเผาตายทั้งเป็น!


ธารดาราหลอมเพลิง!


เป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดของวิชามรรคชั้นยอดนี้ก็คือการโจมตีแบบกลุ่ม พลังทำลายล้างน่าตกใจนัก


จนบัดนี้ผู้ฝึกปราณที่เหลืออยู่พวกนั้นต่างหวาดผวา ไม่กล้าก้าวขึ้นมาทิ้งชีวิตอีก ทั้งหมดล้วนถูกอานุภาพเข่นฆ่านองเลือดระดับนั้นของหลินสวินทำให้ขวัญผวา


เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของหลินสวิน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยเห็นเองกับตา ก่อนหน้านี้ยังถือดีว่าเป็นผู้สืบทอดของสำนักโบราณ หมายจะเข้าไปขัดขวาง


แต่ยามนี้พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ลำพังแค่พลังต่อสู้ของพวกเขาก็เหมือนตั๊กแตนขวางรถ ปาไข่ใส่ศิลาชัดๆ!


ประตูบานใหญ่ตำหนักเพลิงเทพปิดสนิท


ขณะที่เดินผ่านรูปปั้นทองแดงกวางเขียวกระเรียนขาวหน้าตำหนักคู่นั้น หลินสวินพลันสัมผัสได้ถึงพลังต้องห้ามไร้รูปวูบหนึ่งพาดขวางอยู่ตรงหน้า หมายจะขวางไม่ให้เขาเข้าไป


นี่คือบททดสอบอย่างหนึ่ง!


ผู้สืบทอดสำนักโบราณที่อยู่ข้างนอกพวกนั้นต่างรู้ดี มีแต่ยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปข้างในได้


แต่ว่า นี่ย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรงหลินสวินอยู่แล้ว


ตูม!


ฝีเท้าที่ก้าวย่างอยู่ของหลินสวินชะงักเล็กน้อยก่อนจะย่ำเท้าก้าวเข้าไป เมื่อก้าวเท้าข้ามไป พลังต้องห้ามไร้รูปนั้นก็พังทลายโดยทันที!


พร้อมกันนั้นประตูบานใหญ่ตำหนักเพลิงเทพที่ปิดสนิทก็เปิดออกอย่างเงียบๆ


สวบ!


หลินสวินหายตัวเข้าไปข้างในโดยไร้ข้อกังขาใดๆ


ผู้ฝึกปราณที่อยู่นอกตำหนักพวกนั้นเห็นเช่นนี้ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ภายในใจถูกความหวาดผวาที่ควบคุมไม่อยู่กลบมิด


ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นเองกับตาว่ามียักษ์ใหญ่ยอดมกุฎคนแล้วคนเล่าเข้าไปในตำหนักเพลิงเทพ แต่ทุกคนล้วนเปลืองแรงไปไม่น้อย น้อยคนนักที่จะผ่อนคลายแบบหลินสวิน!


ประตูใหญ่ตำหนักเพลิงเทพปิดสนิทอย่างไร้สุ้มเสียง


หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้


เพราะทันทีที่เข้าไปเขาก็ถูกโจมตี


นั่นคือทวนวงเดือนสีครามเล่มหนึ่งฟันลงมา ปรากฏน้ำตกอสนีบาตเจิดจ้า


การฟันครั้งนี้กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของอีกฝ่าย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสั่งสมพลังไว้นานแล้วแค่รอให้หลินสวินเข้ามา อสนีบาตและสายฟ้าเหล่านั้นกร้าวแกร่งและว่องไวยิ่ง


หากเปลี่ยนเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่น ภายใต้การโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว หากไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส


แต่หลินสวินกลับสงบนิ่งไม่ไหวติง กำหมัดแล้วกระแทกออกไปเบาๆ


การโจมตีนี้แผ่วเบาไม่มีกลิ่นอายรุนแรงใดๆ แต่ตอนที่กระแทกโดนทวนวงเดือน บนหมัดนั้นพลันสาดพลังมหาศาลแห่งการทำลายล้างออกมา


เคร้ง!


เสียงปะทะน่าสะพรึงสะเทือนจนหูจะหนวกดังก้องขึ้น เพียงแค่การโจมตีเบาๆ หนึ่งครั้ง แต่ทวนวงเดือนสีครามเล่มนั้นกลับบิดงอสุดแรง คล้ายทนรับการปะทะเช่นนี้ไม่ไหว


จากนั้นเป็นเสียงดังปึง เงาร่างที่ถือทวนวงเดือนนั้นราวกับถูกสายฟ้าฟาด ถูกซัดสะเทือนจนลอยคว้างออกไป


เมื่อมองดีๆ แล้วเจ้าของทวนวงเดือนนั้นก็คือผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรคนหนึ่ง ผมดำคิ้วขาว ดวงตาเย็นชาราวกับคมดาบ กำยำล่ำสันอย่างที่สุด


เพียงแต่เวลานี้เขากลับทำหน้าตกใจ สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเขียวเดี๋ยวซีดขาว คล้ายไม่อยากเชื่อว่ากระบวนท่าที่ตนสั่งสมพลังมานานจะถึงกับถูกกำจัดอย่างง่ายดายเช่นนี้


หนำซ้ำหากไม่เบี่ยงหลบทันเวลา ก็เกือบถูกโจมตีบาดเจ็บด้วย!


“หนอยเทพมารหลิน ไม่เสียทีที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎ” ชายหนุ่มคิ้วขาวสีหน้าอึมครึม


หลินสวินไม่ได้สนใจเขา สายตาและจิตรับรู้ของเขาแผ่ครอบทั่วลานทันที


ภายในตำหนักนี้กว้างใหญ่อย่างยิ่ง ใหญ่โตจนเหมือนฟ้าดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชายคาประหนึ่งม่านฟ้า สูงลิ่วอย่างที่สุด ประดับประดาด้วยมุกแดงเพลิงเม็ดแล้วเม็ดเล่าราวกับดวงดาวส่องแสงมากมาย


เสาทองแดงมหึมาแต่ละต้นตั้งตระหง่านในตำหนัก รวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดต้น แต่ละต้นล้วนแกะสลักลวดลายโบราณ มีวิหคบุปผามัจฉาแมลง สุริยันจันทราภูผาธารา พิธีเซ่นสรวงบรรพบุรุษ…


ยืนอยู่ตรงหน้าเสาทองแดงก็ตัวเล็กราวกับมด


จะเห็นได้ว่าตำหนักแห่งนี้กว้างใหญ่แค่ไหน เหมือนกับวังสวรรค์ในตำนานอย่างไรอย่างนั้น!


เวลานี้เบื้องหน้าตำหนักใหญ่มีเงาร่างหลายสิบสายครองพื้นที่แต่ละฝั่ง มาจากขุมอำนาจแตกต่างกัน มีทั้งแสงทองไหลเวียนทั่วร่าง มีทั้งแสงเงินพร่าเลือน และมีทั้งเรือนผมยาวสีม่วง


แต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ทว่าบุคลิกของทุกคนล้วนน่ากลัวไร้ใดเปรียบ ราวกับเทพไท้หลากหลายองค์ยืนอยู่ตรงนั้น ลำพังแค่อานุภาพที่แผ่ออกมาก็พาให้ผู้คนหายใจไม่ออกแล้ว


เพียงชั่วพริบตา หลินสวินก็มองเห็นอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง ธิดาเทพหลิงหวาสัตว์ประหลาดยุคโบราณแห่งสำนักยุทธ์นครนิล และ เหลียงเซวี่ยอิ๋นแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูร


นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มผมสีเทาสะพายคันธนูยาวกระดูกสัตว์คนหนึ่ง รวมถึงชายหญิงคนอื่นๆ อีกส่วนหนึ่ง บุคลิกล้วนไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ ในที่นั้น


“เทพมารหลิน หึๆ เจ้าถึงกับกล้ามาที่นี่คนเดียวหรือ” อูหลิงเฟยหัวเราะอย่างอ่อนโยน ในดวงตามีประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลวน


“แค่แจ้นมาตายเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ” ชายหนุ่มหน้าตาแปลกประหลาด มีเรือนผมสีม่วงคนหนึ่งยิ้มเยาะ เขาสวมชุดศึกสีเงิน สองมือไพล่หลัง มองสำรวจหลินสวินอย่างไม่แยแส


หลินสวินยังคงไม่สนใจเช่นเคย


สายตาของเขาเวลานี้มองไปในส่วนลึกของตำหนักใหญ่


ตรงนั้นเจ้าคางคกเลือดไหลท่วมตัว ผมเผ้ารุงรัง ร่างกายซวนเซโงนเงนคล้ายจวนจะยืนหยัดไม่อยู่


ร่างกำยำดั่งภูเขาของอาหลู่ขวางอยู่ตรงหน้าเจ้าคางคก เพียงแต่สภาพของเขาก็อนาถพอกัน บนร่างกายบึกบึนดั่งหินผาเต็มไปด้วยบาดแผลที่มีเลือดโซม เลือดสดๆ ไหลอาบ รวมตัวกันเป็นแอ่งเลือดอยู่แทบเท้าเขา


พริบตานี้นัยน์ดำของหลินสวินหดรัด ทุกอณูบนผิวหนังคล้ายกำลังลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ เขาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าทั้งคู่จะตกอยู่ในอันตราย


แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะบาดเจ็บจนเป็นสภาพนี้!


เพลิงโทสะที่ไม่เคยมีมาก่อนพลุ่งพล่านสุมอก สีหน้าหลินสวินกลับสงบนิ่งขึ้นทุกที นี่หมายความว่าเขาเดือดดาลเกินจำกัดไปแล้ว


“แม่งเอ๊ย! หลินสวินขืนเจ้ายังไม่มาอีก ข้าคงตายหยังเขียดเท่านั้นแล้ว” เจ้าคางคกตะโกนลั่น เพียงแต่เขาบาดเจ็บสาหัส ทันทีที่เปิดปากก็ไออย่างรุนแรง ใบหน้าหล่อเหลาหาใดเปรียบนั่นเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด


“พี่ใหญ่!” อาหลู่ก็ตื่นเต้นอย่างที่สุด ร้องคำราม “ช่วยข้าสักเรื่องได้หรือไม่”


“เจ้าว่ามา”


หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฝืนข่มความเดือดดาลภายในใจเอาไว้ เพียงแต่มือสองข้างของเขาเริ่มสั่นน้อยๆ นี่คือสัญญาณเตือนว่าจวนจะควบคุมไอสังหารในใจไม่ไหวแล้ว


“ฆ่าพวกมันให้เรียบ!”


อาหลู่เอ่ยเน้นทีละคำ กัดฟันกรอด เผยความเคียดแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

 


ตอนที่ 1141 ไอสังหารปะทุ

 

เจ้าคางคกและอาหลู่ไม่ใช่คนอ่อนแอ ตรงกันข้าม พลังต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด ทั้งยังครอบครองพลังมรดกตกทอดอันน่าตกใจ ไม่ด้อยไปกว่ายักษ์ใหญ่ยอดมกุฎหน้าไหนในรุ่นนี้เด็ดขาด


แต่ยามนี้พวกเขากลับบาดเจ็บสาหัส เผชิญกับสถานการณ์สิ้นหวัง!


มองปราดเดียวหลินสวินก็ดูออกว่าหากตนมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ผลลัพธ์ที่ตามมาของทั้งคู่คงไม่อาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน


และพวกที่ปิดล้อมพวกเขาสองคนก็คือบุคคลชั้นเลิศจากขุมอำนาจแตกต่างกันหลายสิบคน ในนั้นยังไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างอูหลิงเฟย หลิงหวา เหลียงเซวี่ยอิ๋น!


กล่าวได้ว่าทั้งคู่สามารถยืนหยัดมาถึงจนตอนนี้ได้ ก็ไม่ง่ายอย่างถึงที่สุดแล้ว


ฆ่าพวกมันให้เรียบ!


ถ้อยคำสั้นๆ ก้องสะท้อนอยู่ในตำหนักยิ่งใหญ่ไร้ใดเปรียบแห่งนี้


เปี่ยมด้วยความไม่ยินยอม เกรี้ยวกราดและเคียดแค้นไม่รู้จบ!


หลินสวินไม่ต้องคิดก็รู้ว่า สามารถทำให้อาหลู่โกรธแค้นจนเป็นเช่นนี้ได้ แสดงว่าการโจมตีที่ทั้งคู่ประสบทั้งหมดก่อนหน้านี้หดหู่และหมดหนทางมากเพียงใด


“ได้!”


ริมฝีปากหลินสวินพ่นหนึ่งคำออกมาเบาๆ เดือดพล่านกึกก้องราวกับสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน ที่มาพร้อมกับเสียงนั้นยังมีไอสังหารที่ไม่อาจควบคุมได้


แผ่กว้างเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว พาให้ห้วงอากาศกรีดร้อง


พริบตาเดียวคนไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี ในสายตาของพวกเขา หลินสวินราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ประหนึ่งเทพมารโผล่ออกมาจากเหวลึก อานุภาพที่แผ่ออกจากตัวพาให้ผู้คนขวัญผวา


“ฮ่าๆ พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเทพมารหลินคนเดียวจะสามารถช่วยชีวิตพวกเจ้าได้”


ชายหนุ่มที่อบอวลแสงเงิน สะพายกระบี่กระบี่วิญญาณเอ่ยปาก ในน้ำเสียงเจือแววล้อเลียน


“หลินสวิน เจ้าอย่าเพิ่งพูดจารุนแรง สถานการณ์ตอนนี้เจ้าเองก็เห็นแล้ว ยอมรับข้าเป็นนายตอนนี้ยังไม่สาย ข้ารับรองว่าจะให้โอกาสเจ้าได้รอดชีวิตสักครั้ง”


อูหลิงเฟยในชุดคลุมสีทองรอยยิ้มอบอุ่น เอ่ยคำอย่างสบายๆ


“อูหลิงเฟย เจ้าทำเช่นนี้ผ่านความเห็นชอบจากพวกเราลัทธิบูชาจันทร์แล้วหรือ” ชายหนุ่มที่มีดวงตาสีม่วงสุกใส ผิวพรรณเนียนขาวเอ่ยปากเย็นเยียบ


ลัทธิบูชาจันทร์!


สำนักโบราณลึกลับแห่งหนึ่งในแดนเร้นอริยะ รากฐานเก่าแก่อย่างที่สุด


ชายหนุ่มตาม่วงคนนี้นามว่าเลี่ยอวิ๋นไห่ เป็นปีศาจแห่งยุคคนหนึ่งในลัทธินี้ มีพลังต่อสู้ที่ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ


“พูดมากไปทำไม พวกเรามาเพื่อแย่งชิงวาสนา ใครกล้าขัดขวางก็ฆ่ามันเสีย!” หญิงสาวที่สะพายสัญลักษณ์แสงทมิฬไว้บนหลังคนหนึ่งเอ่ยขึ้น


นางคือทายาทเผ่าโบราณแสงทมิฬ นามว่าเสวียนจิง


“ข้าเคยได้ยินชื่อเทพมารหลินนี่มานานแล้ว แต่สหายสองคนนี้ของเขาช่างอ่อนแอยิ่ง พาให้ผู้คนผิดหวังนัก”


ชายหนุ่มผมเขียวกลางหว่างคิ้วประทับลายแปลกประหลาดคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “หรือไม่ทุกท่านคอยดูไปก่อน ให้ข้าเล่นสนุกกับเทพมารหลินที่ชื่อเสียงเกรียงไกรคนนี้ก่อน?”


คราวนี้เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎเผ่าวิญญาณสมุทรคนหนึ่งนามว่าซางหลัน กร้าวแกร่งอย่างที่สุด ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็สำแดงความแข็งแกร่งน่าตกใจออกมา


“น่าขัน!” อาหลู่ตะคอกอย่างฉุนเฉียว “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าปิดล้อมอย่างหน้าไม่อาย สวะอย่างเจ้าพรรค์นี้ กระบองเดียวของข้าก็สามารถฟาดพวกเจ้าตายทั้งฝูงแล้ว!”


ซางหลันที่เรือนผมสีเขียวหัวเราะเย็นชากล่าวว่า “คนแพ้ก็กล้าต่อปากต่อคำด้วยหรือ สู้กันตัวต่อตัวเจ้าก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้นัก”


ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจต่างกันหลายสิบคนในที่นั้นล้วนถือดี เอ่ยปากพูดจาไร้สาระ มองหลินสวินราวกับไร้ตัวตน


หลินสวินไม่สนใจ เขากำลังสัมผัสรับรู้อย่างละเอียด


และยามนี้ในที่สุดเขาก็มั่นใจ ในนี้มีคู่ต่อสู้เพียงยี่สิบหกคนเท่านั้น ไม่มีใครแอบซ่อนอยู่ในมุมมืดแต่อย่างใด


“ไม่ต้องแย่งกันแล้ว ข้าจะสู้กับเทพมารหลินนี่สักตั้ง!”


เลี่ยอวิ๋นไห่จากลัทธิบูชาจันทร์ลุกขึ้น พรสวรรค์ของเขาเยี่ยมยอด ภายในกายไหลเวียนด้วยเลือดแห่งการต่อสู้อันกร้าวแกร่งที่สุด พลังต่อสู้น่ากลัวอย่างที่สุด


“ไม่ ให้ข้าลงโทษเทพมารหลินนี่ก่อน!”


เสวียนจิงที่สะพายสัญลักษณ์ลึกลับชิงตัดหน้าเสียก่อน เงาร่างพริบไหว เสียงดังตูมหนึ่งครา ห้วงอากาศล้วนถูกฉีกทึ้ง กลิ่นอายของนางชวนผวาหาใดเปรียบ ดุจสายฟ้าแสงทมิฬสายหนึ่งคำรามกึกก้องลงมา


“แย่งกันมาทิ้งชีวิตหรือ ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะเชือดพวกเจ้าทีละคน” นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น ไหลเวียนด้วยประกายเย็นเฉียบที่พาให้ผู้คนใจสะท้าน


เขาไม่ข่มไอสังหารที่พลุ่งพล่านภายในกายอีกต่อไป!


ตูม!


เสวียนจิงพุ่งเข้ามาแล้ว ฝ่ามือเนียนขาวรายล้อมด้วยแสงทมิฬน่าสะพรึง แฝงพลังมหามรรคอันไร้ที่สิ้นสุด ฟันสังหารเข้ามา


ฝ่ามือทลายพิภพแสงทมิฬ!


นี่คือวิชาชั้นยอดแห่งเผ่าโบราณแสงทมิฬ ฟันออกไปหนึ่งคราห้วงอากาศแหวกทลาย เฉียบขาดฉับไวอย่างที่สุด แสงทมิฬเจิดจ้าพร่าตา


คนมากมายนัยน์ตาหดรัด เพราะในการต่อสู้ก่อนหน้านี้เสวียนจิงไม่ได้สำแดงพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาด้วยซ้ำ แต่ยามนี้เมื่อต่อกรกับเทพมารหลิน พลังต่อสู้กลับเปลี่ยนไปจากเดิมลิบลับ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้นางเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้


ความจริงแล้วอย่าเห็นว่าพวกเขามีหลายสิบคน แต่เพราะมาจากขุมอำนาจต่างกัน ต่างฝ่ายต่างกริ่งเกรงและหวาดระแวงอยู่ในใจ ตอนที่ปิดล้อมอาหลู่และเจ้าคางคกก่อนหน้านี้ ต่างฝ่ายต่างก็เกิดการยื้อยุดกัน ล้วนไม่เคยทุ่มสุดกำลังอย่างแท้จริง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นฉวยโอกาส


และนี่ก็ให้โอกาสเจ้าคางคกและอาหลู่ได้หายใจหายคอ หากไม่เป็นเช่นนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมจากบุคคลกร้าวแกร่งมากมายขนาดนี้ คงยากที่ทั้งคู่จะสามารถยืนหยัดมาถึงป่านนี้ได้


พูดแล้วเหมือนช้าแต่ความจริงกลับรวดเร็วยิ่ง เผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้ของเสวียนจิง หลินสวินชูมือขึ้นกำเป็นหมัด พลังหมัดดั่งทะเลกว้างเวิ้งว้าง ทำลายล้างย่อยยับ


ตูม!


ห้วงอากาศแถบนั้นสั่นรัว ส่งเสียงโหยหวนแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์พราวพร่างพลิกตลบ ท่วมบริเวณนี้จนมิด


ที่น่าอัศจรรย์คือเสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดต้นในตำหนักแห่งนี้เปล่งแสง พลังต้องห้ามอันพร่าเลือนไหลหลั่ง ทำให้ทั่วตำหนักทนทานมั่นคง ไม่เคยได้รับความเสียหาย


หาไม่ลำพังแค่พลังของการโจมตีครั้งนี้ก็เพียงพอจะใช้บดขยี้ภูผาธาราแล้ว


ขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่กว้าง หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


ส่วนเสวียนจิงจากเผ่าโบราณแสงทมิฬที่สายเลือดสูงส่งไร้ใดเปรียบ เข้ามาเร็วเท่าใดตอนถอยไปกลับเร็วยิ่งกว่า เงาร่างซวนเซถอยครูดออกมาหลายจั้ง ลำแขนหยกข้างหนึ่งสั่นระริกน้อยๆ มีเลือดสดไหลออกจากง่ามนิ้ว


“เทพมารหลินนี่ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ” คนมากมายล้วนตกใจ พลังต่อสู้ของเสวียนจิงเป็นที่ประจักษ์ของทุกคน แต่กลับพลาดท่าตั้งแต่การประมือคราแรก พาให้ผู้คนเหนือความคาดหมายนัก


“ดีมาก คู่ต่อสู้เช่นนี้ฆ่าแล้วจึงจะสนุก ถ้าเป็นพวกไม่ได้ความข้าคงรังเกียจจะลงมือ!”


เสวียนจิงดูเหมือนอ่อนแอและสวยงาม แต่คำพูดกลับรุนแรงและบีบเค้นผู้คน ยามนี้นัยน์ตาเปล่งประกาย เจือแววเย็นชาเย้ยฟ้า


ชิ้ง!


นางเรียกดาบโค้งที่มีแสงทมิฬไหลเวียนเล่มหนึ่งออกมา ยามเอ่ยปากก็พุ่งเข้ามาแล้ว


“น่าเสียดาย เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะขวางข้าได้ ต้องทิ้งชีวิตอย่างแน่นอน!”


หลินสวินเสียงต่ำ จากนั้นเขาโจมตีออกไปโดยไม่ออมมือ เขาอดทนมานานมากแล้ว ความเคียดแค้นภายในใจประหนึ่งภูเขาไฟระเบิด จำเป็นต้องระบายออกมา


ตูมโครม!


ทั้งสองฟาดฟันกันอย่างดุเดือด หลังจากปะทะกันหลายสิบครั้ง หลินสวินพลันกดฝ่ามือลงเต็มแรง เสียงปึงดังขึ้นหนึ่งครา ดาบโค้งในมือเสวียนจิงถูกซัดปลิว


นอกจากนี้ร่างอรชรของนางราวกับถูกภูเขาใหญ่กระแทก ลอยคว่ำออกไป ริมฝีปากชมพูกระอักเลือด ดวงหน้างามพลันซีดขาวไร้ใดเปรียบทันที


บริเวณหัวไหล่ของนาง กระดูกเส้นเลือดยุบทลาย เลือดเนื้อแหลกเละ แขนข้างซ้ายเกือบถูกตัดออก อีกแค่นิดเดียวก็จะเฉือนเข้าลำคอของนางได้แล้ว!


“อะไร!?”


ทุกคนไหวหวั่น แววตาทอประกาย


พวกเขาก่อนหน้านี้ยังพากันลำพองตนยิ่ง ในใจอย่างมากก็เห็นหลินสวินเป็นบุคคลในระดับเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวเท่าไรนัก


แต่ยามนี้พวกเขาต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง พลังต่อสู้ของเทพมารหลินกร้าวแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้ลิบลับ!


“ข้ามาช่วยเจ้า”


ทันใดนั้นซางหลันแห่งเผ่าวิญญาณสมุทรส่งเสียงร้องยาว เรือนผมเขียวทั้งศีรษะปลิวสยาย กระชับขวานยักษ์เล่มหนึ่งพุ่งตัวเข้าสมรภูมิ


บุคลิกของเขาดุจทะเลคลั่งหอบม้วน แต่ละก้าวที่ย่างเหยียบออกมาห้วงอากาศล้วนแตกเป็นเสี่ยง ขวานยักษ์พวยพุ่งแสงมรรคบาดตา อานุภาพน่าสะพรึงอย่างที่สุด


แต่เพียงแค่การโรมรันสิบกว่าหน เขาก็ถูกหลินสวินใช้ปะทะฟู่ซี่โจมตีบาดเจ็บ ปากกระอักเลือด กระเด็นไปกระแทกเสาทองแดงต้นหนึ่งอย่างจังเหมือนว่าวที่สายป่านขาด เบื้องหน้าปรากฏดาวสีทอง


ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง สายตาที่มองหลินสวินราวกับมองดูสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็ไม่ปาน


ที่ผ่านมาพวกเขาแต่ละคนในที่นี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาผู้ฝึกปราณอื่นๆ กร้าวแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ


แต่ยามนี้ความแข็งแกร่งในพลังที่หลินสวินสำแดงออกมา กลับทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอยู่


“ทุกท่าน เลี่ยงไม่ให้ค่ำคืนยาวนานความฝันยืดเยื้อ พวกเราเข้าไปพร้อมกันเถอะ เทพมารหลินคนนี้มีพลังต่อสู่พลิกฟ้า หากคิดจะสยบเขาก็ต้องร่วมแรงร่วมใจกันจึงจะทำได้” อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองนัยน์ตาไหววูบ สีหน้าเจือความเคร่งขรึม


ก่อนหน้านี้เขายังเปรยว่าอยากรับหลินสวินเป็นบริวาร แต่ยามนี้ ไม่กล้าทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว


“องค์ชายเจ็ดกล่าวถูกต้อง เทพมารหลินคนนี้ดูท่าฝีมือร้ายกาจยิ่ง หากพวกเราต่างฝ่ายต่างต่อสู้ ไม่แน่อาจถูกเขาโจมตีพ่ายทีละคนก็ได้ ผลลัพธ์นี้คิดว่าคงไม่ใช่สิ่งทุกคนอยากเห็นแน่”


เทพธิดาหลิงหวาก็เอ่ยปากเช่นกัน แววตาเย็นเยียบเผยความอาฆาต กระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่ลืมความอัปยศที่หลินสวินเคยทำกับนาง


“พี่ใหญ่ ต้องช่วยหรือไม่!” อาหลู่ตะโกนเสียงดัง เขาดูออกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ในใจหวั่นวิตก


“หุบปากเถอะ! เจ้าเข้าไปรังแต่จะเพิ่มความวุ่นวาย ปกป้องข้าให้ดีก็พอแล้ว!”


เจ้าคางคกไออย่างหนัก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “โอกาสสร้างความโดดเด่นระดับนี้ก็ให้เขาไปนั่นแหละดีแล้ว ถ้าเขาถูกซัดหมอบจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ได้แต่จบชีวิตเท่านั้น!”


“ฆ่า!”


ในที่นั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมา หันปลายหอกไปทางหลินสวินเพียงคนเดียว


พวกเขามาจากขุมอำนาจต่างกัน ครั้งนี้ต่างมาเพื่อแย่งชิงศุภโชค แต่ก็รู้ดีว่าหากไม่จัดการหลินสวินให้สิ้นซากก่อน ใครหน้าไหนก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมาย


“อาหลู่ ปกป้องเจ้าคางคกให้ดี พวกเจ้าแค่คอยดูว่าข้าจะฆ่าพวกมันให้เรียบอย่างไร!”


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวลุกโชนดุจเตาเพลิง คุกรุ่นสุดกำลัง โทสะหยาจื้อ วิชาอริยะยุทธ์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร… ความเร้นลับทั้งหมดถูกโคจร


และยามนี้พลังมหามรรคที่เขาเลือกใช้ทั้งหมดกลับเปลี่ยนไปแล้ว ใช้มรรคดับดารากลืนกินโดยไม่มีการยั้งมือแต่อย่างใด!


“ฮ่าๆ พูดมาได้ไม่อายปาก อย่าว่าแต่เจ้าเลย ไม่ว่าใครหน้าไหนโผล่มาล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเหมือนกัน!”


มีคนหัวเราะเยาะ


นี่ไม่ใช่คำคุยโว โดยทั่วไปแล้วแม้จะเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ ก็ไม่สามารถสกัดการปิดล้อมของคนรุ่นเดียวมากมายขนาดนี้ได้


ควรรู้ว่าในหมู่พวกเขาไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณและปีศาจแห่งยุค ล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งยอดมกุฎ เป็นบุคคลดุจดั่งนายเหนือหัวของฝ่ายหนึ่งกันทั้งสิ้น


แน่นอน นี่เป็นเพียงสถานการณ์ทั่วไปเท่านั้น


ตูม!


คนที่พุ่งเข้ามาก่อนคือเลี่ยอวิ๋นไห่จากลัทธิบูชาจันทร์ นัยน์ตาม่วงของเขาสาดประกายแปลกประหลาด ร่างกายมีแสงเมฆพวยพุ่ง ระเบิดอานุภาพศักดิ์สิทธิ์


ทวนศึกเล่มหนึ่งในมือเขากวาดขวาง ราวกับจันทร์เพ็ญสีม่วงดวงหนึ่งกำลังเคลื่อนขวาง แสงศักดิ์สิทธิ์ลุกโหม


เพียงแต่หลินสวินยื่นมือคว้าคราเดียวก็ทำลายพลังโจมตีของเขา คว้าทวนศึกของเขาเอาไว้แน่นหนาด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด จากนั้นก็ออกแรงดุดัน


ตึง!


ทวนศึกถูกหลินสวินบังคับแย่งเอาไป จากนั้นทวนศึกกวาดผ่าน เลี่ยอวิ๋นไห่ถูกทวนศึกของตัวเองกระแทกปลิวออกไปทันที!


“ฆ่า!”


ไอสังหารและความเคียดแค้นสุมอกของหลินสวินกลายเป็นเสียงคำรามลั่น ราวกับอสนีโหมกระหน่ำเก้าสวรรค์ เลือดลมเดือดระอุ พุ่งทะยานเข้าไป


ผมดำของเขาปลิวสยาย สีหน้าเย็นเยียบจนน่ากลัว แม้เผชิญหน้ากับวงล้อมโจมตีของทุกคน ก็ไร้ซึ่งแววกริ่งเกรงแต่อย่างใด เป็นฝ่ายสำแดงการเข่นฆ่าก่อน! 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)