Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1124-1129
ตอนที่ 1124 วานรเฒ่ากับคุณชายน้อย
“สามพันแดน หมายถึงอาณาเขตสามพันแห่งในแดนมกุฎ!”
“แต่ละอาณาเขตล้วนมีศุภโชคต่างกันไป!”
“แต่มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถดันตนขึ้นสู่สิบอันดับแรกในแต่ละอาณาเขตเท่านั้นถึงมีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบน พวกเจ้ารู้หรือไหม”
เจ้าคางคกพ่นน้ำลายแตกฟอง โจมตีท่าทีสบประมาทของหลินสวินและอาหลู่เพื่อล้างความอัปยศ ไม่ปกปิดซ่อนงำอีก พูดเรื่องที่ตนรู้ออกมาจนหมด
“มีเพียงเข้าสู่แดนเก้าบนถึงมีโอกาสดันตนขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า พวกเจ้ารู้ไหมล่ะ”
“ไม่รู้ล่ะสิ บอกพวกเจ้าได้เลยว่ามีแค่ในแดนเก้าบนจึงจะผนึกศุภโชคพลิกฟ้าที่แท้จริง พวกเจ้าคงเข้าใจสินะ”
“ไม่เข้าใจกระมัง เช่นนั้นพวกเจ้าคงรู้ว่าแดนเก้าบนถูกมองเป็น ‘แดนมกุฎหลอมโลหิต’ ภายในนั้นอันตรายมากแค่ไหนสินะ”
“คงยังไม่รู้กระมัง ดูท่าทางไม่ประสานั่นของพวกเจ้าสิ ต่างอะไรกับกบในกะลาที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
เจ้าคางคกยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล คำพูดยกตนข่มท่าน
หลินสวินและอาหลู่ต่างนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แม้เจ้าคางคกท่าทีกำเริบเสิบสานไปบ้าง แต่คำที่พูดล้วนมีแก่นสารสำคัญ
“ดังนั้นไม่รู้ก็ไม่ผิด ผิดที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าตัวเองเบาปัญญามากแค่ไหน!” เห็นดังนี้เจ้าคางคกได้ใจยิ่งกว่าเดิม น้ำลายกระเซ็นเกือบโดนหน้าทั้งคู่
“พี่ใหญ่ ท่านเห็นว่าอย่างไร” อาหลู่ใจฝ่ออยู่บ้าง ถูกท่าทีเจ้าคางคกทำให้หวาดหวั่น
คำตอบของหลินสวินนั้นง่ายมาก ซัดฝ่ามือหนึ่งลงท้ายทอยเจ้าคางคกตำหนิใส่โครมๆ “ในเมื่อเจ้ารู้มากขนาดนี้ ทำไมแต่ก่อนไม่ยอมพูด หากเจ้าบอกเร็วกว่านี้พวกเราจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้หรือ”
เจ้าคางคกเซถลา มือกุมท้ายทอย โกรธจนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดดำ “ไม่รู้ก็ตีคนอื่นได้ตามใจรึ”
เห็นสีหน้าหลินสวินไม่น่าดู เจ้าคางคกรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะๆ ข้ารับรองว่ายามมุ่งสู่แดนมกุฎจะเป็นตะเกียงนำทางให้พวกเจ้าเองพอใจไหม”
อาหลู่ยิ้มเยาะกล่าว “นำทางก็นำทางสิ ยังคุยโวเป็นตะเกียงอะไร คางคกเรื้อนอย่างเจ้านี่ไม่พูดยอตัวเองหน่อยจะตายรึ”
“ข้าจะฆ่าคนเถื่อนอย่างเจ้าซะ!”
เจ้าคางคกโกรธจนแผดเสียงพุ่งเข้าหาอาหลู่
คู่แค้นเปิดฉากตีกันอีกแล้ว
หลินสวินกลับลอบตัดสินใจว่าต้องหาเวลาจัดการเจ้าคางคกดีๆ สักหน่อย ในท้องเจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าซ่อนข้อมูลไว้ไม่น้อย แต่มักจะปิดบังอำพรางเสมอ ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย
‘ก็ไม่รู้ว่าจิ่งเซวียนจะรับปากออกเคลื่อนไหวพร้อมข้าหรือไม่…’ จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงจ้าวจิ่งเซวียนที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอันห่างไกล จมสู่ห้วงความคิด
…
จันทร์เคียวเกี่ยวฟ้า แขวนตัวสูงเหนือนภายามค่ำ
บนพื้นปฐพีโกรกธารหลากสายไขว้สลับ กลางฟ้าดินปราณกระบี่ครวญ เสริมความวังเวงให้รัตติกาล
กาๆ
อีกาตัวหนึ่งกระพือปีกบินมาแต่ไกล
ทว่าทันทีที่ร่างมันเข้าใกล้ฟ้าดินแถบนี้ ก็ถูกปราณกระบี่ซึ่งทิ้งร่องรอยในอากาศเคล้นขยี้กลายเป็นหมอกโลหิต
บนพื้นร่างสือเจินทงสั่นเทา คล้ายใช้พลังที่มีจนหมดจึงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก…
เมื่อสายตามองไปยังเงาร่างอาภรณ์ขาวเหนือหิมะที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าก็เจือความหวาดกลัวและท้อแท้ลึกล้ำอย่างไม่อาจระงับ
คนผู้นี้ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้
สือเจินทงคือสัตว์ประหลาดยุคโบราณของเผ่าสิงห์ค่อม ไม่นานมานี้เพิ่งปรากฏตัวบนโลก เคยเอาชนะผู้กล้าทรงอิทธิผลแห่งยุคสิบเก้าคนในสามวัน สร้างชื่อเสียงเลื่องลือสะเทือนเขตแดนฝั่งหนึ่ง
พรสวรรค์เขาโดดเด่น ทรงพลังไร้จำกัด ฝึก ‘เคล็ดวิชาย้ายภูผา’ ของเผ่าสิงห์ค่อม ในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณถือเป็นบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง
แต่วันนี้เขากลับพ่ายแพ้
แพ้ภายใต้สามกระบี่!
หรือพูดได้ว่าเขาต้านไม่ได้แม้แต่สามกระบี่ ถูกกำราบโดยสมบูรณ์!
สือเจินทงในตอนนี้บนร่างมีรอยกระบี่สามสาย
รอยหนึ่งอยู่ที่อก เหยียดยาวจากลำคอถึงสะดือ บาดแผลหนึ่งชุ่น ผิวปริเนื้อแตกหลั่งเลือดแดงสด
รอยหนึ่งอยู่ตรงแผ่นหลัง เป็นรอยแผลตัดขวางลึกหนึ่งชุ่น ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย
ที่น่าตะลึงที่สุดคือรอยกระบี่สุดท้ายตรงคอหอย ยังมีขนาดเพียงหนึ่งชุ่น นี่คือรอยกระบี่ที่ถูกแทงในคราเดียว!
หากแทงทะลุอีกหน่อยต้องสิ้นชีพในกระบี่เดียวแน่!
บาดแผลเหล่านี้ดูเหมือนไม่สาหัส แต่กลับมอบการโจมตีหนักหน่วงอย่างไม่มีอะไรเหนือกว่าให้แก่สือเจินทง เกือบทำให้จิตมรรคเขาพังทลาย
เพราะเขารู้ชัดว่าหากอีกฝ่ายคิดฆ่าเขา แค่กระบี่เดียวก็สามารถปลิดชีพเขาได้!
และด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกท้อแท้และหวาดกลัว
ในฐานะสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง สือเจินทงไม่เคยคิดมาก่อนว่าในระดับเดียวกันพลังต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามจะน่ากลัวเช่นนี้!
“ข้าแพ้แล้ว”
สือเจินทงหดหู่ ความเชื่อมั่นถูกกระเทือนอย่างหนัก จิตต่อสู้ถดถอย เขารู้ว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้ทิ้งเงามืดที่ไม่อาจลบเลือนแก่เขาแล้ว!
จากนั้นเขายืนขึ้นก้าวเดินกะเผลกห่างออกไป เงาร่างโดดเดี่ยว แววตาเลื่อนลอย อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้นี้ ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้
หากถูกผู้ฝึกปราณอื่นเห็นเข้าเกรงว่าคงไม่อาจจินตนาการ ว่านี่คือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ชื่อเสียงโจษจันในช่วงนี้
จันทราดั่งสายธนู เฉียบคมดุจเคียว สาดแสงเย็นลงมา
มองส่งอีกฝ่ายจากไป อวิ๋นชิ่งไป๋กลับถอนใจเบาๆ คล้ายไม่พอใจรวมถึงรู้สึกไร้รสชาติอยู่บ้าง
เขายกมือสะบัดคราหนึ่ง กระบี่โบราณในมือพลันโฉบออก
ข้ากระบี่ที่ริมฝีปากแดงฟันขาว รูปงามแคล่วคล่องคนหนึ่งปรากฏตัว รับกระบี่โบราณเล่มนี้ด้วยสองมือ จากนั้นจึงเก็บเข้าฝักกระบี่บนหลังอย่างระวัง
จากนั้นข้ากระบี่จึงเอ่ยกล่าว “ขอแสดงความยินดีที่คุณชายชนะศึก กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งพ่ายในวันนี้ กลายเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนแรกที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้ในช่วงนี้!”
เสียงฉะฉานเปี่ยมความเคารพเลื่อมใสอย่างเห็นได้ชัด
“ต่อไปวาจาเช่นนี้อย่าได้พูดอีก คู่ต่อสู้ไม่ได้เรื่องคนหนึ่งไม่มีอะไรคู่ควรให้ยินดี”
น้ำเสียงอวิ๋นชิ่งไป๋ราบเรียบ เขาเอามือไพล่หลัง อาภรณ์ขาวพลิ้วไหว หันหลังมุ่งไปยังที่ห่างไกล
เห็นดังนี้ข้ากระบี่ยิ่งเทิดทูนกว่าเดิม รู้สึกได้รางๆ ว่านี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่ายอดฝีมือเดียวดาย คุณชายได้ยืนหยัดเหนือมกุฎแล้ว ผู้ที่พอเป็นคู่ต่อสู้ได้มีเพียงบางตาไม่กี่คน!
หนึ่งนายหนึ่งบ่าวปรากฏตัวในเมืองแห่งหนึ่งยามรุ่งเช้า
“คู่ต่อสู้คนต่อไปเป็นใคร”
อวิ๋นชิ่งไป๋ถาม
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งของสำนักกระบี่เมฆาเหิน นาม…”
ไม่รอข้ากระบี่พูดจบ อวิ๋นชิ่งไป๋ก็ตัดบทกล่าว “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง บอกข้ามาว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“หุบเขาเจียวมรกตขอรับ”
ข้ากระบี่รีบแจ้งชื่อสถานที่หนึ่ง
อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้า เขาปิดด่านมาสิบปีแล้ว เก็บตัวเงียบมาสิบปี
บัดนี้ปรากฏตัวบนโลก ผู้ฝึกปราณไม่น้อยในปัจจุบันต่างคิดว่าเขามีคู่ต่อสู้แล้ว หาใช่บุคคลที่ไร้คู่ต่อกรใต้ระดับราชันเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีก
ถึงขั้นมีคนคิดว่าเขาเทียบสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางส่วนไม่ได้!
อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่โต้แย้ง แต่เข้าสู่โลกโดยตรง วางแผนเลือกสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนมาลองกระบี่
ทั้งสองมาถึงใจกลางเมืองโดยไม่รู้ตัว ที่นี่ต้นข่าวสารต้นหนึ่งเด่นตระหง่าน แม้เป็นยามเช้าตรู่แต่บริเวณนี้ก็ห้อมล้อมด้วยเงาร่างผู้ฝึกปราณนานแล้ว
“เป็นข่าวใหญ่ชวนตะลึงดังคาด! ทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัวก็กำราบจินเซี่ยวหมิงอย่างแข็งกร้าว สังหารจนเขาหนีหัวซุกหัวซุน ช่างทำให้ผู้คนสะใจจริง!”
“จินเซี่ยวหมิงสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่น่าเกรงขามกลับรักษาไม่ได้แม้แต่ร่างแยก ถูกเทพมารหลินตุ๋นเป็นน้ำแกงงูหม้อหนึ่งกินไปแล้ว บทสรุปนี้ช่างน่าอนาถนัก”
“ใครเล่าจะคาดคิด ว่าผู้ที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้เป็นคนแรกจะเป็นเทพมารหลิน”
ฝูงชนฮือฮากำลังวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
อวิ๋นชิ่งไป๋ชะงักเท้า สีหน้าราบเรียบ เหลือบสายตาไปยังต้นข่าวสาร
ที่นั่นมีข่าวใหม่ล่าสุด บันทึกถึงเหตุการณ์ที่หลินสวินเอาชนะจินเซี่ยวหมิงในงานชุมนุมพันกระแส
“น่าชังนัก!” ข้ากระบี่ที่อยู่ด้านข้างเดือดดาล
จากมุมมองเขาอวิ๋นชิ่งไป๋คือคนแรกที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้ แต่ตอนนี้กลับถูกเทพมารหลินชิงตัดหน้า นี่ทำให้เขายากยอมรับอยู่บ้างทันที
อวิ๋นชิ่งไป๋พลันกล่าว “เจ้ายังจำคำข้าได้กระมัง”
ข้ากระบี่ชะงักไป จากนั้นจึงรู้ตัวพยักหน้ากล่าว “จำได้ขอรับ คุณชายเคยพูดว่าไม่ว่าหลินสวินนี่เป็นใคร ท่านจะปลิดชีพมันด้วยตัวเองเพื่อล้างความอัปยศทั้งมวลที่สำนักได้รับ”
อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้า “ตอนนี้เขาปรากฏตัวแล้ว ก็ช่วยข้าจับตาดูร่องรอยของเขาหน่อย”
ข้ากระบี่พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที รู้ว่าเจ้านายคิดสังหารหลินสวินนั่นแล้ว!
“ท่านปู่หยวน ในที่สุดเจ้าหมอนี่ก็ปรากฏตัวแล้ว!”
ทันใดนั้นละแวกใกล้เคียงมีเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น
อวิ๋นชิ่งไป๋เงยมองไปก็เห็นว่าคนที่เอ่ยปากคือเด็กหนุ่มชุดไหมคนหนึ่ง คิ้วกระบี่เนตรดารา รูปงามโดดเด่น หยัดยืนอยู่ตรงนั้นราวกับกระเรียนในฝูงระกา
ทว่าเวลานี้หว่างคิ้วเด็กหนุ่มเปี่ยมไอสังหาร ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหด คนนอกอาจมองอะไรไม่ออก แต่อวิ๋นชิ่งไป๋กลับสังเกตเห็นในชั่วพริบตาว่าเด็กหนุ่มนี่ไม่ธรรมดายิ่ง!
“มองอะไร!”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุดไหมหันขวับ นัยน์ตาสว่างจ้าดุจคมดาบไร้เทียมทานกวาดมองอวิ๋นชิ่งไป๋ คล้ายอยากเลือกคนมากัด
ข้ากระบี่สีหน้าขรึมลงทันที เมื่อไหร่กันที่บนโลกมีคนกล้าพูดจากับคุณชายเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักกลัวตาย!
ทว่าไม่รอให้ข้ากระบี่เอ่ยปาก อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เก็บสายตาคืนมา กล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
เขาพูดพลางหันหลังจากไป
ข้ากระบี่ชะงักไปคล้ายยากจะเชื่อ สงสัยนักว่าเหตุใดคุณชายถึงอดกลั้น
แต่สุดท้ายเขาไม่กล้าถาม เพียงปราดมองเด็กหนุ่มชุดไหมนั่นอีกครา จดจำรูปร่างลักษณะของอีกฝ่ายไว้แม่นยำแล้วจึงหันหลังตามอวิ๋นชิ่งไป๋ไป
เด็กหนุ่มชุดไหมเองก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็นชา
“คุณชายน้อย ต่อไปหากเจอชายชุดขาวนั่นที่แดนมกุฎถอยได้ก็ถอย หากต้องเป็นศัตรูก็สู้ให้เต็มกำลัง อย่าได้ยั้งมือแม้เพียงเสี้ยว”
วานรเฒ่าชุดเขียวตนหนึ่งปรากฏตัวด้านข้าง น้ำเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมประสบการณ์
“เพราะเหตุใด” เด็กหนุ่มชุดไหมมุ่นคิ้ว
“เจ้าหนูนี่ยืนอยู่บนยอดมกุฎ ร่างกายดุจกระบี่ซ่อนคม ภัยคุกคามมากเกินไป”
วานรเฒ่าชุดเขียวแววตาล้ำลึกกล่าวเตือน “สาเหตุที่เขาจากไปก็แค่สังเกตเห็นข้าน้อยอยู่ด้านข้าง มิใช่ว่าหวาดกลัวการต่อสู้”
เด็กหนุ่มชุดไหมคิ้วขมวด สีหน้าวูบไหวไม่หยุด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกลับคืนความสงบ เหลือบสายตาไปยังต้นข่าวสารที่ห่างไกลแล้วกล่าว “ไม่พูดถึงเขาแล้ว ท่านปู่หยวน ท่านก็เห็นแล้วว่าเจ้าคนที่ชื่อหลินสวินนั่นปรากฏตัวแล้ว!”
วานรเฒ่าชุดเขียวเอ่ยรับคำหนึ่ง กล่าวเจืออาการทอดถอนใจ “ปีนั้นที่เกาะอริยะปัญจธาตุ ข้าก็สังเกตเห็นแล้วว่าเจ้าหนูนี่ไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะมีความสามารถล้ำลึกผิดธรรมดาเช่นนี้บนมกุฎมรรคาแล้ว คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อนดังคาด”
เด็กหนุ่มชุดไหมไม่พอใจทันที “ท่านปู่หยวน ปีนั้นเขากับคนอื่นๆ บุกเข้ามาในสถานที่จำศีลหลอมปราณของข้า ชิงยอดคัมภีร์มรรค ‘เคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์’ ของข้าไป! โจรถ่อยเช่นนี้ต้องกำจัดให้สิ้นทันที เหตุใดท่านยังชมมันอยู่ได้”
ตอนที่ 1125 การเปลี่ยนแปลงของต้นไม้เท...
วานรเฒ่าชุดเขียวกล่าว “คุณชายน้อย ท่านพูดผิดแล้ว คัมภีร์มรดกมรรคของเผ่าเราถูกเจ้าหนูนี่หยั่งถึงด้วยตัวเอง และข้าแค่มอบโอกาสหนึ่งแก่เขาเท่านั้น”
เด็กหนุ่มชุดไหมตะลึงงัน “ท่าน… เหตุใดต้องทำเช่นนี้”
วานรเฒ่าชุดเขียวสีหน้าลุ่มลึก กล่าวว่า “เพื่อผูกวาสนาหนึ่งแก่คุณชายน้อย”
“ผูกวาสนา?”
เด็กหนุ่มชุดไหมเกือบคิดว่าหูฝาด กล่าวเยาะหยัน “ด้วยรากฐานพลังของเผ่าข้า ไยต้องทำเช่นนี้เล่า ข้าไม่สนอะไรมากขนาดนั้น ข้ารู้แค่ว่าเจ้าเด็กนี่เคยแย่งของของข้าไป ความแค้นนี้สุดท้ายแล้วต้องเอาคืน!”
วานรเฒ่าชุดเขียวทอดถอนใจกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ คุณชายน้อยรับปากข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
“ท่านว่ามาเถิด”
เด็กหนุ่มชุดไหมแม้ดื้อรันไม่โอนอ่อน แต่กลับเคารพวานรเฒ่าชุดเขียวพอควร
“หากหมายเป็นศัตรูกับเด็กคนนี้ ขอคุณชายน้อยโปรดยั้งมือไว้ไมตรี”
วานรเฒ่าชุดเขียวสีหน้าจริงจังขึ้นมาอย่างยากจะเห็น
เห็นดังนี้ในใจเด็กหนุ่มชุดไหมไม่พอใจนัก สีหน้าอึมครึมขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ยังกัดฟันกล่าว “ได้ วันนี้ข้ารับปากท่าน หลังจากนี้ยามแก้แค้นข้าหยวนฝ่าเทียนสัญญาว่าจะไม่ซัดเขาถึงตาย!”
หัวคิ้ววานรเฒ่าชุดเขียวขมวดมุ่นอย่างยากสังเกตเห็น มองเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจตรงหน้าแล้วไม่พูดมากเรื่องอีก
เขาเอ่ยถึงเรื่องอื่นต่อ “ไม่เกินครึ่งเดือน แท่นมรรคบูชาอริยะก็จะมาเยือนโลกหล้า รวมทั้งสิ้นสามพันแห่ง กระจายอยู่ในแต่ละอาณาเขตของดินแดนรกร้างโบราณ พวกเราควรเตรียมการล่วงหน้าบ้างแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดไหมที่เรียกตัวเองว่าหยวนฝ่าเทียนใจกระตุกวูบ เขารู้ดีว่าแท่นมรรคบูชาอริยะคือจุดเชื่อมต่อของแดนมกุฎ!
…
“คุณชาย เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านต้องอดทนด้วยขอรับ”
ข้ากระบี่ไม่อาจอดกลั้น เอ่ยถามออกมา
“เด็กหนุ่มชุดไหมนั่นไม่น่าหวาดกลัวพอ แต่ข้างกายเขากลับมีอริยะคนหนึ่งตามมาด้วย หากลงมือไปผลที่ตามมาคงยากคาดเดา”
ทันทีที่คำพูดอวิ๋นชิ่งไป๋ดังขึ้น ข้ากระบี่แข็งทื่อไปทั้งตัว ตกใจจนเกือบกัดลิ้นตนเอง เจ้าหมอนั่นเป็นอริยเทพจากไหนกันแน่ ข้างกายถึงได้มีอริยะผู้หนึ่งคอยปกป้อง
ยิ่งคิดในใจข้ากระบี่ก็ยิ่งนึกกลัว
อริยเทพไม่อาจล่วงเกิน ประโยคนี้ไม่ใช่ว่าพูดกันเล่นๆ!
“เจ้าคิดว่าอริยะน่ากลัวมากรึ” อวิ๋นชิ่งไป๋พลันเอ่ยถาม
ข้ากระบี่พยักหน้าตามจิตใต้สำนึก
อวิ๋นชิ่งไป๋ยิ้มเยาะกล่าว “เจ้ารู้แค่อริยเทพไม่อาจล่วงเกิน แต่ไม่รู้ว่าอริยเทพก็มีช่วงที่กลายเป็นวัชพืช”
พูดจบเขาไม่กล่าวมากความอีก อาภรณ์ขาวพลิ้วไหว เงาร่างหยิ่งทะนงโดดเด่นมุ่งไปยังที่ห่างไกล
ข้ากระบี่ชะงักงันก่อน จากนั้นจึงพลันตระหนก สุดท้ายก็สูดหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง ในสายตาคุณชายอริยเทพก็ไม่น่ากลัวพอหรอกรึ
…
แคว้นหมึกขาว
หลินสวินและอาหลู่กำลังร่ำสุราในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ไม่นานเจ้าคางคกก็ปรากฏตัวอย่างเหน็ดเหนื่อย ยกกาสุรากระดกดื่มครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าวอย่างห่อเหี่ยว “ไม่มีทางติดต่อยัยหนูจ้าวจิ่งเซวียนนั่นได้เลย ข้าพยายามเต็มที่กว่าจะสืบข่าวได้ว่านางกำลังปิดด่าน บอกว่ากำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่แดนมกุฎ”
ในใจหลินสวินผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย
เดิมเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเชิญจ้าวจิ่งเซวียนร่วมเคลื่อนไหวพร้อมกัน
แต่ดูท่าตอนนี้เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว
“ไปเถอะ ถึงอย่างไรหลังเข้าสู่แดนมกุฎก็ยังมีโอกาสพบกัน” เจ้าคางคกกล่าว
“ไป? ไปไหน?”
อาหลู่อึ้งงัน
เจ้าคางคกยิ้มมีเลศนัย กล่าวว่า “ไปชิงหนทางเข้าสู่แดนมกุฎที่ปลอดภัยที่สุด อ้อ หากข้าจำไม่ผิดที่นั่นเหมือนจะห่างจาก ‘หุบเขาตะวันคล้อย’ ไม่ไกลนัก…”
วันนั้นพวกหลินสวินจึงออกจากแคว้นหมึกขาว สัญจรผ่านภูผาธาราและเมืองต่างๆ โดยมีเจ้าคางคกนำทาง เดินทางหามรุ่งหามค่ำตลอดทางไม่เคยหยุดพัก
ผ่านไปสามวัน ในเทือกเขาดึกดำบรรพ์รกร้างแถบหนึ่ง
เจ้าคางคกพลันเงยหน้ามองโดยรอบแล้วกล่าว “ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงในฟ้าดินนับวันยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างเทือกเขามีไอวิญญาณหอมกรุ่นยิ่งกว่าสมัยบรรพกาล!”
หลินสวินและอาหลู่ต่างพยักหน้า
หลายวันมานี้พวกเขาเดินทางผ่านเทือกเขา แม่น้ำ ปลักหล่ม ทะเลทรายกว้างใหญ่ ตลอดทางเห็น ‘การเปลี่ยนแปลงชวนตะลึง’ นานัปการมามาก
บนทุ่งรกร้างบางแห่งจู่ๆ ก็เกิดรอยแยกเหวลึกมหึมา มีหมอกควันสีดำประหลาดทะลวงขึ้นเหนือเมฆ ทำให้กลางวันราวตกอยู่ในรัตติกาลอันมืดมิด
บนเทือกเขาบางแห่งพลันเกิดสายฟ้าแลบฝนฟ้าคะนองปกคลุมอาณาบริเวณพันลี้ พายุสายฟ้าเจิดจ้าประหนึ่งมหาเคราะห์ไร้เทียมทานสั่นสะท้านฟ้าดิน
กระทั่งอาณาเขตบางส่วนยังถูกไอวิญญาณระเบิดกระชากโดยสมบูรณ์ สภาพอากาศแปรปรวนว่างเปล่ากลางฟ้าดิน ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเมื่อมองเห็น
ขณะเดียวกันความเร็วของการแปรสภาพของสรรพสิ่งบนโลกก็เร่งตามไปด้วย พวกหลินสวินเคยเห็นมากับตา ยอดเขาแห้งแล้งที่เดิมไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโตแห่งหนึ่ง ภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งก้านธูปก็ปลดปล่อยพลังชีวิตพลุ่งพล่านหาใดเปรียบ หมอกเมฆาห้อมล้อม ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเขาวิญญาณลูกหนึ่งด้วยความเร็วที่ตาเนื้อสามารถมองเห็น!
นี่คือการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงที่กระเทือนทั่วดินแดนรกร้างโบราณ
และที่เกิดขึ้นพร้อมการเปลี่ยนแปลงน่าตระหนกยังมีการเข่นฆ่าที่น่าหวาดกลัว!
ไอวิญญาณบนโลกนี้นับวันยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จำนวนของเขาวิญญาณก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โอสถวิญญาณ สิ่งล้ำค่า วัตถุดิบเทพที่สลายหายไปในสายธารแห่งกาลเวลาแล้วบางส่วน ล้วนปรากฏในบริเวณต่างๆ ของดินแดนรกร้างโบราณราวกับหน่อไม้หลังฝนยามฤดูใบไม้ผลิ
เขาวิญญาณสามารถสร้างเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคล สามารถทำเป็นประตูภูเขาเพื่อเปิดสำนักตั้งพรรค
และสมบัติชั้นยอดอย่างโอสถวิญญาณ สิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ วัตถุดิบเทพ ก็คือทรัพยากรฝึกปราณที่มีค่าหาใดเปรียบ!
ปัจจุบันตามความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ไม่เพียงผู้ฝึกปราณบนโลกเท่านั้น แม้แต่สำนักโบราณใหญ่ๆ ก็ต่างนั่งไม่ติด ทยอยเริ่มลงมือไขว่คว้าและยึดครองเขาวิญญาณกับสมบัติไร้เจ้าของเหล่านี้
เกิดการต่อสู้และเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกปราณเพื่อแย่งชิงสมบัติ
ส่วนสำนักโบราณก็เกิดความขัดแย้งเพื่อขยายเขตอิทธิพลและยึดครองทรัพยากรฝึกปราณ ก่อให้เกิดศึกชิงอำนาจ
ตลอดทางพวกหลินสวินพบเจอการเข่นฆ่าเช่นนี้มาแล้ว ทุกหนแห่งล้วนเป็นภาพความขัดแย้งหลั่งโลหิต คลื่นลมตลบอบอวล
ทั้งใต้หล้าเริ่มเต็มไปด้วยกลิ่นเขม่าควันและการปะทะ ไม่เงียบสงบเหมือนแต่ก่อนอีก
ทุกอย่างล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน!
“มหายุคจะป่วนโลก กฎระเบียบและแบบแผนที่ดินแดนรกร้างมีในอดีตจะถูกทำลาย ทำการล้างไพ่ใหม่อีกครั้ง”
เจ้าคางคกถอนหายใจ “ใต้หล้านี้จะต้องเข้าสู่ความโกลาหลและไม่สงบ การทำลายล้างและผงาดง้ำอยู่ร่วมกัน เผยยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน!”
“มหายุคนี้ยังไม่ปรากฏขึ้นจริงๆ ก็ทำให้ใต้หล้าเกิดคลื่นลมจนวุ่นวายโกลาหลแล้ว ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหลังมหายุคที่แท้จริงมาเยือนจะเป็นภาพเช่นไร”
อาหลู่ทอดถอนใจขึ้นมาอย่างยากจะเห็น เห็นชัดว่าประสบการณ์หลายวันนี้ทำให้เขาสะท้านสะเทือนอย่างมาก
“จะเป็นภาพอะไรได้เล่า แน่นอนว่าต้องเป็นยุครุ่งโรจน์เจิดจรัสและกลียุคปั่นป่วนนองเลือดอยู่ร่วมกัน มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงถึงสามารถผงาดในไฟสงครามและควันเขม่าได้ โดดเด่นท่ามกลางมหายุค!”
เจ้าคางคกผึ่งผาย กล่าวอย่างอวดดี “แน่นอน ใครคิดโดดเด่นท่ามกลางมหายุคก็ต้องถามข้าว่าเห็นด้วยหรือไม่!”
ตอนแรกยังพูดจาน่าเชื่อถือ ประโยคหลังดันเผยท่าทียกหางตัวเองทันใด นี่ทำให้อาหลู่กลอกตาใส่ดูถูกเขาเต็มที่
ขณะหลินสวินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นัยน์ตาก็หดเกร็งทันที
ในจุดที่ห่างออกไปในหมู่เขาไร้ขอบเขตยอดเขาซ้อนสลับ กลับมีต้นไม้ใหญ่ประหลาดต้นหนึ่งสูงใหญ่กว่ายอดเขาพวกนี้!
ปลายยอดของมันทะลวงเมฆดั่งร่มบดบังนภา กิ่งก้านคดเคี้ยวประหนึ่งพญามังกร ใบไม้ใหญ่ดุจเมฆแผ่สยายคลุมท้องฟ้า แดงชาดดั่งแสงสายัณห์ประหนึ่งกำลังลุกโชน
ยอดเขาใกล้เคียงยังสู้ไม่ได้แม้แต่ลำต้นของมัน
“ให้ตายเถอะ นี่คือต้นไม้เทพแสงชาด! สมัยบรรพกาลยังเห็นได้น้อยนัก!”
เจ้าคางคกตกใจตะโกนลั่น
“โอ้โฮ มันยังเติบโตขึ้นอีก”
อาหลู่เบิกตากว้าง
ก้านใบต้นไม้เทพแสงชาดพลิ้วไสวในหมู่เขา ลำต้นของมันดั่งพญามังกรทะยานนภา เติบโตอย่างรวดเร็ว สูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะฉีกแผ่นฟ้าพุ่งทะลวงออกนอกความว่างเปล่า!
หลินสวินสังเกตเห็นอย่างชัดเจน ต้นไม้นี้เหมือนมีจิตวิญญาณมีชีวิต กำลังแปรสภาพถึงขีดสุดแผ่ขยายชีวิตของตัวเอง
เปรี้ยง!
ทว่าต้นไม้เทพแสงชาดที่กำลังจะทะลวงเวิ้งฟ้าในไม่ช้า กลับถูกสายฟ้าเจิดจ้ามหึมาหลากสายฟาดผ่ากะทันหัน
นั่นคือทัณฑ์สวรรค์!
แค่ชั่วพริบตาต้นไม้เทพแสงชาดก็ถูกโจมตีอย่างหนัก กิ่งก้านแตกหักถูกเพลิงอสนีแปลงเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ลำต้นที่สูงใหญ่กว่าหมู่เขาก็ถูกผ่าจนไหม้เกรียม สั่นคลอนรุนแรงท่ามกลางประกายอสนีเคราะห์
มองจากไกลๆ เหมือนผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานคนหนึ่งกำลังเจอมหาเคราะห์ เป็นตายยากคาดเดา!
กร๊อบ!
สุดท้ายต้นไม้เทพแสงชาดนี้ก็ข้ามด่านเคราะห์ล้มเหลว ลำต้นถูกอสนีบาตแหลมคมดุจใบมีดผ่าออกเป็นสองซีก
ที่น่าอัศจรรย์คือลำต้นที่ขาดสะบั้นนั้น ครึ่งหนึ่งแห้งเหี่ยวไหม้เกรียม ครึ่งหนึ่งกลับปกคลุมด้วยพลังชีวิตยิ่งใหญ่หาใดเปรียบภายในด่านเคราะห์อสนี ส่องประกายเจิดจรัส
‘หนึ่งมอดดับหนึ่งรุ่งโรจน์ ความอัศจรรย์แห่งความเป็นตายหมุนเวียน น่าเสียดาย อีกแค่ก้าวเดียวมันก็จะข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ กลายเป็นราชันผู้หนึ่ง!’
หลินสวินทอดถอนใจอยู่ภายใน
“มัวนิ่งอึ้งอะไร รีบลงมือสิ! นี่เป็นถึงไม้เทพอสนีบาต หล่อเลี้ยงพลังมหามรรคจากความพินาศ มูลค่าหาที่สุดไม่ได้!”
เจ้าคางคกตาลุกวาว ลมหายใจหนักหน่วง ฟุ่บเดียวก็พุ่งทะยานออกไป
หลินสวินและอาหลู่รีบตามไปติดๆ
ที่นี่คือแถบหุบเขา เดิมต้นไม้เทพแสงชาดหยั่งรากลึกอยู่ภายใน ทว่าปัจจุบันหุบเขาได้ถูกอสนีเคราะห์ทำลายสิ้น ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยภาพทำลายล้างไหม้เกรียม
ลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้เทพแสงชาดเกินครึ่งล้วนเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านในอสนีเคราะห์ มีเพียงก้านใบบางส่วนที่กระจายร่วงหล่นลงพื้น
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง มองปราดเดียวก็เห็นว่าในเถ้าถ่านเกลื่อนกล่นนั่นมีไม้เทพท่อนหนึ่งแวววาวเปล่งประกาย ยาวเพียงหนึ่งฉื่อ หนาเท่าแขนเด็ก
แต่มันกลับแดงสดดุจอัคคี ส่องประกายผุดผ่อง พลังชีวิตยิ่งใหญ่พลุ่งพล่านหาใดเปรียบตลบอบอวล!
“ไอความตายมลายสิ้น เหลือเพียงต้นกำเนิดบริสุทธิ์ที่เกิดใหม่จากด่านเคราะห์ท่อนหนึ่ง ของอย่างนี้ต่อให้อริยะมาเห็นก็ต้องตาลุกวาว!”
น้ำลายเจ้าคางคกเกือบไหลออกมา เดิมเขาก็เป็นเผ่าคางคกทองสามขา สามารถวินิจฉัยสรรพสิ่งทั่วหล้า รอบรู้ในสิ่งล้ำค่าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แน่นอนว่าปราดเดียวก็มองมูลค่าของสิ่งนี้ออกว่าต้องยิ่งใหญ่ถึงขั้นสะเทือนใต้หล้า
ทว่ายามเขาเพิ่งเตรียมจะลงมือก็ถูกหลินสวินกดตัวไว้แน่น สื่อจิตกล่าว ‘ระวัง!’
เจ้าคางคกหยุดชะงัก
ขณะเดียวกันก็เห็นลำต้นเทพแดงสดดุจอัคคีนั่นพลันส่องแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า ในแสงประกายเวียนวนค่อยๆ กลายเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง!
นางนัยน์ตากระจ่างฟันขาว น่ารักชวนมอง ผมยาวแดงเพลิงสลวยทั้งศีรษะเสียบม้วนด้วยกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง ร่างอรชรอ้อนแอ้นอาศัยใบไม้แดงเพลิงขนาดใหญ่ห่อหุ้ม เผยน่องนวลกระจ่างและเท้าเปล่าขาวดุจหิมะ
ดูไปแล้วนางน่าจะมีอายุเพียงสิบห้าสิบหก อ่อนเยาว์งามผุดผ่อง บนผิวขาวราวหยกมันแพะอบอวลไอเพลิงหลากสาย ตรงหว่างคิ้วมีลายอัคคีประหลาดลายหนึ่ง
“พี่ชายทั้งสาม พวกท่านกำลังจะทำอะไรหรือ” นางไพล่มือน้อยไว้ข้างหลัง ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมีชีวิตชีวา กะพริบดวงตาโตเป็นประกาย ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยถาม
ตอนที่ 1126 ชื่อเหยา
เทือกเขารกร้างนอกชานเมือง ปรากฏต้นไม้เทพแสงชาดแหวกผ่านเวิ้งฟ้าข้ามด่านเคราะห์ก็เพียงพอสะเทือนใต้หล้าแล้ว
แต่ตอนนี้ไม้เทพอสนีบาตที่แปรสภาพจากความพินาศกลายเป็นพลังชีวิตต้นกำเนิดท่อนหนึ่ง ถึงกับแปลงร่างเป็นเด็กสาวแรกแย้มในบัดดล ทำให้คนตกตะลึงอ้าปากค้างเสียยิ่งกว่า
แปลกประหลาดนัก!
อาหลู่ตกใจจนตะโกนลั่น “เฮ้ย! อสูรมารสาวที่ไหนกัน”
นัยน์ตาดำของหลินสวินพลันหดรัด เผยความระแวดระวัง รูปโฉมภายนอกของเด็กสาวนี่งามอรชรยิ้มเริงร่า เยาว์วัยและอ่อนหวานหาใดเปรียบ แต่กลิ่นอายบนร่างกลับไม่ธรรมดายิ่ง!
และเวลานี้เองเจ้าคางคกได้จัดเสื้อเรียบร้อย กระแอมเล็กน้อยยิ้มแย้มกล่าว “สาวน้อย แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่เล่า ในเทือกเขารกร้างนอกชานเมือง ไม่กลัวถูกคนลักพาตัวรึ”
เขาสวมชุดคลุมเขียว ใบหน้างดงามราวปีศาจ ท่าทางหล่อเหลา เปลี่ยนเป็นหญิงสาวธรรมดาคงถูกดึงดูดจนลุ่มหลงไปแล้ว
กลับเห็นนัยน์ตาเด็กสาวผมเพลิงมีแสงแวววับวาดผ่าน เม้มปากกัดเบาๆ หัวเราะคิกคักกล่าว “พี่ชายหล่อเหลาปานนี้กลับคิดจะลักพาตัวข้า คงไม่คิดทำเรื่องน่าอายบางอย่างกับข้ากระมัง”
นางผิวขาวดุจหิมะ กลิ่นอายราวกล้วยไม้ ในรอยยิ้มอ่อนหวานเจือความยั่วยวนแปลกประหลาด
เจ้าคางคกเบิกตากว้าง “ตรงไปตรงมาเช่นนี้เชียว? สาวน้อยทำแบบนั้นได้จริงหรือ”
เด็กสาวผมเพลิงกล่าวตำหนิ “พี่ชาย ไม่ใช่ว่าท่านมีใจคิดสัปดนแต่ไม่กล้าลงมือหรอกนะ”
“ข้า…”
เจ้าคางคกลูกตากลอกกลิ้งหมุนวน
“เขาชอบผู้ชาย”
อาหลู่สอดปากกล่าวงึมงำ
“เอ่อ”
เด็กสาวผมเพลิงอึ้งงัน
เจ้าคางคกเกือบคลุ้มคลั่ง แทบอยากเตะเจ้าคนเถื่อนนี่ให้ตาย เขารีบร้อนอธิบาย “สาวน้อย เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าน่ะสนใจในตัวเจ้ามาก ใจนี้ฟ้าดินพิสูจน์ได้ ตะวันจันทราเป็นพยาน!”
เด็กสาวผมเพลิงหลุดขำพรืด เปล่งประกายราวแสงแดดยามเช้า “เอาเถอะ นึกว่าข้าไม่รู้ความคิดท่านรึ คิดจับข้าแล้วทำเป็นวัตถุดิบเทพกินใช่ไหม”
เจ้าคางคกตะลึงงัน รู้ว่าเด็กสาวนี่ไม่ได้หลอกง่ายเช่นนั้น พลันยกหัวแม่มือกล่าว “สาวน้อยสายตาเฉียบแหลม เช่นนั้นเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“ลูกหลานเผ่าคางคกทองสามขาล้วนไร้ยางอายเช่นนี้หรือ” เด็กสาวผมเพลิงไม่โกรธเคือง มองเจ้าคางคกอย่างสนอกสนใจ แววตาบริสุทธิ์วาวระยับ
“ไร้ยางอายอะไรกัน สาวน้อยเจ้าอย่าพูดส่งเดช” เจ้าคางคกสีหน้าขรึมทันที ในใจกลับตื่นตะลึงอยู่บ้าง ยัยหนูคนนี้ร้ายกาจนัก ถึงกับสามารถมองความเป็นมาของเขาออก!
“เช่นนั้นข้าบอกท่านเลยว่า คิดจะทำร้ายข้า ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่ใครต่างสามารถแบกรับ” เด็กสาวผมเพลิงยิ้มหวานกล่าว
ฟุ่บ!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง อสรพิษปราดเปรียวดุจเปลวไฟพลันพุ่งขึ้นมาจากใต้เท้าเจ้าคางคก
เจ้าคางคกตกใจรีบกระโดดหลบ ฝ่ามือตบออกไปอย่างแรง
แต่เหนือความคาดหมายของเขา เปลวเพลิงนั่นเปลี่ยนเป็นมังกรเพลิงตัวหนึ่งทันที ร่างพลันทะยานพุ่งเข้าหา ตัวใหญ่มหึมาดุจสันเขาเคี้ยวคดแผ่แสงเพลิงท่วมฟ้าเบียดเสียดห้วงอากาศทั้งแถบ!
เจ้าคางคกตกใจสะดุ้งโหยงอีกครา รอโต้กลับเต็มกำลัง
เวลานี้เองมังกรเพลิงมหึมานั่นพลันเปลี่ยนเป็นเพลิงพิรุณพร่างพรมทั่วฟ้า
พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะราวกระดิ่งลมของเด็กสาวผมเพลิงก็ดังขึ้น “ล้อท่านเล่นเท่านั้น นี่คิดต่อยตีกับข้าจริงหรือ”
“สาวน้อย เจ้านี่ซุกซนจริง!”
เจ้าคางคกสีหน้าประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย แค้นจนกัดฟันกรอด ถึงกับถูกยัยหนูน้อยนี่ทำตกอกตกใจ นี่ทำให้เขาเสียหน้าอยู่บ้าง แววตาที่มองเด็กสาวผมเพลิงเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
เด็กสาวผมเพลิงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมีชีวิตชีวา เม้มปากอมยิ้ม ทว่าสายตากลับมองไปยังหลินสวินพลันกล่าว “ข้าชื่อชื่อเหยา วันนี้โชคดีอาศัยการเปลี่ยนแปลงแห่งฟ้าดินทำลายพันธนาการที่ผูกมัดมาหลายปี สุดท้ายจึงได้ตื่นขึ้นมา ไม่เคยคิดทำให้พี่ชายทั้งสามตื่นตระหนก ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
ประโยคเดียวทำให้หลินสวินใจกระตุกวูบ
ที่แท้ต้นไม้เทพแสงชาดเมื่อครู่ไม่ได้ข้ามด่านเคราะห์ แต่อาศัยพลังแห่งด่านเคราะห์อสนีมาฉีกกระชากพันธนาการ ทำให้ชื่อเหยาผู้นี้ตื่นขึ้นมาจากความเงียบงัน!
ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนเข้าใจผิดโดยไม่ต้องสงสัย เด็กสาวเยาว์วัยงามผุดผ่องนี่ ความจริงคือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่หลับใหลมานานไม่รู้กี่กาลเวลาคนหนึ่ง!
“กินยารึ ชื่อดี!” (*กินยา ภาษาจีนออกเสียงว่า ชือเย่า)
เจ้าคางคกหัวเราะ เห็นชัดว่าเขายังคาใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่
ชื่อเหยากลอกตาใส่ชัดๆ กล่าวว่า “ท่านสิต้องกินยา”
“แม่นางไม่จำเป็นต้องขอโทษ เมื่อครู่เป็นพวกเราที่ล่วงเกินไปบ้าง ในเมื่อปรับความเข้าใจกันแล้วพวกเราก็ขอลา”
หลินสวินประสานมือ เตรียมพาเจ้าคางคกและอาหลู่จากไป
“พี่ชายทั้งสามพาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
ใครจะคิดว่าชื่อเหยาจะตามมา อีกทั้งยามนางเคลื่อนไหวยังมีเสียงโซ่ตรวนตีกระทบ
พวกหลินสวินถึงได้เห็นว่าที่ข้อเท้าขาวดุจหิมะของนางถูกโซ่ดำประหลาดเส้นหนึ่งพันธนาการไว้ ล้อมด้วยไอมรณะที่พาให้คนใจสั่น
เมื่อนางยืนนิ่งไม่ขยับโซ่ก็ราวไร้รูป ไม่อาจสังเกตเห็น แต่ทันทีที่เคลื่อนไหวก็จะเผยออกมาในทันใด
เมื่อเห็นสายตาพวกหลินสวิน ชื่อเหยากล่าวง่ายๆ “แค่พันธนาการโดยกำเนิดท่อนหนึ่งเท่านั้น เมื่อข้ากลายเป็นราชันก็จะสามารถดึงมันออกไปได้”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ในความเห็นข้าเจ้าดูไม่เหมือนร่างวิญญาณที่แปลงมาจากต้นไม้เทพแสงชาดสักนิด” เจ้าคางคกมุ่นคิ้ว แววตาทองอร่ามกำลังประเมินชื่อเหยา
ชื่อเหยาตรงไปตรงมายิ่ง กล่าวเจื้อยแจ้ว “เดิมข้าก็ไม่ใช่ร่างวิญญาณอะไร แค่เพียงถูกบรรพชนผนึกไว้ในต้นไม้เทพแสงชาดนี้เท่านั้น อาศัยพลังแห่งการร่วงโรยรุ่งโรจน์ของมันต้านการกัดกร่อนแห่งกาลเวลา พร้อมกับหยั่งรู้มรรคแห่งร่วงโรยรุ่งโรจน์”
“โซ่นี้คือสิ่งที่บรรพชนเจ้าทิ้งไว้รึ”
เจ้าคางคกจ้องมองโซ่ที่ข้อเท้านาง ยิ่งมองก็ยิ่งหวาดหวั่น ไอมรณะบนโซ่นั้นน่ากลัวถึงขีดสุด ถึงขั้นแปลงเป็นลายมรรคประหลาดและบิดเบี้ยวประทับลงบนนั้น
นี่หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ แม้แต่ในระดับอริยะก็ต้องเป็นบุคคลที่ก้าวสู่ขั้นมหาอริยะถึงจะมีความสามารถทำเช่นนี้ได้!
“ไม่ผิด” ชื่อเหยาพยักหน้า
แต่สุดท้ายหลินสวินก็ยังปฏิเสธไม่ให้ชื่อเหยาร่วมเดินทาง
นี่ทำให้ชื่อเหยาเกินคาดหมาย หลังมองส่งพวกหลินสวินจากไป รอยยิ้มบนหน้าเล็กพริ้มเพรานั่นก็หายไปทันที แทนที่ด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบเฉยชาวูบหนึ่ง
‘คนหนึ่งเป็นทายาทราชันเผ่าคางคกทองสามขา คนหนึ่งบนตัวแฝงกลิ่นอายสายเลือดเทพยุทธ์คชสารมังกร ยังมีอีกคน…’
เมื่อนึกถึงหลินสวิน คิ้วประณีตของชื่อเหยาค่อยๆ ขมวดขึ้น ‘ทายาทเผ่าเจินหลงรึ ไม่ถูกต้อง เขาเป็นเผ่ามนุษย์ชัดๆ ทั้งยังเป็นเลือดบริสุทธิ์ แต่ทำไมถึงมีกลิ่นอายของเผ่าเจินหลง’
ใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายนางก็เดาอะไรไม่ออก
“ไม่ว่าอย่างไร บนตัวเจ้าหมอนี่ต้องมีไม้โพธิ์อยู่แน่ ทั้งเป็นไม้โพธิ์ที่เคยผ่านการโจมตีของพลังพิฆาตมรรคด้วย…”
ชื่อเหยาพึมพำ ในดวงตากระจ่างปราดเปรื่องเผยความเร่าร้อนเสี้ยวหนึ่งอย่างไม่อาจระงับ
จากนั้นความเร่าร้อนเสี้ยวนี้ก็ถูกนางเก็บซ่อนอย่างระวัง
“แม่นางน้อย เห็นการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อครู่ไหม” ห่างออกไป ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้ราวเมฆทมิฬ
เห็นชัดว่าอสนีเคราะห์ที่ต้นไม้เทพแสงชาดชักนำมาก่อนหน้านี้สะเทือนใต้หล้าเกินไป ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณเหล่านี้จนพากันเร่งรุดมา
ชื่อเหยากลับคล้ายไม่รับรู้อะไร นางกำลังใคร่ครวญในใจ ‘เจ้าหมอนั่นต้องเข้าสู่แดนมกุฎแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสเจอเขา’
นางใคร่ครวญพลางก้าวเท้าเปลือยเปล่าขาวกระจ่างมุ่งหน้าไปยังจุดที่ห่างออกไป
เหล่าผู้ฝึกปราณต่างหยุดชะงัก ถึงกับถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งมองข้าม นี่ทำให้พวกเขาพลันรู้สึกหน้าหม่นแสง
“หยุดนะ ไม่ได้ยินที่พวกเราถามเจ้ารึ” ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งพุ่งเข้าหา
ตูม!
แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ผู้แข็งแกร่งที่ครองปราณระดับกระบวนแปรจุติคนนี้ก็ถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์แรงกล้าที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันเผาทั้งตัว
แค่ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวลอย ประหนึ่งระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ
และท่าทางชื่อเหยาก็ยังคงไม่รับรู้อะไร ก้าวไประหว่างภูผาธารา ผมยาวแดงเพลิงทั้งศีรษะพลิ้วไหว ประหนึ่งวิญญาณเซียนที่ก้าวออกมาจากเปลวเพลิง
เหล่าผู้ฝึกปราณ ณ ที่นั้นต่างถูกทำให้ตระหนก เย็นเยียบไปทั้งตัว เด็กสาวนั่นเป็นใคร ทำไมถึงแปลกประหลาดและน่ากลัวเช่นนี้
…
สวบ!
ยานขนส่งอวกาศเคลื่อนผ่านความว่างเปล่า
การเปลี่ยนแปลงแห่งฟ้าดินพาให้เกิดอันตรายตลอดทาง ถึงขั้นมีการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันปะทุขึ้น ทำให้หลินสวินเลือกใช้ยานขนส่งอวกาศเร่งเดินทางโดยไม่สนใจสิ่งอื่น
“เจ้าทำถูกแล้วที่ปฏิเสธ ยัยหนูน้อยนั่นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ดูเหมือนเย้ายวนใจคน บริสุทธิ์ราวลูกไก่เพิ่งออกจากรัง ความจริงแล้วไม่ธรรมดานัก!”
บนยานสำเภาเจ้าคางคกสีหน้าขรึมขึ้นมาอย่างยากจะเห็น “อาศัยต้นไม้เทพแสงชาดมาจำศีลฝึกปราณ เดิมก็หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ บัดนี้ยามปรากฏตัวบนโลกยังใช้ด่านเคราะห์อสนีกำจัดเครื่องจองจำ ยิ่งน่าตะลึงเข้าไปใหญ่”
เขาหยุดไปชั่วขณะค่อยกล่าวต่อ “ที่สำคัญกว่าคือโซ่ที่พันธนาการข้อเท้านาง ของพรรค์นั้นน่าจะเป็นสมบัติอริยะที่น่ากลัวถึงขีดสุด ความเป็นมายิ่งใหญ่นัก!”
อาหลู่กล่าวอย่างประหลาดใจ “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะถูกนางล่อลวงแล้ว”
เจ้าคางคกกล่าวไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้อ่อนหัดขนาดนั้น!”
“แต่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ” หลินสวินทอดถอนใจอยู่บ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณ ‘ปรากฏตัวบนโลก’ อย่างไร ภาพเหตุการณ์นั้นน่าทึ่งเกินไป ทำให้เขาเองก็สะท้านไหวอย่างหนักเช่นกัน
แต่สัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างชื่อเหยานี่มีกี่คนกันล่ะ
เกรงว่าใครๆ คงไม่รู้แน่ชัด
แต่ไม่จำเป็นต้องสงสัย ไม่มีทางน้อยนิดแน่!
ผ่านไปห้าวัน
พวกหลินสวินมาถึงสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง
ที่นี่ยังทิ้งร่องรอยการต่อสู้จวบจนปัจจุบัน ทุกหนแห่งคือซากปรักหักพังแหลกลาญทั่ว บนพื้นสามารถมองเห็นซากผุพังและเกราะอาวุธที่แตกหักเป็นบางครั้ง
ลมทมิฬคำราม ฟ้าดินมืดสลัว บางครั้งมีอสนีบาตฉีกทึ้งห้วงอากาศ สาดแสงขาวซีดแสบตาน่าหวาดกลัว
“หากข้าจำไม่ผิด ผ่านสนามรบแถบนี้ไปไม่ถึงหมื่นลี้ก็เป็นหุบเขาตะวันคล้อยที่เผ่าอีกาทองครอบครองอยู่ ในสมัยบรรพกาลที่นั่นก็ถูกมองเป็นแดนเร้นอริยะอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ข้าไม่ถูกกับเผ่าอีกาทองนัก ก็ไม่รู้ว่าพวกอีกาทองนั่นป่านนี้จะตายไปหมดหรือยัง”
เจ้าคางคกพาหลินสวินและอาหลู่มุ่งหน้าไปในส่วนลึกสนามรบโบราณด้วยกัน เขาดูคุ้นเคยกับที่นี่มาก
ในใจหลินสวินพลันกระตุก นึกถึงคำพูดที่ราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่เคยบอกตอนอยู่สมรภูมิกระหายเลือด
เดิมทีคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็คือสมบัติอริยะที่น่ากลัวถึงขีดสุดชิ้นหนึ่ง อานุภาพร้ายกาจพลิกฟ้า หากสามารถเสาะหาวิญญาณอาวุธของมันได้ ก็พอจะทำให้ธนูนี้ฟื้นคืนอานุภาพดังแต่ก่อน
จากการวิเคราะห์ของจ้าวซิงเย่ เบาะแสของวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร เป็นไปได้สูงว่าจะซ่อนอยู่ในหุบเขาตะวันคล้อยนั่น!
“เจ้าคางคก เจ้าเคยไปหุบเขาตะวันคล้อยมาก่อนหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
เจ้าคางคกส่ายหัว “ที่นั่นเป็นอาณาเขตของเผ่าอีกาทอง ในสมัยบรรพกาลเผ่าพันธุ์นี้สร้างชื่อด้วยความโหดเหี้ยมและร้ายกาจ อีกทั้งในเผ่าพวกเขายังมีตาเฒ่าน่ากลัวควบคุมดูแลอีกไม่น้อย ใครจะกล้าผลีผลามรุกล้ำเข้าไป”
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ในเวิ้งฟ้ามืดครึ้มห่างออกไปพลันส่องประกายสว่างไสว เสมือนดวงตะวันสีทองดวงหนึ่งกำลังลอยเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว
เจ้าคางคกตะลึงทันที “บังเอิญอย่างนี้เชียว? ถึงกับเจอพวกเผ่าอีกาทองเข้าจริงๆ แล้ว!”
ตอนที่ 1127 เมืองนำทาง
อีกาทองขวางนภา ร่างส่องประกายเจิดจ้าราวหล่อจากทองคำ ยามกระพือปีกดุจเมฆสยายบดบังฟ้า เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำเผาห้วงอากาศทั้งมวล ใต้หล้าล้วนสว่างไสว
มองจากไกลๆ ราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่เคลื่อนขวาง!
ครืน…
เปลวเพลิงบางส่วนทิ้งตัวลงบนพื้นดิน หลอมละลายพื้นดินจนเกิดรอยพรุนเต็มไปหมด พลังทำลายล้างน่าอัศจรรย์
อีกาทองอาศัยอยู่บนต้นฝูซาง โอ้อวดว่าตนเป็นลูกหลานสุริยเทพ เป็นหนึ่งในนกปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งบรรพกาล พลังต่อสู้น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
อีกาทองที่อยู่ไกลออกไปตัวนั้นบินทะยานกลางฟ้า พริบตาก็หายไปในเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไป
“มารดามันเถอะ อีกาทองพวกนี้ยังไม่ตายเรียบ ดูท่าลูกหลานของเผ่ามันก็อาจเข้าไปในแดนมกุฎด้วย”
สีหน้าเจ้าคางคกวูบไหวไม่หยุด
แดนมกุฎมี ‘สามพันแดน’ แต่ละแดนเหมือนอาณาเขตกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่ละอาณาเขตต่างมีทางเข้าหนึ่งโดยเฉพาะ
ช่องทางนี้ก็คือแท่นมรรคบูชาอริยะ!
นี่ก็บ่งชี้ว่าการเข้าสู่แท่นมรรคบูชาอริยะที่ต่างกันก็จะไปยังอาณาเขตในแดนมกุฎที่แตกต่าง ต่างฝ่ายต่างกระจัดกระจายกันออกไป
เส้นทางที่เจ้าคางคกเลือกคราวนี้ตั้งอยู่ในแถบสนามรบโบราณ ใกล้ๆ หุบเขาตะวันคล้อย ทั้งไม่มีขุมอำนาจกระจายอยู่เท่าไรนัก น่าจะนับได้ว่าเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยพอควร
แต่ตอนนี้เจ้าคางคกไม่กล้าแน่ใจอยู่บ้างแล้ว
หากเผ่าอีกาทองที่อาศัยอยู่ในหุบเขาตะวันคล้อยเข้ามายุ่ง ถึงแม้เข้าสู่แดนมกุฎได้ก็ต้องเข้าไปในเขตเดียวกัน ไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้แน่!
“การต่อสู้แห่งมหายุค การต่อสู้แห่งมกุฎ ล้วนมีคำว่าสู้ แค่เข้าไปในแดนมกุฎ ไยต้องหวาดกลัวที่จะสู้กับคนอื่นด้วยเล่า”
หลินสวินตบบ่าเจ้าคางคก
ตั้งแต่ระดับราชันขึ้นไปล้วนไม่มีทางเข้าสู่แดนมกุฎ นี่ก็เพียงพอแล้ว ขอแค่เป็นการแข่งขันในรุ่นเดียวกัน หลินสวินก็หาได้หวาดกลัวใครไม่
สนามรบโบราณกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยิ่งเข้าไปลึกฟ้าดินก็ยิ่งมืดสลัว บนพื้นเต็มไปด้วยซากสมรภูมิ เศษกำแพงปรักหักพัง
ระหว่างเดินทางพวกหลินสวินทยอยพบเจอคนบางส่วน ไม่จำเป็นต้องสงสัย คนเหล่านี้ก็มารอแท่นมรรคบูชาอริยะมาเยือนเช่นกัน
“โฮก…”
ทันใดนั้นเสียงสัตว์ปีศาจพลันดังขึ้น ดังกระหึ่มดุจฟ้าคำราม สะท้อนก้องในสนามรบโบราณ ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดของฟ้าดินแถบนี้
พลันนั้นพวกหลินสวินก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งทะยานฟ้ามาแต่ไกล คนมากมายล้วนนั่งมาบนนกปีศาจสัตว์อสูร
บ้างราววัวกิเลน บ้างเป็นอสูรกลืนวิญญาณ บ้างก็เป็นค้างคาวเลือด ล้วนแต่มีพลานุภาพถาโถมชวนตะลึง
พวกหลินสวินชะลอฝีเท้า ตลอดทางสังเกตเห็นว่า ยิ่งเวลาล่วงเลยเงาร่างผู้ฝึกปราณที่พบเจอก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ล้วนเกาะกลุ่มเป็นขบวนแทบทั้งสิ้น
ทั้งยังดูเหมือนผู้สืบทอดที่มาจากต่างขุมอำนาจ
“เจ้าคางคก เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าแท่นมรรคบูชาอริยะที่จะมาเยือนที่นี่มีคนรู้น้อยมาก” อาหลู่อดกล่าวพึมพำไม่ได้
ตลอดทางมานี้ล้วนเจอผู้ฝึกปราณนับร้อยนับพันแล้ว
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า”
เจ้าคางคกก็พูดไม่ออก ประสบการณ์ของเขามาจากสมัยบรรพกาล แต่เห็นชัดว่าตามการเปลี่ยนผันของกาลเวลาไร้สิ้นสุด ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายแล้ว
“ไสหัวไป!”
ห้วงอากาศด้านหลังสั่นสะเทือน เสียงตวาดราวฟ้าคะนองหนึ่งดังขึ้น ยานสำเภายักษ์สีเลือดดุจปราสาทลำหนึ่งบีบกดชั้นฟ้ามาถึง
ยานสำเภานี้ใหญ่โตแดงฉานตลอดลำ ลายมรรคชวนประหวั่นไหลหลั่ง หน้ายานสำเภามีสัตว์ปีศาจสายพันธุ์บรรพกาลมากมายฉุดลากห้อตะบึง
แต่ละตัวล้วนเป็นสัตว์หายากอย่างชือไฟแปดกรงเล็บ สีแดงเพลิงตลอดตัว พลานุภาพร้ายกาจมองใต้หล้าอย่างเหยียดหยัน
มีแรดอสนีแยกฟ้า ยามห้อตะบึงห้วงอากาศล้วนถูกย่ำแหลกละเอียด
ยังมีนกกระจอกหางดำที่เรียกลมเรียกฝน ทั้งมีอสรพิษปีกหลากสีตัวใหญ่ราวมังกรที่เป็นทายาทมังกรมายาดึกดำบรรพ์
ยานสำเภายักษ์สีเลือด สัตว์สายพันธุ์ประหลาดบรรพกาลมากมายกดอัดห้วงนภา คำรามก้องฟ้าดิน พลานุภาพชวนประหวั่นนั้นบีบกดแผ่นฟ้า ทำเอาสนามรบโบราณแถบนี้สั่นสะเทือน
บนยานสำเภายักษ์ชายชุดโบราณสวมเกี้ยวประดับสูงคนหนึ่งสองมือไพล่หลัง ช่วงเอวคาดขลุ่ยยาวเขียวมรกตเลาหนึ่ง เงาร่างหยิ่งทะนง แววตาดุจอินทรีกิริยาดั่งหมาป่า กลางนัยน์ตาวาบประกายอัศจรรย์เรืองรองจ้าตากว่าดวงตะวัน
ข้างกายเขายังล้อมรอบด้วยชายหญิงกลุ่มหนึ่ง ล้วนแต่บุคลิกไม่ธรรมดา
ครืน!
เห็นพวกหลินสวินสามคนอยู่ข้างหน้า แต่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดบรรพกาลพวกนั้นหรือทุกคนบนยานสำเภาสีเลือดก็ต่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เจ้าคางคกและอาหลู่ล้วนโกรธจัด ทว่ากลับถูกหลินสวินคุมตัวพาพุ่งหลบไปอีกด้าน หลีกทางแต่โดยดี
ห้วงอากาศแถบนี้อลหม่าน ยานสำเภาสีเลือดกดอัดผ่านไปโดยไม่หยุดพัก ส่งเสียงกัมปนาทห่างออกไปราวฟ้าคำราม เหลือไว้เพียงคลื่นลมแผ่กระจาย
ยังได้ยินเสียงเยาะหยันและปรามาสบางส่วนอยู่รางๆ คล้ายกำลังวิจารณ์พวกหลินสวิน เจือกลิ่นอายสัพยอก
เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างหัวเสีย สีหน้าไม่น่าดู เมื่อครู่คนพวกนั้นจงใจชัดๆ บนฟ้ากว้างใหญ่เสียปานนั้นยังดันทุรังเคลื่อนตัวเบียดพวกเขา นี่มันทำเกินไปแล้ว
หว่างคิ้วหลินสวินฉายแววเยียบเย็นวูบหนึ่ง
อะไรที่เรียกว่าอวดดีอันธพาล
นี่แหละใช่!
“การต่อสู้มหามรรคถอยเพียงก้าวทุกก้าวล้วนถอยร่น ทุกท่าน เจตจำนงพวกเจ้าถูกสั่นคลอนแล้ว เชิญกลับไปเถอะ มหามรรคขอบเขตมกุฎระดับราชันคงถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับพวกเจ้าแน่”
เวลานี้ชายผมเทาท่าทางองอาจคนหนึ่งที่แบกธนูยาวกระดูกสัตว์ผ่านมาก็กล่าววิจารณ์ลอยๆ เจือความดูถูกเสี้ยวหนึ่ง
เขาก้าวย่างเพียงครา แสงมรรคใต้เท้าดุจใบบัว แบกเขาลอยล่องไปเบื้องหน้า ชั่วพริบตาก็โฉบไปยังที่ห่างไกล
จากนั้นอินทรีฟ้ากิเลนเขียวตัวหนึ่งโฉบขวางนภา บนตัวมันแบกหญิงสาวหน้าผากมนคนหนึ่ง นางกล่าวเย็นชา “หากยืนกรานมุ่งหน้าต่อก็เตรียมตัวเป็นแท่นรองเหยียบเถอะ ผู้อยู่ใต้ระดับราชันแม้ล้วนมีโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎ แต่ก็มีคนได้กลายเป็นราชัน และมีคนที่ต้องฝังกระดูกเป็นหนทางให้คนอื่นเหยียบย่ำ”
สีหน้าเจ้าคางคกและอาหลู่ผิดแปลกหาใดเปรียบ แค่หลีกทางให้ก็ถูกมองเป็นการแสดงออกที่ขี้ขลาด ช่างทำให้คนเดือดดาล
“ทุกท่านอย่าได้หมดกำลังใจ บนยานสำเภาโลหิตเมื่อครู่คือผู้ฝึกปราณของสำนักโบราณ ‘เขาวิญญาณหมื่นอสูร’ กระทำการป่าเถื่อนและอวดดีเป็นที่สุด”
ชายหนุ่มปีกเทาแต่กำเนิดคนหนึ่งเข้ามาใกล้ ทำการกล่าวเตือนด้วยหวังดี ดูท่าทางเขาเห็นชัดว่าเป็นลูกหลานเผ่าวาทวาโยคนหนึ่ง
แต่เมื่อเขาเห็นรูปร่างหน้าตาหลินสวินชัดเจนก็พลันอึ้งงันทันที กล่าวเสียงหลง “เทพมารหลิน?”
เห็นชัดว่าเขาจำหลินสวินได้!
นึกถึงว่าตนกล่าวเตือนเทพมารหลินอย่างโอ้อวดไม่กระดากว่าอย่าท้อถอยไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มก็เหงื่อแตกพลั่ก
เขารีบร้อนกล่าวอย่างอักอ่วน “เมื่อครู่ข้าไม่รู้ว่าเป็นคุณชายหลิน คำพูดเตือนเหล่านั้นขอท่านอย่าถือสา”
หลินสวินมีหรือจะคิดเล็กคิดน้อยกับเขา โบกมือให้เขาจากไป
“เขาวิญญาณหมื่นอสูรรึ ข้าจำไว้แล้ว!”
เวลานี้เจ้าคางคกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยปาก เขาเก็บกลั้นโทสะไว้เต็มท้อง ถูกคนตวาดให้ถอยหลีกทำให้เขาเดือดพล่านพอดูแล้ว เวลานี้ยังทยอยถูกคนสบประมาท ช่างเป็นการราดน้ำมันบนกองไฟ ทำให้เขาโกรธจนควันออกหู
“ยังมีเจ้าหนูแบกธนูยาวและนางตัวดีขี่อินทรีนั่น ข้าจำพวกมันไว้หมดแล้ว! มารดามันเถอะ กล้ามองพวกเราเป็นแท่นรองเหยียบ ข้าจะใช้เท้าเหยียบพวกมันให้ติดพื้นเลย”
อาหลู่กล่าวอย่างงุ่นง่าน ข้อต่อกระดูกทั่วร่างลั่นดังกร๊อบๆ
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาดำใสกระจ่าง เขาไม่พูดมากความและไม่ล่าช้าอีก เดินหน้าต่อไป
ผ่านไปนาน
บนสนามรบโบราณข้างหน้าปรากฏเมืองแห่งหนึ่ง ทิวทัศน์งามตระการตาขวางกลางฟ้าดิน เสมือนตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดจนปัจจุบัน กลิ่นอายเหนือกาลเวลายังอบอวลอยู่ชั่วนิรันดร์
ตอนนี้มีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนกำลังรวมตัวหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่มุ่งไปข้างหน้าอีก ล้วนกำลังทอดมองและสำรวจเมืองแห่งนี้
เมืองนี้เก่าแก่นัก ตัวกำแพงทิ้งคราบเลือดกระดำกระด่าง ตั้งอยู่ในสนามรบโบราณ แม้ผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดแต่กลับไม่ถูกพังทลายและเสียหาย เห็นได้ว่าลึกลับหาใดเปรียบ
มันไม่ได้ใหญ่โต มีอาณาเขตเพียงสิบกว่าลี้ แต่กำแพงเมืองกลับหนาดั่งภูผาสูงตระหง่าน ทั้งราวสัตว์ปีศาจดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งลงหลักปักฐานอยู่ตรงนั้น คล้ายไม่หวาดกลัวการกัดกร่อนแห่งกาลเวลา ทั้งไม่หวั่นเกรงพิบัติธรรมชาติภัยมนุษย์!
“เมืองนำทาง!”
คนมากมายต่างเผยความฮึกเหิมและมุ่งหวัง
ยามมหายุคมาเยือนจะมีแท่นมรรคบูชาอริยะสามพันแห่งบังเกิดขึ้นในต่างบริเวณทั่วหล้า มีเพียงก้าวผ่านแท่นมรรคบูชาอริยะถึงจะสามารถเข้าไปในแดนมกุฎได้
และ ‘เมืองนำทาง’ ที่กล่าวถึงก็คือสถานที่ซึ่งแท่นมรรคบูชาอริยะจะมาเยือน!
ฟ้าดินสลัว เมืองแห่งนี้เงียบสงัดเด่นตระหง่าน ประตูเมืองปิดสนิท
รอบเมืองสัตว์ปีศาจร้องคำราม ปักษาเทพขานเจื้อยแจ้ว กลุ่มขุมอำนาจผู้ฝึกปราณหลายหลากต่างยึดครองอาณาเขตเฝ้ารอ
คนเยอะมาก!
กวาดสายตามองจากไกลๆ ทั้งเมืองนำทางล้วนถูกเงาร่างผู้ฝึกปราณโอบล้อมดุจกระแสน้ำ แน่นขนัดมืดฟ้ามัวดิน
“ยามมหายุคมาเยือน แท่นมรรคบูชาอริยะก็จะมาที่เมืองนี้ ถึงเวลานั้นพลังผนึกเมืองจะเปิดออกให้ผู้ฝึกปราณเข้าไปข้างใน” เจ้าคางคกกล่าวเตือนเสียงเบา
หลินสวินพยักหน้า หากไม่เห็นกับตาตัวเองเขาคงไม่อาจจินตนาการ ว่าส่วนลึกของสนามรบโบราณที่ประหนึ่งซากปรักหักพังนี้ จะมีเมืองโบราณลึกลับเช่นนี้ตั้งอยู่
“คนมากเกินไปแล้ว อย่างน้อยก็มีหลายหมื่น!” อาหลู่ตกใจอยู่บ้าง สำรวจมองโดยรอบ
รอบเมืองนี้มีผู้ฝึกปราณมากมาย แต่เมื่อสังเกตโดยละเอียดก็จะพบว่าพวกเขาต่างเกาะกลุ่มเป็นขบวน แบ่งออกเป็นกลุ่มของใครของมัน สามารถแยกแยะได้ชัดเจน
หลินสวินสังเกตเห็นเช่นกันว่าบุคคลขอบเขตมกุฎในที่นี้มีเยอะมาก โดดเด่นอยู่ในบริเวณต่างๆ ประหนึ่งหงส์ในหมู่กา ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
อีกาทองตัวหนึ่งยืนสยายปีกทองอร่ามจ้าตาดั่งดวงตะวัน
เหล่าชายหญิงทั้งหมดรวมตัวกันโดยรอบ บริเวณใกล้เคียงพวกเขาเว้นที่ว่างเป็นวงกว้าง ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้ ไม่ต่างอะไรกับการแบ่งอาณาเขต
ขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณของเขาวิญญาณหมื่นอสูรก็เกาะกลุ่มรวมตัว ที่ถูกจับตามองที่สุดคือชายสวมเกี้ยวประดับสูง ตรงเอวคาดขลุ่ยยาวเขียวมรกต เงาร่างหยิ่งทะนงคนนั้น
“คนผู้นี้นามเหลียงเซวี่ยอิ๋น สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรที่เพิ่งปรากฏตัวบนโลกในช่วงนี้ ศักยภาพลึกล้ำเกินคาดเดา ได้ยินว่าเขาครอบครองมหามรรคเทียมฟ้าอัศจรรย์บางอย่าง สามารถใช้พลังแห่งหมื่นวิญญาณได้”
มีคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ เผยฐานะของชายสวมเกี้ยวประดับสูงนั่น
นอกจากนี้พวกหลินสวินก็สังเกตเห็นชายหนุ่มที่แบกธนูยาวกระดูกสัตว์ ผมเทาทั้งศีรษะนั่นกำลังสนทนากับคนกลุ่มหนึ่ง
ยามสังเกตเห็นสายตาหลินสวิน ชายหนุ่มผมเทาก็มองมาทางนี้วูบหนึ่ง แววตาเพลิดเพลิน มุมปากโค้งขึ้นราวยั่วยุ
ทันใดนั้นเสียงก้องกังวานหนึ่งพลันดังขึ้น อินทรีฟ้ากิเลนเขียวตัวหนึ่งโฉบลงมาจากฟากฟ้า
บนตัวมันมีหญิงสาวหน้าผากมน สีหน้าเย็นชาครัดเคร่งคนหนึ่งนั่งอยู่ รูปโฉมงดงามไม่ธรรมดา กลิ่นอายทรงพลัง แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่บุคคลธรรมดา
บนหนทางก่อนหน้านี้พวกหลินสวินเคยพบหญิงสาวคนนี้มาก่อน ยังถูกฝ่ายตรงข้ามเหน็บแนมกระทบกระเทียบ บอกว่าหากยืนกรานมุ่งหน้าต่อไปจะต้องกลายเป็นแท่นรองเหยียบ!
ตอนที่ 1128 ไม่อยากเกลือกกลั้ว
ปีกอินทรีฟ้ากิเลนเขียวยาวสิบกว่าจั้ง ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดเขียวเลื่อมพราย แข็งแกร่งดุดันและป่าเถื่อน ยามร่อนลงฝุ่นฟุ้งตลบเศษหินกระจาย
คนไม่น้อยโดยรอบต่างถอยไม่หยุด สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวจนหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่อยู่
หญิงสาวสีหน้าเย็นชาครัดเคร่งคนนี้ยังไม่ลงมือ พาหนะนางก็ทำให้คนใจสั่นแล้ว ข่มพลานุภาพของผู้ฝึกปราณบางส่วน
พวกหลินสวินก็อยู่ในบริเวณนั้น แต่ไม่ได้ถอยหลบ
“นางเป็นใครกัน”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง พวกเจ้าไม่รู้จักแม้แต่เทพธิดาหลิงหวาแห่งสำนักยุทธ์นครนิลรึ”
“เทพธิดาหลิงหวา? คงไม่ใช่ผู้กล้าหญิงขอบเขตมกุฎที่ช่วงนี้เพิ่งออกมาจากการเก็บตัวนั่นกระมัง”
“เป็นนางนี่แหละ!”
ผู้คนละแวกใกล้เคียงวิพากษ์วิจารณ์ สายตาที่มองไปยังหญิงสาวบนอินทรีฟ้ากิเลนเขียวล้วนเจือความยำเกรงวูบหนึ่ง
สัตว์ประหลาดยุคโบราณแต่ละคนต่างมีรากฐานพลังพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามหวาดกลัว
ก็เหมือนเทพธิดาหลิงหวาเบื้องหน้า แม้สันโดษ แต่ในที่นั้นกลับไม่มีคนกล้าดูหมิ่น!
“ช่างวิ่งมาหาที่ตายยิ่งนัก”
หลิงหวาเหลือบมองพวกหลินสวินวูบหนึ่งพลางกล่าว “ข้าเองไม่อยากหาเรื่องพวกเจ้า แต่ตอนนี้พวกเจ้าหายไปจากสายตาข้าจะดีที่สุด”
น้ำเสียงสบายอารมณ์ แต่กลับเผยมาดออกคำสั่งสูงส่งเหนือคนอื่น
“เจ้าจะยึดครองอาณาเขตนี้คนเดียวรึ” เจ้าคางคกเลิกคิ้ว เพลิงโทสะในใจเดือดพล่าน ผู้หญิงคนนี้กำเริบเสิบสานเสียจริง
“ไม่ใช่ยึดครอง แค่ไม่อยากเกลือกกลั้วกับพวกเจ้า เข้าใจไหม”
วาจาเทพธิดาหลิงหวาราบเรียบ แฝงความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริงเวลานี้สถานที่ในรัศมีหลายสิบจั้ง นอกจากพวกหลินสวินแล้วก็ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้ ถูกพลานุภาพของเทพธิดาหลิงหวาเขย่าขวัญ
และตอนนี้นางยังเอ่ยปากขับไล่พวกหลินสวินโดยตรง ท่าทีโอหังอวดดีเช่นนี้ทำให้คนไม่น้อยตื่นตระหนกไม่หยุด
ไม่อาจไม่พูดถึงว่าหญิงสาวผู้นี้ทรงพลังนัก พลานุภาพที่แผ่ออกมาจากร่างทำให้ผู้ฝึกปราณทั่วทิศต่างแบกรับไม่อยู่ ทยอยถอยอย่างต่อเนื่อง
อินทรีฟ้ากิเลนเขียวที่นางนั่งอยู่ก็องอาจไม่โอนอ่อน กวาดมองเหล่าผู้กล้าอย่างหยิ่งทะนง บนปีกรัศมีสายฟ้าอัศจรรย์ไหลบ่าแหวกผ่านอากาศ กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ
ผู้ฝึกปราณบริเวณนี้ต่างถอยหลีกห่างไกล มีเพียงพวกหลินสวินที่ยังอยู่ราวกับไม่ได้ยินคำพูดนาง หรือกล่าวได้ว่ามองข้ามไปทั้งอย่างนั้น
ชั่วขณะเดียวนัยน์ตาหลิงหวาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นหาใดเปรียบ อินทรีฟ้ากิเลนเขียวใจ้ร่างพลันทะยาน ทั่วร่างเปล่งแสงสายฟ้าบาดตา เหยียดกรงเล็บคมกริบเยียบเย็นดุดันตะปบไปทางหลินสวินเต็มแรง
หมายฉีกกระชากเขาราวอินทรีตะปบกระต่าย!
เจ้าคางคกและอาหลู่เดิมก็โกรธจนแทบควบคุมไม่อยู่ หากไม่ใช่หลินสวินห้ามไว้คงลงมือไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ยอมเลิกรา ทำให้ทั้งคู่อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
ทว่าหลินสวินที่เดิมแน่นิ่งไม่ขยับกลับชิงลงมือก่อน พลันเอื้อมมือคว้าทันที
เร็วเกินไปแล้ว ชั่วพริบตาก็จับกรงเล็บคมกริบของอินทรีฟ้ากิเลนเขียวนั่นอยู่หมัด ทำจนฝ่ายหลังดิ้นรนเท่าไรก็ไม่อาจสลัดหลุด!
หืม?
นัยน์ตาหลิงหวาพลันหดเกร็ง
พร้อมกันนี้แขนหลินสวินพลันส่งแรงเหวี่ยง ทุ่มอินทรีฟ้ากิเลนเขียวลงกับพื้นทันใด
ในกระบวนการนี้เงาร่างหลิงหวาพลันซวนเซเกือบถูกเหวี่ยงกระเด็น ร่างกายพริบไหวขยับตัวไปกลางอากาศตามจิตใต้สำนึก
ปึง!
พื้นดินสั่นสะเทือนเกิดหลุมยุบมหึมาหลุมหนึ่ง อินทรีฟ้ากิเลนเขียวนั่นถูกกระแทกจนคอเกือบหัก ส่งเสียงครวญกระชั้นถี่และโหยหวน ปีกทั้งสองขาดสะบั้น
จากนั้นร่างกายมันก็อ่อนยวบ ถึงกับถูกการโจมตีเดียวซัดสลบ!
โลหิตแดงสดไหลหลั่งชวนตระหนก หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง โยนปักษาเทพที่สลบเหมือดตัวนี้ออกไปราวทิ้งขยะ
ฝุ่นควันบนพื้นแผ่คลุ้งพร้อมเสียงดังตึง
ในบริเวณใกล้เคียงมีเสียงฮือฮา ในใจทุกคนตระหนกหวาดผวา ใครก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มที่ไม่พูดจาสักคำตั้งแต่ต้นจนจบคนนี้ ทันทีที่ลงมือจะป่าเถื่อนเช่นนี้
ถึงแม้หลิงหวาจะหลบการโจมตีนี้ได้ แต่สีหน้ากลับเยียบเย็นจนน่ากลัวในชั่วขณะเดียว ทั่วร่างแผ่ไอสังหารมืดฟ้ามัวดินเตรียมกระโจนสังหาร
“เป็นเขา เทพมารหลิน!” มีคนร้องเสียงหลง
และเสียงนี้เองที่ทำให้หลิงหวาผงะในใจวูบหนึ่ง หยุดกระทำการในมือลง ยามมองหลินสวินอีกครั้งสายตาก็เปลี่ยนไป
เทพมารหลิน!
เพียงสามคำราวกับมีเวทมนตร์ ดึงดูดสายตาผู้คนใกล้เคียงมาจนหมด ชั่วขณะเดียวบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไม่น้อย
ใต้หล้าทุกวันนี้ใครกล้าพูดว่าไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเทพมารหลินคงถูกคนหัวเราะเยาะแน่
และด้วยรู้ผลงานการต่อสู้ที่ผ่านมาของหลินสวิน ยามได้ยินว่าเจ้าหนุ่มนั่นก็คือเทพมารหลินที่ชื่อเสียงสะเทือนดินแดนรกร้างโบราณในปัจจุบัน ผู้ฝึกปราณ ณ ที่นั้นจึงไหวหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้
“มิน่าถึงได้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเขา”
มีคนพูดเสียงเบา
ก่อนหน้านี้ไม่นานเรื่องที่เทพมารหลินเอาชนะสัตว์ประหลาดยุคโบราณจินเซี่ยวหมิงได้สั่นสะเทือนใต้หล้า เปิดฉากความปั่นป่วนโกลาหลอยู่ก่อนแล้ว!
“ทุกวันนี้คงมีเพียงเทพมารหลินที่ไม่หวาดกลัวการประลองกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณ”
มีคนทอดถอนใจ
เมื่อแน่ใจฐานะของหลินสวิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าก็เห็นได้ว่าปกติ เทพธิดาหลิงหวานั่นบางทีอาจน่ากลัว แต่คู่ต่อสู้นางเป็นถึงเทพมารหลิน!
แค่สัตว์หน้าขนตัวหนึ่งข้างกายนางยังกล้าล่วงเกินเทพมารหลิน นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายรึ
ในจุดที่ห่างออกไป ชายผมเทาที่แบกธนูยาวกระดูกสัตว์หน้าเปลี่ยนสีผิดธรรมชาติ เขานึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่เคยดูถูกพวกหลินสวิน
บนยานสำเภาสีเลือด ผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ล้วนคิดไม่ถึงว่าในหมู่ผู้ฝึกปราณที่พวกเขาขับไล่บนเส้นทางก่อนหน้าจะมีเทพมารหลินอยู่ด้วย!
ชั่วขณะเดียวมีคนมุ่นคิ้วและมีคนไม่ใส่ใจ
มีเพียงสีหน้าเหลียงเซวี่ยอิ๋นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ปฏิบัติตัวอย่างเฉยเมย
“เจ้าก็คือหลินสวิน? ข้ามองผิดไปจริงๆ ดูไม่ออกว่าเจ้าร้ายกาจมากแค่ไหน”
เวลานี้หลิงหวาเอ่ยปาก สีหน้ายังเย็นชาครัดเคร่งไม่เปลี่ยน “แต่ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าทำร้ายพาหนะของข้าก็ออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่”
เจ้าคางคกโกรธจัด “ยัยผู้หญิงหน้าเหม็นนี่ บนทางก่อนหน้านี้เจ้าพูดจาเสียดแทงกระทบกระเทียบ หลังมาถึงที่นี่ยังจะขับไล่พวกข้า ก็คร้านจะเอาความเจ้าอยู่หรอก แต่เจ้ากลับเหยียบจมูกขึ้นหน้า ยังมียางอายอยู่ไหม”
อาหลู่ยิ่งตรงไปตรงมากว่า ตาจับจ้องอินทรีฟ้ากิเลนเขียวที่สลบอยู่กับพื้นกล่าว “พี่ใหญ่ ข้าอยากกินเนื้ออินทรี”
ก่อนหน้านี้หลินสวินเลือกจะอดกลั้น ด้วยไม่อยากดึงดูดสายตามากเกินไปก่อนเข้าสู่แดนมกุฎ ถึงอย่างไรการเสนอหน้าเวลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี จะถูกคนเพ่งเล็งเอาได้
แต่การอดกลั้นไม่ได้หมายความว่าขี้ขลาด ฝ่ายตรงข้ามมาล่วงเกินกันก่อน หากแสร้งอ่อนแออีกกลับจะเห็นว่าพวกเขารังแกได้ง่าย!
“อยากกินเนื้อรึ ง่ายมาก!”
หลินสวินรวบนิ้วกรีดขวับ ตัดลำคอของอินทรีฟ้ากิเลนเขียวนั่นดังฟุ่บ โลหิตแดงสดสาดพรมราวน้ำพุในชั่วพริบตา
ทุกคนใจสั่นสะท้าน ช่างเป็นเทพมารจริงๆ ฟังไม่เข้าหูก็ฆ่าได้แม้แต่พาหนะของฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังคิดจะกินมันด้วย!
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
หลิงหวากรีดร้องเดือดดาลถึงขีดสุด สัตว์พาหนะถูกคนเชือดคอต่อหน้าต่อตานาง นี่คือความอัปยศครั้งใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย
ตูม!
เพียงแต่ช่วงที่นางคิดลงมือ ชายชราหนวดเคราเงินคนหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขวางหน้าหลิงหวาไว้ “คุณหนู ก่อนเข้าสู่แดนมกุฎไม่เหมาะจะลงมือกับใคร”
บนตัวชายชราไหลเวียนด้วยพลังชวนประหวั่นอันเป็นของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน ทันทีที่ปรากฏตัวก็ทำให้คนไม่น้อยต่างหน้าเปลี่ยนสี
แต่ก็มีคนอีกมากที่ไม่หวาดกลัว
ด้วยข้างกายพวกเขาต่างมีคนใหญ่คนโตคอยปกป้องในที่ลับ!
“ลุงอวิ๋น เขาฆ่าพาหนะของข้า จะอดกลั้นได้อย่างไร” ใบหน้าหลิงหวาเคร่งขรึม ในดวงตาเปี่ยมไอสังหารน่าพรั่นพรึง
“แค่สัตว์หน้าขนตัวหนึ่งเท่านั้น เทียบกับศุภโชคในแดนมกุฎแล้วก็ไม่สลักสำคัญอะไร” ชายชราเอ่ยราบเรียบ
ภาพนี้ช่างแปลกประหลาด ราชันคนหนึ่งมาเยือนชัดๆ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับขัดขวางไม่ให้หลิงหวาลงมือ และไม่มีท่าทีว่าจะช่วยนางออกหน้าเพียงเสี้ยว
แต่ผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ภายในอย่างแท้จริงล้วนรู้ดี บนโลกยามนี้ ใครกล้าใช้วิธีผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยกับหลินสวิน คนผู้นั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่จะตามมาของการทำเช่นนี้ให้ดี!
ต้องรู้ว่าเหตุการณ์ที่หญิงลึกลับคนนั้นบุกไปเยือนหกขุมอำนาจใหญ่ด้วยตัวคนเดียว บีบจนขุมอำนาจใหญ่ทั้งหกไม่อาจไม่ก้มหัว จนทุกวันนี้ก็ยังเล่าสืบต่อกันมา!
“ได้ ข้าจะจำไว้!”
หลิงหวาสูดหายใจลึก แววตาเยียบเย็นจ้องมองหลินสวินแล้วกล่าว “ถนอมเวลาตรงหน้าให้ดีเถอะ รอเข้าไปในแดนมกุฎแล้วข้าจะคิดบัญชีนี้กับเจ้าให้เต็มที่!”
น้ำเสียงเยียบเย็นเจือความเกลียดชัง ทำให้อากาศบริเวณนี้ราวถูกแช่แข็ง ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างสะท้านวาบในใจ
จากนั้นหลิงหวาจึงหันขวับออกจากบริเวณนี้ไป
“เจ้าหนุ่ม แดนมกุฎไม่ได้เอาชีวิตรอดง่ายเช่นนั้น ระวังตัวให้ดี”
ชายชราหนวดเคราขาวเหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่ง แววตาเคร่งขรึมเย็นชาดุจอสนี หากเป็นไปได้เขาอยากจะฆ่าหลินสวินตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ยังข่มกลั้นเอาไว้
เหมือนกับที่ทุกคนคาด เขาไม่ได้ไม่อยาก หากแต่ไม่กล้า!
แน่นอนว่าที่เขาหวาดกลัวไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นหญิงลึกลับคนนั้นที่หนุนหลังหลินสวินอยู่
“ไอ้แก่ รอเมื่อพวกเรากลายเป็นราชันในแดนมกุฎแล้วกลับมา ดูซิว่าเจ้าจะยังกล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้หรือไม่!” เจ้าคางคกยิ้มเย็น
ชายชราแค่นเสียงฮึคราหนึ่ง ก่อนหันหลังจากไป
ละครตลกฉากนี้ปิดฉากลงเพียงเท่านี้
แต่ทุกคนละแวกใกล้เคียงกลับไม่กล้าปฏิบัติตัวกับพวกหลินสวินเหมือนก่อนหน้าอีก ถึงขั้นมีน้อยคนนักที่กล้าเข้าใกล้บริเวณนี้!
เดิมทีหลังรู้ฐานะของหลินสวิน ยังมีคนไม่น้อยคิดอยากไปพูดคุยสมาคมกับหลินสวินอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรหลังเข้าสู่แดนมกุฎ แม้ไม่อาจเคลื่อนไหวด้วยกัน อย่างน้อยที่สุดก็สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้งบางส่วนได้
แต่เมื่อเห็นภาพที่หลินสวินผูกพยาบาทกับหลิงหวากับตา คนพวกนี้ก็ดับความคิดนั้นไป
แม้หลินสวินจะแข็งแกร่ง แต่ศัตรูของเขาก็ไม่น้อย คิดคบค้าสมาคมกับเขาก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ!
ด้วยประการฉะนี้จึงยิ่งทำให้บริเวณที่พวกหลินสวินอยู่เงียบเหงากว่าเดิม
แต่หลินสวินกลับยินดีที่ได้พักเงียบๆ กำชับเจ้าคางคกและอาหลู่ให้เริ่มชำแหละอินทรีฟ้ากิเลนเขียวตัวนั้นด้วยกัน วางแผนที่จะย่างมันกิน
ถึงอย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว
เห็นดังนี้ผู้ฝึกปราณบางส่วนที่อยู่ห่างออกไปต่างหมดคำพูด เทพมารหลินก็ช่างใจกล้า ไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้จะยิ่งยั่วโมโหเทพธิดาหลิงหวาไปอีกขั้น
คนไม่น้อยล้วนมองไปยังหลิงหวา ในที่สุดก็พบว่าใบหน้างามของฝ่ายหลังอึมครึมดังคาด ทั่วร่างแผ่ไอสังหารชวนประหวั่นไร้ขอบเขต
แต่พวกหลินสวินกลับราวไม่รับรู้อะไร
เจ้าคางคกกำลังเสียบเนื้อ อาหลู่กำลังก่อไฟ หลินสวินก็กำลังเตรียมเครื่องปรุง ทั้งสามคนแบ่งงานกันชัดเจน ไม่ช้าก็เริ่มทำการย่างเนื้อ
หลิงหวาเก็บสายตากลับมา นางห่วงว่าหากดูต่อไปตนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ต้องพุ่งสังหารออกไปแน่!
ในเวลานี้เองผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ สื่อจิตกล่าว ‘แม่นางหลิงหวา คุณชายเผ่าข้าเรียนเชิญ’
หลิงหวาชะงัก เงยมองไปยังบริเวณที่อยู่ใกล้เมืองนำทางที่สุด
ที่นั่นมีชายชุดทองคนหนึ่งเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์ที่ราวหล่อจากทองคำหลังหนึ่งอย่างเกียจคร้าน
ตอนที่ 1129 คำเชิญขององค์ชายเจ็ดเผ่าอ...
เนื้อย่างใกล้สุกแล้ว สีเหลืองทองอาบมัน ด้านบนโรยด้วยเครื่องปรุง กลิ่นหอมยวนใจถูกลมพัดโชยอบอวลทั่วลานทันที
ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างลอบกลืนน้ำลาย ให้ตายเถอะ หอมเกินไปแล้ว!
ที่สะดุดตาที่สุดคือปีกย่างทั้งคู่ที่ยาวราวสิบกว่าจั้ง แม้ถูกสับเป็นหลายท่อนแต่ก็ยังใหญ่โตเกินจริง
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่นั่งลงกับพื้น ต่างคนต่างโอบปีกอินทรีย่างท่อนหนึ่งกินจนปากมันเยิ้ม ทั้งยังดื่มเหล้าชามใหญ่ตลอดเวลา ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร
ทุกคนต่างพูดไม่ออก ที่นี่คือหน้าเมืองนำทาง เหล่าผู้กล้าทั่วทิศรวมตัวกัน ล้วนเตรียมการเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ยามเข้าสู่แดนมกุฎ
แต่พวกเทพมารหลินนี่อย่างไร เริ่มก่อฟืนกลางแจ้งเสียอย่างนั้น!
“เนื้อหมาทมิฬนำมาปรุงอาหารอร่อยที่สุด งูสวรรค์ทองคำตุ๋นเป็นน้ำแกงดีที่สุด ส่วนอินทรีฟ้ากิเลนเขียวนี่ย่างไฟกินถึงจะเลิศรส”
หลินสวินเอ่ยวิจารณ์
เจ้าคางคกและอาหลู่กินอย่างตะกละตะกลามพลางพยักหน้าเห็นด้วย
ผู้ฝึกปราณใกล้เคียงไม่น้อยสูดหายใจเย็น ความอยากอาหารของเทพมารหลินนี่นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเกินขอบเขต ตั้งท่าวิจารณ์ของอร่อยในใต้หล้าแล้ว!
พาหนะของผู้ฝึกปราณไม่น้อยล้วนเป็นสัตว์ปีศาจและปักษาเทพ เวลานี้ต่างลนลานไปหมด ในใจแอบสาบานว่าจะต้องอยู่ห่างเทพมารหลินนั่นให้ไกลหน่อย!
เสียงกระแอมหนึ่งดังขึ้น ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา มือไพล่หลังก้มมองหลินสวินที่นั่งอยู่กับพื้นกล่าว “หลินสวิน องค์ชายเจ็ดเผ่าข้าเชิญเจ้า จงไปพร้อมข้าเถอะ”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่เจือกลิ่นอายออกคำสั่งโดยไม่ต้องสงสัย
สีหน้าทุกคนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด รู้ว่าชายร่างผอมสูงนี้คือผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของเผ่าอีกาทองนามอูเหิง
และ ‘องค์ชายเจ็ด’ ที่อูเหิงกล่าวถึง ตอนนี้ก็อยู่หน้าประตูเมืองซึ่งใกล้เมืองนำทางที่สุด นามอูหลิงเฟย เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่ราวปีศาจแห่งยุคคนหนึ่ง!
แม้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่อูหลิงเฟยผู้นี้ก็เป็นราชนิกุลของเผ่าอีกาทอง สายเลือดบริสุทธิ์ พรสวรรค์โดดเด่น พลังต่อสู้ก็เรียกได้ว่าพลิกฟ้า
“มีอะไรรึ”
หลินสวินเคี้ยวเนื้อย่างพลางเอ่ยถามลอยๆ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า
อูเหิงสีหน้าขรึมทันที ทั้งยังกระแทกเสียงกล่าวซ้ำอีกรอบ “องค์ชายเจ็ดเผ่าข้าเชิญเจ้า!”
“ไม่ว่าง”
หลินสวินปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด
อูเหิงตกตะลึงราวคาดไม่ถึง ขนาดเอ่ยชื่อองค์ชายเจ็ดแล้วยังมีคนกล้าไม่ใส่ใจ
ที่ทำให้เขาหัวเสียที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินนั่งอยู่กับพื้นมัวแต่กินเนื้อ ไม่คิดจะลุกขึ้นมารับคำสั่งแม้แต่น้อย
“เจ้าแน่ใจนะ?”
อูเหิงสูดหายใจลึก ตัดสินใจให้โอกาสหลินสวินพิจารณาอีกครั้ง
เจ้าคางคกอดกลอกตาใส่ไม่ได้ กล่าวไม่สบอารมณ์ “เจ้าก็เป็นแค่ลูกกะจ๊อก ในเมื่อปฏิเสธคำเชิญของเจ้าแล้วจะมัวยืนอยู่นี่ทำซากอะไร กลับไปบอกองค์ชายเจ็ดอะไรนั่นสิว่าไม่ว่าง!”
วาจานี้ไม่เกรงใจเกินไปแล้ว
อูเหิงโกรธจนหน้าอึมครึม ในที่นี้ขุมอำนาจผู้ฝึกปราณแม้มีมาก แต่พวกเขาเผ่าอีกาทองแห่งหุบเขาตะวันคล้อยนับว่าอยู่สูงสุด!
แต่ตอนนี้กลับมีคนปฏิเสธคำเชิญครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างคาดไม่ถึง ทั้งท่าทียังสบายอารมณ์ นี่ไม่อาจฝืนทนเกินไปแล้ว
“ฮึ โอกาสมาถึงแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ไขว่คว้า ระวังตัวไว้ให้ดี!”
อูเหิงกล่าววาจารุนแรงทิ้งท้ายประโยคหนึ่งก่อนหันหลังจากไป
ทุกคนเห็นภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตา ในใจต่างอดตื่นเต้นไม่ได้ ช่างสมเป็นเทพมารหลินที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า แค่ความกล้าเช่นนี้ก็หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาเอื้อมถึง
นั่นเป็นถึงทูตที่เผ่าอีกาทองส่งมา แต่กลับถูกไล่กลับลวกๆ เช่นนี้!
…
หน้ากำแพงเมืองที่ตระหง่านเก่าแก่ องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองนอนเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์ทองอร่ามอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางดูสบายใจเรื่อยเฉื่อย
“ประเดี๋ยวรอหลินสวินมาแล้ว ข้าจะให้เขาก้มหัวขอโทษเจ้า นี่ถือเป็นความจริงใจจากข้า”
อูหลิงเฟยกล่าวเนิบช้า เส้นผมทั้งศีรษะเปล่งประกายแวววาวดั่งน้ำตกสีทอง เครื่องหน้าทั้งห้าคมเข้มได้รูปดุจแกะสลัก มีพลังบีบคั้นผู้คน
“ร่วมมือกับเจ้าก็ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ข้าไม่มีทางยอมรับคำขอโทษ” หลิงหวาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเย็นชา หว่างคิ้วเจือความเกลียดชังวูบหนึ่ง
อูหลิงเฟยเงียบสื่อจิตกล่าว ‘แม่นางหลิงหวา ใต้หล้าต่างรู้ว่าพลังต่อสู้ของเทพมารหลินนี่ไม่ธรรมดา พวกเราสามารถดึงเขามาเป็นพวก ให้เขาฝ่าฝันอันตรายเพื่อเราก่อน รอเมื่อชิงวาสนามาได้… อืม เจ้าน่าจะเข้าใจ’
หลิงหวาตะลึงงัน รู้ว่าอูหลิงเฟยทำเช่นนี้เพราะต้องการหลอกใช้หลินสวิน หาได้คิดร่วมมือกับหลินสวินอย่างแท้จริง
นางคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มกล่าว ‘สหายยุทธ์ เจ้าร่วมมือกับข้าคงไม่ใช่ว่ามีความคิดเช่นนี้ด้วยกระมัง’
อูหลิงเฟยหัวเราะลั่น จากนั้นเขาค่อยนั่งตัวตรงบนบัลลังก์ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังกล่าวว่า ‘ข้าขอสาบานในนามเผ่าอีกาทอง รับรองว่าไม่มีทางทำเรื่องข้ามแม่น้ำรื้อสะพานกับแม่นางเด็ดขาด’
หลิงหวาร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
เวลานี้เองนางพลันได้กลิ่นเนื้อยั่วยวน ทำเอานางน้ำลายสออยู่บ้าง
เมื่อมองตามกลิ่นหอมไปสีหน้าหลิงหวาพลันเปลี่ยนเป็นผิดแปลกหาใดเปรียบทันที กัดฟันกรอดแทบแหลก เทพมารหลินน่ารังเกียจนี่ถึงกับย่างสัตว์พาหนะของนางกินจริงๆ !
อูหลิงเฟยก็ตกตะลึง นัยน์ตาฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวปลอบใจ “แม่นางอย่าวู่วาม เรื่องเล็กไม่ยอมทนจะเสียงานใหญ่ รอเข้าไปในแดนมกุฎแล้วยังมีโอกาสจัดการเจ้าเด็กนี่!”
หลิงหวากล่าวเสียงเยียบเย็นเสียดกระดูก “ร่วมมือกันก็ได้ ช่วยข้าสังหารเจ้าเด็กนี่แล้วข้าจะรับปากเจ้าตอนนี้”
แววตาอูหลิงเฟยไหววูบคิดใคร่ครวญ
ในเวลานี้อูเหิงกลับมาอย่างรีบเร่ง สีหน้าอึมครึมกล่าว “องค์ชายเจ็ด เทพมารหลินนั่นไม่รู้จักดีชั่ว ไม่เพียงไม่ตามมา ท่าทียังต่ำทรามยิ่งนัก…”
เขาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนหมด
หลิงหวาได้ยินดังนั้นมุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นอย่างอดไม่อยู่ เหลือบสายตามองอูหลิงเฟย ดูว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
อูหลิงเฟยเงียบไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนเชิญด้วยตัวเองแล้วอีกฝ่ายจะปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง!
นี่ไม่คิดจะไว้หน้าตนใช่ไหม
ส่วนลึกในนัยน์ตาอูหลิงเฟยฉายแววเย็นชาอย่างยากสังเกตเห็นวูบหนึ่ง
จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อยลุกขึ้นกล่าว “ช่างเถอะ ข้าไปเชิญด้วยตัวเองแล้วกัน คนอย่างเทพมารหลินวางท่าใหญ่โตบ้างก็ปกติ สามารถเข้าใจได้”
ในใจอูเหิงไม่พอใจนัก เปิดปากกำลังจะพูดอะไรแต่ถูกสายตาอูหลิงเฟยกวาดมองมา ทำเอาเย็นวาบจนสั่นไปทั้งตัว ไม่กล้ากล่าวมากความอีก
“หลินสวิน ข้าน้อยอูหลิงเฟยเผ่าอีกาทอง ได้ยินชื่อเสียงพี่หลินมานาน วันนี้มีวาสนาได้พบกันที่นี่ มาพูดคุยกันหน่อยได้หรือไม่”
ทันใดนั้นฟ้าดินแถบนี้ถูกเสียงฉะฉานของอูหลิงเฟยปกคลุม ทำเอาผู้ฝึกปราณทั่วลานพลันแตกตื่น
ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากอูเหิงถูกปฏิเสธ อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าอีกาทองคนนี้จะมาเชิญด้วยตัวเอง!
‘เกรงว่าคงมีเพียงเทพมารหลินที่ได้รับการปฏิบัติตัวด้วยเช่นนี้’
ผู้ฝึกปราณมากมายไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ คิดอย่างไร้เดียงสาว่านี่คือการให้ความสำคัญที่อูหลิงเฟยมีต่อหลินสวิน ต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะอิจฉาและทอดถอนใจอยู่บ้าง
‘คำเชิญที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่ต่างอะไรกับการทำดีหวังผล เจ้าต้องค่อยเป็นค่อยไป เผ่าอีกาทองตั้งแต่แก่ยันเด็กไม่มีสักตัวที่ดีงาม’ เจ้าคางคกสื่อจิตเตือน
หลินสวินพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ
“สหายยุทธ์อูมีอะไรชี้แนะเชิญพูดมาตามตรง”
หลินสวินเองก็กล่าวเสียงดัง น้ำเสียงสะท้อนไปไกล
ทันใดนั้นสีหน้าทุกคนในเผ่าอีกาทองต่างเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไม่น้อย องค์ชายเจ็ดของพวกเขาออกปากเชิญด้วยตัวเอง แต่เจ้าหมอนี่ยังโง่เขลาดึงดัน ไม่มีความตระหนักรู้แม้แต่น้อย
อูหลิงเฟยชะงักไปก่อนค่อยกล่าวต่อ “ไม่ถึงขั้นชี้แนะ เพียงแต่อยากเชิญพี่หลินไปไกล่เกลี่ยเรื่องเข้าใจผิดกับแม่นางหลิงหวาสักหน่อย ถึงอย่างไรยามแท่นมรรคบูชาอริยะมาเยือนพวกเราก็ต้องเข้าไปในเขตเดียวกัน มีสหายเพิ่มอีกคนย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอยู่บ้าง”
น้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้ลมวสันต์
ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างแอบทอดถอนใจ องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองผู้นี้เป็นถึงปีศาจแห่งยุค แต่การวางตัวกลับทำให้คนรู้สึกประทับใจโดยง่าย
ทว่าเมื่อฟังถึงตรงนี้หลินสวินพลันยิ้มกล่าวทันที “ไกล่เกลี่ยเรื่องเข้าใจผิด? ได้สิ ให้นางขอโทษพวกเราสามพี่น้อง ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าได้เจรจาอะไรอีก”
เดิมหลิงหวาก็ข่มกลั้นไฟโทสะเต็มท้องอยู่แล้ว ได้ยินดังนี้ก็ทนไม่ไหวทันที “อยากให้ข้าขอโทษรึ ฝันไปเถอะ!”
สีหน้าอูหลิงเฟยเปลี่ยนเป็นเย็นชาเช่นกัน กล่าวว่า “พี่หลิน ความอาฆาตพึงละไม่พึงผูก หากเจ้ายอมถอยก้าวหนึ่ง ไม่แน่ว่าพวกเรายังอาจได้เป็นสหาย ช่วงชิงศุภโชคในแดนมกุฎด้วยกัน หากเจ้าดึงดันทำตามใจ เกรงว่าแม้แต่เพื่อนก็คงเป็นไม่ได้”
คำกล่าวตอนท้ายเจือกลิ่นอายเย็นชาครัดเคร่งวูบหนึ่ง
ผู้ฝึกปราณบางส่วนใจสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าอูหลิงเฟยไม่ได้มีแค่ด้านที่อ่อนโยน เขายังมีด้านที่ดุดันและแข็งกร้าวอีกด้วย
เป็นเพื่อนกันไม่ได้ แน่นอนว่าเป็นได้แค่ศัตรู!
นี่คือเรื่องที่ใครๆ ต่างรู้ดี อูหลิงเฟยทำเช่นนี้ก็เท่ากับส่งสารเตือนหลินสวินแล้ว ไม่เป็นเพื่อนก็เป็นศัตรู ไม่มีทางเลือกอื่น
บรรยากาศ ณ ที่นั้นพลันอึดอัดขึ้นมาด้วยคำพูดนี้
ขุมอำนาจมากมายต่างกำลังสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ตัวอย่างเช่นผู้ฝึกปราณของเขาวิญญาณหมื่นอสูรเป็นต้น
แต่สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่แม้แต่จะคิดก็เอ่ยตอบ “ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดผูกมิตรกับใครง่ายๆ”
หากอูหลิงเฟยพูดจาดีๆ หลินสวินคงให้เกียรติอีกฝ่ายอยู่สามส่วน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับพูดจาทิ่มแทงเจือนัยข่มขู่ นี่ทำให้หลินสวินไม่พอใจ
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างตื่นตะลึงไม่หยุด คำพูดนี้ของหลินสวินหมายความว่าอะไร เหน็บแนมกลับว่าอูหลิงเฟยคบสหายง่ายไปหรือ
คนไม่น้อยต่างสังเกตเห็นว่าสีหน้าอูหลิงเฟยเย็นชายิ่งกว่าเดิม แม้มองร่องรอยความโกรธไม่ออก แต่ภายในใจคงตัดสินโทษตายหลินสวินแล้ว!
“เป็นตัวอะไรยังคิดมาไกล่เกลี่ย เขามีคุณสมบัติพอรึ” เจ้าคางคกพึมพำกล่าว
หลินสวินจมสู่ห้วงคิด อูหลิงเฟยนี่เห็นชัดว่ากำลังดึงคนเป็นพวก วางแผนเคลื่อนไหวพร้อมกันหลังเข้าสู่แดนมกุฎ
ดูจากสถานการณ์แล้ว หลิงหวาที่มาจากสำนักยุทธ์นครนิลคนนั้นคงรับปากร่วมมือกับอูหลิงเฟยแล้ว
ถ้าอย่างนั้นอูหลิงเฟยรับปากอะไรกันแน่ ถึงทำให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างนางเลือกร่วมมือด้วย?
ขณะเดียวกันสีหน้าหลิงหวาเฉยชาสื่อจิตกล่าว ‘สหายยุทธ์อู เจ้าตัดสินใจแล้วหรือยัง’
อูหลิงเฟยสีหน้าราบเรียบ ไม่เห็นสัญญาณโกรธเคืองเพียงเสี้ยว กล่าวยิ้มเล็กน้อย ‘เช่นนั้นก็ขอให้พวกเราร่วมมือกันด้วยดี!’
นัยน์ตาหลิงหวาเป็นประกาย
นางรู้ว่าสาเหตุที่อูหลิงเฟยร่วมมือกับนางเพราะมีเจตนาส่วนตัว แต่ช่างปะไร สาเหตุที่นางรับปากร่วมมือด้วยไม่ใช่เพราะคิดหลอกใช้พลังของอีกฝ่ายเหมือนกันรึ
ต่างฝ่ายต่างเอื้อประโยชน์กันก็เท่านั้น หลิงหวารู้อยู่แก่ใจ
ตึง!
ทันใดนั้นทั่วฟ้าดินพลันสั่นสะเทือนหนักหน่วง ก้องเสียงกระเทือนลุ่มลึกหาใดเปรียบ สรรพสิ่งทั้งปวง ความว่างเปล่าทั้งมวลประหนึ่งกำลังสั่นคลอน
ผู้ฝึกปราณทุกคนในที่นั้นล้วนร่างสั่นสะท้านเซซวน ในใจตระหนก
ราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน!
พร้อมกันนี้ทั่วสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ ต่างก็เกิดแรงสั่นสะเทือนแบบเดียวกัน…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น