Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1113-1123
ตอนที่ 1113 ออกเดินทาง มหายุค!
เพียงแต่เมื่อหลินสวินเอาอาหารนานาชนิดออกมาเรียบร้อยแล้ว ซย่าจื้อกลับไม่ทำเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้กินอาหารทันที
นางยังคงจ้องมองหลินสวิน เหมือนในดวงตาและจิตใจเหลือเพียงหลินสวิน
ฟ้าดินจักรวาลนี้รวมถึงอาหารตรงหน้าล้วนเหมือนไม่มีอยู่
หลินสวินอึ้งไป “ทำไมหรือ”
เขาหยุดทำสิ่งที่ทำอยู่ มองมายังซย่าจื้อ ในใจกลับมีความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกอยู่รางๆ คล้ายว่าจะเกิดเรื่องที่อาจเกินความคาดหมายของเขาไป
ซย่าจื้อส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร หลุบตาลงแล้วนำเนื้อย่างชิ้นหนึ่งมากิน
หลินสวินพบว่าความเร็วตอนซย่าจื้อกินอาหารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กริยาดูเยือกเย็นสุขุม แต่ใจกลับไม่อยู่ตรงนั้น กินเพียงเพื่อกินเท่านั้น
หลินสวินมองดูอย่างเงียบๆ ในใจลอบครุ่นคิดว่า หรือตอนฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งก่อนเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น ถึงได้ทำให้ซย่าจื้อดู… แปลกออกไปอยู่บ้าง
ตอนนี้ซย่าจื้อกวาดอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยงแล้ว จากนั้นนางก็เงยหน้างดงามราวภาพเขียนขึ้น ดวงตาสุกสกาวดุจดวงดาราบนท้องฟ้าทั้งคู่จ้องมองหลินสวินอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ข้าจะจากไปสักพักหนึ่ง”
น้ำเสียงมีชีวิตชีวา ใสกังวานและนุ่มนวล
เมื่อมาถึงหูหลินสวิน กลับเหมือนสายฟ้าฟาดกะทันหัน ในใจพลันสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “จากไปหรือ”
ซย่าจื้อพยักหน้า ดวงตาราวจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า เอ่ยว่า “การฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่ห้าไม่เหมือนที่ผ่านมา จะต้องนิพพานระหว่างต่อสู้ แปรสภาพในความมืดมิด”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วถาม “ไปที่ไหน”
ซย่าจื้อลุกขึ้น เงยหน้าพริ้มเพรามองไปยังเวิ้งฟ้า
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่บนท้องฟ้านั้นมีม่านดำราวราตรีนิรันดร์ชั้นหนึ่งผุดขึ้น สีเข้มราวน้ำหมึก บดบังแสงนภา ส่งกลิ่นอายที่ทำให้ผู้อื่นกดดันออกมา
เจ้าคางคกกับอาหลู่ที่อยู่ห่างออกไปล้วนตกตะลึง พากันเบียดเข้ามา
ราตรีนิรันดร์นั้นประหนึ่งม่านเหล็กที่ปิดผนึกท้องนภา ดุจความมืดมิดแห่งวันสิ้นโลกมาเยือน มีพลังเงียบงันถึงขั้นทำให้คนหายใจลำบากอย่างหนึ่ง
“ไปที่นั่น”
เสียงซย่าจื้อต่ำลึก บนใบหน้างามเลิศที่สามารถทำให้ฟ้าดินหม่นหมองได้นั้น แม้สุขุมเยือกเย็นดังเดิม แต่กลับเจือความแน่วแน่ด้วย
หลินสวินจับจ้องม่านรัตติกาลบนเวิ้งฟ้านั้น สีหน้าหนักอึ้งอยู่บ้าง “ที่นั่นคือที่ไหน ข้าไปกับเจ้าได้ไหม”
ซย่าจื้อส่ายหน้า “ที่นั่นเป็นสนามประลองของข้าเพียงผู้เดียว นอกจากข้า ใครก็เข้าไปไม่ได้”
ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบเชียบกดดันหาใดเทียบ ประตูลึกลับบานหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ เหนือม่านรัตติกาลบนเวิ้งฟ้า รางเลือนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองเห็นได้ไม่ชัด
“เวลาไม่มากแล้ว”
ทวนยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือซย่าจื้ออย่างเงียบเชียบ ทวนขาวบริสุทธิ์ทั้งเล่ม ประกายใสที่ราวนิมิตมายาสายแล้วสายเล่าอุบัติขึ้น
ในขณะเดียวกันไอสังหารไพศาลหาใดเทียบก็แผ่กระจายออกมาจากตัวซย่าจื้อ ทำให้อาภรณ์นางปลิวไสว เงาร่างอรชรเหนือโลกีย์และมีชีวิตชีวา เหมือนจะขี่ลมขึ้นไปจู่โจมเก้าชั้นฟ้า!
หลินสวินสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น
ความปรีดาแต่เดิมมลายไปสิ้น ในใจว่างเปล่า ความทุกข์ระทมสุมทรวง
ตั้งแต่อยู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นในโลกเบื้องล่างจนกระทั่งตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าจื้อเป็นฝ่ายบอกว่าจะจากไป!
ก่อนหน้านี้แม้ซย่าจื้อเคยถูกราชินีรัตติกาลพาตัวไป แต่หลินสวินรู้ว่ามีราชินีรัตติกาลดูแล ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายกับซย่าจื้อ
ทว่าตอนนี้…
ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!
ซย่าจื้อไปออกศึก ทั้งยังไปคนเดียว…
ชั่วขณะหนึ่งจิตใจหลินสวินสับสนยุ่งเหยิง คิดจะขัดขวาง แต่กลับทนไม่ได้อีก เพราะซย่าจื้อพูดไว้แล้วว่าการฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่ห้าของนางต้องนิพพานระหว่างต่อสู้
นี่เป็นมรรคาของนาง หลินสวินจะขัดขวางได้อย่างไร
ฉับพลันนั้นหลินสวินเพียงรู้สึกว่าร่างของเขาถูกกอดไว้ ร่างงามที่ทั้งร้อนทั้งเย็นร่างหนึ่งโผเข้ามาในอ้อมกอด เมื่อก้มหน้าลงมองดูกลับเป็นซย่าจื้อ
เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว เสียงของซย่าจื้อดังขึ้นข้างหู “รอข้ากลับมานะ”
เสียงใสกังวาน เผยให้เห็นความรู้สึกที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
หลินสวินพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
ซย่าจื้อถอยออกไปสองสามก้าวแล้วมองหลินสวินอย่างลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ถึงหันกายแล้วเหยียบย่างขึ้นไปบนห้วงอากาศ
อาภรณ์ของนางพลิ้วไหว ในมือถือทวนยาวกระโดดออกไปก้าวหนึ่ง เส้นทางที่ประหนึ่งควบรวมขึ้นจากความมืดสายหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ พุ่งตรงไปยังเวิ้งฟ้า
ไม่หันหลังกลับมาอีก แต่ไม่ใช่การจากลาชั่วนิรันดร์
ไม่มีลังเลอีก แต่ไม่ใช่การไปแล้วไปลับ
ซย่าจื้อไปแล้ว ก้าวย่างมั่นคง เหยียบย่างไปบนห้วงอากาศ เงาร่างอรชรยิ่งห่างไกลยิ่งคลุมเครือขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ถูกราตรีนิรันดร์มืดมิดปกคลุม
หลินสวินยืนอยู่บนเกาะสันโดษ จ้องร่างงามนั้นค่อยๆ หายไป ในใจเหมือนถูกทำให้ว่างเปล่า มีความรู้สึกอยากจะตามไปด้วยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ตูม!
พลังขับเคลื่อนรอบกายเขาส่งเสียงโครมคราม พลังค่ายกลวัฏจักรดาราในฟ้าดินแถบนี้ถูกโคจร ประกายดาวพร่างพราวพุ่งขึ้น แปรสภาพเป็นละอองแสงเต็มฟ้าพุ่งขึ้นไปในเมฆา
เพียงแต่เวิ้งฟ้าอยู่สูงเกินไป ความมืดมิดราวราตรีนิรันดร์ไม่อาจสั่นคลอนได้เลย
ก็ในตอนนี้เอง ซย่าจื้อมาถึงหน้าประตูดำสนิทที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของเวิ้งฟ้าบานนั้นแล้ว นางหยุดฝีเท้า
“เจ้าต้องรักษาตัวนะ! ข้าจะรอเจ้าเสมอ…”
เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น สั่นสะเทือนไปในชั้นเมฆา
ริมฝีปากซย่าจื้อคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ ใบหน้างามล้ำผุดผาดเผยความแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชั่วพริบตานั้นเหมือนว่าแม้แต่ราตรีนิรันดร์ยังหม่นหมองลงเพราะนาง
จากนั้นนางก็ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในประตูแล้วหายไปเช่นนี้
ที่หายไปด้วยกันกับนาง ยังมีราตรีนิรันดร์กับความมืดมิดที่เหมือนม่านเหล็กปกคลุมเวิ้งฟ้านั้น ฟ้ากลับมากระจ่างใส ดาราดวงแล้วดวงเล่าเปล่งประกายไหววูบอีกครั้ง
บนเกาะสันโดษ หลินอึ้งไป เสื้อผ้ากระพือไปตามลม
“โธ่ คำว่ารักคำเดียวช่างทำร้ายคนได้จริงๆ”
เสียงทอดถอนใจเสียดหูของเจ้าคางคกดังขึ้น
“เจ้าก็เคยถูกทำร้ายด้วยหรือ”
อาหลู่ประหลาดใจ “บนโลกนี้ยังมีคนชอบคางคกลายอย่างเจ้าด้วยหรือ แม่งอัศจรรย์เกินไปแล้ว”
“คราวนี้ข้าต้องฆ่าคนเถื่อนอย่างเจ้าให้ได้!” เจ้าคางคกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง พุ่งขึ้นไปจะเอาเรื่องกับอาหลู่
เพียงแต่ไม่ว่าทั้งสองจะก่อเรื่องอึกทึกครึกโครมอย่างไร หลินสวินกลับเหมือนไม่ได้ยิน ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นี่ทำให้เจ้าคางคกกับอาหลู่เป็นห่วงนัก เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ช้ำใจเพราะความรักจนคิดไม่ตกหรอกกระมัง
“หลินสวิน มีอะไรคิดไม่ตกกัน ในใต้หล้านี้ไม่เคยขาดธิดาเทพและนางฟ้าที่งดงามโดดเด่น รอภายหลังข้าจะไปฉวยสักสองสามคนมาอุ่นเตียงให้เจ้า เติมเต็มความเหงาของเจ้า”
เจ้าคางคกพูดเสียงดัง
“ใช่แล้ว เจ้าชอบแม่หญิงคนไหนรีบบอกมา ไม่ว่านางเป็นใคร ข้ารับรองว่าจะส่งนางให้ถึงเตียงเจ้าเลย!”
อาหลู่ก็ปลอบใจ เพียงแต่วิธีอุกอาจถึงที่สุด
ตอนนี้หลินสวินหันหน้ามา ชำเลืองมองทั้งสองคนปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “โหวกเหวกไร้สาระ พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร”
เจ้าคางคกร้องเสียงประหลาด “ให้ตายสิ พวกเราเจตนาดีนะ เจ้าไม่รับน้ำใจเสียอย่างนั้น”
อาหลู่กลับเอ่ยอย่างสงสัย “เจ้าว่าเขาคงไม่ได้เจ็บปวดเพราะความรัก อารมณ์ความรู้สึกผกผันครั้งใหญ่จนไม่สนใจผู้หญิงในใต้หล้าแล้วใช่ไหม”
เจ้าคางคกอึ้งไป “ถ้าเป็นเช่นนี้จริงงั้นก็ยุ่งยากแล้ว อีกเดี๋ยวการชิงชัยในมหายุคจะเปิดฉากแล้ว มาติดขัดเพราะแผลใจเอาตอนนี้ได้หรือ”
“ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้าก็เหลือแต่เจ้าที่ช่วยได้แล้ว” อาหลู่พูดอย่างจริงจัง
“ข้า?” เจ้าคางคกชี้มาที่ตัวเอง สีหน้างงงวยไปหมด
อาหลู่ตบไหล่ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ใช่ เจ้ารูปงามขนาดนี้ ไปลองดูหน่อยสิว่าเจ้าหมอนี่ชอบผู้ชายหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ลองดูได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกผกผันครั้งใหญ่หรือไม่กันแน่ แน่นอนว่าถ้าเขาชอบผู้ชายเข้าจริงๆ ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้า จับคู่กับเขาก็เหลือแหล่เลย”
“จะ เจ้า… ข้าแม่งจะฆ่าเจ้าให้ตายให้ได้!”
เจ้าคางคกเต้นผาง ครู่เดียวก็หน้าคล้ำเขียวแล้ว โกรธจนหน้าดำหน้าหน้าแดงไปหมด ส่งเสียงร้องคำรามลั่นฟ้า จะเข้าไปสู้เอาเป็นเอาตายกับอาหลู่ หมายจะฆ่าเขาเสียให้ได้
แม้แต่หลินสวินก็หนาวสะท้านขึ้นมาระลอกหนึ่ง ถ้าไม่ได้เจ้าคางคกพุ่งขึ้นไปสู้ก่อน เขาคงอดไม่ได้พุ่งเข้าไปอัดเจ้าคนเถื่อนปากไม่มีหูรูดผู้นี้เสียแล้ว
แต่ด้วยเรื่องอึกทึกนี้ ก็ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินผ่อนคลายลงไม่น้อย
สุดท้ายหลินสวินตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่อ้อยอิ่งอีก จะออกจากทะเลหมากดารากลับสู่โลกภายนอก!
ซย่าจื้อมีมรรคาที่ตัวเองต้องเสาะแสวงหา ส่วนเขาก็ต้องเตรียมตัวเพื่อการมาเยือนของมหายุคเช่นกัน
……
“มหายุค ข้าจินตู๋อีมาแล้ว! นามของข้าต้องสะท้านไปทั้งเวิ้งฟ้า!”
ที่ชายฝั่งทะเลหมากดารา เจ้าคางคกตะโกนออกมาอย่างฮึกเหิม
เขาปิดด่านมาหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็ปรากฏตัวบนโลกอย่างโดดเด่น หมายจะเคลื่อนกวาดใต้หล้า สั่นสะเทือนโลกา เผยตัวอย่างโดดเด่นงดงาม
“เจ้าคางคกลายขี้โม้ คุยโวอวดตัวนัก!”
อาหลู่ดูแคลนยิ่ง
หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างฉับไวว่ากลิ่นอายกลางฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้ว!
ถัดจากชายฝั่งทะเลหมากดาราก็คือทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น เดิมทีที่นี่แห้งแล้งหนาวเย็นหาใดเทียบ นอกจากอสูรมารก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก
แต่ตอนนี้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ในทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมีต้นหญ้ามากมายเติบโต ดอกไม้สดผลิบานกลางลมหนาว โบกไหวอ่อนโยน
ขนาดในอากาศยังไม่มีไอหนาวกัดกินดั่งใบมีดอีกแล้ว แต่มีความอุ่นชื้นเข้มข้นเพิ่มขึ้นมาแทน ไอวิญญาณอบอวลพลุ่งพล่าน!
เปรี๊ยะๆ!
ใต้เท้าหลินสวิน ชั้นน้ำแข็งแยกออกทีละชุ่นๆ ภายใต้การสังเกตของหลินสวิน พืชพันธุ์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาไม่กี่อึดใจ ใบไม้เขียวชอุ่มกับดอกไม้สีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายพร่างพราวดอกหนึ่งโตออกมา
หลินสวินเด็ดดอกไม้นี้ลงมา สัมผัสรู้เล็กน้อย พลังชีวิตอุดมสมบูรณ์ก็ปะทะหน้าขึ้นมา
นี่ยังเป็นเพียงดอกไม้ธรรมดา หากเป็นสมุนไพรวิญญาณกับต้นหญ้าวิญญาณได้พลังชีวิตนี้หล่อเลี้ยง ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตะลึงแน่!
“มหายุคมาถึงจริงๆ แล้ว…”
หลินสวินพึมพำ ฟ้าดินแห่งนี้ สรรพสิ่งเหล่านี้… ล้วนกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตระหนก ต่างจากแต่ก่อน
อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ยังดำเนินอยู่!
“เอ๊ะ มีคนสลักรอยอักษรไว้ที่นี่ด้วย” ไม่ไกลนัก เจ้าคางคกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหินน้ำแข็งก้อนหนึ่งส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจ
หลินสวินเดินเข้าไปก็เห็นว่า บนพื้นผิวก้อนหินน้ำแข็งมีรอยอักษรเป็นแถวๆ สลักอยู่ เป็นสิ่งที่เซียวชิงเหอทิ้งเอาไว้
ที่แท้สิบกว่าวันก่อนเขาก็เคยมาทะเลหมากดารา แต่กลับชนกับช่วงที่หลินสวินปิดด่านฝึกปราณพอดี เมื่อไม่ได้พบหลินสวิน จึงทำได้เพียงทิ้งข้อความไว้ที่นี่
เขามาคราวนี้ก็เพื่อเชิญหลินสวินเข้าร่วมงานชุมนุมของบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์ ที่กำลังจะจัดขึ้นที่ ‘เขาวิญญาณพันกระแส’
งานชุมนุมริเริ่มขึ้นโดยหมีเหิงเจินแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา คนผู้นี้เป็นถึงบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเก่าที่มีชื่อระบือในใต้หล้ามานานปี ตำแหน่งในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราเหนือธรรมดาถึงที่สุด
ส่วนเป้าหมายที่เขาริเริ่มงานชุมนุมนั้นก็ง่ายมาก คือเพื่อให้บุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันในสถานการณ์ที่มหายุคใกล้มาเยือน
อีกทั้งเซียวชิงเหอใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างหนึ่งแจ้งหลินสวินว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญ ต้องไปเข้าร่วมให้ได้
หลินสวินเห็นเช่นนี้ ในใจพลันตระหนักได้ว่าเป้าหมายของงานชุมนุมครั้งนี้น่าจะไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนกันธรรมดาๆ เท่านั้น
“ยังไม่นับว่าช้าไปนัก บนนั้นบอกว่างานชุมนุมจะเริ่มขึ้นอีกหนึ่งเดือนให้หลัง นี่เพิ่งผ่านไปสิบกว่าวันเท่านั้น พวกเราจะไปดูหน่อยไหม”
เจ้าคางคกลูบหมัด ตั้งหน้าตั้งตาคอยนัก
ที่เขาชอบที่สุดก็คือก่อเรื่องครึกโครม โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ล้วนเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน นี่ทำให้เขาใจเต้นนัก
“เจ้าคางคกนี่อยากอวดตัวเต็มแก่แล้ว”
อาหลู่ชำเลืองมองเจ้าคางคกปราดหนึ่ง พูดสิ่งที่อีกฝ่ายคิดออกมา “แน่นอน ถ้าไปร่วมงานชุมนุมจริง ข้าจะจับตาดูเจ้าคางคกตัวนี้ไม่ให้เขาก่อเรื่อง”
หลินสวินแทบอดกลอกตาไม่ได้ คนปากเปราะโดยกำเนิดคนหนึ่ง ตัวเองไม่หาเรื่องได้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว ยังมาพูดปาวๆ ว่าเป็นห่วงคนอื่นจะก่อเรื่องอีก…
“ไปเถอะ!”
หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ระหว่างพูดเงาร่างก็พริบไหว เคลื่อนไปในพายุหิมะหนาแน่นนั้น
เบื้องหลังทะเลหมากดาราสงบนิ่งและกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนเช่นที่ผ่านมา
ตอนที่ 1114 งานชุมนุมพันกระแส
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ออกจากทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น เข้าสู่โลกภายนอกด้วยกัน
ระหว่างเดินทางผ่านเขตแคว้นใหญ่ต่างๆ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึงที่ไม่เคยมีมาก่อนมากมายตลอดทาง
อย่างแรกก็คือ แม่น้ำพรมแดนที่พาดระหว่างสี่แดนวิภูกำลังลดลงและหายไปด้วยความรวดเร็ว
ตามการสันนิษฐาน ไม่เกินหนึ่งเดือน พรมแดนสี่แดนวิภูก็จะกลายเป็นผืนดินกว้างใหญ่ไพศาลผืนเดียวกันอีกครั้ง ฟื้นคืนรูปลักษณ์สง่างามเช่นในยุคบรรพกาล
ในขณะเดียวกันสรรพสิ่งในโลกต่างเกิดความเปลี่ยนแปลง ภูผาธาราที่ธรรมดาสามัญบางแห่งพลันเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ตัวภูเขาสูงขึ้นมาก ไอวิญญาณหนาแน่นผุดออกมา แปรสภาพเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคล
การแปรสภาพของปีศาจภูตพรายบางตัวก็รวดเร็วยิ่งขึ้น อุปสรรคในการฝึกปราณที่ไม่อาจทำลายได้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ล้วนสำเร็จได้โดยไม่ต้องพยายาม
กระทั่งว่าโอสถวิญญาณและของล้ำค่าที่สูญสิ้นไปในสายธารแห่งกาลเวลานานแล้วก็เริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้สำนักและผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรเข้าแย่งชิง
พร้อมกันนั้นผู้ฝึกปราณไม่ว่าคุณสมบัติสูงต่ำเช่นไร ยามฝึกปราณก็เลื่อนขั้นได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยามหยั่งรู้มรรคก็สามารถหยั่งรู้และควบคุมพลังมหามรรคได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก!
‘การเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึง’ มากมายเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นในทุกที่ของสี่แดนวิภู เปรียบดั่งผืนดินที่สงบเงียบมานานเปล่งพลังชีวิตพลิกฟ้าดินออกมา กำลังก้าวเดินไปสู่ความตระการตาถึงที่สุด!
และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนเพิ่งเกิดขึ้นในสองเดือนนี้ทั้งนั้น
น่าตื่นตะลึงสะท้านโลกเกินไปแล้ว!
ผู้ฝึกปราณในโลกต่างรู้ว่ามหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครั้งหนึ่งต้องมาเยือน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงเค้าลางก่อนที่มหายุคจะอุบัติขึ้นก็สะเทือนฟ้าเช่นนี้แล้ว
มีสำนักโบราณได้สรุปหลังจากวิเคราะห์คาดเดาไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึงคราวนี้มีเพียงในยุคโบราณเท่านั้น!
ในอดีตก็เคยมีการเปลี่ยนแปลงทำนองนี้เกิดขึ้นในฟ้าดิน แต่ไม่มีสักครั้งที่จะน่าตื่นตระหนกเหมือนตอนนี้
แต่ในขณะเดียวกันฟ้าดินก็เริ่มสั่นสะเทือน ไม่สงบราบเรียบเหมือนแต่ก่อนอีก
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณปรากฏตัวขึ้นคนแล้วคนเล่า หยิ่งผยองคับฟ้า กำราบผู้กล้าขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน!”
ข่าวที่พวกหลินสวินได้ยินมากที่สุดก็คือข่าวเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณ
สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางส่วนที่ปรากฏตัว ในช่วงระยะนี้ได้สร้างเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินไม่รู้มากน้อยเท่าไร ทั้งเอาชนะคนไปไม่รู้เท่าไร ก่อให้เกิดความวุ่นวายในใต้หล้า
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เก็บตัวเงียบมานานพวกนี้ แต่ละคนแข็งแกร่งจนน่ากลัวไปหมด บ้าระห่ำจนพาให้คนจนคำพูด ความสง่างามของบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันล้วนถูกพวกเขาเอาชนะไปแล้ว!”
“เฮ้อ นี่ก็ไม่อาจเทียบได้ สัตว์ประหลาดยุคโบราณทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นล้ำเลิศ จำศีลเก็บตัวเงียบในกาลเวลามานานเพื่อรอคอยมหายุคครั้งนี้มาเยือน จะแข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ตลอดทางได้ยินเสียงทอดถอนใจและวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้มากมาย
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างตกใจ เพิ่งผ่านไปสองเดือนเท่านั้น โลกภายนอกถึงกับเกิดคลื่นลมมากมายเช่นนี้แล้ว
“ตอนนี้ยังบ้าคลั่งปานนี้ ยามแดนมกุฎมาเยือนต้องกลายเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็งแน่” เจ้าคางคกดูถูก กำลังวิจารณ์การกระทำที่สัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้นก่อขึ้น
“จริง”
เรื่องนี้หลินสวินรู้เป็นอย่างดี ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ยิ่งเผยความสามารถสะดุดตามากเพียงใด ก็หมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะถูกผู้อื่นจับจ้องจะมากตามไปด้วย!
“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ยินหรือ มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนจะท้าเจ้าสู้ ล้วนคุยโวว่าถ้าท่านกล้าเผยตัวจะต้องกำราบท่านแน่!”
อาหลู่พูดพลางยิ้มระรื่น
ตลอดทางนี้หลินสวินย่อมได้ยินข่าวทำนองนี้บ้าง
สาเหตุก็เพราะเมื่อสองเดือนก่อน ถ้าพูดถึงบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่ถูกจับตามองที่สุดในใต้หล้า ก็ย่อมเป็นเขาหลินสวินคนนี้!
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะถูกผู้อื่นจับจ้องก็สมเหตุสมผล
อย่างไรเสียเอาชนะเขาได้ก็เท่ากับเอาชนะผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ และเท่ากับเอาชนะผู้มีอิทธิพลในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบัน สามารถดึงดูดให้ใต้หล้าจับตามอง มีชื่อระบือโลก!
นี่ก็คือความยุ่งยากของการมีชื่อเสียงโด่งดัง
“ยังมีที่เกินเหตุกว่านี้อีกนะ สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนถึงกับโวยวายว่าถ้าจับเทพมารหลินได้ก็จะเอาเจ้าเป็นข้ารับใช้ ปรนนิบัติข้างกายพวกเขา ใช้เรื่องนี้แสดงอำนาจ”
เจ้าคางคกร้องขึ้นมาว่า “ถามเจ้าหน่อยสิ ท้าทายเช่นนี้เจ้าทนได้หรือ”
ที่เจ้าคางคกพูดไม่ได้โกหก หลินสวินก็เคยได้ยินข่าวนี้เช่นกัน
แม้กล่าวว่าเขาคร้านจะใส่ใจการท้าทายและโวยวายเหล่านี้ แต่ถ้าเจอกับเจ้าพวกนี้เข้า หลินสวินก็ไม่ถือสาที่จะมอบบทเรียนซึ่งพวกเขายากลืมเลือนไปชั่วชีวิตครั้งหนึ่งแน่!
ตอนนี้ตาสีตาสาบางคนกล้าเหยียบเขาเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้นได้ง่ายๆ แล้วหรือ
ล้อเล่นอะไรกัน!
ทว่าเขาก็เข้าใจได้ ว่าบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่บนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์บางคนเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้อยู่บ้าง เพราะพวกเขาแพ้ตอนประลองกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนเสียแล้ว!
กระทั่งยังมียักษ์ใหญ่ยอดมกุฎบางคนเลือกรักษาตัวรอด ไม่ยอมขัดแย้งกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้นในตอนนี้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
“ไปเถอะ ข่าวที่พวกเรารู้น้อยไปอยู่ดี ไปเขาวิญญาณพันกระแสคราวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ข่าวมากขึ้นก็ได้” หลินสวินพูด
พร้อมกับที่มหายุคกำลังจะมาเยือน กระแสคลื่นโหมซัดสาดไปตามที่ต่างๆ ในใต้หล้า ผู้กล้าอัจฉริยะพากันปรากฏตัวในโลก ย่อมมีการชุมนุมใหญ่ที่ไว้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆ ขึ้นด้วย
การชุมนุมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่เขาวิญญาณพันกระแสก็จัดขึ้นโดยหมีเหิงเจิน ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ตามที่ได้ยินมาคนที่ไปเข้าร่วมล้วนเป็นผู้มากความสามารถในยุคปัจจุบัน เป็นบุคคลที่คิดจะเข้าร่วมการชิงชัยในแดนมกุฎ
……
เขาวิญญาณพันกระแสตั้งอยู่ในแคว้นจันทราม่วง
พวกหลินสวินอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมาถึงแคว้นจันทราม่วงล่วงหน้าหลายวัน จากนั้นก็สืบเสาะตลอดทาง เข้าไปภายในเมืองพันกระแส
ทันทีที่เข้าไปในเมืองก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายตลอดทาง
“งานชุมนุมใหญ่พันกระแสคราวนี้มีอิทธิพลลึกล้ำยิ่งนัก ผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ล้วนเป็นบุคคลที่บรรลุขอบเขตมกุฎ กระทั่งยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎยังมีไม่ขาด”
“ได้ยินว่าในงานชุมนุมใหญ่คราวนี้หมีเหิงเจินเชิญสหายยุทธ์บางคนมาร่วมกันก่อการใหญ่”
“น่าเสียดาย พวกเราไม่มีคุณสมบัติขึ้นเขาไปร่วมงาน…”
พวกหลินสวินไม่ต้องสืบหาก็รู้ข่าวงานชุมนุมใหญ่พันกระแสจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จึงเดินไปยังใจกลางเมือง
ภูเขาใหญ่เดียวดายลูกหนึ่งตั้งตระหง่านกลางเมือง เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณชั้นเลิศ สูงถึงพันจั้ง
ด้านบนมีน้ำตกพันสายเทลงมาจากฟากฟ้า ปรากฏภาพอัศจรรย์ ‘พันกระแสไหลเชี่ยว ธารดาราม้วนตลบ’
นี่ก็คือเขาวิญญาณพันกระแส ที่มาที่ไปไม่ธรรมดายิ่งนัก
ใกล้ๆ กับภูเขาลูกนี้เป็นบริเวณที่ครึกครื้นหาใดเทียบแห่งหนึ่ง มีทั้งโรงน้ำชา โรงเตี๊ยม รวมถึงร้านขายโอสถวิญญาณและสมบัติวิญญาณ
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง ผู้ฝึกปราณมากมายก็รวมตัวกันในบริเวณใกล้กันนี้แล้ว ต่างสนทนากันเรื่องงานชุมนุมเขาพันกระแส
“ไปเถอะ”
หลินสวินไม่ร่ำไร พาเจ้าคางคกและอาหลู่เดินไปบนภูเขาด้วยกัน
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างแสดงสีหน้าอิจฉาและหวั่นเกรง
เขาวิญญาณพันกระแสไม่ได้ขึ้นไปได้ง่ายดายปานนั้น บนภูเขาปกคลุมไปด้วยพลังมหามรรคประหลาด ทำให้ถูกกดข่มอย่างมากยามปีนเขา
นอกจากนี้หากพลังปราณไม่ถึงระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อาจย่างก้าวไปได้เลย ก็ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายทำได้เพียงหยุดลงตรงนี้
“เอ๊ะ เจ้าหมอนั่นดูไปแล้วคล้ายเทพมารหลินไหม”
มีคนสังเกตเงาหลังของหลินสวินแล้วเผยสีหน้าประหลาด รู้สึกคุ้นตา
“เป็นเขาจริงหรือ”
หลายคนตกใจ
สองเดือนมานี้หลินสวินเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด เหมือนหายไปจากโลก นอกจากเคยสู้กับฉู่จงเทียนครั้งหนึ่งก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขาอีก
อีกทั้งสายตาของคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ล้วนถูกความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของฟ้าดินดึงดูด พากันจับจ้องไปที่สัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้น
“แน่ใจว่าเป็นเขาหรือ”
ผู้ฝึกปราณหลายคนว้าวุ่น ตื่นเต้นยิ่งนัก ก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฟ้าดิน เทพมารหลินย่อมเป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่คนรุ่นเยาว์ ถูกทั้งใต้หล้าจับจ้อง
ผ่านไปสองเดือน ถ้าเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่จริง ต้องก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่แน่!
ผู้ฝึกปราณหลายคนล้วนเข้าไปใกล้ด้วยต้องการจะชี้ชัดอย่างละเอียด ยืนยันตัวหลินสวิน น่าเสียดายที่พลังของพวกเขายังไม่มากพอจะปีนเขาได้
อีกทั้งตั้งแต่เริ่มจนจบพวกหลินสวินก็ไม่เคยหันหน้ากลับมา
ตรงไหล่เขามีศาลาอาคารนานาชนิดตั้งอยู่ ล้วนเก่าแก่ผ่านกาลเวลายาวนาน ตอนนี้มีผู้ฝึกปราณมากมายอ้อยอิ่งอยู่ในที่นั่น บ้างนั่งบ้างยืน
ส่วนบนยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไปยังมีแท่นมรรคแท่นหนึ่ง มีชั้นเมฆโอบล้อม พอจะเห็นเงาร่างบางส่วนยืนอยู่บนนั้นอย่างคลุมเครือ
ตอนพวกหลินสวินเพิ่งมาถึงไหล่เขาก็พบว่าที่นั่นมีคนไม่น้อยอยู่ก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาร่วมงานชุมนุมทั้งนั้น
เพียงกวาดตาลวกๆ คราเดียว หลินสวินก็พบว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของยอดฝีมือ
คิดไปคิดมาก็สมควร หากไม่ใช่ระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อาจขึ้นเขานี้มาได้เลย
หลินสวินเสาะหาครู่หนึ่งก็ไม่พบเงาร่างเซียวชิงเหอ เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วหามุมที่อยู่ห่างไกลมุมหนึ่งนั่งลงทันที คิดจะฟังการสนทนาของทุกคนในที่นั้นก่อน
“ในบรรดาสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ปรากฏตัวกระทั่งตอนนี้ แทบจะเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อยู่ระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎทั้งนั้น พวกเขาจองหองผงาดผยอง เอาชนะยอดฝีมือยุคปัจจุบันไปไม่รู้เท่าไร ช่างน่าอับอายเสียจริง”
มีคนถอนใจ
สัตว์ประหลาดยุคโบราณปรากฏตัวอย่างโดดเด่น กดทับจนผู้กล้ายุคปัจจุบันเชิดหน้าไม่ได้ ย่อมทำให้คนเศร้าซึมอย่างเลี่ยงได้ยาก
“พวกเจ้าว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณนั้นเก่งกาจจนไร้ศัตรูต้านทานจริงหรือ ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วทำไมพวกเขาออกมาแต่ละคนถึงชนะได้ทุกครั้งล่ะ”
มีคนทุกข์ใจ
“ไร้ศัตรูต้านทานหรือ หึ! เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ในยุคปัจจุบันไม่ขาดผู้ที่สามารถประมือกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณพวกนี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้ลงมือเท่านั้นเอง เช่น อวิ๋นชิ่งไป๋ หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิว เทพมารหลินเป็นอย่างไร มีคนไหนบ้างที่ไม่แข็งแกร่งเหลือล้น”
“เทพมารหลินหรือ พูดถึงคนผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมนัก เมื่อหนึ่งเดือนก่อนฉู่จงเทียบปรากฏตัวบนโลกเป็นครั้งที่สี่ ชั่วขณะเดียวก็ไปทะเลหมากดาราหมายจะกำราบเทพมารหลิน ใครจะไปคิดว่ากลับถูกกำราบ หากไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาปกป้องก็เกือบสิ้นชีพแล้ว!”
คนเหล่านี้กำลังวิพากษ์วิจารณ์ ที่พูดล้วนเป็นเรื่องราวผกผันในใต้หล้า
นอกจากไหล่เขานี้ บนแท่นมรรคตรงยอดเขาก็มีหลายคนกำลังสนทนากัน คนเหล่านั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นบุคคลที่ฐานะสูงส่งหาใดเทียบทั้งนั้น
“เหตุใดพี่ฉีต้องถ่อมตัว การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เจ้าก็รับมือกับความยากลำบาก เอาชนะคู่ต่อสู้มากมาย พุ่งกวาดเหล่าผู้กล้า พาตัวเองไปอยู่ในสิบอันดับแรก เรียกได้ว่าผลงานการต่อสู้น่าทึ่ง” ที่แท่นมรรคบนยอดเขา หญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยปาก เจือด้วยน้ำเสียงนับถือ
บนแท่นมรรค ชายหนุ่มชุดสีฟ้าผู้หนึ่งนั่งบนเบาะรองนั่ง สีหน้าสุขุมเรียบเฉยเอ่ยว่า “ก็เพียงอันดับสิบเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”
หลายคนแสดงสีหน้าทอดถอนใจ จำฐานะของชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ได้ เขาก็คือฉีชงโต้ว ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา กิตติศัพท์เลื่องระบือ เป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณที่ไหล่เขาบางคนก็ล้วนมีสีหน้าตั้งใจฟัง ท่าทางยำเกรง เสียงพูดเบาลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าฐานะของผู้แข็งแกร่งบนแท่นมรรคเหล่านั้นไม่ธรรมดานัก
หลินสวินมองไป เพียงรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดฟ้าคนนั้นคุ้นตามาก ไม่นานก็นึกฐานะของฉีชงโต้วออก เขาก็คือศิษย์พี่ของเซียวชิงเหอ อันดับบนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็น่าชื่นชม
“เจ้ารู้จักเจ้าหมอนั่นหรือ” เจ้าคางคกเอ่ยถาม
“เคยเห็นหน้า ไม่เคยพูดคุยกัน” หลินสวินพูด
ข้างกันมีคนได้ยินการสนทนาของพวกเขา พลันอดไม่ได้ที่จะยิ้มหยัน “แค่เคยเห็นหน้าเท่านั้น น่าโอ้อวดนักหรือไง ยังโม้ออกมาได้ไม่อายปาก ไม่กลัวคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกหรือ”
ตอนที่ 1115 ไป๋หลงถิง
นี่เป็นคำเย้ยหยันหลินสวิน!
ใครก็ฟังออก เพียงแต่เจ้าคางคกกับอาหลู่ไม่โกรธกลับชอบใจ จิตใจพลันฮึกเหิมเหมือนได้เลือดไก่ชูกำลัง
หลินสวินลอบร้องว่าไม่เข้าทีแล้ว เขารู้ดีว่าไม่ว่าเจ้าคางคกหรืออาหลู่ล้วนไม่ใช่คนที่อยู่ในร่องในรอยเสียด้วย!
คนหนึ่งเย่อหยิ่งหลงตัวเอง อีกคนก็เป็นพวกปากเปราะโดยกำเนิด เป็นมือดีด้านการสร้างความแค้นให้ผู้อื่นแต่กำเนิด ถ้าไม่ใช่เพราะตนบังคับข่มไว้ ทั้งสองคนคงก่อนเรื่องไปไม่รู้เท่าไรนานแล้ว
‘ระวังหน่อย อย่าก่อเรื่อง’ หลินสวินสื่อจิต ชำเลืองมองทั้งสองปราดหนึ่งแสดงความข่มขู่
ทั้งสองพลันห่อเหี่ยวลงทันที เซื่องซึมเงื่องหงอย
“ยังนับว่ารู้ตัวดี” คนที่เยาะเย้ยก่อนผู้นั้นเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มบางๆ อย่างได้ใจ วิจารณ์ประโยคหนึ่ง
“คนทั่วไปไม่มีคุณสมบัติไปติดต่อกับคนบนแท่นมรรคตรงยอดเขาพวกนั้นได้จริงๆ ล้วนเป็นพวกร้ายกาจที่อยู่ในระดับยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เป็นคนละจำพวกกับพวกเจ้าเลย” ยังมีคนถากถางอีก
“พวกข้าก็มีคนเคยเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่ก็ทำได้เพียงมองคนพวกนั้นไกลๆ พลังอ่อนแอไป ขนาดเขาเทพไร้มรณะยังปีนขึ้นไปไม่ได้”
หลายคนที่อยู่ใกล้ๆ พากันเอ่ยปาก พูดไปพูดมาก็เผยความภูมิใจในตัวเอง ทั้งยำเกรงและอิจฉาคนบนแท่นมรรคยอดเขาเหล่านั้น
อาหลู่ได้ยินก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ยิ้มหยันพูดว่า “พวกเจ้าก็เคยเข้าแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์หรือ เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
สีหน้าเขาไม่ปิดบังความดูถูกเลยสักนิด รู้ตัวว่าเสียมารยาทเสียที่ไหน เหน็บแนมอยู่ชัดๆ
“เจ้าคนเถื่อน ขอเตือนให้พวกเจ้าลงเขาไปเถอะ คราวนี้คนที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมได้มีแต่คนชั้นยอดแห่งยุคปัจจุบัน” มีคนดูแคลน ท่าทางเหยียดหยามเหมารวม
ขนาดหลินสวินยังอดไม่อยู่ยิ้มขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็ส่ายหน้า คร้านจะตีฝีปากกับพวกเขา แค่พวกตาไร้แววกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้น
“พวกเจ้าไปเสียเถอะ ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเจ้า!” มีคนขับไล่
เจ้าคางคกสงสัยนัก หันหน้าไปถามหลินสวิน “ตกลงใครโกหกกันแน่ ในเมื่อเคยเข้าแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์กันหมด ทำไมพวกเขาถึงจำเจ้าไม่ได้”
หลินสวินยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าไม่รู้
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณหลายคนก็สีหน้าผิดแปลกขึ้นมาอยู่บ้าง
“ยังไม่ไปอีก!” มีคนเริ่มขุ่นเคืองแล้ว ตะคอกเสียงดัง
การเคลื่อนไหวที่นี่พลันดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณที่อยู่บริเวณอื่นของไหล่เขา แม้แต่บนแท่นมรรคยอดเขายังมีคนชำเลืองตามองมา
“เอ๊ะ นั่นเหมือนจะเป็น…”
มีคนประหลาดใจ เมื่อมองไปที่หลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน บนยอดเขาฉีชงโต้วส่งเสียงตกใจ ผุดลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า “เจ้าคือ…”
ฉีชงโต้วเป็นถึงบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์ เป็นผู้มีอิทธิพลที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เห็นเขาตกตะลึงเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่อยู่บนแท่นมรรคยอดเขาก็ตื่นตระหนกเช่นกัน
จากนั้นเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหลินสวินชัดเจน ล้วนเผยสีหน้าตระหนก พากันลุกขึ้น!
“เทพมารหลิน!”
“เขาก็มาแล้วหรือนี่!”
เงาร่างบนแท่นมรรคต่างอึ้งงันไปบ้าง ล้วนคิดไม่ถึงว่าหลังจากเก็บตัวเงียบไปสองเดือน เทพมารหลินจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้
“ยินดีต้อนรับพี่หลินมาเยือนอย่างยิ่ง ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปรับถึงที่” ตอนนี้ฉีชงโต้วรีบพุ่งตัวมายังไหล่เขาแล้ว
“พี่หลิน เชิญท่าน!”
คนอื่นๆ ที่อยู่บนแท่นมรรคพากันกุมมือคารวะด้วยความเลื่อมใส
เทพมารหลิน!
ที่ไหล่เขา ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง คนหนุ่มผู้นั้นก็คือหลินสวินที่ช่วงนี้มีชื่อไปทั่วใต้หล้าหรือ
คนที่เย้ยหยันพวกหลินสวินก่อนหน้านี้ล้วนแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาว คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ถึงว่าที่พวกเขาดูถูกและขับไล่ไสส่งจะเป็นบุคคลน่ากลัวเช่นนี้ได้
หลินสวินไม่เคยเห็นและพูดคุยกับทุกคนที่อยู่บนแท่นมรรคตรงยอดเขาจริงๆ ไม่ใช่เพราะอ่อนแอเกินไป แต่เพราะแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก!
เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนจะจำหลินสวินได้
“สวรรค์! เขาก็คือเทพมารหลิน ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์!”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังกำราบฉู่จงเทียนด้วย ทำให้อีกฝ่ายแทบสิ้นชีพ”
บริเวณนี้ไม่สงบ เดือดพล่านโดยสมบูรณ์แล้ว ทุกสายตาต่างมองไปที่หลินสวิน
โดยเฉพาะเมื่อมีคนเห็นว่าขนาดอาหลู่ที่ดูเหมือนคนเถื่อนก็ได้รับความเคารพจากฉีชงโต้ว หลายคนล้วนสูดหายใจเยียบเย็น
หงส์ย่อมอยู่กับหงส์ สามารถคาดการณ์ได้ว่าคนที่ร่วมเดินทางกับเทพมารหลินได้ ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ!
“หลินสวิน พี่อาหลู่ รวมถึงสหายยุทธ์ท่านนี้ ขอเชิญมาร่วมสนทนาที่แท่นมรรค” ฉีชงโต้วเอ่ยเชื้อเชิญ
“ขอบคุณมาก” หลินสวินยิ้มพลางกุมมือคารวะ ไม่ได้ไปสร้างความลำบากให้พวกคนที่มาเย้ยหยันตนก่อน
เจ้าคางคกกับอาหลู่ก็เมินเจ้าพวกนั้นเช่นเดียวกัน
นี่ทำให้หลินสวินออกจะประหลาดใจ เจ้าสองคนนี้ใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“กบในกะลาฝูงหนึ่งเท่านั้น จะไปเอาเรื่องทำไม ไม่ควรค่ากับฐานะของพวกเราหรอก!” เจ้าคางคกสีหน้าหยิ่งผยอง
“คำนี้ดีนัก” อาหลู่เห็นด้วยยิ่ง
หลินสวินถอนใจในใจ รับรู้ได้ว่าเจ้าหายนะสองคนนี้ไม่แลบุคคลธรรมดาแล้ว ต่อให้หาเรื่องก็ต้องแบ่งแยกคนที่จะหาเรื่อง!
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนก่อนหน้านี้ ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะดึงดูดความสนใจของทั้งสองคนได้
บริเวณยอดเขาเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง แท่นมรรคเก่าแก่และกว้างใหญ่ ทะเลเมฆอวลไอรอบทิศ มีน้ำตกเทลงไปจากที่นี่ราวมังกรหิมะ ไอน้ำพัดขึ้น เสียงดังลั่นราวสายฟ้า
ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น มีทั้งหญิงและชาย ล้วนเป็นคนที่บรรลุขอบเขตมกุฎ
หลายคนยังเป็นคนที่หลินสวินคุ้นหน้า ล้วนเป็นผู้โดดเด่นที่พาตัวเองขึ้นมาอยู่ในสามสิบหกอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์
ทว่าเมื่อหลินสวินมาถึง พลันกลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา
ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใดนอกเสียจากหลินสวินเป็นผู้ได้อันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ที่แท่นมรรคนี้จึงไม่มีใครเทียบเขาได้สักคน!
“ไม่ได้บอกว่างานชุมนุมคราวนี้จัดขึ้นโดยสหายยุทธ์หมีเหิงเจินหรือ ทำไมไม่เห็นเขาล่ะ” หลินสวินเอ่ยถาม
ฉีชงโต้วครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างไม่มีปิดบัง “สหายยุทธ์หลินคงไม่รู้ เมื่อสองชั่วยามก่อนศิษย์พี่หมีได้รับสาสน์ท้ารบฉบับหนึ่ง ตอนนี้เกรงว่ากำลังประลองกับผู้อื่นอยู่”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมาคนอื่นๆ ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่รู้
“ประลองกับผู้อื่นหรือ ใครกัน”
หลินสวินสนใจยิ่งนัก เขาเคยได้ยินเรื่องความแข็งแกร่งของหมีเหิงเจินมานานแล้ว บุคคลผู้โดดเด่นในหมู่ยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎรุ่นเก่า มีชื่อเสียงมานานปี ถูกยกให้เป็นผู้นำทัพของคนรุ่นเยาว์ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา
บุคคลเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันแล้ว แต่กลับมีคนกล้าส่งสาสน์ท้ารบมาประลองกับเขา นี่ย่อมทำให้ผู้อื่นสงสัย
“เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มีนามว่าไป๋หลงถิง เก็บตัวเงียบมานานแปดพันปี เป็นลูกหลานเผ่าเจียวขาว ถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘องค์ชายหก’”
ฉีชงโต้วสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมา “คนผู้นี้น่ากลัวถึงที่สุด เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครึ่งเดือนก่อน บุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันที่แพ้ในมือเขามีไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว”
บรรยากาศในที่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ผู้ฝึกปราณคนอื่นต่างหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าล้วนรู้ถึงความน่ากลัวของไป๋หลงถิงผู้นี้
“สหายยุทธ์หมีเหิงเจินมีความมั่นใจหรือไม่” หลินสวินเอ่ยถาม
ฉีชงโต้วยิ้มขื่น “ศิษย์พี่หมีพูดว่า ก็เพราะรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะชนะได้ ดังนั้นถึงได้ตอบรับการต่อสู้คราวนี้ไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาท้าสู้ ศิษย์พี่หมีต้องคร้านจะถือสาแน่”
หลินสวินพยักหน้า พอจะตัดสินได้คร่าวๆ ว่าที่ไป๋หลงถิงคนนี้ได้รับความสนใจเช่นนี้จากหมีเหิงเจินได้ ก็น่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่งจริงๆ
“เผ่าเจียวขาวหรือ”
เจ้าคางคกพลันเอ่ยปาก
ทุกคนพากันมองไปทางนั้น เพราะนึกว่าเจ้าคางคกรู้อะไรเข้า
ใครจะคิดว่าเขากลับยิ้มหยันออกมา แล้วส่ายหัวพูดว่า “ข้ารู้จักแต่เผ่าอย่างเจินหลง ชือเหวิ่น เถิงเสอ เจียวราชัน ไม่เคยได้ยินเผ่าเจียวขาวอะไรนี่ แม้จะอยู่ในหมู่มังกรเจียว ก็เกรงว่าจะไม่พิเศษอะไร”
ทุกคนต่างหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ช่างคุยโตนัก
หากไม่เห็นว่าเจ้าคางคกนั่งอยู่ข้างๆ หลินสวิน คงมีคนทัดทานไปนานแล้ว
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณแข็งแกร่งปานนี้เชียวหรือ” หลินสวินถามเช่นนี้ เพราะเขาต้องการฟังมุมมองและความเห็นของบุคคลขอบเขตมกุฎเหล่านี้
“ไม่ปิดบังพี่หลิน ผู้ที่ได้รับฉายา ‘สัตว์ประหลาดยุคโบราณ’ อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุคคลชั้นยอดที่อยู่ในระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ พลังต่อสู้แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ อย่างฉู่จงเทียนที่เคยเก็บตัวเงียบและปิดด่านเช่นกัน แต่ก็เรียกได้แค่ว่าเป็นอัจฉริยะเท่านั้น ยังไม่มีคุณสมบัติจะถูกเรียกว่า ‘สัตว์ประหลาดยุคโบราณ’”
ฉีชงโต้วอธิบายอย่างใจเย็น “ตอนนี้พวกเราพอจะตัดสินได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือสัตว์ประหลาดยุคโบราณน่าจะก้าวข้ามระดับ ‘แรกก้าวสำรวจ’ กับ ‘เข้าถึงชำนาญ’ เหยียบย่างสู่ระดับ ‘บรรลุสูงสุด’ ในมกุฎมรรคาไปแล้ว!”
ในใจหลินสวินพลันกระจ่าง เพราะเขาเดินบนมกุฎมรรคานี้เช่นกัน ดังนั้นจึงรู้ดีว่าบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่ระดับบรรลุสูงสุดเก่งกาจแค่ไหน
“พี่หลิน ช่วงที่เจ้าปิดด่านนี้ มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณเอ่ยชื่อจะประลองกับเจ้าไม่น้อยนะ” มีคนเอ่ยปาก
“ใช่แล้ว ยังมีคนโวยวายว่าจะจับเจ้าไปเป็นข้ารับใช้ติดตามตัว ท่าทางหยิ่งผยองกำเริบเสิบสานถึงที่สุด!” มีคนขุ่นเคือง
หลินสวินยิ้มพูดว่า “เป็นเสียงโวยวายของพวกลูกหมาลูกแมวเท่านั้น ทุกท่านไม่ต้องถือสา”
ที่นี่เงียบเชียบลงในครู่เดียว ทุกคนหมดคำพูด ตื่นตระหนกกับประโยคนี้ นี่ช่างแข็งกร้าวและดุดันเกินไปแล้ว มองสัตว์ประหลาดยุคโบราณเป็นลูกหมาลูกแมว!
มองไปในโลกยุคปัจจุบัน ก็มีเพียงเทพมารหลินที่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่หลินสวินขึ้นชื่อ นอกจากพลังต่อสู้เย้ยฟ้าแล้ว ก็คือความอาจหาญไม่หวั่นกลัวของเขา กล้าทำในสิ่งที่ผู้อื่นไม่กล้า!
“พี่หลิน ยังขอให้เจ้าระวังคำพูด เป็นไปได้สูงที่สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนจะมาที่นี่ อีกทั้งคนที่มาเยือนย่อมไม่มาดี!” ฉีชงโต้วถอนใจเฮือกหนึ่ง
หลังจากข่าวกระจายออกไปว่าพวกเขาจัดงานชุมนุมใหญ่พันกระแส ก็ก่อให้เกิดแรงสะท้อนกลับอย่างรุนแรงถึงที่สุด สหายยุทธ์ไม่รู้เท่าไรกำลังจับตามอง
อย่างเมื่อสองชั่วยามก่อน หมีเหิงเจินกำลังต้อนรับสหายยุทธ์ที่แท่นมรรคนี้อยู่ จู่ๆ ก็ได้รับสาสน์ท้ารบที่มาจากไป๋หลงถิง และทำได้เพียงรับคำท้า
“กลัวอะไร ข้ายังอยากให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณโผล่มาสักสองสามคนเลย” เจ้าคางคกพูดอย่างไม่ใส่ใจ มั่นใจในตัวเองและหยิ่งผยองนัก
ทุกคนล้วนอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน บ้าระห่ำเกินไปแล้วกระมัง แม้จะมองว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณขวางหูขวางตากว่านี้ แต่บางคำก็พูดออกมาแบบนี้ไม่ได้ เป็นไปได้มากที่จะชักนำเรื่องยุ่งยากครั้งใหญ่มาให้
ก็ในตอนนี้เอง เสียงฮือฮาและตื่นเต้นระลอกหนึ่งแว่วขึ้นที่ตีนเขา จากนั้นเสียงเยียบเย็นเฉยชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“งานชุมนุมพันกระแสอะไรกัน ข้ายังคิดว่าจะเลอเลิศมากมาย ที่แท้ก็เป็นพวกอ่อนหัดกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง น่าผิดหวัง!”
วาจาสะเทือนราวอสนีบาต ไม่ว่าอยู่ใกล้ไกลล้วนได้ยิน
ไม่ใช่กระมัง มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณมาหาเรื่องจริงหรือ
ทุกคนต่างตื่นตะลึง หน้าเปลี่ยนสีในทันใด พากันลุกขึ้นมองไปยังด้านล่างของภูเขา
ตอนที่ 1116 ท้าทายและต่อสู้
บนทางขึ้นเขาขรุขระ ชายหนุ่มชุดแดงแปดคนเดินเบิกทางอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นเกี้ยวสมบัติหลังหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดแดงแปดคนมีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป แต่กลิ่นอายล้วนแข็งกล้าจนผิดธรรมดา ประหนึ่งอสูรที่เพิ่งเดินออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด ก้าวย่างมั่นคง ปีนขึ้นเขาราวกับเดินบนพื้นราบ
เกี้ยวสมบัติเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง รัศมีเทพนน่าตื่นตะลึงไหววูบ มีแสงงดงามไหลหลั่งแยกห้วงอากาศทุกที่ที่ผ่าน ดูน่าตื่นตาตื่นใจอย่างประหลาด
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น กลุ่มคนเหล่านี้ก็มาถึงบริเวณไหล่เขา
เหล่าผู้ฝึกปราณที่อยู่ไหล่เขาต่างสูดหายใจหนาวเยือก ชายหนุ่มชุดแดงแปดคนนั้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากแต่ละคนล้วนแข็งกล้าถึงที่สุด กดดันจนหลายคนหลายใจลำบาก
แต่ที่น่าตื่นตาที่สุดก็คือเกี้ยวสมบัติหลังนั้น ดุจดั่งหลอมจากเหล็กเทพเจ็ดสี แสงนิลหมุนวน ถึงกับทำให้พลังมหามรรคบนภูเขาพุ่งกระจาย ไม่อาจกีดขวางไว้ได้
นี่เป็นสมบัติที่หายากยิ่งชิ้นหนึ่ง บนนั้นสลักภาพร้อยปีศาจบรรพกาลไว้ ยิ่งมีภาพหมื่นวิญญาณบูชาฟ้าดิน
พร้อมๆ กับที่เกี้ยวสมบัติหลังนี้มาถึง ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงล้วนปริแตกออก ปรากฏเป็นรอยแยกใหญ่สีดำรอยแล้วรอยเล่า รูปการณ์น่าหวาดหวั่น
ภาพนี้ทรงพลังเกินไปแล้ว ประหนึ่งผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้าคนหนึ่งมาเยือน ทำให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่บริเวณนั้นไม่น้อยต่างใจสั่น สีหน้าเปลี่ยนแปลง
แม้แต่พวกฉีชงโต้วก็นัยน์ตาหดรัด สีหน้าหนักอึ้ง
‘เกี้ยวสมบัติกระพรวนทอง! นี่เป็นพาหนะของจินเซี่ยวหมิง ลูกหลานเผ่างูราชันทองคำ!’ มีคนจำฐานะของอีกฝ่ายได้ สื่อจิตเตือนทุกคน
ทันใดนั้นพวกฉีชงโต้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีก จินเซี่ยวหมิง เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณผู้หนึ่ง! ระยะนี้มีชื่อเสียงยิ่งนัก ก่อคลื่นลมไม่รู้เท่าไร
เห็นได้ชัดว่าหลังจากข่าวเรื่องงานชุมนุมพันกระแสนี้กระจายออกไป ก็ดึงดูดให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณมาเยือน และไม่ได้มาดีเสียด้วย!
ตามการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ความจริงแล้วช่วงที่ผ่านมานี้ขอเพียงมีบางสถานที่จัดงานชุมนุมผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ ก็จะมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณมาท้าทายถึงที่
และด้วยเหตุนี้ ผู้มีความสามารถโดดเด่นรุ่นเยาว์ในสี่แดนวิภูจึงถูกสัตว์ประหลาดยุคโบราณกำราบ ถูกเหยียดหยามไม่รู้เท่าไร
พูดอย่างไม่เกินเลยได้ว่า ในช่วงนี้ผู้กล้ายุคปัจจุบันแทบต้านไว้ไม่ได้ เกือบจะถูกสัตว์ประหลาดยุคโบราณข่มจนเชิดหน้าไม่ขึ้น
และตอนนี้จินเซี่ยวหมิงโดยสารเกี้ยวสมบัติกระพรวนทอง พร้อมพาพลรบชุดแดงแปดคนขึ้นเขามาด้วย ย่อมไม่ได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนมรรคแน่นอน
“ขอถามว่าทุกท่านมาด้วยเรื่องใด” มีคนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ถามเสียงต่ำ ดูระแวงระวังและหวั่นกลัวหาใดเทียบ
“ได้ยินว่างานชุมนุมใหญ่พันกระแสนี้จัดขึ้นโดยหมีเหิงเจิน แต่ตอนนี้ดูแล้วกลับน่าผิดหวัง ก็ไม่เห็นพิเศษอะไร เป็นเพียงงานรวมตัวของพวกอ่อนหัดเท่านั้น”
เสียงเฉยชาเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเกี้ยวสมบัติ ตัวเกี้ยวสมบัติถูกม่านบังไว้ ไม่อาจมองทะลุถึงรูปลักษณ์ของผู้เป็นนายที่อยู่ภายในนั้น
ครู่เดียวบรรยากาศในที่นั้นก็เงียบเชียบลง ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้ว่าผู้มาเยือนไม่ได้มาดี แต่ตั้งใจมาหาเรื่อง
หลายคนสีหน้าอึมครึมลง หลินสวินก็ประหลาดใจอยู่บ้าง นี่ก็คือท่าทีของสัตว์ประหลาดยุคโบราณหรือ บ้าระห่ำเสียจริง
“หมีเหิงเจินล่ะ ให้เขาออกมาพบข้าที”
ในเกี้ยวสมบัติ เสียงเฉยชาเยียบเย็นดังขึ้นอีกครั้ง
“ตอนนี้ศิษย์พี่หมีไม่อยู่ หากสหายยุทธ์ไม่มีเรื่องอื่นก็ขอให้จากไป งานชุมนุมคราวนี้ไม่ต้อนรับคนนอก”
ฉีชงโต้วสูดหายใจลึก เอ่ยปากไล่แขก
“ใช่ พวกเราไม่ต้อนรับพวกเจ้า เชิญออกไปเถอะ!”
คนอื่นพากันเอ่ยปาก สีหน้าหวาดกลัวหาใดเทียบ และแบ่งแยกอย่างไม่ปิดบัง
“หนวกหู!”
ทันใดนั้นเสียงเรียงเฉยชาเย็นเยียบนั้นตะคอกขึ้น เสียงราวอสนีบาตแผ่กระจายสะเทือนเลื่อนลั่น ไม่เพียงกดทับเสียงในที่นั้นไว้ ยังทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยหูอื้อ เลือดลมแปรปรวนไปทั้งร่าง
“ทำไม พวกเจ้ายังกล้าทำร้ายกันหรือ”
ฉีชงโต้วสีหน้าเคร่งขรึม
“ทำร้ายหรือ เปล่านี่ ข้าแค่มาทดสอบว่าเจ้าพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเจ้าจะมีน้ำยาแค่ไหน!”
ในเกี้ยวสมบัติคนผู้นั้นกล่าว
เสียงพูดเพิ่งเงียบลง ชายหนุ่มชุดแดงแปดคนก็ยืนขึ้น ดวงตาราวคมดาบกวาดมองทั่วทุกแห่ง แผ่กลิ่นอายพิฆาตน่าหวาดหวั่นออกมา
“ข้าก็ไม่ได้มารังแกพวกเจ้า พวกเจ้าจงเลือกคนออกมาประลองกับใครสักคนในหมู่พลรบทั้งแปดของข้านี้! หากไม่ทำตาม งานชุมนุมของพวกเจ้าครั้งนี้ก็จัดต่อไปไม่ได้แล้ว”
ในเกี้ยวสมบัติ เสียงเฉยชาเผยให้เห็นความดูแคลน
ยามนี้เหล่าผู้ฝึกปราณที่อยู่บนแท่นมรรคอย่างพวกฉีชงโต้วต่างสีหน้าเคร่งเครียด คับข้องใจนัก ในหมู่พวกเขาไม่ขาดยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่อยู่บนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่ตอนนี้กลับถูกดูแคลนเช่นนี้
เจ้านายไม่ปรากฏตัว จะให้ข้ารับใช้ของเขาลงมือเสียอย่างนั้น!
“น่าชังนัก!” มีคนกัดฟัน
นี่ย่อมเป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง ให้ข้ารับใช้มาประชันพลัง เป็นการดูแคลนพวกเขาที่อยู่ในที่นี้ครั้งใหญ่ที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
“ไม่พอใจหรือ” ชายหนุ่มชุดแดงผู้หนึ่งน้ำเสียงดุดัน “ด้วยฐานะกับพลังของพวกเจ้า ไม่คู่ควรมาแลกเปลี่ยนวิชากับเจ้านายของพวกเราหรอก จะต่อกรกับพวกเจ้า พวกเราแปดคนก็เหลือแหล่แล้ว!”
วาจานี้ช่างหยิ่งผยองจองหอง ข้ารับใช้ผู้หนึ่งยังกล้าดูถูกทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ไม่ว่าใครก็ต้องโกรธเคือง
ทุกคนต่างสีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ
เจ้าคางคกกับอาหลู่ออกจะทนดูไม่ไหวแล้ว เพียงแต่ทั้งสองคนกลับถูกหลินสวินรั้งไว้ ในเวลาเช่นนี้แขกไม่อาจแย่งส่งเสียงแทนเจ้าภาพ เรื่องที่ต้องทำตอนนี้คือดูการตัดสินใจของฉีชงโต้ว
“ใครไม่พอใจก็รีบลุกขึ้นมา พวกเจ้าล้วนเป็นพวกที่อ้างตัวว่าโดดเด่นในยุคปัจจุบัน คงไม่ถึงกับไม่มีความกล้ามาสู้หรอกกระมัง”
ชายหนุ่มชุดแดงที่นำหน้ามายิ้มเหี้ยม เงาร่างเขาสูงใหญ่ ดวงตาเรียวยาว ไอชั่วร้ายเข้มข้นหาใดเทียบแผ่ออกมาทั้งตัว น่าพรั่นพรึงถึงที่สุด
ทุกคนในที่นั้นในใจล้วนชิงชัง เดือดดาลหาใดเทียบ พลรบผู้หนึ่งยังกล้าประกาศศักดาหรือ
ทันใดนั้นก็มีคนทนไม่ไหว เอ่ยว่า “ข้าจะประลองกับเจ้าสักตั้ง!”
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มชุดสีนิลผู้หนึ่ง มือถือทวนสามง่ามสีเงินเล่มหนึ่ง เป็นผู้กล้าที่สะดุดตาคนหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเขาออกโจมตี ทุกคนล้วนฮึกเหิม แทบอยากให้เขารีบสำแดงอานุภาพ ทำลายฤทธิ์เดชของอีกฝ่าย
“เจ้าใช้ไม่ได้” ชายหนุ่มชุดแดงดูถูก พูดอย่างลวกๆ
ชิ้ง!
สีหน้าชายหนุ่มชุดนิลเย็นชา ไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิดก็โบกทวนสามง่ามสีเงินผ่าห้วงอากาศออกจากกัน ม้วนขึ้นเป็นรัศมีเทพน่ากลัวแล้วฟาดฟันออกไป
โครม!
ชายหนุ่มชุดแดงทะยานตัวขึ้น แปรสภาพเป็นสายฟ้าพริบไหวสีโลหิตที่น่าหวาดหวั่นสายหนึ่ง พุ่งชนลงมาฉับพลัน เปิดฉากการประลองดุเดือด
เพียงแต่ประมือแค่สิบกว่าครั้งก็เกิดเสียงดังปึง ทวนสามง่ามถูกกระแทกกระเด็น!
ส่วนชายหนุ่มชุดนิลกลับถูกชายชุดแดงบีบคอไว้ เพียงบิดเบาๆ ศีรษะก็ถูกหักลงมา ฝนเลือดสาดกระเซ็นราวน้ำพุ
“ช่างอ่อนแอเสียจริง!”
ชายชุดแดงสีหน้าเหี้ยมเกรียม โยนศพของชายหนุ่มชุดนิลทิ้งง่ายๆ ไม่แม้แต่จะมองสักครั้ง
ในที่นั้นเงียบสนิท ทุกคนถูกภาพนองเลือดนี้ทิ่มแทงใจ แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ จิตวิญญาณสั่นสะท้าน ต่างคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่พลรบผู้หนึ่งกลับแข็งแกร่งได้ปานนี้
นี่ทำให้ทุกคนขุ่นเคืองและหวาดผวา ไม่อาจสงบใจได้
“เจ้ากล้าฆ่าคน!” ฉีชงโต้วกราดเกรี้ยว
“ทำไม ถ้าเจ้าไม่พอใจมาสู้กันสักตั้งก็ได้!” ชายหนุ่มชุดแดงเอ่ยเสียงเรียบ
“ให้ข้าไปสู้!”
มีคนทนไม่ไหวแล้ว คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง เป็นบุคคลที่พาตัวเองขึ้นไปอยู่ในสามสิบหกอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคาแล้ว
ตูม!
เมื่อเขาลงมือ พลังต่อสู้เหนือธรรมดาก็ปรากฏขึ้น ดวงอาทิตย์สีม่วงฉายส่องท้องนภา พุ่งกำราบชายหนุ่มชุดแดง
แต่ชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้ก็เก่งกาจหาใดเทียบเช่นกัน แข็งแกร่งอย่างอัศจรรย์ พุ่งเข้าไปประลองกับเขาโดยไม่ลังเล
เพียงไม่กี่ลมหายใจทั้งสองก็ประมือไปเป็นร้อยครั้ง ชายชุดแดงใช้ฝ่ามือเดียวตัดขวาง ฟันแขนข้างหนึ่งของคนผู้นี้ขาดอย่างจังเสียงดังปึก
สวบ!
คนชุดดำต้องหลบหนีออกไป สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหยเกบูดเบี้ยวหาใดเทียบแล้ว
“กลัวแล้วหรือ เป็นขยะดังคาด” ชายหนุ่มชุดแดงยิ้มเหี้ยม
เหล่าผู้กล้าต่างโกรธปนผวา ขนาดบุคคลขอบเขตมกุฎที่เป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้หรือ เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขา ใจสะท้านหนาวเย็นไปหมดแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งหลายคนล้วนมองไปที่ฉีชงโต้ว และมองไปยังหลินสวิน
ฉีชงโต้วสูดหายใจลึก ใบหน้าปรากฏแววแน่วแน่ ตอนนี้หมีเหิงเจินไม่อยู่ ในที่นี้เขาก็คือเจ้าภาพงานชุมนุมใหญ่พันกระแสครั้งนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้เขาย่อมต้องลุกขึ้นมา!
เพียงแต่เขาไม่ทันเคลื่อนไหวก็ถูกหลินสวินรั้งไว้แล้วพูดว่า “แม้เจ้าชนะ ก็ชนะเพียงพลรบผู้หนึ่ง เป็นการเสียหน้า”
ฉีชงโต้วอึ้งไป
และตอนนี้เองสายตาของชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นก็มองมายังหลินสวิน เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เอ่ยว่า “ถ้าเจ้าไม่พอใจจะมาสู้กันสักตั้งก็ได้ ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้าตายอย่างอนาถ!”
ทุกคนพากันมองไปยังหลินสวิน
คนผู้นี้เป็นถึงเทพมารหลิน! พลังต่อสู้ของเขาถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในงานชุมนุมนี้ หากเขาออกหน้า ไม่แน่อาจจะสลายสถานการณ์ยุ่งยากตรงหน้านี้ได้จริง
แต่กลับเห็นหลินสวินยิ้มบางๆ หันหน้าไปกวักมือเรียกเจ้าคางคก “ยังไม่รีบไปอีก ถึงตาเจ้าออกโรงแล้ว”
เจ้าคางคกตาเบิกกว้าง พูดพลางกระทืบเท้าว่า “ให้ข้าไปประลองกับข้ารับใช้คนหนึ่งหรือ ข้าขายหน้าแย่! ถ้าจะไปก็ให้เจ้าคนเถื่อนคนนี้ไปสิ!”
เขาพูดพลางมองไปยังอาหลู่ อาหลู่รีบร้อนส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ เจ้ายังไม่ยอมไปสู้กับข้าทาสพวกนั้นเลย ถ้าข้าไปแล้วจะไม่เป็นการเสื่อมเสียกิตติศัพท์ของข้าหรือ”
ทุกคนล้วนงุนงง หน้าเจื่อนกันหมด นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ยังจะเถียงเรื่องพวกนี้กันอีก
“เจ้าคางคก คนพรรค์นี้เหมาะให้เจ้าลงมือที่สุด ถ้าข้าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการรังแกพวกมัน” อาหลู่เกลี้ยกล่อม
เจ้าคางคกเดือดดาลร้องออกมาว่า “ไอ้คนพรรค์นี้ก็คู่ควรให้ข้าออกไปสู้หรือ นี่มันหยามเกียรติข้าชัดๆ!”
การโต้เถียงของทั้งสองทำให้ชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นงงงวย จากนั้นสีหน้าก็ขึงขัง ดวงตาลุกวาวแล้ว อีกฝ่ายถึงกลับกล้าเมินเขาเช่นนี้!?
“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองคนเข้ามาด้วยกันเถอะ!” เขาตะคอก
“หุบปาก!”
“หนวกหู!”
เจ้าคางคกกับอาหลู่ไม่พอใจยิ่งนัก ด่าทอชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้น ทำให้ฝ่ายหลังสีหน้ายิ่งอึมครึมไม่น่าดูแล้ว
เห็นว่าทั้งสองคนจะโต้เถียงกันอีก หลินสวินจึงสื่อจิตด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า ‘เจ้าคางคก ตกลงเจ้าจะไปไหม’
เจ้าคางคกสีหน้าไม่ยินยอม แต่สุดท้ายก็ประนีประนอมแล้ว พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ได้ เห็นแก่หน้าเจ้าหรอก!”
จากนั้นยามเขาหันหน้าไปมองชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้น ก็มีท่าทางจนใจและชิงชัง พูดอย่างรำคาญว่า “พูดมา ว่าเจ้าจะบีบคอฆ่าตัวตาย หรือจะให้ข้าส่งเจ้าไปตายเอง เลือกวิธีตายมา”
วาจาบ้าระห่ำนัก!
บ้าระห่ำกว่าชายหนุ่มชุดแดงเหล่านั้นและเจ้านายของพวกเขาเสียอีก!
ทุกคนตาเบิกกว้าง ฉงนใจไม่ว่างเว้น เจ้าหนุ่มชุดเขียวผู้นี้เป็นใครกันแน่ ดูแล้วเหมือนจะยอดเยี่ยมนัก
ส่วนชายหนุ่มชุดแดงที่ถูกเจ้าคางคกเรียกโมโหจนหน้าดำหน้าแดง ไอสังหารแผ่ออกมาทั่วทิศ กัดฟันพูดว่า “เลิกพูดพล่ามไร้สาระ ไสหัวมารับความตายซะ!”
“เหอะๆ ได้ยินหรือยัง ให้เจ้าไปรับความตายล่ะ” อาหลู่หัวเราะยกใหญ่ กลัวแต่ใต้หล้าไม่โกลาหล
เจ้าคางคกอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ยังถูกอาหลู่เย้ยหยันเช่นนี้อีก จึงโกรธควันออกหูทันที เงาร่างพริบไหวแล้วพุ่งออกไป
ตอนที่ 1117 แย่งกันออกโจมตี
ชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้เงาร่างสูงใหญ่ แม้เป็นพลรบ แต่พลังที่แท้จริงกลับแกร่งกล้าผิดธรรมดา
หาไม่แล้วก่อนหน้านี้คงไม่สามารถเอาชนะบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่บนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นเจ้าคางคกพุ่งเข้ามาเขาก็เผยรอยยิ้มชั่วร้าย เอ่ยว่า “รูปลักษณ์งดงามเหมือนพวกผู้หญิง เช่นนั้นก็จะทำลายหน้าเจ้าก่อนเลย!”
โครม!
เขาเหยียบย่างไปในอากาศ อานุภาพพลันพุ่งสูงขึ้น ไอสังหารน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกมาทั่วกาย ทำให้ห้วงอากาศแถบนี้ปั่นป่วน
ที่ด้านหลัง หลินสวินพูดอย่างเรื่อยเฉื่อยว่า “เจ้าคางคก เขาว่าเจ้าเป็นพวกผู้หญิง เจ้าจะขี้ขลาดตาขาวไม่ได้นะ”
นี่ช่างเป็นการเอาน้ำมันราดบนกองไฟ ไม่กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่
ที่ต้องรู้คือ สิ่งที่เจ้าคางคกเกลียดที่สุดก็คือคนอื่นเอาเขาไปเทียบกับผู้หญิง!
“วางใจได้ ข้าจะฆ่าไอ้เดรัจฉานตามืดบอดคนนี้ให้ตาย!”
เจ้าคางคกโกรธจนควันออกหู ทั้งกายมีสีทองเจิดจ้า ส่งเสียงคำรามยาวแล้วพุ่งโจมตีขึ้นไป
ทุกคนในที่นั้นล้วนสีหน้าประหลาด เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้จองหองยิ่งตั้งแต่หะแรก เพียงแต่… เขาไหวจริงหรือเปล่า
ทุกคนไม่แน่ใจ แต่การต่อสู้ได้ปะทุขึ้นแล้ว
ตูม!
เจ้าคางคกสะบัดฝ่ามือ กลืนคายตะวันจันทรา เหนี่ยวนำพลังจักรวาลน่าหวาดหวั่น
ตอนแรกชายหนุ่มชุดแดงยังไม่สนใจเท่าไร แต่เมื่อเห็นภาพนี้เข้าสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา รับรู้ได้ถึงความร้ายกาจ
“นภาหลอมโลหิต!”
เขาตะโกน นิ้วมือกดลงกลางห้วงอากาศ แสงโลหิตแผ่พุ่งประหนึ่งกระแสน้ำผุด ทำให้ฟ้าดินบริเวณนี้ปรากฏภาพทำลายล้างราวภูเขาถล่มทะเลหวีดร้อง
ปึง!
เสียงปะทะรุนแรงจนหูแทบดับดังขึ้น
ชายหนุ่มชุดแดงเหมือนถูกสายฟ้าฟาดไปทั้งตัว กระตุกเกร็งไปทั้งร่าง โซซัดโซเซถอยหลังไปหลายก้าว เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที สีหน้ายิ่งหนักอึ้ง
“ด้วยความสามารถเช่นนี้ก็กล้ามาท้าทายข้าหรือ ฆ่าเจ้ายังกลัวมือสกปรกเลย!” ใบหน้าเจ้าคางคกเต็มไปด้วยความดูถูก
ตอนนี้ทุกคนในลานถึงได้รับรู้ว่าเด็กหนุ่มชุดเขียวขี้โม้นิสัยบ้าระห่ำผู้นี้ ก็เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง!
“หึ!”
ชายหนุ่มชุดแดงสีหน้าเย็นชา เรียกกระบี่ยักษ์สีเลือดเล่มหนึ่งออกมา พลานุภาพรอบกายพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุดในชั่วพริบตา พลังมหามรรคส่งเสียงโครมคราม ประหนึ่งอสูรกระหายเลือดตนหนึ่ง
“ฆ่า!”
เขาพุ่งออกมา ทำให้ฟ้าดินบริเวณนี้ล้วนสั่นไหว คมกระบี่เหมือนม่านน้ำตกสีโลหิตม้วนตลบลงมา มีเสียงเทพมารหวีดร้องดังขึ้นท่ามกลางความคลุมเครือ ปรากฏการณ์ประหลาดทำให้ทุกคนหวาดผวา
ตึง!
ในขณะเดียวกันเจ้าคางคกก็พุ่งออกมาก่อนแล้ว
เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวทั้งตัว ใบหน้างดงามมีเสน่ห์เหลือร้าย ดวงตาสีทองเจิดจ้า เพียงชั่วโบกมือเท่านั้น ปรากฏการณ์น่าตกตะลึงอย่างตะวันจมจันทรามลาย ดาราม้วยมอดก็ปรากฏขึ้น
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เขากับชายหนุ่มชุดแดงก็ปะทะกันอย่างดุเดือด
“สหายผู้นี้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งนัก” ฉีชงโต้วประหลาดใจ
“เขาก็เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งเช่นกัน” หลินสวินเอ่ย
ฉีชงโต้วอึ้งไป จากนั้นก็สูดหายใจเยียบเย็น สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งถึงกับติดตามข้างกายเทพมารหลิน อีกทั้งยังมีท่าทางเป็นลูกไล่ของเขา นี่น่าตะลึงเกินไปแล้ว!
ฉับพลันทันใดในที่นั้นก็มีเสียงโห่ร้องยินดีระลอกหนึ่งดังขึ้น
ฉีชงโต้วมองไป กลับเห็นว่าเพิ่งเริ่มต่อสู้เท่านั้น ชายชุดแดงผู้นั้นก็ถูกกำราบไว้นิ่ง ไม่มีพลังตั้งกระบวนท่าแล้ว!
หันมาดูที่เจ้าคางคก กลับเห็นท่วงท่าเกรียงไกร ร่างกายทองอร่ามไปทั้งตัว ประหนึ่งมหาเทพสงครามตระการตาผู้หนึ่ง ไร้ความหวั่นเกรง อานุภาพเหลือคณา
“อึก!”
ในลาน ชายชุดแดงถูกเล่นงานจนทนไม่ไหวกระอักเลือดออกมา สีหน้าไม่น่าดู เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอคนถึกทนเช่นนี้คนหนึ่ง
“สวะ! ใครทำให้เจ้ากล้ามาหาเรื่องที่นี่กัน”
เจ้าคางคกสีหน้าโอหังหยิ่งผยอง ลงมือโหดเหี้ยมร้ายกาจถึงที่สุด ประหนึ่งพายุฝนบ้าคลั่ง ปิดทางถอยอีกฝ่ายไว้แน่นหนา กำราบฝ่ายตรงข้ามจนแทบเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้
เสียงกู่ร้องยินดีในลานยิ่งคึกคักขึ้น ต่างโห่ร้องชื่นชมเจ้าคางคก
นี่ทำให้เจ้าคางคกยิ่งได้ใจ ยามต่อสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม พลังเต็มเปี่ยม เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็ซัดให้ชายหนุ่มชุดแดงหน้าบวมเป่ง รอยฝ่ามือปรากฏไปทั่วทั้งร่างกาย เสื้อผ้าหลุดลุ่ย น่าหดหู่ถึงที่สุด
คนตาบอดยังดูออกว่าชายชุดแดงไม่มีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้อีกเลย
ทุกคนล้วนอุทานประหลาดใจอย่างอดไม่อยู่ น้องชายชุดเขียวผู้นี้ดูแล้วจองหองอยู่บ้าง แต่เขาก็มีความสามารถให้จองหองได้!
และเมื่อเห็นเจ้าคางคกสำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ อาหลู่ก็ทนดูต่อไปไม่ได้อยู่บ้าง ตะโกนออกมาว่า “ตาสีตาสาคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องใช้แรงเยอะขนาดนี้ด้วย เจ้าคางคกเจ้าไม่รู้สึกขายหน้าหรือไร”
เจ้าคางคกพลันชิงชังขึ้นมา รู้สึกว่าปากของอาหลู่ผู้นี้ช่างชวนอารมณ์เสียเกินไปแล้ว!
“ขายหน้าหรือ ข้าจะให้คนเถื่อนอย่างเจ้าได้รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของท่านปู่เสียหน่อย!”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็ตะโกน นิ้วมือพลันทำมุทราคลุมเครืออัศจรรย์ ชั่วพริบตาแสงที่เปล่งประกายตระการตายิงพุ่งออกมา ประหนึ่งในมือเขากำสุริยันจันทราไว้!
กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นยากบรรยายแผ่กระจายออกมาจากร่างเจ้าคางคกทันใด หลายคนรู้สึกเพียงแสบตาไปชั่วขณะ ไม่อาจมองเห็นได้ชัด
“แย่แล้ว!”
ชายชุดแดงอีกเจ็ดคนที่ชมการต่อสู้มาโดยตลอดล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันชายชุดแดงที่ถูกกำราบก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ก่อนหน้านี้เขาก็ต้านไว้อย่างยากลำบาก ถูกกำราบจนแทบแหลกสลาย เวลานี้เห็นเจ้าคางคกจะใช้กระบวนท่าไม้ตายอย่างชัดเจนก็ตื่นตระหนกจนไม่อาจสนใจสิ่งใดอีก ร้องคำรามออกมาครั้งหนึ่งแล้วคิดจะหลบหนี
เพียงแต่ สายไปแล้วก้าวหนึ่ง
ตูม!
กลางประทับใหญ่ สุริยันจันทราใหญ่โตเปล่งประกายหาใดเทียบ ชายชุดแดงดิ้นรนหลบหลีกไม่ทัน ร่างของเขาถูกแสงมรรคช่วงโชติปกคลุมจนมิดเสียแล้ว
มีชายชุดแดงหลายคนลงมือ หมายจะหยุดยั้งไม่ให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันอาหลู่ก็ลงมือเช่นกัน เงาร่างสูงใหญ่กำยำราวเจดีย์เหล็กพุ่งกวาดเข้าไปในลาน ทำให้ฟ้าดินสั่นคลอน
เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น กลับรับการโจมตีของคนหลายคนไว้ได้ พลานุภาพอันแข็งแกร่งดุดันทำให้หลายคนตกตะลึงอ้าปากค้าง
ในที่สุดละอองแสงเปล่งประกายอบอวล ชายชุดแดงสูงใหญ่ผู้นั้นถูกกำราบโดยสมบูรณ์ ขนาดซากศพยังไม่เหลือ แปรสภาพกลายเป็นเถ้าธุลี
ใครจะรู้ว่าเจ้าคางคกกลับไม่ดีใจ เอ่ยว่า “ใครให้คนเถื่อนอย่างเจ้ามาแส่ แค่สวะกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เจ้าคิดว่าพวกมันจะทำร้ายข้าได้หรือ”
“อย่าเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย ข้าไม่ได้มาช่วยเจ้า เพียงแค่คันไม้คันมือเท่านั้น” อาหลู่ยิ้มหยัน
ไกลออกไป เหล่าชายชุดแดงที่เหลือล้วนสีหน้าไม่น่าดูขึ้นมาแล้ว
ส่วนผู้ฝึกปราณที่อยู่บริเวณนั้นอย่างพวกฉีชงโต้วต่างฮึกเหิมไม่ว่างเว้น เจ้าคางคกกับอาหลู่ออกโจมตี เอาชนะอีกฝ่ายได้สำเร็จ กดข่มความยโสโอหังของฝ่ายตรงข้ามไว้ได้ ทำให้พวกเขาล้วนสะใจนัก
“ทุกท่านอย่าเพิ่งดีใจไป รอข้าปลิดชีพสวะพวกนี้ทีละคนแล้วค่อยว่ากัน”
เจ้าคางคกคุยโวนัก ดวงตาจับจ้องชายชุดแดงอีกเจ็ดคน
“ให้ข้าสู้เถอะ”
อาหลู่คำรามออกมา ชิงมาถึงก่อนก้าวหนึ่งแล้วพุ่งกระโจนขึ้นไป เห็นท่าทางนั้นก็รู้ชัดว่าต้องการเข้าไปท้าสู้ชายชุดแดงเหล่านั้นผู้เดียว!
“อาจหาญนัก!” หญิงสาวงามเฉลาผู้หนึ่งร้องเสียงแหลมอย่างตื่นเต้น
“คนเถื่อนอย่างเจ้าจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว ใครให้เจ้ามาแย่งกับข้า” เจ้าคางคกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ออกโจมตีอย่างไม่ลังเล กลัวแต่จะถูกอาหลู่ชิงโอกาสให้ตนได้โดดเด่น
ผู้ฝึกปราณอื่นๆ ล้วนใจสั่นสะท้าน ตกตะลึงอ้าปากค้าง ทำใจเชื่อภาพตรงหน้านี้ได้ยาก
ก่อนหน้านี้ยามคนกลุ่มนั้นมาที่นี่ ท่าทางดุดันห้าวหาญ มองพวกเขาทุกคนที่อยู่ในงานชุมนุมเหมือนไม่มีตัวตน วาจามีแต่การดูถูก สร้างความอับอายให้พวกเขาอย่างใหญ่หลวง
แต่ตอนนี้ เพียงครู่เดียวกลับพลิกผันเสียแล้ว!
ในสายตาของอาหลู่กับเจ้าคางคก พลรบชุดแดงเหล่านั้นเหมือนเหยื่อฝูงหนึ่ง ถูกช่วงชิงแบ่งส่วนกัน ออกจะโหดร้ายเกินไปจริงๆ
“สหายสองท่านนี้ช่าง… ห้าวหาญเทียมฟ้านัก!” ฉีชงเทียนตาพร่าไปครู่หนึ่ง ในสมองงุนงง
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่เลยว่างานชุมนุมใหญ่พันกระแสคราวนี้จะเกิดวิกฤต ถูกคนอื่นเหยียบย่ำทำลาย แต่ตอนนี้เหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว!
“ช่วยไม่ได้ สองคนนี้อัดอั้นแทบแย่มาตลอดทาง ในที่สุดก็คว้าโอกาสไว้ได้ ย่อมต้องระบายออกมาดีๆ” หลินสวินยักไหล่
ฉีชงโต้วร้องอ้อ ในใจลอบพึมพำว่ามิน่าถึงเป็นเพื่อนกับเทพมารหลินได้ ที่แท้เจ้าสองคนนี้ก็เป็นพวกร้ายกาจราวราชันมารป่วนโลกเช่นกัน
“แต่เหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขาถึงไม่อยากลงมือล่ะ” ฉีชงโต้วอดไม่ได้เอ่ยถาม
“ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ดูแคลน” หลินสวินเอ่ยแก้ “แม้สองคนนี้จะนิสัยไม่ดีไปหน่อย แต่ก็ภาคภูมิในตัวเองและรักหน้าตามาก”
ฉีชงโต้วพลันหมดคำพูด
ยามไปดูที่ลานอีกครั้ง ความโกลาหลก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว เจ้าคางคกกับอาหลู่เหมือนเสือเข้าไปในฝูงหมาป่า รบราไปทั่ว แม้เป็นการประลองกับชายชุดแดงเจ็ดคน แต่กลับไม่ตกเป็นรองเลย
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณในงานชุมนุมยิ่งฮึกเหิม พากันช่วยส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ สายตาที่หญิงสาวหลายคนมองมายังทั้งสองต่างเจือด้วยความหลงใหล
ฟุ่บ!
ไม่นานอาหลู่ก็ชิงสังหารพลรบชุดแดงคนหนึ่งได้ก่อน อดไม่ได้ต้องทอดถอนใจออกมาว่า “เฮ้อ อ่อนแอเกินไปแล้ว อย่างกับฆ่าหมูฆ่าหมา”
แม้พูดเช่นนี้แต่เขาแสดงสีหน้าได้ใจยิ่งนัก
ทว่าเจ้าคางคกกลับเข่นเขี้ยว หงุดหงิดไม่ว่างเว้น ลงมืออย่างร้ายกาจยิ่งขึ้น
ฟุ่บ!
ไม่นานนักเจ้าคางคกก็ปลิดชีพพลรบชุดแดงคนหนึ่งเช่นกัน เขาดีดนิ้วมือ ทำท่าเหมือนยอดฝีมือเดียวดาย พึมพำว่า “ตอนนี้ข้าถึงเข้าใจว่าอย่างไรเรียกยิ่งสูงยิ่งหนาว”
มุมปากหลินสวินกระตุกเกร็ง ทนดูสองคนนี้ทำท่าดัดจริตเช่นนี้ไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
แต่เหลือเชื่อ ผู้ฝึกปราณคนอื่นกลับมีท่าทางบ้าคลั่งกันหมด เคารพเลื่อมใสทั้งสองคนอย่างยิ่ง เสียงโห่ร้องให้กำลังใจยิ่งดังขึ้นไปอีก
ฟุ่บ!
ไม่นานนักอาหลู่ก็ชิงฆ่าได้อีกคน
แต่เจ้าคางคกก็เอาชีวิตคู่ต่อสู้อีกคนหนึ่งตามมาติดๆ
ทั้งสองคนเหมือนแข่งขันประชันกัน ไม่มีใครยอมใคร ถึงกับยังต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ทำให้การต่อสู้ที่นองเลือดและน่าพรั่นพรึงอยู่เดิม กลับมีกลิ่นอายแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นมาบ้าง
“พอแล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงเฉยชาเหี้ยมเกรียมเสียงนั้นก็ดังขึ้นจากเกี้ยวสมบัติกระพรวนทองที่นิ่งเงียบมาตลอด จากนั้นรุ้งเทพเจ็ดสีก็แผ่พุ่งออกมารอบเกี้ยวสมบัติ กระจายไปทั่ว
หืม?
เจ้าคางคกกับอาหลู่ใจสั่นวูบ ต่างเลือกหลบหนีอย่างไม่ลังเล
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
รุ้งเทพเจ็ดสีนั้นโฉบเข้ามาในลาน แต่กลับสังหารพลรบชุดแดงที่เหลือเพียงสองคนในคราวเดียว ฝนโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว!
ก่อนตายพลรบสองคนนี้ต่างเผยสีหน้างุนงงและผิดหวัง เหมือนทำใจเชื่อได้ยากว่าผู้ที่ฆ่าตนจะเป็นเจ้านายของพวกเขาเอง
ในขณะเดียวกันเสียงโห่ร้องในลานก็เงียบลงทันที ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสี ในใจหนาวสะท้าน ตกใจกับภาพนองเลือดโหดร้ายนี้
แน่นอนว่าใครก็คิดไม่ถึง ว่าเจ้าของเกี้ยวสมบัตินั้นจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้กับพลรบของตัวเอง!
ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง ฉีชงโต้วก็สีหน้าหนักอึ้งเช่นกัน
“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก ขนาดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังทำไม่ได้ เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์”
ท่ามกลางเสียงเรียบเฉยเย็นชา ม่านที่บดบังเกี้ยวสมบัติม้วนขึ้นอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นเงาร่างสูงผึ่งผายร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากในเกี้ยว
นี่เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเลือดทั้งตัว คาดเอวด้วยเข็มขัดหยก ผมยาวสีทองทั้งศีรษะเต็มไปด้วยประกายพร่างพราวราวดวงตะวัน ยาวสยายอยู่เบื้องหลัง
ผิวของเขาขาวซีดอย่างประหลาด เบ้าตาลึกโหล นัยน์ตามีแสงสีเขียวอ่อนพิสดารน่าหวาดหวั่น
ทันทีที่ปรากฏตัว กลิ่นอายที่กระจายออกมาจากร่างก็ทำให้ฟ้าดินสั่นไหว เมฆลมแปรปรวน!
ตอนที่ 1118 รังเกียจที่คู่ต่อสู้อ่อนแ...
อาภรณ์สีเลือด ผมสีทอง นัยน์ตามรกต!
กอปรกับผิวสีขาวซีดอย่างประหลาดนั้น ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้แผ่กลิ่นอายพิสดารและน่าหวาดผวา
เขาแข็งแกร่งนัก!
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้บรรยากาศฟ้าดินบริเวณนี้ถูกกดอัด เมฆลมปั่นป่วน ประหนึ่งมังกรใหญ่ออกมาจากหุบเหว สะท้านสะเทือนโลก
ผู้ฝึกปราณในงานชุมนุมไม่น้อยต่างรู้สึกหายใจลำบาก ในใจตกตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ สีหน้าที่มองไปยังชายหนุ่มชุดสีเลือดผู้นั้นต่างเปลี่ยนไปแล้ว
‘นี่ก็คือจินเซี่ยวหมิง สัตว์ประหลาดยุคโบราณจากเผ่างูราชันทองคำ ตั้งแต่ปรากฏตัวอย่างโดดเด่น ได้กำราบบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันไปแล้วสิบกว่าคน ไม่มีสถิติแพ้เลย’
ฉีชงโต้วสีหน้าคร่ำเคร่ง รีบสื่อจิตบอกให้หลินสวินรู้ถึงตื้นลึกหนาบางของคนผู้นี้
หลินสวินพยักหน้า สีหน้าสงบนิ่ง เขาสังเกตเห็นเช่นกันว่าอานุภาพของจินเซี่ยวหมิงไม่ธรรมดายิ่งนัก มีลักษณะของยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎอันเป็นเอกลักษณ์
……
การปรากฏตัวของจินเซี่ยวหมิงทำให้บรรยากาศในที่นั้นกดดันและตึงเครียด เงียบสงัดไปหมด
ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างหวั่นกลัวหาใดเทียบ
ควรรู้ว่าพลรบชุดแดงแปดคนนั้น แต่ละคนต่างแกร่งกล้าอย่างที่สุด สามารถกำราบบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่ในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ทรงพลังกว่าผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ในงานนี้
แต่ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ กลับถูกจินเซี่ยวหมิงฆ่าทิ้งได้ง่ายๆ มองพวกเขาเป็นพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!
วิธีการที่นองเลือดและอำมหิตนี้ สั่นสะท้านจิตใจคนเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“ในที่สุดก็มีคู่ต่อสู้น่าสนใจโผล่มาสักคนเสียที”
อาหลู่ดวงตาเปล่งประกาย จิตต่อสู้อันโชติช่วงพลุ่งพล่านขึ้นในใจ
“เจ้าหมอนี่เป็นของข้า เจ้าอย่ามาแย่งข้า!”
เจ้าคางคกร้องเสียงดัง สีหน้าฮึกเหิม
“หึ! ไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ”
เห็นเช่นนี้จินเซี่ยวหมิงก็ส่งเสียงหึหยัน สีหน้าเฉยชาเหี้ยมเกรียม “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องโวยวาย ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตายทีละคน”
จากนั้นเขาก็ทอดสายตาไปมองหลินสวินแล้วพูดว่า “เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ”
วาจากังวานเจือไอสังหาร
ทุกคนล้วนใจสั่น เพียงได้ยินเสียงก็ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันและไอสังหารไร้สิ่งใดเทียบเทียมได้!
“ใช่แล้ว” หลินสวินพยักหน้า
จินเซี่ยวหมิงชี้ไปที่เจ้าคางคกกับอาหลู่แล้วถามอีกว่า “พวกนี้เป็นพลรบของเจ้าหรือ”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกกับอาหลู่ก็ไม่พอใจแล้ว ร้องว่า “เจ้าพูดบ้าอะไรกัน พวกเราเป็นพี่น้องกัน!”
จินเซี่ยวหมิงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ต่างอะไร อย่างไรก็ต้องตาย เพียงแต่พวกเจ้าสองคนยังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะประลองกับข้า”
พูดถึงตรงนี้นัยน์ตามรกตของเขาก็มองไปที่หลินสวินอีกครั้ง เอ่ยว่า “ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ยอมรับข้าเป็นนาย ขอเพียงซื่อสัตย์จงรักภักดี ข้าอาจจะพิจารณาพาเจ้าไปชิงศุภโชคใหญ่ที่แดนมกุฎด้วยกัน”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา บรรยากาศทั้งงานก็ยิ่งกดดันและเงียบเชียบ
ทุกคนสูดหายใจเย็นเยียบ แม้จินเซี่ยวหมิงมาคนเดียว แต่กลับเมินเหล่าผู้กล้า ขนาดเจ้าคางคกกับอาหลู่ยังไม่อยู่ในสายตา
หนำซ้ำ เขายังพูดตรงๆ ว่าต้องการรับเทพมารหลินเป็นข้ารับใช้!
ระห่ำเกินไปแล้ว!
เช่นเดียวกัน นี่เป็นการเหยียดหยามเทพมารหลินอย่างไม่ปิดบังโดยไร้ข้อกังขา
ควรรู้ว่าเทพมารหลินเป็นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ยุคปัจจุบัน เป็นผู้มีอิทธิพลในขอบเขตมกุฎซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั้งใต้หล้า ถ้าเขากลายเป็นข้ารับใช้ เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปผู้คนในใต้หล้าจะมองอย่างไร
แต่จินเซี่ยวหมิงพูดอย่างสมเหตุสมผลนัก นี่ไม่ใช่แค่จองหองธรรมดาๆ แล้ว!
เจ้าคางคกกับอาหลู่ก็ตาเบิกกว้าง เหมือนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เคยเห็นคนบ้าระห่ำมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนบ้าระห่ำได้ขนาดนี้!
ใครมอบความกล้าให้เจ้านี่กัน
คิดจริงหรือว่าเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณก็ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดแล้ว
“ให้ตายสิ ข้าเพิ่งเคยเห็นคนบ้าระห่ำกว่าข้าเป็นครั้งแรก!” เจ้าคางคกสีหน้าเหยเก คิดว่าเจ้าหมอนี่ข่มความโดดเด่นของตน นี่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ถึงที่สุด
“ไม่ใช่โอหัง แต่ไม่มีใครสั่งสอน” อาหลู่พูดเสียงอู้อี้ “พี่ใหญ่ ข้าจะช่วยให้ไอ้ตาเขียวผมทองนี่สำนึกผิดกับท่านเอง!”
“ทำเช่นนี้ได้ที่ไหน”
ยามหลินสวินพูดก็ทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขวางหน้าอาหลู่แล้ว เขาพูดว่า “ให้ข้าไปสู้เถอะ”
ท่าทีกำเริบเสิบสานของจินเซี่ยวหมิงทำให้หลินสวินทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาอยากลองดูว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณนี้มีดีอะไรกันแน่ เหตุใดถึงอวดดีได้ขนาดนี้!
“เฮ้อ พวกเจ้าอย่าแย่งกันเลย ให้ข้าไปเถอะ ต่อกรกับคนพรรค์นี้ ข้าถนัดที่สุด” เจ้าคางคกพูดพลางจะกระโจนออกไป
สุดท้ายกลับถูกหลินสวินจับไว้แล้วต่อว่า “เจ้าอยู่นิ่งๆ ทำตัวดีๆ ให้ข้า”
“เจ้าก็ให้ข้าลงมือสิ!” อาหลู่ร้องเสียงดัง สีหน้าฮึกเหิม
หลินสวินยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของอาหลู่ไว้แล้วพูดว่า “เจ้าก็หลบไป กว่าจะจับสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้สักคน ต้องให้ข้าศึกษาก่อนเสียหน่อย”
พวกเขาสามคนโต้เถียงกันจนผู้ฝึกปราณผู้อื่นล้วนอึ้งงัน ในสมองงุนงง นะนี่… นี่มองจินเซี่ยวหมิงเป็น ‘คนเนื้อหอม’ ที่ต้องแย่งชิงกันแล้วหรือ
จินเซี่ยวหมิงสีหน้าเรียบเฉย เพียงแต่ใครก็ดูออกว่าไอสังหารที่หว่างคิ้วของเขายิ่งเข้มข้นขึ้นแล้ว ดวงตาประหนึ่งเปลวเพลิงสีเขียวแผดเผาอยู่
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกฝ่ายถึงกับกล้าปฏิบัติกับตนเช่นนี้ ถึงขั้นไม่สนใจเขาเลย!
ตั้งแต่ปรากฏตัวมา เขาแผลงฤทธิ์ทั่วโลกหล้า ใครเล่าจะกล้าดูเบาเขา
แม้แต่บุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันที่เขากำราบไปก็ไม่มีสักคนที่รับได้เกินสิบกระบวนท่า!
“ไม่ต้องแย่งกันแล้ว วันนี้พวกเจ้าต้องตายทุกคน!”
จินเซี่ยวหมิงแผดเสียงดังราวสายฟ้า ยื่นแขนคว้าออกไป รอยแยกในห้วงอากาศน่าครั่นคร้ามรอยหนึ่งปรากฏขึ้น แผ่ขยายไปหาหลินสวินอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
เขาหมายจะสังหารหลินสวิน มอบบทเรียนนองเลือดครั้งหนึ่งแก่ทุกคน!
ตึง!
ในขณะเดียวกันเขาก็ก้าวไปเบื้องหน้าประหนึ่งย่อผืนดินให้เล็กลงเพียงชุ่น นิ้วมือทั้งห้าตวัดออกไปราวกระบี่ หมายจะแทงศีรษะหลินสวินให้ทะลุ
ทุกคนร้องตื่นตระหนก รวดเร็วเกินไปแล้ว!
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นห้วงอากาศตรงนั้นก็ถูกแสงสีเขียวโชติช่วงปกคลุม เสียงมรรคสะเทือนเลือนลั่น เขาวิญญาณพันกระแสทั้งลูกสั่นไหวอย่างรุนแรง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจินเซี่ยวหมิงน่ากลัวมาก
ทันทีที่ลงมือก็เผยพลังต่อสู้ที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าพลรบสีเลือดเหล่านั้นมาก
เห็นเช่นนี้หลินสวินไม่ถอยกลับรุก ประกายเยียบเย็นวูบผ่านในดวงตาดำ มือกำหมัดขึ้นไปรับการโจมตี
นี่ทำให้เจ้าคางคกกับอาหลู่โมโหจนกระทืบเท้า แต่ก็ไม่ต้องการใช้คนมากรังแกคนน้อย จึงทำได้เพียงหลบไป ให้หลินสวินกับจินเซี่ยวหมิงประจัญบานกัน
ตูม!
หมัดและฝ่ามือตัดสลับกัน แสงเทพระเบิดออก คลื่นพลังน่ากลัวแผ่กระจาย ทำให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้เคียงบางคนจิตใจสะท้านไหวจนแทบกระอักเลือด ล้วนตกตะลึงพากันถอยหนีไม่หยุด
“พลังถือว่าไม่เลว” จินเซี่ยวหมิงนัยน์ตาหดรัด เผยแววประหลาด ยังมีความเร้าใจอยู่ด้วย รู้ว่าได้เจอคู่ต่อสู้ที่อึดพอจะสู้ได้คนหนึ่ง
“น่าเสียดาย เจ้ายังอ่อนแอเกินไป” หลินสวินตอบกลับ ดวงตาล้ำลึกสงบนิ่งราวหุบเหว เพียงแค่การโจมตีเดียวก็ทำให้เขารู้ว่านี่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
“ฮ่าๆ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าพูดเช่นนี้กับข้า! ก่อนฆ่าเจ้าตาย ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ใคร่ครวญเรื่องเป็นข้ารับใช้อีกครั้งหนึ่ง!”
จินเซี่ยวหมิงหัวเราะร่า ผมทองทั้งศีรษะปลิวสยาย ก้าวย่างมาข้างหน้าพลางเปิดฉากสังหารเด็ดขาด
นี่เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ไอสังหารหนักแน่นผู้หนึ่ง ฝีมือก็แข็งกร้าวอหังการ
ตูม!
เป็นการโจมตีอีกครั้ง ทั้งสองแยกออกจากกัน แต่ห้วงอากาศบริเวณนี้กลับระเบิดแหลก ผืนพสุธาสั่นสะเทือนรุนแรง หินทรายปลิวว่อน
“หึ ถ้ากล้าก็เข้ามาสู้สักตั้งสิ!” ทันใดนั้นจินเซี่ยวหมิงโผขึ้นไปในห้วงอากาศไปอยู่ใต้เวิ้งฟ้า ก่อนหน้านี้อยู่ที่เขาวิญญาณพันกระแส ทำให้เขาสำแดงวิชาไม่ออก
“ทำไมจะไม่กล้า”
หลินสวินทะยานขึ้นไปในเวิ้งฟ้า เงาร่างราวเทพมารมาเยือนโลก สำแดงนัยเร้นลับแห่งเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ บดขยี้ชั้นเมฆบริเวณใกล้เคียง ห้วงอากาศระเบิดออก
ส่วนความสามารถของจินเซี่ยวหมิงก็ดุร้ายหาใดเทียบเช่นกัน ยามยกมือวาดเท้าแสงสีเขียวเทียมฟ้า เสียงมรรคดังลั่น สั่นสะเทือนจักรวาล
ชั่วพริบตาเหนือเวิ้งฟ้านั้นเต็มไปด้วยแสงเทพโชติช่วง ทำให้ห้วงอากาศบิดเบี้ยว ประหนึ่งเทพสององค์โรมรัน รูปการณ์น่าตื่นตะลึง
ไม่เพียงทุกคนบนเขาวิญญาณพันกระแสที่จับจ้องอยู่ ที่ตีนเขาเวลานี้ก็มีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตระหนกตกใจ พากันทอดสายตามองไปยังเวิ้งฟ้า
“น่าพรั่นพรึง!”
“เป็นเทพมารหลินจริงๆ ด้วย ผ่านไปสองเดือนในที่สุดเขาก็ปรากฏตัว!”
“คู่ต่อสู้ของเขาเป็นใครกัน ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้”
“จินเซี่ยวหมิงจากเผ่างูราชันทองคำ!”
“อะไรนะ สัตว์ประหลาดยุคโบราณผู้หนึ่งหรือนี่”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสายอื้ออึงขึ้นโดยสมบูรณ์
เหนือเวิ้งฟ้าทั้งสองคนห้ำหั่นประจัญบานกันกลางอากาศ แสงประกายแผ่พุ่งประหนึ่งภูเขาไฟลูกแล้วลูกเล่าปะทุบนเวิ้งฟ้า ทัศนียภาพลุกโชนรุนแรงเช่นนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
นอกจากนี้ยังมีแสงเทพหลากสีสาดกระเซ็นราวฝนดาวตก แผดเผาห้วงอากาศ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนัก
นี่เป็นการช่วงชิงความเป็นหนึ่งของยอดมกุฎ!
เป็นการประลองใหญ่แห่งยุคของบุคคลขอบเขตมกุฎในปัจจุบัน!
“ที่ผ่านมาสัตว์ประหลาดยุคโบราณกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอย่างโดดเด่น ยากนักที่จะมีคนแพ้ กดข่มจนเหล่าผู้กล้ายุคปัจจุบันแทบเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้ คราวนี้เทพมารหลินจะสามารถทำลายทุกอย่างนี้ แล้วเอาชนะศึกนี้ได้หรือไม่”
“ข้าหวังให้เขาชนะ!”
“แต่ว่า… พูดยากจริงๆ นะ”
การต่อสู้นี้ไม่นานก็ดึงดูดสายตานับหมื่น ต่างจับจ้องอย่างใกล้ชิด
โครม!
แสงเทพสายหนึ่งกระเซ็นลงมาที่พื้น เผาทำลายผืนดิน ทำให้พื้นที่ในรัศมีร้อยจั้งแปรสภาพเป็นเถ้าธุลี จินตนาการได้เลยว่าพลังที่สำแดงออกมาในการต่อสู้นี้จะน่ากลัวปานไหน
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าอายุเท่านี้จะเหยียบย่างมกุฎมรรคาในระดับบรรลุสูงสุดแล้ว ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ”
เหนือเวิ้งฟ้า จินเซี่ยวหมิงออกจะอัศจรรย์ใจ ในใจหวาดหวั่น
“เรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึงยังมีอีกเยอะ อย่าคิดว่าเก็บตัวเงียบมาช่วงเวลาหนึ่งก็ดูเบาผู้คนในใต้หล้าได้ วันนี้หากทำให้ข้าพอใจไม่ได้ก็รอถูกสังหารเถอะ!”
หลินสวินกลับไม่พอใจอยู่บ้าง กำลังนิ่วหน้า จินเซี่ยวหมิงผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งชัดๆ แต่หลังจากหยั่งเชิงกลับพบว่าไม่ได้น่ากลัวมากเหมือนที่ตนคาดไว้
“รนหาที่ตายหรือ ข้าจะสงเคราะห์ให้!”
ไอชั่วร้ายน่าตกตะลึงแผ่พุ่งออกมาจากตัวจินเซี่ยวหมิง โคจรมรรคและวิชาในตัว เงาร่างราวสายฟ้า กวาดล้างสิ้นซาก แข็งกร้าวถึงที่สุด
ความจริงแล้วในใจเขายังตกใจนัก
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินกิตติศัพท์และผลงานการต่อสู้ของหลินสวินมาก่อน เดิมคิดว่าเป็นเพียงคนหนุ่มที่ได้อันดับหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ยังไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ ไม่ได้มีอำนาจคุกคามอะไรมากนัก
ใครจะคิดว่าพลังต่อสู้ที่หลินสวินระเบิดออกมากลับเหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิง!
โครม!
เหนือเวิ้งฟ้า สถานการณ์การต่อสู้ยิ่งน่าตกใจ ที่นั่นพายุสายฟ้าปั่นป่วน ปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นถี่รัว เผยการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ดุเดือดหาใดเทียบ
แสงเทพและแสงมรรคไร้สิ้นสุดปะทะกันในนั้น พลังต่อสู้ที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานทุกขนานถูกสำแดงออกมา ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตะลึงพรึงเพริดเพราะพวกเขา
แม้แต่เหล่าผู้ฝึกปราณบนภูเขาล้วนอึ้งงันอยู่เช่นนั้น
พวกเขาก็ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับสองคนที่ต่อสู้ดุเดือดเหนือเวิ้งฟ้า กลับต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ปัง!
ไม่นานนักหลินสวินพลันปล่อยพลังหมัดออกไป แสงประกายโชติช่วง ชั่วพริบตาก็ซัดจินเซี่ยวหมิงที่พุ่งจู่โจมเข้ามาให้กระเด็นออกไป ร่างเขาโซซัดโซเซ เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็พูดอย่างไม่ชอบใจว่า “เจ้ามีความสามารถเท่านี้หรือ ยังเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณหรือไม่!?”
เมื่อได้ยินวาจานี้ทุกคนก็ตื่นตระหนกจนแทบกัดลิ้นตนเอง นี่เทพมารหลินกำลังแสดงความไม่พอใจ รังเกียจที่คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปหรือ
ตอนที่ 1119 กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณ
เทพมารหลินเขา…
ก่อความวุ่นวายได้อย่างห้าวหาญจริงๆ!
เพียงประโยคเดียวทำให้สภาพจิตใจของทุกคนในที่นั้นปั่นป่วน สีหน้าเจือด้วยความสั่นสะท้านและเลื่อมใส
ในอดีตหลินสวินก็มีชื่อด้านความกล้าหาญเกินใคร โอหังไม่หวั่นกลัว ก่อให้เกิดคลื่นลมซัดสาดในแดนฐิติประจิมและแดนชัยบูรพาไม่รู้กี่ครั้ง ได้รับการขนานนามให้เป็น ‘เทพมาร’
เพียงแต่ช่วงไม่นานมานี้ ฟ้าดินแห่งนี้เหมือนกลายเป็นเวทีให้ปีศาจยุคโบราณจากทั่วสารทิศสำแดงความล้ำเลิศนำหน้า เผยอานุภาพอัศจรรย์
ใครจะคิดได้ว่ายามประลองกับจินเซี่ยวหมิงในวันนี้ เขากลับสง่างามยิ่งกว่าแต่ก่อน ทั้งยังรังเกียจที่อีกฝ่ายอ่อนแอเกินไปด้วย…
“เฮ้อ ความโดดเด่นถูกเขาชิงไปเสียแล้ว” เจ้าคางคกบ่นกระปอดกระแปด
อาหลู่ตบไหล่เขา เอ่ยปลอบใจว่า “อย่างไรเขาก็เป็นพี่ใหญ่ พวกเราจะไปชิงความโดดเด่นของเขาได้อย่างไร”
“หลินสวิน เจ้ามันสมควรตายจริงๆ!”
จินเซี่ยวหมิงตะคอกอย่างเย็นชา โกรธจนไอสังหารทั้งร่างพุ่งทะลุเมฆา แสงเขียวคับฟ้าปกคลุมทุกแห่งหน ตั้งแต่ปรากฏตัวบนโลกคราวนี้ เขาเคยถูกผู้อื่นเหยียดหยามขนาดนี้เสียที่ไหน
ทั้งยังถูกรังเกียจว่าอ่อนแอเกินไป นี่ทำให้เขาโกรธจนแทบคลุ้มคลั่ง
ตูม!
เหนือเวิ้งฟ้าจินเซี่ยวหมิงเรียกกระบี่ศึกกว้างเล่มหนึ่งออกมา ลายมรรคสีทองหลั่งไหล ตระการตาหาใดเทียบ พุ่งกวาดพิฆาต พลานุภาพยิ่งดูน่าตื่นตะลึง ดุร้ายยิ่งนัก
ปึง!
พลังหมัดของหลินสวินดิบเถื่อนตรงไปตรงมา สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไม่มีสิ่งใดไม่อาจทำลาย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมอย่างไรก็ล้วนถูกเขาใช้พลังหมดบดขยี้ให้แหลกสลายทั้งสิ้น
“ข้าสงสัยนักว่าเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณหรือไม่กันแน่ ทำไมถึงอ่อนแอปานนี้” หลินสวินนิ่วหน้า ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขายังนึกว่าหาคู่ตัวสู้ตัวฉกาจผู้หนึ่งเจอแล้ว หมายจะถือโอกาสนี้มาคาดคะเนรากฐานพลังของสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้น
นี่ทำให้หลินสวินผิดหวังอยู่บ้างจริงๆ ไม่ใช่การจงใจเหยียดหยามหรือเยาะเย้ยอีกฝ่าย
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
จินเซี่ยวหมิงสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมคล้ำเขียวถึงที่สุด โกรธจนปอดแทบระเบิด เขามีฐานะเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎของเผ่างูราชันทองคำ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาก็ทะลวงระดับบรรลุสูงสุดของมรรคา มีพลังมากพอให้ภูมิใจในตนเอง
ใครจะคิดว่าคราวนี้กลับถูกหลินสวินฉีกหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ นี่ทำให้เขาไม่หงุดหงิดได้หรือ
ตูม!
ฉับพลันทันใดเหนือเวิ้งฟ้าปรากฏประกายกระบี่คมหนาแน่นหาใดเทียบ แต่ละสายล้วนคมกริบไร้เทียมทาน มีมากมายนับหมื่นพันแผ่ขยายไปในห้วงอากาศ ส่งเสียงเคร้งๆ ประหนึ่งธารกระบี่สายใหญ่!
นี่เป็นกระบวนท่าสังหารของจินเซี่ยวหมิง เจตกระบี่ราวสายธาร คมกระบี่ราวสมุทร!
คมกระบี่ทุกสายประหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ทรงพลังผู้หนึ่ง คมกระบี่นับหมื่นนับพันสายปรากฏขึ้นราวกองทัพผู้ฝึกกระบี่ทัพหนึ่ง สภาพการณ์น่าหวาดหวั่น
ในที่สุดหลินสวินก็รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตราย แต่ไม่ตระหนกกลับยินดี
เขาส่งเสียงเบาๆ ครั้งหนึ่ง โคจรพลังทั่วร่าง ชั่วพริบตาก็กระแทกพลังหมัดนับร้อยพันออกมาอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งมังกรกล้าตัวแล้วตัวเล่าทะยานฟ้า กระหวัดตัวกลางอากาศ เบียดตัวแน่นไปทั้งฟ้าดิน!
ปังๆๆ!
คมประบี่แผ่พุ่ง พลังหมัดกึกก้อง ปะทะกันกลางอากาศ ภาพการณ์พลันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา ทำให้ในบริเวณนี้เต็มไปด้วยความปั่นป่วน
คมกระบี่บางส่วนถูกสกัดขวาง แต่ยังอีกส่วนกรีดทึ้งห้วงอากาศ พุ่งสังหารไปทางหลินสวิน
รอบกายหลินสวินปรากฎอักษรเคราะห์อันอัศจรรย์และคลุมเครือซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างกันเก้าตัว ลอยวนเวียนในห้วงอากาศ สลายและคลี่คลายคมกระบี่พวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
ฟุ่บๆๆ!
ยังมีคมกระบี่บางส่วนแทงไปที่อื่น แสงเขียวถาโถมทันใด ทำให้พื้นดินหลอมละลาย ภูผาพงไพรยุบตัว เกิดกลิ่นอายทำลายล้างน่าหวาดหวั่น
“ฆ่า!”
จินเซี่ยวหมิงยิ่งดุร้าย พุ่งเข้าไปในห้วงอากาศ เจตกระบี่เทลงมาราวภูผาถล่มทะเลหวีดร้อง ท่วงท่าเหี้ยมหาญหาใดเทียบเช่นนั้นทำให้หลายคนต่างใจสั่นระรัวไม่ว่างเว้น
แต่ไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไร รอบกายหลินสวินมีอักษรเคราะห์ปรากฏขึ้น ประหนึ่งหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย!
หนำซ้ำพลังหมัดที่เขาโคจร ทุกการโจมตีล้วนหนักหน่วงทรงพลัง แข็งแกร่งเกินต้านทาน ทำให้จินเซี่ยวหมิงถูกขวางอยู่ตลอด ไม่อาจเข้าใกล้ได้ อัดอั้นจนแทบคลุ้มคลั่ง
ตูม!
ทันใดนั้นจินเซี่ยวหมิงแปลงร่างเป็นงูยักษ์ทองคำตัวหนึ่ง ร่างยาวถึงพันจั้งปกคลุมด้วยเกล็ดงูสีทองเจิดจรัส ศีรษะมีเขามังกรงอก ดวงตามรกต ยามอ้าปากเหมือนสามารถกลืนกินสุริยันจันทราได้!
อานุภาพดุดันน่ากลัวหาใดเทียบก็อบอวลออกมาด้วย มองดูจากไกลๆ ช่างเหมือนเจินหลงสีทองตัวหนึ่ง ทำให้ทุกคนเกิดความหวาดหวั่น
โครม!
งูยักษ์สีทองสะบัดหาง ประหนึ่งฟ้าถล่มผืนดินแตกแยก ร่างกายเกี่ยวกระหวัดราวดวงอาทิตย์สีทอง แสงเทพไร้ที่สิ้นสุดระเบิดออกมา กลิ่นอายน่าครั่นคร้าม
“สวรรค์! ถึงกับบีบให้จินเซี่ยวหมิงผู้นี้เผยร่างจริง!”
“งูราชันทองคำ นี่เป็นถึงเผ่าเก่าแก่น่ากลัวเผ่าหนึ่ง ในยุคบรรพกาลจัดอยู่ในหมู่ร้อยปีศาจใต้หล้า อ้าปากสามารถกลืนกินสมุทรธารา พลิกกายสามารถกดข่มภูผานที!”
ทั้งที่นั้นสั่นสะท้าน ไม่อาจสงบลงได้แล้ว
หลินสวินไม่กลัว ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งและโคจรพลังเจินหลง ระหว่างนั้นเขาเหมือนแปลงกายเป็นเจินหลงตัวหนึ่ง ชูคอในห้วงอากาศ อานุภาพมังกรอบอวลสั่นสะท้านโลกหล้า
ครืน!
แสงเทพแผ่พุ่งระหว่างทั้งสองคน ราวมังกรและงูขู่ฟ่อ พลังต่อสู้ปะทะกัน ห้ำหั่นจนฟ้าดินมืดหม่น สุริยันจันทราอับแสง
เกล็ดงูบางแผ่นหล่นลงมาเป็นระยะ เจือแสงมรกต และยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ถูกซัดสะเทือนจนถอยหลังไปบ้างเช่นกัน
นี่ทำให้เขาเคร่งครัดขึ้น สมกับเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎชั้นสูงสุด แม้จินเซี่ยวหมิงจะเย่อหยิ่งจองหองหาใดเทียบ แต่พลังต่อสู้ก็ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
แต่ว่า ก็แค่เท่านี้!
เมื่อหลินสวินโคจรทั้งโทสะหยาจื้อและวิชาอริยะยุทธ์ เสริมด้วยนัยเร้นลับแห่งเจินหลง สำแดงมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ไม่นานก็เผยอานุภาพกดกำราบ
ปึง! ปึง! ปึง!
พลังหมัดสายแล้วสายเล่าเหมือนเจินหลงโจนทะยาน ทำลายสิ่งกีดขวางทั้งปวง กระแทกใส่ร่างงูราชันทองคำนั้นอย่างจัง เล่นงานจนร่างของมันสั่นคลอนบ้าคลั่ง บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา
ในขณะเดียวกันเกล็ดสีทองก็ปริแตก เริ่มหลุดลอกออกมา ทั้งยังติดเลือดเนื้อมาด้วย
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“เทียบกับความสามารถในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เทพมารหลินเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงเหมือนถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก!”
“หนึ่งปีที่ปิดด่านในแดนลับไร้มรณะ ต้องทำให้เทพมารหลินได้ประโยชน์มาไม่น้อย”
เวลานี้ทั้งบนล่างของภูเขาล้วนเต็มไปด้วยเสียงชื่นชมและทอดถอนใจ
จินเซี่ยวหมิงสะดุดตามาก สมเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่เทพมารหลินน่ากลัวยิ่งกว่า กดข่มจนอีกฝ่ายถูกขัดขวางอยู่ตลอด!
“ตายซะ!”
ทันใดนั้นจินเซี่ยวหมิงส่งเสียงคำราม ปากพ่นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกมา
หลินสวินตกใจ เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นพลังป้องกันตัวของเขาก็ถูกทำลาย หากไม่ใช่เคลื่อนไหวออกมาได้ทันเวลาก็เกือบโดนโจมตีแล้ว
“เพลิงมรกตงูสวรรค์!”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด นี่คือเพลิงเทพที่เผด็จการร้ายกาจอย่างที่สุดชนิดหนึ่ง เป็นพลังอภินิหารพรสวรรค์ของเผ่างูราชันทองคำ ถ้าถูกโจมตี จะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงที่สุด
พรึบ!
ต่อมายามหลินสวินต่อสู้ เขาจับเพลิงมรกตงูสวรรค์กลุ่มหนึ่งเอาไว้ ในสถานการณ์ที่ไม่ได้สำแดงพลังมรรคดับดารากลืนกิน ทำให้ผิวหนังของเขากร่อนเป็นโพรง เลือดเนื้อไหม้ดำ
“ไอ้โง่ พลังระดับนี้เจ้าหลอมได้ที่ไหน” จินเซี่ยวหมิงส่งเสียงดูถูก เห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจกับเพลิงมรกตงูสวรรค์มาก
แต่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นเขาก็ตาเบิกกว้าง มองเห็นว่าโพรงบนผิวหนังของหลินสวินคืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตา!
นี่…
จินเซี่ยวหมิงแทบไม่กล้าเชื่อ
และนี่ ก็คือจุดแข็งของมรรคไร้มรณะ!
ตูม!
ในขณะเดียวกันหลินสวินพุ่งขึ้นสู่เมฆา ประหนึ่งอรหันต์สยบมังกรพิชิตพยัคฆ์ แสงมรรคทั่วตัวส่งเสียงโครมคราม ต่อยหมัดเตะเท้า กำราบร่างยาวพันจั้งของงูราชันทองคำโดยสมบูรณ์ เลือดเนื้อสาดกระเซ็น เกล็ดงูร่วงผล็อยราวสายฝน
จินเซี่ยวหมิงเจ็บปวดคำรามเดือดดาล ดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย
หลินสวินดูออกแล้วว่าจินเซี่ยวหมิงได้ใช้พลังถึงขีดสุดจนหมดแล้ว ถ่วงเวลาต่อไปก็ไม่มีความหมายเท่าไร ดังนั้นจึงไม่ปรานีอีก
ต่อมาจินเซี่ยวหมิงแปลงร่างเป็นมนุษย์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ถือกระบี่ศึกเข้าประจัญบาน แต่ยังไร้ประโยชน์ดังเดิม ถูกหลินสวินกดข่มโดยสมบูรณ์ อาการบาดเจ็บบนร่างยิ่งรุนแรง เลือดเนื้อแหลกเละ
และเมื่อมาถึงตอนนี้ ทุกคนถึงรู้ว่าเทพมารหลินในตอนนี้น่ากลัวขนาดไหน ก่อนที่หลายคนจะมาที่นี่ต่างเคยได้ยินเพียงชื่อเสียงของเขาเท่านั้น ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง
ดังนั้นเวลานี้ถึงสะท้านใจเป็นพิเศษ
ควรรู้ว่าจินเซี่ยวหมิงผู้นั้นเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณ ชื่อเสียงอื้อฉาว ก่อนหน้านี้เอาชนะบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบันมาแล้วมากมาย มีพลังยอดเยี่ยมหาคู่ต่อสู้ได้ยาก
แต่ด้วยภายใต้น้ำมือหลินสวิน นั่นไม่เหมือนต่อกรกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณเลย กลับเหมือนกำราบงูยักษ์ตัวหนึ่งจริงๆ ง่ายดายเกินไปแล้ว ทำให้ทุกคนล้วนตื่นตระหนก
“สมเป็นเทพมารหลิน ช่วงที่เก็บตัวนี้เห็นได้ชัดว่าพลังต่อสู้เทียบกันเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ในหมู่ยอดมกุฎในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นเอกอุ!”
ฉีชงโต้วทอดถอนใจ เขาพาตัวเองขึ้นไปบนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ด้วยกันกับหลินสวิน เพียงแต่ดูท่าตอนนี้ หลินสวินได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตกใจอีกครั้งในเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกไล่ตามไม่ทัน
หากเปลี่ยนเป็นเขาคงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของจินเซี่ยวหมิงผู้นี้ได้!
ตอนนี้ผู้ฝึกปราณคนอื่นก็เหมือนกับฉีชงโต้ว ตื่นเต้นอย่างยิ่ง พร่ำพูดทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ ความเร็วในการเติบโตของเทพมารหลินรวดเร็วเกินไปแล้ว เทียบกับเขาก็รังแต่จะกระทบกระเทือนจิตใจ
เหนือเวิ้งฟ้าร่างของจินเซี่ยวหมิงเลือดเนื้อเหวอะหวะ กระดูกหักเป็นท่อน แต่ยังดุดันไม่เปลี่ยน ดูแกร่งกล้าผิดธรรมดา
ปึง!
เมื่อถูกหลินสวินโจมตีอีกครั้ง เขาพลันส่งเสียงคำรามยาว เกี้ยวสมบัติกระพรวนทองทั้งคันทะยานขึ้นกลางอากาศ ภาพเทพมารร้อยปีศาจปรากฏขึ้นจากบนนั้น รุ้งเจ็ดสีแผ่พุ่ง
เงาร่างจินเซี่ยวหมิงพริบไหวพุ่งเข้าไปภายในเกี้ยวสมบัติ หมายจะหลบหนีไปไกลให้เร็วที่สุด
แต่กลับเห็นว่าหลินสวินยื่นมือออกไป เจดีย์สมบัติไร้อักษรก็ปรากฏขึ้น แสงมรรคทองนิลกาฬกวาดเบาๆ คราหนึ่ง เกี้ยวสมบัติกระพรวนทองนั้นก็ส่งเสียงดังลั่น ถูกกดข่มลง จากนั้นปรากฏการณ์ประหลาดทั้งมวลก็หายไป
ที่ตามมาติดๆ ก็คือจินเซี่ยวหมิงตกลงมาจากในเกี้ยวสมบัตินั้น ถูกหลินสวินที่กระโจนเข้ามาคว้าแขนเสื้อไว้ กักขังได้โดยสิ้นเชิง
จินเซี่ยวหมิงหวาดผวาโดยสมบูรณ์ เกี้ยวสมบัติกระพรวนทองหลังนี้เป็นถึงสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง ถือเป็นสมบัติของเผ่างูราชันทองคำ อานุภาพเหลือคณา แต่ตอนนี้กลับถูกกำราบเสียแล้ว
จินเซี่ยวหมิงตระหนกจนตาแทบหลุดจากเบ้า เหงื่อกาฬไหลอาบไปทั้งตัว สติแตกไปหมดแล้ว เทพมารหลินผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง
ตุ้บ!
จากนั้นเขาก็ถูกโยนลงที่ไหล่เขาวิญญาณพันกระแส นอนนิ่งเช่นนั้นไม่อาจขยับได้ กระดูกทั้งร่างแตกหัก เลือดสดๆ ย้อมไปทั้งตัว
ตอนนี้ในใจทุกคนล้วนพรั่นพรึง แววตาเหม่อลอย ความแข็งแกร่งของเทพมารหลินทำให้พวกเขาสะเทือนใจอีกครั้ง
ผลงานการต่อสู้เช่นนี้ ฝีมือเช่นนี้ สลัดรุ่นเดียวกันทิ้งไปไกลลิบ เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า!
บางทีคงมีเพียงบุคคลอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว ถึงสามารถเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาได้
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ที่ตีนเขา พวกผู้ฝึกปราณว้าวุ่นและฮือฮาไม่ว่างเว้น
หลินสวินเก็บตัวเงียบมาหลายเดือน แต่ทันทีที่เผยตัวก็กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง ผลงานเช่นนี้เพียงพอจะทำให้เป็นที่สะดุดตาในปัจจุบัน พาให้ใต้หล้าสะท้านสะเทือน!
ตอนที่ 1120 ร่างต้นมาโจมตี
ระยะนี้สัตว์ประหลาดยุคโบราณปรากฏตัวอย่างสะดุดตาไม่ขาดสาย เยื้องย่างในโลก ต่างสง่างามล้ำเลิศเหนือใคร ความโดดเด่นบดบังเหล่าผู้กล้าในปัจจุบันโดยสมบูรณ์
กระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครเอาชนะสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้ ถึงกับพูดได้ว่าแทบถูกลิขิตให้ต้องถูกกำราบ!
แต่วันนี้เทพมารหลินที่เก็บตัวเงียบมาสองเดือนปรากฏตัวอีกครั้งอย่างโดดเด่น กำราบจินเซี่ยวหมิง สัตว์ประหลาดยุคโบราณจากเผ่างูราชันทองคำอย่างราบคาบ เรื่องนี้มีความหมายไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
หากแพร่ออกไปเทพมารหลินต้องได้รับเกียรติยศในฐานะที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้เป็นคนแรก ทำให้ใต้หล้าจับจ้องแน่!
ทั้งบนล่างของภูเขาตอนนี้ต่างสะท้านไหวไม่อาจสงบใจได้ ทุกสายตาที่มองไปยังหลินสวินมีความเคารพเจือด้วยความยำเกรง
จินเซี่ยวหมิงซึ่งเย่อหยิ่งจองหองถึงที่สุดถูกกำราบ สามารทำให้ไม่ว่าใครก็ต้องส่งเสียงร้องชื่นชม
“เฮ้อ โดนแย่งความโดดเด่นไปหมดแล้ว” เจ้าคางคกถอนใจยาว ท่าทางหดหู่
อาหลู่ตบไหล่เขา ดูเห็นอกเห็นใจยิ่งพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร ภายหน้ายังมีโอกาสอีกเยอะ”
เวลานี้จินเซี่ยวหมิงถูกคุมตัวไว้ เลือดอาบไปทั้งตัว บาดแผลมากมาย นอนแผ่อยู่บนพื้น
เพียงแต่สีหน้าเขาไม่มีความหวาดกลัว โกรธเคืองหรือไม่ยินยอม กลับเย็นชาและสุขุมผิดธรรมดา
“ข้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ดูเบาเจ้าไป แต่นี่ก็เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของข้าเท่านั้น หากร่างต้นของข้ามา ใครจะแพ้ใครจะชนะคงพูดยาก” จินเซี่ยวหมิงพูดเสียงเหี้ยม
ร่างแยก!
เมื่อพูดคำนี้ออกมาทั่วทั้งลานต่างตื่นตระหนก พวกฉีชงโต้วล้วนฉงนสงสัยอยู่บ้าง
ร่างแยกร่างหนึ่งยังแข็งแกร่งปานนี้หรือ
หากที่จินเซี่ยวหมิงพูดเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นก็น่าตกใจแล้ว!
หลินสวินกลับมีท่าทางเหมือนตระหนักได้โดยพลัน เอ่ยว่า “มิน่าถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ แต่ร่างแยกยังอ่อนแอขนาดนี้ ข้าว่าร่างต้นก็คงไม่แข็งแกร่งอะไร”
เขาพูดออกมาอย่างผ่อนคลาย แต่เมื่อถึงหูทุกคนกลับเป็นคนละเรื่อง ต่างรู้สึกได้ถึงความแข็งกร้าวและอหังการอันไร้รูปร่าง!
ด้านจินเซี่ยวหมิงกลับโกรธจนแทบกระอักเลือด เดิมเขาคิดว่าหลินสวินจะหวาดกลัว ไหนเลยจะคาดว่าเจ้าหมอนี่กลับตอบสนองเช่นนี้
ยังมองเขาว่าอ่อนแอเกินไปดังเดิม ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา!
นี่เป็นการดูแคลนพลังต่อสู้ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งตรงไปตรงมาและหยาบกระด้าง!
“ได้ยินว่าเนื้องูก็เป็นยาบำรุง สามารถนำมาเคี่ยวเป็นน้ำแกงงูได้ เป็นหนึ่งในอาหารเลิศรสของโลก ไม่เลวจริงๆ”
หลินสวินประเมินจินเซี่ยวหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนกำลังประเมินวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศชิ้นหนึ่ง
จินเซี่ยวหมิงพลันขนลุกเกรียว นัยน์ตามรกตทั้งคู่พลันหดรัดลง ไม่อาจสงบนิ่งได้โดยสิ้นเชิงแล้ว เจ้าหมอนี่…
เจ้าหมอนี่คิดจะกินเขาหรือ!?
จินเซี่ยวหมิงอึ้งงันอยู่บ้าง เขาเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่ตอนนี้กลับถูกมองว่าเป็นวัตถุดิบอาหาร นี่กระทบกระเทือนความภาคภูมิของเขามากเกินไปแล้ว
คนอื่นๆ ก็สีหน้าแปลกไปเช่นกัน ข่าวที่ลือมาเป็นจริงดังคาด เทพมารหลินไม่เพียงใจกล้าสะท้านฟ้า แม้แต่ความอยากอาหารก็แก่กล้าผิดขนบ!
นี่คือคิดจะกินร่างแยกของสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งเชียวนะ!
หากแพร่งพรายออกไปใครจะเชื่อได้กัน
“เจ้าอย่าทำอะไรโง่ๆ จะดีที่สุด ขอเพียงเกิดเรื่องไม่คาดฝันสักนิดเดียวกับร่างแยกของข้า ร่างต้นก็จะจู่โจมมาทันที!” จินเซี่ยวหมิงสีหน้าเขียวคล้ำ น้ำเสียงเจือการข่มขู่
“ร่างต้นก็มาหรือ เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก จะได้เอาร่างต้นกับร่างแยกมาตุ๋นหม้อเดียวกันพอดีเลย” หลินสวินพูดอย่างสบายนัก
“เจ้า…” จินเซี่ยวหมิงแทบทรุดทลาย เขาเพิ่งเคยเห็นคนที่ยึดมั่นแข็งกร้าวจนเลอะเลือนเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เขาสูดหายใจลึก พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าควรรู้ว่าถ้าล่วงเกินข้าก็เท่ากับล่วงเกินกับเผ่างูราชันทองคำไปด้วย อีกทั้งสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนที่ข้าเคยร่วมสาบานด้วยก็ย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
“หนวกหู!”
หลินสวินตบเขาจนกระอักเลือด ฟันร่วงลงมาหลายซี่ “ไม่ว่าเป็นใคร และไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนไหน ก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นหวาดหวั่น นี่เทพมารหลินกำลังประกาศศึกใช่ไหม
ผู้คนในโลกรอคอยมานานมากแล้ว ทุกคนต่างรอคอยให้บุคคลแห่งยุคอย่างอวิ๋นชิ่งป๋ หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิวและหลินสวินออกโรงโจมตี!
เพราะช่วงนี้สัตว์ประหลาดยุคโบราณต่างท่องโลก แทบกวาดล้างเหล่าผู้กล้ายุคปัจจุบัน นี่ทำให้คนรุ่นเยาว์ต่างเชิดหน้าไม่ขึ้น ในใจสั่งสมความไม่ยินยอม
หลายคนต่างตั้งหน้าตั้งตาคอย คอยให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณประสบความพ่ายแพ้!
“หลินสวิน เจ้าคงไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดยุคโบราณ รากฐานพลังของคนอย่างพวกเราเกินกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้ เหนือกว่ายุคปัจจุบันไปไกล บุคคลขอบเขตมกุฎที่เหยียบย่างเข้าสู่ระดับบรรลุสูงสุดมีนับไม่ถ้วน กระทั่งยังมีบุตรเทพและครรภ์วิญญาณที่มีพรสวรรค์หลายคน!”
จินเซี่ยวหมิงน้ำเสียงอึมครึม “เจ้าเลือกเป็นศัตรูกับพวกเรา เกรงว่าผลลัพธ์จะไม่ใช่สิ่งที่เจ้ารับไหว!”
หลินสวินยิ้มหยัน “อย่างเจ้าก็คิดจะเป็นตัวแทนของสัตว์ประหลาดยุคโบราณในใต้หล้าหรือ เจ้าหุบปากจะดีที่สุด ขู่ข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้ายั่วให้ข้าหงุดหงิดแล้ว ข้าก็ไม่ถือสาที่จะเอาเจ้าไปตุ๋นหรอกนะ”
จินเซี่ยวหมิงสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เขารู้สึกได้ว่าแม้วาจาหลินสวินจะเรื่อยเปื่อย แต่เขาต้องกล้าทำเช่นนี้แน่!
ความจริงแล้วถ้อยคำที่จินเซี่ยวหมิงพูดไปก่อนหน้านี้นั้นยังก่อให้เกิดคลื่นระลอกใหญ่ ทำให้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นล้วนจิตใจสั่นสะท้าน
บุคคลขอบเขตมกุฎที่เหยียบย่างระดับบรรลุสูงสุดมีมากมายนับไม่ถ้วนหรือนี่!?
หากนี่เป็นเรื่องจริง พลังที่แท้จริงทั้งหมดของสัตว์ประหลาดยุคโบราณต้องน่าหวาดหวั่นยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าเพียงเตือนเจ้าว่ากระทั่งตอนนี้บุคคลน่ากลัวที่แท้จริงบางคนยังไม่เคยลงมือ ต่อให้เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎชั้นยอดในยุคปัจจุบันอย่างเจ้า แต่เมื่อมหายุคมาเยือนก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้”
วาจาของจินเซี่ยวหมิงสำรวมลงมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่กล้างัดข้อ แต่ในถ้อยคำยังเผยให้เห็นความข่มขู่ดังเดิม
ทว่าทำให้เขาผิดหวังเสียแล้ว เมื่อได้ยินวาจาเช่นนี้สีหน้าหลินสวินกลับเป็นปกติ ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เหมือนไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย
เจ้าหมอนี่เป็นเทพมารที่ไม่หวั่นกลัวสิ่งใดจริงๆ หรือ
จินเซี่ยวหมิงออกจะท้อใจเสียแล้ว
และเห็นเช่นนี้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นจึงแน่ใจเรื่องหนึ่งในที่สุด นั่นก็คือเทพมารหลินที่ออกจากการปิดด่านเก็บตัว ไม่กลัวสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ว่านั้นสักคนแล้ว!
กระทั่งพวกเขาถึงขั้นรู้สึกว่าหลินสวินออกจะตั้งตารอคอย อยากต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณสักตั้ง!
ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะหลินสวินจองหองหยิ่งผยอง แต่เป็นเพราะเขาบ่มเพาะความผงาดผยองเหนือศัตรู ไม่หวั่นกลัวสรรพสิ่ง มีเพียงสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองถึงที่สุดจึงเป็นเช่นนี้
หลินสวินถึงกับกล้าตัดบท ขอเพียงทำได้เท่าเขา ทุกคนก็จะไม่กลัวการต่อสู้ และไม่ถูกการข่มขู่ใดๆ ส่งผลต่อปณิธาน
อย่างหมีเหิงเจินที่รับคำท้าสู้ของสัตว์ประหลาดยุคโบราณไป๋หลงถิงเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ก็ต้องมีความกล้าแบบนี้เช่นกัน หาไม่แล้วเขาคงไม่ไปรับคำท้าเช่นนี้ในฐานะเจ้าภาพระหว่างจัดงานชุมนุมพันกระแส
ส่วนจินเซี่ยวหมิงผู้นี้ แม้เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ ว่าด้วยความกล้ากลับด้อยกว่าขั้นหนึ่ง หลังจากพ่ายแพ้ยังเอ่ยวาจาข่มขู่ หวังจะอาศัยชื่อเสียงของผู้อื่นมาทำให้เขาหวาดกลัว
นี่เพียงพอพิสูจน์ได้ว่า ในใจจินเซี่ยวหมิงคิดว่าแม้ร่างต้นมาก็เป็นไปได้มากว่าจะปราชัย!
ไม่นานนักบรรยากาศบนเขาวิญญาณพันกระแสกลับมาครึกครื้น ทุกคนใช้ชาแทนสุรา พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน กลมเกลียวกันนัก
ส่วนหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็เป็นจุดสนใจของงานชุมนุม ถูกผู้ฝึกปราณมากมายห้อมล้อม สนทนาพาที ประหนึ่งดาวล้อมเดือน
ส่วนจินเซี่ยวหมิงที่ถูกกักตัวไว้กับพื้นก็ถูกเมินไปทั้งอย่างนั้น
“ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมสหายยุทธ์หมีเหิงเจินยังไม่กลับมา คงไม่ใช่ว่า…”
มีคนเอ่ยปาก วิตกกังวลนัก
หมีเหิงเจินเป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมครั้งนี้ แต่ตอนนี้เขาไปประลองกับไป๋หลงถิงและยังไม่กลับมา นี่จะให้ทุกคนไม่กังวลได้อย่างไร
“ร่างต้นของเจ้าล่ะ ทำไมถึงยังไม่มาสักที ข้ายังรอจับพวกเจ้าไปตุ๋นหม้อเดียวกันนะ” หลินสวินทอดสายตามองจินเซี่ยวหมิง
จินเซี่ยวหมิงสีหน้าเหยเกถึงที่สุด ส่งเสียงหึหยันแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ ร่างต้นข้าก็อยู่ที่เนินสิบลี้ กำลังดูการประลองระหว่างหมีเหิงเจินกับไป๋หลงถิงอยู่ ถ้าเจ้ากล้าจริงจะไปเองก็ได้!”
เนินสิบลี้!
นี่เป็นสถานที่ประลองของหมีเหิงเจินกับไป๋หลงถิงจริงๆ เพียงแต่ผู้ฝึกปราณในงานชุมนุมต่างคิดไม่ถึงว่าร่างต้นของจินเซี่ยวหมิงจะอยู่ที่เนินสิบลี้เสียได้!
เห็นได้ชัดว่าร่างแยกของเขามายังเขาวิญญาณพันกระแสคราวนี้ ก็เพราะแน่ใจอยู่ก่อนแล้วว่าหมีเหิงเจินไม่อยู่ ถึงได้กล้ามาหาเรื่องอย่างไม่หวั่นเกรง
“เนินสิบลี้อยู่ที่ไหน” หลินสวินถามฉีชงโต้ว
“ห่างจากที่นี่ไปหนึ่งหมื่นหกพันลี้” ฉีชงโต้วพูดถึงตรงนี้พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยว่า “พี่หลินนี่เจ้าจะไปหรือ”
“ไปดูหน่อยก็ดี”
หลินสวินตัดสินใจแล้ว หมีเหิงเจินเป็นหนึ่งในบุคคลขอบเขตมกุฎที่โดดเด่นที่สุดในปัจจุบัน กิตติศัพท์สะเทือนแปดทิศ
ส่วนไป๋หลงถิงผู้นั้นก็เป็นคที่นเจิดจรัสยิ่งในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ การประลองระหว่างทั้งสองดึงดูดใจหลินสวินอย่างยิ่ง
เพียงแต่เมื่อหลินสวินเตรียมจะเคลื่อนไหว บนเวิ้งฟ้าไกลออกไปจู่ๆ ก็มีเรือรบเก่าแก่ลำหนึ่งพุ่งมา บนลำยานปรากฏภาพสุริยันจันทราเจือแสงสว่างเป็นประกายแผ่พุ่งไปในชั้นเมฆ ไม่นานก็เข้ามาใกล้
“เป็นเรือรบของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้า ศิษย์พี่หมีเหิงเจินกลับมาแล้ว!”
ฉีชงโต้วตาลุกวาว มีชีวิตชีวาขึ้นมา
ในขณะเดียวกันทุกคนก็เห็นว่าบนเรือรบมีเงาร่างสูงใหญ่กำยำร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ รอบกายอาบอยู่กลางรัศมีสุริยันจันทรา สง่างามเหนือผู้ใด
เมื่อมองอย่างละเอียด คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดแขนกว้างเข็มขัดใหญ่ รูปลักษณ์สง่างามหมดจด หน้าผากกว้างผุดผ่อง ท่วงท่างดงาม
มีบางคน ปราดเดียวก็ดูความไม่ธรรมดามีเอกลักษณ์ออก
เช่นหมีเหิงเจินที่ปรากฏตัวขึ้นเวลานี้!
เพียงแต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะโห่ร้องยินดี กลับเห็นว่าด้านหลังเรือรบยังมีรุ้งเทพสีเขียวสายหนึ่งแหวกห้วงอากาศเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็วน่าเหลือเชื่อ
ในขณะเดียวกันจินเซี่ยวหมิงที่ถูกกักตัวไว้กับพื้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา ความปรีดาแผ่พุ่งออกมาจากนัยน์ตาสีเขียวมรกต
และทุกคนก็ได้เห็นว่ารุ้งเทพสีเขียวสายนั้น มีชายหนุ่มที่รูปลักษณ์เหมือนกับจินเซี่ยวหมิงไม่มีผิดผู้หนึ่งขี่อยู่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นร่างต้นของจินเซี่ยวหมิง!
“สหายยุทธ์ เจ้าตามติดข้ามาตลอดทาง อยากจะประลองกับข้าสักครั้งตามไป๋หลงถิงด้วยหรือ” บนเวิ้งฟ้า เรือรบหยุดลง หมีเหิงเจินหันหลังฉับพลัน มองไปยังจินเซี่ยวหมิงที่พุ่งเข้ามา
“หึ! เจ้าคิดมากไปแล้ว ร่างแยกของข้าถูกกักอยู่บนเขาวิญญาณพันกระแส ข้ามาดูเสียหน่อยว่าเป็นอริยเทพคนใดกันแน่ที่กล้ากำราบข้า!”
ร่างต้นจินเซี่ยวหมิงร้องหึหยัน สุ้มเสียงราวอสนีบาตสะเทือนฟ้าดิน
หมีเหิงเจินอึ้งไป เหมือนประหลาดใจอยู่บ้าง เอ่ยว่า “บนเขาวิญญาณพันกระแสยังมีคนที่สามารถกำราบร่างแยกของเจ้าได้หรือนี่ เก่งกาจเช่นนี้ข้าก็อยากรู้จักเสียหน่อย”
น้ำเสียงเจือความสงสัย
ร่างต้นของจินเซี่ยวหมิงสีหน้าถมึงทึง คิดว่าคำพูดนี้ของหมีเหิงเจินแฝงอาการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ยามเอ่ยวาจา พวกเขาก็มาถึงเบื้องหน้าเขาวิญญาณพันกระแสแล้ว และตอนนี้ร่างต้นของจินเซี่ยวหมิงก็ตะคอกออกมาว่า “ใครมันรังแกร่างแยกของข้า ยังไม่เสนอหน้าออกมาอีก!”
เสียงดังกึกก้อง เผยไอสังหารคับฟ้า
ตอนที่ 1121 ลับมีดครืดคราดรอน้ำแกงงู
หมีเหิงเจินหวนกลับมา ไม่ว่าการต่อสู้ของเขากับไป๋หลงถิงจะแพ้ชนะก็ต่างทำให้คนวางใจ
แต่การมาของร่างต้นจินเซี่ยวหมิงกลับทำให้บนเขาวิญญาณพันกระแสปกคลุมด้วยเมฆสลัวชั้นหนึ่ง พาให้ในใจทุกคนต่างสั่นสะท้าน
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ทันทีที่มาถึงก็เผยไอสังหารไร้สิ้นสุด!
“ไสหัวออกมา… !”
เสียงตวาดเยียบเย็นนี้ยังสะท้อนก้อง ทำให้ฟ้าดินอลหม่าน ก้อนหินต้นไม้ปริแตก ทำให้แก้วหูผู้ฝึกปราณมากมายเกือบฉีกขาด เลือดลมตีกลับ
ร่างต้นของจินเซี่ยวหมิงยืนเฉยชาบนอากาศ ชุดโลหิต ผมทอง นัยน์ตามรกต ประดุจเทพสังหารองค์หนึ่งกำลังเหลือบแลโลกหล้าจากเบื้องบน
ความจริงทันทีที่มาถึงเขาก็ได้รับการติดต่อจากร่างแยก รับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเขาวิญญาณพันกระแสนี้แล้ว
นี่ทำให้เขาหันสายตามรกตไปยังหลินสวินทันที
ขณะเดียวกันฉีชงโต้วก็สื่อจิตเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าแก่หมีเหิงเจิน
จากนั้นหมีเหิงเจินก็มองไปยังหลินสวินเช่นกัน ในแววตาเผยความชื่นชมอย่างไม่มีปกปิด รวมถึงใคร่รู้ด้วย
เทพมารหลิน!
ชื่อนี้เขาเคยได้ยินมาหลายครั้ง และเมื่อได้พบกันยามนี้ก็ทำให้เขามีความรู้สึกว่าภายใต้ชื่อเสียงหาได้ไร้ความจริงทันที
กล้าท้าทายกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ แค่จุดนี้หมีเหิงเจินก็รู้สึกประทับใจในตัวหลินสวินแล้ว
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงแววตาที่มาจากหมีเหิงเจินและร่างต้นของจินเซี่ยวหมิง
เผชิญหน้ากับไอสังหารที่ไม่ปกปิดของร่างต้นจินเซี่ยวหมิง หลินสวินสีหน้าราบเรียบ เหลือบมองร่างแยกที่ถูกคุมตัวกับพื้นข้างๆ วูบหนึ่ง
จากนั้นเขาถึงกล่าว “หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่ฆ่าเขาเพราะไม่กล้ารึ”
ร่างแยกของจินเซี่ยวหมิงเดิมกำลังลิงโลด คิดว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลินสวินก็เย็นวาบไปทั้งตัวทันที
ขณะเดียวกันสีหน้าร่างต้นจินเซี่ยวหมิงบนเวิ้งฟ้าพลันแปรเปลี่ยน ตวาดลั่นทันใด “เจ้ากล้า!”
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือตบออกไป
ปึง!
ศีรษะของร่างแยกจินเซี่ยวหมิงถูกซัดละเอียดโดยตรง รวมถึงพลังจิตเสี้ยวหนึ่งในร่างก็ถูกกำจัดไปด้วย!
ซ่า…
ฝนโลหิตสาดพรม ผู้ฝึกปราณในที่นั้นล้วนถูกทำให้ตระหนก ดวงตาเบิกกว้างยากจะเชื่อ ถึงกับสังหารร่างแยกต่อหน้าจินเซี่ยวหมิง
วิธีการเช่นนี้ช่างเผด็จการและสะท้านใจคนเหลือเกิน!
แม้แต่หมีเหิงเจินก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ในดวงตามีความประหลาดใจและชื่นชม
แต่สีหน้าของจินเซี่ยวหมิงกลับเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูหาใดเปรียบทันที
สูญเสียร่างแยกหนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อร่างต้นเขาเท่าไรนัก แต่การที่ร่างแยกถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเช่นนี้กลับทำให้จินเซี่ยวหมิงรู้สึกถึงการยั่วยุอย่างถึงที่สุด!
ตูม!
พลานุภาพทั่วร่างเขาเปลี่ยนเป็นน่ากลัวในพริบตา ชุดโลหิตส่งเสียงสะบัด แสงเขียวเจิดจรัสแสบตาพวยพุ่งครอบคลุมตัวเขาไว้ภายใน
“เจ้านี่รนหาที่ตาย!”
จินเซี่ยวหมิงกล่าวเน้นทีละคำ ผมทองทั้งศีรษะแผ่สยาย อานุภาพชวนประหวั่นนั่นทำให้ฟ้าดินแถบนี้พลันมืดลง ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างรู้สึกหายใจลำบาก
ไม่ว่าใครก็มองออก พลานุภาพของร่างต้นจินเซี่ยวหมิงแข็งแกร่งกว่าร่างแยกของเขาอยู่มาก!
ทว่าหลินสวินกลับราวไม่รู้สึกอะไร เอ่ยสั่งราบเรียบ “เจ้าคางคก เจ้านำงูตายตัวนี้ไปชำแหละ อาหลู่เจ้าเตรียมหม้อ ประเดี๋ยวตุ๋นน้ำแกงงูราชันทองคำสักหม้อให้สหายยุทธ์ทุกคนในที่นี้ได้ลองชิม”
“ได้เลย!” เจ้าคางคกรับคำอย่างยินดี
“เชื่อมือข้าเถอะ” อาหลู่ตบอกยิงฟันกล่าว
“เจ้า เจ้า ยังมีเจ้า ต้องตายให้หมด!”
จินเซี่ยวหมิงโกรธจนแสงเขียวในดวงตาสาดฉาย สะกดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป พุ่งทะยานลงมาจากเวิ้งฟ้า ขณะโบกมือรุ้งเทพเขียวหยาบใหญ่ราวน้ำตกสายหนึ่งก็ทิ้งตัวลง
ตูม!
ห้วงอากาศแยกออกจากกัน รุ้งเทพสีเขียวนั่นประหนึ่งไม่อาจทัดเทียม
“คิดฆ่าคน ผ่านความเห็นข้าหรือยัง”
เงาร่างหมีเหิงเจินพลันพริบไหว มือใหญ่วาดไปมากลางอากาศราวเฉือนตัดหยินหยาง ปรากฏลวดลายกลมเกลี้ยง สุริยันจันทราเคลื่อนคล้อยอยู่ภายใน
วู้ม…
ลวดลายวงตะวันจันทราโคจรแผ่วเบาบนห้วงอากาศ ลบล้างรุ้งเทพเขียวสายนั้นจนไม่เหลือร่องรอย
นัยน์ตาดำของหลินสวินเป็นประกาย หมีเหิงเจินจู่โจมเพียงคราเดียวก็เผยฝีมือการต่อสู้ที่โดดเด่นเหนือคนอื่น สมเป็นหนึ่งในบุคคลขอบเขตมกุฎที่แกร่งสุดของยุคปัจจุบัน
“หมีเหิงเจิน การต่อสู้ของเจ้ากับไป๋หลงถิงทำให้เจ้าบาดเจ็บภายในอยู่ก่อนแล้ว ยังคิดต่อสู้กับข้าอีกรึ” จินเซี่ยวหมิงสีหน้าอึมครึม
บาดเจ็บภายใน!
ในใจทุกคนต่างกระตุกวูบไม่กล้าเชื่อ ด้วยดูจากภายนอกแล้วมองไม่ออกว่าหมีเหิงเจินมีร่องรอยบาดเจ็บแม้เพียงเสี้ยว
กลับเห็นหมีเหิงเจินกล่าวเฉยชา “งานชุมนุมพันกระแสนี้ข้าเป็นคนจัด ในฐานะเจ้าภาพ แม้ได้รับบาดเจ็บข้าก็ไม่มีทางมองดูแขกถูกรังแก”
วาจาสบายอารมณ์ แต่เจือเจตจำนงผงาดกร้าวเด็ดขาด!
อิริยาบถของเขาดุจหงส์มังกร สุภาพลุ่มลึก ดูเหมือนคนอ่อนโยน แท้จริงกลับมีความสง่างามไร้เทียมทาน ทันทีที่เผยประกายก็ทำให้ฟ้าดินต่างมืดสลัว
นี่ก็คือหมีเหิงเจิน ผู้นำคนรุ่นเยาว์ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ทั้งเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่มีชื่อเสียงมานานหลายปีในเวลาเดียวกัน ความสง่างามเช่นนั้นช่างทำให้คนรู้สึกชื่นชม
“พูดแบบนี้ หากข้าอยากกำจัดเด็กนี่ เจ้าคงไม่เก็บมือเฝ้ามองเฉยๆ?”
สีหน้าจินเซี่ยวหมิงคล้ำเขียวเยียบเย็นหาใดเปรียบ
“ไม่ผิด”
หมีเหิงเจินกล่าวอย่างไม่ลังเล “ครั้งนี้ร่างแยกของเจ้าถือโอกาสช่วงข้าไม่อยู่มาก่อกวนเขาวิญญาณพันกระแส เดิมโทษก็ไม่อาจอภัย ตอนนี้เจ้ายังกล้าประกาศศักดากระทำการชั่วร้าย คิดว่าข้าหมีเหิงเจินเป็นมะพลับนิ่มที่บีบขยำได้ตามใจหรือไร”
พวกฉีชงโต้วต่างตื่นเต้นไม่หยุด เผยสีหน้าเทิดทูน
แม้แต่หลินสวินก็ไม่อาจไม่ยอมรับ แค่เพียงความห้าวหาญและรับผิดชอบนี้ หมีเหิงเจินก็คู่ควรให้เขาเลื่อมใสแล้ว
ทว่าเลื่อมใสส่วนเลื่อมใส ธุระก็ส่วนธุระ
ต่อมาหลินสวินก็ทะยานฟ้าขึ้นไปกล่าว “ข้ารออยู่ที่นี่ก็เพื่อตุ๋นน้ำแกงงูหม้อหนึ่ง ขอพี่หมีช่วยให้สมปรารถนา ให้ข้าได้สังหารหนอนยักษ์นี่”
หนอนยักษ์…
ได้ยินคำเรียกเช่นนี้สีหน้าทุกคนต่างแปลกพิกลอยู่บ้าง
หมีเหิงเจินก็เช่นกัน ออกจะมองหลินสวินอย่างอึ้งงันวูบหนึ่ง คล้ายถูกความกล้าของเขาทำเอาตระหนก จากนั้นจึงกลั้นขำกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ยุ่งแล้ว”
พูดจบเขาก็หลีกทางให้
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆ…”
เวลานี้จินเซี่ยวหมิงโกรธจัดจนหัวเราะ ตั้งแต่ปรากฏตัวบนโลกถึงตอนนี้เขาเพิ่งเคยเจอคนที่กล้าดูหมิ่นศักดิ์ศรีเขาเช่นนี้เป็นครั้งแรก!
ตูม!
เขาคร้านจะพูดมากความอีก ลงมือทันใด ชูมือเรียกทวนยักษ์สีเลือดแหวกผ่านห้วงอากาศดังสนั่น ปลายทวนดั่งมังกรห้อทะยานมาเยือน
ทวนเล่มนี้เผด็จการ เหี้ยมโหด ดุดันอย่างแท้จริง แฝงพลังมหามรรคชวนประหวั่น หนึ่งทวนแทงออกไป แสงโลหิตสะท้านฟ้าดิน
แตกต่างจากพลังต่อสู้ของร่างแยกอย่างแท้จริง!
เพียงพริบตาหลินสวินก็วิเคราะห์ศักยภาพของร่างต้นจินเซี่ยวหมิงออก ไม่เพียงทรงพลังกว่าร่างแยกขั้นหนึ่ง ยังมอบแรงกดดันยิ่งใหญ่แก่เขาด้วย
ทว่านี่แหละคือสิ่งที่หลินสวินอยากเห็น!
ชิ้ง!
ดาบหักปรากฏกลางอากาศ ขาวกระจ่างดุจหิมะ ส่องประกายราวมายา พลังแก่นมรรคธาตุน้ำครอบคลุมอยู่บนนั้น เผยประกายคมซึ่งไม่มีสิ่งใดต้านทานได้
ยามประลองกับร่างแยกจินเซี่ยวหมิงก่อนหน้านี้ หลินสวินยังไม่เคยใช้สมบัตินี้
ปึง!
ดาบหักและทวนโลหิตปะทะกัน ชั่วพริบตาก็ห้ำหั่นดุเดือดกลางอากาศ แสงดาบราวอสนี เงาทวนทบเป็นชั้นๆ ซัดทลายพยับเมฆทั่วทิศ
นัยน์ตาจินเซี่ยวหมิงพลันหดรัด ทันทีที่ประมือเขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน ได้สติจากความเดือดดาล เริ่มโจมตีเต็มกำลัง
ทวนยักษ์สีเลือดถูกเขาโคจรถึงขีดสุด ทุกแห่งที่คมทวนวาดผ่าน ห้วงอากาศล้วนถูกฉีกออกเป็นรอยแยกชวนตะลึง เวิ้งฟ้าถูกย้อมเป็นสีเลือด
ท่ามกลางความเลือนรางพร่ามัวยังมีเสียงดั่งทะเลโลหิตคลั่ง เทพผีคำรามสะท้อนก้อง พลานุภาพน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นมองจนสับสนตาลาย ความรู้สึกแต่ละคนยากสงบ อานุภาพทรงพลังของร่างต้นจินเซี่ยวหมิงทำให้พวกเขาต่างรู้สึกประหนึ่งหายใจลำบาก!
เปรียบเทียบกันแล้วร่างแยกของเขาจืดจางกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ไม่แปลกที่จินเซี่ยวหมิงจะกล้าแข็งกร้าวเช่นนี้ ตัวคนเดียวลงมือบนเขาวิญญาณพันกระแสนี้โดยไม่หวั่นเกรงหมีเหิงเจิน หมายสังหารเทพมารหลินล้างความอัปยศ
หมีเหิงเจินสีหน้าจริงจังจับจ้องการต่อสู้เขม็ง แน่นอนว่าเขามองความแข็งแกร่งของจินเซี่ยวหมิงออก เป็นถึงยักษ์ใหญ่ในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎ ย่อมไม่ใช่แข็งแกร่งแบบทั่วๆ ไปแน่
เขาเตรียมพร้อมลงมือทุกเมื่อแล้ว
งานชุมนุมพันกระแสนี้เขาเป็นคนจัด เซียวชิงเหอที่เชิญหลินสวินมาครานี้ก็เป็นศิษย์น้องของเขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาไม่มีทางยอมให้ความเป็นไปได้ที่หลินสวินจะถูกสังหารเกิดขึ้นแน่
เพียงแต่…
ไม่ทันไรหมีเหิงเจินก็ค้นพบอย่างประหลาดใจ ว่าภายใต้การต่อสู้ดุเดือดกับจินเซี่ยวหมิง หลินสวินกลับพอฟัดพอเหวี่ยง อีกทั้งความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ยังทำให้เขารู้สึกเกินคาดหมาย
‘เจ้าเด็กนี่เป็นคนรุ่นเดียวกับศิษย์น้องเซียวชิงเหอชัดๆ แต่ความเชี่ยวชาญบนมกุฎมรรคาเห็นชัดว่าถึงอยู่ในระดับบรรลุสูงสุดแล้ว นี่เทียบกับยอดมกุฎรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในอดีตแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก ถึงขั้นที่ต่อให้เข้าร่วมการประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูก็น่าจะสามารถคว้าอันดับหนึ่งได้…’
ด้วยความรู้และประสบการณ์ของหมีเหิงเจินพริบตาเดียวก็วินิจฉัยออก ว่าพลังต่อสู้ที่หลินสวินมีเกินกว่าขอบเขตของยอดมกุฎรุ่นเยาว์นานแล้ว ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไม่หยุด
‘ก็ไม่แปลกที่ศิษย์น้องเซียวชิงเหอจะชื่นชมและยกย่องเขาเช่นนี้ บุคคลเช่นนี้คืออัจฉริยะโดดเด่นที่นับนิ้วได้ในหมู่คนรุ่นเยาว์ทั้งใต้หล้าจริงๆ’
หมีเหิงเจินทอดถอนใจอยู่ภายในใจไม่หยุด
หากว่ากันจริงจัง เขาและพวกหวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิว ได้แค่ถือว่าเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเก่า เข้าสู่มรรคก่อน ทั้งอายุยังมากกว่าสามสิบปีแทบทั้งหมด
แต่หลินสวินต่างออกไป เขายังเยาว์วัยนัก จากโลกชั้นล่างจนมาถึงดินแดนรกร้างโบราณเพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเท่านั้น ก็กลายเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่ใต้หล้าต่างรู้จัก
นี่เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว!
‘มหายุคครั้งนี้หากมีเด็กนี่เข้าร่วม อาจมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นบ้าง’ หมีเหิงเจินใคร่ครวญ
ตูม!
ใต้เวิ้งฟ้าการต่อสู้ดุเดือดกำลังระอุต่อเนื่อง หลินสวินและจินเซี่ยวหมิงห้ำหั่นกันหลายร้อยกระบวนแล้ว โจมตีใส่กันจนฟ้าดินสลัวสุริยันจันทราหม่นแสง สถานการณ์ต่อสู้รุนแรงหาใดเปรียบ
ว่ากันตามจริงการต่อสู้กับร่างต้นจินเซี่ยวหมิงครั้งนี้ จึงจะถือว่าเป็นการประมือกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณครั้งแรกอย่างแท้จริงของหลินสวิน
สำหรับร่างแยกของจินเซี่ยวหมิง สุดท้ายก็เห็นได้ว่าไม่พอสร้างภัยคุกคาม
จินเซี่ยวหมิงยิ่งสู้ยิ่งตระหนก สีหน้านานเข้าก็ยิ่งครัดเคร่ง ไม่กล้าดูถูกหลินสวินอีก และปฏิบัติต่อเขาอย่างศัตรูที่แข็งแกร่งแห่งยุค
แต่หลินสวินกลับยิ่งสู้ยิ่งอาจหาญ ในดวงตาดำลุกโชนโหมกระหน่ำด้วยจิตต่อสู้!
ไม่ถึงขั้นเจอคู่แข่งที่สูสีกินกันไม่ลง และไม่มีทางเลื่อมใสอีกฝ่ายเด็ดขาด แต่ความทรงพลังของจินเซี่ยวหมิงกลับทำให้หลินสวินฮึกเหิมจริงๆ!
ถึงอย่างไรมาถึงระดับขั้นเช่นเขา คิดอยากเจอคู่ต่อสู้ที่พอจะประลองกันได้สักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ที่ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกคือ การประลองมกุฎแห่งยุคเช่นนี้ได้ดึงดูดจิตวิญญาณของทุกคนในที่นั้น แต่กลับมีสองคนที่ผิดแผกไป
คนหนึ่งคือเจ้าคางคกที่กำลังชำแหละร่างงูยักษ์ทองคำยาวพันจั้งตัวหนึ่ง สองมืออาบไปด้วยเลือดราวคนฆ่าสัตว์เชือดเนื้อหมูก็ไม่ปาน การเคลื่อนไหวช่ำชอง ริมฝีปากยังคลอเพลงไปด้วย
อีกคนคืออาหลู่ เขาก่อไฟและตั้งหม้อยักษ์ใบหนึ่งกำลังต้มน้ำ มือเท้าแคล่วคล่องรอวัตถุดิบลงหม้อ
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณที่เห็นภาพนี้ต่างหมดคำพูดไปพักหนึ่ง จิตใจของเจ้าสองคนนี้ช่างกล้าเสียจริง ไม่ห่วงความปลอดภัยของเทพมารหลินแม้แต่น้อย
ตอนที่ 1122 ฉีกแขนทั้งเป็น
“เฉือน!”
ใต้เวิ้งฟ้าหลินสวินพุ่งขวางเข้าหา ดาบหักราวแสงอสนีเจิดจ้า ไม่เพียงแค่เร็วยังแผ่พลังสังหารที่ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้
เขายิ่งสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง!
สีหน้าจินเซี่ยวหมิงจริงจังหาใดเปรียบ แม้ทวนยักษ์สีเลือดถูกเขาโคจรถึงขีดจำกัด แข็งแกร่งถึงขั้นพลังแต่ละทวนล้วนสามารถสังหารผู้กล้าในปัจจุบันคนหนึ่งอย่างง่ายดาย
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีของดาบหักกลับทำให้เขาตั้งรับอย่างยากลำบาก!
‘ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้’
ในใจจินเซี่ยวหมิงตระหนกขุ่นเคือง เลือดลมทั่วร่างม้วนทะยาน เขายังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง แค่ยอดมกุฎรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งคนหนึ่งเท่านั้น กลับมีพลังต่อสู้ที่เพียงพอจะประชันกับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎได้
“เฉือน!”
แต่หลินสวินกลับจิตต่อสู้ปะทุพล่าน ทั่วร่างถูกแสงมรรคประกายศักดิ์สิทธิ์เขียวอร่ามปกคลุม อานุภาพดั่งเทพมารเคลื่อนกวาดเวิ้งฟ้า
แต่ละกระบวนเฉือนต่างเผยพลานุภาพยิ่งใหญ่ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต
บ้างเป็นลักษณ์หมื่นดาราร่วงหล่น
บ้างเป็นภาพจันทร์เต็มดวงกลางราตรี ตะวันจรัสแสงส่องฟ้าดิน
บ้างเป็นพลังแห่งความสงัดว่างเปล่า ฟ้าดินหวนคืนความสงบ
และบ้างก็เป็นความอัศจรรย์แห่งการเกิดดับชั่วพริบตา!
หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าถูกแก่นมรรคธาตุน้ำสำแดงออกมาถึงขีดสุด กระตุ้นอานุภาพด้วยโทสะหยาจื้อและวิชาอริยะยุทธ์ ทำเอากลางฟ้าดินทุกแห่งหนล้วนเป็นคมดาบกระจ่างดุจหิมะ
ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ จินเซี่ยวหมิงถูกกำราบอยู่รางๆ อย่าว่าแต่โต้กลับ แม้แต่ต้านทานยังเห็นได้ชัดว่าลำบากอยู่บ้าง ต้านทานไม่ไหว
เคร้ง!
หลังจากนั้นครู่หนึ่งผ่านการปะทะราวสะท้านฟ้าสะเทือนดินหนึ่งครั้ง เงาร่างจินเซี่ยวหมิงสั่นเล็กน้อยราวถูกฟ้าผ่า จากนั้นกระอักเลือดออกจากปาก สีหน้าพลันซีดขาวลงสามส่วน
ทุกคนตรงนั้นตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินกำราบร่างแยกจินเซี่ยวหมิงก็ทำให้พวกเขาใจสะท้านแล้ว แต่ตอนนี้เขาเหมือนยังมีพลังกำราบร่างต้นจินเซี่ยวหมิงด้วย!
‘ยอดเยี่ยมมาก!’
แววตาหมีเหิงเจินเป็นประกาย การสังเกตการต่อสู้ของหลินสวินทำให้ในใจเขากระเหี้ยนกระหือรืออยู่บ้าง ความปรารถนาการต่อสู้ถูกจุดชนวน
ครืน!
บนเวิ้งฟ้าจินเซี่ยวหมิงสีหน้าคล้ำเขียวไม่พูดสักคำ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เกี้ยวสมบัติกระพรวนทองที่เดิมถูกพันธนาการบนเขาวิญญาณพันกระแสพลันทะยานฟ้า พ่นแสงศักดิ์สิทธิ์สีรุ้ง แสงเทพตลบอบอวล
เงาร่างจินเซี่ยวหมิงพลันไหววูบเหยียบเกี้ยวสมบัติกระพรวนทอง แค่พริบตาทั่วร่างเขาก็ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งปกคลุม พลานุภาพพลันพุ่งทะยาน
เห็นชัดว่าเขาไม่ได้หลบหนี แต่ใช้เกี้ยวสมบัติแทนรถศึกหมายจู่โจมสังหารเต็มกำลัง!
ปึง!
ดาบหักบุกโจมตี กระจ่างดุจหิมะราวกลางวันมาเยือน ทว่าในที่นั้นกลับปรากฏลวดลายมรรค แผนภาพร้อยปีศาจบรรพกาลปรากฏออกมาและสลายกระบวนเฉือนนี้อย่างง่ายดาย
จินเซี่ยวหมิงหยัดยืนบนเกี้ยวสมบัติ สีหน้าเย็นชากล่าว “เกี้ยวนี้คือสมบัติอริยะ นามเกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจ ใช้จิตวิญญาณแห่งร้อยปีศาจบรรพกาลหลอมออกมา ประทับรอยสลักกฎเกณฑ์อริยมรรค สามารถบีบข้าให้ใช้มันได้ เจ้าก็ตายตาหลับได้แล้ว”
ทุกคนใจสะท้าน สูดหายใจเย็นไม่หยุด
อานุภาพแห่งสมบัติอริยะต่างกันไป แต่ล้วนเรียกได้ว่าพลิกฟ้า พลังปราณระดับกระบวนแปรจุติบางทีคงยากสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของสมบัติอริยะออกมาได้ แต่แค่ยืมพลังส่วนหนึ่งได้ก็เพียงพอผงาดเหนือโลกแล้ว!
ครืน!
เกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจห้อตะบึง กดอัดห้วงอากาศครั่นครืนพุ่งเข้าใส่หลินสวิน โดยรอบปรากฏแผนภาพร้อยปีศาจบรรพกาลขยับเคลื่อนมีชีวิตชีวา พลังอริยมรรคทะลวงเมฆ ขับเน้นจนจินเซี่ยวหมิงดุจเทพสังหารกลางสมรภูมิองค์หนึ่ง!
นี่ทำให้ผู้คนหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกหายใจลำบาก
หากหลินสวินไม่มีสมบัติอริยะ เผชิญหน้าการสังหารเช่นนี้คงรู้สึกตึงมือหาใดเปรียบ ถึงขั้นยากต้านทาน
แต่เห็นชัดว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่คณามือเขา!
วู้ม
เจดีย์สมบัติไร้อักษรทะยานนภา ตัวเจดีย์แปดเหลี่ยมส่องแสงสว่างไสวโชติช่วงดั่งดวงตะวัน นั่งบัญชากลางอากาศ สะท้อนอานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาล
พลานุภาพของเกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจที่พุ่งเข้ามาถูกขวางทันใด เจอการสกัดจากเจดีย์สมบัติไร้อักษร
สมบัติอริยะที่ต่างกันสองชิ้นปลดปล่อยอานุภาพอัศจรรย์เหนือห้วงอากาศ ต่างฝ่ายต่างช่วงชิงชัย ทำให้ห้วงอากาศในที่นั้นล้วนทรุดตัวลง ปรากฏรอยแยกหลากสายที่ยาวประมาณพันจั้ง
ณ ที่นั้นสว่างเจิดจ้า เปี่ยมกลิ่นอายทำลายล้างชวนประหวั่น ทำให้ผู้คนแค่มองจากไกลๆ ก็รู้สึกหนังศีรษะชาวาบหนาวเยือกไปทั้งตัว
ชิ้ง!
ขณะเดียวกันหลินสวินบุกโจมตีอีกครั้ง ดาบหักดุจห้อทะยานเฉือนกวาดเก้าชั้นฟ้า
ไม่ทันไรจินเซี่ยวหมิงก็ต้านไม่อยู่ ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส กระอักเลือดไม่หยุด
เดิมเขายังหวังใช้เกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจมาพิฆาตหลินสวิน แต่ไหนเลยจะคิดว่าสมบัตินี้จะถูกเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือหลินสวินตรึงไว้อย่างแน่นหนา ยากจะสำแดงอานุภาพออกมาได้
ฉัวะ!
ไม่นานนักดาบหักแผ่ไอสังหารน่าหวาดกลัว เฉือนตัดทวนยักษ์สีเลือดของจินเซี่ยวหมิงออกเป็นท่อน ทั้งยังกระเทือนจนจินเซี่ยวหมิงซวนเซเกือบร่วงลงมาจากเกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจ
ปึง!
จากนั้นหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งทะยานไปเบื้องหน้าโดยพลัน เจดีย์สมบัติไร้อักษรเหนือศีรษะมีแสงกระจ่างไหวเวียน กำราบตรึงเกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจไว้แน่นหนา
ส่วนเขาก็ยื่นมือคว้าแขนข้างหนึ่งของจินเซี่ยวหมิงทันที คล้ายจะจับตัวฝ่ายหลังเป็นๆ!
การเคลื่อนไหวทั้งมวลเกิดขึ้นในชั่วขณะ เร็วอย่างที่สุด
“ไสหัวไป…!” จินเซี่ยวหมิงถูกทำให้ตระหนกจนขวัญแทบบิน กระตุ้นพลังทั้งหมดหมายซัดหลินสวินกระเด็นออกไปทันที
ใครจะคิดว่านิ้วมือหลินสวินราวห่วงเหล็ก โคจรพลังดับดารากลืนกินทันที เสียงกระดูกแตก เลือดเนื้อทลายพลันดังขึ้น
สีหน้าจินเซี่ยวหมิงแปรเปลี่ยนยกใหญ่ รับรู้ได้ถึงภัยคุกคามถึงชีวิตเป็นครั้งแรก พลังของฝ่ายตรงข้ามยิ่งใหญ่ราวหุบเหวสุดหยั่ง คล้ายจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว!
พรูด!
พริบตานั้นแขนขวาทั้งแขนถูกกระชากขาด ฝนโลหิตสาดพรม
ตูม!
ขณะเดียวกันจินเซี่ยวหมิงคำรามเดือดดาลอย่างเจ็บปวด เกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจพุ่งขึ้น พาเขาเคลื่อนย้ายไปนอกระยะพันจั้งในชั่วพริบตา
เวลานี้เหล่าผู้ฝึกปราณทั้งบนล่างของภูเขาถึงตอบสนอง เกิดความแตกตื่นในบัดดล
“ฉีกกระชากแขนขวาทั้งเป็น!”
มีคนร้องเสียงหลง
“เทพมารหลินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณมากมายในใจตระหนกหวาดผวา
ในมือหลินสวินแขนขาดวิ่นข้างหนึ่งหลั่งเลือดสดๆ นี่คือแขนที่ถูกเขากระชากมาทั้งอย่างนั้น ปากแผลยังหลั่งเลือดชโลม ประพรมห้วงอากาศราวฝนโลหิตงามสยดสยอง
ฟุ่บ!
หลินสวินสะบัดมือลวกๆ แขนข้างนี้ถูกโยนลงบนเขาวิญญาณพันกระแสดังฟุ่บ ตกสู่หม้อยักษ์ที่อาหลู่ตั้งไว้อย่างแม่นยำ
อีกฟากหนึ่งใบหน้าจินเซี่ยวหมิงบิดเบี้ยวดุร้าย บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ถูกกระชากแขนข้างหนึ่งขาด ทำให้เขานอกจากรู้สึกเจ็บปวดแล้วยังตื่นตระหนกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
พูดได้ว่านี่คือการบาดเจ็บสาหัสที่สุดที่เขาเคยเจอนับแต่ปรากฏตัวบนโลก ในอดีตที่ผ่านเขาไม่เคยตกที่นั่งลำบากเช่นนี้มาก่อน
ทุกคนต่างพลุ่งพล่าน สั่นสะท้านไม่หยุด!
“มาถึงวันนี้ในที่สุดก็มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณถูกเอาชนะแล้ว!”
ทุกคนต่างรู้ว่านี่ต้องเป็นข่าวใหญ่ที่อึกทึกครึกโครหาใดเปรียบ ตั้งแต่จินเซี่ยวหมิงปรากฏตัวยังไม่เคยแพ้สักครั้ง
ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามีบุคคลขอบเขตมกุฎเท่าไหร่พ่ายแพ้ในมือเขา
แต่วันนี้กลับเกิดการหักมุมเช่นนี้ นี่เหมือนเป็นการล้มล้างความรู้สึกและความเข้าใจ ทำให้ทุกคนต่างรู้ว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณหาใช่สิ่งที่ไม่อาจเอาชนะ!
“อ๊าก…”
จินเซี่ยวหมิงตะโกนลั่น โกรธจนดวงตาปูดโปนแทบคลุ้มคลั่ง ไม่อาจยอมรับทุกอย่างนี้
น่าเสียดาย หลินสวินไม่คิดปล่อยเขาไป ฉวยโอกาสนี้ไล่ต้อนกดดัน ดาบหักเฉือนออกไปดั่งรุ้งเทพ
สุดท้ายจินเซี่ยวหมิงก็สะกดข่มความคับแค้นและอัปยศเอาไว้ บังคับเกี้ยวสมบัติร้อยปีศาจหลบหนี
เขามีศุภโชคและวาสนาไม่ธรรมดา เก็บตัวเงียบมาถึงทุกวันนี้ มรรควิถีได้บรรลุถึงปลายยอดแห่งมกุฎนานแล้ว แต่วันนี้ไม่นึกเลยว่าจะได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง นี่ทำให้เขานอกจากไม่พอใจแล้วยังรู้สึกถึงความหวาดกลัวด้วย
เขารู้ว่าหากยังไม่ไปอีกคงได้ถูกฝังที่นี่เข้าจริงๆ!
หลินสวินมีหรือจะปล่อยให้เขาหนีไปต่อหน้าต่อตา เข้าขวางเต็มกำลัง
ปึง!
จินเซี่ยวหมิงสะเทือนอย่างหนักไปทั้งตัว โลหิตแดงสดสาดพรมแถบใหญ่ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบถูกบั่นคอขาด ร่างกายครึ่งหนึ่งถูกทำลาย
แต่สุดท้ายเขายังหนีพ้นเคราะห์ร้ายนี้ไปได้ ถูกเกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจพาแหวกอากาศไปอย่างลุกลน
หลินสวินกำลังจะไล่ตาม หมีเหิงเจินก็พุ่งมาข้างหน้ากล่าวว่า “น้องหลิน ไม่จำเป็นต้องตามแล้ว ต่อให้ตามทันก็สังหารเขาไม่ตาย”
หลินสวินเองก็มองออก เกี้ยวเมฆาร้อยปีศาจนั่นคือสมบัติอริยะ หากต้องการพาจินเซี่ยวหมิงจากไป แน่นอนว่ายากจะขัดขวาง
ทว่าในใจเขากลับไม่เข้าใจอยู่บ้าง “เหตุใดตามทันก็ฆ่าไม่ตาย”
หมีเหิงเจินกล่าว “ขอแค่เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณต่างมีวิธีรักษาชีวิตทั้งสิ้น แม้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันออกโจมตีก็ฆ่าพวกเขาไม่ตาย”
“ตัวอย่างเช่นยันต์หยกจักจั่นทองที่ใช้ยามหลบหนี ยันต์คงชีพที่อริยะมอบให้ รวมถึงวิธีเอาตัวรอดอื่นบางอย่าง”
เขาหยุดไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อ “ถึงอย่างไรสัตว์ประหลาดยุคโบราณแต่ละคนล้วนแบกความหวังของสำนักหนึ่งหรือเผ่าพันธุ์หนึ่ง เจ้าพวกนี้ไม่มีทางถูกสังหารง่ายดายเช่นนี้แน่”
แม้ในใจหลินสวินจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็รู้ดีว่าที่หมีเหิงเจินกล่าวมาทั้งหมดคือเรื่องจริง
ก่อนหน้านี้เขาเคยได้รู้มาจากเจ้าคางคก ว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกซ่อนในหิมะ เดิมพันด้วยกายใจของขุมอำนาจหนึ่ง
บุคคลเช่นนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะหนึ่งในหมื่น หากถูกสังหารก็จะทำให้ความทุ่มเทและความพยายามทั้งหมดของขุมอำนาจหนึ่งสูญเปล่า ความหวังดับสลาย!
ด้วยเหตุนี้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน บนตัวสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านี้จึงซ่อนไพ่ตายรักษาชีวิตที่ไม่มีใครรู้เอาไว้!
ไม่นานหลินสวินและหมีเหิงเจินก็กลับมาพร้อมกัน เยื้องกรายลงบนเขาวิญญาณพันกระแส
เวลานี้ทั้งบนล่างภูเขาเดือนพล่านไปทั่ว เสียงอื้ออึงและอัศจรรย์ใจนับไม่ถ้วนดังต่อเนื่องเป็นระลอกราวกระแสน้ำ
จินเซี่ยวหมิง!
สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่แท้จริงคนหนึ่ง ไม่เพียงร่างแยกถูกกำราบ แม้แต่ร่างต้นก็ถูกทำร้ายสาหัส สุดท้ายต้องลุกลี้ลุกลนหลบหนี!
ก่อนหน้านี้ใครก็คิดไม่ถึงว่าบทสรุปจะเป็นเช่นนี้
และหลินสวินที่เอาชนะจินเซี่ยวหมิงได้ ก็กลายเป็นเป้าหมายที่ใครๆ ต่างจับจ้องทันที
“สมเป็นเทพมารหลินที่ไร้พ่ายทุกสมรภูมิ!”
ประโยคทอดถอนใจนี้ก่อให้เกิดการตอบรับเป็นเอกฉันท์
นึกถึงผลงานการต่อสู้ของเทพมารหลินในอดีตที่ผ่านและเทียบกับชัยชนะในวันนี้ ทุกคนต่างพบว่าจนถึงตอนนี้ ในการต่อสู้กับคนรุ่นเดียวกันเทพมารหลินยังไม่เคยมีประวัติพ่ายแพ้อย่างแท้จริง!
นี่ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ
“นับแต่วันนี้ไป ตำนานที่ว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณไม่อาจถูกเอาชนะได้ถูกทำลายลงแล้ว! และทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณเทพมารหลิน!”
คนมากมายต่างมีรู้สึกเหมือนหายใจได้คล่องขึ้น
แท้จริงแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกปราณในยุคปัจจุบันทั่วหล้าถูกสัตว์ประหลาดยุคโบราณพวกนั้นกดข่มจนแทบเงยหน้าไม่ขึ้น ในใจต่างอัดอั้น
บัดนี้ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยแล้ว
บนเขาวิญญาณพันกระแสขณะนี้ก็คึกคักไม่หยุด
หมีเหิงเจินกลับมา ทำให้พวกฉีชงโต้วเหมือนได้แกนนำหลักหวนคืน
และการต่อสู้ที่หลินสวินซัดจินเซี่ยวหมิงจนพ่ายยับ ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ต่างฮึกเหิมและตื่นเต้น รู้สึกเป็นเกียรติ!
ทว่าไม่ทันไรทุกคนก็ถูกกลิ่นเนื้อเย้ายวนดึงดูดจิตใจฉับพลัน ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างอดลอบกลืนน้ำลายไม่ได้ สายตามองไปยังหม้อยักษ์ใบหนึ่งโดยพร้อมเพรียง
บรรยากาศคึกคักในที่นั้นถูกเบี่ยงเบนไปทันที…
อาหลู่กำลังตุ๋นน้ำแกงงู ในหม้อยักษ์มีเนื้องูขาวกระจ่างแวววาวหลายชิ้นกำลังเดือดพล่านฟองปุดๆ กลิ่นเนื้อหอมกระจายไปทั่ว กลิ่นนั้นราวกับสามารถแทรกซึมจิตวิญญาณ ทำให้คนอดใจไม่อยู่!
แม้แต่หลินสวินยังเช็ดน้ำลายอย่างไม่ทิ้งไร้ร่องรอย กล่าวอย่างประหลาดใจ “กลิ่นนี้เหมือนจะเหนือกว่าเนื้อหมาทมิฬอยู่บ้าง”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา สีหน้าทุกคนล้วนเปลี่ยนเป็นผิดแปลก เพิ่งนึกขึ้นได้เอาตอนนี้ว่าเทพมารหลินตรงหน้าคนนี้ คือคนเหี้ยมหาญที่เคยกินเนื้อสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนหนึ่ง!
ตอนที่ 1123 เบาะแสรังเจินหลง
บนเขาวิญญาณพันกระแสกลิ่นเนื้อเย้ายวนอบอวล ในอากาศล้วนเจือกลิ่นหอมที่ทำให้คนน้ำลายหก
เนื้องูสวรรค์ทองคำสดใหม่หาใดเปรียบอย่างแท้จริง ไม่ต้องปรุงรสเพิ่มเติมใดๆ หลังเนื้อขาวกระจ่างดุจหิมะนั้นถูกต้มสุกก็มีแสงวิญญาณเปล่งประกายไหลเวียน แฝงแก่นพลังวิญญาณน่าทึ่งไว้ภายใน
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเนื้อของสัตว์ประหลาดยุคโบราณตนหนึ่ง ตามปกติแล้วหากินไม่ได้แน่!
เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างกินจนเต็มคราบ ในปากยังมีประกายแสงแผ่ออกมา
หลินสวินเองก็ไม่เกรงใจ ร่ำสุราพลางกินเนื้อ เป็นสุขเสียนี่กระไร
เดิมผู้ฝึกปราณคนอื่นยังปล่อยวางไม่ลงอยู่บ้าง ใจยังหวาดกลัวเพราะหากแพร่ออกไปว่าพวกเขาก็กินเนื้อของจินเซี่ยวหมิงด้วย เช่นนั้นผลที่ตามมาคงร้ายแรงอยู่บ้าง
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทนต่อความยั่วยวนของอาหารเลิศรสเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ ทยอยเข้าร่วมขบวนกินเนื้อดื่มน้ำแกง เมื่อได้ลิ้มรสก็เลิศล้ำเกินบรรยายดังคาด ทุกคนต่างเสียอาการทันที กินกันอย่างตะกละตะกลาม
แม้แต่หญิงสาวที่วางมาดมารยาทงามส่วนหนึ่ง ขณะนี้ต่างไม่สนภาพลักษณ์แล้ว
หากถูกจินเซี่ยวหมิงเห็นเข้าเกรงว่าคงโกรธจัดแน่ ทายาทเผ่างูสวรรค์ทองคำที่น่าเกรงขามเช่นเขา บัดนี้ร่างแยกกลับถูกคนเห็นเป็นอาหารปันสุข นี่ช่างน่าอัปยศโดยไม่ต้องสงสัย
“ศิษย์พี่หมี การต่อสู้ของท่านกับไป๋หลงถิงครั้งนี้ใครแพ้ใครชนะหรือ”
ในที่สุดฉีชงโต้วก็อดถามไม่ได้
ความสนใจของทุกคนล้วนถูกดึงดูดไปทันที
ไป๋หลงถิงเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณของเผ่าเจียวขาว วิชายุทธ์เลิศล้ำพลังต่อสู้ร้ายกาจ พูดถึงชื่อเสียงเทียบกับจินเซี่ยวหมิงแล้วมีแต่จะเหนือกว่า!
หมีเหิงเจินกล่าวอย่างใคร่ครวญ “ศึกนี้สู้กันลำบากนัก ผ่านไปหลายชั่วยามก็ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ สุดท้ายแม้ข้าจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ไป๋หลงถิงก็ไม่ดีไปกว่ากัน หากว่ากันตามจริงการต่อสู้นี้คงถือว่าเสมอ”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าการต่อสู้ของข้ากับเขา ด้วยมีคนรุ่นเดียวกันไม่น้อยชมการประลองอยู่ด้านข้าง ไม่ว่าข้าหรือไป๋หลงถิงจึงไม่ใช้ไพ่ตายที่แท้จริง หากไม่ทำเช่นนี้ สุดท้ายเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นพินาศไปพร้อมกันทุกสิ่ง”
เขาพูดอย่างผ่อนคลาย แต่ทุกคนกลับรู้ดีว่าการต่อสู้นี้ต้องดุเดือดหาใดเปรียบแน่!
ถึงอย่างไรไม่ว่าหมีเหิงเจินหรือไป๋หลงถิงต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎที่แท้จริง ผลเสมอกันสำหรับพวกเขาก็ทำลายชื่อเสียงแต่ละคนแล้ว
หากมีสิทธิ์เอาชนะ ใครก็ล้วนไม่มีทางยอมรับผลที่ว่าเสมอกัน
“จากที่พี่หมีเห็น สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่อุบัติบนโลกตอนนี้ทรงพลังมากแค่ไหน” หลินสวินเอ่ยถาม
สีหน้าหมีเหิงเจินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา นิ่งเงียบนานพอควรค่อยเอ่ยว่า “แข็งแกร่งมาก ปัจจุบันผู้ที่สามารถต่อกรกับพวกนั้นได้ มีเพียงบุคคลระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่ก้าวสู่ระดับบรรลุสูงสุด คนรุ่นเดียวกันคนอื่นล้วนด้อยกว่าอยู่สามส่วน”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา จิตใจทุกคนต่างหนักอึ้ง
ด้วยฐานะของหมีเหิงเจินไม่มีทางเอ่ยวาจายกยอคนอื่นทำลายอำนาจตัวเองเด็ดขาด ในเมื่อเขาสันนิษฐานเช่นนี้ก็เพียงพอพิสูจน์ได้ว่า สัตว์ประหลาดยุคโบราณพวกนั้นน่ากลัวระดับใด!
บทสนทนาต่อจากนั้นวนเวียนอยู่กับเรื่องสัตว์ประหลาดยุคโบราณแทบทั้งสิ้น ผู้ฝึกปราณมากมายนั่งถกวิเคราะห์สถานการณ์ในใต้หล้า ทำให้หลินสวินได้รู้ข่าวมากมายไปด้วย
ตัวอย่างเช่น ใต้หล้าทุกวันนี้บุคคลขอบเขตมกุฎชั้นยอดส่วนใหญ่แบ่งเป็นสามประเภท
ประเภทหนึ่งคือยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎในยุคปัจจุบันอย่างหมีเหิงเจิน หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิว
อีกประเภทหนึ่งคือปีศาจที่มาจากแดนเร้นอริยะ ในนั้นไม่ขาดแคลนเหล่าอัจฉริยะโดยกำเนิดและครรภ์วิญญาณ เพียงแต่ทุกวันนี้ต่างยังไม่เคยปรากฏตัวบนโลกอย่างแท้จริง
มีเพียงเมื่อแดนมกุฎมาเยือนปีศาจเหล่านี้ถึงจะ ‘เข้าสู่โลก’
นี่กลับทำให้หลินสวินนึกถึงเยวี่ยไฉ่เวยที่มาจากลัทธิไร้สวรรค์ในแดนเร้นอริยะ และนึกถึงมู่เจิ้งผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์
ประเภทที่สามก็คือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ทยอยปรากฏตัวช่วงนี้
“อวิ๋นชิ่งไป๋เทียบกับบุคคลเหล่านี้แล้วเป็นอย่างไร”
หลินสวินพลันเอ่ยถาม
ทันทีที่วาจานี้ดังขึ้น ทุกคนในที่นั้นต่างเงียบงัน เหมือนชื่อนี้มีเวทมนตร์มหัศจรรย์
แม้แต่นัยน์ตาหมีเหิงเจินก็หดรัด เหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่งอย่างค่อนข้างประหลาด “ปีนั้นที่ข้าเข้าร่วมการประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู อวิ๋นชิ่งไป๋กลายเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันแล้ว ความทรงพลังของเขากวาดสายตามองในใต้หล้าก็ไร้คนกระทู้ถาม”
“ปิดด่านสิบปีนี้ได้แค่พูดว่าอวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน และยิ่งลึกล้ำยากหยั่งถึง!”
“ในฐานะสำนักโบราณ สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็คือขุมอำนาจใหญ่ที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพกาล ไม่นานมานี้เคยมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งนาม ‘ตวนมู่จื่ออี’ ปรากฏตัวในสำนักกระบี่เทียมฟ้า อวดอ้างว่าตนเหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าหมีเหิงเจินเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก หว่างคิ้วเจือกลิ่นอายที่บอกไม่ถูกว่าชื่นชมหรือตกตะลึงเสี้ยวหนึ่งอยู่รางๆ “แต่เจ้ารู้ไหมว่าผลเป็นอย่างไร”
ทุกคนต่างหูผึ่ง
พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินข่าวลึกลับเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“ผลคือในวันที่สองที่ตวนมู่จื่ออีปรากฏตัวบนโลกก็มุ่งหน้าไปเยือนแหล่งพำนักของอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วยตนเอง คารวะสุราให้อวิ๋นชิ่งไป๋สามจอก!”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ทั่วทั้งลานพลันเงียบเชียบ
สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งกลับไปเยี่ยมเยียนและคารวะสุราด้วยตัวเอง ความนัยนี้ช่างทำให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว
“ตวนมู่จื่ออีนี้หากมีความมั่นใจว่าเอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ได้คงไม่ลดตัวเช่นนี้แน่ แต่เขากลับอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าอวิ๋นชิ่งไป๋เช่นนี้ นี่เพียงพิสูจน์ได้ว่าเขายอมรับว่าสู้อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่อยากขัดใจอวิ๋นชิ่งไป๋”
“แต่ไม่ว่าเป็นอย่างไหนล้วนสามารถพิสูจน์ได้ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนี้… แข็งแกร่งถึงขั้นทำให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณหวาดกลัวเขาแล้ว!”
หมีเหิงเจินพูดถึงตรงนี้ก็อดถอนใจไม่ได้ “นี่ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ที่ไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเขาทรงพลังมากแค่ไหนตลอดกาล”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบกล่าวไร้อารมณ์ “ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นเพียงระดับกระบวนแปรจุติ ใช่ว่าไม่อาจถูกเอาชนะ”
ทุกคนตะลึงงันอดยิ้มขื่นไม่ได้ บนโลกนี้คงมีเพียงเทพมารหลินที่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นคนอื่นใครเล่าจะกล้า
…
หมีเหิงเจินได้รับบาดเจ็บ เดิมอยากจัดงานชุมนุมพันกระแสนานเจ็ดวัน แต่ก็ได้แค่ยุติลงก่อน
คืนวันนั้นหมีเหิงเจินไปพบหลินสวินเพียงลำพัง เอ่ยพูดตรงประเด็น “น้องหลิน ไม่นานแดนมกุฎก็จะมาเยือน ตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้ามีแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับศุภโชคพลิกฟ้าในแดนมกุฎอยู่ม้วนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจหรือไม่”
หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “สามารถเล่าโดยละเอียดได้หรือไม่”
หมีเหิงเจินกล่าว “เจ้าก็รู้ สมัยบรรพกาลแดนมกุฎเคยมาเยือนแล้วหลายครั้ง แต่ศุภโชคและวาสนาใหญ่ภายในนั้นกลับอยู่ในสภาพปิดผนึก ไม่อาจนำออกมาได้”
“แต่มหายุคครั้งนี้ต่างจากอดีต เป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ขอแค่แดนมกุฎมาเยือน ศุภโชคส่วนหนึ่งที่ปิดผนึกอยู่ในนั้นล้วนมีโอกาสถูกช่วงชิงได้!”
หลินสวินพยักหน้า เขาเคยได้ยินเจ้าคางคกพูดถึงความลับพวกนี้มาแล้ว
“แผนภาพที่ไม่สมบูรณ์ม้วนนี้ในมือตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้าเกี่ยวข้องกับ ‘รังเจินหลง’ ในแดนมกุฎ ทว่าก็เป็นแค่แผนภาพที่ไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง อีกทั้งหากปรารถนาช่วงชิงศุภโชคภายในนั้น อาศัยเพียงพลังของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราแล้วยังห่างไกลจากคำว่าพอ ดังนั้นข้าจึงอยากเชิญเจ้าเข้าร่วมด้วย”
หมีเหิงเจินตรงไปตรงมายิ่ง ทั้งไม่ปกปิดซ่อนงำ
“แน่นอนว่าภายในนั้นก็มีอันตรายถึงขีดสุด เท่าที่ข้ารู้ขุมอำนาจที่ทราบเรื่อง ‘รังเจินหลง’ นี้ไม่ได้มีแค่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้า นี่ก็หมายความว่าหากหมายชิงศุภโชค จะต้องเกิดความขัดแย้งกับบุคคลขอบเขตมกุฎอื่น”
หลินสวินได้ยินดังนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้ “รังเจินหลงมีอยู่จริงหรือ”
หมีเหิงเจินกล่าว “วิเคราะห์จากเบาะแสทุกอย่างน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็พูดลำบาก ถึงอย่างไรที่แห่งนั้นก็ถูกผนึกมาตลอด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนเข้าไปจริงๆ”
หลินสวินพลันลังเลอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
หมีเหิงเจินยิ้มกล่าว “จะตกปากรับคำหรือไม่ ไม่ต้องรีบร้อน น้องหลินใคร่ครวญก่อนสักหน่อยค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”
“สิ่งเดียวที่ข้าบอกเจ้าได้คือ หากสามารถช่วงชิงศุภโชคในรังเจินหลงได้ เป็นไปได้สูงว่าจะก้าวสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชันได้ในคราเดียว!”
หลินสวินใจกระตุกวูบ ในที่สุดก็ไหวหวั่น
“หากน้องหลินใคร่ครวญดีแล้วก็ให้ขยำยันต์มรรคนี้จนละเอียด ข้าจะติดต่อเจ้าไปทันที” หมีเหิงเจินมอบยันต์มรรคที่สลักลวดลายตะวันจันทราชิ้นหนึ่งออกมาให้
หลินสวินกล่าวยินดี “ได้”
ในคืนนั้นหมีเหิงเจินและฉีชงโต้วออกจากเขาวิญญาณพันกระแสไปพร้อมกัน ผู้ฝึกปราณคนอื่นก็ล้วนทยอยจากไป
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็จากไปในเวลาเดียวกัน
พวกเขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังแคว้นหมึกขาวสักรอบ ดูว่าจะติดต่อจ้าวจิ่งเซวียนที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้หรือไม่ วางแผนว่าหลังแดนมกุฎมาเยือนจะเชิญจ้าวจิ่งเซวียนออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ตอนนี้หลินสวินรู้ชัดแล้วว่าผู้ฝึกปราณที่อยู่ใต้ระดับราชันต่างมีโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎ นี่ก็หมายความว่า เหล่าผู้สืบทอดสำนักโบราณอย่างหมีเหิงเจินต้องไม่มีทางเคลื่อนไหวคนเดียวแน่
“เจ้าคางคก เจ้าน่าจะรู้เรื่องรังเจินหลงใช่ไหม”
กลางดึกบนหนทางมุ่งสู่แคว้นหมึกขาว หลินสวินเล่าเรื่องที่หมีเหิงเจินเชิญตนร่วมเสาะหารังเจินหลงด้วยกันให้เจ้าคางคกและอาหลู่ฟัง
เจ้าคางคกพลันเลิกคิ้วกล่าว “พวกเขาช่างกล้าเสียจริง ถึงกับวางแผนไปที่นั่น ไม่รู้หรือว่าสมัยบรรพกาลมีบุคคลขอบเขตมกุฎมากเท่าไหร่พยายามบุกเข้าไปจนต้องตายอยู่ในนั้น”
ไม่ช้าเขาเปลี่ยนประเด็นทันที ถูไม้ถูมือกล่าว “ทว่ามหายุคครั้งนี้ต่างจากอดีต พลังผนึกของรังเจินหลงเป็นไปได้มากว่าจะพังทลายไปเอง หากสามารถเข้าไปเสาะหาในนั้นได้ก็ถือเป็นโอกาสที่หายากยิ่ง”
หลินสวินมุ่นคิ้วกล่าว “ไม่อันตรายรึ”
“อันตรายสิ อันตรายหาใดเปรียบ!” เจ้าคางคกเอ่ยจริงจัง “แต่ความมั่งคั่งต้องเสี่ยงดวง คิดชิงศุภโชคไม่แบกรับความเสี่ยงได้เสียที่ไหน”
“พูดอย่างนี้เจ้าแนะนำให้ไปรึ” หลินสวินรู้สึกได้อยู่บ้าง
เจ้าคางคกคิดหนักอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ส่ายศีรษะกล่าว “อย่าเพิ่งตัดสินใจ เรื่องนี้ยังต้องพิจารณาให้มาก เจ้าไม่รู้ว่ารังเจินหลงนี้ตั้งอยู่ใน ‘แดนเก้าบน’ ของแดนมกุฎ แม้ซ่อนศุภโชคพลิกฟ้าแต่ก็มาพร้อมเคราะห์สังหารพลิกฟ้า ศุภโชคในแดนมกุฎมากมายขนาดนั้น ไม่เห็นต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงที่นั่น”
หลินสวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าเคยเข้าไปในแดนมกุฎหรือ”
เจ้าคางคกถอนใจเบาๆ สองมือไพล่หลัง นัยน์ตาทอดมองเวิ้งฟ้า ท่าทางราวผู้ผ่านประสบการณ์มาโชกโชน “เรื่องมาถึงวันนี้ข้าก็ไม่ปิดบังพวกเจ้าแล้ว สมัยบรรพกาลข้าเคยประทับรอยเท้าในแดนมกุฎนั่นมาก่อน เรื่องราวเจิดจรัสเช่นนี้ปัจจุบันคงมีคนไม่มากที่จำได้…”
หลินสวินและอาหลู่กลอกตาใส่โดยพร้อมเพรียง เจ้าคางคกเรื้อนนี่เริ่มยกหางตัวเองอีกแล้ว
“ท่าทางเช่นนี้ของพวกเจ้าหมายความว่าอะไร”
เจ้าคางคกเห็นดังนี้ก็อดขุ่นเคืองไม่ได้ “บอกพวกเจ้าได้เลยว่าการมุ่งหน้าสู่แดนมกุฎครั้งนี้ หากพวกเจ้าฟังข้า รับรองว่าพวกเจ้าจะช่วงชิงศุภโชคได้ตามอารมณ์เหมือนดื่มชากินข้าว ไม่อย่างนั้นอาศัยประสบการณ์ตื้นเขินของพวกเจ้าสองคน อย่าว่าแต่ชิงศุภโชคเลย แม้แต่น้ำแกงก็ดื่มไม่ได้!”
“ขี้โม้!”
อาหลู่ทำหน้าดูถูก
“เชิญต่อเลย”
หลินสวินกอดอกยิ้มหยัน
เจ้าคางคกรู้สึกหน้าหม่นแสงทันที กระทืบเท้ากล่าว “พวกเจ้าคงรู้จัก ‘สามพันแดน’ ในแดนมกุฎ และคงรู้จัก ‘แดนเก้าบน’ แล้วงั้นสิ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น