Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1107-1112
ตอนที่ 1107 ฝีมือเท่านี้?
หลินสวินก้าวย่างกลางอากาศมาถึงบนชายฝั่งทะเล
“หลินสวิน ขอโทษ ข้า…” กู้อวิ๋นถิงถูกปล่อยตัว ตอนนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย ไม่มีหน้าเผชิญหน้ากับหลินสวินอยู่บ้าง
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ก็ให้จบที่ข้า”
หลินสวินตบไหล่เขา จากนั้นก็มองไปยังฉู่จงเทียนที่อยู่ห่างออกไป
ชั่วขณะนี้เขาราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ปกปิดไอสังหารของตนเลยสักนิด นัยน์ตาดำไหวเคลื่อนดุจหุบเหว อานุภาพไร้รูปปกคลุมฟ้าดินผืนนี้
แข็งแกร่งมาก!
ทุกคนใจสั่น ส่วนใหญ่ต่างเห็นหลินสวินสำแดงฤทธิ์กับตาเป็นครั้งแรก
“ถือว่าไม่เลว แต่ถ้าไม่มีอริยะหญิงคนนั้นสนับสนุนเจ้า เจ้าก็สร้างคลื่นลมอะไรไม่ได้แน่”
ฉู่จงเทียนนิ่งไม่ขยับ รอบตัวแผ่แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่แปรเป็นปราณดาบน่าครั้นคร้ามนับร้อยพัน เรืองแสงระเรื่อ สภาพการณ์น่าตกใจ
“เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าหลินสวินฝึกปราณมาถึงวันนี้ กำบคนรุ่นเดียวกัน ยังไม่เคยต้องอาศัยมือผู้อื่นมาแก้ปัญหา การจะจัดการกับเจ้าก็เช่นกัน”
ครั้นคำพูดนี้ของหลินสวินดังออกมา ทุกคนในลานต่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง
คำพูดนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่คำเท็จสักนิด!
คนที่รู้อดีตของเทพมารหลิน ใครกล้าบอกว่าเขาเคยใช้อำนาจอื่นรังแกคน
ไม่มี!
ชื่อเสียงทั้งหมดของเขา ล้วนแลกมาด้วยการต่อสู้ของเขาเอง สั่งสมผลงาน ไม่มีเหตุผลอื่นปน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถใส่ความได้
หากไม่ใช่เพราะครั้งก่อนมีอริยะหกคนลงมือพร้อมกัน รังแกกันเกินไป หญิงลึกลับคนนั้นก็ไม่มีทางปรากฏตัวช่วยเหลือเทพมารหลิน
ตอนนี้ฉู่จงเทียนกลับพูดออกมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเจตนาใส่ความ
“เช่นนี้ดีที่สุด ข้าก็สามารถบอกเจ้าได้ว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ข้าจะกำราบเจ้าด้วยตัวเอง ทำให้เจ้าตายอย่างไร้ข้อกังขา!”
ไอสังหารในตัวฉู่จงเทียนตลบม้วนออกมา ราวกับคลื่นโหมซัดสาดสะเทือนฟ้า กวาดล้างพื้นที่บริเวณนี้ทั้งแถบ เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับเทพไท้ ปราณดาบทั่วตัวรุนแรง แสงทองสว่างไสว
“ฝึกปราณมานานนับพันปี แม้อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นยังสู้ไม่ได้ก็กล้าคุยโวเช่นนี้แล้วหรือ”
หลินสวินยิ้ม
ชิ้ง!
ดาบศักดิ์สิทธิ์ทะมึนทึบ ส่งเสียงก้องหู
เงาร่างของฉู่จงเทียนไม่ขยับ แต่ในชั่วพริบตานี้กลับมีปราณดาบสีทองนับร้อยสายกวาดมา ราวกับน้ำตกสายรุ้งผืนหนึ่ง สว่างไสวไร้เทียมทาน ทะลวงสังหารเข้าไป
หลินสวินกำหมัด นัยเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์รวมอยู่ในนั้น จากนั้นจู่ๆ ก็ฟันต่อยปล่อยออกไป ประกายหมัดรวบกระชับ เรียบง่ายและว่างเปล่า แตกกระจายในห้วงอากาศ
ตอนนี้เขาแสดงอานุภาพของ ‘หนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์’ ได้อย่างสบายๆ แตกต่างจากก่อนจะเข้าร่วมการประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์มานานแล้ว
ตูม!
ปราณดาบและพลังหมัดปะทะกัน ทำให้ห้วงอากาศยุบทลาย แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดกระจาย
ชั่วพริบตานั้นทั้งสองต่อสู้กับอย่างดุเดือด
ทุกคนต่างถอยหนี การต่อสู้ระดับนี้เป็นศึกอันเป็นประวัติการณ์อย่างแน่นอน พลังทำลายล้างสะเทือนขวัญ ใครก็ไม่อยากโดนลูกหลง
ชิ้ง!
ปราณดาบตัดผ่านไปมา เงาร่างของฉู่จงเทียนราวกับสุริยันเคลื่อนขวางกลางอากาศ แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่อยู่รอบตัวเขา แปรเปลี่ยนเป็นประกายดาบสีทองอร่ามเหี้ยมโหดทั้งหมด
จากนั้นภาพที่น่าทึ่งก็ปรากฏขึ้น ปราณดาบเหล่านั้นแปรเป็นดาบปีกคู่หนึ่ง เต็มไปด้วยความแหลมคมไร้เทียมทานปกคลุมฟ้าดิน
ฉู่จงเทียนเคลื่อนไหวไวยิ่งขึ้น กลิ่นอายน่ากลัวกว่าเดิม ตอนที่พุ่งสังหารห้วงอากาศล้วนยุบทลาย ประกายดาบมากมายนับร้อยพันพลุ่งพล่านกวาดล้าง สังหารกลางฟ้าดิน
เจตดาบระดับนั้น ราวกับสามารถเฉือนเทพผีได้!
เงาร่างของหลินสวินราวกับภาพมายา ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง แสดงอานุภาพของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ แต่ละหมัดสำแดงฤทธิ์ ล้วนเผยพลานุภาพที่แข็งแกร่งและสะเทือนฟ้าดิน
มาถึงระดับอย่างเขา แต่ละกระบวนท่าล้วนเต็มไปด้วยพลังแห่งแก่นมรรค สามารถชักนำอานุภาพฟ้าดิน ทำให้สรรพสิ่งสั่นสะเทือน ไม่สามารถเปรียบเทียบด้วยคำพูดเดิมแล้ว
ทั้งสองปะทะกันราวกับฟ้าร้องคำรามใส่กัน นอกจากเสียงครวญแข็งกร้าวของดาบ ยังมีเสียงคำรามที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งของพลังหมัด ระเบิดคลื่นพลังที่น่ากลัวไร้ขอบเขตออกมา
พริบตาที่เข้าปะทะ ก็ได้ปะทะกันนับร้อยครั้งแล้ว แสงประกายรุนแรงส่องสว่างผืนฟ้าแถบนี้
ทั้งสองปะทะผ่านกันไป ต่างเผยสีหน้าแปลกประหลาด
ฉู่จงเทียนยิ่งตะลึง ตกใจกับพลังของหลินสวิน นี่ไม่เหมือนที่เขาคาดการณ์เลยสักนิด
ส่วนหลินสวินแปลกใจเล็กน้อย หลังจากการปะทะในช่วงสั้นๆ ทำให้เขาคาดการณ์ออกมาได้ในทันใดว่า ในการฝึกปราณด้านมกุฎมรรคาของอีกฝ่าย คงจะทะลวงถึง ‘บรรลุสูงสุด’ แล้ว
นี่คือระดับที่สูงที่สุดในมกุฎมรรคา ก้าวสู่ระดับนี้ เรียกได้ว่าเป็นนายเหนือหัวชั้นยอดแล้ว
ก็ไม่แปลกที่คนผู้นี้ได้ที่หนึ่งของการประลองกระดานดาราถึงสามครั้งติดต่อกัน และการกระทำยังเผด็จการและตรงไปตรงมา ที่แท้ก็มีฝีมือนี่เอง
ฉัวะ!
ฉู่จงเทียนวนเวียนอยู่ในอากาศ ราวกับปักษาเทพโจมตีเก้าสวรรค์ พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง คราวนี้ทุกคนต่างสังเกตเห็นว่าพลังของฉู่จงเทียนน่ากลัวกว่าเดิม
ด้านหลังเขา ปีกนกที่แปลงมาจากปราณดาบหนาแน่นคู่หนึ่งราวกับพญาเผิงปีกทอง ตอนนี้จู่ๆ ก็มีสายฟ้ามากมายพร่างพราวขึ้นมา แสงสะดุดตาทำให้แทบหยุดหายใจ
“ดาบปีกฟ้าคะนอง!”
มีคนตะโกน นี่คือวิชาลับที่ไม่มีการเผยแพร่ให้ภายนอกของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ฝึกยากและน่ากลัวอย่างมาก
ดาบปีกนี้ไม่เพียงรวดเร็ว พลังต่อสู้ยังเพิ่มขึ้นอย่างมาก สามารถปั่นป่วนฟ้าดิน พลิกหมุนภูผาธารา พลังสังหารรุนแรงอย่างที่สุด แทบจะไม่มีสิ่งใดที่เฉือนไม่ได้
หลินสวินกลับไม่ลนลาน โคจรมรรคแห่งเจินหลง ชือน้ำแข็งเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที ทำให้หลินสวินราวกับแปรเปลี่ยนเป็นชือน้ำแข็งตัวหนึ่ง เคลื่อนไหวคดโค้ง กดข่มท้องฟ้า
ครืนโครม!
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ปราณดาบทะลวงสวรรค์ พลังหมัดดุจมังกร
คลื่นพลังต่อสู้อันน่ากลัวพลุ่งพล่านราวกับมหาสมุทร ฟ้าดินทั้งผืนถูกกลบจนมิด เห็นเพียงเงาร่างของคนสองคนปะทะกันไม่หยุด
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ทั้งสองต่างถอยออกไป
ฉู่จงเทียนสีหน้าเย็นเยียบ ตรงไหล่ของเขาถูกพลังหมัดซัดใส่ มีเลือดสดไหลออกมา อีกนิดก็จะซัดโดนศีรษะของเขาแล้ว
ส่วนรอบตัวหลินสวินแสงใสไหลเคลื่อน ร่างกายแผ่แสงมรรค กลิ่นอายผงาดผยองข่มโลก เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ก็มีอานุภาพของเทพมารผู้กลืนกินภูผาธาราแล้ว
“เทพมารหลิน แข็งแกร่งมาก!” หลายคนใจสั่น
ทุกคนต่างรู้ดี ว่าหลินสวินเพิ่งจะคว้าอันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไปด้วยอายุที่ยังไม่ถึงสามสิบปี สามารถเรียกว่าเป็นบุคคลชั้นยอดในบรรดาคนในรุ่นเยาว์ของยุคนี้แล้ว
แต่ฉู่จงเทียนสะดุดตากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ในพันปีมานี้ปรากฏตัวบนโลกสามครั้ง คว้าอันดับหนึ่งของกระดานดาราทั้งสามครั้ง สะเทือนลมเมฆใต้หล้า ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก
นอกจากแพ้ให้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็แทบไม่มีใครสู้ได้แล้ว
แต่ตอนนี้ฉู่จงเทียนโจมตีอย่างแข็งกร้าว ทว่ากลลับคล้ายไม่สามารถทำอะไรเทพมารหลินได้ ทั้งยังบาดเจ็บอีกด้วย!
นี่ก็หมายความว่า ในการแข่งขันด้านมกุฎมรรคา เทพมารหลินเหนือว่าคนรุ่นเยาว์แห่งยุคแล้ว มีพลังที่จะท้าทายยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎรุ่นก่อนแล้วงั้นหรือ
หากเป็นเช่นนี้จริงก็น่าตกใจเกินไปแล้ว!
ตอนนี้ในใจฉู่จงเทียนยากจะสงบ เดิมทีคิดว่าออกด่านครั้งนี้จะสามารถกวาดล้างคู่ต่อสู้ในยุคนี้ทั้งหมด คนที่สามารถชิงชัยกับตนได้ ก็มีเพียงบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นก่อนเหมือนตนเท่านั้น
แต่ตอนนี้กลับเจอคู่ต่อสู้เสียแล้ว!
นี่ทำให้เขายากจะเชื่อ
ยามที่เขาพ่ายแพ้ให้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ อีกฝ่ายได้รับการขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในระดับที่ต่ำกว่าราชันแล้ว แต่เทพมารหลินที่อยู่ตรงหน้ายิ่งเด็กกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ตอนนั้น
“เจ้ามาอย่างทรงอานุภาพเต็มเปี่ยม กลับมีฝีมือเพียงเท่านี้ ถึงว่าตอนนั้นจึงแพ้ด้วยน้ำมืออวิ๋นชิ่งไป๋ ล้วนเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดแต่แรกแล้ว”
หลินสวินขมวดคิ้ว
ไม่ใช่การเสียดสี แต่หลังผ่านการประชันกันอย่างแท้จริง เขาได้คาดเดารากฐานและความตื้นลึกของอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
ฉู่จงเทียนแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่กลับทำให้หลินสวินประเมินค่าสูงเกินไป เดิมทีคิดว่าบุคคลชั้นยอดที่ปิดด่านมานับพันปี เคยปั่นป่วนเมฆลมใต้ฟ้า ก็ควรจะมีพลังต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า กลับทำให้หลินสวิน… ผิดหวัง
ความจริงไม่ใช่ว่าฉู่จงเทียนไม่แข็งแกร่ง แต่ตัวเขาในตอนนี้ได้ยืนอยู่ในระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของมกุฎมรรคา หนึ่งปีที่ได้เคี่ยวกรำในแดนลับไร้มรณะ ยิ่งทำให้มรรควิถีของเขาสมบูรณ์ถึงที่สุด
อย่างเช่นตอนนี้เขาอยากยกระดับพลังต่อสู้ ก็ต้องพึ่งการฝึกพลังยุทธ์ บนด้านมรรคาไม่มีพื้นที่ในการพัฒนาแล้ว!
“คุยโตไม่รู้จักกระดาก!”
เสียงของฉู่จงเทียนต่ำลึก สายตาเย็นชา มองหลินสวินอย่างไร้ปรานี
เขาชูแขนขวาขึ้น เสียงชิ้งดังสนั่น ปรากฏทวนสำริดที่ปลดปล่อยประกายสายฟ้าเล่มหนึ่ง
“สังหาร!”
เขากวัดแกว่งทวน ฟ้าร้องคำราม สายฟ้าพุ่งยิงดุเดือด ด้านหลังปีกคมดาบกางออกแล้วพุ่งสังหารทันที คำพูดของหลินสวินเสียดแทงศักดิ์ศรีของเขาจนเจ็บ
ตั้งแต่เขาปรากฏตัวสู่โลก ก็มองคนรุ่นปัจจุบันอย่างเย่อหยิ่ง ถูกฝากความหวังเอาไว้ ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดในการแย่งชิงอำนาจมหายุค
ความพ่ายแพ้เดียวก็คือแพ้ให้อวิ๋นชิ่งไป๋ นี่เป็นความเสื่อมเสียอย่างหนึ่ง ไม่ว่าชาตินี้เขาจะรุ่งโรจน์เพียงใด ไปถึงจุดที่สูงแค่ไหน ก็ไม่สามารถล้างความเสื่อมเสียนี้ได้แน่
แต่ว่า…
เขาแพ้ในมืออวิ๋นชิ่งไป๋ได้ กลับยอมถูกคนหนุ่มอย่างหลินสวินเย้ยหยันและดูหมิ่นไม่ได้อย่างแน่นอน!
ฉึก!
สีหน้าของหลินสวินไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกมือขึ้นชี้ ประทับปี้อั้นสายหนึ่งปรากฏ ควบรวมท่วงทำนองแห่งมรรคเจินหลง ประชันกับทวนของอีกฝ่าย
เห็นได้ชัดว่าทวนสำริดนั่นเป็นสมบัติโบราณที่ยอดเยี่ยม แหลมคมไร้เทียมทาน มีสายฟ้าพันรอบ เพียงพอจะทำลายล้างและบดขยี้สรรพสิ่ง
เพียงแต่หลินสวินไม่ใช่มะพลับนิ่มที่จะบีบเค้นได้ตามใจ
ตูม!
เขายังคงปล่อยหมัดมือเปล่า อานุภาพราวกับเทพมารเคลื่อนกวาด เริ่มสำแดงมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร สัญลักษณ์อักษรเคราะห์เป็นสายๆ ปรากฏขึ้น ประทับกลางอากาศ ส่งเสียงกึกก้องไปทั่วราวกับเสียงมังกรครวญเป็นระลอกๆ สะเทือนทั่วสี่ทิศ
ผู้ฝึกปราณหลายคนถูกสะเทือนจนสองหูอื้ออึง ตาลาย เลือดลมปั่นป่วน ทรมานจนแทบกระอักเลือด
ในด้านจิตใจ ยิ่งได้รับการข่มขวัญเหมือนถูกอานุภาพมังกรกดข่ม!
พวกเขาหวาดผวา ต่างถอยหนีอีกครั้ง
“ฆ่า!”
ฉู่จงเทียนตะเบ็งเสียง ทั้งสองเข่นฆ่ากันอยู่กลางอากาศ ราวกับมังกรสองตัวกำลังฟาดฟัน แสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำ สั่นไหวอยู่ระหว่างพวกเขา กลายเป็นพลังทำลายล้างที่น่ากลัว!
นี่เป็นการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าดิน!
อย่างน้อยสำหรับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือฉู่จงเทียน ล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาบุคคลแห่งยุค
“ความแข็งแกร่งของฉู่จงเทียนนั้นไม่มีข้อกังขาอยู่แล้ว แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคือเทพมารหลินอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“ไม่ผิด ด้วยพลังต่อสู้ที่เขาสำแดงออกมา แม้ไปเข้าร่วมการประลองกระดานดาราก็มีคุณสมบัติช่วงชิงที่หนึ่ง น่าเสียดายที่มหายุคใกล้มาเยือน การประลองกระดานดาราจึงไม่อาจดำเนินการได้แล้ว…”
ห่างออกไปผู้ฝึกปราณอุทานด้วยความตกใจ รู้สึกว่ามาไม่เสียเที่ยวอย่างที่สุด เพราะได้เห็นการต่อสู้ไร้เทียบเทียมกับตา
เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลาน ทำให้การวิจารณ์ของพวกเขาหยุดไปกะทันหัน
ฟุ่บ!
กลางอากาศ ฉู่จงเทียนถูกอักษร ‘เคราะห์’ สายหนึ่งประทับกลางอกอย่างแรง ทำให้เขาหนังแตกเนื้อโผล่ กระดูกแตกหัก
ครั้งนี้ทุกคนต่างเห็นอย่างชัดเจน ในการเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว เทพมารหลินโจมตีคู่ต่อสู้อย่างแข็งกร้าว เผยอานุภาพไร้ที่เปรียบ!
ในใจทุกคนต่างสะท้าน ฉู่จงเทียนจะแพ้จริงๆ หรือ
ในเวลาเดียวกันหลินสวินก้าวย่างกลางอากาศ บีบเข้ามาพร้อมพูดอย่างเย็นเยียบ “แม้แต่อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นยังสู้ไม่ได้ ยังกล้าท้าทายข้างั้นหรือ รนหาที่ตายก็แบบนี้แหละ!”
เสียงดังครืนๆ ก้องฟ้าดิน
ทุกคนต่างอึ้งงัน ความหมายในคำพูดนี้น่าตกใจเกินไป มีเพียงเอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ จึงจะมีสิทธิ์ท้าทายเขาเทพมารหลินงั้นหรือ
นี่เห็นได้ชัดว่าแม้แต่อวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา!
ตอนที่ 1108 แทรกแซง
ประโยคเดียวของหลินสวินสะเทือนไปทั้งลาน
แต่ตอนที่สิ้นเสียง ตัวคนก็พุ่งโจมตีออกไปแล้ว
“อยากโจมตีข้า เป็นไปไม่ได้!”
ฉู่จงเทียนตะคอก เปล่งแสงไปทั้งตัว พลังพลันแข็งแกร่งขึ้นระดับหนึ่งในทันที เลือดลมเดือดพล่าน ราวกับสัตว์ปีศาจโบราณตัวหนึ่งฟื้นขึ้นในร่างกายเขา
หลายคนต่างตะลึง เหตุใดจู่ๆ เขาก็แข็งแกร่งขึ้นมา
“ในร่างกายของเขามีพลังสายหนึ่งปิดผนึกอยู่ ถูกปลดออกในตอนนี้” มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยเสียงต่ำ มองความลึกลับภายในออก
พลังปิดผนึก!
ทุกคนสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ นี่ถึงจะเป็นไม้ตายแท้จริงของฉู่จงเทียนงั้นหรือ
โครม!
ทวนสายฟ้ากวาดผ่านอากาศ แสงประกายเรืองรองยุบทลายห้วงอากาศ สลายการโจมตีของหลินสวินในชั่วพริบตา
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
หลายคนหนังหัวชาวาบ ฉู่จงเทียนหาใช่เพียงแข็งแกร่งขึ้น แต่แข็งแกร่งขึ้นมากเกินไป ราวกับต่างจากก่อนหน้านี้เป็นคนละคน
หลินสวินเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล สีหน้าจริงจังขึ้นมา แต่ยังคงไม่หวาดกลัว เผชิญหน้าเข้าปะทะ
ตอนนี้จู่ๆ ก็ประหนึ่งกระแสปั่นป่วนม้วนฟ้า ถูกคลื่นพลังน่าทึ่งท่วมท้น ประกายแสงแสบตา
“ทีแรกข้าหมายจะรอมหายุคมาเยือนค่อยเปิดเผยความสามารถนี้ แต่การที่เจ้าสามารถบีบให้ข้าใช้ตอนนี้ ก็เพียงพอที่จะตายอย่างไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว!”
ทุกอณูรูขุมขนของฉู่จงเทียนล้วนพรั่งพรูแสงศักดิ์สิทธิ์สีทอง ราวกับสุริยันสะท้อนฟ้า ด้านหลังดาบปีกฟ้าคะนองสะบัดตี ทวนในมือปลดปล่อยแสงสายฟ้า พลังอำนาจกำราบจักรวาล
เขาบุกอย่างดุเดือด รวดเร็วและรุนแรงอย่างที่สุด
“ดูนั่น เทพมารหลินกำลังหนี ไม่กล้าปะทะอย่างแข็งกร้าว ฉู่จงเทียนนี่ปะทุพลังอย่างสิ้นเชิงแล้ว อาจหาญไร้เทียมทานตามคาด เกรียงไกรยากต้านทาน”
ทุกคนตกใจ ยากจะเชื่อ
หลินสวินกำลังหนีอยู่จริงๆ ไม่ใช่ไม่สู้ แต่สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของฉู่จงเทียนค่อนข้างแปลกประหลาด ดูเหมือนแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่ราวกับยากจะคงอยู่ได้นาน
ก็เหมือนการโจมตีที่ปล่อยพลังอันดุเดือด เมื่อพลังที่ปลดปล่อยออกมาถูกใช้หมด ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
นี่ค่อนข้างเหมือนกับโทสะหยาจื้อ แต่โทสะหยาจื้อแม้จะใช้พลังในตัวมาก แต่กลับสามารถยืนหยัดในการต่อสู้ได้นาน เห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าระดับหนึ่ง
ตามคาด ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป ฉู่จงเทียนดูเหมือนยังคงแข็งแกร่งอย่างที่สุด แต่หลินสวินสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าพลังของเขาเริ่มถดถอยแล้ว!
ตูม!
และตอนนี้เอง หลินสวินพลันสำแดงฤทธิ์ รอบตัวปรากฏอักษร ‘เคราะห์’ ที่รูปร่างแตกต่างกันมากมาย ทุกอักษรราวกับก่อตัวขึ้นจากแก่นแท้จริงมหามรรค พรั่งพรูแสงสว่างไสว มังกรครวญไพศาล กึกก้องไปทั่วเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน
จากนั้นก็โจมตีไปทางฉู่จงเทียน
ทุกคนขนลุกขึ้นมา วิชาลับระดับนี้ราวกับเคราะห์ใหญ่มาเยือน เหมือนลงทัณฑ์แทนฟ้า หมายสังหารทุกคนที่ขวางทาง รุนแรงและน่ากลัวเกินไป
ฟ้าดินกว้างใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยอักษรเคราะห์ มังกรครวญไม่หยุด ราวกับท้องฟ้าจะถล่มลงมา
ฉู่จงเทียนกวัดแกว่งทวนเข้าปะทะเต็มกำลัง แต่สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไป ร่างกายเองก็กำลังสั่น ราวกับได้รับแรงกดดันอย่างหนัก
ปัง!
อักษรเคราะห์ตัวหนึ่งที่ลักษณะเหมือนไส้เดือนระเบิดความมหัศจรรย์ของปะทะฟู่ซี่ ทำให้ง่ามนิ้วของฉู่จงเทียนถูกสะเทือนฉีกขาด ทวนศึกส่งเสียงครวญก่อนปลิวหลุดมือไป
ปัง!
อักษรเคราะห์รูปลิ่มที่ร่วงลงมา สำแดงอานุภาพของประทับปี้อั้น กระแทกไหล่ฉู่จงเทียนจนแหลก เลือดสาดกระเซ็น ร่างกายจมร่วงลงไป
หากไม่ใช่เพราะมีเกราะสมบัติสีทองอร่ามตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ปกป้องร่างกายของเขา ร่างกายครึ่งซีกคงถูกกระแทกจนยับเยินไปแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ไหล่ก็ไม่เหลือสภาพ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“อ๊าก…” ฉู่จงเทียนร้องเสียงดัง ผมยาวปลิวสยาย แม้แต่ดวงตายังแดงขึ้นมา
เขายากจะยอมรับทั้งหมดนี้!
เพิ่งจะออกด่าน คิดไปว่าตนสามารถผงาดกลายเป็นราชันได้ตอนที่มหายุคมาเยือน ไหนเลยจะคาดคิดว่า เพียงแค่จัดการกับยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนหนึ่งเท่านั้น กลับพบอุปสรรคขนาดนี้ ความกระทบกระเทือนนี้รุนแรงเกินไปแล้ว
“เฉือน!”
ตอนนี้หลินสวินได้แปลงเป็นสายรุ้งยาวจะสะเทือนสวรรค์แล้ว ยื่นมือออกไปคว้า แสงศักดิ์สิทธิ์แปรเป็นดาบพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่าลงกลางศีรษะ
การโจมตีนี้ไม่มีการออมมือสักนิด ควบรวมสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งตัวของหลินสวิน พลังเข่นฆ่าปะทุ ส่วนสิ่งที่สำแดงออกมากลับเป็นนัยเร้นลับของกระบวนเฉือนเกิดดับ!
ต้องยอมรับว่าฉู่จงเทียนแข็งแกร่งมาก ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานก็ระเบิดพลัง ศักยภาพแฝงถูกใช้ออกมาจนหมดสิ้น ต้านทานการโจมตีนี้
แต่สุดท้ายล้วนเปล่าประโยชน์ ประกายดาบที่ควบรวมจากแสงศักดิ์สิทธิ์สำแดงนัยแห่งการเกิดดับ สลายการป้องกันทั้งหมด ทำให้เกราะสมบัติบนร่างของอีกฝ่ายแตกสลาย
ทุกคนอุทานด้วยความตกใจ หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม แตกตื่นอย่างที่สุด
ฉึบ!
หว่างคิ้วของฉู่จงเทียนแตกออก ปรากฏสีแดงสด
จู่ๆ นัยน์ตาเขาก็หดรัดลง ส่งเสียงคำรามเดือดดาล ต่อต้านสุดกำลังพลางรีบถอยร่นออกไป
เพียงแต่ดาบนี้ของหลินสวินราวกับซึมเข้าสู่กระดูก บีบเค้นกดทับ ทำให้กะโหลกของเขามีรอยแตก ผิวหนังถูกแทงทะลุ เลือดสดพรูไหลอาบเต็มหน้า ดูสะบักสะบอมมากเป็นพิเศษ
ปราณดาบนี้ดุดันเกินไป ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกทำลาย หมายจะตัดศีรษะ เชือดเฉือนพลังจิตของเขา!
ตูม!
เพียงแต่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย แสงมรรคสว่างไสวสายหนึ่งโฉบออกมา ห่อหุ้มตัวฉู่จงเทียนแล้วเคลื่อนย้ายห่างออกไป รอดพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้
นี่…
ทุกคนต่างไม่คาดคิด ไม่ทันตั้งตัว
“ข้าว่าแล้ว เจ้าพาสุนัขเฒ่าสองตัวมา ไม่มีทางที่จะไม่ยุ่งเรื่องนี้”
หลินสวินราวกับคิดไว้แล้ว ดวงตาสีดำประหนึ่งสายฟ้า มองไปทางชายชราระดับราชันสองคนที่อยู่ข้างๆ เกี้ยวสมบัติทองม่วง
“เจ้าหนุ่ม อารมณ์รุนแรงเกินไปก็ไม่ดี ขาดบุคลิกและการวางตัว ไม่เป็นผลดีต่อการเติบโตของเจ้า”
ร่างกายของชายชราคนหนึ่งเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์มรรคราชัน ยืนมองหลินสวินอย่างเย็นชาอยู่ตรงนั้น สีหน้าเรียบเฉย
ชายชราอีกคนพยุงฉู่จงเทียนเข้าเกี้ยวสมบัติทองม่วงไป คุ้มกันอย่างระมัดระวัง
เห็นเช่นนี้ทุกคนที่ดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ ต่างขมวดคิ้ว ในใจแอบก่นด่าว่าไอ้แก่สองคนนั้นยุ่งมากเรื่อง เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้!
“แก่ไม่ตายไร้ประโยชน์ อย่างเจ้าก็มีสิทธิ์สั่งสอนข้าหรือ จะบอกเจ้าให้ หากก่อนหน้านี้ข้าอยากฆ่าฉู่จงเทียนนี่ ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้ แต่เพราะสุนัขเฒ่าอย่างพวกเจ้าสองคนขวางหูขวางตาเกินไป ทำให้ข้าจำต้องระวัง”
หลินสวินหลุดขำ ดวงตาดำกลับเย็นเยียบ “ตอนนี้ดูเหมือนว่าความระมัดระวังของข้าไม่ผิด ในการประชันของคนรุ่นเดียวกัน พวกเจ้ากลับแทรกแซงอย่างไม่ห่วงหน้า ไม่อายหรือ”
เขาไม่ได้โกหก ก่อนหน้านี้หากเรียกใช้ดาบหักคงฆ่าฉู่จงเทียนได้ตั้งแต่แรกแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ออมมือ ล้วนเพราะระแวงสองคนนั้น
“เจ้าหนุ่ม แข็งเกินไปก็หักง่าย พวกเราเคารพอริยะหญิงที่อยู่เบื้องหลังเจ้า หาใช่เคารพเจ้าไม่”
ชายชราคนที่ร่างกายผอมซูบปลอดปล่อยไอเย็นเยียบ สายตาเย็นชา “หากจะลงมือเล่นงานเจ้า เจ้าคิดว่ายังจะสามารถยืนคุยกับข้าได้อยู่หรือ”
“ถุย! หน้าไม่อาย แพ้ก็คือแพ้ ยังจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เช่นนี้ อยากให้คนทั่วหล้าดูถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้าหรือ”
จู่ๆ เสียงด่าโฮกฮากก็ดังก้องขึ้น
จากนั้นเงาร่างสูงใหญ่กำยำของอาหลู่ปรากฏขึ้น พาดกระบองเหล็กยักษ์บนไหล่ เหลือบมองชายชราร่างผอมคนนั้นอย่างเย่อหยิ่ง
หลินสวินอึ้ง เจ้าหมอนี่มาทำไม
“พี่ใหญ่ วันนี้มาเพื่อช่วยท่าน ข้าเชื่อว่าสหายยุทธ์ในลานก็คงดูถูกพฤติกรรมน่ารังเกียจเช่นนี้!”
อาหลู่แสดงพรสวรรค์ในการปากเปราะแล้ว ท่าทางกระตือรือร้น พูดรัวไม่หยุด
ทุกคนในลานต่างเงียบ ไม่มีคนตอบ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากล่วงเกินแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เพราะเรื่องนี้
แต่ในใจกลับรู้สึกว่าอาหลู่ด่าได้สะใจมาก ครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จัดการเรื่องราวได้ไม่ถูกต้องเกินไปจริงๆ
ชายชราร่างผอมยิ้มบางๆ ไม่สนใจอาหลู่ แต่หันมองหลินสวินพร้อมพูดว่า “เจ้าหนุ่ม เตือนเจ้าประโยคหนึ่ง ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า มหายุคกำลังจะมาเยือนแล้ว ถึงตอนนั้นเกรงว่าอริยะหญิงที่อยู่เบื้องหลังเจ้าก็ไม่สามารถคุ้มครองเจ้าได้”
“นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ” นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก แฝงความเย็นเยียบ
“ไม่ใช่ ข้าเพียงแค่เตือนเจ้า อย่าดูถูกสำนักใดๆ ที่สามารถคงอยู่มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความมั่นคงของรากฐาน ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะประเมินได้ จะฆ่าเจ้าก็เป็นเรื่องที่ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ!”
ชายชราร่างผอมพูดเรียบๆ
แน่นอนว่าเขาเองก็เพียงแค่กล้าพูด ไม่กล้าลงมือกับหลินสวิน เพราะกลัวว่าจะล่วงเกินจนทำให้อริยะหญิงลึกลับคนนั้นต้องออกมา หากเขากล้าไม่รักษากฎ ผลกระทบจะต้องรุนแรงอย่างแน่นอน
“หน้าไม่อาย ข่มขู่เป็นอย่างเดียว ตาเฒ่า ทำไมเจ้าถึงหน้าไม่อายขนาดนี้” อาหลู่ที่อยู่ห่างออกไปตะโกน
“หุบปาก!”
ต่อให้ชายชราร่างผอมอารมณ์ดีแค่ไหนก็ถูกอาหลู่กระตุ้นจนโกรธ สีหน้ามืดทะมึน บนร่างแผ่อานุภาพน่าเกรงขามไร้รูปกดดันเข้าไป
ใครจะรู้ว่าอาหลู่กลับคลี่ยิ้ม กระบองเหล็กยักษ์ที่พาดอยู่บนไหล่สะบัดโบก เงาร่างพุ่งขึ้น กระบอกทะลวงฟ้าฟาดเข้ามา
ตอนแรกชายชราร่างผอมยังดูถูก แต่ยามกระบองนี้ฟาดมาสีหน้าก็เปลี่ยนไปกะทันหัน พลันยกมือขึ้นตบออกไปเต็มกำลัง
ตูม!
ภาพที่ทำให้ทุกคนอึ้งจนอ้าปากค้างปรากฏขึ้น ชายชราร่างผอมถูกกระบองฟาดใส่จนปลิวออกไป ล้มพรวดลงในบริเวณที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง กระแทกจนสะบักสะบอมไม่เหลือสภาพ
ส่วนอาหลู่นั่นปลอดภัยหายห่วง!
ทุกคนในลานตะลึงทันที คนป่าเถื่อนนี่แข็งแกร่งเกินไปแล้วมั้ง
มีเพียงหลินสวินที่นิ่งมาก ก่อนหน้านี้ก็เป็นที่นี่ ที่ซูคงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเคยลอบสังหารเขา สุดท้ายกลับถูกอาหลู่ฟาดจนกระเด็นออกไปภายในกระบองเดียว
ต้องรู้ว่าซูคงเป็นถึงราชันที่เหยียบย่างระดับอมตะคนหนึ่ง!
แต่ชายชราร่างผอมที่อยู่ตรงหน้ายังไม่แข็งแกร่งเท่าซูคงด้วยซ้ำ กลับไปล่วงเกินอาหลู่ ก็สมน้ำหน้าแล้วที่เขาเคราะห์ร้าย
“ไอ้หมาแก่หน้าไม่อาย ไอ้ขยะ น่าอับอายขายหน้า!” อาหลู่ได้ใจนัก ด่าว่าตามอำเภอใจ
“สมบัติอริยะหรือ”
ชายชราร่างผอมลุกขึ้น หน้าเขียวไม่น่าดูอย่างที่สุด เขาดูออกแล้วว่ากระบองยักษ์ในมืออาหลู่เป็นสมบัติอริยะที่น่ากลัวมากชิ้นหนึ่ง
“เจ้าเป็นลูกศิษย์สำนักไหน คิดจะหาเรื่องให้ตัวเองหรือ” เสียงของชายชราร่างผอมเผยไอสังหาร
“หาเรื่องปู่เจ้าสิ น่าโมโหนัก!”
อาหลู่หัวเสียขึ้นมาทันที ร้องโวยอย่างเย่อหยิ่ง กระบองยักษ์ที่กวัดแกว่งพุ่งออกมา ราวกับพายุหมุนรุนแรง โหดร้ายและดุดัน
“ไป!”
อีกด้านราชันอีกคนควบคุมเกี้ยวสมบัติทองม่วงทะยานอากาศไป เรียกให้ชายชราร่างผอมตามไปพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว
“คราวหน้าค่อยฆ่าเดรัจฉานอย่างเจ้า!”
ชายชราร่างผอมไฟสุมอก จ้องอาหลู่ที่พุ่งเข้ามาเขม็งทีหนึ่ง ประกาศกร้าวเอาไว้หมายจะจากไป
“ข้าให้เจ้าไปแล้วหรือ”
แต่ตอนนี้เองเสียงเย็นชาของหลินสวินดังขึ้นข้างหูเขา จากนั้นในสายตาปรากฏประกายดาราที่ราวกับมายาแถบหนึ่ง ลงมาเยือนจากฟ้า
แย่แล้ว!
ชายชราร่างผอมลนลานขึ้นมาทันที รับรู้ได้ว่านี่เป็นพลังต้องห้ามของทะเลหมากดารา ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าตอนแรกหลินสวินก็ใช้พลังนี้สังหารเหล่าราชัน
โครม!
เขาแทบจะใช้พลังทั้งหมด ขับเคลื่อนพลังปราณในตัวจนถึงขีดสุด พุ่งทะลวงฟ้าไปทางทิศที่ไกลออกไป ในเวลาเดียวกันยังเรียกกระบี่วิญญาณเล่มหนึ่งออกมา ขวางประกายดาราที่ปกคลุมเข้ามา
ตอนที่ 1109 ข่าวลือของแดนมกุฎ
ทันใดนั้นกระบี่วิญญาณถูกประกายดาราปกคลุม ตัวกระบี่ถูกกัดกร่อน จากนั้นสลายไป
ตอนนั้นเองประกายดาราสายหนึ่งแปรเป็นดาบยาวโฉบออกมา ราวกับดาบตัดวิถีสวรรค์ เฉือนร่างของชายชราอย่างง่ายดาย
ฟุ่บ!
ร่างกายของเขาระเบิดกระจุยกะทันหัน
ทว่าพลังจิตของเขากลับชิงออกจากร่างไปก้าวหนึ่ง หนีเคราะห์ได้สำเร็จ เพียงชั่วพริบตาก็หายไปไร้ร่องรอยแล้ว
ในห้วงอากาศยังคงก้องไปด้วยเสียงคำรามสั่นสะเทือนอย่างที่สุดของเขา
ทุกคนในลานเห็นภาพนี้ต่างผมตั้ง ตกใจอย่างที่สุด ชายชราที่แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบคนหนึ่ง ถูกทำลายกายหยาบไปอย่างง่ายดายเช่นนี้!
ถึงขั้นที่หากไม่ใช่เพราะหนีได้ทันเวลา มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะตายอย่างแท้จริง!
หลายคนเห็นหลินสวินใช้พลังต้องห้ามของทะเลหมากดาราเป็นครั้งแรก ฉะนั้นความตะลึงที่เกิดขึ้น แค่คิดก็รู้ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน
จากนั้นในลานต่างเดือดพล่านขึ้นมา สายตาที่มองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป
นี่คือเทพมารคนหนึ่ง!
แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างฉู่จงเทียนยังพ่ายแพ้ในมือเขา แทบจะสิ้นชีพ
อีกทั้งเมื่อเผชิญหน้ากับการเหยียดหยันดูถูกของระดับราชันคนหนึ่ง เขากลับไม่กลัวเลยสักนิด ยิ่งโต้ตอบด้วยวิธีอันแข็งกร้าว โจมตีจนพลังจิตของอีกฝ่ายต้องหนีออกจากร่าง!
ทุกคนในลานต่างอุทานด้วยความตกใจ แม้จะหายเงียบไปหนึ่งเดือน แต่เทพมารหลินก็ยังเป็นเทพมารหลินคนเดิมที่แข็งแกร่ง ผงาดผยอง และไม่มีใครเทียบคนเดิม!
“พี่ใหญ่ รู้แบบนี้พี่ก็ควรฆ่าเดรัจฉานเฒ่าสองคนนั้นก่อนตั้งแต่แรก จากนั้นค่อยจัดการฉู่จงเทียน เช่นนี้ย่อมสามารถกำจัดทิ้งในทีเดียวได้อย่างแน่นอน ชนะอย่างขาดลอย”
อาหลู่แบกกระบองเหล็กยักษ์ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
กำจัดทิ้งในทีเดียวหรือ
หลินสวินมุมปากกระตุกทีหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ใจดำกว่าตนเสียอีก
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องพวกนี้ เจ้ามาทำไม” หลินสวินถาม
“พี่ใหญ่เจอปัญหา ในฐานะน้องชายจะไม่มาช่วยได้อย่างไร” อาหลู่สีหน้าจริงจัง
หลินสวินถอนหายใจ “อาหลู่ เจ้าหยุดเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ได้แล้ว”
เจ้าหมอนี่รูปลักษณ์ดูแก่ ความหยาบกระด้างเต็มใบหน้า ใครจะจินตนาการได้ว่านี่เป็นชายหนุ่มที่อายุเพียงสิบเก้าปีคนหนึ่ง
หากใครเห็นเขาเรียกตนว่าพี่ใหญ่ ย่อมเข้าใจผิดว่าตนอายุมากกว่าเขาแน่
“ไม่ได้ ท่านก็คือพี่ชายของข้า อีกอย่างเจ้าเฒ่าสารเลวบอกแล้วว่า ต่อไปให้ข้าติดตามท่าน บอกว่าถ้าเป็นเช่นนี้ หลังจากมหายุคมาเยือนเราพี่น้องร่วมมือกัน ก็สามารถกวาดล้างผู้กล้าทั่วหล้า เรียกได้ว่าเป็นราชันเหนือหัว ผ่อนคลายเป็นอิสระ”
อาหลู่เสียงดังมาก น้ำเสียงทรงพลัง
หลินสวินเสมองทุกคนที่อยู่ห่างออกไปแวบหนึ่ง รีบเรียกอาหลู่ไว้แล้วเดินเข้าไปในส่วนลึกของทะเลหมากดารา
เจ้าหมอนี่ปากไม่มีหูรูด คำพูดที่เห็นได้ชัดว่าเกินจริงหลายอย่าง หากเผยแพร่ออกไปก็ไม่รู้ว่าจะถูกเอาไปพูดถึงอย่างไรต่อ
การต่อสู้ครั้งนี้ก็เผยแพร่ออกไปอย่างไม่เหนือความคาดหมายของหลินสวิน ดุเดือดรุนแรง แพร่ไปทั่วทุกสำนักใหญ่ พลันดึงดูดความสนใจจากสายตาไม่รู้เท่าไหร่
ความแข็งแกร่งของฉู่จงเทียนเป็นที่รู้กันทั่วหล้า แต่ก็ยังคงแพ้ เกือบถูกเทพมารหลินฆ่า นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก
หลายสำนักต่างเริ่มประเมินพลังต่อสู้ของหลินสวินใหม่ คิดว่าเขาคงมีพลังต่อสู้ระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ ถึงขั้นที่อาจแข็งแกร่งกว่า!
พอถึงตอนหลัง ยังมีบุคคลล้ำเลิศโดดเด่นจำนวนไม่น้อยปรากฏตัวออกมา หมายจะไปยังทะเลหมากดารากำราบหลินสวิน ใช้เรื่องนี้ยืนยันความแข็งแกร่งของตน
แต่ไม่นานข่าวพวกนี้ก็ถูกปกปิดไปอย่างรวดเร็ว เพราะด้วยมหายุคกำลังจะมาเยือน ดินแดนรกร้างโบราณมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นทุกวัน
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่าชื่อหลิงเซียว มาจากเผ่าโบราณสักแห่งหนึ่ง เก็บตัวเงียบมานานหมื่นปี ตอนนี้ปรากฏตัวอาละวาดบนโลก เปิดฉากเข่นฆ่าระห่ำ
ครั้งแรก ผู้สืบทอดสี่คนของสำนักโบราณแห่งหนึ่งร่วมมือกันโจมตี สุดท้ายถูกชื่อหลิงเซียวระเบิดแหลกระหว่างที่ขยับตัว
จากนั้นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเผ่างูปาเสอถูกชื่อหลิงเซียวสยบ ถลกหนังเลาะเส้นเอ็น จากไปอย่างเกรียงไกร
ต่อมาก็มีบุคคลชั้นยอดอีกหลายคนถูกโจมตีสังหารติดต่อกัน!
นี่ทำให้เกิดความสั่นสะเทือนมากมาย เพราะเป็นการกระทำของคนเพียงคนเดียว ชื่อหลิงเซียวราวกับเทพสังหาร อาละวาดในแดนชัยบูรพา ตลอดทางสังหารบุคคลที่สะดุดตาไม่รู้เท่าไหร่
“ในที่สุดวิชาหกนรกดับโลกาก็ถูกหลอมสำเร็จออกมาแล้ว วิชานี้ทำลายฟ้าสลายดิน ราวกับนรกหลอมจักรวาล มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์สังหารเทพ! คิดไม่ถึงว่าหลังผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดแล้วจะปรากฏในโลกอีกครั้ง!”
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไปก็ฮือฮาไปทั่วหล้า
สัตว์ประหลาดโบราณที่ถูกสะกดมาหมื่นปี ตอนนี้เดินออกจากความเงียบงัน แน่นอนว่ามาเพื่อโอกาสกลายเป็นราชันในมหายุค
อีกทั้งเขายังดุร้ายไร้การควบคุม ประกาศกร้าวไปทั่วอย่างอวดดียิ่งว่า “หรือในบรรดาคนรุ่นเดียวกันในยุคปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถสู้ได้”
นี่ทำให้เกิดระลอกคลื่นทั่วฟ้า
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าสำนักโบราณปรากฏตัว หมายจะลงมือสังหารชื่อหลิงเซียวเงียบๆ แต่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ กลับยังถูกโจมตีกลับ!
เหตุผลก็อยู่ที่ว่า บนตัวชื่อหลิงเซียวมีสมบัติอริยะอานุภาพสะเทือนฟ้า!
“มหายุคยังไม่มาเยือนด้วยซ้ำก็เข่นฆ่ากันแล้ว อวดดีเกินไปแล้ว”
ในแคว้นเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งหนึ่ง สาวสวยชุดขาวคนหนึ่งเดินอยู่บนถนน บริสุทธิ์ไร้มลทิน
รอบตัวนางมีประกายหิมะน้ำแข็งหมุนวน ใบหน้างดงามไร้ที่ติแต่เย็นชา ราวกับภูเขาน้ำแข็งอันเย่อหยิ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกละอายไม่อาจเทียบ
“ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยปรากฏตัวแล้ว!”
วันนี้ในแคว้นนี้มีข่าวแพร่ออกมา สะเทือนทั่วหล้า
ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยเป็นถึงสาวงามที่เมื่อสามพันปีก่อนเคยเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้ผู้กล้านับไม่ถ้วนต้องค้อมตัวให้
ตั้งแต่ที่นางฝึกปราณ ทุกก้าวล้วนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ราวกับเทพธิดา มีรากฐานที่เพียงพอจะทำให้ผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนชื่นชม
“ข้ามาเพื่อมหายุค ไม่อยากสร้างศัตรู และไม่กลัวศัตรู”
นี่คือคำพูดของธิดาเทพหลิ่นเสวี่ย เรียบเฉยและเงียบสงบ แต่กลับเผยความมั่นใจไร้เทียมทาน บุคลิกตะลึงโลก
นอกจากนี้ยังมีข่าวของสัตว์ประหลาดและอัจฉริยะบางส่วนค่อยๆ เผยแพร่ออกมา
บุคคลที่น่าทึ่งกว่าชื่อหลิงเซียวและธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยก็ไม่น้อย!
เมื่อเทียบกันแล้ว ข่าวที่หลินสวินกำราบฉู่จงเทียนก็เป็นเพียงแค่ข่าวหนึ่งในบรรดาข่าวมากมายเท่านั้น ไม่สามารถโดดเด่นที่สุดในสายตาของผู้คนได้
……
เหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน
หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ต้องช่วยกู้อวิ๋นถิง เขาเองก็คร้านจะไปสู้กับฉู่จงเทียน
บนเกาะสันโดษในทะเลหมากดารา
หลินสวินเตรียมเนื้อย่างและเหล้าชั้นดีกำลังต้อนรับอาหลู่และกู้อวิ๋นถิง
“เจ้าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกหรือ”
เดิมทีหลินสวินอยากรู้ข่าวจากปากอาหลู่ ไม่คิดว่าเจ้าหมอนี่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“สนใจพวกสัตว์ประหลาดโบราณ อัจฉริยะ ธิดาเทพ ปีศาจพวกนั้นไปทำไม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าสักนิด คุ้มที่ข้าจะไปใส่ใจหรือ หากกล้าล่วงเกินข้า ฟาดด้วยกระบองให้ตายก็จบมิใช่หรือ”
อาหลู่พูดอย่างไม่ชัดเจน เขากำลังแทะเนื้อหมาดำ กินจนปากมันเยิ้มมีความสุขอย่างมาก ราวกับเหล้าชั้นดีและเนื้อย่างในมือสำคัญกว่าเหล่าผู้กล้าอัจฉริยะที่ปรากฏตัวบนโลก
‘ไม่สนอะไรเลยจริงๆ’ หลินสวินแอบพึมพำในใจประโยคหนึ่ง
เขาเข้าใจแล้วว่าครั้งนี้อาหลู่มาหาตนโดยเฉพาะจริงๆ และยังคิดจะอยู่ต่อไม่ไปไหน บอกว่าจะพุ่งชนมหายุคและช่วงชิงศุภโชคไปพร้อมกับเขา
หลินสวินเองก็ดีใจมาก คิดว่านี่เป็นความเชื่อใจและชื่นชมอย่างหนึ่งของอาหลู่ที่มีต่อตน
ใครจะคิดว่าเหตุผลที่แท้จริงกลับเป็นเพราะว่า อาจารย์ของอาหลู่ ซึ่งก็คือเฒ่าสารเลวนั่นพูดว่า เทพมารหลินนี่ดูก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่ดุร้ายอันตราย เพียงแค่ระวังตัวไว้ไม่ถูกเขาเอาเปรียบ ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เสียเปรียบในมหายุค
บอกว่าดุร้ายและอันตรายก็ช่างเถอะ ยังจะระแวงไม่ให้ถูกตนเอาเปรียบ….
นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่ยอมรับว่า นี่ช่างเป็นเจ้าเฒ่าสารเลวจริงๆ!
“ข้าพอจะได้ยินเรื่องหนึ่ง ตอนนี้มหายุคใกล้เข้ามาทุกที พวกขอบเขตมกุฎของสำนักโบราณเหล่านั้น ล้วนเข้าไปเตรียมความพร้อมในที่ที่มีชื่อว่า ‘แดนมกุฎ’”
จู่ๆ กู้อวิ๋นถิงก็พูดขึ้น คิดว่าข่าวนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อหลินสวิน
ตามคาด หลินสวินพลันถูกดึงดูด ถามถึงเรื่องนี้
“ได้ยินว่าหลังจากมหายุคมาเยือน ดินแดนรกร้างโบราณจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรากฏเขตแดนโบราณลึกลับแห่งหนึ่ง เข้าไปภายในก็จะสามารถช่วงชิงศุภโชคสำหรับการบรรลุระดับมกุฎราชันได้”
“เขตแดนแห่งนี้จึงถูกเรียกว่าแดนมกุฎ”
“สมัยโบราณ แดนมกุฎนี้ก็เคยปรากฏตัวบนโลกมาก่อน ดึงดูดผู้กล้าและอัจฉริยะไม่รู้เท่าไหร่เข้าไปช่วงชิงมหามรรค”
พูดถึงตรงนี้กู้อวิ๋นถิงเสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง “จริงสิ กระดานทองคำผู้กล้าก็จะปรากฏที่แดนมกุฎ”
“ที่นั่นใครก็สามารถเข้าไปได้หรือ”
หลินสวินอดถามไม่ได้ นี่สำคัญมาก
กู้อวิ๋นถิงพูด “ต่ำกว่าระดับราชันล้วนมีโอกาสเข้าไป”
หลินสวินลอบโล่งอก แบบนี้ย่อมดีที่สุด หากไม่มีการจำกัดเช่นนี้ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันและอริยะก็คงอดเข้าไปสำรวจไม่ได้
เพียงแต่ตอนที่หลินสวินอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ของแดนมกุฎอย่างละเอียด กู้อวิ๋นถิงกลับส่ายหน้าบอกไม่รู้ เพราะเขาเองก็แค่ได้ยินมา ไม่เคยมีโอกาสทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ หลินสวินก็สามารถคาดการณ์ออกมาได้ว่า ในมหายุค สำหรับผู้กล้าทุกคนที่อยากบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน เป้าหมายจะต้องเป็นแดนมกุฎอย่างแน่นอน!
นี่ก็หมายความว่า ถึงตอนนั้นผู้กล้าทั่วฟ้าก็จะแย่งกันเข้าไป เปิดฉากต่อสู้ช่วงชิงมหามรรคอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
และจะต้องน่าเวทนามากอย่างแน่นอน!
ถึงอย่างไร ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไปถึงขอบเขตมกุฎระดับราชันได้
‘คาดการณ์เช่นนี้ ถึงตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋เองก็คงเข้าไปที่นั่น…’
หลินสวินคิดในใจ
หลังจากอิ่มท้องอาหลู่หาที่นอนอย่างไม่เกรงใจสักนิด เหมือนว่าหลังจากมีพี่ใหญ่อย่างหลินสวิน ก็สามารถไม่ห่วงอะไรเลยได้ ดูเป็นกันเองมาก
ทีแรกหลินสวินคิดจะรั้งกู้อวิ๋นถิงเอาไว้ แต่อีกฝ่ายตัดสินใจจะจากไปสืบข่าวของมหายุค แม้เขาไม่ใช่บุคคลขอบเขตมกุฎ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะวางมือจากเป้าหมายนี้
นี่ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความนับถือเสี้ยวหนึ่ง กู้อวิ๋นถิงมีจิตใจที่ยึดมั่นขนาดนี้ ขอเพียงแค่ฝึกปราณอย่างไม่ย่อท้อ ต่อไปจะต้องประสบความสำเร็จสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
กู้อวิ๋นถิงจากไปแล้ว ส่วนหลินสวินกับอาหลู่อยู่บนเกาะสันโดษต่อ
หลังจากวันนี้ไป หลินสวินก็เข้าสู่การฝึกฝนอีกครั้ง บ้างก็หยั่งรู้พลังมหามรรค บ้างก็พัฒนาวิชามรรคมากมายที่ตนครอบครอง ไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์
บางทีเขายังศึกษาปริศนาใน ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ เปรียบเทียบมรรคาของตน ลองทำความเข้าใจโดยการเปรียบเทียบ ใช้หนึ่งอนุมานสาม ทำให้หลินสวินเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อยเลย
นี่เป็นถึงคัมภีร์ที่อริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬประพันธ์ขึ้นด้วยกัน ด้วยความยากลำบากผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุด
ภายในไม่เพียงรวมมรรคและวิชาของอารามกษิติครรภ์และเผ่าหงส์ ยังมีความเข้าใจและประสบการณ์ต่อมหามรรคของอริยะสองคน ล้ำค่าอย่างมาก มูลค่าสูงยิ่งกว่าคัมภีร์พิทักษ์สำนักของบางสำนักโบราณเสียอีก!
หลินสวินไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมและไม่ใช่ลูกหลานเผ่าหงส์ แต่กลับสามารถหยั่งรู้และฝึกฝนนัยเร้นลับมากมายในคัมภีร์นี้ได้ จากเรื่องนี้ก็สามารถดูออกว่าคัมภีร์นี้โดดเด่นและไม่ธรรมดาแค่ไหน
เวลาได้ผ่านไปครึ่งเดือนโดยไม่รู้ตัว
วันนี้หลินสวินที่กำลังหยั่งรู้นัยเร้นลับของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ จู่ๆ ก็ตัวสั่น ลืมตาขึ้นมาโดยพลัน
ตอนที่ 1110 กล้าลองเทียบกับผู้กล้าทั่...
เมื่อลืมตาตื่นจากการฝึก สีหน้าของหลินสวินแปลกไปเล็กน้อย
เขาพลิกฝ่ามือ เจดีย์สมบัติไร้อักษรปรากฏขึ้น
โครม!
จากนั้นเสียงที่ราวกับสายฟ้าคำรามดังกึกก้อง แสงสีทองแถบหนึ่งพวยพุ่งออกมา ทะลวงเก้าชั้นฟ้า
อาหลู่ที่หลับอยู่ตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ลุกพรึ่บขึ้น ถือกระบองยักษ์โวยวาย “แม่งเอ๊ย ปีศาจที่ไหนเนี่ย”
ตอนนี้เองแสงทองสว่างสนั่นเกาะตัว ค่อยๆ กลายเป็นเค้าโครงของเงาร่างหนึ่ง เอามือไพล่หลังยืนอยู่กลางอากาศอย่างเย่อหยิ่ง เงยหน้ามองฟ้า พูดพึมพำ
“หมื่นแดนดินบรรพกาล ข้าคือราชัน
ใต้หล้าฟ้าดิน ข้าคุมอำนาจเพียงผู้เดียว
ยามนี้ฟื้นตื่นก่อนมหายุค
กล้าลองเทียบกับเหล่าผู้กล้า!”
เสียงที่ทุ้มต่ำและแฝงความแหบพร่าก้องสะท้อนอยู่กลางฟ้าดิน เหนือศีรษะผืนฟ้าดาราไพศาล แสงประกายสีทองที่ราวกับหมอกควันหายไป ปรากฏรูปลักษณ์ที่แท้จริงของร่างนั้น
นั่นเป็นร่างในชุดคลุมเขียวผิวขาวผ่อง ใบหน้าราวกับหยกบนเกี้ยวประดับ หล่อเหลาอย่างมาก มีดวงตาสีทองอร่ามคู่หนึ่ง ตอนนี้เขาเอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองฟ้า มุมปากเผยองศาอันเปี่ยมเสน่ห์และเย่อหยิ่ง ดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
อาหลู่อึ้งจนอ้าปากค้าง นี่มันเทพเซียนคนใดกัน
มุมปากของหลินสวินกลับกระตุกขึ้นมา ไม่เจอกันหลายปี บุคลิกของเจ้านี่โดดเด่นกว่าเมื่อก่อน ยิ่งดูเจ้าเล่ห์ หลงตัวเองและไร้ยางอายกว่าเดิมแล้ว
แน่นอนว่าคนผู้นี้ก็คือเจ้าคางคก ลูกหลานเผ่าคางคกทองสามขาจินตู๋อี
เจ้าคางคกหันหน้ามา สีหน้าเคร่งขรึมกล่าวโทษว่า “เจ้าหลินน้อย เห็นข้าปรากฏตัวกลางอากาศ ยังไม่รีบโขกหัวคารวะอีก”
อาหลู่สูดหายใจด้วยความตกใจ เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน กล้าเรียกพี่ใหญ่ของตนว่าเจ้าหลินน้อย
กลับเห็นหลินสวินแสร้งยิ้ม “โขกหัวคารวะหรือ”
เจ้าคางคกพูดอย่างไม่ชอบใจ “เจ้าโง่! เจ้าหลินน้อยเจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้าจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ จะบอกเจ้าให้ว่าสายเลือดพรสวรรค์ของข้าได้ตื่นขึ้นแล้ว ครอบครองวิชาลับหนึ่งเดียวกลางฟ้าดิน การปรากฏตัวครั้งนี้จะเหยียบย่ำผู้กล้าทั่วหล้า กวาดล้างทั่วโลก ขึ้นสู่ระดับมกุฎราชัน!”
พูดถึงตรงนี้เขามองลงมายังหลินสวิน พูดอย่างเย่อหยิ่ง “เพราะฉะนั้นเจ้ารีบเข้ามาก้มหัวคารวะข้าเสียเถอะ ไม่แน่ว่าข้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ตอนที่บรรลุระดับราชันจะมอบวาสนาให้กับเจ้าสักหน่อย เพียงพอที่เจ้าจะใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”
อาหลู่อึ้งตาค้างไปทันที อวดดีขนาดนั้นเชียว
กลับเห็นหลินสวินเพียงยิ้ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้”
เจ้าคางคกเหลือบมองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้าหรอกนะ!”
ป๊าบ!
เพิ่งสิ้นเสียงหลินสวินก็ลงมือ ฝ่ามือหนึ่งสะบัดใส่ท้ายทอยเจ้าคางคก อีกฝ่ายเซ เดือดดาลขึ้นมาทันที ตะเบ็งเสียงว่า “เจ้าหลินน้อย เจ้ากล้า…”
ป๊าบ!
หลินสวินลงมือฉับไวราวกับสายฟ้า ตบท้ายทอยเขาอีกทีหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าหลินน้อย?”
“นี่เจ้ากำลังหมิ่นราชัน!”
เจ้าคางคกโวย โกรธจนหัวเสีย รอบตัวเขาแผ่แสงประกายสีทองอร่าม เมื่อลืมตาทั้งสองขึ้น เปลวเพลิงน่ากลัวไร้ขอบเขตวาบออกมา ราวกับทะเลเพลิงลุกโชนอยู่ภายในนัยน์ตา
อานุภาพน่ากลัวอย่างที่สุดขึ้นมาทันที
“หมิ่นราชัน?”
หลินสวินเลิกคิ้ว
เจ้าคางคกแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ ไม่สามารถเทียบกับเมื่อก่อนได้ แต่กลับยังต้านฝ่ามือของหลินสวินไม่ไหว เมื่อสะบัดออกไปอีกครั้งก็ตบจนเขาลื่นถลา แทบจะล้มท่าสุนัขก้มจับขี้
“แม่ง เจ้าแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร”
เจ้าคางคกลนลานขึ้นมา ไม่เหลือกลิ่นอายเย่อหยิ่งอีกต่อไป กุมท้ายทอยเอาไว้อย่างขึ้งโกรธหัวเสีย ท่าทางเดือดดาลเต้นเร่าๆ
เห็นหลินสวินยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง เจ้าคางคกพลันร้องเสียงหลง โบกมือพูด “อย่าตีๆ ยังเห็นข้าเป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาอยู่ไหมเนี่ย”
หลินสวินยิ้มเยาะ “เจ้าเพิ่งจะนึกออกหรือ”
ป๊าบ!
ฝ่ามือหนึ่งตบที่ท้ายทอยอีกครั้ง
เจ้าคางคกเกือบจะน้ำตานองหน้า ครั้งนี้เขาปิดด่านนานปี ฟื้นพรสวรรค์สายเลือดได้สำเร็จ พลังปราณเกิดการเปลี่ยนแปลงปานถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ต่างจากเมื่อก่อนมาตั้งนานแล้ว
เดิมทีคิดว่าออกด่านครั้งนี้จะสามารถมองข้ามทุกคน กวาดล้างคนในรุ่นเดียวกัน มีหรือจะคิดว่าเพียงแค่หลินสวินคนเดียวเท่านั้น ก็ตบจนเขาไม่อาจต้านทานได้!
“ใครคือเจ้าหลินน้อย” หลินสวินถาม
สีหน้าของเจ้าคางคกอึมครึมไม่นิ่ง ราวกับไม่สามารถยอมรับความจริงอันโหดร้ายที่ถูกหลินสวินโจมตี
เพียงแต่ตอนที่เห็นหลินสวินยกฝ่ามือขึ้น เขาพลันตะโกน “บนโลกนี้มีแค่เจ้าจินน้อย ไม่มีเจ้าหลินน้อย”
เจ้าจินน้อยหรือ
หลินสวินชะงัก จากนั้นถึงค่อยมีปฏิกิริยาขึ้นมา เจ้าคางคกก็คือจินตู๋อีมิใช่หรือ
เพียงแต่ เจ้าหมอนี่เรียกตนว่าเจ้าจินน้อย เหตุใดจึงน่าขยะแขยงเช่นนี้…
“งั้นข้าจำต้องโขกหัวคารวะอีกหรือไม่” หลินสวินถามอีก
เจ้าคางคกรีบส่ายหน้า พูดอย่างเก้อเขิน “พูดเล่น แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
ในใจกลับเดือดดาลอย่างที่สุด เก็บตัวเงียบมาหลายปี เดิมทีคิดว่าจะสามารถทำตามอำเภอใจอย่างไม่มีอะไรต้องกลัว เหนือกว่าหลินสวินไประดับหนึ่ง แต่กลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
อนาถจริง!
เขาโอดครวญในใจ
หลินสวินขานรับว่าอ้อ แล้วถามต่อว่า “ข้าถือว่าหมิ่นราชันหรือไม่”
เจ้าคางคกแทบทรุด รีบพูดว่า “ข้าเรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่แล้ว พอใจไหม ไม่เคยเจอใครที่รังแกกันขนาดนี้เลย!”
“ฮ่าๆๆ ข้าก็คิดว่าจะจะเก่งกาจขนาดไหน ที่แท้ก็แค่เจ้าอ่อนหัดไร้ประโยชน์ แม่งเอ๊ย เมื่อครู่นี้เกือบจะตกใจตายแล้ว”
อาหลู่ที่อยู่ข้างๆ หัวเราะลั่นอย่างกำเริบเสิบสาน ดูถูกเจ้าคางคกอย่างมาก
เห็นว่าเจ้าคนที่ราวกับคนป่าเถื่อนคนหนึ่งยังกล้าหัวเราะเยาะตน เจ้าคางคกเดือดดาลขึ้นมาทันที พลันพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคนป่า เจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน กล้าหัวเราะเยาะข้า เชื่อไหมว่าข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
อาหลู่คลี่แสยะยิ้ม “ไม่เชื่อ”
“เจ้า…” เจ้าคางคกเดือดดาลอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถูกหลินสวินตีก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้แม้แต่คนป่าเถื่อนคนหนึ่งยังกล้าท้าทายเช่นนี้ นี่ทนไม่ได้แล้ว!
ตูม!
เขาก้าวออกมาทันที ฝ่ามือยื่นคว้า ประกายสีทองสว่างไสวโคจร ปรากฏลักษณ์ประหลาดน่าตะลึงที่กลืนตะวันคายจันทรา เคลื่อนย้ายดาราขึ้นมาท่ามกลางความรางเลือน
ชั่วพริบตานี้อานุภาพของเจ้าคางคกน่ากลัวถึงขีดสุด!
หืม!
หลินสวินแปลกใจ สะบัดแขนเสื้อ กระจายพลังต้องห้ามของทะเลหมากดาราออกไป เลี่ยงไม่ให้ทำร้ายเจ้าคางคก
ในเวลาเดียวกันอาหลู่เองก็หัวเราะลั่นออกมา ลงมือต่อสู้กับเจ้าคางคก
ตูม!
ทันใดนั้นทั้งสองปะทะกัน เกิดเสียงกึกก้องน่ากลัว ทำให้ฟ้าดินทั้งผืนยังสั่นไปด้วย
เจ้าคางคกเปล่งประกายไปทั่วทั้งตัว ประกายสีทองพุ่งทะลวงฟ้า เขาสำแดงวิชามรรคที่เรียกได้ว่าตะลึงโลกอย่างหนึ่ง ทุกการโจมตีที่ปล่อยออกไป ล้วนเผยอานุภาพยิ่งใหญ่ที่กลืนและคายตะวันจันทรา ทั้งดุเดือด รุนแรงและป่าเถื่อน
เริ่มแรกอาหลู่ไม่ทันสังเกตจึงถูกกำราบ เห็นได้ชัดว่าสะบักสะบอมอยู่บ้าง
นี่ทำให้เขาหัวเสีย “เจ้าอ่อนหัด คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ หรือ”
ตูม!
เงาร่างที่ราวกับภูเขาสูงใหญ่ของอาหลู่ขยายออก เลือดลมเดือดพล่านราวกับมหาสมุทร ประหนึ่งเทพเถื่อนองค์หนึ่ง ระหว่างเคลื่อนไหวห้วงอากาศคล้ายรับพลังของกายหยาบนั่นไม่ไหว เกิดเสียงระเบิดแสบหู ปั่นป่วนถล่มทลาย
“โอ๊ะ ดูไม่ออกเลยว่าคนป่าอย่างเจ้าคือพวกที่เดินบนมรรคากายหยาบบรรลุอริยะ หากข้าดูไม่ผิด ที่เจ้าฝึกคงเป็น ‘วิชาดาวเหนือสยบโลกา’ สินะ”
เจ้าคางคกแปลกใจเล็กน้อย ราวกับยากจะเชื่อ “เจ้าเป็นอะไรกับเผ่าช้างเทพจักรพรรดิบรรพกาล”
“หยุดพูดไร้สาระ ลูกหลานเผ่าคางคกทองของพวกเจ้าหน้าตัวเมียกันหมดเลยหรือ เหตุใดจึงจู้จี้ขนาดนี้!”
อาหลู่คำราม เงาร่างยิ่งใหญ่ดุดันพุ่งทะลวงอากาศ สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่ารูขุมขนรอบตัวเขาขยายออก ปรากฏภาพมายาช้างเทพมากมาย ใช้ร่างกายเป็นคุก เหยียบย่างฟ้าดารา กำราบหมื่นโลกา!
พลานุภาพนี้ทำให้ฟ้าดินต่างเปลี่ยนสี
“หน้าตัวเมียหรือ ข้าจะตีคนป่าอย่างเจ้าให้ตาย!”
เจ้าคางคกร้องราวกับถูกกระตุกหนวด พุ่งขึ้นไปเข่นฆ่ากับอาหลู่อย่างบ้าคลั่ง
ทั้งสองต่อสู้กันอยู่ภายใต้ฟ้าดารา รัศมีแสงแผ่กระจาย เมฆลมสั่นสะเทือน สำแดงการต่อสู้ที่สะเทือนโลก
หลินสวินไม่ได้ห้าม เงยหน้าขึ้นมองการต่อสู้ ในใจกลับไม่สงบนัก
เขาดูออกแล้วว่าหลังจากเจ้าคางคกปิดด่านฝึกมาหลายปี ได้กลายเป็นคนละคนจากเมื่อก่อน และเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาระดับกระบวนแปรจุติแล้ว!
นี่น่ากลัวมาก
ต้องรู้ว่าตอนอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ พลังต่อสู้ของเจ้าคางคกยังอ่อนแออย่างมาก ถึงขั้นเคยพูดว่าถ้าเขาไม่สามารถปลุกพรสวรรค์สายเลือดให้ตื่นขึ้นมา ก็ยากมากที่จะแสดงพลังต่อสู้ออกมา
แต่ตอนนี้เขาแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว เปลี่ยนแปลงไปมาก ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎในก้าวเดียว พัฒนาการนี้เรียกได้ว่าตะลึงโลกอย่างแน่นอน
อีกอย่างวิชามรรคที่เขาครอบครองก็น่ากลัวอย่างที่สุด กลืนตะวันคายจันทรา เคลื่อนย้ายดารา ชักนำอานุภาพทั่วฟ้า มหัศจรรย์เกินคาดเดาและสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตจริงๆ
จากการที่เขาสามารถต่อสู้กับอาหลู่ได้โดยไม่เสียเปรียบก็ดูออกแล้ว
ต้องรู้ว่าอาหลู่เป็นถึงสิบอันดับแรกในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์
อีกอย่างปีนี้เพิ่งจะอายุสิบเก้าปี มาจากแดนลับแห่งหนึ่ง ทั้งยังเดินบนมรรคากายหยาบบรรลุอริยะ ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าคางคกกลับสามารถต่อสู้กับเขาได้ ทำให้หลินสวินอึ้งไม่น้อยเลยจริงๆ
เช่นเดียวกัน พลังต่อสู้ที่อาหลู่สำแดงออกมาก็ทำให้ในใจหลินสวินไม่สามารถสงบได้
เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าในการแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์ อาหลู่ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างนี้ ราวกับว่าในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองเดือน ในตัวอาหลู่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งบางอย่างเช่นกัน
‘วิชาดาวเหนือสยบโลกา เผ่าช้างเทพจักรพรรดิบรรพกาล… ที่เจ้าคางคกพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่’
หลินสวินเพิ่งจะพบว่า ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่รู้จักอาหลู่อย่างแท้จริง เจ้าคนที่ราวกับคนป่าผู้นี้ ความจริงคงมีที่มาที่น่าทึ่งอย่างมาก!
ตูม!
ทันใดนั้นอาหลู่ที่อยู่บนฟากฟ้ากวัดแกว่งกระบองเหล็กยักษ์ ราวกับเทพเถื่อนองค์หนึ่งสะบัดอาวุธเทพทะลวงฟ้า แสดงพลังทำลายล้างน่ากลัวไร้ขอบเขตออกมา
“กระบองเก้าหลอมช้างเทพ! คนป่าอย่างเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าช้างเทพจักรพรรดิจริงๆ ด้วย!” เจ้าคางคกคล้ายตกใจยกใหญ่
เขาไม่รีรอ ตรงตำแหน่งหว่างคิ้วปลดปล่อยแสงทองที่สว่างไสวราวกับภาพฝัน
มองไปอย่างละเอียด นั่นเป็นสมบัติที่ราวกับเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง ด้านนอกกลมด้านในเหลี่ยม ซ้ายขวาสองข้างมีปีกสีทองงอกขึ้นมา มีลายมรรคที่คลุมเครือและแปลกประหลาดปรากฏอยู่ด้านบน ส่องแสงเรืองรองราวกับตะวันดวงน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เคร้ง!
เพียงการโจมตีเดียวเท่านั้น กระบองเหล็กยักษ์ของอาหลู่กลับถูกตีจนส่งเสียงก้องรุนแรง แทบปลิวหลุดมือไปอย่างเสียการควบคุม
“เหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่น!? บนโลกนี้มีของเล่นเช่นนี้จริงๆ งั้นหรือ”
อาหลู่ตะโกนร้อง เปล่งพลังโดยพลัน พลังรอบตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงได้สามารถควบคุมกระบองยักษ์ในมือไว้มั่น ไม่ได้หลุดออกไป
ครืนโครม!
ทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ห้วงอากาศถูกระเบิด ฟ้าดินปั่นป่วน ทะเลแถบนี้ยังม้วนตลบอย่างรุนแรงตามไปด้วย
หากไม่ใช่เพราะหลินสวินควบคุมพลังต้องห้ามของทะเลนี้ไว้ก่อนแล้ว เพียงแค่ระลอกคลื่นจากการต่อสู้ ก็สามารถดึงดูดการกำราบของค่ายกลวัฏจักรดาราได้แล้ว
เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว เขาถูกการต่อสู้ของเจ้าคางคกและอาหลู่ดึงดูดความสนใจอย่างสิ้นเชิง ในใจไม่สามารถสงบได้
ไม่ว่าจะเป็นอาหลู่หรือเจ้าคางคง ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ วิธีการต่อสู้ที่เผยออกมาก็ยิ่งน่าทึ่ง ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินไม่เคยเห็นมาก่อน จะให้เขาสงบนิ่งได้อย่างไร
‘เดี๋ยวจะต้องถามเจ้าสองคนนั้นให้รู้เรื่อง!’ หลินสวินลอบตัดสินใจ
ตอนที่ 1111 ศุภโชคเย้ยฟ้าที่ถูกผนึก
ตุ้บ! ตุ้บ!
ในที่สุดเจ้าคางคกกับอาหลู่ก็ถูกหลินสวินแยกออกจากกัน โยนลงบนพื้นจากห้วงอากาศ
ขืนตีกันต่อไปอีก ทั้งสองคนจะต้องตีกันจนเดือดดาลจริงๆ แน่ นี่เป็นสิ่งที่หลินสวินไม่อยากเห็น
เจ้าคางคกหน้าบวมเขียว ใบหน้าหล่อเหลาดุจบุปผาบานยับเยินหาใดเทียบ นอนหายใจหอบอยู่กับพื้น
อาหลู่กระตุกเกร็งไปทั้งร่าง ผิวหนังทุกกระเบียดนิ้วสั่นระริก หอบหายใจเหมือนวัว
“สมกับเป็นวิชาดาวเหนือสยบโลกาอันสะเทือนนิรันดร์กาล พลังประหนึ่งช้างเทพสยบฟ้าดารา อานุภาพดุจมหาราชันกำราบชั่วกัลป์ วันนี้ได้เห็นฤทธิ์เดชของวิชานี้ ข้าดีใจยิ่งนัก”
เจ้าคางคกสีหน้าลุ่มลึก ทอดถอนใจไม่ว่างเว้น
เพียงแต่ศีรษะของเขาบวมแดงเป็นหัวหมู ดูไม่ลุ่มลึกเลยสักนิด น่าขันนัก
“เฮ้อ สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว ‘คัมภีร์กลืนตะวันคายจันทรา’ ของเผ่าคางคกทองมีอานุภาพแกร่งกล้านัก เป็นความมหัศจรรย์แห่งการช่วงชิงศุภโชคฟ้าดิน ได้รับยกย่องว่าเป็นวิชาอัศจรรย์ไร้แห่งยุคบรรพกาล ตัวข้าอ่อนหัดสู้ผู้อื่นไม่ได้เลย”
อาหลู่ก็ทอดถอนใจไม่ว่างเว้น เพียงแต่เขากระตุกไปทั้งตัว เหมือนเจ็บปวดยิ่ง หน้าตาบิดเบี้ยว ดูขัดกันมาก
“พวกเรานี่ก็ถือว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”
“นั่นสิ สู้ได้สาแก่ใจนัก”
“ได้พบหน้ากันถือว่ามีวาสนา ไม่สู้พวกเรามาผูกมิตรเป็นสหายกันเถอะ”
“ดีเลย ตรงกับที่ข้าคิดพอดี!”
เจ้าคางคกกับอาหลู่ยิ่งคุยกันก็ยิ่งยินดีปรีดา ท่าทางชื่นชมกันและกัน เสียดายที่ไม่ได้พบกันเร็วกว่านี้ เหลือแต่ไม่ได้ร่ำสุราพูดคุย ยกจอกร่วมดื่มแล้ว
“พอแล้ว!”
หลินสวินอดกลั้นความระอาในใจ ดึงคนสองคนที่ชื่นชมกันเองให้แยกออกจากกัน
“พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าน้องชายชุดเขียวผู้นี้เป็นน้องสามได้”
สายตาอาหลู่มองไปที่หลินสวินอย่างจริงใจ
เจ้าคางคกอึ้งไป ยิ้มพูดว่า “นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง ข้าสาบานตัวเป็นพี่น้องกับหลินสวินมานานแล้ว เจ้ามาทีหลัง ลำดับของพวกเราจะรวนไม่ได้ ให้ข้าเป็นน้องรองดีกว่ากระมัง”
อาหลู่ส่ายหน้า “ทำแบบนี้ได้ที่ไหน”
เจ้าคางคกนิ่วหน้า “ทำแบบนี้ไม่ได้ที่ไหน นี่มันหลักการฟ้าดินนะ”
อาหลู่เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่ได้จะชิงเป็นน้องรองกับข้าใช่ไหม”
เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ายังเด็ก น้องรองไม่ได้เป็นกันง่ายปานนั้นนะ นี่ข้าหวังดีกับเจ้าหรอก!”
อาหลู่ผุดลุกขึ้น พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “น้องรองนี่ต้องให้ข้าเป็น!”
ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังมีท่าทางเสียดายที่เจอกันช้าไป แต่ตอนนี้ชั่วขณะเดียวกลับตึงเครียดขึ้นมา ทำให้หลินสวินงงงวยไปครู่หนึ่ง
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เจ้าสองคนนี้แย่งกันเป็น ‘น้องชาย’ เสียอย่างนั้น…
น้องชายนะ!
หลินสวินสีหน้าพิกล อดไม่ได้เอ่ยถามว่า “น้องชายทุกคนล้วนมี ทำไมต้องแย่งกันเป็นด้วย”
เจ้าคางคกกับอาหลู่อึ้งไป จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีแล้ว ท่าทางเหมือนกินแมลงวันตาย
“ช่างเถอะ เจ้าเป็นน้องรองเถอะ” เจ้าคางคกเผยท่าทีใจกว้าง
“ข้าเป็นไม่ได้ เจ้าเป็นเถอะ” อาหลู่ก็เริ่มปัดให้อีกฝ่าย
ในใจทั้งสองคนกระอักกระอ่วนขึ้นมาครู่หนึ่ง เมื่อกี้คิดแต่จะกดหัวอีกฝ่าย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคำว่าน้องชายรองนี่ไม่ได้เป็นคำที่ดีอะไร
ชายชาตรีที่ยังมีของสงวน ทุกคนก็ไม่ได้มีน้องชายของตัวเองทุกคนหรอกหรือ
ใครมันจะอยากเป็นของพรรค์นี้กัน
ยิ่งคิดในใจทั้งสองก็ยิ่งคลื่นไส้ เสียใจจนอกไหม้ไส้ขม ถ้ารู้แต่แรกก็คงรีบตอบรับอีกฝ่ายอย่างเต็มใจ!
หลินสวินกลับสนุกเสียแล้ว หัวเราะอย่างเหิมเกริม
……
เจ้าคางคกตื่นแล้ว หลินสวินดีใจนัก
ต่อมาหลินสวินก็ได้รู้ว่าหลายปีมานี้ที่เจ้าคางคกปิดด่าน ปลุกพรสวรรค์ของเผ่าคางคกทองสามขาให้ตื่นขึ้นโดยราบรื่น ได้รับพลังมรดกที่ประทับอยู่ในสายเลือดมาแล้ว
‘คัมภีร์กลืนตะวันคายจันทรา’ หนึ่งวิชา
‘เหรียญทองแดงปราบสมบัติ’ หนึ่งเหรียญ
วิชายุทธ์เป็นมรดกสูงสุดของเผ่าคางคกทอง ส่วนสมบัติเป็นศาสตราจิตประจำตัวของเจ้าคางคก
“ที่แท้ก็ไม่ใช่เหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่น” อาหลู่เหมือนจะผิดหวังอยู่บ้าง
เจ้าคางคกกลอกตา “เจ้าจะไปรู้อะไร เหรียญทองแดงปราบสมบัติของข้านี้ ถ้าเคี่ยวกรำถึงขีดสุดแล้วก็จะแปรสภาพเป็นเหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่นที่แท้จริงได้!”
อาหลู่ยิ้มหยัน “กลัวแต่เจ้าจะทำไม่ได้น่ะสิ”
“เหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่นร้ายกาจมากหรือ” หลินสวินถาม
เจ้าคางคกพลันยกยิ้มขึ้นพูดว่า “ฉายาว่าสามารถกำราบสมบัติทั้งมวลในใต้หล้าได้ จะไม่ร้ายกาจได้หรือ แต่ว่าสมบัตินี้เป็นเพียงตำนาน ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยังไม่เคยมีใครได้เห็น”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดคุยโวว่า “แต่ว่าเหรียญทองแดงปราบสมบัติของข้าก็ไม่ธรรมดา ภายในมีไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานสายหนึ่ง เก็บซ่อนความเร้นลับแรกกำเนิดไว้ ขอเพียงเรียกออกมา แม้ไม่อาจเอาชนะสมบัติอริยะได้ แต่กำราบยอดศาสตรามรรคราชันบางชิ้นก็เหลือแหล่!”
คราวนี้อาหลู่ไม่ได้โต้กลับอย่างหาได้ยาก เพราะเมื่อกี้เขาเพิ่งแลกหมัดกันไป รู้ดีถึงความร้ายกาจของเหรียญทองแดงปราบสมบัตินี้
จากนั้นอาหลู่ก็เปิดเผยว่าที่เขาฝึกคือ ‘วิชาดาวเหนือสยบโลกา’ จริงๆ แต่จะเกี่ยวข้องกับช้างเทพจักรพรรดิบรรพกาลหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เช่นกัน
“ในสมัยบรรพกาล ช้างเทพจักรพรรดิเคยเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งของโลก ครอบครองอานุภาพเทียมฟ้า หลายคนต่างคาดเดาไว้ว่าเขาทลายสิ่งกีดขวางแห่งสูงสุดของอริยมรรคได้แล้ว หลุดพ้นจากโลก อยู่เหนือธรรมดาโดยสมบูรณ์ ได้มหสติและมหอิสระไปแล้ว”
เจ้าคางคกพูดปริศนาขึ้นมาคำหนึ่ง “เพียงแต่ภายหลัง ช้างเทพจักรพรรดิกลับหายสาบสูญอย่างประหลาด ไม่ได้ปรากฎตัวในโลกอีก”
ในการปิดด่านคราวนี้เพื่อปลุกพรสวรรค์ในสายเลือด ทำให้เขาปลุกความทรงจำมากมายที่ถูกผนึกไปอย่างเงียบเชียบขึ้นมาด้วย
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจ้าคางคกก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอาหลู่ปราดหนึ่ง
อาหลู่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่ามาถามข้า ถามข้าก็ไม่รู้”
“เช่นนั้นเจ้ารู้อะไร” เจ้าคางคกออกจะไม่พอใจ
“ข้ารู้แค่ว่า ในข่าวลือเผ่าคางคกทองสามขาสูญสิ้นไปตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว คิดไม่ถึงว่าทายาทจะยังดำรงอยู่บนโลก หนำซ้ำยังฟื้นมรดกที่ประทับลงไปในสายเลือดเสียด้วย”
อาหลู่ตาเป็นประกาย จ้องมองเจ้าคางคก “ตามที่ข้ารู้ แม้แต่ในหมู่สายเลือดคางคกทองสามขา ก็ไม่ใช่ทุกคนสามารถปลุกมรดกสายเลือดให้ตื่นขึ้นมาได้”
เจ้าคางคกพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เรื่องของเผ่าข้า เจ้าจะไปรู้อะไร”
อาหลู่ถากถางสวนกลับไปว่า “ข้าเกี่ยวข้องกับช้างเทพจักรพรรดิหรือไม่ เจ้าจะไปรู้อะไรล่ะ”
หลินสวินรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เจ้าสองคนนี้ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ จุดประกายให้ตีกันง่ายนัก
“หลินสวิน มหายุคกำลังจะมาเยือน นี่เป็นมหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และต้องเป็นครั้งที่ตระการตาที่สุดครั้งสุดท้ายของยุคนี้ ในภายหลังก็จะโรยราลงเท่านี้”
เจ้าคางคกผุดลุกขึ้นทันที ดวงตามองขึ้นไปบนเวิ้งฟ้า น้ำเสียงเร้าใจฮึกเหิม “นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่พวกเราจะเดินหน้าเอาชัย ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสอื่นแล้ว!”
จากนั้นเขาก็มองไปยังหลินสวิน “เจ้า มีแผนอะไรไหม”
หลินสวินนิ่งไป “บรรลุระดับราชันขอบเขตมกุฎนับด้วยมั้ย”
เจ้าคางคกตบเข่า “สมเป็นพวกเรา มหายุค ที่เสาะแสวงก็คือระดับเช่นนี้ เมื่อแดนมกุฎมาเยือน ก็จะถึงคราวที่พวกเราผงาดขึ้นเป็นราชัน!”
“เจ้าก็รู้จักแดนมกุฎหรือ”
หลินสวินประหลาดใจ
“ไร้สาระน่า ในยุคบรรพกาลก็เคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร”
เจ้าคางคกดูถูกนัก เจ้าหมอนี่ก็เป็นเสียอย่างนี้ ระหว่างที่ไม่ทันรู้ตัวก็จะอวดดีเช่นนี้ จองหองยิ่งนัก
ฝ่ามือข้างหนึ่งหลินสวินตบเข้าที่ท้ายทอยของเขา กดความจองหองของเขาได้ทันที ตอนนี้เขาถึงเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับแดนมกุฎให้หลินสวินฟังแต่โดยดี
“ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันล้วนสามารถเข้าไปในแดนมกุฎ สมัยบรรพกาลทุกครั้งที่แดนมกุฎมาเยือน จะต้องดึงดูดสายตาของผู้ฝึกปราณทั้งใต้หล้า ไม่ว่าใคร ขอเพียงพลังปราณไม่เกินระดับระชันล้วนเค้นสมองแย่งกันเข้าไปในนั้น เจ้ารู้ไหมว่าทำไม”
“ง่ายมาก! ศุภโชคกับวาสนาในแดนมกุฎมีมากมายนัก! มากจนสามารถทำให้ไม่ว่าสำนักใดหรือเผ่าโบราณไหนตาลุกวาว!”
เจ้าคางคกพูดจนน้ำลายแตกฟอง ท่าทางเหมือนพูดเรื่องใหญ่ในใต้หล้า
“พวกเราทำเพื่อช่วงชิงศุภโชคของขอบเขตมกุฎระดับราชัน แต่ผู้ฝึกปราณคนอื่นทำเพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชคอื่น สรุปแล้ว นี่ก็คือการชิงเอาสิ่งที่แต่ละคนต้องการ”
หลินสวินอดไม่ได้ถามออกไปว่า “ตกลงภายในนั้นมีศุภโชคกับวาสนาอะไรกันแน่”
“วิชามรรค มรดก สมบัติโบราณ เจตวัตถุ ทรัพย์เซียน… ยังมีอักษรมรรค ครรภ์วิญญาณ สามารถทำให้อริยะบ้าคลั่งได้ทั้งสิ้น!”
ดวงตาสีทองของเจ้าคางคกเจิดจ้า ส่องประกายลุกวาว “ถึงขั้นยังมีคนเคยพบรังเจินหลง ถ้ำหงส์เซียนในนั้น! วาสนาเย้ยฟ้านานาชนิดเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้!”
หลินสวินก็อดไม่ได้สูดหายใจเยียบเย็น “จริงหรือ”
“ไม่มีทางไม่จริง”
เจ้าคางคกเอ่ย “อย่างน้อยที่สุดข้าก็รู้ว่าในยุคบรรพกาล เคยมีเด็กเลี้ยงวัวที่มีพลังปราณเพียงระดับกำลังภายในเท่านั้น บังเอิญได้กลืนกินผลไม้เทพผลหนึ่งในแดนมกุฎ ภายในเวลาสั้นๆ แค่ร้อยวันก็เป็นราชันได้ในครั้งเดียว!”
หลินสวินอึ้งไป เรื่องนี้ฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว บนโลกนี้ยังมีสถานที่มหัศจรรย์หาใดเทียบเช่นนี้ด้วยหรือ
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเพิ่งตื่นขึ้นในยุคนี้”
เจ้าคางคกเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยลับลมคมใน
ไม่ทันที่หลินสวินจะเอ่ยถาม เขาก็ตอบออกมาเองว่า “เพราะว่าในยุคบรรพกาล แม้แดนมกุฎจะเคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง แต่ศุภโชคเย้ยฟ้าบางอย่างในนั้นกลับถูกผนึกอยู่! ตามการสันนิษฐานของผู้มากความสามารถยุคบรรพกาลเหล่านั้น มีเพียงตอนที่มหายุคที่งดงามตระการตาครั้งหนึ่งเท่านั้น ศุภโชคที่ถูกผนึกไว้เหล่านั้นถึงจะถูกคนเสาะหาและคว้าไปได้!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกก็อดไม่ได้ถอนใจออกมา “หากไม่ใช่เพราะศุภโชคเย้ยฟ้าเหล่านี้ถูกผนึก ไม่อาจถูกทลายได้ ในยุคบรรพกาลต้องมีระดับมกุฎราชันถือกำเนิดขึ้นไม่น้อยแน่”
หลินสวินพลันตระหนักได้ขึ้นมา พูดว่า “พูดแบบนี้ เจ้าตื่นขึ้นมาในยุคนี้ก็เพื่อรอคอยให้มหายุคมาเยือน จะได้เข้าไปในแดนมกุฎใช่ไหม”
เจ้าคางคกพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าสับสนนึกอะไรไม่ออกเลย เป็นเพราะพลังสายเลือดภายในกายข้าถูกผนึกไว้ ถึงขนาดที่ความทรงจำข้าขาดหาย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้ารู้อดีตของตัวเอง รู้แล้วว่าควรทำอะไร”
หลินสวินรู้ชัดว่าเจ้าคางคกในตอนนั้นอ่อนแอจริงๆ ขนาดตัวเองตื่นขึ้นมาได้อย่างไร มายังโลกนี้ได้เช่นไรยังไม่รู้
จากนั้นหลินสวินก็นึกอีกเรื่องหนึ่งออก
ช่วงใกล้ๆ นี้ในดินแดนรกร้างโบราณมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณไม่รู้เท่าไรถือกำเนิดขึ้นอย่างโดดเด่น ก่อให้เกิดความสะเทือนในใต้หล้า
บ้างเป็นอัจฉริยะเหนือธรรมดาที่เก็บตัวเงียบเชียบหลายพันปี
บ้างเป็นสัตว์ประหลาดและปีศาจที่เก็บตัวเงียบมาหมื่นปีขึ้นไป
กระทั่งยังมีผู้ที่เก็บตัวเงียบมานานกว่านั้น เช่นคุณชายน้อยที่อยู่บนเกาะอริยะปัญจธาตุผู้นั้น เซ่าเฮ่านายน้อยเผ่าราชันเร้นดาราที่เก็บตัวเงียบเชียบในไข่แห่งกลุ่มดาว ก็น่าจะจำศีลหลับไหลมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลทั้งนั้น!
และตอนนี้หลินสวินถึงเพิ่งค้นพบว่าเจ้าคางคกที่อยู่ข้างกาย ก็ไม่ใช่ว่าเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณตัวหนึ่งหรอกหรือ หาไม่แล้วจะเพิ่งมาปลุกพลังสายเลือด ล่วงรู้อดีตของตนเองเอาตอนนี้ได้อย่างไร
ในครู่เดียวสายตาที่หลินสวินมองไปยังเจ้าคางคกก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เจ้าหมอนี่ดูเหมือนเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง ใครจะคิดได้ว่าเขาจะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ถือกำเนิดในยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง
“เจ้า… เจ้ามองบ้าอะไรเนี่ย!” เจ้าคางคกถูกจ้องจนอึดอัดไปหมด
หลินสวินเหมือนหาเหยื่อที่สามารถชำแหละได้ตัวหนึ่งพบ พูดด้วยสายตาล้ำลึกว่า “ข้าอยากรู้นักว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณเป็นอย่างไรกันแน่ แตกต่างกับบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบันอย่างไร เริ่มจาก… เจ้าดีไหม”
ตอนที่ 1112 เบื้องลึกของสัตว์ประหลาดย...
เจ้าคางคกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ถูกจ้องจนเกิดความกลัวขึ้นในใจ รีบร้อนพูดว่า “สัตว์ประหลาดยุคโบราณไม่มีอะไรพิเศษหรอก เทียบกับบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบัน ก็แค่เวลาเก็บตัวจำศีลนานกว่าหน่อยหนึ่ง รากฐานพลังที่สะสมไว้น่ากลัวกว่าหน่อยหนึ่ง พลังมหามรรคที่ครอบครองล้ำเลิศกว่าหน่อยหนึ่ง… เท่านั้นเอง”
หลินสวินสายตาลุ่มลึก จับจ้องเจ้าคางคกพลางกล่าวว่า “ไม่เคยกลายเป็นราชัน ไม่อาจมีอายุยืนยาม เก็บตัวเงียบมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลกระทั่งตอนนี้ ผ่านกาลเวลาไม่รู้ยาวนานเพียงไหน แต่ยังคงรักษาอายุขัยให้อ่อนวัยได้ นี่ไม่เรียกพิเศษหรือ”
เจ้าคางคกหนาวสะท้านไปทั้งตัว “ข้าเตือนเจ้าก่อนเลยนะ อย่ามาคิดพิเรนทร์กับข้า ข้าสาบานว่าแม้ตายก็จะไม่ยอมเด็ดขาด!”
อาหลู่ชิงเอ่ยปาก ถ่มน้ำลายครั้งหนึ่ง “เจ้าไม่ใช่เซียนสาวธิดาเทพสักหน่อย ต้องตาบอดถึงจะคิดพิเรนทร์กับเจ้าได้ แต่จะว่าไป รูปลักษณ์เช่นนี้ของเจ้าก็งดงามมากจริงๆ งดงามกว่าพวกผู้หญิงบนโลกนี้บางคนเสียอีก”
พูดจนจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มซุกซน
เจ้าคางคกโกรธจนแทบจะเข้าไปตีกับเจ้าคนเถื่อนนี่ ที่เขาชิงชังที่สุดก็คือเอารูปโฉมของเขาไปเทียบกับผู้หญิง!
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจกล่าวว่า “อายุขัยของสรรพสัตว์อยู่ภายใต้อำนาจของกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกเสียจากทลายอุปสรรคแห่งกาลเวลาถึงสามารถดำรงอยู่นิจนิรันดร์ แต่นี่แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขนาดอริยะยังหลุดพ้นพันธนาการแห่งกาลเวลาได้ยาก”
“แม้สัตว์ประหลาดยุคโบราณจะมีพลังแฝงที่สามารถรักษาความอ่อนเยาว์ได้ ทว่าไม่ใช่พวกเขาจะร้ายกาจมากมายถึงขั้นสามารถหลบหนีการกัดเซาะของกาลเวลาได้ แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกฝังอยู่ใต้หิมะต่างหาก!”
“เมล็ดพันธุ์หรือ” หลินสวินเอ่ย
“ใช่ ใช้วิธีต้องห้ามขั้นสูงสุดผนึกพลังแฝง พลังชีวิตและพลังทั้งหมดไว้ ก็สามารถหลบเลี่ยงการกัดเซาะของกาลเวลา เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ฝังใต้หิมะ ขอเพียงสลายผนึกแล้วปลูกเมล็ดพันธุ์ลงอีกครั้ง ก็สามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ออกดอกออกผล”
เจ้าคางคกกังวลใจว่าจะถูกหลินสวินนำมาชำแหละศึกษา จึงเล่าเรื่องสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ตนรู้ออกมาทุกเรื่อง
“แต่ว่า เมล็ดพันธุ์ไม่ใช่ใครก็เป็นได้!”
พูดถึงตอนท้ายเจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องราวในโลกมีขึ้นมีลง กาลเวลาเปลี่ยนผัน นี่เป็นกฎระเบียบแห่งการโคจรของใต้หล้า ต่อหน้ากาลเวลาก็เหมือนเป็นข้าวเมล็ดหนึ่งในมหาสมุทรกว้างใหญ่”
“หากหมายหลบเลี่ยงการกร่อนเซาะของกาลเวลา ฝังเมล็ดพันธุ์ในหิมะ ทำให้มีโอกาสได้ตื่นขึ้นและถือกำเนิดอีกครั้ง ไม่เพียงต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรและพลังเหลือคณา หนำซ้ำยังต้องเดิมพันกับชะตาฟ้าดินอีกด้วย!”
“ถ้าโชคดี เมล็ดพันธุ์ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะผลิดอกอีกครั้ง”
“ถ้าโชคร้าย ถูกทับถมจนไม่อาจกลับมาได้ ก็แปลว่าตาย!”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงขุมอำนาจกับสำนักใหญ่ที่ภูมิหลังน่ากลัวไร้ที่สิ้นสุดถึงสามารถวางแผนล่วงหน้า ฝังเมล็ดพันธุ์ลงไปได้”
เมื่อฟังถึงตรงนี้หลินสวินก็สะท้านในใจ เอ่ยว่า “นี่หมายความว่า สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่สามารถตื่นขึ้นและถือกำเนิดอย่างโดดเด่น ทุกคนต่างชนะเดิมพันชะตาฟ้าดินใช่หรือไม่ ส่วนเหล่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณอื่นๆ ที่ไม่ได้ถือกำเนิด เป็นไปได้สูงว่าจะไม่อาจฟื้นคืนชีวิตได้อีกหรือ”
เจ้าคางคกพยักหน้า “ถูกต้องตามนี้”
หลินสวินครุ่นคิด “สันนิษฐานเช่นนี้ สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ฟื้นคืนชีวิตในปัจจุบันทุกคน ล้วนเป็นบุคคลระดับผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละขุมอำนาจเก่าแก่ใช่หรือไม่”
เจ้าคางคกพยักหน้าอีกครั้งหนึ่ง “การผนึกเมล็ดพันธุ์สิ้นเปลืองทรัพยากรและพลังมากอย่างที่สุด ตามที่ข้ารู้มา ขุมอำนาจบรรพกาลบางส่วน เพียงเพื่อทำให้ผู้กล้าบางคนตื่นขึ้นในมหายุคในอนาคตได้ ก็ใช้พลังของเผ่าจนสิ้น หลั่งเลือดหัวใจจนหมดเพื่อเดิมพันโชคชะตาของทั้งเผ่า!”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ เมล็ดพันธุ์ที่ถูกผนึกจะเป็นคนธรรมดาได้หรือ ถึงกับพูดได้ว่าเมล็ดพันธุ์ที่ถูกผนึกทั้งหมดล้วนมีรากฐานพลังและคุณสมบัติบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน ไม่ว่าจะเป็นรากฐานพลัง พรสวรรค์ หรือแก่นกระดูก ต่างไม่ด้อยไปกว่าผู้กล้าขอบเขตมกุฎคนใดในปัจจุบัน ที่พวกเขาขาดก็คือโอกาสการกลายเป็นราชันครั้งหนึ่งเท่านั้น!”
หลินสวินเข้าใจถ่องแท้แล้ว มิน่าถึงถูกมองว่าเป็น ‘สัตว์ประหลาด’ นี่เป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเป็นราชันได้ ซึ่งขุมอำนาจบรรพกาลใช้พลังทั้งหมดเลือกออกมา!
หากศุภโชคมหายุคแห่งการกลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล คาดเดาได้เลยว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านี้ย่อมไม่เลือกจำศีลเก็บตัวและรอคอยแน่ เกรงว่าคงเป็นราชันตั้งนานแล้ว
‘จำศีลเก็บตัวและรอคอยในกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด เพียงเพื่อรอมหายุคครั้งนี้…’
ในใจหลินสวินออกจะสั่นสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่พบว่าวิถีแห่งมหามรรคโหดร้ายขนาดนี้!
หากเกิดไม่ถูกเวลา แม้มีคุณสมบัติของผู้กล้า สง่างามไร้เทียมทาน ก็เกรงว่าจะไม่เหลืออะไรเลย!
ยังดีที่สำหรับบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นปัจจุบันแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็โชคดี เพราะมหายุคครั้งนี้มาเยือนในยุคสมัยที่พวกเขาอยู่!
อีกทั้งหลินสวินก็พอจะตัดสินได้คร่าวๆ แล้วว่า สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ว่าก็มีความแตกต่างไป
บ้างจำศีลยาวนาน ถูกฝังปิดผนึก เริ่มเก็บตัวตั้งแต่ยุคบรรพกาล
บ้างจำศีลสั้น เหมือนฉู่จงเทียนที่เริ่มเก็บตัวเมื่อพันปีก่อน
นี่ก็หมายความว่า ตั้งแต่บรรพกาลถึงปัจจุบันล้วนมีสัตว์ประหลาดที่ถูกฝังผิดผนึกในยุคต่างๆ
แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีมากมายนัก!
ก็เหมือนที่เจ้าคางคกพูด ต้องการปิดผนึกฝังเมล็ดพันธุ์ มีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล ทั้งยังต้องเดิมพันอีก แม้จะปิดฝังเอาไว้แต่ก็เป็นไปได้สูงที่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก!
“พลังต่อสู้ของสัตว์ประหลาดยุคโบราณเป็นอย่างไร” นี่ถึงเป็นสิ่งที่หลินสวินสนใจที่สุด
เจ้าคางคกพลันจองหองขึ้นมา โอหังคับฟ้า พูดอย่างหยิ่งผยองว่า “ว่ากันด้วยรากฐานพลังอาจจะไม่ต่างจากข้า แต่ถ้าว่ากันด้วยพลังต่อสู้ คนที่แข็งแกร่งกว่าข้าก็มีแต่ปะติ๋วเดียว”
“ปะติ๋วเดียวนี่เท่าไร” หลินสวินถาม
เจ้าคางคกกระแอมหนึ่งครั้ง “เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร เอาเป็นว่าไม่ได้มีมากนักหรอก อย่างไรเสียบุคคลแห่งยุคเหมือนอย่างข้าก็พบเจอได้ยากจริงๆ”
อาหลู่พลันดูถูก “เจ้าคางคกนี่คุยโม้ ปากดีชะมัด!”
“เจ้าไสหัวไปเลย!” เจ้าคางคกโกรธจนเข่นเขี้ยว เจ้าคนเถื่อนผู้นี้ชอบประชันกับตนตลอด ช่างพาให้คนชิงชังนัก!
ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันเองอีกแล้ว หลินสวินคร้านจะสนใจ
หากหญิงลึกลับผู้นั้นคาดคะเนได้ถูกต้อง จากตอนนี้ถึงช่วงมหายุคมาเยือน อย่างมากก็เหลือแค่เดือนเดียว
ถึงตอนนั้นแดนมกุฎจะต้องปรากฏขึ้นแน่!
แต่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน ปีศาจแห่งยุคในแดนเร้นอริยะ หรือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ถูกฝังผนึกจนปัจจุบัน ถึงเพิ่งถือกำหนดออกมาอย่างโดดเด่น เพื่อการเป็นระดับมกุฎราชัน ล้วนต้องเข้าไปในแดนมกุฎแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในหมู่ผู้กล้า!
และการต่อสู้ก็ต้องโหดร้ายและน่ากลัวกว่าที่คาดคิดไว้!
‘ถึงเวลาไปดูโลกภายนอกแล้ว…’
หลินสวินพูดกับตัวเอง เขาต้องการรู้ข่าวมหายุค รวมถึงเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งกำลังเกิดขึ้นในโลกนี้ยิ่งขึ้นไปอีก
หือ?
ทันใดนั้นในใจหลินสวินสั่นสะท้าน แววปรีดาผุดขึ้นในดวงตา
เขายื่นมือพลิกครั้งหนึ่ง เจดีย์สมบัติไร้อักษรก็ปรากฏขึ้น
เงาร่างเพรียวบางสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินออกมาพร้อมเสียงครึกโครมประหลาดระลอกหนึ่ง
ประกายแสงดำมืดราวรัตติกาลนิรันดร์อบอวลรอบเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นของนาง ขับเน้นให้นางเหมือนเทพที่เดินออกมาจากราตรีนิรันดร์องค์หนึ่ง
ซย่าจื้อ!
ความคิดฟุ้งซ่านในสมองของหลินสวินทั้งหมดหายไปอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณและสายตาต่างจดจ่อ
เหมือนก่อนหน้านี้ ซย่าจื้อตื่นขึ้นมาครั้งนี้ยังคงสวมชุดคลุมสีดำตัวหนึ่ง หมวกคลุมปิดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ซีดขาวลงเล็กน้อยกับคางที่ขาวกระจ่างละเอียดลออ
เพียงแต่ที่ไม่เหมือนกับแต่ก่อนก็คือ ซย่าจื้อสูงขึ้นอีกแล้ว เงาร่างอ้อนแอ้นสูงโปร่งยืนอยู่เช่นนั้น ศีรษะสูงเท่ากับหูของหลินสวินแล้ว
หากกล่าวว่าสมัยอยู่ในโลกชั้นล่าง ซย่าจื้อยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่อ่อนวัยและงามล้ำผู้หนึ่ง
เช่นนั้นตอนตื่นขึ้นในเทศกาลโคมกถามรรค นางก็ดูสะโอดสะองเหมือนเด็กสาวแรกแย้ม แม้ยังไม่โตเป็นสาวเต็มที่ แต่กลับเผยความสง่างามของเด็กสาวที่สะท้านโลกาออกมาให้เห็น
และซย่าจื้อที่ปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ต่างออกไปอีกแล้ว
รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรดุจต้นหลิว ทรวงทรงองค์เอวเพรียวบางจนแขนเดียวก็โอบได้ แม้นางใช้หมวกคลุมบดบังใบหน้า เพียงแต่แค่ส่วนโค้งเว้าก็เพียงพอจะเผยความงามที่พาให้ทุกคนตื่นตะลึงได้แล้ว
อึก! อึก!
ด้านข้าง เจ้าคางคกกับอาหลู่ต่างกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดวงตาแข็งทื่อ
แต่ชุดคลุมสีดำของซย่าจื้อเป็นของสมัยก่อน เดิมทีก็ว่าเล็กแล้ว ตอนนี้เมื่อตัวสูงขึ้น พอสวมใส่แล้วจึงรัดรูปอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะท่อนล่างที่บดบังได้แค่บริเวณต้นขา เผยให้เห็นท่อนขาตรงเรียวยาว ขาวเปล่งปลั่งคู่หนึ่ง ผิวพรรณเหมือนมันแพะงาช้าง สมบูรณ์แบบไร้ราคี ประกายแวววาวเปล่งปลั่งกระจายออกมา
แม้แต่หลินสวินก็ใจเต้นแรง ภาพนี้มีแรงโจมตีหนักเกินไปแล้ว
เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางหลงใหลของเจ้าคางคกและอาหลู่ หลินสวินก็หน้าถมึงทึงขึ้นทันที ยกขาเตะเจ้าสองคนนี้จนกระเด็นออกไป
จากนั้นเขาก็นำเสื้อผ้าของตนออกมาชุดหนึ่ง ช่วยซย่าจื้อผูกเอวอย่างแคล่วคล่องว่องไว
ในระหว่างขั้นตอนนี้ การเคลื่อนไหวของหลินสวินเป็นธรรมชาตินัก เหมือนช่วยห่มผ้าห่มให้ซย่าจื้อที่หลับสนิทสมัยอยู่ที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีตรงไหนที่ไม่เป็นธรรมชาติ
คล้ายไม่รับรู้เลยว่านางไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยในตอนนั้นแล้ว สถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่เหมือนตอนแรกมานานแล้ว
ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบ ซย่าจื้อก็สงบนิ่งเช่นกัน ดวงตากระจ่างใสมองหลินสวินที่กำลังกุลีกุจอผ่านหมวกคลุมอยู่เงียบๆ เป็นธรรมชาติเหมือนตอนนั้น ไม่มีการต่อต้านหรือคัดค้านเช่นกัน
ไม่นานนัก เสื้อผ้าที่ผูกไว้กับเอวก็บดบังเรียวขาเย้ายวนคู่นั้นไว้ได้อย่างฝืนๆ
ตอนนี้หลินสวินถึงพอใจ ลุกขึ้นพูดว่า “ผูกไว้เช่นนี้ก่อน รอมีเวลาข้าจะซื้อชุดที่พอดีตัวให้เจ้าสักสองสามชุด”
ที่จริงแล้วเอาเสื้อผ้ามาผูกไว้ที่เอวย่อมดูผิดฝาผิดตัวอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่บนร่างอ้อนแอ้นงดงามของซย่าจื้อกลับทำให้ดูสง่างามไปอีกแบบ
ซย่าจื้อพยักหน้า
หลินสวินตบหน้าผากแล้วพูดว่า “จริงด้วย ข้าไม่ได้ลืมคำที่เจ้าพูดไว้ เก็บของอร่อยไว้ให้เจ้ากองโตเลย”
เขาพูดพลางเริ่มหยิบของออกมาข้างนอก มีทั้งเนื้อย่าง ของว่างนานาชนิด อาหารจำพวกดอกผลอัศจรรย์ล้ำเลิศหลากหลายพันธุ์
หลินสวินกุลีกุจอพลางพูดว่า “เจ้าตื่นขึ้นมาคราวนี้ ก็เพราะมหายุคกำลังจะมาเยือนใช่ไหม”
ซย่าจื้อส่งเสียงอืม นั่งยองกับพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ มือทั้งสองกอดเข่า ดวงตาจับจ้องหลินสวินอยู่ตลอด
“ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนนี้บนโลกนี้มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณไม่น้อยปรากฏตัวขึ้น คึกคักยิ่งนัก ขนาดเจ้าคางคกยังตื่นแล้ว หากเจ้ายังไม่ตื่นก็คงแปลกนัก”
“จริงด้วย เจ้าตื่นขึ้นคราวนี้อยากไปแดนมกุฎกับข้าหรือไม่ ว่ากันว่าที่นั่นมีศุภโชคเย้ยฟ้าไม่น้อยผนึกไว้ ถ้าเจ้าอยากได้ชิ้นไหนข้าจะช่วยเจ้าชิงมา”
เกาะสันโดษเงียบสงัด โดยรอบมีแต่ทะเลกว้างสีเงินเจิดจรัส
หลินสวินยุ่งง่วนไปพลาง พร่ำพูดไปพลาง ดูพูดมากอยู่บ้าง
แต่ก็ดูออกได้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีขนาดไหน
ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเพราะซย่าจื้อตื่นขึ้นมาแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น