Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1101-1106
ตอนที่ 1101 กฎเกณฑ์แห่งระดับอริยะ
กล่าวง่ายๆ คือ อริยะเทียมประเภทแรกถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยามก้าวขึ้นเป็นราชันแล้ว
นี่คือความแตกต่างระหว่างเมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตนกับการยืมใช้เมล็ดพันธุ์มรรค
เมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตน รวมบรวมวิถีมรรคของผู้ฝึกปราณ คุณภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งสามารถก้าวเดินบนมรรคาอมตะได้ไกลขึ้น แกร่งขึ้น และสูงขึ้น!
เมล็ดพันธุ์มรรคที่หยิบยืมใช้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของพลังภายนอก เป็นการผสานรวมระหว่างมรรควิถีของตนและเมล็ดพันธุ์มรรคที่ไม่ใช่ของตน
ในการฝึกปราณ พลังที่ไม่ใช่ของตนเอง สุดท้ายก็เป็นพลังภายนอก เมล็ดพันธุ์มรรคที่ยืมใช้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ส่วนอริยะเทียมประเภทที่สองนั้นมีความเฉพาะเจาะจง
จากที่หญิงลึกลับกล่าวมา ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างระดับอริยะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวเดินบนมรรคาตายตัวตั้งแต่สมัยโบราณ ล้วนเรียกว่าเป็นอริยะเทียมทั้งสิ้น!
อริยะประเภทนี้สามารถหยั่งถึงกฎระเบียบอริยมรรค และสามารถแสวงหามรรคแห่งอริยเทพได้เช่นกัน แต่เพราะเส้นทางที่ก้าวเดินเป็นมรรคาที่มีคนเคยเดินมาแล้วในอดีต ความสำเร็จของเขาล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว
แต่หญิงลึกลับเองก็บอกว่า ในสายตาของผู้ฝึกปราณทั่วหล้า อริยะเทียมประเภทที่สองก็ถือว่าเป็นอริยะแท้จริง ควบคุมพลังที่แตกต่างจากอริยะเทียมประเภทแรกอย่างสิ้นเชิง สามารถหยั่งถึงกฎระเบียบอริยมรรค อานุภาพวิเศษไพศาล
นี่ก็คือข้อแตกต่างของการมุมมอง
ในสายตาของคนระดับหญิงลึกลับ อริยะเทียมประเภทแรกกับประเภทที่สองแม้จะมีจุดต่าง แต่ท้ายที่สุดก็ยังเอาอย่างคนรุ่นก่อน เดินบนเส้นทางเก่าของคนรุ่นก่อน ความสำเร็จย่อมมีขีดจำกัดอย่างแน่นอน
แต่ในสายตาของคนอื่น กลับไม่ได้คิดเช่นนี้
“อริยะที่ไร้อริยะคืออริยะแท้ มรรคที่ไร้มรรคคือมหามรรค…” จู่ๆ หลินสวินก็พึมพำ นึกถึงประสบการณ์แปลกประหลาดที่เคยประสบมา
ปีนั้นในป่าต้นหม่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นหนึ่ง บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีจักจั่นทองตัวหนึ่งกับจักจั่นขาวอีกตัวอาศัยอยู่
ล้วนเป็นพวกน่าสะพรึงที่เหยียบย่างระดับอริยะแล้วทั้งสิ้น
ภายใต้วาสนาที่ชักพาให้พบเจอ หลินสวินเคย ‘พูดคุย’ แบบแปลกๆ กับจักจั่นทอง ตอนนั้นจักจั่นทองก็เคยพูดประโยคนี้!
“เห ประโยคนี้ใครเป็นคนบอกเจ้า”
หญิงลึกลับอึ้งไป ดูคล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง
หลินสวินเองก็ไม่ปิดบัง เล่าประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับจักจั่นทองในปีนั้นให้ฟัง
“จักจั่นทอง…” หญิงลึกลับคล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ จมอยู่ในภวังค์อย่างเงียบงัน
“นี่คือเจ้าบ้าที่ดันทุรังจนทำให้ผู้คนเลื่อมใส คราแรกเคยตั้งปณิธานอริยะ ว่าต้องการให้สรรพชีวิตทั่วหล้าล้วนกลายเป็นอริยะในสักวันหนึ่ง!”
หญิงลึกลับคล้ายทอดถอนใจอยู่บ้าง น้ำเสียงเย็นชาคล้ายแฝงความหวนระลึกถึงอยู่เสี้ยวหนึ่ง “ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าบ้านี่กลับเอาแต่แสวงหามรรคเช่นนี้… ช่างเถิด ไม่พูดแล้ว”
นางส่ายหน้า ราวกับไม่อยากจมจ่อมกับความทรงจำ เสมือนว่าความทรงจำเป็นสิ่งที่ทนเหลียวหลังมองกลับไปไม่ได้
เดิมทีหลินสวินยังอยากถามไถ่ที่มาของจักจั่นทองตัวนั้นสักหน่อย แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ชะงักทันที ด้วยรู้ว่าต่อให้ตนถามไปก็เกรงว่าจะไม่ได้รับคำตอบ
“แต่ว่า คำพูดของเขานั้นไม่ผิด อริยะที่ไร้อริยะคืออริยะแท้ มรรคที่ไร้มรรคคือมหามรรค อริยะที่แท้จริงก็ต้องบุกเบิกมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยตนเอง!”
หญิงลึกลับกล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนใจกล่าว “ข้อเรียกร้องนี้เข้มงวดมากเกินไป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พวกที่เหยียบย่างระดับอริยะ แปดเก้าในสิบส่วนล้วนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกเบิกเส้นทางแห่งอริยเทพของตนเอง”
“ในบรรดาอริยะทั่วหล้ามากมายที่ข้ารู้จัก ส่วนใหญ่ก็คับแค้นกับจุดนี้ ไม่สามารถข้ามผ่านก้าวนี้ได้ ไม่ใช่อะไรอื่น มันยากเกินไป!”
“ผู้อาวุโสเคยเหยียบย่างมรรคานี้หรือไม่” หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้
หญิงลึกลับอึ้งงัน ครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “ถือว่าเคยกระมัง รอหลังจากตอนที่เจ้าเหยียบย่างระดับอริยะ ย่อมจะเข้าใจเอง”
ต่อมานางก็อธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับขอบเขตระดับอริยะ
เหนืออริยะ คือมหาอริยะ มีนัยว่า ‘ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต’
เหนือมหาอริยะ คือราชันอริยะ เป็นราชันอริยมรรค ทั้งถูกมองเป็นราชันแห่งเหล่าอริยะ
ส่วนเหนือราชันอริยะยังมีระดับที่สูงกว่าหรือไม่ หญิงลึกลับไม่ได้บอก หลินสวินเองก็ไม่ได้ถาม
แต่ไม่ว่าจะเป็นอริยะแท้หรืออริยะเทียม ไม่ว่าจะเป็นความสูงต่ำของระดับอริยะ ระยะห่างสำหรับหลินสวินในตอนนี้ก็ยังห่างไกลอยู่ไม่น้อย
ถึงอย่างไรแม้แต่ระดับราชันเขาก็ยังไม่เคยเหยียบย่าง ใฝ่สูงเกินตัวเป็นกฎเหล็กข้อห้ามของการฝึกปราณ
เพล้ง!
ทันใดนั้นเสียงใสกังวานราวกับกระจกแก้วแตกเป็นเสี่ยงก็ดังขึ้นเหนือเวิ้งฟ้า
หญิงลึกลับแหงนหน้าขวับ สีหน้าเยียบเย็นน่าสะพรึง
ก็เห็นเหนือเวิ้งฟ้ากว้างขวางนั้นไม่รู้ปรากฏรอยแยกมายาน่าสยดสยองสายหนึ่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับม่านฟ้าแหวกออกเป็นช่อง
มองเห็นได้รางๆ ว่ามีเงาทวนที่เปี่ยมอานุภาพสูงสุดสายหนึ่ง เทียบผลุบเทียวโผล่อยู่ในรอยแยกมายาที่แหวกกว้างนั่น
หลินสวินขนลุกซู่ไปทั้งร่าง สัมผัสถึงกลิ่นอายอันตรายและกดข่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พาให้เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว จิตวิญญาณ จิตมรรค รวมถึงมรรควิถีแห่งตนล้วนปรากฏสัญญาณจะล่มสลาย!
ครืน!
หญิงลึกลับโบกมือเรียว รุ้งเทพสายหนึ่งแผ่ครอบหลินสวินเอาไว้ ย้ายเขามาอยู่ไกลลิบตา ส่วนนางกลับยืนอยู่ภายใต้นภาครามที่แหวกกว้างนั้น สีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่กลิ่นอายทั่วร่างกลับยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ไกลออกไป แกะทั้งฝูงตัวสั่นเทิ้ม แต่ละตัวนอนหมอบอยู่ตรงนั้นคล้ายกับโคลนเหลว ในสายตาแต้มแววสะพรึงสุดฤทธิ์ คล้ายคาดไม่ถึงเด็ดขาดว่าจะเกิดเรื่องน่าสะพรึงเช่นนี้อย่างปุบปับ
ชิ้ง!
เงาทวนส่งเสียง พื้นที่แถบนี้สนั่นหวั่นไหว กลางฟ้าดินจู่ๆ ก็ท่วมท้นด้วยกลิ่นอายสังหารทำลายล้างอย่างยากจะบรรยาย
ฟ้าพลิกดินคว่ำ จักรวาลผันเปลี่ยน ฟ้าดินแถบนี้ประหนึ่งเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์!
“มาก่อนกำหนดเลยเชียว…” หญิงลึกลับพึมพำกับตัวเอง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้หลบเลี่ยง รอบกายปรากฏรุ้งเทพนับพันหมื่นสาย แวววาวพราวพร่าง ส่องสะท้อนจนเงาร่างของนางแปลกแยกเหนือโลกประหนึ่งฝันมายา
ฉัวะ! ฉัวะ!
กลางรอยแยกพร่าเลือนนั้น เงาทวนค่อยๆ ควบรวม ค่อยๆ ทะลวงออกมาจากเวิ้งฟ้าที่แหวกออกนั้น บดขยี้ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงแหลกเป็นจุณ
เงาทวนนี้น่าสะพรึงเกินไป ผสานด้วยพลังเหนือสุดของมรรคและวิชา ราวกับทวนพิพากษาจากสวรรค์!
ยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา หญิงลึกลับไม่ได้หลบเลี่ยง หลบไปก็ไร้ประโยชน์
เพราะนี่คือทวนพิฆาตมรรค ประหนึ่งร่างจำแลงของเจตจำนงวิถีสวรรค์ ที่มาสุดหยั่ง เคลือบแฝงความอัปมงคลและความตาย!
ตูม!
ในที่สุดทวนศึกก็ปรากฏเด่นชัด มันเจิดจ้าและลุกโชนมากเกินไป คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายสังหารที่น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด ร่วงสังหารลงมาจากฟากฟ้า
ชั่วขณะนี้ฝูงแกะที่แปลงมาจากอริยะห้าคนล้วนหวาดกลัวจนขวัญหลุดวิญญาณกระเจิง หมดสติไปทั้งอย่างนั้น
นี่น่าหวาดกลัวยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แค่กลิ่นอายสายหนึ่งที่ทวนศึกแผ่ออกมา ถึงกับทำให้อริยะห้าคนตกใจจนสลบไป!
หากแพร่งพรายออกไปใครจะกล้าเชื่อ
ในเวลาเดียวกันนั้นหญิงลึกลับไม่หลบไม่เลี่ยง รวบนิ้วแตะ รุ้งเทพนับพันหมื่นที่รายล้อมรอบกายพลันโฉบพุ่ง รวมตัวที่ปลายนิ้วของนาง
เป็นไปตามคาดไม่ผิดเพี้ยน ปลายนิ้วกับทวนศึกปะทะกัน!
ตูม!
ราวกับฟ้าถล่มดินทลาย พลังกฎระเบียบอันลุกโชนกลายเป็นกระแสปั่นป่วนคับฟ้า ระเบิดพล่านในพริบตานี้ กวาดม้วนทั่วฟ้าดิน
ยากจะจินตนาการยิ่งว่านี่คือพลังสูงสุดและน่าสะพรึงปานใด คล้ายสามารถบดขยี้ผืนฟ้า ตัดขาดมหามรรค ปั่นป่วนอดีตปัจจุบัน ก่อให้เกิดกลิ่นอายทำลายล้างที่เพียงพอจะทำให้สรรพสิ่งทั่วโลกล้วนสิ้นหวัง
จู่ๆ เบื้องหน้าสายตาหลินสวินพลันปวดแปลบ จิตวิญญาณล้วนสั่นไหว แม้จะมีการพิทักษ์จากรุ้งเทพ แต่จิตใจก็ยังสัมผัสถึงความน่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุดอยู่ดี
จากนั้นก็มองไม่เห็นอะไรอีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ตอนที่การมองเห็นของหลินสวินกลับมาชัดเจนตามเดิม ก็เห็นกลางฟ้าดินคืนสู่สภาพแรกเริ่มตั้งนานแล้ว
ฟ้ายังเป็นฟ้าผืนนั้น ไร้ซึ่งรอยแยกแตก บนแผ่นดินกว้างภูผาธารายังคงอยู่ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังสมบูรณ์ไม่เสียหาย
เสมือนว่าภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงฝันร้ายฉากหนึ่ง ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักนิด
แต่ยามมองเห็นหญิงลึกลับ หลินสวินกลับใจหายวาบ เพราะบริเวณแขนซ้ายของนางถูกจ้วงเป็นรูโบ๋ขนาดเท่าปากชาม!
หนำซ้ำเงาร่างของนางก็เปลี่ยนเป็นเลือนรางและพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหมอกควัน เสมือนว่าสามารถจางหายไปได้ทุกเมื่อ
“นี่คือพลังพิฆาตมรรคในกฎระเบียบมหามรรคจากดินแดนรกร้างโบราณ ขอเพียงเหยียบย่างบนมรรคาต้องห้ามในระดับอริยะ ล้วนจะถูกมันจ้องเล่นงาน” หญิงลึกลับกล่าวง่ายๆ ตอนที่หันกายไปมองหลินสวิน รอยแผลบริเวณแขนซ้ายของนางก็มลายหายไปแล้ว
พลังพิฆาตมรรค!
ทันใดนั้นหลินสวินก็นึกขึ้นได้ ในอารามเก่าแก่ที่อริยสงฆ์ตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์เหลือทิ้งไว้ในส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดน เขาก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
ตอนนั้นด้วยแท่นบัวหยกขาว เขาถึงขั้นได้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่อริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬฝึกปราณร่วมกัน ราวกับเวลานิรันดร์หวนกลับมา ฝันมายาผันผ่านพันปี
แต่ผลสุดท้ายอริยะทั้งสองกลับพากันร่วงโรย
และคนที่บุกสังหารพวกเขาคือเงาร่างสีทองที่สูงกำยำไร้เทียมทานสายหนึ่ง
สาเหตุก็เป็นเพราะ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยะทั้งสองร่วมกับสรรค์สร้างละเมิดพลังต้องห้ามบางประการ เป็นผลให้ดึงดูดพลังพิฆาตมรรคมาเยือน
และเงาร่างสีทองนั้น ก็มาจากที่เดียวกันกับพลังพิฆาตมรรค!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็สะท้านสะเทือนไม่สร่าง
วันนี้เขาได้เห็นพลังต้องห้ามเช่นนี้กับตาตัวเอง และหญิงลึกลับสามารถรอดชีวิตจากพลังพิฆาตมรรคได้ นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าน่าสะพรึงถึงที่สุด
“ผู้อาวุโสไม่เป็นไรกระมัง”
หลินสวินสลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมอง ก้าวขึ้นไปถามไถ่
“ไม่เป็นไร ยังอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง”
หญิงลึกลับสีหน้าราบเรียบยิ่ง “แต่เวลามีไม่พอแล้ว ต่อไปได้แต่เปลี่ยนเส้นทางสักหน่อยแล้ว”
กล่าวพลางเงาร่างของนางพริบไหว ในพริบตานั้นพลันแบ่งร่างเป็นห้าร่าง แต่ละร่างล้วนเหมือนกับนางทุกกระเบียด กลิ่นอายก็เหมือนกันจนน่าตกใจ
“แกะห้าตัวนี้ข้าจะส่งไปขายให้กับสำนักต่างๆ เจ้าตั้งใจจะตามข้าไปแม่น้ำพรมแดนสักเที่ยว หรือจะไปสำนักบางแห่งสักหนกันล่ะ”
หญิงลึกลับเอ่ยถาม
เดิมทีตามแผนของนางคือจะพาหลินสวินไปเยือนห้าสำนักที่เหลือ แต่เพราะการปรากฏตัวของพลังพิฆาตมรรคจึงเปลี่ยนความคิดนี้ไป
“แม่น้ำพรมแดน?”
หลินสวินอึ้งงัน
“ถูกต้อง มีแต่ต้องอยู่ในแม่น้ำพรมแดนจึงจะสามารถอนุมานช่วงเวลายามที่มหายุคจะมาเยือนได้ และก็พอลองดูได้ว่ามหายุคครั้งนี้… จะต่างออกไปปานใด”
คำพูดของหญิงลึกลับเพิ่งสิ้นสุด หลินสวินก็กล่าวอย่างไม่ลังเลสักนิด “ข้าจะตามท่านไปแม่น้ำพรมแดน”
“เจ้าไม่คิดจะไปดูสำนักกระบี่เทียมฟ้าหรือแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณสักหน่อยจริงๆ หรือ นี่เป็นโอกาสที่ยากจะได้รับเชียว ถึงจะเป็นแค่ร่างแยกก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าบาดเจ็บแม้แต่น้อย”
หญิงลึกลับคล้ายจะชี้ชวน
“ไม่ไปขอรับ”
ถึงแม้ในใจหลินสวินจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็รู้ว่าต่อให้ไปก็คงไม่ต่างอะไรกับยามไปเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก่อนหน้านี้
ต่อให้รู้สึกสะใจ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้มีความหมายมากมาย
หากสามารถติดตามหญิงลึกลับไปดูพยากรณ์การมาเยือนของมหายุคด้วยกันได้ นี่ย่อมเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ายากจะได้รับอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ก็ดี” หญิงลึกลับพยักหน้า
ร่างแยกห้าสายของนางพากันเคลื่อนไหว ต่างไล่ต้อนแกะหนึ่งตัว บังคับรุ้งเทพเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศมุ่งหน้าสู่ห้าสำนัก
ส่วนนางก็พาหลินสวินมุ่งหน้าสู่ทางทิศตะวันออก
ตอนที่ 1102 โลกหล้าล้วนสะเทือน
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
ที่ราบผาเขียว ตำหนักยอดยุทธ์
บรรดาคนใหญ่คนโตระดับสูงรวมตัวกันเต็มโถง มีทั้งชายทั้งหญิง ทั้งแก่ทั้งเด็ก พลังที่ต่ำที่สุดยังอยู่ในระดับราชัน
ผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงสุดคือเด็กหนุ่มชุดคลุมหยกสวมเกี้ยวประดับคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มท่าทางองอาจ คิ้วตาใสกระจ่าง นั่งสบายๆ อยู่ตรงนั้น กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาอย่างไร้รูปกลับบีบคั้นจนบรรดาคนใหญ่คนโตในที่นี้หายใจไม่ทั่วท้อง
หนำซ้ำคนใหญ่คนโตเหล่านี้แต่ละต่างนั่งคุกเข่าวางมือบนตัก สีหน้าเจือแววเคร่งขรึมถึงขั้นเคารพยำเกรง
เด็กหนุ่มหาใช่เด็กหนุ่ม แต่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่เหยียบย่างระดับอริยะตั้งแต่หลายพันปีก่อน นามว่าอวี้อวี่จวิน พลังปราณลึกล้ำสุดหยั่ง
“อัปยศนัก!”
อวี้อวี่จวินเอ่ยปาก ทำลายความเงียบในโถงใหญ่ พาให้ทุกคนในที่นี้ล้วนใจเต้นโครมคราม หน้าเปลี่ยนสีไม่มั่นคง
“แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของข้าดำรงอยู่นับตั้งแต่บรรพกาลจนบัดนี้ ยังไม่เคยพบเจอเรื่องอัปยศอดสูใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน!”
เสียงอวี้อวี่จวินเรียบเฉย แต่ละคำหนักแน่นกังวานราวอสนีบาต เผยแววน่าเกรงขามที่ชวนอกสั่นขวัญผวา สะเทือนเลือนลั่นภายในโถง
“แต่ว่า…”
จากนั้นอวี้อวี่จวินพลันเปลี่ยนประเด็น น้ำเสียงอ่อนลง “นี่ก็โทษใครไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าข้างกายมดเล็กจ้อยตัวหนึ่งจะถึงกับมีบุคคลเทียมฟ้าน่าทึ่งอยู่ด้วย”
ทุกคนต่างลอบถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน
“ใต้เท้า เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร รอตาปริบๆ ให้ผู้หญิงคนนั้นมา… เยี่ยมเยียนหรือ” มีคนอดเอ่ยถามไม่ได้
“นอกจากรอยังมีวิธีไหนอีก”
อวี้อวี่จวินทอดถอนใจ “อริยะเต้าคุนยังอยู่ในมือของนาง ไม่ว่าเดือดดาลและอดสูแค่ไหน ครั้งนี้พวกเราก็ได้แต่จำทน”
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ในใจล้วนทวีความเดือดดาล
ในฐานะสำนักโบราณชั้นนำแห่งใต้หล้า พวกเขาเคยต้องพบเจอกับการกระทำเช่นนี้เสียที่ไหน
“ใต้เท้า ท่านพอเดาได้หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอริยเทพจากไหนกันแน่ หรือว่ารากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเราก็ไม่อาจมีเรื่องด้วยอย่างนั้นหรือ” มีคนเอ่ยถาม
“นั่นก็ต้องได้เจออีกฝ่ายก่อน อาจจะพอสอดส่องเบาะแสได้ส่วนหนึ่ง”
อวี้อวี่จวินกล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาพลันหดรัด ดีดตัวดังผึงกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนั้นมาแล้ว พวกเจ้าออกไปหานางพร้อมกับข้า!”
กล่าวจบพลันเดินออกนอกโถงใหญ่
ที่ราบผาเขียว ห้วงอากาศพลันปรากฏมหามรรคที่สร้างจากรุ้งเทพสายหนึ่ง เงาร่างอรชรและคลุมเครือสายหนึ่งเดินออกมาจากในนั้น
เบื้องหน้านางยังต้อนแกะอยู่ตัวหนึ่ง
แม้จะรู้ข่าวที่เกิดขึ้นริมฝั่งทะเลหมากดารากันหมดแล้ว แต่ตอนที่เห็นภาพนี้ บรรดาคนใหญ่คนโตแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็ยังคงรู้สึกอดสูและเดือดดาลหาใดเปรียบ
เสกอริยะเป็นเดรัจฉาน!
ผู้หญิงคนนี้ถึงกับต้อนแกะตัวหนึ่งซึ่งแปลงร่างมาจากอริยะเต้าคุนมาจริงๆ ด้วย หนำซ้ำยังมาคนเดียว ท่าทางมั่นใจไร้ห่วง
เงาร่างอรชรสายนี้แม้จะเป็นร่างแยกของหญิงลึกลับ แต่ก็ไม่ได้ต่างกับร่างเดิมของนางเลย
เวลานี้สายตานางกวาดสำรวจทุกคนที่เดินมาจากที่ไกลๆ กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคล้ายจะโกรธยิ่ง”
“ไยจะกล้า” มีคนกล่าวสีหน้าไร้อารมณ์
ตูม!
หญิงลึกลับสาวเท้าก้าวออกมาหนึ่งก้าว
ชั่วอึดใจ อานุภาพน่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุดแผ่กว้างออกมาจากเงาร่างอรชรของนาง พาให้ฟ้าดินแถบนี้กู่ก้อง
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ในลานไม่รู้มีคนใหญ่คนโตระดับสูงมากน้อยเท่าไหร่ถูกสยบหมอบราบพื้นในเวลานี้ ล้มกลิ้งระเนระนาด แม้แต่พลังต่อต้านก็ยังไม่มี
“สหายยุทธ์ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
อวี้อวี่จวินสีหน้าขรึมลง รอบกายแผ่อานุภาพอริยะออกมาสลายกลิ่นอายน่าสะพรึงจากตัวหญิงลึกลับ
แต่ที่ทำให้เขาตกใจกลัวคือ เมื่ออานุภาพต่อต้านกัน ทันทีที่พลังของเขาเฉียดใกล้ก็ถูกดันต้านกลับมาอย่างจัง!
ตูม!
ทันใดนั้นร่างอวี้อวี่จวินซวนเซ ราวกับถูกอาทิตย์ดวงใหญ่กดข่ม ลมฝนสมุทรคลั่งกำราบ
พลังที่คล้ายสูงสุดขีดเช่นนี้ทำเอาเขาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ในที่สุดก็ตระหนักถึงความน่ากลัวของหญิงลึกลับคนนี้แล้ว
ส่วนคนใหญ่คนโตอื่นๆ ที่อยู่ในลาน เวลานี้ล้วนถูกสยบราบลงกับพื้น ทั้งตกใจทั้งโกรธ หมดสภาพหาใดเปรียบ ไม่มีใครกล้าพูดมากความอีก
อานุภาพอริยะระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้สักนิด!
และในเวลานั้นหญิงลึกลับเก็บกลิ่นอายรอบตัวลง กล่าวว่า “ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ดูไม่ออกหรือ”
สีหน้าอวี้อวี่จวินพลันเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนขึ้นมาทันที
นี่หาใช่แค่ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย แต่ไม่เห็นแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขาอยู่ในสายตาชัดๆ!
แต่แม้ในใจจะโกรธแค้น ทว่ายามเห็นแกะตัวนั้นที่หมอบราบอยู่ข้างๆ หญิงลึกลับ สุดท้ายอวี้อวี่จวินก็อดกลั้นเอาไว้
…
ภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักยุทธ์สมุทรคราม และแดนพิสุทธิ์อมตะเกือบจะในเวลาเดียวกัน
ไม่ว่าสำนักเหล่านี้จะรู้สึกเดือดดาลและอดสูปานใด ท้ายที่สุดก็ได้แต่พากันเก็บงำเอาไว้
หญิงลึกลับเพียงแค่มาเยี่ยมเยียนถึงที่ หาได้เปิดศึกล้างบาง อีกอย่างในมือยังกำชีวิตอริยะที่กลายร่างเป็นแกะห้าคนอีก สำนักเหล่านี้จึงได้แต่ข่มใจ!
สุดท้ายตอนที่หญิงลึกลับจากไป ก็ได้รับ ‘เงินขายแกะ’ ที่เพียงพอจะทำให้สำนักเหล่านี้เจ็บปวดใจ
อย่างเช่น ‘น้ำค้างหยกลมทอง’ หนึ่งขวดจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ถึงจะมีเพียงเก้าหยด ทว่ามูลค่าของแต่ละหยดต่างเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้ ไม่ด้อยไปกว่า ‘ของเหลววิญญาณปฐมอสนี’ ที่บรรจุอยู่ในไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ปล้องหนึ่งเลยสักนิด
หรืออย่าง ‘น้ำยาควบรวมจิต’ หนึ่งกาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็เป็นสมบัติล้ำค่าชั้นหนึ่งในโลกนี้เช่นกัน พานพบได้แต่ไม่อาจครอบครอง
สรุปแล้วการไล่ต้อนแกะของหญิงลึกลับในครั้งนี้ เรียกได้ว่าหอบผลกำไรกลับไปเป็นกอบเป็นกำ
และพลังน่าสะพรึงที่แผ่ออกมาจากนางก็ทำเอาสำนักเหล่านี้สั่นสะท้านและกริ่งเกรง ต่อให้แค้นเพียงใดก็ได้แต่เก็บซ่อนไว้ภายในใจ
สิ่งเดียวที่ทำให้สำนักเหล่านี้สบายใจคือ ตอนที่คืนตัวอริยะที่ถูกจับเหล่านั้น หญิงลึกลับก็ส่งสมบัติอริยะของพวกเขาแต่ละสำนักคืนให้ด้วย
หาไม่ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องราวจะจบลงอย่างราบรื่นเช่นนี้
…
เรื่องระดับนี้ไม่อาจปิดบังได้สักนิด หลังจากหญิงลึกลับออกจากสำนักแต่ละแห่งได้ไม่นาน ข่าวเหล่านี้ก็เหมือนมีปีกงอกออกมา แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ต่างๆ ในสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ
ชั่วขณะนั้นไม่รู้ชักนำความฮือฮาโกลาหลมากมายเท่าไหร่
และการคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของหญิงลึกลับ ก็กลายเป็นปัญหาที่สำนักและผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนให้ความสนใจมากที่สุด
นางเป็นใคร
และเกี่ยวข้องกับเทพมารหลินอย่างไร
ทั่วหล้าล้วนเกิดคลื่นลูกใหญ่ด้วยเหตุนี้
ความจริงที่ไร้ข้อกังขาคือ หลังผ่านเรื่องนี้บรรดาสำนักโบราณอย่างพวกสำนักกระบี่เทียมฟ้า เรียกได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ ถูกลือจนอับอายขายหน้า หน้าเจื่อนไร้แวว
และนับแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าใครคิดจะต่อกรเทพมารหลิน ล้วนต้องชั่งใจถึงผลที่จะตามมาด้วยแล้ว!
มรสุมลูกนี้พัดโหมรุนแรงยิ่ง ถึงขั้นที่แม้แต่แดนเร้นอริยะบางแห่งซึ่งแฝงเร้นอยู่ในโลกยังถูกทำให้แตกตื่น เริ่มให้ความความสนใจด้วยเช่นกัน
…
เขาจื่อเวย ตระกูลเยี่ย
เยี่ยเฉินกำลังร่ำสุราชั้นเลิศหนักหน่วง ท่าทางอภิรมย์ยิ่ง
ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าหลินสวินปลอดภัย เขาก็เริ่มดื่มสุรา จนกระทั่งตอนนี้บนพื้นมีไหสุรากองเกลื่อนไปหมด
“นายน้อย ขืนท่านดื่มอีกเดี๋ยวก็เมาขึ้นมาจริงๆ นะเจ้าคะ” ด้านข้าง ข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเตือน
“เจ้าไม่เข้าใจ นายน้อยอย่างข้ากำลังฝึกความคอแข็งอยู่” เยี่ยเฉินตาเยิ้ม พูดเสียงยานคาง
“ฝึกความคอแข็งไปทำไมหรือ”
“แน่นอนว่าเพื่อโค่นเจ้าหมอนั่นให้สิ้นซาก!”
“เจ้าหมอนั่นคอแข็งกว่านายน้อยอย่างนั้นหรือ”
กล่าวถึงตรงนี้ ข้ารับใช้หญิงพลันสังเกตเห็นว่านายน้อยเมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟุบตัวนอนบนเก้าอี้นุ่ม ท่าทางเมาแอ๋ ริมฝีปากยังคงพึมพำ “สะใจ… สะใจจริงๆ…”
เจ้าหมอนั่นเป็นใคร
ข้ารับใช้หญิงหน้าตางงงวย
…
“เสี่ยวเทียน เพื่อนเจ้าปลอดภัย คราวนี้เจ้าก็คงสบายใจได้แล้วกระมัง”
หญิงชรายิ้มละไมเอ่ยถาม
“ท่านย่าเสวียน ข้าจะบอกอีกทีว่าเขาไม่ใช่เพื่อนข้า”
เซี่ยวชางเทียนเอ่ยแก้อย่างเอาจริงเอาจัง “เขารอดชีวิตข้าย่อมสบายใจ เพราะข้าอยากล้างความอัปยศ กอบกู้หน้า ต้องโค่นเขาให้ได้”
หญิงชราร้องอ้อหนึ่งครา กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้แล้วหรือ”
เซี่ยวชางเทียนกล่าวอย่างไม่ลังเลแต่อย่างใด “ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปต้องมีแน่! แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นข้าจะไปเอาชนะเจ้าเยี่ยเฉินนี่ให้ได้เสียก่อน เจ้าหมอนี่ปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเก่งเกินไป ข้ารู้สึกขัดตาเขาตั้งแต่เด็กแล้ว!”
คำพูดหนักแน่นมั่นคง ท่าทางเหยียดหยันหยิ่งผยอง
“มีปณิธาน”
หญิงชรายิ้มละไมพลางเอ่ยชื่นชมหนึ่งประโยค น้อยนักที่จะมีคนรู้ว่ายอดคู่ดาบกระบี่แห่งแดนดาราอุดรรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครยอมใคร
…
จ้าวจิ่งเซวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังเขียนจดหมาย ริมฝีปากพึมพำลำนำบทหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายสุขใจ
ลายมือของนางต่างจากผู้หญิงทั่วไป หนักแน่น ไร้ผูกมัด เหมือนงูมังกรผงาด คมชัดทรงพลัง ผ่าเผยและอิสระ
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน เจ้ากำลังครวญเพลงอะไรอยู่หรือ” นอกห้อง เสียงของเยี่ยนจั่นชิวดังขึ้น
ที่นี่คือเขตหวงห้ามหลังเขา ถึงจะถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ชั่วคราวก็ไม่ได้หมายความจ้าวจิ่งเซวียนจะไม่รู้ข่าวโลกภายนอกเลย
เมื่อหลายวันก่อนได้ยินเสียงของเยี่ยนจั่นชิว จ้าวจิ่งเซวียนคงคร้านจะใส่ใจเป็นแน่ แต่เวลานี้นางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จึงเอ่ยตอบสบายๆ “ลำนำผู้กล้า”
“ไม่เลวนี่” เยี่ยนจั่นชิวอึ้งงัน พยักหน้ากล่าว
“ย่อมไม่เลวอยู่แล้ว ลำนำบทนี้จะว่าไปยังเกี่ยวข้องกับหลินสวินด้วย”
เสียงจ้าวจิ่งเซวียนเพิ่งสิ้นสุด เยี่ยนจั่นชิวที่ยืนอยู่นอกห้องก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องจิ่งเซวียน บอกข้าได้หรือไม่ ว่าเด็กนั่นได้รับมรดกวิชามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรมาอย่างไร”
ความเบิกบานในใจจ้าวจิ่งเซวียนพลันหายวับไป รู้สึกหมดอารมณ์เล็กน้อย น้ำเสียงก็เยียบเย็นอยู่บ้าง “ท่านถามข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
เยี่ยนจั่นชิวทอดถอนใจ “เอาเถิด รอภายหน้ามีโอกาส ข้าจะลองถามเขาเอง”
“ท่านยังคิดจะตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาหรือ” นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเย็นชา
เยี่ยนจั่นชิวไหวไหล่กล่าวว่า “คนทั่วหล้าต่างรู้ดี ขอเพียงไม่ใช้วิธีผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ไม่ว่าใครก็สามารถแลกเปลี่ยนความรู้กับหลินสวินได้ทั้งนั้น ปราณข้ากับเขาอยู่ในระดับเดียวกัน หากมีโอกาสแลกเปลี่ยนกันจริงๆ ก็คงไม่ถึงขั้นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย”
จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็อวยพรให้ศิษย์พี่เยี่ยนโชคดี”
“เจ้า…” ในที่สุดเยี่ยนจั่นชิวก็อดไม่อยู่ “ไม่ห่วงว่าเขาจะถูกข้าสังหารเลยหรือ”
“ไม่ห่วง” จ้าวจิ่งเซวียนตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด
จู่ๆ ในใจเยี่ยนจั่นชิวพลันมีโทสะบอกไม่ถูกล้นทะลักออกมา สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ไม่พูดมากความอีก ก่อนหันตัวออกไป
ภายในห้อง จ้าวจิ่งเซวียนก้มหน้าก้มตาเก็บจดหมายที่เขียนเสร็จแล้ว ปิดผนึกอย่างระมัดระวัง ตั้งใจจะหาเวลาส่งจดหมายไปยังจักรวรรดิ
ในจดหมายบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับหลินสวินหลายอย่าง นางล้วนเลือกสรรมาอย่างประณีตใส่ใจ
…
ในเวลาเดียวกันนั้นที่ริมฝั่งแม่น้ำพรมแดน หญิงลึกลับยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ เงาร่างอรชร อาภรณ์พลิ้วไสวประหนึ่งเซียนบนสวรรค์
ดวงตานางทอดมองส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดนที่อยู่ไกลๆ เนิ่นนาน จู่ๆ ก็กล่าวว่า “มหายุคครั้งนี้… อาจจะมาเร็วกว่าที่คิด!”
ตอนที่ 1103 วันวานเก้าดินแดน
ที่แห่งนี้คือแม่น้ำพรมแดนที่แสนปั่นป่วน
ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยข้ามแม่น้ำพรมแดนจากแดนฐิติประจิมสู่แดนชัยบูรพา และเคยเห็นความน่าสะพรึงภายในแม่น้ำพรมแดนมาแล้ว
แต่กลับไม่อาจเทียบชั้นกับแม่น้ำพรมแดนเบื้องหน้าได้เลย
แม่น้ำพรมแดนนี้สายน้ำขุ่นมัวเชี่ยวกราก เมฆลมสายฟ้าเต็มเปี่ยมอยู่ภายในนั้น ยังมีแสงไหลน่าสะพรึง น้ำวนรุนแรง รอยแยกบนห้วงอากาศที่ฉีกขาดอยู่ภายในนั้นเต็มไปหมด
ถึงขนาดยังได้ยินเสียงประหนึ่งเทพมารคำรามเดือดดาลเป็นพักๆ ก้องสะท้อนอยู่ในส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดนอยู่รางๆ
เพียงแค่ทอดสายตามองไปไกลๆ ก็พาให้ก้นบึ้งหัวใจของหลินสวินหนาวเหน็บขึ้นมา
“สมัยบรรพกาล ที่แห่งนี้เคยเกิด ‘ศึกแห่งการดับสูญ’ ขึ้น มีอริยะมากมายนับพันต่างแค้นใจอยู่ที่นี่”
สีหน้าหญิงลึกลับเจือร่องรอยแห่งภวังค์ “และเพราะศึกนี้ ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งการกระจายตัวของดินแดนรกร้างโบราณ”
ศึกแห่งการดับสูญ!
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง กล่าวว่า “เพราะเหตุใดถึงเกิดศึกระดับนี้ขึ้นได้”
หญิงลึกลับเอ่ย “นี่คือการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน ไม่ว่าใครก็หลีกหนีไม่พ้น คู่ต่อสู้เหล่านั้นล้วนมาจากดินแดนอื่น หากไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน ป่านนี้ดินแดนรกร้างโบราณนี่คงถูกขุมอำนาจดินแดนอื่นปกครองไปนานแล้ว”
หลินสวินเคยได้ยินข่าวบางส่วนของ ‘เก้าดินแดน’ มาจากเขตหวงห้ามไร้มรณะ กลับคิดไม่ถึงว่า ‘ศึกแห่งการดับสูญ’ ที่เกิดขึ้นในสมัยบรรพกาล จะถึงกับเกี่ยวข้องกับการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน!
และในเวลานี้ ในที่สุดหลินสวินก็กล้ามั่นใจ นอกจากดินแดนรกร้างโบราณแล้วยังมีดินแดนอื่นอยู่ด้วย!
“ผู้อาวุโส พอจะเล่าเรื่องราวดินแดนอื่นๆ ให้ข้าฟังได้หรือไม่”
หลินสวินสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก ดินแดนอื่นๆ อยู่ที่ไหนกันแน่ เหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิด
“แปดดินแดนที่เหลือก็เหมือนกับดินแดนรกร้างโบราณ ล้วนเป็นโลกฝึกปราณแห่งหนึ่ง ในแง่เนื้อแท้ไม่มีความแตกต่างอะไร”
หญิงลึกลับกล่าวสบายๆ “แต่ว่าหากเปรียบเทียบกัน ดินแดนรกร้างโบราณถือเป็นดินแดนที่อ่อนแอที่สุด อยู่ชั้นล่างสุดของเก้าดินแดน”
กล่าวถึงตรงนี้มุมปากนางยกโค้งเย็นเยียบวูบหนึ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแปดดินแดนที่เหลือมองดินแดนรกร้างโบราณอย่างไร”
หลินสวินส่ายหน้า
“แผ่นดินขยะ” ริมฝีปากหญิงลึกลับพ่นคำนี้ออกมา
“แผ่นดินขยะ?”
หลินสวินอึ้งงัน ตระหนักอย่างว่องไวว่าในคำเรียกขานนี้แฝงกลิ่นอายดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่งเอาไว้
หญิงลึกลับกล่าวอธิบาย “ในสายตาดินแดนรกร้างโบราณ โลกชั้นล่างก็คือสถานที่ยากจนข้นแค้นแห้งแล้งแห่งหนึ่ง และในสายตาแปดดินแดนที่เหลือ ดินแดนรกร้างโบราณก็ไม่ต่างจาก ‘โลกชั้นล่าง’ เท่าใดนัก ถูกมองว่าเป็นแผ่นดินขยะ มหามรรคเสื่อมโทรม ประหนึ่งแดนป่าเถื่อนที่ไม่เจริญ”
คราวนี้หลินสวินถึงกล้ามั่นใจว่าความรู้สึกของตนไม่ผิด คำว่า ‘แผ่นดินขยะ’ นี้เป็นคำเรียกขานที่เหยียดหยันและดูถูกดังคาด!
“สมัยบรรพกาล ดินแดนรกร้างโบราณเคยถูกแปดดินแดนอื่นรุกรานไม่เพียงแค่หนึ่งหน และทุกครั้งที่มีการรุกรานล้วนตามมาด้วยความโกลาหลทั่วโลกหล้า ทุกแห่งหนล้วนมีแต่ภาพสิ่งมีชีวิตดับสิ้น เลือดไหลเป็นสายน้ำ…”
เสียงของหญิงลึกลับเคร่งขรึม “ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือศึกแห่งการดับสูญ ขุมอำนาจแปดดินแดนร่วมมือกันรุกรานดินแดนรกร้างโบราณรอบด้าน ตอนนั้นเหมือนดั่งวันสิ้นโลก ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณล้วนปั่นป่วนโกลหล อริยะประหนึ่งผักหญ้า ดับสูญไปไม่รู้ตั้งกี่คน”
“ศึกครั้งนี้ดินแดนรกร้างโบราณถูกโจมตีจนย่อยยับ กลายสภาพเป็นสี่แดนวิภูในปัจจุบัน ส่วนจำนวนสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่บาดเจ็บล้มตายในศึกครั้งนี้มากมายไม่สามารถนับได้”
“แต่ที่บอกเจ้าได้ก็คือ หากไม่ใช่เพราะศึกแห่งการดับสูญครั้งนี้ ดินแดนรกร้างโบราณคงไม่ถูกแบ่งแยก สำนักโบราณในหล้าก็ย่อมไม่ได้มีเพียงสำนักพวกนี้อย่างแน่นอน”
“มรดกวิชาเก่าแก่มากมายล้วนมอดดับลงในตอนนั้น พาให้ผู้คนนึกเสียดายนัก”
ยิ่งพูดเสียงของหญิงลึกลับก็ยิ่งทุ้มต่ำลง เจือแววรวดร้าวและเศร้าโศก
ในใจหลินสวินค่อนข้างไม่สงบ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน เป็นครั้งแรกที่ได้ยินศึกแห่งการดับสูญ
และเป็นครั้งแรกที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการแยกตัวของดินแดนรกร้างโบราณ ถึงกับมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรุกรานของแปดดินแดนที่เหลือด้วย!
“เหตุใด… ถึงเกิดการรุกรานขึ้นได้”
หลินสวินอดถามไม่ได้
“เกี่ยวเนื่องกับการต่อสู้มหามรรค ดินแดนรกร้างโบราณถึงแม้จะอยู่ชั้นล่างสุดของเก้าดินแดน ถูกอีกแปดดินแดนที่เหลือมองเป็นแผ่นดินขยะ แต่ในตอนแรกเริ่มก็เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน เคยสะเทือนขวัญดินแดนทั้งปวง ตั้งตระหง่านอยู่เหนือชั้นฟ้า ถูกมองเป็นดินแดนอริยเทพที่ไม่เสื่อมสลาย!”
กล่าวถึงตรงนี้กลิ่นอายทั้งตัวของหญิงลึกลับก็เปลี่ยนไปแล้ว เจือแววผงาดผยองและภาคภูมิใจอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้
แต่ไม่นานนางก็ทอดถอนใจแผ่วเบา “อย่าพูดถึงเลย เรื่องเก่าๆ พวกนี้ล้วนผ่านไปแล้ว ความเจริญไม่มี ความรุ่งเรืองไม่อยู่ ผลสุดท้ายก็เหมือนดอกไม้ที่ร่วงโรย เหลือเพียงความเหี่ยวแห้ง”
หลินสวินอึ้งงัน สภาพจิตใจสับสนวุ่นวาย
ทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟังในเวลานี้เกี่ยวโยงกับเก้าดินแดน และเกี่ยวโยงกับอดีตของดินแดนรกร้างโบราณ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจและสัมผัสมาก่อน
ตอนนี้โชคดีที่ได้รู้ แต่จิตใจกลับหนึกอึ้งบอกไม่ถูก
“เรื่องพวกนี้ยังไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าในตอนนี้ และไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มไปกับมัน ที่เจ้าต้องทำก็คือคว้าโอกาสที่มหายุคกำลังจะมาเยือน มุมานะอุตสาหะบรรลุสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชัน”
เสียงของหญิงลึกลับเนิบนาบ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด “หากพลาดไป ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว”
ในใจหลินสวินสะท้านไหว พยักหน้าอย่างจริงจัง
“มหายุคครั้งนี้ มีคนมากมายพากันเฝ้ารอ ไม่เพียงคนในโลกปัจจุบันเท่านั้น พวกที่หลับใหลอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาส่วนหนึ่งก็จะตื่นจากการหลับใหล เยื้องย่างออกมาจากการจำศีลอย่างแน่นอน!”
หญิงลึกลับกล่าว “ดังนั้น เจ้าต้องเตรียมใจให้พร้อม”
หลินสวินได้ยินเช่นนี้ ก็นึกถึง ‘คุณชายน้อย’ คนนั้นที่จำศีลอยู่ในเกาะอริยะปัญจธาตุขึ้นมาอีกครั้ง และนึกถึงนายน้อยเซ่าเฮ่าเผ่าราชันเร้นดาราที่หลับใหลอยู่ในไข่แห่งกลุ่มดาวด้วยเช่นกัน
พวกนี้ล้วนไม่ใช่คนในโลกปัจจุบันทั้งสิ้น
แต่เมื่อพวกเขาปรากฏตัวสู่โลกย่อมปั่นป่วนคลื่นลมในใต้หล้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“เจ้าดูสิ ในแม่น้ำพรมแดนแม้จะมีอันตรายอยู่บ่อยครั้ง เกิดภัยพิบัติอยู่ไม่สร่าง แต่เบื้องหลังอันตรายไร้ที่สิ้นสุดนี้ กลับมีพลังชีวิตไพศาลหาใดเปรียบกำลังถือกำเนิดขึ้น”
“มองแวบเดียวก็รู้เหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนนี้ของแม่น้ำพรมแดนเป็นเช่นนี้ จุดอื่นๆ ในดินแดนรกร้างโบราณย่อมเป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน”
“นี่ก็คือสัญญาณการมาเยือนของมหายุค”
หญิงลึกลับทอดสายตามองแม่น้ำพรมแดนไกลๆ พลางชี้แนะหลินสวิน
“ดังคำกล่าวที่ว่าสรรพสิ่งเมื่อถึงจุดที่สุดย่อมพลิกผัน เรื่องร้ายผ่านไปสิ่งดีมาเยือน ตั้งแต่หลังจากศึกแห่งการดับสูญ ดินแดนรกร้างโบราณเงียบงันจมจ่อมอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลานานแสนนาน รากฐานพลังที่ซ่อนเร้นย่อมปะทุออกมาทั้งหมดตอนที่มหายุคมาเยือนแน่นอน”
หลินสวินมองเข้าไปอย่างจดจ่อ กลับเห็นแต่อันตรายและภัยพิบัติไร้ที่สิ้นสุด มองไม่เห็น ‘พลังชีวิต’ ที่เรียกกันนั่นเลยสักนิด
สาเหตุนั้นเขาเองก็เข้าใจ ระดับของตนต่ำเกินไป ยังไม่สามารถสอดส่องภาพรวมทั่วหล้าได้
หญิงลึกลับกล่าว “จากการอนุมานของข้า มหายุคครั้งนี้เป็นไปได้สูงว่าอาจมาก่อนกำหนด อย่างมากก็ไม่น่าเกินระยะเวลาสามเดือน”
เหลือเวลาไม่ถึงสามเดือนแล้วหรือ
คราวนี้หลินสวินตกใจจริงๆ ไม่ทันตั้งตัวอยู่บ้าง
“สัญญาณแห่งมหายุคเกี่ยวข้องกับตัวแปรวัฏจักร ซับซ้อนวุ่นวาย หนำซ้ำมหายุคครั้งนี้ยังต่างจากที่ผ่านมา ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าใครย่อมไม่อาจสอดส่องได้ทั้งหมด”
หญิงลึกลับกล่าว “แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าโอกาสยิ่งมาก ศุภโชคที่จะไขว่คว้าแย่งชิงก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน!”
นัยน์ตาหลินสวินทอประกาย ผุดแววตั้งตาคอยขึ้นมา
ไม่นานหญิงลึกลับก็พาหลินสวินจากไป
ระหว่างทาง นางเอา ‘เงินขายแกะ’ ที่ได้จากห้าสำนักอย่างพวกสำนักกระบี่เทียมฟ้าให้หลินสวินทั้งหมด
‘น้ำค้างหยกลมทอง’ จากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ‘น้ำยาควบรวมจิต’ จากสำนักกระบี่เทียมฟ้า ‘ลูกกลอนเจ็ดช่องดารา’ จากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ‘น้ำแร่อมฤต’ จากแดนพิสุทธิ์อมตะ ‘แร่กระดูกหยกหลากสี’ จากสำนักยุทธ์สมุทรคราม
บวกกับ ‘ของเหลววิญญาณปฐมอสนี’ จากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สมบัติทั้งหกอย่าง แต่ละอย่างล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าในการฝึกปราณที่ได้แต่พบเจอไม่อาจครอบครองทั้งสิ้น!
มูลค่ามหาศาล เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดต่างอิจฉาตาร้อน
หญิงลึกลับกล่าวสบายๆ “ของพวกนี้น่าจะเพียงพอต่อการกลายเป็นราชันของเจ้า ก่อนหน้านั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าศึกษาหยั่งถึงนัยเร้นลับมหามรรคไร้มรณะ แม้จะพบเจออันตรายชี้เป็นชี้ตาย อาศัยพลังมหามรรคนี้ อยากตายก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น”
หลินสวินได้ยินแล้วเหงื่อกาฬท่วมหัว ไม่ได้เรียกขวัญ แต่กลับไตร่ตรองความเป็นความตายก่อน การดูแลเช่นนี้ช่างต่างจากคนทั่วไปจริงๆ
สุดท้าย หญิงลึกลับและหลินสวินก็กลับมาทะเลหมากดาราอีกครั้ง
ที่นี่เหงาเงียบไร้ผู้คน แต่ร่องรอยของของการต่อสู้ยังคงอยู่ ภูผาธาราที่พังครืนเหมือนซากปรักหักพัง ต่างกำลังบอกอย่างไร้เสียงว่าการต่อสู้อริยมรรคไม่กี่วันก่อนนี้น่าสะพรึงปานใด
“ก่อนและหลังมหายุคมาเยือน อย่างน้อยคงไม่มีสำนักโบราณไหนกล้าจ้องเล่นงานเจ้าอีก แต่ยากจะรับประกันว่าอาจมีพวกคิดต่างกระโดดออกมา เจ้าต้องระวังตัวเอาเอง ข้าออกหน้าแทนเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเจ้าไปชั่วชีวิต การเสาะหามหามรรค ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็ต้องพึ่งพาตัวเอง”
กล่าวจบเงาร่างหญิงลึกลับก็อันตรธาน หายลับไปในห้วงอากาศ กลับสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์
หลินสวินมึนงงเหมือนหลงทาง
นึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ถูกกลุ่มอริยะปิดล้อม จนถึงหญิงลึกลับปรากฏตัว ใช้พลังแห่งตนกำราบทั่วลาน
จากต้อนอริยะเหมือนเดรัจฉานไปเยือนเขามายาทมิฬ ราวกับย่างสู่ดินแดนไร้ผู้คน เรื่อยมาจนถึงบทสนทนาริมฝั่งแม่น้ำพรมแดน…
ทั้งหมดนี้เหมือนฝันที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ แต่กลับประทับในสมองอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ประจักษ์ชัดในสายตา
หลินสวินยืนตระหง่านบนเกาะสันโดษในส่วนลึกของทะเลหมากดารา อึ้งงันเหม่อลอยเนิ่นนาน สุดท้ายก็สูดหายใจเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ขึ้นมา
ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้เขาเห็นแล้วว่าฝีมือเทียมฟ้าคืออะไร อะไรที่เรียกว่าเหยียดหยันใต้หล้า ผงาดผยองในโลกา!
และในที่สุดก็เข้าใจ เมื่อตนมีพลังสมบูรณ์ แม้จะโดดเดี่ยวตัวคนเดียวก็ไม่ต้องเกรงกลัวขุมอำนาจใดๆ ในใต้หล้าอีก!
เวลานี้จู่ๆ หลินสวินก็ปรารถนาให้มหายุคมาเยือนอย่างแรงกล้า ไปแย่งชิงมหามรรคกับผู้กล้าทั้งปวง ไปช่วงชิงศุภโชคใหญ่ในระดับมกุฎราชัน!
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลินสวินเริ่มปิดด่านในส่วนลึกของทะเลหมากดารา
ส่วนในโลกภายนอก พายุยังคงโหมกระหน่ำ วีรกรรมเกี่ยวกับหญิงลึกลับกำราบหกอริยะ ทั้งมุ่งหน้าไป ‘เยี่ยมเยียน’ หกขุมอำนาจใหญ่ทีละแห่งก็ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญ และแพร่ขยายกระจายกว้าง
หกขุมอำนาจใหญ่ คราวนี้เรียกได้ว่าเสียหน้าไม่มีชิ้นดี
ขุมอำนาจอื่นๆ ก็สะท้านสะเทือนต่อเรื่องนี้เช่นกัน ล้วนตกใจยกใหญ่ คิดไม่ถึงสักนิดว่าคนหนุ่มที่เมื่อก่อนไม่เคยถูกสำนักโบราณใดๆ เห็นอยู่ในสายตา เบื้องหลังกลับมีบุคคลเหนือล้ำเช่นนี้คอยหนุนอยู่
ส่วนผู้ฝึกปราณในโลกหล้าต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ โกลาหลปั่นป่วนด้วยเหตุนี้เช่นเดียวกัน
“เป็นหลินสวินนี่อีกแล้ว”
ในเขตหวงห้ามเขาด้านหลังของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่หาใดเปรียบต้นหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น ประกายเย็นเยียบสองสายวาบออกมา
พริบตานี้ทั่วร่างเด็กรับใช้ที่เข้ามารายงานข่าวล้วนหลั่งเหงื่อเย็น ประหนึ่งตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
สาเหตุก็เพราะกลิ่นอายที่แผ่ซ่านจากตัวชายหนุ่มน่าสะพรึงเกินไป ยามเปิดตาประหนึ่งวังน้ำวนที่ลึกสุดหยั่ง ไหลเวียนด้วยอสนีสายแล้วสายเล่าราวกับลำแสงกระบี่ คล้ายว่าสามารถมองทะลุความว่างเปล่า ตัดเฉือนกลืนกินจิตวิญญาณ!
ตอนที่ 1104 มหายุคใกล้มาเยือน
กลิ่นอายมหามรรคสายแล้วสายเล่าคละคลุ้งออกมาจากตัวชายหนุ่ม ถึงแม้จะนั่งขัดสมาธิแต่กลับเหมือนเซียนกระบี่แห่งยุค คมกริบสะเทือนผู้คน
เด็กชายตัวสั่นเทิ้มทั่วร่าง กล่าวว่า “ใต้เท้าไม่ต้องบันดาลโทสะขอรับ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เจ้านั่นจะเป็นคู่ต่อสู้ของท่าน”
อย่าเห็นว่าเด็กชายรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์ อันที่จริงเป็นปีศาจเฒ่าที่บำเพ็ญมานานนับพันปี เป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าโห่วทอง มีปราณระดับกึ่งราชัน
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มกลับถือตนเป็นข้ารับใช้
เพราะชายหนุ่มคนนี้ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋!
เป็นบุคคลแห่งยุคที่มีชื่อเสียงตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันของดินแดนรกร้างโบราณ!
“เจ้ารู้รายละเอียดแท้จริงของหลินสวินนี่หรือไม่”
อวิ๋นชิ่งไป๋เก็บกลิ่นอายทั่วร่าง สีหน้ากลับสู่ความสงบ
“รู้เพียงว่าเด็กนั่นมาจากโลกชั้นล่าง ที่มาของเขาจนป่านนี้ยังคงเป็นปริศนา เดิมทีสำนักส่งคนไปโลกชั้นล่างหมายจะสืบข่าว แต่เพราะเหตุผลบางประการ เส้นทางที่สำนักใช้เชื่อมต่อไปยังโลกชั้นล่างขาดไป จนป่านนี้ก็ยังไม่ทราบที่มาแน่ชัดของเด็กนั่นเลยขอรับ”
เด็กชายกล่าวเป็นพัลวัน
“โลกชั้นล่าง?”
อวิ๋นชิ่งไป๋จมสู่ภวังค์
เขานึกถึงเรื่องเก่าในปีนั้น นึกถึงตระกูลแซ่หลินนั่น…
หรือว่า…
หัวคิ้วอวิ๋นชิ่งไป๋ขมวดขึ้นมาอย่างไม่เป็นที่จับสังเกต
และในเวลานี้เด็กชายกล่าวว่า “จากข่าวที่สำนักสืบมาได้ เด็กนั่นครองพลังมหามรรคน่าสะพรึงถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง พลานุภาพของมันคล้ายคลึงกับพลังมหามรรคที่ใต้เท้าครอบครองอย่างมาก…”
ไม่รอให้พูดจบอวิ๋นชิ่งไป๋ก็กล่าวอย่างเฉียบขาด “เป็นไปไม่ได้!”
น้ำเสียงเจือแววเยียบเย็น ไอสังหารท่วมทะลักสี่ทิศ ทำเอาเด็กชายตกใจตัวสั่นเทิ้มทั้งร่าง เกือบเข่าทรุดกับพื้น
อวิ๋นชิ่งไป๋เห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าเมื่อครู่ตนเสียอาการอยู่บ้าง อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ นี่ตนเป็นอะไรไป หรือว่ายังฝังจิตฝังใจกับเรื่องในปีนั้นอยู่อีก
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง จิตมรรคพิสุทธิ์ดุจกระบี่ คมกล้าไพศาล ไม่ได้รับอิทธิพลวุ่นวายใดๆ อีก
“ได้ยินว่าครั้งนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งหนุนหลังหลินสวินนั่น มาเยือนประตูภูเขาตัวคนเดียว บีบให้สำนักมอบน้ำยาควบรวมจิตให้ขวดหนึ่งหรือ” อวิ๋นชิ่งไป๋เอ่ยถาม
“ขอรับ” เด็กชายก้มหน้า
“นางยังบอกอีกว่าหากเป็นการต่อสู้รุ่นเดียวกัน นางจะไม่ยื่นมือแทรกแซงเรื่องของหลินสวินนั่นเด็ดขาดหรือ”
“ขอรับ”
หลังจากยืนยันแล้วอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ดีดตัวขึ้น ยืนตระหง่านใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ ทอดสายตามองไปไกลๆ กล่าวว่า “มหายุคใกล้มาเยือน กระดานทองคำผู้กล้าก็จวนปรากฏ ไม่ว่าหลินสวินนี่จะเป็นใคร ข้าต้องปลิดชีพมันมาล้างความอัปยศที่สำนักต้องแบกรับให้จงได้!”
เด็กชายจิตใจไหวสะท้าน กล่าวอย่างฮึกเหิม “มีใต้เท้าออกโรง เทพมารหลินนี่ต้องตายอย่างไร้กังขา!”
“ปิดด่านจวนสิบปี ก็ไม่รู้คนทั่วหล้าลืมข้าอวิ๋นชิ่งไป๋แล้วหรือไม่ ข้าได้ยินว่าคนมากมายคิดว่าข้าเทียบเมื่อก่อนไม่ได้ มีศัตรูทั่วหล้า ถึงขั้นที่ไม่อาจเทียบกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ ออกด่านครั้งนี้ข้าจะทำให้พวกเขาประหลาดใจสักหน่อย!”
เงาร่างอวิ๋นชิ่งไป๋สันโดษสูงโปร่ง อาภรณ์สีขาวยิ่งกว่าหิมะ สองมือไพล่หลัง ยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้นก็มีอานุภาพแปลกแยกเหนือธรรมดา
“ใต้เท้ายิ่งใหญ่เกรียงไกร เปรียบได้กับบุตรเทพบรรพกาล สิบปีก่อนก็ไร้ศัตรูในคนรุ่นเดียวกันแล้ว ครั้งนี้ก็ย่อมกวาดล้างศัตรูทั้งปวงได้แน่ขอรับ!”
น้ำเสียงของเด็กชายเจือแววเคารพเลื่อมใสอย่างแรงกล้า
สีหน้าอวิ๋นชิ่งไป๋ราบเรียบ คล้ายกับไม่ได้ยินคำพูดนี้
มรรคของเขาเคี่ยวกรำถึงขั้นสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ปิดด่านสิบปีมานี้ยิ่งเก็บงำลับคมเขี้ยว เติมเต็มจุดบกพร่องของตนทั้งหมด บ่มเพาะพลังจิตวิญญาณให้ไร้ทัดเทียมอย่างแท้จริง
ความแข็งแกร่งของเขา เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายอมรับอยู่แล้ว!
“เจ้าช่วยข้ารวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพวกสัตว์ประหลาดบรรพกาลสักหน่อย คนในหล้าไม่น่าหวั่นเกรง มีแต่พวกสัตว์ประหลาดที่เก็บตัวผ่านกาลเวลา รอปรากฏตัวในช่วงมหายุคเท่านั้นถึงจะควรค่าให้จับตามอง”
อวิ๋นชิ่งไป๋กล่าวสั่งการอย่างสบายๆ
“ใต้เท้านี่ท่านต้องการจะ?” หัวใจเด็กชายไหวสะท้าน สังหรณ์ใจถึงอะไรบางอย่าง
นัยน์ตาอวิ๋นชิ่งไป๋มีแสงประกายดุจวังน้ำวนไหลเวียน “คนทั่วหล้าพากันคิดว่าข้าอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่มีปัญญาเทียบชั้นกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลบางส่วนได้ไม่ใช่เหรอ เมื่อมหายุคมาเยือน ตอนที่แข่งขันกระดานทองคำผู้กล้า ข้าจะเป็นฝ่ายชิงสังหารเจ้าพวกนี้ก่อนตั้งแต่แรก!”
เด็กชายทำหน้าเลื่อมใสและเคารพยกย่อง
เขาไม่ได้ประจบสอพลอ หากแต่รู้ดีว่าอวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งมากจริงๆ ปิดด่านสิบปีมีแต่จะทำให้กร้าวแกร่งมากกว่าเมื่อก่อน!
“แน่นอน จำไว้ว่าต้องจับตามองหลินสวินนั่น”
อาจเป็นเพราะเหตุบางอย่าง อวิ๋นชิ่งไป๋นึกถึงเจ้าหนุ่มที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนอีกครั้งอย่างน่าประหลาด เอ่ยคำสั่งตามจิตใต้สำนึก
เด็กชายพยักหน้า รับคำสั่งจากไป
…
หลายวันผ่านไป
ขณะที่คนทั่วหล้ายังพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่หญิงลึกลับกดข่มอริยะหกคนไม่หยุดหย่อนอยู่นั้น หอฤทธิ์เทพแห่งแดนเร้นอริยะได้ประกาศข่าวสาร…
มหายุคกำลังจะมาถึงภายในสามเดือน!
ทันใดนั้นสี่แดนวิภูต่างเดือดพล่าน ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณเกิดระลอกคลื่นโกลาหลครั้งใหญ่
มหายุคครั้งนี้ถูกคาดการณ์เอาไว้นานแล้ว ท่ามกลางการเฝ้ารอนับไม่ถ้วนในที่สุดก็มาเสียที ข่าวนี้เป็นดั่งเรื่องตะลึงโลก กลายเป็นจุดสนใจของผู้ฝึกปราณทั่วหล้าภายในพริบตาเดียว
“การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจระหว่างผู้กล้ามากมายก็จวนจะเปิดม่านแล้วเช่นกัน ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีผู้โชคดีไขว่คว้าศุภโชคมหายุค สร้างเส้นทางแห่งมกุฎราชันในคราเดียวได้มากน้อยแค่ไหน!”
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างฮึกเหิม
“ในที่สุดก็มาเสียที วาสนาครั้งนี้ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นมันต้องพิเศษกว่าที่เคยมีมาแน่นอน จะต้องคว้ามาให้จงได้!”
สำนักโบราณมากมายต่างพากันเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการมาเยือนของมหายุค
“น่าเสียดาย มหายุคดันมาไวกว่ากำหนด นี่ไม่ได้หมายความว่า การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูไม่สามารถดำเนินการตามกำหนดได้หรอกหรือ”
และมีคนนึกเสียดาย
เดิมทีอีกครึ่งปี การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูก็จะเปิดฉากขึ้น ผู้กล้าชั้นยอดมากมายต่างพากันเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ ตั้งความหวังว่าจะขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ
แต่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน
การมาเยือนก่อนกำหนดของมหายุคครั้งนี้ปั่นป่วนแผนการทั้งหมด
“นี่ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร เมื่อเทียบกับการประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู การเข่นฆ่าเพื่ออันดับบนกระดานทองคำผู้กล้าต่างหากที่ทำให้ผู้คนตั้งตาคอยมากที่สุด!”
“ถูกต้อง มีแต่ต้องไต่เต้าขึ้นกระดานทองคำผู้กล้าเท่านั้นถึงจะเรียกว่าเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง ส่วนผู้กล้าอื่นๆ ที่เรียกกันย่อมถูกคัดชื่อทิ้งอย่างแน่นอน!”
“ผู้กล้า… ผู้กล้าแห่งสวรรค์ สองคำนี้ใช่ว่าใครจะคู่ควรได้ครอบครองมั่วๆ”
การวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ ในดินแดนรกร้างโบราณ เดือดพล่านปั่นป่วน
หนำซ้ำยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย!
นี่ก็คืออิทธิพลของมหายุค เกี่ยวโยงกับสถานการณ์และแนวโน้มทิศทางของทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ไม่ว่าจะเป็นสำนักโบราณหรือผู้ฝึกปราณในหล้า ต่างล้วนได้รับผลกระทบจากมันอย่างแน่นอน
และใครสามารถผงาดง้ำท่ามกลางมหายุค ทั้งยังสามารถโดดเด่นในมหายุค ย่อมเป็นผู้ที่ผู้ฝึกปราณทุกคนให้ความสนใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
…
แดนมรณะประหัตมาร
หนึ่งในห้าเขตหวงห้ามของดินแดนรกร้างโบราณ
ในสนามรบนองเลือดหาใดเปรียบ อสูรมารอาละวาด วิญญาณอาฆาตโหมเคลื่อน น่าสยดสยองปานแดนผีก็ไม่ปาน
แต่ในพื้นที่แถบหนึ่งภายในนั้นกลับว่างเปล่าสะอาดหมดจด พื้นที่ในรัศมีพันลี้ ไม่ว่าสัตว์อสูรมาร วิญญาณอาฆาตใดๆ ต่างไม่กล้าก้าวล้ำกล้ำกรายแม้แต่ก้าวเดียว
ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบนพื้น เส้นผมสีขาวปานน้ำค้างหิมะทั่วศีรษะลู่ลง เผยโครงหน้าหล่อเหลาคมชัด
สวบ!
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งแหวกห้วงอากาศมาเยือน ชายหนุ่มชุดดำลืมตาขึ้น ลงมือดุจสายฟ้า คว้าลำแสงอยู่หมัด ยามที่แบมือออกก็มียันต์หยกหลากแสงสีเพิ่มขึ้นมาผืนหนึ่ง
เมื่อบดขยี้ยันต์หยก ภายในนั้นมีเสียงแก่ชราหาใดเปรียบสายหนึ่งดังออกมา “มหายุคจะมาเยือนภายในสามเดือน หมัวเฮอ กลับมาได้แล้ว”
มหายุค!
ชายหนุ่มชุดดำหยัดตัวเต็มความสูง รูปร่างสูงโปร่งกำยำพลันแผ่แสงเทพสีดำทะยานฟ้าออกมา ปกคลุมสนามรบแถบนี้ประหนึ่งราตรีนิรันดร์
อสูรมารและวิญญาณอาฆาตในที่นั้นต่างตกใจ พากันร้องโหยหวนขึ้นมา บ้างก็ตัวสั่นเทิ้ม บ้างก็หนีตาย
“ถึงกับมาก่อนกำหนด ยังดี หลายวันมานี้ที่เคี่ยวกรำในแดนมรณะประหัตมาร มรรคต้าหลัวคืนสัจจะของข้าบรรลุระดับแก่นมรรคนานแล้ว การช่วงชิงในมหายุคครั้งนี้ย่อมปราศจากความกลัว!”
สวบ!
ชายหนุ่มชุดดำเหยียบย่างห้วงอากาศออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด
วันนี้ เย่หมัวเฮอแห่งลัทธิเทพต้นกำเนิด บุคคลแห่งยุครุ่นก่อนที่อยูบนกระดานยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ เดินทางออกจากแดนมรณะประหัตมาร
…
เส้นทางดาราวัฎจักร
หนึ่งในห้าเขตหวงห้ามของดินแดนรกร้างโบราณ
กลางห้วงอากาศเวิ้งว้าง หมู่ดาวเสมือนตัวหมากแน่นขนัดกระจัดกระจายไปทั่ว สว่างไสวลุกโชน แต่งแต้มเส้นทางดาราคดเคี้ยวไร้ที่สิ้นสุด
ที่นี่คือฟ้าดาราที่อยู่ในแดนลับแห่งหนึ่ง เป็นเขตหวงห้ามขนาดใหญ่ที่เลื่องชื่อลือชามาแต่โบราณ
เวลานี้มีชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งกำลังเหยียบย่างอยู่บนนั้น อาภรณ์ของเขาขาดวิ่น บาดแผลเต็มเนื้อตัว ดูแล้วสะบักสะบอมและน่าสังเวชอย่างยิ่ง
แต่สีหน้าของเขากลับแน่วนิ่งดั่งหินผา ไม่ไหวหวั่นสักเสี้ยว
อานุภาพของเขาก็กร้าวแกร่งไร้เทียมทานมากเช่นกัน ราวกับคมกระบี่ที่หลอมตีมาเนิ่นนาน
วู้ม!
ทันใดนั้นสายลูกปัดบนข้อมือของเขาพลันสว่างขึ้น เสียงไพเราะอบอุ่นสายหนึ่งดังออกมา “เหิงเจิน มหายุคใกล้มาเยือนแล้ว ได้เวลากลับแล้ว”
ชายหนุ่มอึ้งงันไป จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกยาว กล่าวพึมพำ “จวนจะเริ่มแล้วหรือ ก็ดีเหมือนกัน ข้าเฝ้ารอมานานเกินไปแล้ว…”
พรึ่บ!
ตามเนื้อตัวของเขา บาดแผลมากมายสมานด้วยความเร็วน่าอัศจรรย์ จากนั้นชั้นผิวหนังที่ตายก็หลุดลอกออก เผยให้เห็นผิวผลัดใหม่ที่ใสวาวราวกับหยก
ชั่วอึดใจอานุภาพยิ่งใหญ่น่ายำเกรงดุจภูผาพลันแผ่ออกจากร่างของเขา สะเทือนทั่วฟ้าดาราแถบนี้
ในวันนี้ หมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราได้เดินทางกลับจากเส้นทางดาราวัฎจักร
…
ในวันเดียวกัน ภายในสำนักต่างๆ ล้วนมีภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกันอุบัติขึ้น
บุคคลแห่งยุคที่บ้างก็จำศีล บ้างก็ปิดด่าน ไม่ก็กำลังเคี่ยวกรำ ต่างพากันวางธุระในมือ เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการมาเยือนของมหายุค!
สำนักเอกอุ หวังเสวียนอวี๋ที่ปิดด่านนานหลายปีปรากฏตัว
เขาสวมชุดคลุมสีดำ รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา แต่ตัวคนกลับเห็นได้ชัดว่าเกียจคร้านมาก ตอนที่เดินออกจากสถานที่ปิดด่านยังอ้าปากหาวหวอดเหมือนคนผ่านทางมา ไม่โดดเด่นแต่อย่างใด
แต่ตลอดทางที่เขาเดินผ่าน เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ที่ได้พบเจอเขาต่างพากันหยุดการเคลื่อนไหวของตน ค้อมกายโค้งคำนับ สีหน้าเจือแววเคารพเลื่อมใสอย่างไร้ที่ติ
…
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เยี่ยนจั่นชิวยืนตระหง่านบนยอดเขาเพียงลำพัง ทอดสายตามองดูทะเลหมอก อาภรณ์โบกสะบัด พยับหมอกรายล้อมทั่วร่างประหนึ่งเทพเซียน
‘มหายุคมาเยือน ไม่ว่าศิษย์น้องจิ่งเซวียนจะตำหนิหรือไม่ ข้าก็จะกำจัดเจ้าเสีย มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรย่อมไม่อาจตกไปอยู่ในมือคนนอกได้เป็นอันขาด!’
เขาพึมพำในใจ สีหน้าเฉยเมย
จี้ซิงเหยาจากเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ลั่วเจียผู้สืบทอดอริยะกระบี่ตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพ ซุ่นไป๋เสวียนทายาทตระกูลอริยะ…
ในแต่ละพื้นที่ แต่ละสำนักขุมอำนาจในดินแดนรกร้างโบราณ ต่างเริ่มมีการเคลื่อนไหว
และนอกจากสำนักใหญ่ๆ แล้ว ในแดนเร้นอริยะที่ตัดขาดจากโลก แดนลึกลับที่ไม่เป็นที่รู้จักบางแห่งก็มีการเคลื่อนไหวแปลกๆ เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
หนำซ้ำด้วยการมาเยือนของมหายุค แม้แต่สัตว์ประหลาดบรรพกาลส่วนหนึ่งที่เก็บตัวเงียบ จำศีลอยู่ในกาลเวลายาวนานมาจนบัดนี้ ก็เริ่มปรากฏตัวแล้วเช่นกัน!
ตอนที่ 1105 นั่งชมเมฆลมโหมพัด
แดนชัยบูรพา ภูเขาลูกใหญ่สูงตระหง่านล้อมรอบด้วยรัศมีสีเขียว
เวลานี้เกิดเสียงตูมขึ้น ตัวภูเขาสูงหมื่นจั้งเต็มๆ ถึงกับผุดลอยจากพื้นดิน จากนั้นพลันทรุดตัวลงด้านหนึ่ง กระแทกจนผืนดินกว้างสะเทือนเลื่อนลั่น หินผาแหลกเป็นเสี่ยง
สัตว์อสูรมารและสิ่งมีชีวิตในพื้นที่หมื่นจั้งไม่รู้ถูกกระแทกตายไปเท่าไหร่
“ฮือๆๆ…”
เบื้องล่างของภูเขาที่พังครืน มีเสียงระลอกหนึ่งปานเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนดังออกมา ชายหนุ่มชุดคลุมชาดคนหนึ่งแหงนหน้าน้ำตาไหลพราก
เงาร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ ผมสีเลือดปลิวไสว กลางหว่างคิ้วมีดวงตาแนวตั้งข้างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสยดสยองหาใดเปรียบ
“สวรรค์ช่างน่าสมเพชนัก ข้าถูกผนึกมาหมื่นปีเต็มๆ! ผู้ใดจะเข้าใจความอัดอั้นของข้า ยังดี มหายุคมาแล้ว! ฮ่าๆๆ…”
ชายหนุ่มชุดคลุมชาดที่กำลังหลั่งน้ำตาจู่ๆ กลับหัวเราะคลุ้มคลั่งขึ้นมา เส้นผมสีแดงทั่วศีรษะราวกับเพลิงอัคคีกำลังลุกโหม ยามที่ดวงตาตั้งตรงกลางหน้าผากเปิดลืมขึ้นมา ลำแสงเลือดลึกลับก็แผ่พุ่งออกมาประหนึ่งอสูรมารสะท้านโลก
“หมื่นปีนานเกินไป จะไขว่คว้าทุกช่วงเวลา!”
“ข้าเงียบมานานเกินไป มหายุคครั้งนี้ก็ควรถึงคราวข้าออกโรงบ้าง!”
ชายหนุ่มชุดคลุมสีชาดพึมพำกับตัวเอง แววตาน่าสะพรึง ทั่วร่างพวยพุ่งด้วยกลิ่นอายอสูรชั่วร้าย “หากสามารถเหยียบย่างระดับมกุฎราชันได้ การเก็บตัวเงียบหมื่นปีก็คุ้มค่า!”
“ขอแสดงความยินดีที่นายน้อยออกด่าน!”
ข้ารับใช้คนหนึ่งโรยตัวลงมา นี่เป็นราชันคนหนึ่ง แต่เวลานี้กลับเคารพชายหนุ่มชุดคลุมสีชาดเป็นล้นพ้น
“เฮอะ! หมื่นปีแล้ว ข้ายังคิดว่าตระกูลลืมข้าไปสิ้นแล้ว!”
ชายหนุ่มชุดคลุมชาดแค่นเสียงเย็น แม้ว่าข้ารับใช้จะเป็นราชัน แต่เขากลับไม่เกรงใจสักนิด
“นายน้อย ตระกูลยกโชควาสนาหมื่นปีทั้งหมดไว้ที่ท่าน เห็นได้ชัดว่าตระกูลให้ความสำคัญกับท่านปานใด หวังว่าท่านอย่าถือโทษโกรธเคืองเลยนะขอรับ”
ข้ารับใช้กล่าวอธิบาย
ชายหนุ่มชุดคลุมชาดพูดอย่างเหลืออด “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าไม่เข้าใจเรื่องราวในใต้หล้ามานานมากแล้ว เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย ทุกวันนี้มีเจ้าคนไหนที่ร้ายกาจที่สุดบ้าง ในใจข้าสะสมความอัดอั้นมามากเกินไป ต้องหาเหยื่อมาระบายก่อนสักสองสามคน”
นิ่งไปพักหนึ่ง นัยน์ตาเขาทอดมองเวิ้งฟ้า มุมปากผุดเส้นโค้งคมกริบ “ขณะเดียวกันก็ต้องบอกคนทั่วหล้าว่าข้า ชื่อหลิงเซียวกลับมาแล้ว!”
…
พื้นที่อื่นๆ ก็อุบัติเรื่องราวคล้ายคลึงกันขึ้น มีสัตว์ประหลาดบรรพกาลและอัจฉริยะออกด่านไม่ขาดสาย
ก้นภูเขาไฟสีทองลูกหนึ่ง หินหนืดที่เงียบงันไม่รู้กี่ปีปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเดือดพล่าน
ตูม!
ทันใดนั้นภูเขาไฟพลันปะทุขึ้น คลื่นไฟโหมกระหน่ำแผดเผาเวิ้งฟ้าแถบนี้ สะเทือนเลื่อนลั่นขุมอำนาจฝึกปราณมากมายในเขตแคว้นนี้
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างสั่นสะท้าน ทอดสายตามองมายังที่แห่งนี้
ท่ามกลางเพลิงอัคคีคุกรุ่นกลับมีเงาร่างหญิงสาวสายหนึ่งที่อาบชโลมกลางลมหิมะห้อทะยานขึ้นสู่ห้วงอากาศ ระเบิดแสงหิมะน้ำแข็งหนาวเหน็บไร้ที่สิ้นสุด แช่แข็งเพลิงอัคคีเหล่านั้นให้มอดดับ!
หญิงสาวคนนี้เรือนผมยาวสีน้ำเงินเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าครามดุจน้ำทะเล ปรายตามองภูผาธาราสรรพชีวิตจากเวิ้งฟ้า ประหนึ่งเทพธิดาหิมะน้ำแข็งปรากฏตัวบนโลกหล้าก็ไม่ปาน
กลิ่นอายของนางแข็งแกร่งเหนือธรรมดา ทั้งที่มีปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติแท้ๆ แต่กลับน่าสะพรึงสุดขีด เพียงพอจะทำให้ระดับกึ่งราชันพากันเข่าอ่อน
“มหายุค… มหายุค…”
ท่ามกลางเสียงพึมพำกับตัวเอง หญิงสาวเหยียบย่างกลางห้วงอากาศ ทุกๆ ก้าวที่ย่ำเดิน ห้วงอากาศพลันควบแข็งกลายเป็นเส้นทางน้ำแข็งหนาวเหน็บทอดยาวไปสู่แดนไกล
“ตำนานที่บันทึกไว้ในตำราโบราณถึงกับเป็นเรื่องจริง!”
“หลายพันปีก่อนเคยมีธิดาเทพแห่งยุคเก็บตัวเงียบอยู่ที่นี่ เพียงรอฤกษ์งามยามดีที่สุดกลายเป็นราชัน คิดไม่ถึงว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง!”
“นางชื่ออะไร แล้วมาจากที่ไหน”
“ไม่แน่ชัด ตำราโบราณบันทึกไว้แค่ ‘หลินเสวี่ย’ สองคำนี้!”
คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างพากันอดร้องอุทานไม่อยู่
ไม่กี่วันสั้นๆ ประหนึ่งร้อยบุปผาเบ่งบานตามกัน ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้มีอัจฉริยะลึกลับ สัตว์ประหลาด วิญญาณอสูรมารแห่งยุคตั้งเท่าไหร่ปรากฏตัวขึ้น ก่อให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่หลวง
“มหายุคที่ได้รับการจับจ้องจากทุกคนครั้งนี้ใกล้มาเยือนแล้วจริงๆ!”
หลายวันนี้ก็ไม่รู้มีสำนักโบราณทอดถอนใจปลงตกเช่นนี้มากมายเท่าไหร่
…
ส่วนลึกของทะเลหมากดารา
บนเกาะสันโดษ หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนหินผา น้ำทะเลสีเงินที่อยู่ไกลๆ เกิดเป็นลูกคลื่น ผุดรัศมีดาราดุจดั่งหมอกควัน เงียบสงบและไร้อัตตา
โลกภายนอกต่างปั่นป่วนอลหม่าน ดุจดั่งท้องฟ้าวิปริต ทั่วหล้าฮือฮาสะเทือนเลื่อนลั่น
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับหลินสวิน
เขานั่งสมาธิฝึกจิตอยู่ตลอด ราวกับตัดขาดจากโลก เมฆลมโลกภายนอกย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรบกวนความสงบของทะเลหมากดารา
ไม่ช่วงชิงกับโลก ไม่ได้หมายความไม่แก่งแย่งอย่างแท้จริง
มีรุกมีถอย บากบั่นนั้นคือรุก
เมื่ออัจฉริยะ และสัตว์ประหลาดจากต่างยุคสมัยพากันปรากฏตัว หลินสวินกลับประหนึ่งเข้าสู่การจำศีล
เวลาเคลื่อนคล้อย
หนึ่งเดือนผ่านไป หลินสวินลืมตาขึ้นขณะนั่งสมาธิ
บนตัวของเขาปรากฏท่วงทำนองมรรคไร้มรณะที่คลุมเครือและไพศาลสายแล้วสายเล่า
‘มรรคนี้ดุจเตาเพลิงไร้มอดดับ สร้างพลังชีวิตอบอวลทั่วร่าง พาให้กลิ่นอายแห่งชีวิตทั้งภายในและภายนอกร่างกายโคจรอย่างต่อเนื่อง…’
หลินสวินสัมผัสพลัง ‘ท่วงทำนองมรรคไร้มรณะ’ อย่างเงียบๆ
ฝึกปราณจนบัดนี้ ระยะเวลาแค่เดือนเศษๆ เท่านั้น กลับทำให้เขาหยั่งถึงและเชี่ยวชาญความเร้นลับของมหามรรคเทียมฟ้าได้เสี้ยวหนึ่ง!
ความเร็วในการหยั่งรู้มรรคเรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างยิ่ง
แต่เหตุผลก็แสนง่ายดาย นัยเร้นลับมหามรรคไร้มรณะนี้ เดิมทีก็ถูกหญิงลึกลับคว้าเอามาหลอมในห้วงนิมิตของหลินสวิน ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเสาะหาก็สามารถหยั่งถึงได้
อีกด้านหนึ่ง หลังจาก ‘ดวงใจฉิวหนิว’ เกิดการเปลี่ยนแปลง ครอบครองประสิทธิภาพอัศจรรย์ของ ‘มรรคพ้องดั่งใจ’ ก็ทำให้ความเร็วในตอนหยั่งรู้ของหลินสวินไวกว่าที่ผ่านมามากอักโขอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเป็นเช่นนี้ การบรรลุพลังมหามรรคไร้มรณะถึงระดับ ‘ท่วงทำนอง’ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายดั่งใจหวัง
ชิ้ง!
หลินสวินที่นำดาบหักออกมากรีดแขนเป็นรอยแผลทางหนึ่ง พอเลือดสดไหลเอ่อออกมาหลินสวินก็ไม่ได้สนใจ
แต่ภาพเหตุการณ์ที่ชวนตกใจก็เกิดขึ้น บาดแผลสมานตัวด้วยความเร็วน่าทึ่ง ไม่นานก็สมานเข้าด้วยกัน เปลี่ยนเป็นสมบูรณ์ไร้รอยบุบสลาย แม้แต่รอยแผลเป็นสักรอยยังไม่มีให้เห็น
ไร้มรณะ หมายถึงพลังชีวิตไม่ขาดหาย!
นี่คือพลังมหามรรคแห่งการฟื้นบำรุงตนเองอย่างหนึ่ง!
มหามรรคธาตุไม้ถึงแม้จะครอบครองนัยเร้นลับพลังชีวิตคงกระพัน แต่เมื่อเทียบกับมหามรรคไร้มรณะกลับมีส่วนต่างกัน ด้วยพลังชีวิตคงกระพันไม่ได้หมายความว่าจะไม่สูญหาย
แต่มหามรรคไร้มรณะเป็นพลังแห่งการซ่อมแซมอย่างสิ้นเชิง!
ปึง!
หลินสวินเดือดคลั่ง ใช้ประทับปี้อั้นซัดใส่หน้าอกของตน ออกแรงเผด็จการถึงขีดสุด เพียงพอจะสังหารยอดผู้กล้าคนหนึ่งได้
และเขาไม่ได้โคจรพลังสลายสักนิด ด้วยเหตุนี้ร่างของตนกจึงถูกซัดสะเทือนจนกระอักเลือดเช่นกัน ได้รับบาดเจ็บภายในระดับหนึ่ง
ถึงกระนั้น ความเจ็บปวดของบาดแผลภายในเช่นนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกตัวเลย
หนำซ้ำตอนที่หลินสวินโคจรนัยเร้นลับไร้มรณะ ผลลัพธ์ยิ่งน่าทึ่ง เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น บาดแผลภายในก็หายไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่อาการภายหลังยังไม่หลงเหลือแม้แต่นิดเดียว
พลังฟื้นฟูที่เรียกได้ว่าวิปริตระดับนี้น่าทึ่งเกินไปแล้ว!
นัยน์ตาดำของหลินสวินทอประกาย ในใจเบิกบาน พลังฟื้นฟูนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสนามรบ เมื่อปะทะกับคู่ต่อสู้ นั่นเท่ากับเหมือนมีพลังป้องกันที่วิปริตผิดธรรมดาอย่างที่สุด
จากนั้นหลินสวินก็ทำการทดลองอีกหลายครั้ง ผลสุดท้ายได้ข้อสรุปว่า ถ้าได้รับบาดเจ็บภายนอก พลังมหามรรคไร้มรณะก็สามารถซ่อมแซมตนเองได้ในเวลาที่สั้นที่สุด
ต่อให้บาดแผลสาหัสสากรรจ์สุดขีดก็ไม่อาจขวางพลังเช่นนี้ได้
หากได้รับบาดเจ็บภายในก็ต้องโคจรพลังมหามรรคไร้มรณะ สิ้นเปลืองพลังไปในระดับหนึ่ง
ถึงอย่างไรไม่ว่านัยเร้นลับมหามรรคอัศจรรย์แค่ไหน ก็จำเป็นต้องใช้ปราณแห่งตนไปโคจร ย่อมเกิดการสิ้นเปลืองอย่างแน่นอน
แต่ว่าการสิ้นเปลืองเช่นนี้น้อยยิ่งกว่าน้อย ทว่ามีประสิทธิภาพยิ่งกว่ากลืนโอสถวิเศษที่ใช้รักษาแผลเป็นไหนๆ
กลืนโอสถลูกกลอนยังต้องหาจังหวะ แต่โคจรพลังมหามรรคไร้มรณะ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้สักนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจอกับศัตรูตัวฉกาจเข้า ในการปะทะที่ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บสาหัส ก็สามารถครองสภาพได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แน่นอน
‘นี่แค่พลังไร้มรณะของระดับท่วงทำนองเท่านั้น หากบรรลุระดับเจตจำนงมรรค หรือแม้แต่แก่นมรรค จะแข็งแกร่งปานใดกัน’
หลินสวินลอบตัดสินใจกับตนเอง จากนี้ไปต้องทุ่มเทเคี่ยวกรำพลังมหามรรคไร้มรณะมากยิ่งขึ้น
ครอบครองพลังระดับนี้ ไม่ต่างอะไรกับการมีหลายชีวิตชัดๆ ต่อให้พบกับอันตรายถึงชีวิต ก็มีโอกาสสลายทิ้งได้มากพอ!
‘หนึ่งเดือนแล้ว ก็ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องราวมากน้อยแค่ไหนกันนะ…’
หลินสวินหยัดตัวขึ้น ทอดสายตามองไปไกลๆ
‘หืม?’
ไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ว่าริมฝั่งทะเลหมากดารามีเงาร่างไม่น้อยจับจองพื้นที่อยู่ตรงนั้น
‘บางทีอาจได้รู้ข่าวสารบางอย่างจากปากพวกเขาก็ได้’
หลินสวินคิดเช่นนี้ เงาร่างพลันขยับพุ่งไปยังริมฝั่งทะเลหมากดารา
…
ริมฝั่งทะเลหมากดารามีผู้ฝึกปราณไม่น้อยลาดตระเวนอยู่ มีทั้งชายหญิง มาจากขุมอำนาจแตกต่างกัน ดูคล้ายกับกำลังรอคอยอะไรอยู่
“หนึ่งเดือนก่อน การต่อสู้ระดับอริยะที่สะเทือนฟ้าดินครั้งนั้นก็เกิดขึ้นที่นี่ อริยะหกคนบุกโจมตี ผลลัพธ์กลับถูกกำราบง่ายๆ ด้วยฝีมือของหญิงลึกลับคนนั้น เรียกได้ว่าเทียมฟ้าไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน!”
มีคนทอดถอนใจ
ร่องรอยความเสียหายที่การต่อสู้แห่งอริยะเหลือทิ้งไว้ในลาน กลายเป็นจุดสนใจของผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่ยืนเฝ้าสังเกตอยู่
“เรื่องนี้รู้ดันทั่วหล้าตั้งนานแล้ว พวกเรามุ่งหน้ามาครั้งนี้ ล้วนได้ยินมาว่าพวกผู้กล้าแห่งยุครุ่นเก่าส่วนหนึ่งคิดจะมาที่นี่ เพื่อท้าสู้กับเทพมารหลิน!”
“เทพมารหลินนั่นสังหารเหล่าราชัน เข่นฆ่าผู้กล้าในทะเลหมากดารา ซ้ำเจ้าตัวยังเป็นที่หนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ สร้างคลื่นโกลาหลฮือฮาขึ้นในหมู่คนรุ่นเยาว์ ข้าเองก็ได้ยินว่าเรื่องนี้ทำให้พวกร้ายกาจไม่น้อยต่างไม่ยอมแพ้”
ผู้ฝึกปราณในที่นี้วิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
พวกเขามาครั้งนี้ ก็เพราะได้ยินว่าพักนี้ในสำนักส่วนหนึ่งมีบุคคลแห่งยุคที่ปิดด่านนานปีเดินทางออกมาไม่น้อย ถือโอกาสนี้มาดูสักหน่อยว่าเทพมารหลินเป็นอย่างไรกันแน่
“จะว่าไปเวลาหนึ่งเดือนมานี้ ทั่วหล้าไม่รู้มีพวกยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎปรากฏตัวตั้งเท่าไหร่ ยิ่งไม่ขาดแคลนสัตว์ประหลาดบรรพกาลและอัจฉริยะต่างยุคส่วนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นเหล่าดาวเด่นมากฝีมือ แต่ละคนล้วนเฉิดฉาย”
“เมื่อเทียบกัน ภายในหนึ่งเดือนนี้เทพมารหลินกลับเสมือนเก็บตัวเงียบ ใต้หล้าไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย ความคมกริบของเขาถูกกดทับอย่างไร้รูปไปไม่น้อย”
“เหอๆ ต่อให้เทพมารหลินแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายรากฐานพลังก็ตื้นเขินเกินไป มีหรือจะเทียบชั้นกับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎหน้าเก่าเหล่านั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเทียบกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลเลย”
“คนทั่วหล้าต่างพากันสงสัย ตอนนี้เทพมารหลินก็ซ่อนตัวอยู่ในทะเลหมากดาราแห่งนี้ พวกเราก็รอไปก่อนแล้วกัน จากข่าวที่ข้าได้มา ไม่นานบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งก็จะมากันแล้ว”
บรรดาผู้ฝึกปราณต่างพากันคาดเดา ตั้งตาคอยหาใดเปรียบ
ตอนที่หลินสวินมาถึงริมฝั่งทะเลหมากดารา ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดเหล่านี้อย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่เสี้ยวเดียว
สีหน้าเขาไม่ไหวหวั่น นั่งเงียบๆ บนเกาะที่อยู่ใกล้ชายฝั่งมากที่สุด ตั้งใจจะนั่งฟังเพลินๆ ต่อไป ใช้สิ่งนี้มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ว่าระหว่างที่ตามหลังมหายุคใกล้มาเยือน โลกภายนอกเกิดเรื่องใหญ่ฮือฮาหาใดเปรียบมากมายเท่าไหร่แล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าจะออกจากทะเลหมากดารามุ่งหน้าสู่โลกภายนอกนั้น ตอนนี้หลินสวินยังไม่มีแผนนี้ชั่วคราว
ตอนที่ 1106 ดุจสุริยันกลางนภา
บนริมฝั่งทะเลหมากดารา ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป ก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยได้ยินข่าวแล้วทยอยเข้ามาอีก
ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์และรอคอย
“ข่าวได้รับการยืนยันแล้ว เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่ง นามว่าฉู่จงเทียน!”
“อีกไม่นาน เขาจะมาที่นี่เพื่อกำราบเทพมารหลินด้วยตัวเอง!”
ไม่นานก็มีคนเปิดเผยข่าวที่น่าเชื่อถือออกมา ดึงดูดให้เกิดความสะเทือนทั้งลาน
“สัตว์ประหลาดพลิกฟ้าที่ในพันปีมานี้เคยปรากฏสู่โลกสามครั้ง และทั้งสามครั้งก็ล้วนได้รับที่หนึ่งของการประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูหรือ”
“เขานั่นแหละ!”
“คนผู้นี้ถูกมองว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคตั้งแต่เมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว เป็นผู้เลิศล้ำโดดเด่นในฝ่ายหนึ่ง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวสู่โลก ล้วนราวกับมังกรออกจากเหว ปั่นป่วนเมฆลมใต้ฟ้า!”
ในลานเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าต่างรู้ที่มาของฉู่จงเทียน
“จำศีลอย่างยากลำบากมานานพันปี ก็เพื่อรอโอกาสบรรลุราชันในมหายุค ฉู่จงเทียนนี่ความอดทนสูงจริงๆ!”
มีคนถอนหายใจ
“บนโลกยุคปัจจุบัน พลังต่อสู้ส่วนบุคคลของผู้กล้าขอบเขตมกุฎไม่ได้แบ่งด้วยเวลา ฉู่จงเทียนยอดเยี่ยมมากจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่มากประสบการณ์ แต่คนทั้งโลกต่างรู้ว่าตอนที่เขาปรากฏสู่โลกครั้งที่สาม เคยพ่ายแพ้ในมือของอวิ๋นชิ่งไป๋!”
จู่ๆ ก็มีคนหัวเราะเสียงเย็นออกมา
ทุกคนอึ้ง นึกขึ้นได้กะทันหันว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงๆ
ตอนที่ฉู่จงเทียนปรากฏตัวบนโลกครั้งที่สาม ก็คือตอนที่อวิ๋นชิ่งไป๋โดดเด่นที่สุด อายุเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น ก็ถูกมองว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันแห่งดินแดนรกร้างโบราณแล้ว
ด้วยสาเหตุที่ไม่อาจทราบได้บางอย่าง ฉู่จงเทียนเป็นฝ่ายเชิญอวิ๋นชิ่งไป๋ประลอง และอวิ๋นชิ่งไป๋ตอบรับอย่างไม่ลังเลสักนิด
สุดท้ายเหนือความคาดหมายของทุกคน ฉู่จงเทียนที่ถูกทุกคนคาดหวังกลับก็สู้อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้ ถูกกำราบอย่างแข็งกร้าว
ตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋เคยพูดประโยคหนึ่งที่ชื่อเสียงสะเทือนทั่วฟ้า…
‘หากพลังต่อสู้ต้องใช้เวลาในการสั่งสม เช่นนั้นหมูที่สามารถอยู่รอดมานับล้านปีตัวหนึ่ง จะสามารถไร้คู่ต่อสู้ทั่วหล้าได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่’
ความดูถูกในคำพูดไม่มีปกปิดเลยสักนิด
แน่นอนว่าฉู่จงเทียนไม่ใช่หมู ที่เขาไม่ทะลวงระดับก็เพื่อรอคอยมหายุคมาเยือน ไม่ได้หวังจะได้เปรียบในเรื่องเวลาการฝึก
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็แพ้ หลังจากนั้นก็หายไปจากสายตาของคนทั้งโลก เข้าสู่การปิดด่านอีกครั้ง
“ครั้งนี้ในที่สุดมหายุคที่ฉู่จงเทียนรอคอยก็มาถึงแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าคนแรกที่เขาจะกำราบจะเป็นเทพมารหลิน”
“แม้ตอนนั้นเขาจะพ่ายแพ้ในมืออวิ๋นชิ่งไป๋ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียหาย ถึงอย่างไรบุคคลที่ได้อันดับหนึ่งของการประลองกระดานดาราถึงสามครั้ง ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา”
“เทพมารหลินมีอันตรายแล้ว เขาเป็นแค่อันดับหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ อายุยังไม่ถึงสามสิบปี เมื่อเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรากฐานหรือชื่อเสียงก็ด้อยกว่าฉู่จงเทียนมากเกินไป”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ยังคงเป็นคำเดิม ในระดับกระบวนแปรจุติ พลังต่อสู้ในตัวไม่ได้วัดด้วยเวลาในการฝึกปราณ ข้าว่าเทพมารหลินก็ใช่จะด้อยกว่าฉู่จงเทียน”
ในลานเสียงวิจารณ์ไม่ขาดสาย แฝงด้วยเสียงโต้เถียง
แต่เห็นได้ชัดมากว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังคงถือหางฉู่จงเทียนมากกว่า คนที่เข้าข้างหลินสวินมีน้อยมาก
สำหรับหลินสวิน แม้จะก่อให้เกิดกระแสมากมาย แต่เมื่อเทียบกับฉู่จงเทียนในตอนนั้น ในด้านชื่อเสียงกลับด้อยกว่าไม่น้อย
คนหนึ่งเป็นเพียงที่หนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ส่วนอีกคนเคยได้รับที่หนึ่งของการประลองกระดานดาราถึงสามครั้ง ความห่างชั้นของชื่อเสียงเช่นนี้ชัดเจนเกินไป
ชื่อเสียงไม่ได้หมายความถึงพลังต่อสู้ทั้งหมดของผู้ฝึกปราณ แต่ภายใต้ชื่อเสียงอันทรงเกียรติล้วนเป็นคนที่มีความสามารถจริง ความแข็งแกร่งของฉู่จงเทียน คนทั้งโลกล้วนได้เห็นโดยทั่วกัน!
ห่างออกไปหลินสวินได้ยินทุกอย่าง ในใจกลับนิ่งสงบ
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดบรรพกาลหรือยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแห่งยุค พลังปราณก็ยังอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติอยู่ดี
พลังปราณเป็นรากฐานของพลังต่อสู้
ในจุดนี้หลินสวินไม่กลัวใครทั้งในอดีตและปัจจุบัน!
สำหรับความสูงต่ำของพลังต่อสู้ ก็ต้องดูความสำเร็จในมกุฎมรรคาของแต่ละคน ในจุดนี้หลินสวินเองก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ความมั่นใจเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นยืนยันและตัดสิน แต่เป็นความองอาจที่ปลูกฝังมาจากการผ่านการเคี่ยวกรำมาเป็นเวลานาน
สิ่งที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ หญิงลึกลับเคยข่มขวัญและตักเตือนขุมอำนาจใหญ่ทั้งหกอย่างพวกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
แต่เห็นได้ชัดว่าแม้สำนักเหล่านี้จะทนไว้ แต่ไม่มีความคิดที่จะเลิกโจมตีตน!
ไม่อาจให้ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย พวกเขาจึงเคลื่อนกำลังอย่างฉู่จงเทียน ต้องการจะใช้เขามาสยบตนเพื่อกู้หน้า!
ถึงขั้นสามารถคาดการณ์ได้ว่า ครั้งนี้เป็นฉู่จงเทียน ต่อไปก็คงจะมีบุคคลอื่นๆ โผล่ออกมามากกว่านี้
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน หลินสวินก็ได้รู้ว่า ช่วงที่ผ่านมาดินแดนรกร้างโบราณเหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีปีศาจและอัจฉริยะโดดเด่นมากมายปรากฏขึ้น
นี่ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือน
ในเวลาเดียวกันสำนักใหญ่และเผ่าต่างๆ บนโลกก็เริ่มเคลื่อนไหว เตรียมพร้อมสำหรับมหายุคที่กำลังจะมาเยือน ทำให้เกิดคลื่นลมโหมซัด แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ถึงขั้นที่ในขุมอำนาจบางส่วนที่เดิมทีไม่สะดุดตา กลับมีสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าซุ่มซ่อนไว้ปรากฏขึ้น ทำให้คนทั้งโลกจับจ้อง
กลียุคปรากฏวีรบุรุษ มหายุคก็ถูกกำหนดให้ผู้มีความสามารถเปล่งประกาย
โครม!
บนฟากฟ้าไกลโพ้น จู่ๆ ก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ในลาน
พลันเห็นเกี้ยวสมบัติทองม่วงคันหนึ่งบนขยี้ผ่านชั้นเมฆโดยมีสัตว์มงคลหลายตัวลากอยู่ มุ่งหน้ามาทางนี้พร้อมเสียงครืนครัน
ชั่วพริบตาก็ลงมาจากกลางอากาศแล้ว
เฮือก!
หลายคนสูดหายใจด้วยความตกใจ สังเกตเห็นว่าคนที่ควบคุมเกี้ยวสมบัติทองม่วงคือผู้แข็งแกร่งระดับราชันสองคน!
ใครวางอำนาจขนาดนี้ กล้าให้ราชันควบคุมยานพาหนะให้
ทุกคนเงยสายตาขึ้น พลันเห็นชายหนุ่มเงาร่างผอมสูงในชุดสีดำเดินลงจากเกี้ยวสมบัติทองม่วง
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนรู้สึกเจ็บขึ้นมาระลอกหนึ่ง
เพราะพลังรอบตัวของชายหนุ่มชุดดำคนนี้รุนแรงเกินไป แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามปกคลุมตัวเขาไว้ ยามเปิดเปลือกตา ราวกับสุริยันปรากฏอยู่ภายใน ดูดจิตชิงวิญญาณ
ฉู่จงเทียน!
ประกายแสงนี้ดุจสุริยันกลางนภา!
มีเพียงตอนที่เห็นเขาจริงๆ จึงเข้าใจว่าพลังของคนผู้นี้น่ากลัวเพียงใด ราวกับดวงสุริยันที่สว่างไสวปรากฏในลาน
ทั่วทั้งลานเงียบสงบ เสียงวิจารณ์ล้วนหายไป เงียบกริบไร้เสียง ทุกคนต่างเปิดทางให้อย่างรู้ตัว
ในเวลาเดียวกันความคาดหวังและตื่นเต้นก็พรวดพราดขึ้นในใจของทุกคน การปรากฏตัวสู่โลกครั้งนี้ ฉู่จงเทียนดูแข็งแกร่งขึ้น มีอานุภาพไร้เทียมทานราวกับนายเหนือหัวคนหนึ่ง!
ครั้งนี้เขามากำราบเทพมารหลินด้วยตัวเอง อีกฝ่าย… กล้ารับศึกหรือไม่
ทุกคนรอคอยอย่างที่สุด
ฉู่จงเทียนราวกับไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในลาน เงาร่างของเขาเป็นประกาย ค่อยๆ เดินไปยังริมฝั่งทะเลหมากดารา ทอดสายตามองไกลออกไป ราวกับเดินเล่นสบายอารมณ์ชื่นชมทิวทัศน์
ห่างออกไปราชันทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าเกี้ยวสมบัติทองม่วงเงียบๆ ราวกับไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในลาน
หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเกาะที่อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลไม่มากนักก็สังเกตเห็นฉู่จงเทียน แต่เพียงพินิจคร่าวๆ รอบหนึ่งเท่านั้นก็เก็บสายตา สภาวะจิตราวกับบ่อน้ำโบราณ นิ่งสงบไร้คลื่น
“หลินสวินกล้าดวลกันสักรอบหรือไม่”
จู่ๆ ฉู่จงเทียนเอ่ยขึ้น เสียงไม่ได้ดังแต่กลับก้องอยู่กลางฟ้าดิน แผ่กระจายไปยังส่วนลึกของทะเลหมากดารา
หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เจ้าหมอนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ
น่าเสียดายที่เขารออยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพื่อรอฉู่จงเทียนมาท้าทาย
อีกไม่นานมหายุคจะมาเยือนแล้ว หลินสวินคร้านจะลงมือตอนนี้ ไม่ใช่ว่ากลัว แต่เพราะมันไม่มีความหมาย
เขาลุกขึ้นยืน ตัดสินใจจะหวนกลับส่วนลึกของทะเลหมากดาราเพื่อฝึกปราณต่อ
แต่ตอนนี้เองจู่ๆ ฉู่จงเทียนก็พูดขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากประลองกับเจ้าสักครา เหตุผลแรกเพื่อแก้แค้นให้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ตายในมือเจ้า เหตุผลที่สองเพื่อล้างความอับอายให้สำนัก”
เสียงก้องอยู่กลางฟ้าดิน ในความเรียบเฉยแฝงไอฆ่าฟันไร้สิ้นสุด
แข็งกร้าวมาก!
ในใจทุกคนต่างสะเทือน ตั้งแต่ฉู่จงเทียนปรากฏตัวก็ไม่ปกปิดจุดประสงค์เลยสักนิด เรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่กลับเผยความผงาดผยองเย่อหยิ่งที่มองไม่เห็น
“เจ้าไปเถอะ ก่อนมหายุคมาเยือน ข้าไม่คิดจะลงมือ”
หลินสวินพูดสบายๆ
ทุกคนอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นต่างดีใจยกใหญ่ เทพมารหลินซ่อนตัวอยู่ในทะเลหมากดาราจริงๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงแค่สงสัย ตอนนี้ในที่สุดก็มั่นใจแล้วว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว
“ในเมื่อข้ามาแล้วก็ไม่มีทางจากไป ไม่ว่าเจ้าจะกลัวหรือไม่ การต่อสู้ครั้งนี้ วันนี้เจ้าหนีไม่พ้นแน่!”
ในเสียงของฉู่จงเทียนเจือแววไม่ยอมให้สงสัย ราวกับจักรพรรดิออกคำสั่ง
หลินสวินหรี่ตา พูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หากข้าอยากฆ่าเจ้า เพียงพลิกมือก็สามารถทำได้ ข้าว่าเจ้าอย่าดึงดันไปเลยดีกว่า”
ฉู่จงเทียนยิ้ม แฝงความกำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัวผู้ใด “ข้าเคยได้ยินว่า เจ้าเคยใช้พลังต้องห้ามของทะเลหมากดาราสังหารราชันหลายคน แต่ข้าเชื่อว่าครั้งนี้เจ้าไม่กล้าทำเช่นนี้แน่”
“หืม”
หลินสวินเลิกคิ้ว เจ้าหมอนี่ก็มั่นใจและบ้าคลั่งเกินไป ใครให้ความมั่นใจนี้กับเขากัน
ฉู่จงเทียนโบกมือ พลันเห็นว่าในระยะไกลๆ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ที่นั่นเงียบๆ ดึงคนผู้หนึ่งออกจากเกี้ยวสมบัติทองม่วง
นี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าถูกคุมตัวไว้ไม่สามารถขยับตัวได้ ตอนที่ปรากฏตัว สีหน้าล้วนเขียวคล้ำและขึ้งโกรธ แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
คนอื่นๆ ในลานต่างตื่นตระหนก
กู้อวิ๋นถิง!
ตอนที่เห็นชายหนุ่มที่ถูกคุมตัว หลินสวินหัวใจหล่นวูบ ในดวงตาดำเผยความเย็นเยียบอย่างควบคุมไม่อยู่
เขากับกู้อวิ๋นถิงสลายความขัดแย้งต่อกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเขตแคว้นกู่ชาง อันเป็นอาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แล้ว
และเขายังเคยเตือนกู้อวิ๋นถิงด้วยความหวังดี ว่าให้รีบออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเองเดือดร้อนไปด้วย
แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ฉู่จงเทียนจะจับกู้อวิ๋นถิงเอาไว้!
มิน่าเขาถึงกล้ามั่นใจเช่นนี้ ประกาศกร้าวว่าตนจะต้องสู้กับเขา ที่แท้ก็เพราะมีตัวประกันในมือ!
“ด้วยฐานะของเจ้า ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ไม่รู้สึกว่าเกินไปหรือ” เสียงของหลินสวินเย็นชาขึ้นมา
“ตอนที่อยู่ในแคว้นกู่ชาง เจ้าเองก็จับตัวพวกเสวี่ยเชียนเหิน จางเจิง อวี้เป๋าเป่ากับเผยเหวินเช่นนี้มิใช่หรือ”
ฉู่จงเทียนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าก็แค่ใช้วิธีเดียวกันจัดการเรื่องราว ไม่ถึงกับเกินไปอะไร”
จนตอนนี้ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจแล้วว่า ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่จงเทียนเตรียมพร้อมมาอย่างดี บีบจนเทพมารหลินไม่อาจไม่รับศึก!
“ปล่อยเขา ข้าจะสู้กับเจ้าเอง” หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง
ตอนที่พูดเขาปรากฏตัวในทะเลหมากดารา สายตาจับจ้องฉู่จงเทียน
“ได้!”
ฉู่จงเทียนยิ้ม ตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด โบกมือแล้วปล่อยกู้อวิ๋นถิงทันที ราวกับไม่กังวลเลยว่าหลินสวินจะกลับคำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น