Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1093-1096

 ตอนที่ 1093 อับจนหนทาง?

 

“เดรัจฉานเฒ่า ใช้พลังระดับอริยะแสดงพฤติกรรมเดรัจฉาน เจ้ายังมีหน้ามาพูดถ้อยคำหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้อีก!”


นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ เพลิงโทสะสุมทรวง


เขาไม่อาจประนีประนอม และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมให้จับโดยลดี เพราะการก้มหัว สิ่งที่แลกมานั้นย่อมเป็นความอัปยศที่มากยิ่งกว่าเดิม รวมถึงความตายอย่างแน่นอน!


เจ้าเฒ่าพวกนี้ล้วนลงมือโดยไม่สนศักดิ์ศรี หากไม่ฆ่าตนมีหรือจะพอใจ!


“ฮ่าๆ ปากคมจัดจ้าน แค่มดปลวกตัวเล็กจ้อยตัวเดียว คิดว่าหยิบยืมพลังผนึกต้องห้ามแล้วจะสามารถยืนหนึ่งใต้หล้าได้หรือ ยังห่างไกลลิบลับ!”


เวลานี้อริยะเซวี่ยถูทนไม่ไหวแล้ว ชิงลงมือก่อน ตบหนึ่งฝ่ามือลงมาผ่านระยะทางไกลโพ้นที่ขวางกั้นนี้ ราวกับผู้อาวุโสสั่งสอนลูกหลานที่ไม่อยู่ในโอวาท ข่มขวัญกดหัว เจือกลิ่นอายหมิ่นแคลนไม่รู้จบ


“สหายยุทธ์ เจ้าช้าก่อน บนตัวมดตัวน้อยนี่ยังมีศุภโชคอยู่ อย่าเพิ่งรีบเอาถึงตาย!” เต้าคุนและเมี่ยวหวาต่างลุกลนโพล่งออกมา ดูเหมือนหวังดี แต่ความเป็นจริงเจตนามุ่งร้ายอย่างยิ่ง


ตูม!


หลินสวินควบคุมพลังผนึกต้องห้าม เริ่มลงมือต้านทาน


ชั่วพริบตาประกายดาราดั่งกระแสน้ำ ประกายแสงและเกลียวคลื่นนานัปการพุ่งทะยานขึ้นไปพร้อมกัน สกัดกั้นการโจมตีครั้งนี้เอาไว้


เหนือความคาดหมาย พอเห็นภาพนี้กลับทำให้เหล่าอริยะพากันตาลุกวาว กล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่สามารถขับเคลื่อนพลังผนึกต้องห้ามของทะเลหมากดาราได้จริงๆ ด้วย นี่ไม่ใช่ว่าหากจับเขาได้ ก็จะได้รับเคล็ดวิชาควบคุมผนึกต้องห้ามทะเลหมากดาราหรือ”


ทะเลหมากดาราถูกค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราปกคลุม นับแต่อดีตจนปัจจุบัน แม้แต่อริยะผลีผลามบุกเข้าไปในนั้นก็ยังต้องประสบภัยอันตราย


แต่ถ้าหากสามารถควบคุมปริศนาของค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราได้… นั่นก็เท่ากับควบคุมค่ายกลต้องห้ามสูงสุดอย่างหนึ่งได้เชียว!


เหล่าอริยะใจเต้นโครมครามทันที ยิ่งคิดก็ยิ่งชอบใจ รู้ดียิ่งว่าคุณค่าของการควบคุมค่ายกลต้องห้ามสูงสุดเช่นนี้มีมากมายเพียงใด!


“คุกเข่าลง!” ฟางหลิงซู่แค่นเสียงเย็น มือใหญ่ผอมแห้งเหี่ยวย่นยื่นออก กดสยบหลินสวินผ่านห้วงอากาศ เสมือนภูเขาเทพที่เคลื่อนย้ายมาเยือน หมายจะบีบบังคับให้หลินสวินคุกเข่าลงกับพื้น


“ไสหัวไป!”


หลินสวินตะโกนลั่น ประกายดาราไร้ที่สิ้นสุดโผล่ขึ้นจากผิวทะเล พลุ่งพล่านพลิกตลบ ครอบฟ้าบดบังตะวัน


เสียงสะเทือนยิ่งใหญ่ดังขึ้นหนึ่งครา เบื้องหน้าหลินสวินกรีดก้องไม่หยุด พลังน่าสะพรึงกำลังปะทะกันและกัน หากไม่ใช่เพราะร่างของเขาอยู่ภายใต้การกำบังของเกลียวคลื่นผนึกต้องห้าม เขาคงถูกสยบกดลงกับพื้นอย่างแน่นอน


“สหายยุทธ์ฟาง เจ้าระห่ำเช่นนี้ หากเผลอไปสังหารเจ้ามดนี่เข้าจะทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้เจ้าเด็กนี่ตายทั้งอย่างนี้หรอกนะ ถึงแม้ชีวิตของเขาจะต้อยต่ำ แต่ศุภโชคบนตัวเขาล้ำค่ายิ่งนัก”


กลางห้วงอากาศ อริยะฝูหยาเอ่ยปากเนิบนาบ เงาร่างเขาเลือนราง ลวงตาพร่ามัว ประหนึ่งไม่มีตัวตนอยู่บนโลก แต่คำพูดกลับดูหมิ่นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


เพลิงโทสะในใจหลินสวินกำลังคุโชน อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ “อริยะขี้หมูขี้หมาอะไร ข้าดูแล้วก็แค่เดรัจฉานเฒ่ากลุ่มหนึ่งที่สมควรโดนพันดาบหมื่นแล่!”


“มดก็คือมด ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”


เหล่าอริยะต่างสีหน้าเรียบเฉย ไม่ไหวติง


ตูม!


อริยะอวี่หมิงลงมือแล้ว รวบนิ้วกดจุดหนึ่งกลางห้วงอากาศ


ทันใดนั้นพลังดรรชนีพลันควบรวม เปี่ยมด้วยพลังกฎระเบียบอริยมรรค พุ่งไปทางหว่างคิ้วของหลินสวินประหนึ่งนิ้วเดียวทะลวงฟ้า


ตูม!


ภาพน่าสะพรึงอุบัติขึ้น พลังผนึกต้องห้ามของทะเลหมากดาราไม่อาจสกัดกั้นไหว ถูกพลังดรรชนีสายนั้นแหวกออกอย่างง่ายดายปานหักทำลายหญ้าแห้งไม้ผุ!


หลินสวินไม่ลังเลสักนิด เรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรมากำบังอยู่เบื้องหน้า ตัวเจดีย์มีรัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์ทองอร่ามไหลเวียน แผ่ไพศาลและเจิดจ้า


ท้ายที่สุดถึงแม้ดรรชนีนี้จะถูกสกัดเอาไว้ แต่หลินสวินกลับถูกโจมตี เลือดลมทั่วร่างปั่นป่วน อึดอัดจนแทบกระเลือด


เขาลอบทอดถอนใจในใจ อย่างมากที่สุดเขาทำได้เพียงหยิบยืมพลังไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของค่ายกลวัฏจักรดารา ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะต้านทานพลังของอริยะทั้งหกได้


ยิ่งกว่านั้นอริยะเหล่านี้ยังเจ้าเล่ห์อย่างที่สุด ไม่ได้เข้าสู่ทะเลหมากดาราสักนิด เมื่อเป็นเช่นนี้แม้หลินสวินอยากหยิบยืมค่ายกลนี้โจมตีกลับ ก็เห็นได้ชัดว่าพลังไม่เพียงพอ


ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ก็เพราะเขาประเมินความอดทนของขุมอำนาจเหล่านั้นสูงไป จนส่งผลให้สันนิษฐานผิดพลาด คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าเพื่อจัดการกับตน อีกฝ่ายจะส่งอริยะหกคนออกโรงอย่างไม่เสียดาย!


“เป็นเจดีย์สมบัติองค์นั้น!”


หน้าชายฝั่งทะเล เหล่าอริยะตาลุกวาว


“โอ้ น่าทึ่งนัก สร้างจากเหล็กเทพศุภโชคจริงๆ ด้วย แม้จะอยู่ในยุคบรรพกาลก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติชั้นสูงในหมู่ชั้นสูง มูลค่าประเมินไม่ได้!”


“ดีๆๆ! ครั้งนี้ไม่ได้มาเสียแรงเปล่า!”


พวกฟางหลิงซู่ต่างรู้สึกปิติยินดี มองหลินสวินราวกับไร้ตัวตน ความคิดทั้งหมดล้วนไปอยู่ที่ศุภโชคและสมบัติในมือหลินสวินทั้งสิ้น


นี่เป็นการดูเบาอย่างที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย ในสายตาอริยะ แม้หลินสวินจะขึ้นเป็นที่หนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่กลับเทียบชั้นไม่ติดกับศุภโชคและสมบัติในมือเขา ที่ดึงดูดยิ่งกว่า


“อย่าชักช้าเลย ลงมือพร้อมกันสยบเจ้าเด็กนี่!”


อริยะเมี่ยวหวานัยน์ตาลุกโชน เริ่มจะอดใจไม่ไหวแล้ว เกรงว่ายิ่งนานไปอาจมีเหตุเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝัน แทบทนไม่ไหวอยากตัดสินชะตาชีวิตหลินสวินเสียเดี๋ยวนี้


ตูม!


ชั่วขณะนี้เหล่าอริยะล้วนลงมือผ่านทะเลหมากดาราที่ขวางกั้น มือใหญ่สายแล้วสายเล่าร่วงหล่นกดอัดลงมาทางหลินสวิน


พลังค่ายกลวัฏจักรดารากำลังกู่ก้อง ปรากฏระลอกคลื่นประกายดาราน่าสะพรึง แหวกทึ้งห้วงอากาศ ต้านทานฝ่ามือใหญ่เหล่านี้


พรวด!


เพียงชั่วขณะเท่านั้นหลินสวินก้ถูกซัดสะเทือนจนกระอักเลือกอย่างหนัก ร่างเกือบแหลกกระจุยคาที่


แม้ค่ายกลวัฏจักรดาราจะเหนือธรรมดา แต่ไหนเลยจะสามารถสกัดกั้นการโจมตีร่วมกันของอริยะทั้งหกได้ แม้ยังมีเจดีย์สมบัติไร้อักษรคอยกำบัง ก็ยังทำให้หลินสวินได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี


สวบ!


หลินสวินกลายรางเป็นแสงเคลื่อนสายหนึ่ง พุ่งปราดไปยังส่วนลึกยิ่งกว่าของทะเลหมากดาราอย่างรวดเร็ว


แต่การขัดขืนเช่นนี้ย่อมเสียแรงเปล่า เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เส้นทางเบื้องหน้าก็ถูกตัดขาด พาให้หลินสวินไม่เหลือทางให้ถอย!


บนชายฝั่งทะเล บรรดาอริยะต่างเรียบเฉยยิ่ง สีหน้านิ่งสนิท ไม่กลัวหลินสวินหนีไปสักนิด เพราะพลังของพวกเขาได้ล้อมกรอบไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่แรกแล้ว


……


บริเวณห่างไกลออกไปอีก บรรดาผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้อยู่ในมุมมืดต่างลอบทอดถอนใจ พลังนั่นยิ่งใหญ่มหาศาลเกินไป เทพมารหลินคนนั้นย่อมประสบเคราะห์อย่างแน่นอน


เมื่ออริยะออกโรง ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ผู้ใดเล่าจะต่อสู้ประจันบาญ


“ไม่เคยผงาดง้ำ เป็นได้เพียงส่องแสงชั่วครู่ชั่วยามแล้วร่วงหล่นลง” บางคนพึมพำกับตัวเอง


“น่าเสียดายนัก ด้วยศักยภาพของเด็กนี่ หากสามารถรอจนถึงมหายุคมาเยือน ย่อมบรรลุมรรคาเหนือธรรมดาแน่ กลับคาดไม่ถึงว่าจะสิ้นชีพอยู่ที่นี่ สวรรค์ริษยาผู้กล้ามากความสามารถจริงๆ!” บางคนทอดถอนใจ


“ในโลกที่สำนักโบราณตั้งเรียงราย หากอยากผงาดง้ำเพียงลำพัง ยากนัก!” บางคนปลงอนิจจัง


อาหลู่ไม่ได้ถูกนักพรตเฒ่ามอมแมมคนนั้นพาตัวจากไป หากแต่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ยามเห็นภาพนี้เข้าก็เดือดดาลทันที ร้องตะโกนว่า “เจ้าเฒ่าสารเลว นั่นคือพี่ใหญ่ของข้า จนป่านนี้แล้วสรุปว่าเจ้าแม่งจะช่วยหรือไม่ช่วยกันแน่”


นักพรตเฒ่ามอมแมมตบเข้าที่กระหม่อมอาหลู่หนึ่งฉาด กล่าวว่า “รับเป็นพี่ใหญ่แล้ว? ผ่านการเห็นชอบจากข้าหรือยัง ไม่ได้ความ! หยุดถลึงตาเสียที จะบอกเจ้าให้ ครั้งนี้เจ้าได้ชมละครสนุกๆ แล้ว!”


อาหลู่เดือดดาลเหมือนวัวคลั่ง ไม่ฟังคำทัดทานแม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าเขาจะขัดขืนอย่างไรก็ย่างเท้าไม่ออกสักก้าว ถูกกักขังอยู่ตรงนั้น แม้แต่คำพูดก็ยังเอ่ยออกมาไม่ได้อีกต่อไป


เห็นได้ชัดว่านักพรตเฒ่ามอมแมมรู้ดีถึงฤทธิ์เดชความปากร้ายของอาหลู่ จึงปิดผนึกริมฝีปากของเขาตั้งแต่แรก


‘ทำไมกันนะ จากการสันนิษฐาน ภายในเขตหวงห้ามไร้มรณะด้านหลังทะเลหมากดาราไม่น่าจะมองดูเด็กคนนี้ถูกฆ่าตาปริบๆ สิ! ยิ่งกว่านั้นเด็กนี่ยังสามารถใช้ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราได้อีกด้วย น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าเฒ่าบ้าในปีนั้น เหตุใด… สถานการณ์พลิกผันแล้วยังไม่โผล่มาอีก’


นักพรตเฒ่ามอมแมมขมวดคิ้ว รีบอนุมานในใจอย่างเร่งด่วน สถานการณ์อันตรายเบื้องหน้าพาให้เขาเริ่มไม่เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว


……


ตูม!


การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป มือใหญ่ข้างหนึ่งพาดขวางกดห้วงอากาศลงมา อริยะเมี่ยวหวาลงมือ ฝ่ามือขาวเจิดจ้ารายล้อมด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์เผานภา ซัดหลินสวินลอยคว้างกระอักเลือดคำโต


“มดยังรั้นขโมยชีวิต เจ้าหนุ่ม ไยต้องขัดขืนอย่างขมขื่นด้วย จะบอกเจ้าให้ว่าหากพวกข้าอยากสังหารเจ้า ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเช่นนี้สักนิด เหตุที่ทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากให้เจ้าเป็นฝ่ายยอมก้มหัวเอง มอบศุภโชคบนตัวออกมาแต่โดยดี ใช้สิ่งนี้ไถ่โทษก็เท่านั้น”


อริยะเมี่ยวหวาแม้รูปโฉมงามสง่าแต่กลับยโสและอำมหิตยิ่งกว่าอริยะคนอื่นๆ ถ้อยคำเปี่ยมด้วยความดูแคลน กำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของหลินสวิน


“สยบ!”


อริยะเต้าคุนตะโกนลั่น ฝ่ามือหนึ่งตะปบลงมา พาให้ฟ้าถล่มดินทลาย


พลังผนึกต้องห้ามถูกซัดทลาย เจดีย์สมบัติไร้อักษรถูกสะเทือนถอย หลินสวินจวนจะถูกสยบสิ้นอยู่รอมร่อ ก็เห็นกลางฝ่ามือเขาพลันปรากฏขวดหยกมันแพะใบหนึ่ง ปากขวดพ่นประกายแสงลุกโชนออกมา


ตูม!


ห้วงอากาศปั่นป่วนทันตา ประหนึ่งภูเขาถล่มคลื่นยักษ์ซัดโหม


แต่ด้วยการโจมตีนี้ หลินสวินกลับโจมตีชนะพลังสยบครั้งนี้ได้อย่างหวุดหวิด แถมยังทำให้อริยะเต้าคุนที่ลงมือถูกโจมตีกลับ ร่างสะท้านวูบอย่างจัง


อะไรน่ะ!?


ทุกคนต่างพากันตกใจยกใหญ่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่ง เพียงแค่มดตัวเดียว ถึงกับมีปัญญาตอบโต้อริยะได้เชียว


แต่จากนั้นสายตาของอริยะทั้งหกเปลี่ยนเป็นทอประกายลุกวาว


“เป็นขวดหยกมันแพะใบนั้น!”


“สมบัติอริยะที่อัศจรรย์ยิ่ง มองจากไกลๆ ความมหัศจรรย์แห่งพลังที่บรรจุในขวดใบนี้ถึงขั้นที่ทำให้ข้ายังรู้สึกใจเต้นรัว!”


พวกเขาล้วนดูออก การโจมตีของหลินสวินก่อนหน้านี้มาจากขวดหยกมันแพะในมือเขานั่นเอง!


นี่ เป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!


“ทุกท่าน ของอื่นๆ ข้าไม่ต้องการแล้ว ขอเพียงขวดหยกมันแพะใบนี้เท่านั้น!” เสียงฟางหลิงซู่เจือความฮึกเหิมอันหาได้ยาก


ทุกคนต่างดูออกว่าขวดนี้อัศจรรย์อย่างที่สุด มูลค่าประเมินไม่ได้ อาศัยเพียงสมบัติชิ้นนี้ก็ทำให้มดตัวหนึ่งเปลี่ยนร้ายเป็นดี เอาชีวิตรอดได้ คาดไม่ถึงยิ่งยวด


“เฮอะ! อาศัยความสามารถของแต่ละคนเถิด!”


ยามเอ่ยคำ อริยะอวี่หมิงได้พุ่งโจมตีแล้ว เห็นได้ชัดว่าความกร้าวแกร่งน่าสะพรึงยิ่งกว่าเมื่อครู่


เวาเดียวกันนั้นคนอื่นๆ ก็พากันโจมตี แย่งกันเป็นที่หนึ่ง ไม่มีใครมัวอืดอาด


บางคนสยบหลินสวิน ด้วยหมายตานัยเร้นลับของค่ายกลวัฏจักรดาราในมือของเขา


บางคนกลับเข้าไปเพื่อแย่งเจดีย์สมบัติไร้อักษร


และบางคนก็หมายแย่งขวดมหามรรคไร้ขอบเขต


สิ่งนี้พาให้หลินสวินตกที่นั่งลำบาก อันตรายถึงชีวิตในชั่วแล่น!


พลังของอริยะคนหนึ่งก็น่าหวาดกลัวจนไม่อาจเทียบเทียมแล้ว นับประสาอะไรกับการร่วมมือกันของอริยะหกคน


ปึง!


หลินสวินบาดเจ็บสาหัส ร่างลอยคว้าง เลือดสดย้อมร่างแดงฉาน กระดูกแตกหัก ผิวหนังล้วนเป็นรอยฉีกแตก


อาการบาดเจ็บระดับนี้ สาหัสสากรรจ์ถึงที่สุด!


ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดเห็นเช่นนี้ จิตใจล้วนห้อยต่องแต่ง ตระหนักได้ว่าการต่อสู้ที่ไร้กังขาครั้งนี้เกรงว่าจวนจะปิดฉากลงตรงนี้แล้ว


ต่อให้เทพมารหลินโดดเด่นชวนทึ่งมากเพียงใด แต่ภายใต้อานุภาพของอริยะ ก็แพ้ไม่เป็นท่าปานมดตัวหนึ่ง ย่อมถูกสำเร็จโทษอย่างแน่นอน!


และราคาที่เขาต้องจ่ายสำหรับผลลัพธ์นี้ ก็คือศุภโชคและสมบัติบนตัว!


แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน ระหว่างที่เจ็บหนักปางตาย หลินสวินยังคงไม่ยอมก้มหัว ทั่วร่างเขาชโลมด้วยเลือด นัยน์ตาดำสะท้อนเปลวเพลิงแห่งความเดือดดาลไร้สิ้นสุด น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวขาดๆ หายๆ “เดรัจฉานอย่าง… พวกเจ้า… ความอัปยศในวันนี้… ภายหน้าข้าหลินสวินจะ… เอาคืนสิบเท่า!!”


น้ำเสียงฉายความเคียดแค้นไร้ที่สิ้นสุดสะเทือนฟ้าดิน!


ทั่วลานเงียบกริบ จากนั้นอริยะทั้งหกต่างหัวเราะเสียงเย็น ฟางหลิงซู่ยิ่งกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าไร้หนทางรอดแล้ว ไหนเลยยังจะมีโอกาสแก้แค้นในภายหน้าอยู่อีก! บอกเจ้าให้ วันนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนโผล่มา ก็ไม่อาจช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้!”


“เช่นนั้นหรือ” เสียงแผ่วเบาสายหนึ่งดังขึ้น เสียงไม่ดังนัก แต่กลับสะท้อนไปทั่วสี่ทิศแปดด้านทันที สะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!


กลางห้วงอากาศ ไม่รู้ว่ามีแสงรัศมีรุ้งวิเศษสายแล้วสายเล่าร่วงหล่นลงมาตั้งแต่เมื่อไร

 

 

 


ตอนที่ 1094 มองเหล่าอริยะดั่งเดรัจฉาน

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่แสงรัศมีศักดิ์สิทธิ์สายแล้วสายเล่าโปรยลงจากเวิ้งนภา พร่างพรมในห้วงอากาศ ส่องสว่างทั่วฟ้าดิน!


พริบตานี้ทุกคนบนชายฝั่งทะเลล้วนหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก


อริยะทั้งหกอย่างฟางหลิงซู่ เต้าคุน เมี่ยวหวา เซวี่ยถู อวี่หมิง และฝูหยาล้วนเปลือกตากระตุกอย่างแรง นัยน์ตาหรี่ลงน้อยๆ


ในฐานะบุคคลระดับอริยะ พวกเขาย่อมตระหนักได้ในทันทีว่ามีเหตุผิดประหลาดเกิดขึ้น!


ในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดก็ไม่ขาดแคลนอริยบุคคล เวลานี้ล้วนจิตใจไหวสั่น นัยน์ตาประจุสายฟ้า พากันมองไปทางทะเลหมากดารา


ฟ้าดินคล้ายเงียบงันในชั่วขณะนี้


“เป็นผู้ใดกำลังเล่นอุตริอยู่ที่นี่” ฟางหลิงซู่ตะโกนลั่น ไอสังหารแผ่พุ่งออกจากหว่างคิ้ว


“ฮ่าๆ สหายคนใดคิดยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ เห็นพวกเราหกคนไม่มีตัวตนหรือ หรือว่าจะทำเพื่อศุภโชคในมือเจ้าเด็กนั่น จนคิดจะตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกข้าทั้งหมด”


พวกเต้าคุน เมี่ยวหวาล้วนสีหน้าเย็นชาขึ้นมา ยังเข้าใจว่ามีอริยะจากสำนักโบราณอื่นๆ เข้ามาก่อกวนเรื่องนี้ นี่พาให้พวกเขาล้วนหัวเสีย


กลางห้วงนภา รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์สายแล้วสายเล่าประหนึ่งโซ่ตรวนวิเศษร้อยรัดเป็นลำดับ ใสกระจ่างสว่างไสว เจิดจรัสและงดงาม รวมตัวกันกลางห้วงอากาศไม่ขาดสาย


บรรยากาศกลางฟ้าดินแถบนี้ก็ยิ่งบีบคั้นมากขึ้นทุกที พาให้ผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง


“เฮอะ! ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้ผู้ใดกล้าขวางข้า ข้าจะฆ่ามันผู้นั้นเสีย!”


เซวี่ยถูส่งเสียงอึมครึม ในฐานะบุคคลระดับอริยะ ต่างย่างเท้าสู่ปลายยอดของโลก เย้ยหยันฟ้าดิน ทำทุกสิ่งตามต้องการ เมื่อบังเกิดไอสังหารในใจ แทบไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้


ยามเอ่ยวาจาเขายื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บ พายุสีเลือดน่าสะพรึงสายหนึ่งปรากฏกลางอากาศ ปลดปล่อยกระแสเสียงเทพร้องครวญผีโหยไห้ออกมา พุ่งแผ่ครอบไปทางหลินสวินประหนึ่งประตูบานใหญ่ที่ทะลุสู่อเวจี


ฉัวะ!


เวลานี้เอง รุ้งวิเศษใสกระจ่างที่ร้อยเรียงเป็นลำดับปานโซ่ตรวนสายหนึ่งพุ่งปราดออกมา


เร็วเกินไปแล้ว!


ชั่วพริบตาก็ตัดผ่านพายุสีเลือดนั้นไป จากนั้นพลันแหวกทะลวงห้วงอากาศมาถึงเบื้องหน้าอริยะเซวี่ยถู!


เซวี่ยถูคำรามสนั่น ยามอ้าปากเกลียวคลื่นสีเลือดรวมตัวกัน เปี่ยมด้วยพลังอริยมรรค สำแดงวิชาลับคลื่นเสียงอย่างหนึ่งที่สามารถบดห้วงอากาศเป็นผุยผง ทำลายฟ้าดินเป็นชิ้นๆ


แต่ว่านี่แทบไม่มีประโยชน์สักนิด รุ้งวิเศษนั้นโฉบเข้ามา ทะลวงผ่านเกลียวคลื่นสีเลือด จากนั้นก็โถมใส่ร่างอริยะเซวี่ยถู


ปึง!


ท่ามกลางเสียงกึกก้องน่าสะพรึง อริยะเซวี่ยถูกระเด็นลอยออกไป กระแทกใส่ภูเขาที่อยู่ห่างออกไปอย่างจัง หินผาหิมะน้ำแข็งทรุดครืนไม่รู้เท่าไร


ทุกคนล้วนนิ่งอึ้ง ตามองยังบริเวณไกลโพ้น ที่ตรงนั้นฝุ่นควันตลบทะยานฟ้า พร้อมๆ กับมีเสียงร้องโหยหวนของอริยะเซวี่ยถู


ภาพนี้สะท้านใจทุกผู้คน!


ยอดเขาถูกกระแทกหักพัง อริยะคนหนึ่งเชียวนะ ถึงกับถูกหนึ่งการโจมตีซัดจนกระเด็นออกไปกระแทกยอดเขา ทำให้พื้นดินแหวกออก ห้วงอากาศพังทลาย


นี่มันน่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!


“นี่…”


เสียงสูดหายใจเฮือกดังก้องกลางลาน


“เมื่อครู่ข้าเห็นอะไรไปหรือ อริยะผู้สูงส่ง เพียงพอจะเย้ยหยันโลกหล้าคนหนึ่งถูกซัดปลิวหรือ”


บางคนยังคงไม่เชื่อ สมองมึนงงน้อยๆ


ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดปากคอแห้งผาก รู้สึกน่าเหลือเชื่อ ภาพเช่นนี้สั่นสะเทือนจิตใจผู้คนเสียจริงๆ


ส่วนลึกของทะเลหมากดารา หลินสวินยืนร่างโชกเลือด ผมยาวสีดำ นัยน์ตาดำเย็นเยียบ แต่กลับไม่รู้สึกว่าเหนือคาด เยือกเย็นยิ่งนัก


ตูม!


บนร่างพวกฟางหลิงซู่ต่างปรากฏพลังอริยมรรคน่าสะพรึงขึ้นมา สะท้านสะเทือนฟ้าดิน


ภาพก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาใจสะท้านเช่นกัน ตระหนักได้ว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่คู่ต่อสู้กร้าวแกร่งถึงขีดสุดคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้พวกเขาไม่กล้าโอ้เอ้อีกต่อไป


“ขอบังอาจถามว่าสหายยุทธ์จากที่ไหนให้เกียรติมาเยือน”


ฟางหลิงซู่เปล่งวาจา ดังกระหึ่มก้องฟ้าดิน เจตกระบี่ไร้เทียบเทียมสายหนึ่งพุ่งออกจากตัวเขา เขย่าขวัญผู้คน สั่นคลอนนภสินธุ์


เมื่อครู่ตอนที่จัดการหลินสวิน พวกเขาไม่เคยใช้พลังแท้จริงสักครั้ง กังวลว่าจะพลั้งมือฆ่าหลินสวินตายจนสูญเสียวาสนาไป


แต่ยามนี้ ตอนที่ตระหนักได้ว่าศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งโผล่มา พวกเขาต่างหนาวสะท้าน เริ่มเปิดเผยพลานุภาพระดับอริยะอย่างแท้จริงออกมา


“สนไปไยว่าเขาเป็นใคร ข้าจะให้เขาตาย!”


โครมครืน! กลางยอดเขาไกลออกไป เงาร่างมหึมาสายหนึ่งลุกขึ้นยืน แหวกยอดเขาที่กดทับบนตัวออกยืนตระหง่าน นัยน์ตาดุจดั่งจันทราสีเลือดแดงฉานสองดวง น่าสะพรึงไร้ใดเปรียบ


เป็นอริยะเซวี่ยถูที่ถูกซัดกระเด็นก่อนหน้านี้!


เพียงแต่เวลานี้เขาต่างไปจากเดิมลิบลับ เจือไอสังหารระฟ้า สาวเท้าก้าวออกมา สะเทือนจนฟ้าดินแถบนี้สั่นคลอนรุนแรง ห้วงอากาศพังทลายทรุดครืนทีละชุ่น


ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดต่างใจสะท้าน พากันถอยกรูด ภายใต้แรงกดดันของพลานุภาพอริยะอันน่าสะพรึงระดับนี้ พวกที่ความแข็งแกร่งไม่เข้าขั้นส่วนหนึ่งล้วนสั่นเทิ้มทั้งร่าง แทบจะคุกเข่าลงกับพื้น


นี่คือความกริ่งเกรงอย่างหนึ่ง ไม่อาจควบคุม เกิดจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น!


พลานุภาพแห่งอริยะสั่นคลอนสุริยันจันทราภูผาธารา ยามผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่าระดับอริยะพบเจอ แทบจะไร้หนทางต้านทานได้ ล้วนถูกอานุภาพเขย่าขวัญกดดันข่มจิตใจโดยสิ้นเชิง


เพียงแต่อริยะที่สูงส่งทรงสง่าเช่นนี้ เมื่อครู่กลับถูกคนซัดปลิวด้วยการโจมตีเดียว เมื่อลองคิดดูก็พาให้ผู้คนยากจะเชื่อ


“ถ้ากล้าก็โผล่หน้ามาสู้กันสักตั้ง!”


อริยะเซวี่ยถูเดือดดาล น้ำเสียงของเขาสะท้านทั่วทิศ บนฟ้าประหนึ่งมีอสนีเดือดพล่านสนั่นหวั่นไหว บดชั้นเมฆแตกกระจุย


“อ๊าก!” คนส่วนหนึ่งร้องลั่น อุดหูครูดกายลงกับพื้น ยิ่งมีบางส่วนถูกซัดสะเทือนจนเลือดออกเจ็ดทวาร เบื้องหน้าสายตาปรากฏดาวสีทอง


พลานุภาพอริยะระดับนี้น่าหวาดกลัวจริงๆ


“กาลเวลาไร้สิ้นสุดผ่านไป โลกใบนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ แค่อริยะเทียมกลุ่มหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าไร้ขื่อไร้แปเช่นนี้ พาให้ข้ารู้สึกเหนือคาดเสียจริง”


กลางฟ้าดิน เสียงกระจ่างเย็นเยียบแผ่วเบาสายหนึ่งดังขึ้น


ก็เห็นรัศมีแสงร่วงจากฟ้า เงาร่างงดงามและพร่ามัวสายหนึ่งค่อยๆ ควบรวมกันที่กลางจุดตัดของรุ้งวิเศษ จวนจะปรากฏชัดเจนขึ้นมา


อริยะเทียม!


คนไม่น้อยในลานหนาวสั่นทั่วร่าง เป็นใครกันถึงกล้าเอ่ยคำพูดว่าพวกอริยะฟางหลิงซู่เป็นอริยะเทียมออกมา


และคำพูดของนาง กลับเหมือนพูดได้อย่างถูกต้องชอบธรรมถึงเพียงนี้!


“สามหาว! อริยมรรคดุจดั่งสวรรค์ มีหรือจะยอมให้เจ้าพูดส่งเดช”


ฟางหลิงซู่สีหน้าเยียบเย็น ห้วงอากาศแถบนี้ล้วนท้วมท้นด้วยพลานุภาพอริยะน่าสะพรึง ในรัศมีพันลี้หินผาระเบิดแหลก แผ่นดินแตกระแหง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปรากฏร่องรอยของการดับสลาย


อริยะคนอื่นๆ ต่างก็สีหน้าไม่เป็นมิตร


พวกเขาเหยียบย่างระดับอริยะได้ ย่อมไม่ใช่พวกทั่วๆ ไป หลุดพ้นมรรคาอมตะ เหยียบย่างบนมรรคาอริยเทพตั้งนานแล้ว แต่กลิ่นอายที่ปรากฏในน้ำเสียงเมื่อครู่นั้นกลับเจือความดูเบาอยู่ด้วย!


“ยังมีจุดพลิกผันเกิดขึ้นจริงๆ หรือ เฒ่าสารเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่าอริยะเทียมคืออะไร” ในมุมมืด อาหลู่อึ้งค้างเบิกตาโพลง


เสียงผัวะดังขึ้นหนึ่งครา ศีรษะเขาถูกตีอีกหนึ่งฝ่ามือ นักพรดเฒ่ามอมแมมผรุสวาท “เลิกพล่ามเสียที ชมดูเฉยๆ เถอะน่า!”


ยามเอ่ยวาจา ในใจเขาก็กระสับกระส่ายไม่แพ้กัน คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ทั้งยังคล้ายไม่อยากเชื่ออีกด้วย


ตูม!


กลางห้วงอากาศทะเลหมากดาราเกิดเสียงก้องกระหึ่มฉับพลัน ฝนทรงกลดแสงมงคลโปรยปรายลงมาสายแล้วสายเล่า คล้ายกำลังสักการะการเยือนโลกของเทพไท้เกรียงไกรสูงสุดผู้หนึ่ง เกิดเป็นปรากฏการณ์ประหลาดอันเจิดจ้า!


ท้ายที่สุดเงาร่างงดงามคลุมเครือสายนั้นก็หลอมรวมปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทั่วร่างปลดปล่อยกลิ่นอายเหนือธรรมดาปานอริยเทพ สาดทะยานเวิ้งนภา


นางยืนตามสบายอยู่ตรงนั้น แต่กลับมีอานุภาพเหยียดหยันเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน พาให้ปวงชีวิตทั่วโลกหล้าล้วนได้แต่ก้มหัวสวามิภักดิ์


นี่คือลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงที่สะท้านโลกอย่างไม่ต้องสงสัย!


อะไรที่เรียกว่ากำราบสรรพชีวิต หยัดยืนเหนือปวงสวรรค์


ก็นี่อย่างไรเล่า!


อริยะในลานต่างเป็นบุคคลที่พบเจอคลื่นลมยักใหญ่จนชินตา แต่ยามที่เห็นเงาร่างสายนี้ก็อดสั่นเทิ้มในใจไม่ได้ รับรู้ถึงแรงกดดันที่ยากจะพรรณนา


คนผู้นี้เป็นใคร


เหตุใดถึงไม่เคยเห็นมาก่อนในดินแดนรกร้างโบราณ


ไม่เพียงอริยะทั้งหกอย่างพวกฟางหลิงซู่ เวลานี้อริยะในมุมมืดเหล่านั้นล้วนสงสัยไม่ว่างเว้น กลิ่นอายระดับนั้นพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และเหนือชั้นอย่างที่สุด พาให้พวกเขายังรับรู้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งอย่างหนึ่ง


ตูม!


ฟ้าดินล้วนปั่นป่วน คล้ายสั่นระริกเพราะการปรากฏตัวของเงาร่างเฉิดฉายสายนั้น สิบทิศล้วนถูกบดขยี้!


“ลำบากผู้อาวุโสแล้ว” หลินสวินโค้งคารวะ ในใจก็สะท้านสะเทือนไม่แพ้กัน


ปีนั้น หญิงลึกลับคนนี้เคยให้โอกาสร้องขอความช่วยเหลือแก่เขาสามครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว หากไม่ถูกบีบบังคับจนถึงขั้นอับจนหนทาง เขาย่อมไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือเด็ดขาด


“อาศัยพลังของตัวเองรับมือมาได้ถึงตอนนี้ เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไปชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ เถอะ”


หญิงลึกลับน้ำเสียงใสเย็น บนร่างของนางประหนึ่งรายล้อมด้วยสายโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่กระจ่างพร่างพราวสายแล้วสายเล่า มีละอองแสงเซียนพร่างพรม มีบรรยากาศรุ่งอรุณเจิดจ้า ประกายแสงนานัปการไหลเวียน เจิดจรัสไร้ขอบเขต พาให้ผู้คนมองรูปโฉมของนางไม่ถนัดตา


“เฮอะ! สหายยุทธ์ออกจะเหลิงไปหน่อยกระมัง เห็นพวกเราหกคนเป็นอะไรไปแล้ว”


น้ำเสียงฟางหลิงซู่หนักแน่น เจตกระบี่พลุ่งพล่านทั่วร่าง สะท้อนถึงความมหัศจรรย์แห่งหมื่นกระบี่ทะยานฟ้า


พร้อมกันนั้นเขาลอบสะดุ้งในใจ ได้ยินคำพูดของหญิงลึกลับนั่น ถึงกับมีความสัมพันธ์กับเจ้าเดรัจฉานน้อยหลินสวิน ไม่ได้มาเพื่อฉกชิงวาสนา สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนนัก!


“เห็นเป็นเดรัจฉานแล้วอย่างไร” ไกลออกไป เสียงหญิงสาวใสเย็นสบายๆ


ประโยคเดียวพาให้ทั่วลานฮือฮา มองอริยะหกคนเป็นเดรัจฉาน นี่… น่าตกใจเกินไปแล้ว!


พวกฟางหลิงซู่ต่างบันดาลโทสะ


ก่อนหน้านี้พวกเขาใกล้จะลงมือสำเร็จแล้ว กลับต้องพังไม่เป็นท่าเพราะการปรากฏตัวของหญิงผู้นี้ เดิมทีก็ทำให้พวกเขาฉุนเฉียวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตอนนี้ยังถูกทำให้อับอายเช่นนี้ ใครยังจะทนไหวอยู่อีก!


“ลงมือเถอะ!”


เซวี่ยถูตวาด ดาบศึกในมือทะยานอากาศพาให้ฟ้าถล่มดินทลาย เทพร้องครวญผีโหยไห้ ผ่าฟันออกไปประหนึ่งเปิดประตูใหญ่สู่อเวจี


“พลานุภาพอริยะดุจดั่งสวรรค์ ไม่ยอมให้ล่วงเกิน สหายยุทธ์ เจ้าแตะโดนขีดความอดทนต่ำสุดแล้ว!”


และในเวลาเดียวกันอริยะอย่างพวกเมี่ยวหวา อวี่หมิง ฝูหยาต่างก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน


ชั่วขณะฟ้าดินแถบนี้มีรัศมีแสงอริยะตัดประสาน แสงมรรคพลุ่งพล่าน ภาพฉากผิดธรรมดาจนน่าตกใจ อริยะทั้งหกโจมตีออกไปพร้อมกัน ใช้พลังอริยมรรคแท้จริงออกมา หมายสยบหญิงลึกลับผู้นั้น


ภาพนี้น่าหวาดกลัวเกินไป!


ในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู่อยู่ในมุมมืด ก็มีเพียงบุคคลระดับอริยะเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับอานุภาพกดดันที่แผ่ออกจากการต่อสู้ระดับนี้ได้ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนปวดแสบดวงตา ไม่สามารถมองจ้องสังเกตได้อีก


พรึ่บ!


ในเวลานั้น บนทะเลหมากดาราหญิงลึกลับเยื้องย่างบนเกลียวคลื่นกลางความว่างเปล่า เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน


รอบกายของนางผุดรุ้งวิเศษร้อยเรียงที่ทั้งแวววาวและพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ตัดสลับเข้าด้วยกัน โอบล้อมหมุนเวียน ประหนึ่งโลกหล้าผัดเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพฉากน่าหวาดกลัวมากมายปรากฏเป็นระยะในนั้น ทั้งตะวันจมจันทราร่วง กาลเวลาผันเปลี่ยน ความว่างเปล่าโดยรอบแปรผัน…


ยิ่งแว่วเสียงธรรมศักดิ์สิทธิ์รางเลือน เสียงสักการะแห่งบรรพชนก้องกระหึ่มสั่นหวั่นไหว คล้ายกำลังค้อมศีรษะกราบไหว้


ปึง!


มือเรียวงามของนางกดลงแผ่วเบาคราหนึ่ง ปราณกระบี่ที่ผ่าฟันออกมาของฟางหลิงซู่แตกกระจายเป็นชุ่นๆ กลางห้วงอากาศ กลายเป็นละอองแสงสาดกระจายทันที


ในเวลาเดียวกันรุ้งวิเศษแวววาวสายหนึ่งพุ่งออกมา โอบรัดดาบศึกของอริยะเซวี่ยถูเอาไว้ เสียงดังเคร้งดังขึ้นหนึ่งครา ก็ทำลายดาบศึกหักสะบั้น


อริยะเซวี่ยถูตะโกนลั่น ร่างส่ายโอนโดยพลัน ทรมานจนแทบกระอักเลือด


อีกด้านหนึ่ง ประทับฝ่ามือของอริยะเต้าคุนซัดใส่รุ้งวิเศษที่พุ่งเข้าหา


พรึ่บ!


ผลลัพธ์คือประทับฝ่ามือของเขาถูกเจาะทะลวงตรงๆ ท่อนแขนล้วนถูกเถือออก เลือดเนื้อแหลกระเบิดในทันที แขนขวาทั้งแขนถูกทำลายเพียงชั่วอึดใจ


ภาพนี้เขย่าขวัญทุกคน


ฮวบ!


เชือกสีทองจากมืออริยะเมี่ยวหวาคล้ายกับมังกรสีทองตัวใหญ่เลื้อยคดเคี้ยว พ่นกฎระเบียบอริยมรรคน่าสะพรึง อาศัยจังหวะนี้เข้าประชิดใกล้หญิงลึกลับ


กลับเห็นมือกระจ่างของหญิงลึกลับยื่นออกไป นิ้วมือหนีบเบาๆ ประหนึ่งหยิบบัวกลีบหนึ่งขึ้นมา ก็คว้าเชือกสีทองเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา เหมือนตีจุดตายของงูเข้าอย่างจัง!


จากนั้นเชือกสีทองพลันแตกกระจุยเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางเสียงระเบิดโครมคราม ละอองแสงทองย้อมห้วงอากาศแถบนั้นจนกลายเป็นสีทอง


ขับเน้นเงาร่างงดงามของหญิงลึกลับคนนั้นให้ประหนึ่งเทพไท้สูงสุด!

 

 

 


ตอนที่ 1095 สังหารอริยะ?

 

อริยะเมี่ยวหวากรีดร้อง สมบัติถูกทำลายทำให้มุมปากนางมีเลือดไหล


อริยะที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดต่างเบิกตากว้าง ในใจล้วนสั่นสะท้าน


ตูม!


สิ่งที่อริยะฝูหยาสำแดงคือวิชาลับจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง ล่องหนไร้รูปร่าง น่าอัศจรรย์ไร้ใดเปรียบ เมื่อถูกซัดโจมตี อริยะล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส


เพียงแต่ไม่รอให้พลังระดับนี้เข้าใกล้ กลางนัยน์ตาหญิงลึกลับพลันสาดสัญลักษณ์ที่ประหนึ่งวิวัฒน์จากกฎระเบียบ ดับทำลายการโจมตีครั้งนี้


พรวด!


อริยะฝูหยาที่เงาร่างพร่ามัวกระอักเลือด ร่างไหวกระเพื่อมรุนแรงกลางห้วงอากาศ


และเวลานี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังเคร้งคราหนึ่ง ระฆังสำริดถูกซัดลอยคว้างผ่านอากาศ อริยะอวี่หมิงซวนเซ โงนเงนถอยกรูดไปหลายก้าว


ทั่วลานเงียบกริบ!


บนทะเลหมากดารา เงาร่างงดงามและคลุมเครืออาภรณ์พลิ้วไสว งามสง่าไร้ทัดเทียม!


นี่ก็คือหญิงลึกลับในห้องโถงมรรคาสวรรค์คนนั้น เพิ่งจะลงมือก็สำแดงท่วงท่าสง่างามโดดเด่น ทำลายวงล้อมการโจมตีจากเหล่าอริยะ แถมยังโจมตีกลับจนอีกฝ่ายบาดเจ็บในพริบตา!


“เหล่าอริยะออกโจมตี แต่กลับไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้ หญิงลึกลับคนนั้นเป็นใครกันแน่”


ในมุมมืด สายตามากมายนับไม่ถ้วนต่างผุดความสะทกสะท้านอันปิดไม่มิดออกมา


ประจันบาญคราแรก เพียงการโจมตีเดียวเท่านั้นก็ปรากฏสภาพแหลกสลายเช่นนี้แล้ว ใครจะไม่สะเทือนและใจไหวสั่นได้กัน


นางเป็นใคร


ไกลออกไป หญิงลึกลับยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ ประหนึ่งละทางโลกเป็นเอกเทศ บริสุทธิ์ดั่งจันทรา รุ้งวิเศษเป็นสายๆ ดั่งโซ่ศักดิ์สิทธิ์กฎระเบียบรายล้อมรอบกายนาง ปรากฏภาพอัศจรรย์อันใหญ่ยิ่งและลึกลับ


รุ้งวิเศษแต่ละสายราวกับระเบียบมหามรรค ประหนึ่งสามารถวิวัฒน์กลายเป็นโลกอีกใบ ภายในบรรจุปริศนาไร้ขอบเขต ท่ามกลางความรางเลือน มีเสียงธรรมศักดิ์สิทธิ์แซ่ซ้อง สรรพชีวิตสักการะลอยออกมา


เพียงบรรยากาศสูงส่งเช่นนี้ก็สามารถสะเทือนกาลนิรันดร์ สะท้านปวงสวรรค์แล้ว!


บนชายฝั่งทะเล อริยะทั้งหกอย่างพวกฟางหลิงซู่ล้วนสีหน้าไหววูบไม่คงที่


พวกเขาเป็นใคร


เป็นบุคคลระดับอริยะที่เลื่องชื่อก้องโลกหล้ามานานแล้ว หยัดยืนบนปลายยอดสูงสุดแห่งพลังปราณในดินแดนรกร้างโบราณ ผลลัพธ์กลับเป็นประสบความพ่ายแพ้ที่นี่ เพิ่งเริ่มต่อสู้ก็ถูกโจมตีบาดเจ็บแล้ว


สำหรับคนระดับพวกเขา นี่เป็นครั้งแรก และยิ่งเป็นความอัปยศที่ไม่เคยสัมผัสมานานนม


เพราะพวกเขาไม่เคยถูกคนโจมตีบาดเจ็บมานานมากแล้ว!


“วิถีโลกคงเสื่อมถอยแล้วจริงๆ แม้จะเป็นอริยะเทียมก็ยังห่างไกลจากคนยุคบรรพกาลลิบลับ” เสียงหญิงลึกลับเย็นเยียบ ทอดถอนใจแผ่วเบาคล้ายเศร้าสลดน้อยๆ


“สหายยุทธ์เป็นอริยเทพจากที่ใดถึงกล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้”


ฟางหลิงซู่สีหน้าอึมครึม ภายในใจเดือดดาล ถูกคนเรียกขานคำก็ ‘อริยะเทียม’ สองคำก็ ‘อริยะเทียม’ พาให้เขารู้สึกต่อต้านหาที่เปรียบไม่ได้


“ข้าเป็นใคร…”


หญิงลึกลับพึมพำกับตัวเอง เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยวาจา “พวกเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะรู้”


ประโยคเดียว เหยียดหยันสุดจะเปรียบ!


นั่นเป็นถึงอริยะหกคน ทว่าแม้แต่คุณสมบัติที่จะรู้ชื่อของนางกลับไม่มี นี่คือความหยิ่งผยองและถือดีขนาดไหน


ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดต่างเกือบคิดว่าหูฝาดไป


“ฮ่าๆๆ บ้าบิ่นนัก! เจ้าคิดว่าพวกข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”


อริยะเซวี่ยถูระเบิดหัวเราะ นัยน์ตาดั่งจันทร์สีเลือด อึมครึมเขย่าขวัญผู้คน “ทุกท่าน ควรงัดไพ่ตายแท้จริงออกมาใช้ได้แล้ว หาไม่เกรงว่าคงถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเรารังแกได้ง่าย!”


เสียงหญิงลึกลับเยียบเย็น กล่าวว่า “รังแกพวกเจ้าแล้วอย่างไร วันนี้ไม่ว่าใครเข้ามาล้วนยากจะเดินออกจากที่แห่งนี้!”


“เหอะๆ เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ไรมาไม่มีใครกล้าเพ่งเล็งขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกข้าเช่นนี้ ต่อให้เจ้าทรงพลัง แต่หากต้องการทำเรื่องเย้ยฟ้า ก็ยังต้องล่มจม!”


ทุกถ้อยคำของฟางหลิงซู่ดุจกระบี่ ไอสังหารอัดแน่นว่ายเวียนรอบด้าน


“หากพวกนี้คือคำสั่งเสียของพวกเจ้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องถ่วงเวลาอีกต่อไป มาตัดสินกันเถอะ”


หญิงลึกลับเยือกเย็นยิ่ง แต่กลิ่นอายในคำพูดกลับพาให้ผู้คนใจสะท้าน


นี่คือ… หมายจะสังหารอริยะ?


แม้แต่หลินสวินในใจก็ยังสั่นไหวไม่สิ้น เขาขอความช่วยเหลือจากหญิงลึกลับ เดิมทีก็แค่อยากหนีเอาตัวรอดเท่านั้น


อย่างไรเสียนั่นก็เป็นถึงอริยะหกคน น่าสะพรึงอย่างที่สิ้นสุด หยัดยืนบนจุดสูงสุดแห่งโลกหล้า ผู้ใดจะสังหารพวกเขาได้


แต่ยามนี้ท่าทีที่หญิงลึกลับแสดงออกมากลับทรงพลังถึงเพียงนั้น เห็นเหล่าอริยะราวกับไร้ตัวตน สิ่งนี้จะให้หลินสวินสงบได้อย่างไร


คราวนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ตั้งแต่แรกเขาก็ประเมินความแข็งแกร่งของหญิงลึกลับผู้นี้ต่ำไปเสียแล้ว!


“ฆ่า!”


อริยะอวี่หมิงตรงไปตรงมายิ่ง เรียกตำหนักอมตะออกมาโดยพลัน


พริบตานั้นตำหนักสีสำริดนี้ก็ระเบิดอานุภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เมื่อพุ่งไปกลางอากาศก็พาให้เวิ้งนภาถล่มครืน ทั่วทิศสนั่นหวั่นไหว หินผาต้นไม้ใบหญ้าไม่รู้เท่าไรแหลกกระจุยในชั่วพริบตา ปรากฏภาพน่าสะพรึง


ตำหนักอมตะนี้ เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่ายามอยู่ในมือสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมากมายนัก!


และมีเพียงอริยะเท่านั้นที่อาจกระตุ้นอานุภาพแท้จริงของสมบัติอริยะระดับนี้ได้อย่างสมบูรณ์


ตูม!


ตำหนักอมตะเปล่งแสง ฟ้าถล่มดินทลาย ฝุ่นควันหอบม้วนเหินเวหา ทะลวงผ่านชั้นเมฆ พาดผ่านทะเลหมากดารา พิฆาตไปทางหญิงลึกลับ


การโจมตีระดับนี้ เห็นชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัว


ควรรู้ว่าในทะเลหมากดารากางค่ายกลวัฏจักรดารา แต่ยามนี้กลับแทบไม่อาจสกัดกั้นสมบัติชิ้นนี้ได้เลย


“ตำหนักอมตะของแดนพิสุทธิ์อมตะ น่าเสียดาย ในยุคบรรพกาลเจ้าของมันก็ถือว่าเป็นนายเหนือหัวแกล้วกล้าคนหนึ่ง ยามนี้กลับตกต่ำถึงขั้นถูกอริยะเทียมควบคุมเสียแล้ว…”


เสียงเย็นใสเลือนรางดังสะท้านฟ้าดิน ก็เห็นหญิงลึกลับยื่นมืองามปานหยกออกมาข้างหนึ่ง ตบลงไปเบาๆ หนึ่งครา


ตึง!


ตำหนักอมตะที่ใหญ่ปานภูผาพลันส่ายไหวโอนเอน ส่งเสียงหวีดหวิวราวกับถูกอสนีฟาดโจมตี


ทั่วตัวมันปลดปล่อยไอขุ่นมัว และมีแสงมงคลพ่นกระเซ็น ตัวตำหนักสีสำรัดอันเก่าแก่นั้นผุดแผนภาพลึกลับมากมายออกมา มีทั้งต้นไม้ใบหญ้ามัจฉาแมลง ปักษาเซียนสัตว์เทพ สุริยันจันทราดาราเป็นต้น ปรากฏอานุภาพเหนือธรรมดาที่ผิดประหลาดกว่าที่ผ่านมา


แต่ต่อให้มันแข็งแกร่งเพียงใด เวลานี้กลับถูกฟาดจนสั่นพล่านดังระงม!


ใช้มือสยบสมบัติอริยะ เสียงโจมตีระดับนั้นพาให้อริยะที่ซ่อนตัวในมุมมืดต่างสะท้านใจ ปากอ้าตาค้าง ยิ่งตระหนักถึงความน่ากลังของหญิงลึกลับคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ


“ทุกท่าน พวกเจ้าต้องรอถึงเมื่อไรกว่าจะลงมือ!”


อริยะอวี่หมิงตะโกนลั่น เขาเองก็ถูกทำให้ตกใจ นี่เป็นถึงตำหนักอมตะ สมบัติพิทักษ์สำนักของแดนพิสุทธิ์อมตะเชียว เมื่อใช้งานอย่างน้อยก็ทำให้พลังต่อสู้ของเขาพุ่งพรวดทบทวี


แต่ยามนี้กลับยังคงถูกหญิงลึกลับคนนั้นสยบได้ในการเคลื่อนไหวเดียว!


ชิ้ง!


กระบี่เทียมฟ้าโฉบพุ่งออกมา ฟางหลิงซู่ราวกับกลายร่างเป็นอริยะกระบี่ไร้ทัดเทียมอย่างแท้จริง เจตกระบี่ท่วมท้น ปั่นป่วนเมฆลม ไอสังหารพุ่งออกไป


เกือบจะในเวลาเดียวกัน เมี่ยวหวาเรียกบรรทัดสยบฟ้าออกมา เต้าคุนเรียกร่มรุ้งสมบัติม่วง เซวี่ยถูเรียกประทับนรกโลหิต ฝูหยาเรียกตำราหยกสีทองออกมา…


โครมครืน!


สมบัติอริยะหกชิ้น อริยะหกคน โหมโจมตีสุดกำลังในยามนี้ ศึกอริยะเปิดฉากขึ้นที่นี่ ระเบิดปะทุอย่างสมบูรณ์


ชั่วขณะฟ้าถล่มดินทลาย กลางห้วงอากาศทุกที่ล้วนปรากฏภาพพังทลายมอดไหม้ ทุกที่ล้วนเป็นแสงวิเศษอริยมรรคเจิดจรัสสะท้านโลก เป็นภาพชวนผวาอย่างที่สุด!


นี่เป็นศึกตัดสินแห่งอริยเทพอย่างแท้จริง เจิดจ้าไร้ขอบเขต เพียงพอจะสะเทือนอดีตและปัจจุบัน สั่นคลอนเมฆลมในใต้หล้า


“สวรรค์!”


“ถอยเร็ว!”


ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดล้วนหน้าเปลี่ยนสีทันใด ต่างพากันถอยหลบ


พื้นที่ในรัศมีหมื่นลี้ล้วนแต่เป็นอานุภาพอริยะน่าสะพรึงทั้งสิ้น หากถูกคลื่นพลัง แม้จะเป็นอริยก็ยังสะบักสะบอมสุดทานทน


ส่วนพวกที่ระดับต่ำกว่าอริยะ ย่อมไม่มีทางรอดชีวิตอย่างแน่นอน!


เคราะห์ดีที่สถานที่นี้อยู่ในทะเลหมากกระดานรา เป็นส่วนหนึ่งของเขตหวงห้ามแห่งหนึ่ง หากอยู่ในโลกภายนอก ย่อมสร้างหายนะที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน


โครมครืน!


เหล่าอริยะโหมโจมตี ต่างไม่เก็บซ่อนอีกต่อไป ใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิต


ใกล้กับทะเลหมากดารา ฟ้าพลิกดินคว่ำ น้ำทะเลม้วนกลับ ปรากฏลักษณ์แห่งการทำลายล้างครั้งใหญ่ หากไม่ใช่เพราะมีค่ายกลวัฏจักรดารากระจายตัวอยู่ในนี้ ที่แห่งนี้เกรงว่าคงถูกซัดระเบิดไปนานแล้ว!


“นิ่งเงียบนานเกินไป ล้วนไม่มีผู้ใดรู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว…”


หญิงลึกลับกลับคล้ายไม่สั่นไหว นางสาวเท้าก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดาวเคลื่อนดาราคล้อย โซ่วิเศษกฎระเบียบหมื่นพันสายพุ่งปราดออกไป รัดตำหนักอมตะเอาไว้ทันที จองจำไว้กลางห้วงอากาศ


ตูม!


ในเวลาเดียวกันมือหยกของนางยกขึ้น เป็นรุ้งวิเศษสายหนึ่งพุ่งออกมาอีกครั้ง แวววาวเจิดจ้า มาหยุดต่อหน้าอริยะเซวี่ยถูอีกครา


“สยบ!”


อริยะเซวี่ยถูตวาดลั่น ประทับนรกโลหิตกู่ก้อง ถึงกับวิวัฒน์เป็นแดนนรกสีเลือดแห่งหนึ่ง ครอบฟ้าคลุมดิน คล้ายจะหลอมละลายฟ้าดินแถบนี้


แต่เห็นชัดว่ารุ้งวิเศษสายนั้นกร้าวแกร่งน่าสะพรึงถึงที่สุด ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ พุ่งเข้ากลางแดนนรกสีเลือด ทะลวงอุปสรรคขวางกั้นทั้งปวง!


ครืน!


เบื้องหน้ารุ้งวิเศษนี้ นรกสีเลือดถูกฉีกทึ้งแหวกขาดรุนแรงเหมือนกับภาพวาดม้วนหนึ่ง จากนั้นรุ้งวิเศษก็ม้วนตวัดปานโซ่ศักดิ์สิทธิ์ กักขังประทับนรกโลหิตเอาไว้


และส่วนหางของรุ้งวิเศษนั้นแหลมคมประหนึ่งหอกศึก เสียบทะลุร่างอริยะเซวี่ยถู ตอกขึงเขากลางอากาศทั้งอย่างนั้น!


เร็วเกินไปแล้ว ทุกอย่างล้วนว่องไวไร้ใดเปรียบ


ศึกใหญ่เพิ่งปะทุเต็มรูปแบบ ผู้ทรงพลังดั่งอริยะเซวี่ยถู แม้มีพลังปราณระดับอริยะก็ยังเป็นเหมือนว่าวกระดาษ พลังคุ้มครองร่างถูกเจาะทะลวง ตอกขึงกลางอากาศ เหมือนแมลงวันถูกขึงยึดบนกำแพง ไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแม้เพียงเศษเสี้ยว!


มีเพียงริมฝีปากที่ส่งเสียงคำรามเจ็บปวดโหยหวนไร้ใดเปรียบ


นี่พาให้ทุกคนสะท้านขวัญนัก ปุบปับเกินไป!


ฟึ่บ!


โซ่รุ้งวิเศษพุ่งปราดออกมาอีกสาย แวววาวสว่างไสว แสงอริยเทพไหลเวียน พุ่งสู่ห้วงอากาศ จองจำบรรทัดสยบฟ้าที่ร่วงลงมาจากเบื้องฟ้าได้ในชั่วแล่น


พรึ่บ!


ในเวลาเดียวกันเงาร่างหญิงลึกลับหายไปจากห้วงอากาศ ยามที่ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาถึงตรงหน้าอริยะเมี่ยวหวา ยกมือหยกขึ้นกดเบาๆ


เมี่ยวหวาหลบไม่ทัน ทั้งตัวล้วนถูกสยบกดให้คุกเข่าลงกับพื้น กระดูกทั่วร่างระเบิดกระจุยทีละส่วน ปวกเปียกดั่งโคลนเลน


เพียงแต่ยามนี้ร่มรุ้งสมบัติม่วง ตำราหยกสีทอง และกระบี่เทียมฟ้าล้วนโถมเข้ามา พาให้หญิงลึกลับหลบไม่ทันด้วยซ้ำ


แต่นางยังคงไม่ร้อนรน เห็นได้ชัดว่าหนักแน่นสงบนิ่งผิดธรรมดา


รอบกายนางปลดล่อยรุ้งวิเศษหมื่นพันสายแผ่กว้างออกไป ประหนึ่งโซ่วิเศษร่ายระบำบ้าคลั่ง อานุภาพที่พาให้ฟ้าดินล้วนกริ่งเกรงไหลเวียนออกมา


ปึง!


ร่มรุ้งสมบัติม่วงครวญ ถูกกักขังแน่นหนา


เคร้งๆๆ!


กระบี่เทียมฟ้ากำลังผ่าฟันอย่างบ้าคลั่ง ทุกการโจมตีล้วนเพียงพอจะเชือดเฉือนสุริยันจันทราดาราให้ร่วงโรย พลานุภาพเทียมฟ้า แต่กลับไม่อาจสร้างความเสียหายแก่รุ้งวิเศษเหล่านั้นได้สักนิด ได้แต่ระเบิดเสียงปะทะแน่นขนัดไร้ใดเปรียบออกมา รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์สาดกระเซ็นรอบด้าน


ท้ายที่สุดกระบี่เทียมฟ้าก็ถูกกักขัง ร้องครวญไม่ขาดสาย


สมบัติอัศจรรย์ที่สุดอย่างตำราหยกสีทองถึงกับกลายเป็นหมอกเมฆสีทองแถบหนึ่งทันควัน ทะลวงผ่านเกราะกำบังของรุ้งวิเศษหมื่นพันสาย แผ่ครอบลงมาทางหญิงลึกลับ


“เห ที่แท้ก็เป็นสมบัติชิ้นนี้ มันถึงกับเหลือรอดอยู่บนโลก…”


นัยน์ตาหญิงลึกลับทอประกายประหลาดใจออกมา จากนั้นริมฝีปากของนางก็ส่งเสียงหวีดหวิวแปลกประหลาด ประหนึ่งหงส์เซียนร้องขับขาน


ทันใดนั้นหมอกเมฆสีทองกลุ่มนั้นก็นิ่งงันไป จู่ๆ ถึงกับกลายเป็นปักษาเซียนประหลาดสีทองอร่ามตัวหนึ่ง สยายปีกกลางอากาศ ทั่วร่างไหลเวียนด้วยแสงสีทอง ย้อมฟ้าดินให้เป็นสีเหลืองทองทั้งแถบ


หญิงลึกลับยื่นฝ่ามือออกไป ทันใดนั้นหงส์เซียนสีเหลืองทองตัวนั้นก็ขึ้นไปยืนอย่างว่าง่าย ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีคราหนึ่ง


ภาพนี้มหัศจรรย์ไร้ใดเปรียบ พาให้ทุกคนในลานต่างตกตะลึงอึ้งค้าง!

 

 

 


ตอนที่ 1096 ข่มเหล่าอริยะ

 

ผู้ทรงพลังเช่นอริยะเซวี่ยถู เผด็จการสะท้านดินแดนรกร้างโบราณนับปีพัน ควบคุมประทับนรกโลหิต กลับยังคงถูกโจมตีทะลวงร่าง ตอกตรึงกลางห้วงอากาศเหมือนหนอนแมลงวันก็ไม่ปาน


คนโหดเหี้ยมเฉียบขาดเช่นอริยะเมี่ยวหวา ในฐานะอริยะหญิงผู้หนึ่ง ทว่าแม้แต่ตอบสนองก็ยังไม่ทัน ถูกสยบหมอบกระแต ปวกเปียกเหมือนโคลนเลน!


นอกจากนี้สมบัติอริยะอย่างตำหนักอมตะ กระบี่เทียมฟ้า ร่มรุ้งสมบัติม่วง บรรทัดสยบฟ้าเพิ่งจะสำแดงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ก็ถูกจับกุมทีละชิ้นๆ!


ทุกภาพฉากประหนึ่งขี่ม้าอ้อยอิ่งชมสวน แต่ความจริงเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา จะไม่ให้ผู้คนใจสะท้านหวาดผวาได้อย่างไร


อริยะที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลๆ ล้วนสูดหายใจเฮือก ภายในใจสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีตามๆ กัน


นี่น่าเหลือเชื่อจริงๆ สะท้านโลกน่าหวาดกลัวยิ่ง


นั่นเป็นถึงอริยะที่หยัดยืนเหนือโลกา ควบคุมขุมอำนาจฝ่ายหนึ่ง ได้รับการเทิดทูนบูชาจากปวงชน ผ่านกาลเวลาผันแปรแต่คงอยู่ตราบวันนี้ ได้รับการเคี่ยวกรำอย่างโชกโชนไม่รู้ตั้งเท่าไร ย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไร้กลัวเกรงในโลกกันทั้งสิ้น


แต่ยามอยู่ต่อหน้าหญิงลึกลับคนนั้นกลับเห็นได้ชัดว่าต้านไม่ไหวยิ่ง!


การต่อสู้เพิ่งปะทุไม่ทันไร เหล่าอริยะก็ถูกพิชิตอย่างง่ายดายราวกับหักทำลายหญ้าแห้งไม้ผุ ไม่อาจต้านสักนิด


และหญิงลึกลับคนนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยบาดเจ็บ ไม่เคยล่าถอย เคลื่อนไหวเรียบง่ายตามสบาย แต่กลับเผยอานุภาพสูงสุดที่พาให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ


หญิงลึกลับยืนสันโดษ อาภรณ์พลิ้วไสว รอบกายรายล้อมด้วยรุ้งวิเศษดุจสายโซ่ศักดิ์สิทธิ์ ส่องสะท้อนปวงสวรรค์ แปลกแยกไร้ทัดเทียม


กลางฝ่ามือนาง หงส์เซียนสีทองอร่ามตัวนั้นสางขน ร้องขับขานชื่นมื่น ลำตัวไหลเวียนด้วยแสงสีทองเรืองรอง ส่องสะท้อนจนหญิงลึกลับคนนั้นเป็นดั่งภาพฝันมายา


“เป็นไม่ได้! นั่นคือตำราหยกแก่นวิญญาณแห่งสำนักยุทธ์สมุทรครามของข้า เหตุใด เหตุใดถึงสวามิภักดิ์แก่เจ้า!”


ไกลออกไป อริยะฝูหยาสีหน้าไหววูบไม่มั่งคง ยากจะทำใจเชื่อ


“ชางหมิงจื่อไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าสมบัติชิ้นนี้ใครเป็นคนสร้าง” เสียงหญิงลึกลับเยียบเย็น ว่างเปล่าแผ่วพลิ้ว


ชางหมิงจื่อ!


บรรพจารย์ผู้บุกเบิกสำนักยุทธ์สมุทรคราม เป็นผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าผู้หนึ่งในช่วงบรรพกาล กล่าวได้ว่าชื่อก้องนิรันดร์กาล


ในฐานะอริยะที่มาจากสำนักยุทธ์สมุทรคราม มีหรือฝูหยาจะไม่รู้จักชางหมิงจื่อ


และเพราะรู้จัก เขาจึงใจสั่นไหว ผู้หญิงคนนี้… เป็นใครกันแน่ นางคล้ายจะรู้ข้อเท็จจริงบางอย่างที่คนนอกไม่มีทางได้รู้


อริยะคนอื่นต่างก็ตกใจแกมสงสัย กล้าเอ่ยถึงชื่อชางหมิงจื่อขึ้นมาตามอำเภอใจเช่นนี้ ผู้หญิงคนนี้มีที่มาที่ไปแบบไหนกันแน่


“ยังพูดพล่ามอยู่ทำไม ฆ่านางสิ! หาไม่ใครหน้าไหนก็อย่าคิดจากไป!”


ไกลออกไปฟางหลิงซู่ตะโกนลั่น


ตูม!


กระบี่เทียมฟ้าส่องแสง ถึงกับหลุดพ้นพันธนาการของรุ้งวิเศษ ฟาดฟันไปทางหญิงลึกลับ


“ฆ่า!”


ฝูหยาก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เขาไม่อาจปล่อยให้ตำราหยกแก่นวิญญาณถูกช่วงชิงไปเด็ดขาด


“อริยะเทียมสุดท้ายก็เป็นแค่อริยะเทียม ไม่ว่าจะยุคบรรพกาลหรือปัจจุบัน ย่อมต่างจากอริยะแท้จริงอยู่แล้ว แต่น่าระอาที่พวกเจ้ายังมัวหลงละเมอไม่รู้ตื่น!”


มือเรียวของหญิงลึกลับโยนขึ้น ปล่อยหงส์เซียนสีทองอร่ามตัวนั้นไป จากนั้นหมุนกายหันขวับ เงาร่างสูงเพรียวอรชรเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่ไร้สิ้นสุดประหนึ่งเบียดเสียดคับฟ้าดิน!


ฉึบ!


รุ้งวิเศษสายหนึ่งโฉบพุ่ง พันธนาการกระบี่เทียมฟ้าเอาไว้อีกครา


หญิงลึกลับคล้ายกับใช้รุ้งวิเศษนำทาง ดึงดูดกระบี่เทียมฟ้า กวัดแกว่งสมบัติพิทักษ์สำนักของสำนักกระบี่เทียมฟ้าชิ้นนี้ แสงกระบี่ลุกโชนหอบม้วนทั่วสารทิศ


ฉัวะ!


ฟางหลิงซู่ถูกบั่นแขนขาดข้างหนึ่ง


สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจเกือบขวัญกระเจิด มีหรือจะคาดคิด ว่าสมบัติอริยะของสำนักตนกลับถูกคนอื่นใช้งาน ทั้งยังเกือบจะเอาชีวิตของเขา!


โครมครืน!


ตำหนักอมตะก็พ้นพันธนาการเช่นกัน ถูกอริยะอวี่หมิงควบคุม เคลื่อนขวางห้วงอากาศสยบเข้ามา


ตำหนักนี้เปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีสำริด แปรเปลี่ยนเป็นพลังอัศจรรยสายแล้วสายเล่า ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านไอขุ่นมัวคละคลุ้ง กว้างใหญ่น่าสะพรึงไร้ใดเปรียบ


ปัง!


รุ้งวิเศษเป็นสายๆ รอบกายหญิงลึกลับพุ่งออกไป กระจ่างโชติช่วงดุจอาทิตย์ดวงใหญ่ครอบฟ้าคลุมดิน หวดกระแทกใส่ตำหนักอมตะอย่างรุนแรง


ตำหนักอมตะที่ใหญ่โตดั่งภูผาถูกหวดลอยทะลวงห้วงอาอาศตรงๆ ส่งเสียงครวญระงมโครมครึก สะเทือนโสตประสาท


อริยะอวี่หมิงพลันกระอักเลือดคำโต ส่งเสียงร้องทุรนทุราย ถูกพลังสะท้อนกลับเข้าแล้ว


“ฆ่า!”


และเวลานี้เองฝูหยาจู่โจมเข้ามา เงาร่างเขาเลือนรางประหนึ่งไม่มีตัวตน รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ มาถึงเบื้องหลังหญิงลึกลับอย่างฉับไว


น่าเสียดาย นี่ย่อมเสียแรงเปล่า ไม่รู้เมื่อไรที่รุ้งวิเศษสายหนึ่งเคลื่อนผ่านห้วงอากาศเข้ามา พันรัดเอวเขาเอาไว้ กักขังแน่นหนาอยู่ตรงนั้น


ฝ่ามือของเขาขาดไปเพียงหนึ่งฉื่อก็จะสามารถกดลงบนหลังหญิงลึกลับได้แล้ว แต่ต่อให้มีระยะห่างแค่นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำสำเร็จอีกแล้ว


“ปล่อยข้า!”


ฝูหยาคำรามกราดเกรี้ยว อานุภาพอริยะน่าหวาดกลัว แต่ต่อให้เขาออกแรงมากเพียงใด รุ้งวิเศษสายนั้นกลับแน่นหนาไม่สั่นคลอน ตรงข้ามกลับเป็นร่างกายเขาที่ยิ่งถูกรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ


กร๊อบๆ!


จากนั้นกระดูกของฝูหยาล้วนถูกหัก ส่งเสียงปริแตกออกมา เลือดไหลนองกบปากจมูก ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าอนาถนัก


อริยะคนหนึ่ง เวลานี้กลับเห็นได้ชัดว่าหมดสภาพถึงเพียงนี้!


และตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงลึกลับไม่เคยเหลียวหลังสักนิด เสมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝูหยาที่อยู่ข้างหลังกำลังได้รับความทรมานไร้สิ้นสุดอยู่


ไกลออกไปอริยะที่ชมการต่อสู้ใจสะท้านอย่างสิ้นเชิง นึกเฉลียวใจว่าเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่ผู้หญิงคนนี้จะเป็นมหาอริยะผู้หนึ่ง ไม่สิ อาจเป็นราชันอริยะเลยก็ได้!


หาไม่ มีหรือจะกำราบอริยะหกคนได้ในทุกการโจมตี อิริยาบถผ่อนคลายเช่นนั้น เพียงพอจะทำให้ระดับอริยะคนใดครั่นคร้ามได้


สวบ!


พริบตานี้ฟางหลิงซู่ตัดสินใจหนีโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด


สู้ไม่ไหวสักนิด!


พลังของอีกฝ่ายอยู่ในขั้นบดขยี้อย่างสิ้นเชิง แม้แต่สมบัติอริยะก็ยังไม่อาจสั่นคลอนได้ แล้วจะสู้อย่างไรไหว


เมื่อนึกถึงตอนยกโขยงระดมพลมาหนนี้ กลับถูกกำราบจนแพ้ไม่เป็นท่า จากไปอย่างสะบักสะบอม ฟางหลิงซู่ก็รู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา


ใครว่าอริยะไร้ความกลัว


ก็แค่ยังไม่ได้เผชิญหน้ากับบุคคลที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาก็เท่านั้น!


เหมือนเช่นฟางหลิงซู่ในยามนี้ ไม่ได้เหยียดหยันยกตนเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของบุคคลระดับอริยะให้พูดถึง กลับน่าอนาถเหมือนสุนัขไร้เจ้าของ


“สู้ไม่ไหวแล้วคิดหนีหรือ ช่างไม่เอาไหนเสียจริง!”


ยามที่หญิงลึกลับเอ่ยปาก ทุกคำพูดราวกับถ้อยคำจริงแท้มหามรรค ทุกคำที่กล่าวออกมา ประหนึ่งพลังที่ปิดครอบฟ้าดินแถบนี้หนึ่งชั้น


ยามที่น้ำเสียงสิ้นสุด ฟ้าดินแถบนี้ก็เหมือนกลายเป็นกรงขังมหามรรค!


ปัง!


ฟางหลิงซู่ที่เพิ่งหนีผ่านห้วงอากาศยังอยู่แค่ครึ่งทาง ห้วงอากาศก็ระเบิดแตก ทำให้ร่างเขาซวนเซร่วงลงมา


ส่วนอริยะอวี่หมิงที่เดิมทีเห็นฟางหลิงซู่หลบหนี ก็ตั้งท่าจะหนีตามโดยการเคลื่อนผ่านห้วงอากาศ แต่กลับพบโดยพลันว่าฟ้าดินแถบนี้ถูกกักขังอย่างสิ้นเชิง!


ชั่วอึดใจฟางหลิงซู่และอวี่หมิงต่างหน้าเผือดสี


เวลานี้เซวี่ยถูถูกตรึงกลางอากาศ เมี่ยวหวาอ่อนยวบเหมือนโคลน ฝูหยาเอวถูกพันธนาการ แขนขวาของฟางหลิงซู่ถูกบั่น อวี่หมิงไม่มีที่ให้หลบหนี!


ทุกอย่างนี้ล้วนเกิดขึ้นเกือบจะในชั่วขณะ


และตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงลึกลับล้วนไม่เคยสำแดงอานุภาพสะท้านโลกอะไรเลย มีแต่พลิกแพลงตามกระบวนท่าอย่างลวกๆ และเรียบง่าย นี่ยิ่งเสริมให้นางลึกลับสุดหยั่งขึ้นเรื่อยๆ งามสง่าไร้ทัดเทียม


ส่วนเต้าคุนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ไม่ได้รุกโจมตีและไม่ได้เผ่นหนี ตะลึงงันดั่งรูปปั้นดิน จิตใจถูกกระเทือนสั่นไหว


แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สะเทือนเลือนลั่นเกินไป แม้ว่าเป็นอริยะ เต้าคุนกลับได้แต่รู้สึกกลัวเกรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน


อาการกริ่งเกรงเช่นนี้ นานแล้วที่ไม่เคยได้สัมผัส!


ส่วนอริยะที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลๆ เวลานี้ต่างก็สะท้านไปทั้งร่าง


ก่อนหน้านี้พากันคิดว่าหลินสวินต้องตายแน่ อย่างไรเสียก็เป็นอริยะหกคนโจมตี ผู้ใดจะสู้ไหว


แต่การปรากฏตัวของหญิงลึกลับกลับทำให้ทุกอย่างพลิกผัน


นางมองอริยะดั่งไร้ตัวตน เคลื่อนขวางกลางลาน ไม่อาจขัดขวาง ไม่อาจทัดเทียม ท่วงท่างามสง่าสูงสุดเช่นนั้นเป็นเหมือนเทพไท้ชัดๆ!


นางเป็นใคร


ข้อสงสัยนี้ผุดขึ้นกลางใจทุกผู้คนอีกครั้ง แต่ละครั้งล้วนนำมาซึ่งอาการสั่นเทิ้มและซัดสะเทือนแก่พวกเขาอย่างไม่สิ้นสุด


ไกลออกไปหลินสวินเองก็มองจนเลือดลมปั่นป่วน การต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาล้วนเห็นอยู่ในสายตา ในใจก็พลิกตลบไม่รู้จบ


อะไรที่เรียกว่าพลังสยบเหล่าอริยะ


ก็นี่อย่างไรเล่า!


ท่วงท่าแปลกแยกเหนือโลกหล้าของหญิงลึกลับพาให้หลินสวินอดใจไหวสั่นไม่ได้ เมื่อใดกันที่ตนจะครอบครองอานุภาพเช่นนี้ได้


หากมีวันนั้นจริงๆ ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ ยังจะมีใครกล้าปฏิบัติกับตนเช่นนี้อีกหรือไม่


พลัง!


หลินสวินพึมพำคำนี้ในใจซ้ำไปมา นัยน์ตาดำแน่วแน่และเจิดจ้า


เขารู้ ขอเพียงตนยึดมั่นในมรรคา ก้าวเดินต่อไป ช้าเร็วย่อมมีสักวันที่สามารถเป็นเช่นนี้ได้ หยิ่งผยองเหนือโลกหล้า เหยียดหยันเหล่าวีรชน!


……


ในลานเงียบกริบ การต่อสู้ปิดฉากอย่างเงียบๆ


ทุกคนรู้ดี สู้ต่อไปผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว!


พวกอริยะอย่างฟางหลิงซู่สีหน้ามืดมน เป็นครั้งแรกที่พบว่าเพราะคนหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกพวกเขาเห็นเป็นมด แต่ถึงกับนำพาปัญหาใหญ่เช่นนี้มาให้ เรียกได้ว่าหายนะท่วมฟ้า


แต่ตอนนี้พูดอะไรก็สายไปแล้ว…


แต่พวกเขาในฐานะอริยะ ย่อมมีศักดิ์ศรีและทิฐิ ไม่ยอมก้มหัวเช่นนี้แน่!


“สหายยุทธ์ พวกข้ายอมรับว่าตนด้อยฝีมือ แต่สหายยุทธ์ไม่กังวลว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะชักนำให้สำนักโบราณมากมายมาร่วมต่อสู้ด้วยหรือ”


ฟางหลิงซู่สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก เอ่ยปากเสียงเข้ม


“พวกเจ้ากล้าเปิดศึกหรือ” น้ำเสียงราบเรียบของหญิงลึกลับดังก้องฟ้าดิน “อริยะเทียมกลุ่มหนึ่ง มีคุณสมบัติอะไรถึงเป็นตัวแทนสำนักโบราณฝ่ายหนึ่ง หากจะเปิดศึกจริงๆ ข้าย่อมสู้ด้วยจนถึงที่สุด”


หัวใจทุกคนสั่นสะท้าน ผู้หญิงคนนี้ตัวคนเดียว แต่ในคำพูดถึงกับไม่กริ่งเกรงสำนักโบราณใดๆ ในโลกหล้าสักนิด!


คำพูดนี้ใครล้วนไม่กล้าพูดส่งเดช เนื่องจากเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจนำมาซึ่งศึกแห่งสำนักโบราณอย่างแท้จริง และอาจสั่นคลอนรากฐานสำนักโบราณได้


“คนรุ่นเยาว์สู้กัน ระดับราชันยื่นมือแทรกแซงก็ทำให้ผู้คนแขยงแล้ว แต่ตอนนี้แม้แต่อริยะก็ยังออกโรงอย่างหน้าไม่อาย ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือ”


รอบกายหญิงลึกลับมีรุ้งวิเศษดั่งมายาว่ายเวียน ท่วงท่าสง่าไร้เทียมทาน ประหนึ่งสันโดษละทางโลก


คำพูดของนางแม้จะราบเรียบ แต่กลับเจือกลิ่นอายเยียบเย็น พาให้ทั่วลานล้วนสยองขวัญ


“พวกข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อเก็บสมบัติอริยะกลับสำนัก เดิมไม่ได้จะทำร้ายใครอยู่แล้ว”


ฟางหลิงซู่สูดสายใจลึกอีกครา กล่าวเนิบนาบ “ยิ่งกว่านั้นเจ้าเด็กนั่นฆ่าคนในสำนักโบราณของข้ามากมายขนาดนั้น พวกข้ามอบบทลงโทษให้ก็ไม่ผิดกระมัง”


ฉัวะ!


หญิงลึกลับชูมือชี้นิ้วคราหนึ่ง ฟางหลิงซู่เหมือนถูกอสนีฟาดผ่า กระดูกในกายแตกหักไม่รู้เท่าไร เจ็บจนเขาครวญครางไม่ขาดสาย เกือบฟุบร่วงจากห้วงอากาศ


อริยะคนหนึ่งกลับไร้แรงตอบโต้เช่นนี้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปใครจะเชื่อ


แต่ยามนี้กลับเกิดขึ้นให้เห็นต่อหน้าต่อตา!


“พวกเจ้าใช้วิธีผู้ใหญ่รังแกเด็ก คิดชิงสมบัติในมือเด็กคนนี้ ในเมื่อทำแล้วยังกล้าไม่ยอมรับ ข้าลงโทษพวกเจ้าแล้วผิดหรือไม่”


เสียงหญิงลึกลับเยียบเย็น ยิ่งชวนสยองขึ้นเรื่อยๆ “ยิ่งกว่านั้น ที่ไว้ชีวิตพวกเจ้า คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ หรือ”


คำพูดแลดูสบายๆ แต่ทุกคนที่ได้ยินกลับเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่เป็นระลอก ตรงดิ่งสู่จิตใจ คล้ายมีไอสังหารท่วมท้นปะทะเข้ามา


ทั่วลานต่างขนพองสยองเกล้า!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)