Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1087-1092
ตอนที่ 1087 เหยียบทะเลมาเยือน
งุนงง!
มีเพียงคำนี้ที่สามารถบรรยายความรู้สึกของเหล่าราชันอย่างพวกโก่วหยางเจี่ย
หลังผ่านความสั่นสะเทือน ผ่านความเกินคาดหมาย ต่อให้จิตมรรคพวกเขาแข็งแกร่ง ก็ไม่อาจเลี่ยงไม่ให้ถูกเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้าจู่โจมจนจิตปั่นป่วน
คนหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งหลังพึ่งพาพลังต้องห้ามทะเลหมากดารา กลับประหนึ่งมดปลวกที่แปรเปลี่ยนเป็นมังกรฟ้า สังหารราชันดั่งฉีกทึ้งภาพวาดอย่างไม่อาจทัดเทียม ใครจะกล้าเชื่อ
ที่น่ากลัวที่สุดคือ แม้แต่สมบัติอริยะยังถูกกำราบ!
หลินสวินในตอนนี้ทั่วร่างอาบไล้ประกายดาราประหนึ่งเทพมาร กลายเป็นจอมราชันเพียงหนึ่งเดียวกลางฟ้าดิน พลานุภาพน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต
ใครเล่าจะกล้าเชื่อ ว่านี่เป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ
หนี!
พวกโก่วหยางเจี่ยตัดสินใจโดยไม่ลังเล
โม่เจินตายแล้ว จงเหวินหย่วนก็ด้วย หากไม่หนีอีกต้องประสบเคราะห์แน่!
เป็นถึงราชันทั้งยังครองยอดอาวุธสังหารอย่างสมบัติอริยะ แต่บัดนี้กลับจำต้องหนีหัวซุกหัวซุน นี่คือความอัปยศอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าโดยไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้เพื่อรักษาชีวิต ใครจะมาใส่ใจเรื่องพวกนี้
“หนีรึ หนทางที่เหลือไว้ให้พวกเจ้ามีแค่ฝังร่างลงที่นี่!”
หลินสวินบุกโจมตีท่ามกลางเสียงเฉยชาเยียบเย็น
ตูม!
เขาใช้ประทับปี้อั้นที่ล้อมด้วยอานุภาพผนึกต้องห้าม กดอัดลงมาจากเวิ้งฟ้าดั่งผนึกสวรรค์
โก่วหยางเจี่ยกำลังหนีอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นอันตรายถึงชีวิต แผดเสียงคำรามเรียกประทับนรกโลหิตออกมาต้านรับทันที
แต่กลับเปล่าประโยชน์ ตัวเขาถูกประทับปี้อั้นบดขยี้ทีละน้อยไม่หยุด แม้แต่ประทับนรกโลหิตยังถูกสั่นคลอน ไหวสั่นรุนแรงกลางอากาศอยู่ครู่ใหญ่
สุดท้ายประทับนรกโลหิตก็ต้านไม่อยู่ ถูกบีบกดเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลดังตู้ม
และเวลานี้หลินสวินได้พุ่งสังหารราชันอีกคนแล้ว
ในอาณาเขตทะเลสามพันลี้นี้ หลินสวินที่ครองพลังต้องห้ามที่นี่ก็คือนายเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียว ไม่อาจโต้แย้ง
คิดหนีก็ต้องดูว่าเขาตกปากรับคำหรือไม่!
ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นอริยะก็ยากจะรอดพ้น
นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเคยมีอริยะที่แท้จริงหลงทางในทะเลหมากดารา หาหนทางกลับไม่เจอ เป็นไปได้สูงว่าประสบเคราะห์ไปแล้ว
ขณะนี้แม้พลังที่หลินสวินสามารถยืมใช้ไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา แต่แค่จัดการกับระดับราชันไม่กี่คนก็เพียงพอเหลือเฟือ
หากไม่ใช่เพราะสมบัติอริยะพวกนั้นขัดขวาง การต่อสู้คงสิ้นสุดไปนานแล้ว!
…
ตึง!
ประกายดาราสายหนึ่งทิ้งตัวทุ่มลงบนร่มรุ้งสมบัติม่วง ส่งเสียงราวตีกลองยักษ์
ราชันของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณสั่นไปทั้งตัว ร่างกายเจ็บปวดสาหัสไร้สิ้นสุดดั่งถูกกองกำลังพันหมื่นเหยียบย่ำ ทำให้เขาส่งเสียงอึดอัดอย่างกลั้นไม่อยู่
แต่เมื่อเขาเตรียมหลบหลีก หลินสวินก็ได้โจมตีเข้ามาแล้ว
โพละ!
เพียงหมัดเดียวร่างราชันผู้นี้ก็ระเบิดออก แม้แต่พลังจิตยังไม่ทันได้หลบหนีก็ตายไปอย่างคับแค้น
…
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ตำราหยกทองเล่มหนึ่งโรมรันกับคลื่นผนึกต้องห้ามที่หลั่งมาจากทั่วทิศ ส่งเสียงปะทะเหมือนตีเหล็กดังไม่หยุด แสงศักดิ์สิทธิ์ซ่านกระเซ็น
หลังจากนั้นครู่หนึ่งตำราหยกสีทองถูกกำราบลงทะเล
ขณะเดียวกันราชันของสำนักยุทธ์สมุทรครามอ้อนวอนเสียงสั่น ลุกลี้ลุกลนดั่งสุนัขไร้เจ้าของ แต่สุดท้ายก็ถูกหลินสวินสังหารโดยไม่ลังเล จิตสิ้นวิญญาณสลาย
…
เหลือแค่ราชันของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แล้ว กำแพงที่สร้างจากประกายดาวตั้งขวางหนทางข้างหน้า เขากำลังใช้บรรทัดสยบฟ้าบุกโจมตี
ทว่าสมบัติอริยะที่เรียกว่าสามารถสยบนภาเล่มนี้ เวลานี้กลับทำลายไม่ได้แม้แต่ส่วนเสี้ยวของกำแพงที่สร้างจากผนึกต้องห้ามไร้รูปนี้
นี่ทำให้คนสิ้นหวัง!
ใช่ว่าบรรทัดสยบฟ้าไม่แข็งแกร่ง แต่อาศัยพลังของราชันผู้นี้ล้วนยากจะสำแดงอานุภาพมันออกมา
สุดท้ายเขาก็ถูกสังหาร กระทั่งตายไปยังเจือความไม่พอใจไร้สิ้นสุด
…
น้ำทะเลที่ม้วนซัดโหมกระหน่ำ เวิ้งฟ้าปั่นป่วนทรุดตัว ประกายดาวคลั่งระบำกลางฟ้าดิน…
ยามทุกอย่างหวนคืนความสงบ ในที่นั้นเหลือเพียงเงาร่างหลินสวิน
เขายืนบนเกาะสันโดษ อาภรณ์ขาวพระจันทร์ส่งเสียงสะบัด ผมดำทั้งศีรษะพลิ้วไหวกลางสายลม นัยน์ตาดำล้ำลึกกำลังกวาดมองส่วนลึกของทะเลเบื้องหน้า
รอบแรกสังหารราชันไปแล้วแปดคน
รอบที่สองยังกำจัดราชันอีกหกคน!
นี่คือผลงานเกริกก้องที่สามารถสั่นสะเทือนใต้หล้าแล้ว พร่างพรายเจิดจ้าถึงขีดสุด
แต่หลินสวินกลับไร้ความยินดีและหยิ่งทะนงใดๆ
เพราะเขารู้ดีว่านี่ก็แค่พิสูจน์ความทรงพลังและน่ากลัวของค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา ไม่เกี่ยวข้องกับตนเท่าไรนัก
อย่างมากเขาก็แค่ ‘ยืมพลังสะท้อนพลัง’ เท่านั้น
แต่สามารถสังหารราชันกลุ่มหนึ่งได้ก็ทำให้ในใจหลินสวินรู้สึกสะใจยิ่ง ความแค้นและไฟโทสะที่สั่งสมในใจได้รับการระบายระดับหนึ่ง
“น่าเสียดาย…”
หลินสวินใคร่ครวญ ไม่นานก็คาดเดาออกมาได้อย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เทียมฟ้า ตำหนักอมตะ ประทับนรกโลหิต หรือร่มรุ้งสมบัติม่วง บรรทัดสยบฟ้า ตำราหยกทอง ต่อให้ถูกกำราบลงก้นทะเลแต่ล้วนไม่อาจถูกหลอมละลาย
ก้นทะเลคือเขตหวงห้ามหลักของค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา ภายในแฝงปริศนาชั้นยอดที่เร้นลับและซับซ้อน พลังที่เปี่ยมล้นก็น่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด
แม้หลินสวินได้รับมรดก ‘แผนภาพวัฏจักรดารา’ ทว่าด้วยพลังของเขาตอนนี้ก็ไม่กล้าเข้าไปในก้นทะเลนี้อย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบันสมบัติอริยะหกชิ้นล้วนถูกขังอยู่ภายใน พุ่งกระทบกันไปมาไม่หยุด พยายามดิ้นรนหาทางออก
น่าเสียดาย นี่ก็เหมือนปลาติดอวน นอกเสียจากกระชากอวนออกมาได้ มิฉะนั้นคงยากจะหลบหนี!
ที่ทำให้หลินสวินเสียดายก็อยู่ตรงนี้ เดิมคิดว่าอาศัยโอกาสนี้จะสามารถหลอมเก็บสมบัติอริยะได้ส่วนหนึ่ง แต่เห็นชัดว่านี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
‘แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยทุกครั้งที่สูญเสียสมบัติอริยะพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่ง ก็เป็นการโจมตีอย่างหนักหน่วงแก่สำนักโบราณเหล่านั้นแล้ว’
หลินสวินใคร่ครวญ
จากนั้นเขานั่งขัดสมาธิกับพื้น เริ่มนั่งสมาธิสงบใจ ฟื้นฟูพลังที่ผลาญไปก่อนหน้า
…
ชายฝั่งทะเลหมากดารา
ตามเวลาที่ล่วงเลย ผู้แข็งแกร่งแต่ละขุมอำนาจที่เดิมเปี่ยมความมั่นใจรอฟังข่าวดี เวลานี้กลับหมดความอดทนอยู่บ้าง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่มีข่าวคราวอีกแล้วรึ”
ความอดทนของโก่วเหยียนเจินหมดสิ้นลง คำรามกราดเกรี้ยว “อย่าบอกนะว่าใช้สมบัติอริยะแล้ว ยังฆ่าเจ้าสวะระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งไม่ได้!”
ขุมอำนาจอื่นต่างมุ่นคิ้วเช่นกัน รู้สึกงุนงงกับเรื่องนี้
กองกำลังแรกเคลื่อนพลราชันแปดคน ผลคือไม่ได้ข่าวคราวอยู่นาน
กองกำลังที่สองมีราชันอีกหกคนเคลื่อนผล ทั้งยังพกสมบัติอริยะติดตัวไปทุกคน ผลคือเฝ้ารอจนป่านนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวออกมา
นี่จะให้ใครสงบใจได้อย่างไร
“อาจารย์ลุงหม่า คงไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นใช่ไหม”
ข่งหลิงมุ่นคิ้วเอ่ยถาม
“หุบปาก!”
หม่าหยวนชิงที่มั่นใจมาตลอดขณะนี้กลับสีหน้าขรึมลงอย่างยากจะได้พบเห็น อารมณ์ดูเหมือนย่ำแย่นัก
เห็นชัดว่าการไม่ได้ข่าวเนิ่นนาน ในใจหม่าหยวนชิงจึงแปลกใจอยู่บ้าง ไม่อาจนิ่งสงบเหมือนก่อนหน้าอีก
ไม่เพียงแต่สำนักกระบี่เทียมฟ้า ขุมอำนาจอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ล้วนรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ ในใจปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่ง
แต่ไหนแต่ไรทะเลหมากดาราถูกมองเป็นเขตหวงห้าม ภายในแฝงความน่ากลัวมหาศาล ทำให้แม้แต่อริยะก็ไม่กล้าล่วงล้ำเพียงก้าว
บัดนี้คลื่นผนึกต้องห้ามบนทะเลนั้นต่างถดถอย น่าจะเรียกว่าไร้ภัยคุกคามถึงจะถูก แต่ผู้ดำรงในระดับราชันที่มุ่งหน้าไปในนั้น จนป่านนี้ยังไม่มีสักคนหวนกลับมา!
“คงเกิดเหตุไม่คาดฝันแน่แล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้หาเจ้าเด็กหลินสวินไม่พบก็ควรมีข่าวส่งกลับมา”
มีคนพึมพำ สีหน้าจริงจัง
“ผ่านไปเกือบสามชั่วยามแล้ว พวกเราต้องรอต่อไปอย่างนี้หรือ”
บ้างรู้สึกหมดความอดทน ไม่อาจทนรับสถานการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายเฝ้ารอเช่นนี้
“น่าชังนัก! แค่สังหารหลินสวินคนเดียว แต่จนป่านนี้กลับไม่อาจทำสำเร็จ เด็กนี่เป็นพวกฆ่าไม่ตายหรือไร”
มีคนเคียดแค้นชิงชัง โกรธจนกัดฟันกรอดแทบแหลก
ชั่วพริบตาบนชายฝั่งเต็มไปด้วยเสียงจอแจหลายหลากดังกระหึ่ม
อย่าว่าแต่พวกคนรุ่นเยาว์อย่างโก่วเหยียนเจิน อวี่หลิงคง หลี่ชิงผิง ข่งหลิงเลย แม้แต่สีหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันพวกนั้นก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
ส่วนลึกทะเลหมากดารานั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สัตว์ประหลาดเฒ่าไม่น้อยเหลือบสายตามองไปยังทะเลหมากดารา แม้สัมผัสกลิ่นอายคลื่นผนึกต้องห้ามไม่ได้เพียงเสี้ยว แต่ยิ่งสภาพการณ์นิ่งสงบเช่นนี้กลับยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกกดดันจนพูดไม่ออกทันที
หืม?
ทันใดนั้นนัยน์ตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬโก่วหยางซิวพลันหดรัด “หลินสวิน? เจ้าเด็กนี่ทำไมยังรอดมาได้”
คนอื่นๆ ก็มองเห็น บนผืนทะเลที่ห่างไกลนั่นมีเงาร่างสันโดษร่างหนึ่งเหยียบคลื่นทะเลมาเยือน อาภรณ์พลิ้วสะบัด สง่างามหลุดพ้น
“เป็นมันจริงๆ !”
โก่วเหยียนเจินแผดเสียงคำราม แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ต่อให้หลินสวินกลายเป็นเถ้าถ่านเขาก็ได้กลิ่นน่าชังหาใดเปรียบนั่นจากตัวเจ้าหมอนี่
“ราชันคนอื่นยังไม่กลับมา ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงปรากฏตัวก่อน นี่เป็นไปได้อย่างไร”
บางคนไหวหวั่นประหลาดใจไม่หยุด
ราชันทั้งกลุ่มที่เข้าสู่ทะเลหมากดาราก่อนหน้านี้ ไม่มีสักคนเจอเจ้าเด็กนี่เลยหรือ
นี่เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่อนัก
แต่ไม่ช้าเมื่อเห็นหลินสวินเข้าใกล้ชายฝั่งแถบนี้ ความปั่นป่วนทั้งหมดต่างเปลี่ยนเป็นไอสังหารไม่อาจระงับ
เพื่อสังหารหลินสวิน พวกเขาต่างรอคอยมานานเกินไปแล้ว!
ตั้งแต่เมื่อวานตลอดจนตอนนี้ ได้ทำให้ความอดทนของพวกเขามลายสิ้น กระทั่งเพลิงโทสะอัดอั้นอยู่ทั่วท้องด้วยเหตุนี้
“เจ้าเด็กสวะ เจ้ายังกล้าปรากฏตัวอีก สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูเจ้ากลับแส่เข้ามาจริงๆ!”
โก่วเหยียนเจินแผดเสียงคำราม สีหน้าเหี้ยมเกรียมน่ากลัว
“หลินสวิน เจ้านี่ช่างใจกล้าซะจริง ยังกล้าปรากฏตัวที่นี่ ข้ายังคิดว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะหลบเข้ากระดองในทะเลนี่ ไม่กล้าโผล่หัวออกมาแล้วเสียอีก”
อวี่หลิงคงสีหน้าราบเรียบกล่าวเยียบเย็น
“อาจารย์ลุงหม่า รีบลงมือฆ่าเจ้านี่เลย!”
ข่งหลิงยิ่งอดรนทนไม่ไหว แทบอยากกระชากหลินสวินทั้งเป็นทันที
ไกลออกไปหลินสวินยืนอยู่บนสถานที่ห่างจากชายฝั่งพันจั้ง แววตาเย็นชา
เขากวาดมองทุกคนบนชายฝั่งพลางกล่าว “พวกเจ้ายังรออยู่ที่นี่ก็นับว่ากล้าหาญชาญชัย อีกเดี๋ยวหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถรอต่อไปได้”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา เหล่าราชันไม่น้อยต่างมุ่นคิ้ว สังเกตเห็นชัดเจนว่าความหมายในคำพูดหลินสวินมีนัยแฝงอยู่บ้าง
“โอหัง! หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ทำไมพวกข้าต้องรอต่อไปด้วย”
โก่วเหยียนเจินตวาดเสียงขรึม
“หนวกหู”
ริมฝีปากหลินสวินขยับพูดสองคำ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะมอง
รุ้งดาราเจิดจรัสหาใดเปรียบสายหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า ดั่งดาบตัดมหามรรคที่จู่ๆ ก็ปรากฏออกมา
โพละ!
โก่วเหยียนเจินยังหัวเราะเหี้ยมเกรียมโดยไม่ทันได้ตอบสนอง ร่างกายก็พลันระเบิดกระจาย จิตสิ้นวิญญาณสลาย กระทั่งตายไปแล้วก็ยังไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย
กะทันหันเกินไปแล้ว!
ชั่วพริบตา ณ ที่นั้นเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ทุกคนนัยน์ตาเบิกกว้าง ภายใต้สายตาที่จับจ้อง พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง โก่วเหยียนเจินก็ถูกสังหารแล้ว!
ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงที่สุดคือ พลังที่หลินสวินสำแดง ไม่เหมือนสิ่งที่ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งสามารถครอบครองโดยสิ้นเชิง!
ตอนที่ 1088 ฝนโลหิตคาววายุหน้าชายฝั่ง
“ไอ้เด็กสวะ เจ้ารนหาที่ตาย!”
ณ ที่นั้นโก่วหยางซิวโกรธจนดวงตาแทบถลน เดือดดาลหาใดเปรียบ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายชวนประหวั่นกระหายเลือดดุดัน
เขาคือราชันคนหนึ่ง ยามโก่วเหยียนเจินถูกสังหารก็ห่างจากเขาไม่ถึงจั้ง
แต่ด้วยระยะห่างแค่นี้เขากลับช่วยเหลือไม่ทัน
โก่วเหยียนเจินคือบุคคลขอบเขตมกุฎของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ มีพลังแฝงในระดับยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ต่อไปยามมหายุคมาเยือนยังต้องช่วงชิงโอกาสการกลายเป็นราชัน
แต่ตอนนี้กลับจิตสิ้นวิญญาณสลาย ตายไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก
นี่ทำให้โก่วหยางซิวโกรธจัด
ตูม!
เขาหาได้ลังเล ทะลวงขึ้นเหนือเมฆ แววตาแดงก่ำเจือไอสังหารดุดัน ทั่วร่างมีแสงมรรคโหมกระหน่ำ พลานุภาพน่าหวาดกลัวล้นฟ้า
เสมือนย่อระยะเหลือเพียงคืบ ชั่วพริบตาเขาก็มาอยู่บนทะเลหมากดารา ฟาดฝ่ามือหนึ่งไปทางหลินสวินอย่างหนักหน่วง
ราชันที่เดือดดาลคนหนึ่ง น่าสะพรึงโดยไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นภาพนี้ผู้แข็งแกร่งขุมอำนาจอื่นในที่นั้นต่างสูดหายใจเย็น เจ้าสุนัขเฒ่านี่เห็นชัดว่าโกรธเข้าจริงๆ แล้ว ทันทีที่ออกโจมตีก็ใช้กระบวนสังหาร!
ทว่าไม่รอให้ฝ่ามือนี้ฟาดลงมา ดาบยาวเจิดจ้าดุจหิมะสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ผสานรวมจากประกายดาราเจิดจรัส
ตึง!
ฝ่ามือปะทะดาบ ที่แห่งนี้พลันเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ผีร้องไห้เทพคร่ำครวญ
อาณาเขตทะเลใกล้เคียงต่างทลายแยกจาก แสงมรรคบาดตาพลุ่งพล่านทั่ว ผลกระทบที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำจนห้วงอากาศบิดเบือนทรุดตัวลงเหมือนจะถูกหลอมละลาย
ทว่าภาพที่ทำให้ทุกคนต่างสนเท่ห์ได้เกิดขึ้นแล้ว
หลินสวินที่มีปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติไม่เป็นอะไรเลย กลับเป็นโก่วหยางซิวราชันที่ก้าวสู่ระดับอมตะผู้นี้ถูกฟันแขนขวาขาด ร่างกายครึ่งหนึ่งเกือบถูกทำลายแยกออกจากกัน โลหิตแดงสดสาดพรมราวน้ำตก
“นี่ไม่ใช่พลังของเจ้า!”
โก่วหยางซิวกรีดร้อง จากความเดือดดาลแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและใจสั่น
การโจมตีเดียวก็ทำเขาบาดเจ็บหนักเกือบตาย นี่ใครจะกล้าเชื่อ
กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตทำให้โก่วหยางซิวหันหลังถอยโดยไม่ลังเล
โพละ!
กลางอากาศหลินสวินพลันกำหมัดจู่โจม พลังหมัดพร่างพราวดั่งประกายดาวทั่วหล้า พริบตานั้นก็ครอบคลุมเงาร่างโก่วหยางซิว จากนั้นจึงระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว
ฝนโลหิตสาดพรม ภายใต้สายตาหวาดหวั่นทั้งหมดที่จับจ้อง โก่วหยางซิว ราชันที่พลังต่อสู้ชวนประหวั่นผู้นี้ถูกหมัดเดียวซัดกระจุย!
ทุกคนตรงนั้นเงียบกริบไร้สุ้มเสียง เงียบสงัดหาใดเปรียบ
หากกล่าวว่าการตายของโก่วเหยียนเจินก่อนหน้าคือความไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนเกินคาดหมายและตื่นตระหนก
เช่นนั้นการตายของโก่วหยางซิวก็เหมือนสายฟ้าฟาด สะเทือนจนทุกคนหนังศีรษะชาวาบ ขวัญหนีแตกตื่น ขนพองสยองเกล้า!
“นี่เป็นไปได้อย่างไร เขาๆๆ… ทำไมถึงสังหารราชันคนหนึ่งง่ายดายเช่นนี้”
พวกอวี่หลิงคง หลี่ชิงผิง ข่งหลิงไม่อาจสงบใจโดยสิ้นเชิง สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่
พวกเขาเฝ้ารออยู่ที่นี่ ร้อนอกร้อนใจอยากสังหารหลินสวิน กำจัดศัตรูที่ถูกพวกเขาเห็นเป็นภัยแฝงนี่ซะ
ไหนเลยจะคิดว่าสภาพการณ์กลับผกผันราวพลิกกระดานเช่นนี้
นั่นเป็นถึงราชัน!
ถูกสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ
ไม่เพียงแค่พวกเขา สัตว์ประหลาดเฒ่าขุมอำนาจอื่นก็ตกใจจนลูกตาปูดโปนยากจะเชื่อ
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
หลี่ชิงผิงตวาดลั่น สูญเสียการควบคุม ไม่อาจยอมรับ
โพละ!
ที่ไกลออกไป หลินสวินดีดนิ้วเบาๆ ประกายดาราสายหนึ่งควบรวมทิ้งแล้วตัวลง จากนั้นร่างหลี่ชิงผิงก็ระเบิดออกตายอย่างกะทันหัน ณ ที่นั้น!
ชั่วขณะทุกคนตรงนั้นเกือบคลุ้มคลั่ง
หลินสวินในตอนนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสมบูรณ์ ประหนึ่งนายเหนือหัวควบคุมความเป็นตาย ระหว่างขยับเคลื่อนก็สามารถช่วงชิงชีวิต!
“เพราะอะไร นี่เป็นเพราะอะไร”
ข่งหลิงเองก็กำลังกรีดร้อง ใบหน้างามซีดเผือดยังคงไม่กล้าเชื่อ
ภาพต่างๆ นี้เหมือนเป็นฝันร้าย เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ไม่ว่าใครเกรงว่าคงสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ
“หนีเร็ว!”
สีหน้าหม่าหยวนชิงที่อยู่ด้านข้างพลันแปรเปลี่ยน สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งก็พาพวกผู้สืบทอดรุ่นเยาว์อย่างข่งหลิงหนีไปทางทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น
เขามองออกว่าไม่ใช่พลังต่อสู้ของหลินสวินแปรสภาพไปจนถึงขั้นน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต แต่เพราะยืมพลังต้องห้ามในทะเลหมากดาราต่างหาก!
“ไป!”
“รีบไปจากที่นี่!”
“เจ้าเด็กนี่ยืมพลังต้องห้ามของทะเลหมากดารา ในฟ้าดินแถบนี้เขาไร้คู่ต่อกร ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้เขา!”
ขณะเดียวกันสัตว์ประหลาดเฒ่าขุมอำนาจอื่นก็มองเห็นความจริงเช่นกัน มีหรือจะยังกล้าล่าช้า ต่างเลือกถอยร่น หมายหนีห่างจากทะเลหมากดาราโดยไม่ลังเล!
แม้พวกเขายังไม่รู้ว่าหลินสวินยืมใช้พลังต้องห้ามของทะเลหมากดาราได้อย่างไร แต่ตอนนี้พวกเขาไม่อาจไม่ถอย
ตัวเลือกนี้ช่างน่าอึดอัดโดยไม่ต้องสงสัย
ก่อนหน้านี้พวกเขารออยู่ที่นี่อย่างยากลำบาก ยกทัพใหญ่โตชุมนุมเหล่าราชัน มองหลินสวินเป็นเหยื่อ ไม่ห่วงว่าจะสังหารเขาไม่ได้ แต่กังวลว่าใครจะสามารถสังหารหลินสวินได้คนแรกกันแน่!
ไหนเลยจะคาดคิดว่าทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน!
เหยื่อไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป กลับกลายเป็นนายเหนือหัวที่ไม่อาจทัดเทียม สังหารราชันเหมือนเชือดไก่ นี่คือสิ่งที่ใครต่างไม่คาดฝัน
และหลินสวินในตอนนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยศัตรูพวกนี้จากไปต่อหน้าต่อตา
ยามอีกฝ่ายเลือกหลบหนี เขาก็เปิดฉากจู่โจมแล้ว!
ครืน!
ทะเลหมากดาราที่เดิมราบเรียบนิ่งสงบพลันม้วนซัดกระหน่ำ ประกายดาราราวหมอกควันพวยพุ่ง บนเวิ้งฟ้าดวงดาวจรัสแสงนับไม่ถ้วนเผยปรากฏ
ทั่วร่างหลินสวินถูกอาบไล้อยู่ภายใน ประหนึ่งผู้อยู่เหนือดารา!
นัยน์ตาดำของเขาล้ำลึกเยียบเย็น สำแดงพลังต้องห้ามของค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราออกมาอย่างสุดความสามารถ
ก็เห็นกลางอากาศ แสงดาราหลากสายพุ่งโฉบดั่งรุ้งเทพปกคลุมฟ้าดิน ผสานรวมเป็นลักษณ์ต่างๆ ทั้งดาบ กระบี่ ทวน ง้าว โถมซัดกระหน่ำ
ฟุ่บๆๆ
ชั่วขณะผู้แข็งแกร่งหลายคนถูกกำจัดลงตรงนั้น ความเร็วในการหนีของพวกเขาว่องไวยิ่ง ทว่าไหนเลยจะเร็วกว่าการสังหารชั้นยอดเช่นนี้
ฝนโลหิตกำลังลอยล่อง
เสียงร้องโหยหวนสะท้อนก้อง
กลางฟ้าดินประหนึ่งเปลี่ยนเป็นแดนนรก
ผู้แข็งแกร่งในขุมอำนาจใหญ่อย่างสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักยุทธ์สมุทรคราม แดนพิสุทธิ์อมตะ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ขณะนี้ต่างกระสับกระส่ายดั่งสุนัขไร้เจ้าของ ตระหนกขุ่นเคืองและหวาดกลัวถึงขีดสุด!
ทุกเวลาทุกขณะต่างมีผู้แข็งแกร่งร่วงหล่น ถูกปลิดชีพลงตรงนั้น จิตสิ้นวิญญาณสลาย
แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเวลานี้ก็ราวกับวัชพืช ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดก็ยังไม่อาจต้านการสังหารเช่นนี้ได้ ชีวิตถูกปลิดทิ้งง่ายดาย
ภาพเหตุการณ์นี้น่าสะพรึงโดยไม่ต้องสงสัย!
บริเวณใกล้เคียงชายฝั่งนี้เหมือนสมรภูมินองเลือด เสียงร้องทุรนทุราย โหยหวน คำรามเดือดดาล สะท้อนก้องฟ้าดิน ทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี
ข่งหลิงถูกสังหาร ถึงแม้มีหม่าหยวนชิงปกป้อง นางก็ไม่สามารถรอดพ้นความตาย กระทั่งตายไปแล้วก็ไม่อาจเชื่อว่าตนจะตายลงที่นี่
ในมือนางยังมียันต์จักจั่นทองอยู่ เดิมสามารถใช้สิ่งนี้หนีไปได้ แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง
อวี่หลิงคงหนีพ้นเคราะห์ร้ายได้เพราะซั่งเหวินจิ่นขวางเคราะห์สังหารให้ แต่ซั่งเหวินจิ่นราชันผู้นี้กลับถูกสังหารลงตรงนั้น!
เหตุการณ์นองเลือดต่างๆ กำลังออกแสดง
พูดแล้วดูช้า ความจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วไม่กี่อึดใจ
ท้ายที่สุดขุมอำนาจแต่ละแห่งสูญเสียผู้แข็งแกร่งไปเกินครึ่ง มีเพียงส่วนน้อยที่หนีไปได้ หายไปในส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นนั่น
ไม่มีคนกล้าหันกลับมา!
ณ ที่ไกลออกไป หลินสวินเก็บมือ
ถึงแม้ในใจเขาไม่พอใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง แต่ที่จนปัญญาคือพลังต้องห้ามของทะเลหมากดาราจำกัดอยู่แค่ฟ้าดินแถบนี้ ไม่อาจติดตามเขาไปล่าสังหารศัตรูได้
ไม่อย่างนั้นวันนี้เหล่าผู้แข็งแกร่งของขุมอำนาจเหล่านั้นคงหนีไม่รอดสักคนแน่!
บนชายฝั่ง พื้นดินแตกระแหงแหลกลาญ ทุกหนแห่งล้วนเป็นบ่อโลหิตแดงก่ำชวนตะลึง กลิ่นอายนองเลือดเข้มข้นยิ่งนัก ไม่อาจเลือนหายตราบนานเท่านาน
สมรภูมินี้คือการสังหารหมู่โดยสมบูรณ์ ทุกขุมอำนาจเรียกได้ว่าสูญสิ้นกำลังคน ที่ตายไปไม่ได้มีแค่เหล่าผู้กล้ารุ่นเยาว์ ยังมีบุคคลระดับราชันอีกหลายคน!
ลมทะเลโชยอ่อน หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้จากไป แต่หันหลังหวนคืนสู่ส่วนลึกทะเลหมากดารา
ประกายดาราโหมกระหน่ำราวหมอกควันยังเหมือนก่อน อบอวลฟ้าดินเหนือทะเลหมากดารา เร้นลับและทำให้คนใจสั่นดั่งเขตหวงห้าม
หลินสวินรู้ดีว่าการสังหารศัตรูครั้งนี้แม้จะสะใจ แต่ต้องก่อให้เกิดคลื่นลมม้วนแผ่ทั่วดินแดนรกร้างโบราณแน่!
และเมื่อเจอการจู่โจมหนักหน่วงเช่นนี้ สำนักโบราณเหล่านั้นคงไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวเป็นอันขาด!
เวลานี้หากออกจากทะเลหมากดารา ไม่ต้องคิดหลินสวินก็รู้ว่าที่รอคอยตนอยู่คือพายุคลั่งที่ไม่อาจคาดเดา
หลินสวินวางแผนเก็บตัวอยู่ในทะเลหมากดาราช่วงหนึ่งเพื่อเลี่ยงปัญหา
มีค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราปกป้อง เขามั่นใจว่าต่อให้อริยะมาเองก็ทำอะไรตนไม่ได้
…
บนเกาะสันโดษ เงาร่างหลินสวินลอยล่องลง นั่งขัดสมาธิบนหินสูงก้อนหนึ่ง
‘จากการคาดเดาของหญิงสาวในห้องโถงมรรคาสวรรค์นั่น มากสุดเหลือเวลาแค่หนึ่งปีมหายุคจะมาเยือน’
‘ถึงตอนนั้นกระดานทองคำผู้กล้าก็ต้องปรากฏขึ้นบนโลกแน่’
‘ทว่าก่อนหน้านั้นยังมี ‘การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู’ ผู้ที่สามารถดันตนขึ้นสู่สิบอันดับแรกล้วนเรียกได้ว่าเป็น ‘ยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ’ ที่แท้จริง!’
หลินสวินสูดหายใจลึกนั่งสมาธิ ในหัวกำลังใคร่ครวญหนทางฝึกปราณหลังจากนี้
‘เหล่าผู้กล้ารุ่นก่อนอย่างเยี่ยนจั่นชิว หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ จัดอยู่ในระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎนานแล้ว พลังต่อสู้แน่นอนว่าแข็งแกร่งหาใดเปรียบ หากหมายประชันกับพวกเขา อาศัยพลังต่อสู้ของข้าตอนนี้คงต่างกันไม่มาก’
‘เพียงแต่หากอยากโดดเด่นเหนือกว่า ข่มบุคคลที่กลายเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎนานแล้วพวกนี้ก็พูดลำบาก…’
หลินสวินไม่รู้ตัวเลยว่าหลังผ่านการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ ทั้งปิดด่านฝึกตนในแดนลับไร้มรณะหนึ่งปี สายตาเขาได้มองข้ามคนรุ่นเดียวกันไปแล้ว!
และปัจจุบันในใจเขา บนโลกตอนนี้มีเพียงเหล่าบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นใหญ่อย่างเยี่ยนจั่นชิว หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจินที่คู่ควรให้ตนมอบความสำคัญ
แน่นอนว่ารวมถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วย!
จากมุมมองหลินสวิน อวิ๋นชิ่งไป๋ต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเยี่ยนจั่นชิวอยู่บ้างแน่!
‘นัยเร้นลับไร้มรณะยังไม่เคยถูกข้าหยั่งถึง…’
‘หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าก็ไม่เคยศึกษาจนรอบด้านปรุโปร่ง…’
‘คิดยกระดับอานุภาพมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร มีแต่ต้องบรรลุมหามรรคเจินหลงเพิ่มขึ้นอีก…’
หลินสวินพิจารณาเงียบๆ ครู่ใหญ่ ในใจมีทิศทางเด่นชัด
เขาตัดสินใจเก็บตัวอยู่ที่นี่ ระหว่างที่หลีกเลี่ยงคลื่นลมในโลกภายนอก ก็ยกระดับพลังต่อสู้ที่ตนมีไปอีกขั้นพร้อมกัน!
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลินสวินนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินเหมือนรูปปั้นดิน เข้าสู่การฝึกโดยสมบูรณ์
ณ ที่ห่างไกล ประกายดาราดั่งหมอกปกคลุมกลางฟ้าดิน
เหมือนที่หลินสวินคาดเดา วันนั้นทันทีที่ข่าวเข่นฆ่านองเลือดในทะเลหมากดาราแพร่ออกไป ก็ชักนำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไม่น้อย
อีกทั้งแรงสั่นสะเทือนเช่นนี้ยังกำลังกระจายออกไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แผ่ขยายจากแดนชัยบูรพาไปยังสามแดนวิภูอื่นของดินแดนรกร้างโบราณ…
ตอนที่ 1089 ใต้หล้าโกลาหล เป็นที่จับต...
วันเดียวกับที่การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์สิ้นสุด เผ่าวาทวาโยได้เผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเขตหวงห้ามไร้มรณะออกไป
ไม่อาจไม่พูดถึง ใบต้นข่าวสารทองคำทรงอานุภาพยิ่ง เพียงวันเดียวในเขตแคว้นต่างๆ ของสี่แดนวิภูในดินแดนรกร้างโบราณ ข่าวเกี่ยวกับกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในนั้นอันดับของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์คือสิ่งที่ผู้ฝึกปราณทุกคนสนใจที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่เมื่อรู้ว่าอันดับหนึ่งคือหลินสวิน คนหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างคนนี้ ก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮานับไม่ถ้วน
บุคคลขอบเขตมกุฎของขุมอำนาจสำนักโบราณมากมายเข้าร่วม แต่กลับปล่อยให้คนที่ไร้สำนักไร้พรรคคนหนึ่งแย่งชิงอันดับหนึ่งในตอนท้ายไป!
ในอดีตที่ผ่านไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน!
“มีสิทธิ์อะไร เทพมารหลินแข็งแกร่งเช่นนั้นจริงหรือ แม้แต่บุคคลขอบเขตมกุฎของสำนักโบราณเหล่านั้นล้วนสู้เขาไม่ได้รึ”
นี่คือปฏิกิริยาแรกของผู้ฝึกปราณจำนวนมาก
ทว่าเมื่อเผ่าวาทวาโยทยอยเผยการต่อสู้ของหลินสวินในเขตหวงห้ามไร้มรณะออกมา ความแปลกใจและไม่เข้าใจทั้งมวลต่างได้รับคำตอบ
ยามขึ้นเขาและครองภูผา ทันทีที่ภาพหลินสวินคนเดียวปะทะเหล่าผู้กล้านั่นเปิดเผยก็ก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครม ทำเอาผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตกตะลึงอ้าปากค้าง
ทุกคนล้วนมองออก เทียบกับผู้ฝึกปราณของสำนักโบราณอื่นแล้ว สถานการณ์ที่หลินสวินประสบยามครองภูผาเลวร้ายที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
เขาถูกเห็นเป็นหนามยอกอก ไม่ว่าใครล้วนอยากกำจัดเขา!
แต่สุดท้ายเขาคนเดียวกวาดล้างผู้กล้าทั้งหมด ใช้ท่าทีหยิ่งผยองที่หนึ่งคนเฝ้าด่านหมื่นผู้กล้าไม่อาจกล้ำกรายครองยอดเขาลูกหนึ่งได้สำเร็จ ดันตนขึ้นสู่สามสิบหกอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์!
ดังนั้นจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันรอบที่สอง
และความสามารถของหลินสวินในการแข่งขันรอบที่สองก็ยิ่งเจิดจรัสหาใดเปรียบ โดดเด่นเป็นสง่า ยามเผยการต่อสู้ระหว่างเขากับโก่วหยางเจิน หลี่ชิงผิง ปี้ตงหลิ่ว ใต้หล้าล้วนโกลาหลไปด้วย!
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
นี่คือปฏิกิริยาของผู้ฝึกปราณทุกคน แม้โก่วหยางเจินจะระเบิดตัวเองก็ยังทำเทพมารหลินตกรอบไม่ได้ นี่ช่างเหมือนปาฏิหาริย์
กระทั่งเข้าสู่การประลองรอบสุดท้าย
ไม่ว่าจะเป็นการพนันสามกระบวนท่ากับจินมู่อวิ๋น หรือการประลองแห่งยุคกับมารกระบี่เยี่ยเฉิน กระทั่งหนึ่งกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะกับดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนในการต่อสู้สุดท้าย ล้วนทำให้เกิดเสียงฮือฮา อัศจรรย์ใจ หวั่นตระหนกไม่รู้เท่าไหร่
ดินแดนรกร้างโบราณกว้างใหญ่ระดับใด แบ่งเป็นสี่แดนใหญ่และเขตแคว้นนับไม่ถ้วน แต่วันเดียวกันนี้ ในต่างแดนดิน ต่างเขตแคว้นนี้ ชื่อของหลินสวินเป็นดั่งดาวหางพุ่งสู่ครรลองสายตาของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนอย่างแข็งกร้าว!
“เทพมารหลิน!”
“เทพมารหลิน!”
“เทพมารหลิน!”
หลังเห็นความสามารถต่างๆ ของหลินสวินในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์กับตา การกระทู้ถามและความตื่นตะลึงทั้งมวลต่างเปลี่ยนเป็นความชื่นชม ยกย่อง อัศจรรย์ใจ
ชายหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง กลับสามารถอาศัยพลังตัวเองเหยียบร่างผู้กล้ามากมายทะยานสู่เบื้องบน คว้ามงกุฎของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไปในคราเดียว นี่จะไม่ให้คนชื่นชมได้อย่างไร
แม้แต่สำนักโบราณบางส่วนล้วนสั่นสะเทือนด้วยเหตุนี้ จดจำหลินสวินคนหนุ่มคนนี้ไว้อย่างแม่นยำ
“นับแต่นี้ไปในใต้หล้ายังมีใครไม่รู้จักเขา”
วันนี้ไม่รู้มีผู้ฝึกปราณเท่าไหร่ทอดถอนใจเช่นนี้
แต่ไม่ช้าก็มีข่าวแพร่ออกมาอีก…
“เทพมารหลินล่วงเกินสำนักโบราณมากมาย ครั้งนี้เป็นไปได้สูงที่จะประสบเคราะห์หลังออกจากเขตหวงห้ามไร้มรณะ!”
“พายุคลั่งที่หมายหัวเทพมารหลินจวนเปิดฉาก เทพมารหลินที่ถูกขุมอำนาจมากมายมองเป็นศัตรู อาจกลายเป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนแรกที่อายุสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์!”
“จากแหล่งข่าวน่าเชื่อถือ ขุมอำนาจมากมายอย่างสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สำนักยุทธ์สมุทรคราม ต่างเคลื่อนกำลังระดับราชันแล้ว!”
“เทพมารหลินไม่รู้เป็นตายร้ายดี คนหนุ่มที่เด่นผงาดราวดาวหางคนนี้จะตายก่อนวัยอันควรหรือไม่”
เมื่อเผ่าวาทวาโยแพร่ข่าวเหล่านี้ออกมา ทั้งดินแดนรกร้างโบราณก็โกลาหลโดยสมบูรณ์ ก่อให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมไม่รู้เท่าไหร่
“ต่ำช้า! สำนักโบราณพวกนี้รังแกกันเกินไปแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณชั้นล่างมากมายขุ่นเคือง รู้สึกไม่ยุติธรรม เป็นกังวลแทนหลินสวิน
“คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไม้เด่นเกินไพรลมพัดหักโค่น ความสามารถของเทพมารหลินนี่ยิ่งสะดุดตาก็ยิ่งพบเจอการกดดันที่คาดไม่ถึงโดยง่าย!”
เหล่าผู้อาวุโสส่วนหนึ่งต่างทอดถอนใจไม่หยุด รู้สึกเสียดายแทนหลินสวิน
“พูดกันตามจริง ไม่ใช่ว่าเห็นเทพมารหลินตัวคนเดียว ไร้คนหนุนหลัง จึงคิดว่าจะกลั่นแกล้งเขาอย่างไรก็ได้หรือ”
“เฮ้อ โมโหแล้วอย่างไร ล่วงเกินสำนักโบราณมากขนาดนั้น ครั้งนี้เทพมารหลินคงยากพ้นเคราะห์แล้ว”
“น่าเสียดายเหลือเกิน…”
วันนี้เรื่องที่ว่าหลินสวินจะร่วงหล่นหรือไม่นั้น ได้สั่นคลอนใจผู้ฝึกปราณแต่ละคน
ส่วนใหญ่รู้สึกได้ไม่คุ้มเสียและเสียดายแทนเขา
ทั้งดินแดนรกร้างโบราณล้วนไม่สงบอีกต่อไป ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนกำลังรอข่าวใหม่อย่างร้อนรน ขุมอำนาจเหลือคณาก็ต่างกำลังติดตาม
นี่ก็คืออิทธิพลของอันดับหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เพียงพอทำให้เมฆลมในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงไปตามเขา
หลินสวินก่อนหน้านี้แม้กิตติศัพท์โด่งดัง แต่ก็จำกัดอยู่แค่ในแดนฐิติประจิมและแดนชัยบูรพา ยังไม่อาจทำให้ชื่อเสียงกระจายไปทั่วดินแดนรกร้างโบราณได้
แต่ตอนนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
…
แน่นอนว่าหลินสวินยังไม่ตาย
การต่อสู้ในทะเลหมากดารา เขาทยอยสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยี่สิบกว่าคน นอกจากผู้แข็งแกร่งส่วนน้อยที่หนีไปได้ คนอื่นต่างถูกกำจัดสิ้น
นี่คือเรื่องใหญ่สะท้านฟ้า พลบค่ำวันที่สองก็ถูกแพร่ออกไป หินก้อนหนึ่งก่อเกิดคลื่นพันชั้น ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่กำลังร้อนใจติดตามอยู่ก่อนแล้วต่างถูกสั่นสะเทือน
เทพมารหลินยังไม่ตาย!
อีกทั้งเขายังแสดงแสนยานุภาพ ไม่หลบหนี ไม่บาดเจ็บ ตัวคนเดียวพิฆาตเหล่าราชันอย่างแข็งกร้าว!
ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าหนุ่มนี่ยังสังหารราชันที่ก้าวสู่มรรคาอมตะอีกหลายคน เทพมารหลินนี่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
แม้แต่สมบัติอริยะหกชิ้นที่แต่ละขุมอำนาจใช้ออกมายังทำอะไรเทพมารหลินไม่ได้!
ทันทีที่ผลงานเจิดจ้าเช่นนี้แพร่ออกไปก็ก่อให้เกิดคลื่นลมล้นฟ้าทันที สำนักโบราณส่วนหนึ่งต่างสั่นสะเทือนด้วยเหตุนี้ คนทั่วไปยังไม่รู้ แต่ขุมอำนาจที่หูตาไวบางส่วนล้วนถูกทำให้ตระหนกแล้ว
“ใครบอกข้าได้บ้าง เทพมารหลินทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร”
ผู้ฝึกปราณมากมายแทบคลุ้มคลั่ง คนหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งกลับสังหารโหดเหล่าราชันอย่างแข็งกร้าว นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“ครั้งนี้สำนักโบราณพวกนั้นล้มตายกันเป็นเบือ ได้ยินว่าทะเลหมากดาราล้วนถูกโลหิตย้อมจนกลายเป็นสีแดงไปหมด!”
ข่าวกำลังแพร่สะพัดด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ตามเวลาที่ล่วงเลย ทั้งสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณล้วนตกสู่ความสั่นสะเทือน
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจาก ความเจิดจรัสแห่งชัยชนะครั้งนี้ของหลินสวิน ทำผู้คนตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า!
ที่ต้องพูดถึงคือผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยไม่ธรรมดาจริงๆ ใช้ใบต้นข่าวสารทองคำบันทึกการเข่นฆ่านองเลือดที่เกิดขึ้นใกล้ทะเลหมากดาราไว้ได้
หลังภาพเหล่านี้เผยแพร่ออกไปก็กลายเป็นประเด็นที่ทั้งใต้หล้าให้ความสนใจทันที!
“สวรรค์! เทพมารหลินนี่พลิกฟ้าแล้ว ตัวคนเดียวสังหารจนราชันพวกนั้นไม่อาจต้านทาน!”
“เขายังมีปราณระดับกระบวนแปรจุติอยู่ใช่ไหม ตัวคนเดียวรับศึกราชันมากมาย ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้”
“ผิด! นี่ไม่ใช่การรับศึก แต่เป็นการสังหารหมู่! เป็นเทพมารหลินคนเดียวพาดขวางห้วงอากาศสังหารราชันราวเชือดไก่ฆ่าลิง!”
ในภาพเหตุการณ์ ทั่วร่างหลินสวินอาบไล้ประกายดาราเจิดจรัสดั่งนายเหนือหัว ส่องประกายผิดธรรมดา ระหว่างที่ขยับเคลื่อนก็เปิดฉากฝนโลหิตคาววายุ
เขาคนเดียวสังหารเหล่าราชัน ทรงพลังไร้เทียมทาน ท่าทางผงาดง้ำเช่นนั้นช่างเหมือนเทพสวรรค์อุบัติบนโลก!
ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกปราณทั่วไป ต่อให้เป็นเหล่าราชันที่ทรงพลัง หลังเห็นภาพต่างๆ เหล่านี้ก็ตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว เกิดความหวาดหวั่น
ในนั้นยังมีราชันกลุ่มหนึ่ง แต่ผลกลับเป็นไร้คนต้านการสังหารเช่นนี้ได้ ล้วนถูกซัดทลายทีละคน จิตสิ้นวิญญาณสลาย!
หลินสวินในตอนนั้นประหนึ่งเทพมารที่แท้จริง คร่าชีวิตของผู้แข็งแกร่งในขุมอำนาจเหล่านั้นเหมือนถอนหญ้า
ภาพเหตุการณ์ที่เผ่าวาทวาโยบันทึกได้ทั้งหมด มีราชันถูกหลินสวินจู่โจมสังหารในคราเดียว ต้านไม่อยู่แม้แต่หนึ่งกระบวนท่า
ภาพนองเลือดนั้นแทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก!
ทั้งหมดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อดั่งปาฏิหาริย์
“จินตนาการได้เลยว่าเหล่าขุมอำนาจพวกนั้นขาดทุนไปมากขนาดนั้น หลังจากนี้ต้องเปิดฉากพายุคลั่งสะท้านฟ้าแน่!”
คนมากมายทำการวินิจฉัยเช่นนี้
ช่วงหลายวันต่อมาข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์นองเลือดบนทะเลหมากดาราก็แพร่กระจายไปอีกขั้น หมักบ่มจนร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนรกร้างโบราณ
และกิตติศัพท์ของหลินสวิน หลังได้อันดับหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แล้วก็ยกระดับไปอีกขั้น บรรลุถึงขั้นเป็นประวัติการณ์ ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนรู้จักคุ้นเคย
ไม่มีคนคาดคิด หลินสวินซึ่งก่อนหน้ายังถูกเห็นเป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งที่อาจอายุสั้นที่สุดคนแรกในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ กลับสามารถเคลื่อนกวาดกำลังพลของขุมอำนาจใหญ่ สังหารราชันมากมายด้วยตัวคนเดียว
เรื่องนี้ก่อให้เกิดคลื่นถาโถมโหมกระหน่ำ เรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองทั่วหล้า!
เวลาเดียวกัน ขุมอำนาจต่างๆ เริ่มทยอยมุ่งหน้าสู่ส่วนลึกที่สุดของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นเพื่อสืบข่าว
“สวรรค์!”
ไม่ว่าเป็นขุมอำนาจใด เมื่อมาถึงชายฝั่งทะเลหมากดารา ได้เห็นภาพน่ากลัวในที่นั้นก็ต่างอุทานเสียงหลง ถูกสั่นสะเทือนจนสูดหายใจเย็นเยียบ
ถึงแม้ผ่านไปหลายวันแต่ที่นี่ยังทิ้งร่องรอยบ่อโลหิต แขนขาแหว่งวิ่น พื้นดินแตกระแหง สันเขาแต่ละลูกล้วนพังทลายย่อยยับ กลายเป็นโกรกธารแหลกลาญไปทั่ว
หลังภาพเหล่านี้ถูกแพร่ออกไป แต่ละแดนวิภูในใต้หล้าต่างถูกสั่นสะเทือน
นี่ยังใช่หลินสวินอยู่ไหม
“ฮ่าๆๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเทพมารหลินไม่มีทางแพ้ เหล่าขุมอำนาจที่รังแกเขาพวกนั้น ในที่สุดครั้งนี้ก็เจอการแก้แค้นนองเลือด!”
“ไร้สำนักไร้พรรคแล้วอย่างไร เทพมารหลินอาศัยพลังของตัวเองก็สามารถตีฝ่ามหามรรคเทียมฟ้าได้!”
คนที่ดีใจและยินดีที่สุดคือเหล่าผู้ฝึกปราณที่ยกย่องหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย รู้สึกประทับใจในตัวหลินสวินจนเอ่ยชื่นชมไม่หยุด เมื่อทราบข่าวเหล่านี้ก็ต่างตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เบื้องหลังเหตุการณ์อึกทึกครึกโครมนี้ เหล่าสำนักโบราณอย่างสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ล้วนจมสู่ความเดือดดาล
มีเพียงพวกเขาที่รู้ดีว่าความเสียหายครั้งนี้ไม่ใช่แค่บุคคลระดับราชันมากมาย ยังมีสมบัติอริยะถึงหกชิ้น!
นี่คือความอัปยศครั้งใหญ่ เป็นความแค้นบัญชีเลือด!
“คนตายได้ กระบี่เทียมฟ้า… ไม่อาจสาบสูญ!”
วันนี้ในเขตหวงห้ามสำนักกระบี่เทียมฟ้า เสียงราบเรียบเปี่ยมความสูงส่งสายหนึ่งก้องสะท้อนขึ้น
ขณะเดียวกันอานุภาพอริยมรรคชวนประหวั่นไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกมา ทำเอาทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าสั่นสะเทือน
และวันนั้นเอง ผู้อาวุโสชุดป่านเท้าเปล่า หน้าตอบคนหนึ่งก้าวสู่ความว่างเปล่า ชั่วพริบตาก็เคลื่อนย้ายไปกลางอากาศ
นี่คืออริยะผู้หนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย!
และมีเพียงอริยะ ถึงสามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ก้าวผ่านเขตแดนไร้สิ้นสุดได้โดยง่าย!
ตอนที่ 1090 เหล่าอริยะออกเดินทาง
สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีอริยะออกเดินทาง!
ข่าวปิดบังไม่ได้สิ้นเชิง อีกทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ไม่คิดปกปิด
เพราะการโจมตีที่พวกเขาเจอครั้งนี้มากเกินไปจริงๆ ชื่อเสียงสำนักล้วนได้รับผลกระทบ ต้องรีบลบล้างความอัปยศฟื้นคืนสถานการณ์
“เป็นอริยะวิถีกระบี่ฟางหลิงซู่ที่บรรลุอริยะเมื่อสามพันปีก่อน!”
ไม่ช้าก็มีข่าวที่เชื่อถือได้แพร่ออกมา ก่อให้เกิดความตกตะลึงทั้งใต้หล้า
ฟางหลิงซู่เป็นถึงอริยะที่เจิดจรัสหาใดเปรียบคนหนึ่ง ยามกลายเป็นอริยะเมื่อสามพันปีก่อนได้จุดชนวนความอึกทึกครึกโครมอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า ในตอนนั้นดึงดูดสัตว์ประหลาดเฒ่าของสำนักโบราณไม่รู้เท่าไหร่ให้มุ่งหน้ามายังสำนักกระบี่เทียมฟ้าเพื่อแสดงความยินดี!
“กี่ปีแล้วที่อริยะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ใต้เท้าฟางหลิงซู่จะออกเคลื่อนไหวเพราะเทพมารหลินคนเดียว!”
ผู้ฝึกปราณมากมายใจสั่นสะท้าน
อริยะออกเดินทาง ประโยคนี้คือเรื่องใหญ่ที่อึกทึกครึกโครหาใดเปรียบ!
“เล่าลือว่าทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากกระบี่เทียมฟ้า สมบัติอริยะชิ้นนี้คือสิ่งที่บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหลือไว้ ไม่อาจสูญเสียไปได้ ปัจจุบันกระบี่อริยะเล่มนี้เหมือนจะถูกเทพมารหลินกำราบไว้ที่ทะเลหมากดารา”
“ไป พวกเราก็ไปทะเลหมากดาราดูบ้าง กี่ปีแล้วที่ไม่เคยเห็นอริยะออกเดินทางด้วยตัวเอง ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะเปิดฉากคลื่นลมใหญ่ระดับใด!”
อริยะออกเดินทางดึงดูดความสนใจทั่วหล้า คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับฟางหลิงซู่กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจที่สุดทันที
แต่ไม่นานก็มีข่าวชวนตะลึงแพร่ออกมา…
“อริยะเมี่ยวหวาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ออกจากด่าน นั่งเกี้ยวสมบัติปักษาเทพออกจากแคว้นกู่ชาง มุ่งหน้าไปยังทะเลหมากดาราแล้ว!”
เมี่ยวหวา อริยะหญิงที่ทำใต้หล้าตกตะลึงเมื่อหลายพันปีก่อน!
ชั่วขณะทั้งใต้หล้าต่างอื้ออึงด้วยเหตุนี้ เปิดฉากความปั่นป่วนโกลาหล ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตกตะลึงอ้าปากค้าง
อริยะอีกคนออกเดินทางแล้ว?
เทพมารหลินก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหนกันถึงทำให้อริยะต่างนั่งไม่ติด
แต่ยังไม่รอให้คนทั่วไปตื่นจากความตระหนก ก็มีข่าวแล้วข่าวเล่าทยอยแพร่ออกมา ก่อเกิดคลื่นลมที่ทำให้คนนับไม่ถ้วนคาดไม่ถึงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“อริยะเต้าคุนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณกราดเกรี้ยว เอ่ยวาจาว่าจะสังหารเทพมารหลินเพื่อเป็นตัวอย่าง!”
“อริยะเพชฌฆาตเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬออกจากด่าน…”
“แดนพิสุทธิ์อมตะ…”
“สำนักยุทธ์สมุทรคราม…”
สัตว์ประหลาดเฒ่าที่ก้าวสู่อริยมรรคคนแล้วคนเล่าออกเคลื่อนไหว สะเทือนใต้หล้าโดยสมบูรณ์ ทำให้เมฆลมบนโลกปั่นป่วน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตื่นตระหนกหาใดเปรียบ เทพมารหลินนี่ทำให้เหล่าอริยะกราดเกรี้ยวแล้ว!
อริยะปรากฏตัวบนโลก เดิมก็เพียงพอก่อให้เกิดคลื่นถาโถมทั้งใต้หล้าแล้ว
แต่ปัจจุบันอริยะมากมายออกเคลื่อนพลพร้อมกัน ทั้งจ่อปลายทวนเข้าใส่เทพมารหลิน คนหนุ่มที่ตัวคนเดียว นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน!
“อาศัยเพียงจุดนี้ ต่อให้ครั้งนี้เทพมารหลินประสบเคราะห์ถึงแก่ความตาย ก็พอจะตายไปอย่างไม่เสียดายแล้ว ถึงอย่างไรในหมู่คนรุ่นเยาว์ ใครเล่าจะสามารถดึงให้เหล่าอริยะลงมือได้เหมือนเขา”
มีคนทอดถอนใจ
“เป็นถึงอริยะแต่กลับไม่สนฐานะ ไปจัดการคนรุ่นหลังคนหนึ่ง นี่มันระรานคนอื่นชัดๆ”
“เฮ้อ ปรารถนาให้คนหนึ่งเด่นผงาดด้วยตัวเองยากเหลือเกิน! เหมือนเทพมารหลินที่ไร้เทียมทานเจิดจรัสแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับต้องเผชิญหน้าการหมายหัวจากเหล่าอริยะ เขา… จะมีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร”
บ้างเป็นห่วงสถานการณ์ของหลินสวิน
ใต้หล้าคลื่นลมปั่นป่วน เหล่าอริยะออกปฏิบัติการเพราะเทพมารหลินคนเดียว ทำให้สำนักโบราณมากมายบนโลกล้วนไม่อาจสงบใจ สายตาถูกดึงดูด
…
“ต่ำช้า!”
เมื่อทราบข่าว เซียวชิงเหอที่เพิ่งกลับตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราโกรธจนสั่นไปทั้งตัว แต่หลังจากใจเย็นลงก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงหาใดเปรียบ
เหล่าอริยะออกเคลื่อนไหว ถึงแม้เขาอยากช่วยก็เปล่าประโยชน์!
ต่อให้เขาจะขอให้สำนักยื่นมือช่วยเหลือ แต่… สำนักไหนเล่าจะไปเผชิญหน้ากับอริยะพวกนั้นเพื่อคนนอก
เซียวชิงเหอรู้สึกถึงความโศกเศร้าอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า เขาค้นพบเป็นครั้งแรกว่า ยามไม่มีพลังที่แข็งแกร่งพอ แม้แต่ไปช่วยสหายก็เปลี่ยนเป็นยากลำบากและหมดหนทางเช่นนี้!
…
“พวกเจ้า ไม่ช้าก็เร็วต้องกรรมตามสนอง!”
เมื่อจ้าวจิ่งเซวียนทราบข่าว ใจพลันเจ็บปวดอย่างไม่อาจอธิบาย ใบหน้างามซีดเผือด
นางรู้ดีว่าตนไร้กำลังไปขัดขวาง ดังนั้นจึงคิดออกจากสำนักกลับโลกชั้นล่าง หมายไปขอความช่วยเหลือจากบิดามารดาโดยไม่ลังเล
แต่ยังไม่รอให้นางออกจากสำนักก็ถูกเบื้องบนขัดขวาง ถูก ‘เชิญ’ ให้ปิดด่านหลังเขา ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
นี่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนหนาวเยือกในใจอย่างที่สุด!
…
โครม!
ศาลบรรพชนตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย
เท้าข้างหนึ่งของเยี่ยเฉินถีบเปิดประตูโถงที่ปิดสนิท
“ผู้อาวุโสตระกูล หากท่านหลบหน้าข้าอีก เชื่อไหมว่าข้าจะถล่มที่พักท่านให้ราบ!”
เยี่ยเฉินตะโกนลั่น ท่าทีเหิมเกริมน่ากลัว
ห่างออกไป คนเบื้องบนของตระกูลเยี่ยมากมายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยิ้มขื่นไม่หยุด
ล้วนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยเฉินถึงร้อนใจเกรี้ยวกราดเพราะเทพมารหลินคนเดียวจนกลายเป็นเช่นนี้
“ผู้อาวุโสตระกูล ท่านไม่ออกมาใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะพังเหล่าดอกหญ้าที่รักของท่านซะ!”
ในโถงใหญ่เสียงทำลายข้าวของดังโครมคราม
นอกโถง คนเบื้องบนตระกูลเยี่ยต่างลนลานคิดไปขวางทันที แต่กลับถูกชายกลางคนที่เป็นผู้นำห้ามไว้ “สิ่งที่เขาฝึกคือจิตพึงใจ ใจเขาไม่สมปรารถนาใครก็ขวางไม่ได้”
“อ้อ ข้าจำได้ว่า ‘หญ้าไหมทอแสงเทพ’ กระถางนี้คือสิ่งแทนใจของผู้อาวุโสตระกูลตอนหนุ่มกระมัง ในเมื่อท่านไม่ปรากฏตัว เช่นนั้นข้าก็จะทำลายมันซะ!”
ภายในโถงเยี่ยเฉินกล่าวกับตัวเอง
“หยุดนะ!” นอกโถงใหญ่พวกเบื้องบนตระกูลเยี่ยมากมายต่างลนลานทันที
แต่เวลานี้เองเสียงก่นด่าหนึ่งก็ดังขึ้นในโถง “ไอ้เด็กเวร เจ้านี่รังแกคนแก่อย่างข้าจนเข้าเส้นแล้วใช่ไหม”
พร้อมๆ กับเสียงนั้น แรงกดดันแห่งอริยมรรคมหาศาลชวนประหวั่นไร้จำกัดแผ่ออกมาจากในโถง
ผู้อาวุโสตระกูล!
คนเบื้องบนตระกูลเยี่ยทั้งหมดเห็นดังนี้ก็ต่างแอบเป่าปากโล่งอก สลายตัวจากไปอย่างเข้าใจดี
ภายในโถงชายชราผมเผ้าหนวดเครากระเซิง เงาร่างดั่งสนเดี่ยวริมผาคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าเยี่ยเฉิน โกรธจนเคราสยายตาถมึง
เยี่ยเฉินกลับไม่กลัว กล่าวว่า “ผู้อาวุโสตระกูล ท่านแค่พูดว่าเรื่องนี้ท่านจะช่วยหรือไม่ก็พอ!”
ชายชรากล่าวไม่สบอารมณ์ “เรื่องนี้ใครก็ช่วยไม่ได้ ได้แค่ให้เจ้าหนูหลินสวินนั่นสะสางด้วยตัวเอง”
“เช่นนั้นข้าก็จะทำลายมันซะ!”
เยี่ยเฉินยกกระถางในมือขึ้นหมายทุ่มลงพื้น!
ชายชราตกใจจนรีบชิงกระถางมาแล้วคำราม “เพื่อเทพมารหลินคนเดียว เจ้าเด็กเวรนี่ไม่ยอมแม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลแล้วรึ”
เยี่ยเฉินพลันถอนหายใจ สีหน้าเงียบเหงา “ที่ข้าฝึกคือจิตพึงใจ ใจไม่สมปรารถนาจะต้องขวางมหามรรคของข้าแน่ นี่คือมารในใจอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสตระกูล ท่านอยากเห็นมรรคาของข้าหยุดลงเช่นนี้หรือ…”
“มารในใจกับผีสิ! ที่เจ้าทำน่ะคือรังแกคนแก่อย่างข้า!”
ชายชราโกรธจนกระทืบเท้าด่ายกใหญ่
เยี่ยเฉินถอนหายใจอีกครั้ง หน้าหมองราวหมดกำลังใจ หันหลังจะจากไป
เห็นดังนี้มุมปากชายชราพลันกระตุกแรงๆ คราหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเจ้ากล้าจากไปเช่นนี้ เรื่องนี้ตาแก่อย่างข้าจะไม่ช่วยแล้ว!”
เยี่ยเฉินดวงตาเป็นประกายหยุดเดินทันควัน หน้าตาแช่มชื่นทันที โค้งคำนับชายชราอย่างนอบน้อมพลางกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสตระกูล รู้อยู่แล้วว่าผู้อาวุโสตระกูลยึดมั่นคุณธรรม ซื่อสัตย์มีน้ำใจ ไม่อาจทนให้บนโลกมีเรื่องไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น!”
ชายชราพลันสบถ “พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย มาเข้าเรื่อง!”
ว่าพลางสีหน้าเขาก็ขรึมลง ราวเปลี่ยนเป็นอีกคนในชั่วพริบตา เคร่งขรึมและน่าเกรงขาม มีความสูงส่งไร้สิ้นสุดที่ทำให้ผู้คนได้แค่แหงนมอง
“เฉินเอ๋อร์ หากเจ้าเชื่อมั่นในตัวผู้อาวุโสตระกูล เรื่องนี้เจ้านั่งดูสถานการณ์ก็พอ”
แววตาชายชราล้ำลึก เต็มไปด้วยประกายอัศจรรย์ชวนประหวั่น สีหน้าเจือนัยซ่อนงำอำพรางวูบหนึ่ง “จากที่ข้าสันนิษฐาน หลินสวินนี่ไม่ใช่คนอายุสั้น!”
เยี่ยเฉินมุ่นคิ้ว “แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เป็นอริยะมากมายออกเคลื่อนพลพร้อมกัน! เขาที่ยังไม่กลายเป็นราชันไม่มีโอกาสหนีรอดแน่!”
ชายชราส่ายศีรษะ “เจ้ากังวลจนว้าวุ่น หลังจากเจ้ากลายเป็นเพื่อนกับหลินสวิน ข้าก็จับตาดูเด็กนี่อยู่ อีกทั้งตอนที่เจ้ากลับมาจากเขตหวงห้ามไร้มรณะ ข้ายังใช้ ‘เคล็ดวิชาทายชะตาจื่อเวย’ ทำนายเจ้าหนูนี่ด้วย”
“ผู้อาวุโสตระกูลท่าน…”
เยี่ยเฉินหน้าพลันเปลี่ยนสี ร้องเสียงหลง
เคล็ดวิชาทายชะตาจื่อเวย!
นี่เป็นวิชาต้องห้ามที่อนุมานโชคชะตาและความลับสวรรค์อย่างหนึ่ง การสำแดงแต่ละครั้งจะนำมาซึ่งคณาเคราะห์แก่ผู้ใช้วิชา อย่างเบาจะสร้างความเสียหายแก่มรรคา อย่างหนักเป็นไปได้สูงที่จะเจอทัณฑ์สวรรค์!
ชายชราโบกมือตัดบทเยี่ยเฉิน ยิ้มแย้มกล่าว “เจ้าคือคนที่ข้าดูแลจนเติบใหญ่ ยังไม่เคยเห็นเจ้าให้ความสำคัญกับคนรุ่นเดียวกันคนไหนเช่นนี้มาก่อน เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าหนูหลินสวินเช่นนี้ แสดงว่าภายในใจได้เห็นเขาเป็นสหายแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อนุมานโชคชะตาเขาสักหน่อยจะเป็นไร”
ในใจเยี่ยเฉินม้วนซัดสั่นสะเทือน ความรู้สึกประเดประดังทันใด เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนยากจะเอ่ยนานัปการ เปิดปากจะพูดแต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี
ชายชราตบไหล่เขากล่าว “ทำอะไรตามใจก็พอแล้ว ปีนั้นที่ข้าฝึกก็คือจิตพึงใจ แต่ตอนนี้ในใจกลับมีปราการขวางกั้น ไม่เคยสบายใจอย่างแท้จริง จนกระทั่งหลายปีนี้จึงหยุดอยู่ระดับอริยะมาตลอด”
“แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใช้จิตพึงใจก้าวสู่อริยมรรคเป็นคนแรกของตระกูลเยี่ยเรา!”
เยี่ยเฉินสีหน้าจริงจัง พยักหน้ากล่าว “ข้าจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลผิดหวัง!”
ชายชราหัวเราะลั่นกล่าว “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เจ้าน่าจะรู้ว่าชะตาชีวิตที่ข้าทำนายได้เกี่ยวกับเจ้าหนูหลินสวินนี่คืออะไร”
ไม่รอเยี่ยเฉินเอ่ยปาก ชายชราก็ขยับพูดบางคำออกจากปากด้วยตัวเอง “มังกรเร้นหุบเหว ขับเคลื่อนด้วยเคราะห์!”
แต่ละคำราวสัทครรลองมหามรรค ทำให้เยี่ยเฉินรู้สึกเหมือนไม้ฟาดเตือนสติทันที ความกังวลและร้อนรุ่มในใจหายเป็นปลิดทิ้ง
แต่ไม่ช้าเยี่ยเฉินยังอดเอ่ยถามไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เขาจะไม่เกิดเรื่องใช่ไหม”
ชายชราส่ายศีรษะ “อานุภาพแห่งมังกรเร้นก็อาจเปลี่ยนเป็นสถานการณ์มังกรหมอบ ทุกอย่างยังพูดลำบาก แต่คิดสังหารมังกรที่เร้นหุบเหวตัวหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น เป็นไปได้สูงที่จะ…”
เยี่ยเฉินอดถามไม่ได้ “เป็นไปได้สูงที่จะอะไรหรือขอรับ”
สีหน้าชายชราพลันเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น “เฉินเอ๋อร์ เชื่อคนแก่เถอะ เจ้านั่งดูเมฆลมถาโถมก็พอแล้ว!”
พูดจบเยี่ยเฉินเพิ่งคิดจะถามอะไร เงาร่างชายชราก็พลันลับหายไป
เขาเองก็ไม่เซ้าซี้อีก สังเกตเห็นชัดเจนว่าในคำพูดของผู้อาวุโสตระกูลแอบเผยกลิ่นอายผิดธรรมดา
ดูเหมือน… เคราะห์สังหารฉากนี้อาจเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่น!
“ขอแค่หลินสวินไม่ตาย ไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นมังกรเร้นหรือมังกรหมอบ แต่หากเขาตาย…”
แววตาเยี่ยเฉินพลันเยียบเย็น กัดฟันกล่าว “เช่นนั้นข้าจะก่อเรื่องให้มันพลิกฟ้าพลิกดิน!”
เขาพูดพลางเดินออกจากโถงใหญ่ไป
ตอนที่ 1091 เมฆลมรวมตัว ณ ทะเลหมากดารา
เหล่าอริยะออกเดินทาง สร้างความฮือฮาตกใจทั่วดินแดนรกร้างโบราณ
ไม่เพียงตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย แดนลับโบราณแห่งหนึ่งในแดนดาราอุดร เซี่ยวชางเทียนเองก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าหญิงชราผู้หนึ่งอย่างน่าเวทนา
หญิงชราผมขาวโพลนราวหยาดน้ำค้าง แต่ผิวพรรณกลับเรียบเนียนดุจทารก คล่องแคล่วกระปรี้กระเปร่า บุคลิกน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
เพียงนั่งสบายๆ อยู่ตรงนั้นก็มีพลังเหยียดหยันจักรวาล อานุภาพสะท้านสิบทิศ
“ท่านย่าเสวียน ท่านเองก็ทราบ ข้าไม่ยอมก้มหัวให้หลินสวินคนนี้อย่างที่สุด ในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เพราะข้าพลาดแค่กระบวนท่าเดียวถึงตกไปอยู่อันดับสอง แล้วจะให้ข้าทำใจได้อย่างไร”
ในโลกภายนอก ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนยโสเหยียดโลกหล้า ท่วงท่าสง่างามไร้ทัดเทียม แต่ยามนี้กลับปั้นหน้าขมขื่น พรั่งพรูความคับแค้นออกมายกใหญ่
ตรงข้ามกันลิบลับ เพียงพอจะพาให้ผู้คนปากอ้าตาค้างได้
“แต่ถ้าหากครั้งนี้หลินสวินถูกฆ่า ต่อไปข้าก็ไม่อาจไปกู้หน้าได้อีกแล้ว ที่ผ่านมาท่านเป็นคนที่สงสารเด็กมากที่สุด…”
หญิงชราคล้ายจะเริ่มทนไม่ไหว โบกมือตัดบทเป็นพัลวัน “เอาล่ะๆ เจ้าหนูนี่ไม่ใช่อยากให้ข้าช่วยเหลือหรือ”
เซี่ยวชางเทียนพยักหน้าหงึกๆ “ท่านผู้เฒ่าชาญฉลาดดุจดวงประทีปจริงๆ ด้วย เรื่องอะไรก็ล้วนปิดบังท่านไม่ได้”
หญิงชราแค่นเสียงเย็น “หยุดประจบเสียที ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าเฒ่าที่หมกมุ่นอยู่กับการปลูกดอกไม้ใบหญ้าบนเขาจื่อเวยนั่น เมื่อครู่ได้ส่งข่าวมาแล้ว เรื่องนี้มีความเร้นลับอื่นอีก พวกเราแค่ต้องรอดูก็พอ”
เจ้าเฒ่าที่หมกมุ่นกับการปลูกดอกไม้ใบหญ้า?
เซี่ยวชางเทียนกระจ่างทันที คนที่ท่านย่าเสวียนพูดถึงน่าจะเป็นผู้อาวุโสตระกูลของเขาจื่อเวยคนนั้น ผู้เฒ่าระดับดึกดำบรรพ์คนนั้น
“ความเร้นลับอะไรหรือ” เขาอดถามไม่ได้
“มังกรเร้นหุบเหว ขับเคลื่อนด้วยเคราะห์”
นัยน์ตาหญิงชราไหลเวียนด้วยประกายแวววาวอย่างมีเลศนัย “เพื่อนเจ้าคนนี้… อยากฆ่าให้ตายไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น”
“เพื่อน? เพื่อนอะไร ข้าไม่ยอมรับ!” เซี่ยวชางเทียนโพล่ง
หญิงชราปรายตามองเขาปราดหนึ่ง กล่าวว่า “หากไม่ใช่เพื่อน เจ้าจะยอมให้คนแก่อย่างข้าไปสู้สุดชีวิตกับพวกอริยะเหล่านั้นได้หรือ”
เซี่ยวชางเทียนพิพักพิพ่วนทันที รู้สึกเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย
เขากลับลอบทอดถอนใจอยู่ในใจ แม้กระทั่งผู้อาวุโสเขาจื่อเวยคนนั้นยังให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ ดูท่า ต่อให้สถานการณ์ของเจ้าหลินสวินนั่นจะเลวร้ายเพียงใด แต่ก็ยังพอมีหวังรอดอยู่บ้าง
“เสี่ยวเทียน ข้าขอถามเจ้า หากหนนี้เด็กคนนั้นประสบเคราะห์หนักจนตาย เจ้าจะเป็นอย่างไร” จู่ๆ หญิงชราก็เอ่ยถาม
เซี่ยวชางเทียนสั่นเทิ้มทั้งร่าง สีหน้าไหววูบ เนิ่นนานเขาจึงกล่าวว่า “ข้าจะไม่มีความสุขมาก!”
“ไม่มีความสุขแล้วอย่างไรอีก”
“ใครทำให้ข้าไม่มีความสุข ข้าก็จะทำให้คนผู้นั้นไม่สุขด้วย!”
เซี่ยวชางเทียนตอบกลับอย่างเฉียบขาดมาดมั่น
มุมปากหญิงชราผุดรอยยิ้มน้อยๆ
……
ขณะที่สี่แดนวิภูทั่วดินแดนรกร้างโบราณล้วนจมสู่ความปั่นป่วน ทางฝั่งทะเลหมากดารา ห้วงอากาศที่เดิมทีเงียบสงบจู่ๆ ก็บังเกิดเสียงระเบ็งเซ็งแซ่
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งในที่นั้นร่างกายสั่นเทิ้ม หันขวับมองไปยังเวิ้งนภา
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างมาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนเพื่อสืบข่าว สังเกตการณ์และตรวจสอบร่องรอยศึกใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่แถบนี้
ตูม!
ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน กลางห้วงอากาศนั้นระเบิดแตกกะทันหัน วิถีใหญ่รุ้งวิเศษสีทองอร่ามสายหนึ่งโฉบพุ่งดิ่งลงมา
บนวิถีใหญ่ เงาร่างที่ทั่วกายชโลมประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งยืนปักหลักอยู่ ฟ้าดินเสมือนมืดมัวลง กำลังก้มหัวสวามิภักดิ์!
ทุกคนสั่นเทิ้ม ร่างกายและจิตใจกดดันถึงที่สุด ทอดมองไกลออกไป เงาร่างนั้นล่ำสันดั่งขุนเขา ทั้งมีกลิ่นอายบีบคั้นแกร่งกร้าวปานฉกชิงจิต ตัดทำลายวิญญาณของผู้คน
“ที่นี่เป็นสถานที่วุ่นวาย พวกเจ้าจงถอยไป!”
เสียงก้องกระหึ่มดังสนั่นทั่วฟ้าดินราวกับฟ้าคำราม เงาร่างปานอริยเทพนั้นโบกแขนเสื้อหนึ่งครา หอบม้วนทุกคนในลานลงสู่รัศมีศักดิ์สิทธิ์ ขับไล่ออกจากที่แห่งนี้โดยไม่ยอมให้ปฏิเสธสักนิด
จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ จางหายไป เงาร่างนั้นโรยตัวลงพื้นแผ่วเบา กลายเป็นชายชราสวมชุดผ้าป่านเปลือยเท้าเปล่า รูปร่างผอมคนหนึ่ง
เขาเอามือไพล่หลัง ทอดมองทะเลหมากดารา กลางนัยน์ตามีภาพน่าสะพรึงเช่นสุริยันจันทราผลุบโผล่ ภูผาธาราผันเปลี่ยนไหลเวียน น่าสะพรึงไร้ใดเปรียบ
ชายชราคนนี้ย่อมเป็นฟางหลิงซู่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า บุคคลน่าสะพรึงที่เหยียบย่างระดับอริยวิถีกระบี่เมื่อสามพันปีก่อน
“ข้าสัมผัสได้แล้วว่ากระบี่เทียมฟ้าถูกจองจำอยู่ที่นี่ กำลังรอคอยให้ข้าช่วยออกมา!”
ฟางหลิงซู่พึมพำ บนตัวเขาเจตกระบี่สะท้านฟ้าสายหนึ่งพุ่งทะยานฟ้า ฉีกทึ้งชั้นเมฆ เฉือนผ่าเวิ้งนภา นี่คือฤทธิ์เดชของวิถีกระบี่ระดับอริยะ สะท้านจิตวิญญาณ บีบคั้นสิบทิศ!
“ทะเลนี้ปกคลุมด้วยค่ายกลอริยะสูงสุด มีข่าวลือว่าบุคคลยิ่งใหญ่ปานเทียมฟ้าในยุคบรรพกาลคนหนึ่งรังสรรค์ขึ้น หากคิดจะเสาะหาสมบัติอริยะกลับไป ก่อนเข้าสู่ค่ายกลนี้ ไม่ทราบสหายยุทธ์มีวิธีรับมือหรือไม่”
ตามหลังเสียงนี้ ปักษาเทพตัวหนึ่งร่อนลงมาจากฟ้า บนหลังปักษาเทพมีหญิงสาวสวมชุดคลุมกระเรียน รูปโฉมเด่นสง่าคนหนึ่งนั่งอยู่ นัยน์ตาสีทองอร่ามทั้งคู่ประหนึ่งดวงอาทิตย์น้อยๆ
อริยะเมี่ยวหวาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!
นางเยื้องกายลงจากปักษาเทพมาถึงเบื้องหน้าฟางหลิงซู่ นัยน์ตาทอดมองไปทางทะเลหมากดาราที่อยู่ไกลๆ
“ค่ายกลนี้ชื่อว่าวัฏจักรดารา เบื้องบนเชื่อมสวรรค์หมื่นดารา เบื้องล่างครอบคลุมกระแสปราณพิภพ นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดทำลายได้”
อีกเสียงที่ลุ่มลึกและหนักแน่นดังก้องฟ้าดินอีกครั้ง
รถศึกคันหนึ่งบดขยี้ห้วงอากาศดังกึกก้องมาเยือน เจือกลิ่นอายโบราณเก่าแก่ ยังมีไอสังหารทะยานฟ้า ในนั้นมีเงาร่างสายหนึ่งนั่งอยู่ พลานุภาพปกคลุมฟ้าดิน
อริยะเต้าคุนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
จังหวะที่เขาเดินออกจากรถศึก ฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน คล้ายจวนจะรับอานุภาพบีบคั้นบนตัวเขาไม่ไหว
“ไม่มีใครทำลายได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรจัดการไม่ได้”
อริยะโผล่มาอีกคนแล้ว ครานี้เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ทั่วร่างไหลเวียนด้วยลักษณ์ประหลาดแห่งภูเขาศพทะเลเลือด ยามก้าวย่างเทพร้องครวญผีโหยไห้กลางฟ้าดิน สะท้อนภาพน่าสะพรึงปานนรกสีเลือด
อริยะเซวี่ยถู เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
มือเขากำดาบศึกสีเลือดเล่มหนึ่ง ทั้งตัวประหนึ่งเทพสังหารกระหายเลือด ลำพังแค่กลิ่นอายนองเลือดที่แผ่ออกจากร่างก็ปั่นป่วนฟ้าดิน พาให้ผู้คนจวนจะหายใจไม่ออก
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ฟางหลิงซู่ เมี่ยวหวา เต้าคุนขมวดคิ้วอย่างยากจับสังเกต คล้ายจะต่อต้านการมาเยือนของเซวี่ยถู แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดมากความอะไร
“คิดไม่ถึงว่าเพียงเพราะมดเล็กจ้อยตัวเดียว กลับทำให้พวกเราปรากฏตัวพร้อมกัน หากแพร่ออกไปก็ไม่รู้ว่าผู้คนจะมองพวกเราอย่างไร”
เมี่ยวหวาทอดถอนใจเงียบๆ
“บนโลกนี้ปุถุชนคนธรรมดามีไม่รู้เท่าไร สายตาพวกเขาทั้งต่ำต้อยตื้นเขิน จะส่งผลต่อพวกเราได้อย่างไรกัน”
ฟางหลิงซู่น้ำเสียงไม่ยี่หระ
“ฮ่าๆ…”
เต้าคุนหัวเราะเจือความเยียบเย็น แฝงไอสังหารและเยาะหยัน “สมบัติอริยะหกชิ้นถูกจองจำในทะเลแห่งนี้ หากพวกเรายังไม่มาอีก เกรงว่า… คงถูกสหายยุทธ์คนอื่นฉกชิงไปเท่านั้นแล้ว”
นัยน์ตาทุกคนลุกวาว ต่างเข้าใจความหมายในคำพูดของเต้าคุน
สบัติอริยะหกชิ้นล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติ ‘พิทักษ์สำนัก’ ไม่ว่าสูญเสียชิ้นไหนไป สำหรับขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังล้วนเป็นการสูญเสียร้ายแรงหาใดปรียบ
เหตุใดบรรดาอริยะเหล่านี้จึงพากันเคลื่อนไหว
สาเหตุก็เป็นเพราะกังวลว่าสมบัติอริยะจะถูกผู้แข็งแกร่งในขุมอำนาจอื่นแย่งชิงไป!
ส่วนเรื่องสังหารหลินสวินนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ถึงตอนนั้นถือโอกาสกำจัดเขาไปด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว บุคคลที่เป็นเหมือนมดเล็กจ้อยตัวหนึ่ง ไม่คู่ควรให้พวกเขายกทัพเป็นโขยงเช่นนี้เลยสักนิด!
พวกเขาเป็นใคร
เป็นถึงบุคคลที่เหยียบย่างระดับอริยะ ต่อให้เป็นระดับราชันในสายตาพวกเขาก็เป็นเพียงกอหญ้าที่รับการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว นับประสาอะไรกับคนหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
“เต้าคุน ประโยคนี้ของเจ้าช่างจอมปลอมยิ่งนัก ข้าดูแล้ว เจ้ามาครั้งนี้เกรงว่าคงไม่ใช่มาเก็บสมบัติอริยะกลับสำนักง่ายๆ เช่นนั้นกระมัง”
เวลานี้เสียงหัวเราะเย็นๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น ที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือชายชรารูปร่างซูบผอม สวมเกี้ยวประดับขนนกบนศีรษะ ใส่ชุดคลุมงูเหลือมทองเหลือบม่วงเหินห้วงอากาศเข้ามา
รูปร่างเขาเหี่ยวแห้ง แววตาดุจอสนี ดูเหมือนซูบผอม แต่อานุภาพกลับประหนึ่งนายเหนือหัว กำกับฟ้าดิน เหยียดหยันภูผาธารา!
อริยะอวี่หมิงแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะ!
“เช่นนั้นเจ้าลองบอกทีว่าข้ามาทำไม” เต้าคุนกล่าวเสียงเย็น
อวี่หมิงเอาสองมือไพล่หลัง เหยียบย่างกลางลาน กล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “ในมือเจ้าเด็กนั่นมีสมบัติอริยะสองชิ้น แบ่งออกเป็นเจดีย์สมบัติที่สร้างโดยเหล็กเทพศุภโชคองค์หนึ่ง ขวดหยกมันแพะสามชุ่นใบหนึ่ง พร้อมกันนั้นยังมีดาบหัก ศาสตราจิตที่อัศจรรย์สุดหยั่งอีกหนึ่งเล่ม หากเจ้าเต้าคุนไม่สนใจ ทางที่ดีก็อย่ามาร่วมวงเป็นดีที่สุด!”
เหล่าอริยะต่างสีหน้าผิดแปลก
สำหรับเรื่องนี้แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ดีเต็มอก!
เต้าคุนกล่าวด้วยสีหน้าไม่หวั่นไหว “คนไร้ความผิด ผิดที่ถือครองหยก เด็กคนนี้สังหารคนของสำนักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มากมายเช่นนั้น จะเก็บศุภโชคส่วนหนึ่งในมือเขาเป็นการชดเชยเดิมทีก็เป็นเรื่องชอบธรรมอยู่แล้ว อวี่หมิง หากเจ้าอยากพูดเพียงไม่กี่คำเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ข้าแก้แค้นเจ้ามดนั่น เช่นนั้นก็พลาดมหันต์แล้ว!”
อวี่หมิงยิ้มเย็นไม่เอ่ยวาจา
“ทุกท่าน จนถึงป่านนี้แล้วไม่สู้พูดเปิดอกตรงไปตรงมาดีกว่า”
ฟางหลิงซู่สีหน้าเรียบเฉย “เด็กคนนี้ต้องฆ่าให้ตาย หากไม่ตาย ไม่อาจล้างความอัปยศที่สำนักโบราณทั้งหมดของพวกเราได้รับ”
“ส่วนเรื่องสมบัติอริยะในมือเด็กคนนี้ พวกเราก็อาศัยฝีมือของแต่ละคนช่วงชิงมา!”
“ได้เลย”
“อย่างนี้ดีที่สุด”
อริยะคนอื่นๆ ไตร่ตรองสักพักก่อนตกปากรับคำ
เวลานี้นัยน์ตาฟางหลิงซู่ทอดมองไปยังห้วงอากาศอีกด้านหนึ่ง กล่าวว่า “ฝูหยา เจ้าจะนิ่งเงียบไปถึงเมื่อไร”
เหล่าอริยะต่างพากันหันไปมอง
ก็เห็นว่าห้วงอากาศตรงนั้นสั่นกระเพื่อมหนึ่งระลอก พลันปรากฏเป็นเงาร่างผอมแห้งสายหนึ่ง ทั้งตัวคลุมเครือเลือนราง บางจางยิ่งยวด คล้ายไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
แต่กลิ่นอายของเขากลับน่าตกใจถึงขีดสุด ไม่ด้อยกว่าอริยะคนใดในลานเลย!
คนผู้นี้คืออริยะผู้หนึ่งจากสำนักยุทธ์สมุทรคราม ฉายาธรรมว่าฝูหยา
“ข้าไร้ความคิดเห็น”
เสียงฝูหยาเย็นเยียบ ล่องลอยกลางฟ้าดิน พาให้ผู้คนสั่นเทาทั้งที่ไม่หนาวเหน็บ
ที่แห่งนี้อริยะหกคนต่างมารวมตัวกัน!
“แต่ก่อนอื่น ข้ามีหนึ่งเรื่องอยากถาม”
ฝูหยาเอ่ยปาก เสียงดังขึ้นทางทิศตะวันออกทีตะวันตกที ริบหรี่และมืดมน “หากมีสหายยุทธ์สำนักโบราณอื่นที่อยากร่วมวงด้วยจะทำอย่างไร”
“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเรา!”
ฟางหลิงซู่สีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้คนอื่นๆ ไม่ได้เอ่ยปาก แต่เห็นชัดว่าล้วนตกลงกันโดยปริยายแล้วทั้งสิ้น
“ดี ตอนนี้ข้าไร้กังวลแล้ว เริ่มลงมือได้!”
ฝูหยาพยักหน้า
พรึ่บ!
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น อริยะหกคนต่างพากันเบนสายตามองทางไปทะเลหมากดาราที่อยู่ไกลๆ
บนทะเลหมากดารา หมอกดาราราวมายา ลวงตาคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าลึกลับจนพาให้ผู้คนใจสะท้าน
แต่พลังผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมบนนั้นย่อมไม่อาจบดบังสายตาของอริยะได้
ถึงแม้พวกเขาจะไร้หนทางทลายค่ายกล แต่หากแค่เก็บสมบัติอริยะคืนและถือโอกาสจู่โจมสังหารมดตัวหนึ่ง กลับไม่เหลือบ่ากว่าแรง
ทว่ายังไม่รอให้พวกเขาเคลื่อนไหว จู่ๆ เสียงตะโกนสนั่นเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้น “เสียแรงที่พวกเจ้าเป็นถึงอริยะในยุคปัจจุบัน กลับใช้ข้ออ้างแก้แค้น หมายจะฉกชิงสมบัติอริยะในมือเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง หน้าด้านอย่างที่สุดจริงๆ ยังมียางอายอยู่หรือไม่!”
อริยะทั้งหกคนอย่างฟางหลิงซู่ เมี่ยวหวา เต้าคุน เซวี่ยถู อวี่หมิง ฝูหยาต่างขมวดคิ้ว คล้ายรู้สึกประหลาดใจน้อยๆ พากันเบนสายตาไปมองยังจุดเดียว
ที่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดหนังสัตว์ รูปลักษณ์หยาบกร้านราวกับคนป่าคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร
ตอนที่ 1092 อานุภาพอริยะไร้สิ้นสุด
คนหนุ่มหยาบกร้าน เป็นอาหลู่นั่นเอง
เพียงแต่เมื่อเห็นว่าคนที่ผรุสวาทหมิ่นตนเป็นคนหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง บรรดาอริยะเหล่านี้ล้วนรู้สึกเหนือความคาดหมายน้อยๆ
บนโลกใบนี้ยังมีมดไม่กลัวตายอยู่หรือ
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจอยู่บ้างคือ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของเจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งแต่จังหวะแรก จุดนี้ผิดธรรมดานัก
แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจ สายตาทยอยตกบนกระบองยักษ์เหล็กทมิฬสีดำเข้มในมือของอาหลู่
นี่คือสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง!
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นเป็นเพราะกลิ่นอายจากสมบัติอริยะชิ้นนี้ ช่างลึกลับอัศจรรย์จริงๆ
ถูกอริยะทั้งกลุ่มจับจ้อง อาหลู่ทำตัวไม่ถูกทันที แต่ปากยังคงร้องตะโกนโพล่งผรุสวาท “ทำไมหรือ ยังหมายตาของรักของข้าด้วยรึ มียางอายกันอยู่ไหม!”
ตูม!
อานุภาพกดดันแห่งอริยมรรคสายหนึ่งแผ่กว้างออกจากตัวฟางหลิงซู่ จองจำอาหลู่เพียงชั่วอึดใจ พาให้เขาแทบทรุดกายคุกเข่าราวกับถูกภูเขาเทพสยบ!
ใบหน้าเขาอึดอัดจนแดงก่ำ ผิวหนังทั่วร่างคล้ายจะแตกระเบิด แต่ไม่ว่าจะขัดขืนอย่างไร แม้แต่คำพูดก็ยังไม่สามารถเปล่งออกมาได้
เขาจวนจะคุกเข่าลงกับพื้นอยู่ร่อมร่อ ทันใดนั้นกระบองเหล็กทมิฬในมือเขาก็ยิงแสงกาฬน่าสะพรึงออกมาสายหนึ่งเสียงดังตูม กลายร่างเป็นนักพรตเฒ่าร่างเตี้ยผอมแห้ง ทั่วร่างสกปรกมอมแมม
หืม?
พวกฟางหลิงซู่ทั้งหกคนต่างนัยน์ตาหดรัด
ก็เห็นว่าหลังจากนักพรตเฒ่าคนนี้ปรากฏตัว นัยน์ตาก็กวาดมองไปมารอบลาน จากนั้นตบกบาลอาหลู่หนึ่งฉาด บ่นใส่ว่า “บอกแล้วว่าห้ามไอ้ตัวแสบอย่างเจ้าก่อเรื่อง เจ้าดันไม่ฟัง เบื่อจะมีชีวิตแล้วหรือไร รีบตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เขากล่าวพลางโบกแขนเสื้อหนึ่งครา แสงกาฬแถบหนึ่งแผ่ครอบอาหลู่เอาไว้ หมุนตัวจะจากไปทันที
พร้อมกันนั้นชายชรามอมแมมยังกล่าวเสียงดัง “ทุกท่าน พวกท่านทำธุระกันต่อเถิด เมื่อครู่เป็นเพียงความเข้าใจผิด คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เงาร่างชายชรามอมแมมก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว ความเร็วว่องไวยิ่งพาให้ผู้คนปากอ้าตาค้าง
“พลังเจตจำนงอริยะ มิน่าเมื่อครู่เจ้าเด็กนั่นถึงกล้าวางโตเช่นนี้” ฟางหลิงซู่ขมวดคิ้ว ดูออกว่านักพรตเฒ่ามอมแมมคนนั้นเป็นเพียงเจตจำนงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
“ดูแล้วก็ไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไร ไม่เช่นนั้นมีหรือต้องเผ่นแน่บรวดเร็วขนาดนี้”
อริยะคนอื่นๆ ต่างไม่ใส่ใจ
ตัวคั่นโรงคนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่ายามที่พวกเขาตั้งท่าลงมือก็บังเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นอีกครั้ง
“มีสหายยุทธ์กำลังใกล้เข้ามา”
อริยะเต้าคุนขมวดคิ้ว หันไปทางส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ด้านหลัง
อริยะคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน
ในห้วงนิมิตของพวกเขา ส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น กระจายตัวกันตามพื้นที่ต่างๆ
ล้วนเป็นบุคคลที่เหยียบย่างระดับอริยะเช่นเดียวกับพวกเขาทั้งสิ้น!
“เป็นสหายยุทธ์จากสำนักโบราณอื่นๆ ของสี่แดนวิภู ดูท่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหนนี้จะใหญ่โตเกินไป แม้แต่พวกเขาก็ยังถูกดึงดูดมาด้วย”
อริยะเซวี่ยถูสีหน้าเย็นเยียบ น้ำเสียงอึมครึม
“ยังดี พวกเรามาก่อนก้าวหนึ่ง หาไม่สมบัติอริยะที่สูญหาย ณ ที่แห่งนี้ของพวกเรา เกรงว่าคงถูกคนอื่นชิงตัดหน้าฮุบไปก่อนแล้ว”
อริยะเมี่ยวหวาเอ่ยวาจาเนิบนาบ
และเวลานี้เอง ทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ไกลๆ มีเสียงทุ้มอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “สหายยุทธ์ทุกท่านไม่ต้องคลางแคลงใจ พวกข้าแค่มุ่งหน้ามาชมศึก ไร้เจตนายื่นมือเข้าแทรกแน่นอน”
นี่คือชายวัยกลางคนที่แผ่นหลังงอกปีกสีเท้าผู้หนึ่ง ระบายยิ้มพิมพ์ใจ ท่าทางไร้พิษสงต่อสรรพชีวิต ยืนอยู่บนพื้นหิมะเย็นเฉียบห่างออกไปเต็มพันลี้
เขาคืออริยะคนหนึ่งของเผ่าวาทวาโย นามว่าไป๋เชียนเริ่น
“เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด”
ฟางหลิงซู่กล่าวเสียงเย็น
“เฮอะ ชมศึกย่อมได้ แต่หากใครมุ่งหวังอย่างอื่น ก็ชั่งใจดูแล้วกันว่าจะสามารถต้านทานเพลิงโทสะของพวกเราทั้งหกคนได้หรือไม่”
อริยะอวี่หมิงแค่นเสียงเย็น
พวกเมี่ยวหวา เต้าคุน เซวี่ยถู ฝูหยาต่างก็สีหน้าไม่เป็นมิตร
ในลานเงียบกริบทันที ไม่มีเสียงดังขึ้นอีก และไม่มีใครเข้ามาใกล้อีกเลย ล้วนปักหลักอยู่บริเวณไกลโพ้น คล้ายมาเพื่อชมศึกเท่านั้นจริงๆ
สิ่งนี้พาให้อริยะหกคนอย่างพวกฟางหลิงซู่สงบลงไม่น้อย
“รีบเคลื่อนไหวกันเถอะ รีบรบรีบจบ”
ฟางหลิงซู่สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทั่วกายมีเจตกระบี่น่าสะพรึงพุ่งพรวดขึ้นมาฉีกทึ้งห้วงอากาศ แผ่กว้างออกไปทางทะเลหมากดาราที่อยู่ห่างออกไป
โครมครืน!
บนทะเลหมากดารา ความเงียบสงัดแต่เดิมถูกทำลาย ประกายดาราพลุ่งพล่าน ผุดพลังกระเพื่อมไหวของผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงครอบฟ้าคลุมดิน สกัดกั้นเจตกระบี่สายนั้นเอาไว้
ฟางหลิงซู่คล้ายเตรียมพร้อมมาแต่เนิ่นๆ โบกแขนเสื้อหนึ่งครา พลังกฎระเบียบอริยมรรคระฟ้าพุ่งยิง วิวัฒน์เป็นฝนกระบี่บ้าคลั่ง แน่นขนัดประหนึ่งคลุมฟ้ากลบดิน ทะยานออกไปดังหวีดหวิว
เกือบจะเวลาเดียวกัน อริยะคนอื่นๆ ก็ลงมือด้วยเช่นกัน
วู้ม!
อริยะเมี่ยวหวาสะบัดมือออกไป เชือกสีทองอร่ามเส้นหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา ประหนึ่งมังกรใหญ่สีเหลืองทองเลื้อยคดเคี้ยว โอบล้อมด้วยรัศมีแสงอริยมรรค ห้อทะยานสู่ทะเล
พรึ่บ!
อริยะเต้าคุนยื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บ ห้านิ้วกางประทับ แสงเพลิงพุ่งเสียดฟ้า สำแดงอานุภาพสุดสะพรึงที่เผาผลาญสรรพสิ่ง
ชิ้ง!
ดาบศึกในมืออริยะเซวี่ยถูผ่าฟันออกไป ชั่วพริบตาห้วงอากาศแปรปรวนพังทลาย แหวกเป็นรอยแยกยาวหนึ่งสาย แผ่ซ่านลุกลามเข้าไปในส่วนลึกของทะเลหมากดารา
เวลาเดียวกันนั้น อริยะอวี่หมิง อริยะฝูหยาต่างก็ลงมือเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน
กลางฟ้าดินเมฆลมเปลี่ยนสี ทรายปลิวว่อนหินเขยื้อน
พื้นที่แถบนี้ถูกพลังอริยมรรคที่น่าสะพรึงยิ่งใหญ่ปกคลุมโดยสิ้นเชิง ปรากฏภาพน่าสะพรึงยิ่งยวด พาให้ผู้คนที่ทอดมองอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกถึงความสิ้นหวังและหายใจไม่ออก
พลังผนึกต้องห้ามบนทะเลหมากดาราน่ากลัวมากจริงๆ
แต่อริยะทั้งหกไม่ได้เหยียบย่างบนนั้นด้วยซ้ำ แค่ทำเพื่อเก็บสมบัติอริยะที่ถูกสยบอยู่ในนั้นกลับไป และถือโอกาสสังหารหลินสวิน ความยากระดับนี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงพวกเขาแน่นอน
ไม่นานพลังที่พวกเขาสำแดงออกมาก็พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลหมากดารา และยังคงแผ่ขยายเรื่อยๆ…
……
หืม?
หลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิจู่ๆ ก็ถูกกลิ่นอายอันตรายทำให้สะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นมา
โครมครืน!
เบื้องหน้าเกาะสันโดษที่เขาอยู่ น้ำทะเลพลุ่งพล่านปั่นป่วน ตวัดคลื่นยักษ์นับหมื่น เกิดเป็นเสียงระเบิดปานอสนีคำราม
“อริยะ!”
“หกคนเต็มๆ!”
อาศัยสัมผัสของพลังค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา เพียงชั่วพริบตา ในห้วงนิมิตหลินสวินก็ปรากฏภาพชายฝั่งทะเลขึ้น พาให้เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นเยียบขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลังจากฆ่าเหล่าราชัน จะต้องชักนำให้เกิดมรสุมที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน
แต่กลับคิดไม่ถึงว่านี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น เคราะห์สังหารคับฟ้าก็ไหลทะลักประดังเข้ามาเสียแล้ว!
“อริยะหกคนร่วมมือกันเคลื่อนไหว ช่างให้ความสำคัญกับข้าหลินสวินจริงๆ…” หลินสวินพึมพำกับตัวเอง กลางนัยน์ตาดำยิ่งเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมกันนี้เขาทอดถอนใจในใจ แผนการไล่ไม่ทันการเปลี่ยนแปลง เดิมทีตั้งใจจะเก็บตัวอยู่ที่นี่เพื่อเสริมปราณแห่งตนให้สมบูรณ์
ใครเลยจะคาดคิด เพื่อจัดการกับเขา ขุมอำนาจเหล่านั้นถึงกับส่งอริยะออกโรงอย่างไม่เสียดาย หนำซ้ำยังมีถึงหกคนอีกด้วย!
นี่ไหนเลยจะเป็นเพียงการข่มเหงรังแกกันทั่วไป เห็นชัดๆ ว่าตั้งใจเข่นฆ่าจนสิ้นซากแล้ว!
ตูม!
ก้นทะเล แสงกระบี่สายหนึ่งโฉบออกมา แผ่รัศมีไร้ขอบเขต ส่องสว่างฟ้าดิน
กระบี่เทียมฟ้า!
กระบี่นี้เดิมทีถูกสยบไว้ ไร้หนทางปลดเปลื้อง แต่เวลานี้กลับเป็นเหมือนมังกรจองจำห้อทะยานสู่ฟ้า พุ่งไปทางชายฝั่งทะเล
หลินสวินรู้ นี่คือการเคลื่อนไหวของอริยะสำนักกระบี่เทียมฟ้า
เขาไม่ได้ปัดป้อง เพราะไม่สามารถป้องปัดได้เลยสักนิด
ครืนๆ!
ไม่นานตำหนักอมตะเองก็พุ่งออกมาราวกับภูเขาเทพลูกหนึ่งก็ไม่ปาน บนตัวตำหนักมีแสงสำริดไหลเวียนท่วมท้น แหวกทะลวงห้วงอากาศ ตามกระบี่เทียมฟ้าออกมาติดๆ
ไม่จำเป็นต้องเดาสักนิด คราวนี้เป็นการเคลื่อนไหวของอริยะแดนพิสุทธิ์อมตะ
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก พุ่งโฉบเข้าไปในส่วนที่ลึกยิ่งกว่าเดิมของทะเลหมากดาราโดยไม่ได้โอ้เอ้แต่อย่างใด
พลังของอริยะน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด ห่างชั้นเกินกว่าระดับราชันจะเทียบได้
ในสายตาระดับราชัน ผู้ฝึกปราณห้าระดับเป็นดั่งมด
แต่ในสายตาของอริยะ ทุกชีวิตล้วนเป็นเหมือนมด!
นี่ก็คือความแตกต่าง!
จากการที่พวกเขาสามารถเก็บสมบัติอริยะที่ถูกจองจำได้รวดเร็วขนาดนี้ ก็เห็นได้ว่าพลังของอริยะเหล่านี้น่าสะพรึงเพียงใด
ยามนี้หลินสวินได้แต่หวังว่าพลังค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราของทะเลหมากดารา จะสามารถปกป้องตนได้เท่านั้นแล้ว
ขณะที่หลินสวินเคลื่อนไหวได้ไม่นาน สมบัติอริยะอย่างร่มรุ้งสมบัติม่วง บรรทัดสยบฟ้า ประทับนรกโลหิต ตำราหยกสีทองที่ถูกขังอยู่ใต้ทะเล ต่างก็ปลดเปลื้องพันธนาการออกมาติดต่อกัน ถูกอริยะที่อยู่ชายฝั่งทะเลเก็บกลับไป
เหตุที่รวดเร็วเช่นนี้ ความจริงแล้วง่ายดายยิ่ง
สมบัติอริยะเหล่านี้เดิมก็เป็นของขุมอำนาจของพวกเขาแต่ละคนอยู่แล้ว สมบัติอริยะมีวิญญาณ กลิ่นอายของมันย่อมถูกอริยะเหล่านี้สัมผัสได้ตั้งแต่แรก กอปรกับการเรียกหากันทั้งจากภายในและภายนอก จึงง่ายดายอย่างที่สุดอยู่แล้ว
เพียงแต่หลังจากที่เก็บสมบัติอริยะแล้ว เหล่าอริยะกลับไม่ได้ดูยินดีสักนิด ตรงข้ามสีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นอึมครึมในทันที
“เจ้าเด็กนั่นถึงกับหยิบยืมพลังผนึกต้องห้ามของทะเลหมากดารามากำราบสมบัติอริยะของพวกเรา! จนทำให้สมบัติอริยะเสียหาย!”
ฟางหลิงซู่โมโหเลือดขึ้นหน้า สังเกตเห็นทันทีว่ากระบี่เทียมฟ้าชำรุด ถึงแม้จะไม่ถือว่าร้ายแรง แต่หากคิดจะซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล
“ฆ่าคนในสำนักข้า ทำลายสมบัติอริยะ เด็กนี่ต้องชดใช้ค่าเสียหายอย่างหนัก!”
อริยะคนอื่นๆ ต่างก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเพิ่งถูกสยบไปไม่กี่วัน สมบัติอริยะเหล่านี้ต่างได้รับความเสียหายหลากหลายระดับ สิ่งนี้พาให้พวกเขาเจ็บปวด หัวใจล้วนหลั่งเลือด!
พวกเขาสามารถมองทุกชีวิตเป็นเหมือนมดปลวก แต่กลับไม่อาจไม่สนใจสมบัติอริยะ!
เนื่องจากในใจของพวกเขา สมบัติอริยะสำคัญกว่าหน่อยอย่างไม่ต้องสงสัย เกี่ยวโยงกับแผนระยะยาวของการที่ขุมอำนาจแห่งหนึ่งจะคงอยู่ต่อไปในโลกหล้า!
สมบัติอริยะระดับนี้ มีหรือจะยอมให้เสียหายได้ง่ายๆ
“เจ้าหนุ่ม เจ้าหนีไม่รอดหรอก ให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง ยอมให้จับแต่โดยดี จะให้เจ้าได้ไปสบาย!”
ฟางหลิงซู่ทอดเสียงยานคางหนึ่งครา แววตาสาดมอง เพียงชั่วครู่ก็จับจ้องหลินสวินที่เผ่นหนีไปในส่วนลึกของทะเลหมากดาราเอาไว้ได้
นี่เป็นการดูถูกอย่างยิ่ง ลำพังพลังของอริยะอย่างเขาย่อมสามารถสยบหลินสวินได้อยู่แล้ว
แต่ตอนนี้กลับให้หลินสวินเป็นฝ่ายมอบตัว ท่าทีเหยียดหยันและสูงส่งเช่นนั้น สะท้อนออกมาอย่างชัดแจ้งในประโยคเดียว
หลินสวินตัวแข็งไปทั้งร่าง สัมผัสได้ว่าเจตจำนงอันน่ากลัวกำลังจับจ้องตนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดิ้นหลุด ราวกับหนามบนหลัง เป็นดั่งปรสิตติดกระดูก
สิ่งนี้พาให้เขาหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ตระหนักได้ถึงความน่าหวาดกลัวของระดับอริยะโดยสิ้นเชิง!
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยประจันหน้ากับอริยะอย่างแท้จริงสักครั้ง เดิมทีคิดว่าตนยังประเมินสูงเกินไปด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ายังดูเบาบุคคลระดับนี้ไปเสียแล้ว
ระยะห่างขนาดนี้ ทั้งยังมีค่ายกลวัฏจักรดาราคั่นกลาง กลับยังคงถูกพลังขับเคลื่อนของอีกฝ่ายจับกุมแน่นหนา สิ่งนี้น่าสะพรึงอย่างไม่ต้องสงสัย!
ตูม!
หลินสวินกัดฟัน โคจรพลังของค่ายกลวัฏจักรดาราโดยไม่ลังเลสักนิด ทันใดนั้นเวิ้งนภาพังทลาย สะท้อนหมู่ดาวนับไม่ถ้วน ประกายดาราสีเงินยวงร่วงโปรยปราย
เหนือผิวทะเล ประกายดาราพลุ่งพล่าน พลังผนึกต้องห้ามพวยพุ่งอาบชโลมเงาร่างหลินสวินไว้ภายในนั้น เปลี่ยนเป็นเจิดจรัสไร้ใดเปรียบ ประหนึ่งกลายร่างเป็นนายเหนือหัวผู้หนึ่ง
“เห น่าสนใจ สามารถใช้พลังผนึกต้องห้ามของทะเลนี้ได้จริงๆ ด้วย มิน่าหลายวันก่อนถึงกล้าโอหังถึงขั้นสังหารระดับราชันตั้งมากมายขนาดนั้น”
ฟางหลิงซู่หรี่ตาลง แต่กลับไม่ได้ตื่นตระหนก หากแต่กำลังสำรวจโดยละเอียด สีหน้าเรียบเฉยและสงบนิ่ง มีความมั่นใจอย่างถึงที่สุด เหมือนพบเหยื่อที่น่าสนใจตัวหนึ่ง
แน่นอน สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพียงความน่าสนใจเท่านั้น เหยื่อสุดท้ายก็เป็นแค่เหยื่อวันยังค่ำ ถูกกำหนดให้ไม่อาจหนีพ้นจุดจบที่ต้องถูกสังหารแน่นอน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น