Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1079-1082

 ตอนที่ 1079 เวลาราวกับขนนก

 

“คนอย่างหลินสวินฆ่าไม่ตายหรอก พวกเจ้าทำเช่นนี้จะต้อชักนำภัยพิบัติมาสู่สำนักแน่!”


ทันใดนั้นจินมู่อวิ๋นพูดเสียงเย็น กวาดมองข่งหลิงและพวกหม่าหยวนชิง สายตานั่นน่ากลัวราวกับกระบี่คม


เผชิญกับสายตาเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างมีความรู้สึกไม่กล้าสบตา


“มู่อวิ๋น เจ้าพูดบ้าอะไร”


หม่าหยวนชิงขมวดคิ้ว ต่อว่าประโยคหนึ่ง “เจ้าควรรู้ว่ายามประลองก่อนหน้านี้ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นตัดหัวเจ้าเชียวนะ!”


“ศิษย์พี่จิน ไม่ว่าเทพมารหลินนั่นแข็งแกร่งแค่ใด ก็เพียงแค่หัวเดียวกระเทียมลีบ ตอนนี้ยังมีสำนักโบราณมากมายขนาดนั้นเคลื่อนกำลังพร้อมกัน เขาต้องตายแน่”


ข่งหลิงสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง แย้งออกมาเช่นกัน


“ข้าแค่เตือนเท่านั้น พวกเจ้าจะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่”


จินมู่อวิ๋นถอนหายใจในใจ จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง ส่ายหน้าแล้วหมุนตัวออกไป


เป็นสำนักโบราณก็สามารถวางอำนาจบาตใหญ่ได้หรือ


เมื่อมหายุคมาเยือน ทุกอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ด้วยความสามารถของหลินสวินในตอนนี้ อนาคตต้องกลายเป็นราชันเป็นอริยะได้อย่างแน่นอน!


แต่ตอนนี้คนเหล่านี้ยังมองเทพมารหลินเป็นของไร้ค่า คิดว่าสามารถกลั่นแกล้งได้ตามอำเภอใจ ช่างไม่รู้จักมองการณ์ไกล!


หากเทพมารหลินฆ่าง่ายขนาดนี้ คงตายตั้งแต่ตอนอยู่ในแดนฐิติประจิมแล้ว จะมีความสำเร็จในวันนี้ได้อย่างไร


ยิ่งคิด ในใจจินมู่อวิ๋นก็ยิ่งผิดหวัง


ดินแดนรกร้างโบราณยิ่งใหญ่เพียงนี้ หรือว่า…จะไม่มีที่ยืนสำหรับเทพมารหลินแค่คนเดียว


เหล่าสำนักที่เห็นเขาเป็นศัตรูเคยรู้หรือไม่ว่า หากปล่อยให้เทพมารหลินรอดชีวิตไปได้ จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวแค่ไหน


เสียดายที่คำพูดเหล่านี้ถูกกำหนดให้ไม่มีใครได้ยิน


จินมู่อวิ๋นถอนหายใจอีกครั้ง หยุดคิดมากไปกว่านี้ เขาเพียงคิดว่าอยากรีบออกจากตรงนี้ ยิ่งไกลยิ่งดี จะได้ไม่ถูกเรื่องพวกนี้ทำเสียอารมณ์


“ศิษย์พี่จินเป็นอะไรไป หรือหลังจากถูกหลินสวินเอาชนะแล้วในใจจึงมีเงามืดเหลือทิ้งไว้”


“หึ ข้าว่าเขาคงกลัว!”


“อย่าพูดบ้าๆ ศิษย์พี่จินอาจจะ… อาจจะเป็นห่วงหลายเรื่อง”


มองตามจินมู่อวิ๋นจนลับตาไป พวกหม่าหยวนชิง ข่งหลิงต่างชะงักไปเล็กน้อย ทว่าล้วนไม่เห็นด้วย


หลินสวินยังไม่ได้บรรลุสู่ระดับราชัน ฆ่าเขาตาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการบี้มดตรงตีนเขาตัวหนึ่งตาย!


……


สวบ~ สวบ~


ในแดนลับที่แทบจะว่างเปล่า ยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขตนี้ ทุกที่ล้วนเป็นสีดำราวกับรัตติกาล เงียบสงบและกว้างโล่ง


ตอนนี้มีลำแสงสีสันงดงามราวกับมายาโบยบินอยู่กลางอากาศสีดำ ก่อนจะหายแวบไปในชั่วพริบตา


ลำแสงนั่นงดงามเกินไปแล้ว ว่องไวบางเบาเหมือนขนนก ปลดปล่อยแสงหลากสี แม้จะหายไปในชั่วพริบตา แต่กลับทำให้รู้สึกถึงความงดงาม


ตอนที่หลินสวินไปถึงที่แห่งนี้ จิตใจก็ถูกดึงดูดทันที


“เจ้าอย่าพยายามไปสัมผัสจะดีที่สุด พลังแห่ง ‘กาลเวลา’ พวกนั้นเป็นพลังกฎระเบียบสูงสุดที่แม้แต่อริยะยังไม่กล้าแตะต้องง่ายๆ”


ข้ารับใช้วิญญาณปรากฏตัวข้างๆ เอ่ยปากเตือน


ประโยคเดียวทำเอาหลินสวินเหงื่อตก สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจไม่หยุด


ใครจะคิดได้ว่า แสงที่ราวกับไหวเคลื่อนเกิดดับราวกับขนนกนั่น ดันเป็นพลังของกาลเวลา


ที่อริยะเป็นอริยะได้ ก็เพราะครอบครองนัยเร้นลับแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า สามารถตัดผ่านจักรวาล ท่องไปในความว่างเปล่า แทบจะไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!


ปัจจุบันค่ายกลเคลื่อนย้ายที่กระจายอยู่ในแต่ละแคว้นใหญ่ๆ ของดินแดนรกร้างโบราณ ก็เป็นอริยะเปิดขึ้นมากับมือ มิฉะนั้นในระดับต่ำว่าอริยะ ก็ไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าได้


แม้จะเป็นอริยะ ก็มีพลังที่ไม่สามารถแตะต้องได้ อย่างเช่นเวลา!


สมัยบรรพกาลก็เคยมีอริยะแสดงความหดหู่ว่า ‘กาลเวลาราวกับขนนก ไม่มีใครสามารถแบกรับความหนักของมันได้’


“ที่แห่งนี้คือแดนลับไร้มรณะ ถูกจำกัดด้วยกฎแห่งกาลเวลาที่แตกต่างกัน ฝึกปราณที่นี่หนึ่งปีเท่ากับหนึ่งวันในโลกภายนอก”


เสียงของข้ารับใช้วิญญาณเรียบเฉยมาตลอด ไม่มีคลื่นอารมณ์สักนิด “ทว่าทุกครั้งที่มีการเปิด จะเสียพลังแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง หากพูดถึงมูลค่า เรียกได้ว่าเป็นศุภโชคพลิกฟ้า หวังว่าเจ้าจะรักษาโอกาสนี้ อย่าได้เอื่อยเฉื่อย”


“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”


หลินสวินประสานหมัดคาราวะ


หนึ่งปี!


เพียงพอจะทำให้การฝึกมหามรรคของเขายกระดับขึ้นขั้นใหญ่!


ก่อนหน้านี้ตอนอยู่นครหยกขาว เขาก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าจะเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในด้านใด เขาก็ไม่ด้อยกว่าแล้ว นอกจากด้านเวลา!


อวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีที่แล้ว ถูกตนก้าวข้ามไปแล้วจริงๆ


แต่อวิ๋นชิ่งไป๋ในสิบปีหลังจากนั้น จะแข็งแกร่งแค่ไหน


หลินสวินไม่รู้ แต่เขามั่นใจว่าด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและแก่นกระดูกของอวิ๋นชิ่งไป๋ การปิดด่านฝึกตนสิบปีเพียงพอจะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงราวถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก


ทว่าปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ การฝึกปราณในระดับกระบวนแปรจุติถึงอย่างไรก็มีขีดจำกัด อวิ๋นชิ่งไป๋อยากทะลวง ก็ทำได้เพียงทะลวงตอนมหายุคมาเยือน!


นี่ก็หมายความว่า เขาปิดด่านมาสิบปี ต่อให้การเปลี่ยนแปลงของศักยภาพจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังจำกัดเพียงในระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น


นี่เป็นการให้โอกาสหลินสวินได้ชดเชยข้อบกพร่องและไล่ตามให้ทัน!


โดยเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งปีในแดนลับไร้มรณะ หากคว้าโอกาสไว้ให้ดี ก็จะสามารถย่นและชดเชยระยะห่างที่ใหญ่ที่สุดได้!


“เจ้า…” ข้ารับใช้วิญญาณเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป


“ผู้อาวุโสมีเรื่องใดหรือ” หลินสวินถาม


“ตั้งใจฝึกปราณเถอะ” สุดท้ายข้ารับใช้วิญญาณก็ไม่ได้พูดอะไร หมุนตัวจากไป


หลินสวินชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ทันไรก็หยุดคิดมาก


เขามองห้วงอากาศสีดำไร้ขอบเขตที่ราวกับรัตติกาลนิรันดร์ และมองพลังแห่งกาลเวลาอันงดงามที่ลอยล่องราวกับขนนก จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป


หลินสวินนั่งขัดสมาธิ ในใจบริสุทธิ์ว่างเปล่า นิ่งสงบไร้การเปลี่ยนแปลง


‘การฝึกปราณเป็นรากฐานของการฝึกยุทธ์ ตัดสินความแข็งแกร่งและอ่อนแอของพลังต่อสู้ ก้าวแรก ฝึกปราณให้ถึงขั้นสมบูรณ์ก่อน…’


ฮูม


รัศมีศักดิ์สีใสมากมายไหลออกจากร่างกายของหลินสวิน ขับเคลื่อนเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน ในร่างกายของเขา จักระเทพวงหนึ่งจรัสแสง ราวกับหินโม่ที่ขัดเกลาพลังปราณรอบตัวไม่หยุด


ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป หลินสวินเปล่งแสงไปทั้งตัว ในร่างกายราวกับมีภูเขาใหญ่มากมายพุ่งชนกัน ส่งคลื่นเสียงกึกก้องแปลกประหลาดแฝงจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์


ฝึกปราณห้าระดับใหญ่ หลินสวินเคยฝึกซ้ำอยู่สองครั้ง


ครั้งหนึ่งที่แดนลับอสูรมารอริยะในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หมายจะบรรลุจุดสูงสุด จึงฝึกปราณเสียใหม่ แก้ไขข้อบกพร่องในอดีต


อีกครั้งตอนที่หลอมรวมจักระเทพในร่าง หมายจะเหยียบย่างในมกุฎมรรคาสูงสุดของระดับกระบวนแปรจุติ จึงเคี่ยวกรำพลังปราณอีกครั้ง และสุดท้ายก็บรรลุ


ประสบการณ์ที่หายากอย่างยิ่งเช่นนี้ทำให้รากฐานพลังปรากณของเขามั่นคง ในรุ่นเดียวกันแทบไม่มีใครเทียบได้!


และนี่คือก็กุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสู้กับบุคคลขอบเขตมกุฎแห่งยุคอย่างพวกเยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน จินมู่อวิ๋นได้ ทั้งยังได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด


แต่ไม่มีใครรู้ว่า พลังปราณระดับกระบวนแปรจุติของหลินสวินยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริง!


หากไม่ใช่เช่นนี้ การต่อสู้ของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ของเขามีแต่จะแข็งแกร่งขึ้น!


กาลเวลาราวกับขนนก ไม่มีใครสามารถแบกรับความหนักเบาของมันได้ รู้ตัวอีกที ในแดนลับไร้มรณะได้ผ่านไปสามเดือนแล้ว


ตูม!


วันนี้รอบตัวหลินสวินราวกับเตาหลอม จู่ๆ ก็ส่งเสียงกึกก้องทะลวงฟ้า


แสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวอ่อนสดใสเรืองรองพรั่งพรูออกจากทุกอณูของเขา เผยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ ชัดเจนและบริสุทธิ์


ตัวเขาราวกับดวงอาทิตย์สีเขียวเจิดจ้า ส่องสว่างห้วงอากาศผืนนี้


พรึ่บ!


ชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้น ราวกับหุบเหวที่ลึกล้ำเกินคาดเดาสองแห่งปรากฏ ปลดปล่อยประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เพียงพอจะทำให้สรรพสิ่งกลางฟ้าดินหัวใจสะท้าน


จากนั้นปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดก็ถูกเก็บไป สั่งสมไว้ภายใน กลับคืนสู่สภาพบรรยากาศราบเรียบอีกครั้ง


สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อแข็งแกร่งถึงที่สุดแล้วจึงลอกคาบ เก็บซ่อนพลังไว้ภายใน


หลินสวินในตอนนี้ก็เช่นกัน หลังจากพลังปราณบรรลุขั้นสมบูรณ์ ก็ราวกับการลอกคาบครั้งหนึ่ง มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดคืนสู่สามัญ กลับสู่สภาพเดิม


ชำระล้างธุลีจนหมดสิ้น ก็แค่นั้น


ฮู่ว


หลินสวินพ่นลมหายใจคำหนึ่ง กระแสอากาศราวกับสายฟ้าพลุ่งพล่าน เกิดเสียงดังครืนโครมสะเทือนสี่ทิศ!


‘สามเดือน แกนวิญญาณขั้นสูงแปดหมื่นชิ้น ในที่สุดก็ทำให้ข้าบรรลุถึงระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์สุดยอดแล้ว นับจากนี้ในด้านฝึกปราณ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวอวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว!’


ดวงตาดำของหลินสวินนิ่งสงบ ไม่ได้ตื่นเต้นและไม่ได้ดีใจ


พัฒนาการเช่นนี้อยู่ในการคาดเดาของเขาแต่แรกแล้ว


‘ต่อจากนี้ก็ถือซะว่าฝึกพลังยุทธ์’


‘การฝึกยุทธ์เกี่ยวข้องกับวิชาลับการต่อสู้ พลังมหามรรค และจิตต่อสู้’


‘ยังไม่ได้หยั่งรู้ ‘กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้’ ในหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า หากสามารถควบคุมและหลอมรวมเข้าด้วยกัน มรดกวิชานี้จะต้องแสดงอานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าแน่’


‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร มีการหนุนช่วยจากพลังมหามรรคเจินหลง และเกิดการเปลี่ยนแปลง จะต้องรีบทำความคุ้นเคยและควบคุมให้ชำนาญอย่างเร็วที่สุด’


‘และหากอยากยกระดับอานุภาพของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มีเพียงเลื่อนระดับมรรคดับดารากลืนกินให้ถึงระดับแก่นมรรค…’


หลินสวินคิดเงียบๆ


ในระดับกระบวนแปรจุติ พลังปราณอาจจะใกล้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน อวิ๋นชิ่งไป๋ก็คงทำได้ถึงขั้นนี้ตั้งนานแล้ว


หากต่อสู้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ จุดสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ จะต้องอยู่ที่การฝึกยุทธ์ของแต่ละคน!


หลังจากหลินสวินใคร่ครวญแล้ว พบว่าตนยังมีหลายอย่างที่สามารถพัฒนาได้


ในการฝึกมหามรรค ต้องยกระดับมรรคดับดารากลืนกินให้ถึงระดับแก่นมรรค


ในการฝึกวิชายุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรหรือหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า ล้วนยังไม่เคยศึกษาจนเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริง!


ยังมีช่องว่างในการพัฒนาที่ใหญ่มาก!


นี่ไม่ใช่จุดอ่อนหรือบกพร่อง ตรงกันข้าม การมีช่องว่างให้พัฒนาเช่นนี้ ก็คือความหวังที่ว่าสามารถเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกได้


ก็เหมือนกับการปีนเขา ตรงหน้าคนอื่นๆ มีบันไดมรรคเพียงเก้าสิบเก้าขั้น ส่วนที่อยู่ตรงหน้าหลินสวิน เป็นบันไดที่มากกว่าเก้าสิบเก้าขั้น


ยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไหร่ก็ย่อมมองได้ไกลยิ่งขึ้น!


หลินสวินไม่ชักช้า จมสู่การฝึกฝนเคี่ยวกรำครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


หนึ่งเดือนหลังจากนั้น


สิ่งที่บรรลุเป็นอันดับแรกกลับเป็นมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หลังหลอมรวมนัยเร้นลับแห่งเจินหลงเข้าไป อานุภาพของทุกร่างล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์


อย่างเช่นก้าวย่างชือน้ำแข็ง ความเร็วเพิ่มขึ้น เร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยสามเท่า!


หากต่อสู้กัน ฝ่ายที่ว่องไวย่อมเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเสมอ


หรืออย่างผนึกป้าเซี่ย เมื่อสำแดงออกมา ผู้กล้าขอบเขตมกุฎทั่วไปก็จะถูกกักขังจนขยับตัวไม่ได้ในทันที!


นอกจากนี้ร่างอื่นๆ อย่างประทับปี้อั้น ไอซวนหนี เสียงคำรามผูเหลา ก็ล้วนเพิ่มความมหัศจรรย์และอานุภาพมากมาย


ที่วิเศษที่สุดคือนัยน์ตาเฉาเฟิงกับดวงใจฉิวหนิว


สองร่างนี้ไม่ได้ใช้กับการต่อสู้


ร่างแรกสามารถมองทะลุเนื้อแท้แห่งภูผาธารา เสาะหาชีพจรปราณ สามารถค้นพบ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ที่คนอื่นไม่สามารถเสาะหาพบได้


หลังจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ พอหลินสวินใช้นัยน์ตาเฉาเฟิงสังเกตพลังแห่งกาลเวลาที่ไหวกะพริบไม่นิ่งเหล่านั้น พลันพบว่าพลังแห่งกาลเวลาที่ราวกับขนนกนั่น กลับควบรวมจากกฎและระเบียบอันหนาแน่นสายแล้วสายเล่า!


เพียงแวบเดียวก็ทำให้หลินสวินขนลุกขึ้นมา ในใจสั่นไหว รู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต


ครั้งแรกที่เข้ามาในแดนลับไร้มรณะ เขาไม่สามารถมองทะลุธาตุแท้ของพลังกาลเวลาได้ ยังคิดอยู่เลยว่าเป็นลำแสงที่งดงามเต็มไปด้วยสีสัน…


ส่วนการเปลี่ยนแปลงของดวงใจฉิวหนิว กลับเหนือจินตนาการของหลินสวินอย่างสิ้นเชิง!

 

 

 


ตอนที่ 1080 บังคับชิงศุภโชคไร้มรณะ

 

มรรคพ้องดั่งใจ!


นี่ก็คือพลังวิเศษอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นหลังจากดวงใจฉิวหนิวเปลี่ยนแปลง


ในฐานะร่างที่เก้าของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ดวงใจฉิวหนิวไม่ใช่วิธีการต่อสู้ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย


ประโยชน์เดียวของมันคือช่วยผู้ฝึกปราณหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์มหามรรค สามารถเพิ่มความเร็วในการหยั่งรู้มหามรรคให้กับผู้ฝึกปราณ


ส่วน ‘มรรคพ้องดั่งใจ’ ที่ว่า เป็นวิธีอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่กระตุ้นพลังแห่งสภาวะจิตให้สอดคล้องกับมหามรรค หยั่งถึงมหามรรค


อย่างเช่นก่อนหน้านี้ยามหลินสวินหยั่งรู้พลังมหามรรคธาตุไฟ ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีจึงสามารถบรรลุถึงระดับ ‘ท่วงทำนองแห่งมรรค’ ได้


แต่หากมีความช่วยเหลือของมรรคพ้องดั่งใจ อย่างมากใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว!


ความวิเศษอัศจรรย์เช่นนี้ทำให้หลินสวินเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้


เขารู้ดีว่าวิธีการหยั่งมหามรรคอันวิเศษอัศจรรย์ระดับนี้ หากเผยแพร่ออกไป จะต้องเป็นเหตุให้ผู้ฝึกปราณทั่วหล้าแย่งชิงกันอย่างแน่นอน!


ถึงอย่างไรสำหรับผู้ฝึกปราณทุกคน การแจ้งมรรคก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นและลำบากแสนเข็ญที่สุด


เพียงแค่เวลาที่ใช้ หากไม่มีความสามารถในการหยั่งรู้ที่จุดประกายขึ้นมา ก็ไม่สามารถสัมผัสแก่นอัศจรรย์มหามรรคได้แน่


แต่ถ้ามีความช่วยเหลือจากมรรคพ้องดั่งใจ ย่อมสามารถทำให้การแจ้งมรรคง่ายขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย!


‘มรรคแห่งเจินหลงมหัศจรรย์มากจริงๆ หลังจากหลอมรวมเข้าไปในมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร จึงทำให้อานุภาพของวิชาลับนี้ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่’


‘และในฐานะร่างที่เก้าอย่างดวงใจฉิวหนิว ย่อมมหัศจรรย์ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!’


เดิมทีหลินสวินยังกังวลว่าเวลาจะไม่พอ ไม่สามารถบรรลุมรรคดับดารากลืนกินให้ถึงระดับแก่นมรรคได้ในแดนลับไร้มรณะแห่งนี้


ตอนนี้ความกังวลเช่นนี้ก็ได้หายวับไปหลังจากครอบครองแก่นอัศจรรย์ของมรรคพ้องดั่งใจ


……


เวลาล่วงเลย ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว


หลินสวินเข้าถึงนัยเร้นลับของกระบวนเฉือนเกิดดับอย่างสมบูรณ์แล้ว!


หากสำแดงออกมาอย่างเต็มกำลัง เขามั่นใจว่า แม้ในสถานการณ์ที่ไม่มีความช่วยเหลือจากพลังมรรคดับดารากลืนกิน ก็สามารถทลาย ‘ดุจภาพภูผาธารา’ ของเยี่ยเฉินและ ‘ไปไร้หวน’ ของเซี่ยวชางเทียนได้


เวลาล่วงเลยไป


เดือนที่หกในการปิดด่านฝึกปราณในแดนลับ


หลินสวินครอบครองนัยเร้นลับของ ‘กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้’ ในขั้นต้นแล้ว


ไม่เที่ยงแท้ คือไม่สามารถกำหนดตัวแปรได้!


เหมือนกับโชคชะตาที่ไม่อาจทำนาย ราวกับผลกรรมที่ลึกลับเกินคาดเดา


เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก การผันเปลี่ยนของฤดูกาลทั้งสี่ การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ล้วนก้าวไปตามลำดับระหว่างความเที่ยงและความไม่เที่ยง พาให้เกิดตัวแปรมากมายนับไม่ถ้วน


ดังคำกล่าวที่ว่า ‘สังขตธรรมทั้งปวง ดุจเงาฟองฝันมายา ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล’ สิ่งที่บรรยายก็คือแก่นแห่ง ‘ความไม่เที่ยง’


อริยะในอดีตถึงขั้นกล่าวว่า ‘ความไม่เที่ยงมาเยือน หมื่นวิชาล้วนถูกทำลาย!’


กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ก็เช่นกัน เมื่อโจมตีออกไป ว่างเปล่าเลือนราง เปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจ ราวกับตัวแปรมาเยือน มีไอสังหารที่เทพผียังไม่อาจคาดเดา!


สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ นัยเร้นลับของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ มีความเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับนัยเร้นลับของกระบวนเฉือนเกิดดับ


มีเพียงผ่านการ ‘เกิดดับชั่วพริบตา’ จึงจะรู้ถึงแก่นแท้แห่ง ‘ความไม่เที่ยง’!


แก่นมหัศจรรย์ที่สั่งสมอยู่ในกระบวนเฉือนนี้ ไม่สามารถเปรียบเทียบด้วยคำว่ายากลำบากตามความหมายทางโลกได้อีกต่อไปแล้ว แต่เกี่ยวโยงไปถึงโอกาสแห่งตัวแปรมหามรรค เรียกได้ว่าพลิกฟ้า


แม้ด้วยความสามารถในการหยั่งถึงของหลินสวิน ใช้เวลาหนึ่งเดือน ยังหยั่งรู้ได้เพียงแก่นอัศจรรย์เสี้ยวหนึ่งของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้เท่านั้น


แต่แค่แก่นอัศจรรย์เสี้ยวนี้ก็ทำให้หลินสวินใจสั่นแล้ว


ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


กระบวนเฉือนนี้ เหมือนกับตัวแปรที่เลือนรางลวงตา ปรากฏในชั่วพริบตา ราวกับหลบไม่พ้น สกัดกั้นไม่อยู่ ถูกกำหนดให้ถูกสังหาร!


‘เสียดายที่ไม่สามารถใช้เวลาทั้งหมดในการหยั่งรู้กระบวนเฉือนนี้…’


หลินสวินถอนหายใจในใจ นัยเร้นลับของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้คลุมเครือเกินไป เขามีลางสังหรณ์ว่า แม้ใช้เวลาหนึ่งปีก็อาจไม่สามารถครอบครองแก่นอัศจรรย์หนึ่งในสิบส่วนได้!


หากลงแรงและเวลากับมัน จะเป็นการเสียเวลาในการปิดด่านครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


‘ทว่าเพียงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์เพียงเสี้ยวเดียว อานุภาพของมันก็เพียงพอจะเป็นอาวุธสังหารแล้ว จากนี้ค่อยๆ ฝึกไป อานุภาพนี้จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน’


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง พยายามข่มกลั้นความวู่วามที่จะหยั่งรู้กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ต่อ เพ่งสมาธิไปที่การหยั่งรู้มรรคดับดารากลืนกินแทน


วู้ม


นัยเร้นลับแห่งมรรคพ้องดั่งใจของดวงใจฉิวหนิวถูกหลินสวินขับเคลื่อน ทำให้เขาปรับเข้ากับพลังมรรคดับดารากลืนกินในตัวได้ทันที จมอยู่ภายใน อนุมานและหยั่งรู้นัยเร้นลับในนั้น


เวลากำลังล่วงเลยไป หลินสวินที่กำลังหยั่งรู้มหามรรคไม่สังเกตเลยว่า เงาร่างที่คลุมเครือและเลือนรางสายหนึ่งเคลื่อนออกจากห้วงนิมิตของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง


ร่างกายของนางเพรียวยาวและสง่า ราวกับโซ่เทพกฎระเบียบที่ชัดเจนบริสุทธิ์และพร่างพราวสายแล้วสายเล่าพันอยู่ ละอองแสงเซียนสวรรค์โปรยปราย บรรยากาศเทพไท้ลุกโชน ลำแสงต่างๆ แผ่ประกายออกจากรอบตัว


เพราะการปรากฏตัวของนาง ในแดนลับไร้มรณะที่ราวกับราตรีนิรันดร์นี้ จู่ๆ ก็มีสีสันที่หลากหลายและงดงามเพิ่มเข้ามา


นางยืนอยู่ตรงนั้นตามสบาย แต่กลับมีอานุภาพพลังที่เย่อหยิ่งเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ทำให้กาลเวลายังทำได้เพียงก้มหัวให้


“แดนลับไร้มรณะ เวลาผ่านไปรวดเร็ว… ร่องรอยการต่อสู้แห่งใต้หล้าในตอนนั้นกลับหลงเหลือมาถึงวันนี้… เพียงแต่คนพวกนั้นกลับ… ตายไปนานแล้ว”


ก็ไม่รู้ว่านางคิดถึงอะไร จึงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง


จากนั้นสายตาของนางก็ไปหยุดที่หลินสวิน ไม่ได้มีอานุภาพใดๆ จึงไม่ได้รบกวนหลินสวินที่กำลังแจ้งมรรค


นางมองเงียบๆ อยู่นานถึงค่อยผละสายตาออก ราวกับจมสู่ภวังค์ความคิด


“เข้าภูเขาสมบัติจะกลับมือเปล่าได้อย่างไร… ช่างเถอะ เสียผลกรรมบางส่วน ให้วาสนาเจ้าสักหน่อย มหายุคกำลังจะมาเยือน หากเจ้าร่วงหล่น ข้าก็ไม่มีเวลารออีกต่อไปแล้ว…”


สุดท้ายนางราวกับตัดสินใจได้ ยื่นมืองดงามข้างหนึ่งออกมา


ทันใดนั้นหญิงสาวราวกับเปลี่ยนเป็นนายเหนือหัว กลิ่นอายสยบสิบทิศ


ฮูม


แดนลับไร้มรณะที่กว้างใหญ่และไม่มีขอบเขตนี้ ตอนนี้กลับสั่นไหวขึ้นมากะทันหัน ห้วงอากาศพลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำ ความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่มาก


ฉึก!


หญิงสาวยื่นมือไปคว้า พลังกฎระเบียบที่มหัศจรรย์และคลุมเครือก็ถูกทะลวง จากนั้นแปรเป็นสัญลักษณ์ที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาดทันควัน แผ่กลิ่นอายไร้มรณะ


นี่ก็คือพลังของกฎระเบียบไร้มรณะ สิ่งที่สั่งสมอยู่ภายใน คือมรรคไร้มรณะที่บริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้!


จากนั้นนางดีดนิ้ว สัญลักษณ์ตัวหนึ่งพลันโฉบเข้าหว่างคิ้วของหลินสวิน


“ใคร!”


และตอนนี้เอง เสียงที่เรียบเฉยอย่างที่สุดดังขึ้น เงาร่างของข้ารับใช้วิญญาณปรากฏขึ้นกะทันหัน รอบตัวเต็มไปด้วยแสงประกายที่ศักดิ์สิทธิ์ราวกับไม่อาจดับสูญ


แต่ตอนที่ข้ารับใช้วิญญาณมาถึง แดนลับไร้มรณะก็กลับคืนสู่ความสงบดังเดิมแล้ว แม้แต่ความผิดแผกเสี้ยวหนึ่งก็ไม่มี


มีเพียงหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ยังคงแจ้งมรรคโดยไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัว


ข้ารับใช้วิญญาณนิ่งเงียบเนิ่นนาน


สุดท้ายเขามองหลินสวินแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นก็หมุนตัวจากไป


เพียงแต่ชั่วขณะที่เขาหมุนตัว แผ่นหลังกลับปรากฏหลุมหลุมหนึ่ง ราวกับถูกใครคว้าจับไว้ รอยนิ้วยังคงอยู่


หากภาพนี้ถูกใครเห็นเข้าจะต้องตกใจจนอ้าปากค้างแน่ ข้ารับใช้วิญญาณเป็นถึงร่างจำแลงของเจตจำนงกฎระเบียบแห่งภูเขาเทพไร้มรณะนี้เชียว!


ใครสามารถคว้าเนื้อชิ้นหนึ่งบนร่างกายของเขาได้


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เลือดเนื้อที่แท้จริง เป็นกฎระเบียบอย่างหนึ่ง แต่น่ากลัวกว่าและชวนผวาจนถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย


……


เดือนที่สิบในการปิดด่านอยู่ในแดนลับไร้มรณะ รอบตัวหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ห้วงอากาศทรุดทลายกะทันหัน เสียงระเบิดดังสะเทือนหู ราวกับถูกกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น


ทั่วร่างของหลินสวินในตอนนี้ราวกับหุบเหว พลังยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดและลึกล้ำไม่อาจคาดเดา น่ากลัวไร้ขอบเขต


และเหนือศีรษะของเขา เกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ธารดารามอดไหม้ ท้องฟ้าทลายจ่อมจม คลุมเครือไม่ชัดเจน แม้จะเงียบเชียบแต่กลับระทึกใจคน


ครู่ใหญ่ปรากฏการณ์ประหลาดทุกอย่างจึงหายไป


หลินสวินลืมตาขึ้น สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังมหามรรครอบตัว มุมปากของเขาอดเผยความดีใจไม่ได้


สำเร็จแล้ว!


มรรคดับดารากลืนกินบรรลุสู่ระดับแก่นมรรคแล้ว!


จนถึงตอนนี้ รวมกับพลังมหามรรคธาตุน้ำธาตุไฟสองแบบที่เขาครอบครอง ล้วนบรรลุสู่ระดับแก่นมรรคแล้ว


วู้ม!


หลินสวินยื่นมือขวาไป ฝ่ามือชูขึ้นฟ้า ทันใดนั้นฝ่ามือของเขาราวกับแปรเปลี่ยนเป็นหุบเหว อากาศรอบๆ ทรุดทลายทุกส่วน สีรัตติกาลนิรันดร์ถูกกลืนกินเข้าไป


จากนั้นธารดาราจมลง กลายเป็นหลุมดำคลื่นดาราปรากฏบนฝ่ามือ ในฝ่ามือราวกับสามารถกลืนกินธารดาราความว่างเปล่าโดยรอบ!


‘อวิ๋นชิ่งไป๋… จะครอบครองพลังระดับนี้เช่นกันหรือไม่’ ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำราวกับคิดอะไรอยู่


ครู่ใหญ่เขาจึงส่ายหน้า


อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่มีทางครอบครองมรรคนี้ได้แน่!


หลินสวินมั่นใจจุดนี้มาก ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดอาจจะเหมือนกัน แต่มรรคดับดารากลืนกิน เป็นมรรคที่เขาหยั่งรู้มาจากป้ายหินในเทศกาลโคมกถามรรค


พูดได้เพียงว่า ไม่มีพลังแห่งชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดก็ไม่สามารถหยั่งรู้มรรคนี้ได้ แต่ถ้าไม่มีป้ายศิลาหลักนั้น ไม่ว่าจะเป็นเขาหรืออวิ๋นชิ่งไป๋ล้วนไม่สามารถครอบครองมรรคนี้!


‘คนในโลกล้วนรู้ว่า มรรคดับดารากลืนกินของข้าคล้ายคลึงกับพลังมหามรรคที่อวิ๋นชิ่งไป๋ครอบครอง จากเรื่องนี้อนุมานได้ว่า พลังมหามรรคที่เขาครอบครอง จะต้องเกี่ยวข้องกับการกลืนกิน แต่กลับไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับมรรคดับดารากลืนกินแล้ว อันไหนจะแข็งแกร่งอ่อนแอกว่ากัน…’


หลินสวินพึมพำในใจ


สองเดือนหลังจากนั้น หลินสวินไม่ได้ยกระดับด้านพลังปราณและวิชายุทธ์อีก แต่เคี่ยวกรำและทำพลังให้มั่นคง


ไม่ว่าเรื่องใดหากทำเลยเถิดเท่ากับไปไม่ถึงไหน การฝึกปราณก็เช่นกัน


ปิดด่านครั้งนี้ทำให้เขาบรรลุในทุกๆ ด้าน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือสร้างความมั่นคงให้กับพลังที่เปลี่ยนแปลงนี้


มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถควบคุมพลังได้อย่างคล่องมือ ถึงขั้นสั่งการด้วยปลายนิ้ว เก็บปล่อยได้ดั่งใจ


อันที่จริงหลินสวินในตอนนี้ ก็แทบจะฝึกฝนถึงขั้นสุดแล้ว


ในการฝึกยุทธ์ ขาดเพียงกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ที่ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์


ในการฝึกมหามรรค มีเพียงมหามรรคแห่งเจินหลงที่ยังไม่ถึงระดับแก่นมรรค แน่นอนว่าตอนนี้มหามรรคเจินหลงก็ถึงระดับ ‘ท่วงทำนองมรรค’ แล้ว มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด


หืม?


ใกล้เวลาหนึ่งปีเข้ามาเรื่อยๆ วันนี้ตอนที่หลินสวินตัดสินใจจะฝึกพลังจิตวิญญาณ พลันพบว่าในห้วงนิมิตมีสัญลักษณ์สีดำแปลกประหลาดและบิดเบี้ยวหนึ่งเพิ่มเข้ามาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่


ทันทีที่สัมผัส ก็พรั่งพรูกลิ่นอายประหนึ่งไร้มรณะที่แทบจะไม่ดับสลาย ไม่เสื่อมคลาย!


นี่…


หลินสวินหรี่ตาลง หรือจะเป็นนัยเร้นลับไร้มรณะ


ในใจเขาสั่นไหว คาดไม่ถึงเลยจริงๆ


และตอนนี้เองเสียงของข้ารับใช้วิญญาณก็ดังมาจากในแดนลับไร้มรณะ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครช่วยให้เจ้าได้รับพลังมหามรรคไร้มรณะ แต่ในเมื่อเจ้าได้ไปแล้ว ก็เป็นศุภโชคของเจ้า ข้าไม่อาจจะเก็บคืนได้”


หลินสวินลืมตาขึ้นมาทันควัน มองไปยังข้ารับใช้วิญญาณที่ปรากฏตัวในระยะไกล สีหน้าของอีกฝ่ายยังคงไร้อารมณ์


เป็นพลังมหามรรคไร้มรณะจริงๆ หรือนี่


ในใจหลินสวินยิ่งตะลึง อีกทั้งเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของข้ารับใช้วิญญาณ มีคนแอบช่วยตนช่วงชิงพลังอันยอดเยี่ยมและเป็นหนึ่งเดียวในโลกระดับนี้มา!


หรือจะเป็นนาง


ในใจหลินสวินสะท้าน นึกถึงหญิงสาวลึกลับในห้องโถงมรรคาสวรรค์


เขาคิดไปคิดมา ก็มีแค่นางที่อาจจะครอบครองวิธีไร้เทียมทานเหลือเชื่อเช่นนี้!


“ได้เวลาแล้ว เจ้าควรไปแล้ว” ข้ารับใช้วิญญาณไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงบอกหลินสวินว่าการปิดด่านหนึ่งปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 1081 ลมพายุกำลังจะมาเยือน

 

หนึ่งปีแล้วหรือ


ตอนที่หลินสวินเดินออกจากแดนลับไร้มรณะ นึกถึงประสบการณ์ปิดด่านก่อนหน้านี้แล้วอดงุนงงไม่ได้


ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่รู้ฤดูกาล


สำหรับผู้ฝึกปราณนั้น ช่วงเวลาที่ฝึกปราณแจ้งมรรคมักราวกับลำแสงที่วิ่งผ่านอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกหน้าพลิกหลังแล้ว


โชคดีที่ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ฝึกอยู่ในแดนลับไร้มรณะนั่น โลกภายนอกผ่านไปเพียงหนึ่งวันเท่านั้น


“พ่อหนุ่ม บนตัวเจ้ามีผลกรรมและมารผจญไม่น้อย ตอนนี้มหายุคกำลังจะมาเยือน หวังว่าเจ้าจะมีความยึดมั่น อย่าได้ลืมความตั้งใจแรกในการบำเพ็ญ”


ข้ารับใช้วิญญาณเอ่ยปากพูด


“ขอบคุณอาวุโสที่สั่งสอน”


หลินสวินคารวะอย่างจริงจัง


“ไปเถอะ มหายุคใกล้มาเยือน ก็หมายถึงความวุ่นวายที่กำลังจะปะทุขึ้นเช่นกัน ประทับการต่อสู้ของเจ้ากับคนอื่นๆ อีกสามคนได้สลักในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้แล้ว ในอนาคตหากมีโอกาส มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะเข้าร่วมการชิงชัยเก้าดินแดน”


ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อ


ทันใดนั้นหลินสวินรู้สึกเพียงว่าร่างกายของเขาถูกพัดขึ้นกลางอากาศอย่างควบคุมไม่อยู่ เคลื่อนออกจากภูเขาเทพไร้มรณะและผ่านเขตหวงห้ามไร้มรณะไปในพริบตา


จนกระทั่งเข้าสู่ทะเลหมากดารา ร่างกายจึงร่อนลงกับพื้น


“เบื้องหน้ามีเคราะห์สังหารรออยู่ จะผ่านไปได้หรือไม่นั้น ก็จะต้องดูความสามารถของเจ้าแล้ว!“


ห่างออกไป เสียงเตือนของข้ารับใช้วิญญาณดังขึ้น


หลินสวินหัวใจสะท้าน พอหันกลับไป เขตหวงห้ามไร้มรณะก็หายวับไปนานแล้ว


“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลินสวินก็ยังโค้งคำนับครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นหรือไม่ เขาเพียงอยากแสดงคำขอบคุณจากใจจริงเท่านั้น


แม้ว่าข้ารับใช้วิญญาณจะแปลงมาจากเจตจำนงกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะ ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก แต่กลับมีบุคลิกที่โดดเด่นเหนือธรรมดา ก่อนและหลังปิดด่าน ทั้งเตือนและชี้แนะหลินสวิน นี่ก็ทำให้เขาประทับใจมากเช่นกัน


เมื่อเทียบกันแล้ว ใบหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นของสำนักโบราณในยุคปัจจุบันเหล่านั้น ดูน่าเกลียดขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย


อย่างเคราะห์สังหารที่ขวางอยู่บนฝั่งทะเลหมากดาราตอนนี้ หลินสวินไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครกันแน่ที่อยากเล่นงานตน


ปีนั้นตอนออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นเช่นนี้


ยามเทศกาลโคมกถามรรคจบลง ก็เป็นเช่นนี้


ประสบการณ์แบบนี้ หลินสวินชินชามานานแล้ว


ทว่าตอนที่เดินออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีวานรเฒ่าชุดเขียวคอยช่วย ตอนที่ออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีโอสถราชันโสมขาวที่วิเศษอัศจรรย์อย่างที่สุดต้นหนึ่งช่วยเหลือ


ครั้งนี้ ทำได้แค่พึ่งตัวเองแล้ว


‘ลมพายุกำลังจะมาเยือนหรือ น่าเสียดาย ภายในทะเลหมากดารานี้ แม้ว่าอริยะมาแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้ ในเมื่อพวกเจ้าดึงดัน เช่นนั้นข้าจะสู้กับพวกเจ้าสักหน่อย!’


หลินสวินหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ดวงตาทอดมองไปยังส่วนลึกของทะเลหมากดารา ในสายตาแฝงไอสังหารที่เย็นเยียบอย่างที่สุด


‘เด็กนี่ทำให้คนอ่านไม่ออกจริงๆ เดิมคิดว่าเขาคือผู้สืบทอดข้ามยุคของ ‘จักรพรรดิสงครามดับดารา’ ใครจะคิดว่าบนร่างเขายังมีผู้สูงส่งพลิกฟ้าคอยคุ้มครองอยู่ เหนือความคาดหมาย…’


บนภูเขาเทพไร้มรณะนั้น ข้ารับใช้วิญญาณใคร่ครวญเงียบๆ


‘น่าเสียดายที่ข้าเป็นเพียงเจตจำนงเสี้ยวหนึ่ง มิอาจจำเรื่องราวในยุคบรรพกาลได้แม่นยำนัก ไม่เช่นนั้นย่อมสามารถรู้ได้ว่า ผู้สูงส่งพลิกฟ้าที่ช่วยเด็กนี่ไขว่คว้านัยเร้นลับไร้มรณะเป็นใครกันแน่…’


เขายืนอยู่อย่างนั้น จมสู่ห้วงความคิดราวกับเจอโจทย์อันยากยิ่ง


ครู่ใหญ่จึงผละสายตาออก ทอดสายตามองไปทางทะเลหมากดาราพร้อมพึมพำว่า ‘ตอนนั้นจักรพรรดิสงครามดับดาราได้หลอมที่แห่งนี้เป็นท้องฟ้าหมื่นดารา วางกระบวนค่ายกลต้องห้ามเพื่อต่อสู้กับพลังพิฆาตมรรค หวังเพียงว่าเด็กนี่จะไม่เดินตามเส้นทางสังหารของจักรพรรดิสงครามดับดารา มิเช่นนั้นเกรงว่าคง… เฮ้อ ช่างเถอะ เมื่อมหายุคมาเยือน บางทีทุกอย่างอาจไม่เหมือนที่ผ่านมา ใครผิดใครถูกไม่มีใครตัดสินได้


พูดถึงตรงนี้เขาพลันส่ายหน้า ถอนหายใจคราหนึ่ง เงาร่างแปรเปลี่ยนเป็นละอองแสงกฎระเบียบเต็มท้องฟ้าโดยพลัน ก่อนจะหายไปในพริบตา


กลางอากาศมีเพียงเสียงถอนหายใจของเขาที่ยังคงก้องสะท้อน


……


บนชายฝั่งทะเลหมากดารา บรรยากาศกดดันอย่างที่สุด


บนชายฝั่งทะเลที่แคบยาวราวกับเข็มขัดหยก มีผู้ฝึกปราณมากมายรออยู่ที่นั่น


สำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักยุทธ์สมุทรคราม เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ…


ขุมอำนาจเหล่านี้กระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ปิดกั้นแนวชายฝั่งทะเลหมากดาราจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้


ทุกขุมอำนาจล้วนมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันควบคุม อย่างน้อยสองสามคน อย่างมากก็สี่ห้าคน รวมกันแล้วมีมากกว่ายี่สิบคน!


นี่เป็นกองกำลังที่เพียงพอจะทำให้โลกสั่นสะเทือนอย่างไม่ต้องสงสัย หากอริยะไม่ปรากฏตัว ล้วนสามารถกวาดล้างโลกแห่งหนึ่ง สยบแปดทิศ


แต่ตอนนี้พวกเขาต่างมารออยู่ที่นี่ เพียงเพื่อเล่นงานคนรุ่นเยาว์คนหนึ่งเท่านั้น!


ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กหรือ


ระดมกำลังหรือ


ไม่มีใครคิดเช่นนี้หรอก!


ตั้งแต่ที่หลินสวินผงาดขึ้นในแดนฐิติประจิมจนถึงตอนนี้ จำนวนของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันและกึ่งราชันที่ตายและบาดเจ็บในมือเขา สิบนิ้วก็ไม่พอนับ!


ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางชะล่าใจ


แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นขุมอำนาจใดก็ล้วนรู้ดีว่า ที่หลินสวินแผลงฤทธิ์ตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ สิ่งที่พึ่งพิงคือสองอย่าง


หนึ่งคือสมบัติอริยะ


สองคือกระบวนผนึกมรรคราชัน


หากไม่มีสองสิ่งนี้ป้องกันตัว ราชันทุกคนในที่นี้กล้ารับประกันว่า สามารถสยบหลินสวินจนตายได้ด้วยนิ้วเดียว!


ถึงอย่างไรระดับกระบวนแปรจุติก็คือระดับกระบวนแปรจุติ ถูกจัดอยู่ในห้าระดับใหญ่ ส่วนราชันนั้นยืนอยู่เหนือระดับทั้งห้า ทั้งสองเดิมทีก็ไม่ได้ดำรงอยู่ในระดับเดียวกัน


บรรยากาศอันตราย ฟ้าดินแถบนี้ล้วนปกคลุมด้วยไอสังหารรุนแรงชวนกดดันชั้นหนึ่ง ทำให้ลมเมฆหยุดนิ่ง จักรวาลกลับคืนสู่ความเงียบงัน


กองกำลังขุมอำนาจทั้งหมดล้วนกำลังรออย่างใจเย็น


เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น ดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้ว


……


“อาจารย์ลุงหม่า ความกดดันของการประชันครั้งนี้ใหญ่มาก ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องชิงฆ่าหลินสวินนั่นให้ได้ กระบี่แสงราตรีของศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ยังอยู่ในมือเจ้าหมอนั่น”


หว่างคิ้วของข่งหลิงเต็มไปด้วยความเยียบเย็น นางเชื่อมั่นว่าคราวนี้หลินสวินต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ความกังวลเดียวคือ ขุมอำนาจใดจะสามารถสังหารเจ้าหมอนั่นได้ก่อน


“ไม่ต้องเป็นห่วง ครั้งนี้เพื่อเล่นงานเขา ข้าได้นำกระบี่เทียมฟ้าสมบัติอริยะของสำนักมาด้วย เพียงพอจะทำให้เขาไร้ทางรอด!”


หม่าหยวนชิงมั่นใจมาก


……


“จะให้เจ้านี่ผงาดขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด เขามีความแค้นเก่ากับข้า หากไม่กำจัดเสีย ต่อไปต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่”


อวี่หลิงคงสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงเย็นยะเยือก


ครั้งแรกเขาแพ้ในมือหลินสวินในเทศกาลโคมกถามรรค หากไม่ใช่เพราะตำหนักอมตะ เขาคงจบชีวิตไปแล้ว


ครั้งที่สองคือในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์คราวนี้ แม้แต่คุณสมบัติประลองกับหลินสวินเขายังไม่มี นี่เป็นความอับอายครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย


ไม่ว่าจะเพื่อแก้แค้นหรือเพื่อล้างความอับอาย อวี่หลิงคงไม่มีทางทนให้หลินสวินมีชีวิตต่อไปได้


“เด็กคนนี้ได้กลายเป็นมารในใจเจ้าแล้ว ช่างเถอะ ครั้งนี้ข้าจะช่วยเจ้าตัดมารในใจนี้ หวังว่าผ่านการเคี่ยวกรำคราวนี้ เจ้าจะสามารถผงาดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่าให้ผู้อาวุโสทุกท่านในแดนพิสุทธิ์อมตะผิดหวัง”


ผู้หญิงชุดขาวคนหนึ่งพูดเรียบๆ เรือนร่างของนางสูงเพรียว สง่างามเพียบพร้อม ตอนยังเยาว์จะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งอย่างแน่นอน


คำพูดของนางราบเรียบมาก แต่ระหว่างที่พูดกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสูงส่ง


หญิงชุดขาวคนนี้นามว่าซั่งเหวินจิ่น เป็นบุคคลน่ากลัวที่บรรลุสู่อมตะเคราะห์ขั้นสาม


ข้างๆ นาง เหล่าผู้ฝึกคนปราณระดับราชันคนอื่นๆ ที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะต่างพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของซั่งเหวินจิ่น


อวี่หลิงคงเห็นเช่นนี้ก็มั่นใจมาก


……


“น้องชายข้าถูกเขาฆ่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแก้แค้น”


หลี่ชิงผิงสีหน้าอึมครึม “อีกอย่างตอนที่อยู่บนภูเขาเทพไร้มรณะ เจ้านี่เคยใช้วิธีน่ารังเกียจ ทำให้ข้าประสบเคราะห์ร้ายแรงจนเสียโอกาสเข้าสู่สิบอันดับแรก ความแค้นนี้ ไม่ชำระไม่ได้เช่นกัน!”


“เช่นนั้นก็ฆ่าเขาซะ!”


ข้างๆ เขา ชายชราที่ศีรษะสวมเกี้ยวขนนก รูปร่างซูบผอมพูดเสียงเย็น ไอสังหารพุ่งทะลวง


เขาเป็นราชันที่เหยียบย่างระดับอมตะคนหนึ่งของสำนักยุทธ์สมุทรคราม ฉายาธรรม ‘เหยียนอวิ๋นจื่อ’


……


“น่าชังนัก! คงไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนั่นจะรับรู้ได้ถึงอันตราย เลยจงใจไม่ออกมาหรอกนะ”


ในบริเวณที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอยู่ โก่วเหยียนเจินคำราม สีหน้าดุร้ายและเหี้ยมโหด เขาอยากกำจัดหลินสวินจนแทบรอไม่ไหวแล้ว


ครั้งนี้มีเพียงเขาที่ระเบิดพลีชีพแล้วถูกคัดออก อย่าว่าแต่อันดับเลย แม้แต่โชควาสนามหามรรคที่ควรจะได้ในตอนแรกก็ถูกแย่งไปด้วย หลินสวินได้ไปครองง่ายๆ


นี่ทำให้โก่วเหยียนเจินแค้นจนแทบจะคลั่งแล้ว


“ไม่ต้องกังวล เจ้าหนูนั่นฆ่าคนเผ่าเราที่แดนฐิติประจิมมากขนาดนั้น หากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ เผ่าเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


ชายชราชุดคลุมดำคนหนึ่งพูดอย่างเนิบช้า สีผิวของเขาขาวซีด ริมฝีปากแดงก่ำ เบ้าตายุบโหล แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบและคาวเลือดไปทั้งตัว อานุภาพน่ากลัวอย่างที่สุด ราวกับมารร้ายที่เดินออกจากนรก


เขานามว่าโก่วหยางซิว ราชันระดับอมตะที่เรียกได้ว่าดุร้ายที่สุดคนหนึ่ง เคยฆ่าคนหลายแสนของเมืองหนึ่งเพื่อระบายความโกรธ ชื่อเสียงดุดันสะเทือนทั่วหล้า


……


นอกจากนี้ในสำนักโบราณอย่างพวกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเองก็กำลังเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน


‘สายไปแล้วจริงๆ หรือ’ จ้าวจิ่งเซวียนจนปัญญา ใบหน้างามซีดเซียว


นางคิดไว้ว่าจะมีคนทำร้ายหลินสวิน แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะรุนแรงถึงขั้นนี้


“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน รอดูให้สบายใจเถอะ” เยี่ยนจั่นชิวยกมือขึ้น หมายจะตบไหล่จ้าวจิ่งเซวียนเป็นการปลอบใจ แต่กลับถูกอีกฝ่ายหลบ


นี่ทำให้หว่างคิ้วของเยี่ยนจั่นชิวเผยความหงุดหงิดเสี้ยวหนึ่งอย่างยากสังเกตเห็น จากนั้นถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่งก่อนจะพูดว่า “แม้พวกเราไม่ลงมือ เจ้าคิดว่าขุมอำนาจอื่นจะปล่อยเขาไว้หรือ”


หยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบและเด็ดเดี่ยวขึ้นมา “เมื่อเทียบกับให้คนอื่นได้ประโยชน์ไป สู้ให้เจ้าหมอนั่นตายในมือพวกเรายังดีเสียกว่า!”


ใบหน้ากระจ่างบริสุทธิ์และงดงามไร้ที่ติของจ้าวจิ่งเซวียนซีดเซียวลงอีกทันที


นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับรู้สึกเจ็บลำคอขึ้นมา ภาพตรงหน้ามืดสลัว หมดสติไป


“อาจารย์ลุงเซียว ท่านทำอะไร” เยี่ยนจั่นชิวเดือดดาล


ด้านข้าง ชายชราชุดคลุมขาวคนหนึ่งพูดอย่างเรียบเฉย “อย่าให้ยายหนูนี่เห็นเหตุการณ์เข่นฆ่าที่กำลังจะเกิดขึ้นจะดีที่สุด จะได้ไม่ทำเสียเรื่อง”


ชายชราคนนี้มีนามว่าเซียวจิงหง เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อาวุโสอย่างมากคนหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ


เห็นเช่นนี้สีหน้าของเยี่ยนจั่นชิวอึมครึมสับสน สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรมาก


คลื่นลมที่มีเป้าหมายเป็นหลินสวิน เตรียมโจมตีตลอดเวลาแล้ว รอแค่เวลาที่จะปะทุ!


ทะเลหมากดารากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ด้านบนเต็มไปด้วยแสงดาวสีเงินยวง เกาะมากมายที่ราวกับหมากกระดานปรากฏภายในอย่างเลือนราง


หลินสวินมาถึงแล้ว ยืนเงียบอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง มองเหตุการณ์บนชายฝั่งทั้งหมดอย่างไม่คลาดสายตา


ถึงขั้นที่สามารถรับรู้เสียงสนทนาซึ่งไม่คิดปกปิดของขุมอำนาจเหล่านั้น!


ในดวงตาดำของเขาเย็นเยียบกว่าเดิม ภายในส่วนลึกของจิตใจมีไอสังหารที่ไม่อาจข่มกลั้นได้พวยพุ่งออกมาราวกับหินหนืดไหลร้อน


ตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ เขาก็อยู่ในสถานการณ์ที่ถูกตามฆ่ามาโดยตลอด ไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง!


ตอนนี้ขุมอำนาจเหล่านี้ยิ่งล้อมอยู่หน้าทะเลหมากดารา ต้องการกำจัดเขา


ถึงขั้นที่ยังทำท่าทางเหมือนต้องการชิงฆ่าตนเป็นคนแรก พวกเขา… เห็นตนเป็นอะไร

 

 

 


ตอนที่ 1082 หมายจะฝังเหล่าศัตรู ณ ทะเ...

 

พวกเขาเห็นตนเป็นอะไร


ต้นหญ้าอ่อน?


เหยื่อ?


มดที่สามารถเหยียบย่ำได้?


หลินสวินไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่านี่ก็คือความจริง


ในสายตาของเหล่าสำนักโบราณที่เย่อหยิ่ง คนที่ไร้พรรคไร้สำนักและหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเขา แม้จะสะดุดตาบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้น่ากลัวมากนัก


ในอดีตที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่มีคนยอดเยี่ยมเช่นนี้โผล่ออกมา แต่ด้วยภูมิหลังที่ต่ำต้อยจึงถูกเหล่าสำนักโบราณเหยียบย่ำและกดข่มตามอำเภอใจ


บางคนต่อต้าน แต่ส่วนใหญ่ล้วนจบชีวิตลงพร้อมความแค้น


ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากพลังของตนยากจะต่อสู้กับสำนักโบราณ ยากเกินไป!


ทว่ารู้ก็ส่วนรู้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าหลินสวินจะก้มหัว!


หากเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่ใช่หลินสวินแล้ว


ตอนนี้เขายืนอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง กวาดสายตาเย็นชาทอดมองไปยังทุกคนบนฝั่ง นึกถึงการถูกไล่ล่าทั้งหมดหลังจากตนเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ เพลิงโทสะและความเกลียดชังที่สะสมอยู่ในใจราวกับลุกโชนจนแทบจะควบคุมไม่อยู่


จากนั้นหลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เก็บสายตากลับมา


ทะเลหมากดาราถูกปกคลุมไปด้วยพลังต้องห้าม มองจากโลกภายนอก เห็นเพียงแค่ภาพประกายดวงดาวแผ่ซ่านและหมู่เกาะที่ราวกับตัวหมาก


หลินสวินยืนในนั้นก็เหมือนดั่งยืนอยู่ในค่ายกลใหญ่ ถูกพลังต้องห้ามครอบคลุม โลกภายนอกไม่สามารถมองเห็นเงาร่างของเขาได้


สวบ!


หลินสวินเริ่มลงมืออย่างไม่รีรอ


เขาก้าวย่างตามตำแหน่งดวงดาว เงาร่างวูบไหวราวกับลำแสง โลดแล่นอยู่ระหว่างเกาะต่างๆ


แต่ในมือ กลับทำมุทราวิชาลับอยู่ตลอดเวลา


ฮูม


ภาพที่น่าทึ่งปรากฏขึ้นมา ในทะเลหมากดาราประกายดวงดาวพลิกตลบไปมาราวกับหมอกเคลื่อน จู่ๆ ก็ผันผวนขึ้นมา คลื่นต้องห้ามที่คลุมเครือก็แผ่กระจายพลุ่งพล่านประหนึ่งกระแสน้ำ โดยมีหลินสวินเป็นศูนย์กลาง


ครู่ใหญ่หลินสวินถึงหยุดการกระทำในมือ ยืนอยู่บนเกาะสันโดษ หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สูญเสียพลังอย่างมาก


‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารานี่น่ากลัวเกินไป ต้องพยายามสุดความสามารถจึงพอจะใช้อานุภาพได้เพียงหนึ่งในพัน แต่ว่า…’


หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนพื้น สูดหายใจเข้าลึกๆ สายตาเย็นเยียบ ‘เพียงพอแล้ว!’


ในสมองของเขา ภาพแผนภาพวัฏจักรดาราค่อยๆ โคจร แผ่ระลอกคลื่นประหลาด นี่ก็คือความมั่นใจของหลินสวิน



“เอ๊ะ!”


ทันใดนั้นที่ริมชายฝั่งพลันมีคนร้องออกมา “รีบดูเร็ว พลังต้องห้ามบนทะเลหมากดารากำลังหายไปอย่างรวดเร็ว! ”


ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ผู้แข็งแกร่งแต่ละขุมอำนาจที่รออยู่ที่นั่นนานแล้วต่างสังเกตเห็นภาพนี้ทันที สายตาเป็นประกาย


พลันเห็นว่าบนทะเลหมากดารา ประกายดวงดาวที่ราวกับภาพฝันเป็นเหมือนกระแสน้ำลง ถดถอยและหายไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ เผยให้เห็นพื้นผิวทะเลสีเงินยวงและเกาะรูปร่างแปลกประหลาดมากมาย


ไม่มีประกายดวงดาวบดบัง ทะเลหมากดาราอันยิ่งใหญ่ เปลี่ยนเป็นแจ่มชัดกว้างใหญ่และบริสุทธิ์


“แม้แต่พลังต้องห้ามที่น่ากลัวและชวนกดดันนั่นก็จางหายไปด้วย!”


หม่าหยวนชิงตื่นเต้น รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุดไปทั่วทั้งตัว


“หายไปแล้วจริงๆ”


“เรื่องดี!”


“แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้อย่างไร”


“ปัญหานี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ พลังต้องห้ามของทะเลหมากดารานี่ไม่สามารถข่มขวัญพวกเราได้อีก!”


ซั่งเหวินจิ่นแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะ เหยียนอวิ๋นจื่อแห่งสำนักยุทธ์สมุทรคราม เซียวจิงหงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ โก่วหยางซิวแห่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ…


เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าล้วนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของคลื่นพลังต้องห้ามของทะเลหมากดาราในทันที ต่างเผยความดีใจออกมา


ก่อนหน้านี้ที่พวกเขารออยู่ที่นี่ ไม่กล้าเข้าไปในทะเลหมากดารา ก็เพราะทะเลแห่งนี้น่ากลัวมาก ปกคลุมไปด้วยพลังต้องห้ามไร้เทียมทาน


แม้จะเป็นอริยะบังเอิญเข้าไป ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะหลงทาง ถูกขังอยู่ในนั้นตลอดไป


ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาอยากจะเล่นงานหลินสวิน ก็ทำได้แค่รออยู่นอกทะเลหมากดารา


แต่ตอนนี้…


ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว!


“เช่นนี้ แม้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนหลินสวินอยากหลบอยู่ในทะเลหมากดาราไม่ออกมาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว!”


โก่วเหยียนเจินตะโกนอย่างตื่นเต้น


ในเวลาเดียวกันคนอื่นๆ เองก็ตอบสนอง สายตาต่างวับวาวคลุมเครือ


สวบ!


ทันใดนั้นในกองกำลังของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ชายชราชุดคลุมเทาคนหนึ่งโฉบออกไป ทะยานผ่านห้วงอากาศไปยังทะเลหมากดารา


โหวเทียนจง!


นี่คือสัตว์ประหลาดเฒ่าที่เพิ่งบรรลุอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง


“อยากชิงสังหารหลินสวินก่อนหรือ เป็นไปไม่ได้!”


ในเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ชายกลางคนเคราโค้งในชุดคลุมเลือดยิ้มเยาะ ตอนที่พูด เงาร่างก็พุ่งออกมา ไปยังทะเลหมากดาราราวกับกระแสน้ำสีเลือด


“ควรลงมือแล้ว!”


“ไป!”


“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ครั้งนี้ทะเลหมากดาราเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ แม้พลังต้องห้ามจางหายไป แต่ยากจะรับประกันว่าจะไม่ปรากฏอันตรายใดๆ”


จากนั้นผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนแล้วคนเล่าต่างทะยานเข้าไปในทะเลหมากดารา


อีกทั้งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ทุกขุมอำนาจล้วนมีระดับราชันอย่างมากก็หนึ่งถึงสองคนเข้าไปภายใน ส่วนคนอื่นๆ รอฟังข่าว


“ครั้งนี้เทพมารหลินตายแน่!”


ไม่ว่าจะเป็นข่งหลิง อวี่หลิงคง หลี่ชิงผิง หรือโก่วเหยียนเจิน ล้วนมั่นใจมาก ในใจต่างคาดหวัง


ราชันออกโจมตี ทั้งยังมีวิธีป้องกันสมบัติอริยะและกระบวนผนึกมรรคราชันตั้งนานแล้ว การฆ่าหลินสวินก็ย่อมง่ายดายราวกับหั่นผักหั่นปลา ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไร


ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องรอดูก็คือ ขุมอำนาจใดจะสามารถฆ่าหลินสวินให้ตายได้ก่อน


“ทันทีที่กำจัดเด็กคนนี้ได้ ก็เท่ากับกำจัดภัยแฝงอย่างหนึ่ง นับจากนี้ก็สามารถหลับสบายได้แล้ว”


หม่าหยวนชิงยิ้มน้อยๆ


“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครกล้าต่อสู้กับสำนักโบราณเพียงลำพัง แม้มีก็ล้วนถูกสังหาร เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็เช่นกัน หลินสวินนี่จะต้องตาย”


เหยียนอวิ๋นจื่อสองมือไพล่หลัง สีหน้าเรียบเฉย


“หลินสวินนี่ กลัวว่าจะกลายเป็นคนแรกที่อายุสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ผู้กล้าขอบเขตมกุฎแล้วอย่างไร สำหรับข้า เพียงพลิกมือก็สามารถกำจัดได้”


ซั่งเหวินจิ่นน้ำเสียงนุ่มนวล ท่าทางเอื่อยเฉื่อย แต่กลับแฝงความสูงส่ง


……


ส่วนลึกของทะเลหมากดารา


หลินสวินยืนอยู่บนเกาะสันโดษแห่งหนึ่ง สีหน้านิ่งสงบ นัยน์ตาดำเย็นเยียบ


วันนี้เขาคนเดียว หมายจะฝังเหล่าศัตรู ณ ทะเลแห่งนี้!


“มาแล้ว”


หลินสวินเงยหน้า บนผิวทะเลไกลโพ้น อานุภาพอันน่ากลัวแพร่กระจายออกมา พัดพาคลื่นทะเลเป็นระลอก


นั่นเป็นชายชราชุดคลุมเทา มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ นามว่าโหวเทียนจง


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เจ้าหลบอยู่ที่นี่ตามคาด!”


เงาร่างของโหวเทียนจงทะยานเข้ามา อานุภาพราชันอันน่ากลัวมืดฟ้ามัวดิน ราวกับนายเหนือหัวมองลงมายังหลินสวินจากระยะไกล


“หลบหรือ เจ้าพูดผิดแล้ว ข้ารอพวกเจ้าอยู่”


หลินสวินพูดเสียงเรียบ เสื้อผ้าของเขาโบกสะบัด ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น เงาร่างเหยียดตรงราวกับต้นสน ไม่เห็นอานุภาพราชันนั่นในสายตา


โหวเทียนจงหมายจะลงมือสังหารหลินสวินในทันที เพื่อไม่ให้คนอื่นๆ มาแย่ง


แต่พอเห็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกลังเลไม่น้อย


ไม่มีเหตุผลอื่น หลินสวินนิ่งเกินไปแล้ว ไม่เหมือนนั่งรอความตาย แต่กลับเหมือนกำลังรอมากกว่า


“รอพวกข้าหรือ เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือคิดว่าด้วยสมบัติอริยะและกระบวนผนึกในมือเจ้า ก็สามารถกำเริบเสิบสานได้แล้วหรือ”


โหวเทียนจงสายตาเย็นเยียบ ในใจเขามีไอสังหารอย่างที่สุด กำลังหยั่งเชิงหลินสวิน “ข้าจะบอกเจ้าให้ ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีประโยชน์!”


“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว อีกเดี๋ยวฆ่าเจ้าเป็นคนแรก”


เสียงของหลินสวินนิ่งสงบ เหมือนพูดเรื่องที่ง่ายดายอย่างที่สุด


“เจ้ารนหาที่ตาย!”


สุดท้ายโหวเทียนจงก็ไม่สามารถข่มกลั้นได้ สะบัดแขนเสื้อ ฟาดแสงศักดิ์สิทธิ์กลางอากาศ โจมตีไปทางหลินสวิน


“หึ! ถ้าเด็กนี่จะตาย ก็ต้องตายในมือข้า!”


แต่ในเวลาเดียวกันเสียงตะโกนหนึ่งดังก้องราวกับฟ้าร้อง พร้อมกันกับเสียงนั่น มือยักษ์สีเลือดข้างหนึ่งกางออกกลางอากาศ ขยี้แสงศักดิ์สิทธิ์นั่นอย่างแรงจนแหลกละเอียด จากนั้นพุ่งปกคลุมไปทางหลินสวินด้วยอานุภาพไม่ลดละ


เพียงแต่ยังอยู่ระหว่างทาง มือยักษ์สีเลือดข้างนั้นก็ถูกเจตกระบี่สะเทือนขวัญเฉือนจนแหลกละเอียด เสียงครืนโครมดังลั่น แปรเป็นละอองแสงระเบิดออก


และตอนนี้เอง บนทิศทางที่แตกต่างกันสองด้าน ต่างมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น


ฝั่งตะวันออกคือชายกลางคนหนวดโค้งในชุดคลุมเลือดนามว่าโก่วหยางหยวน มือยักษ์สีเลือดเมื่อครู่นี้มาจากเขา


ฝั่งตะวันตกเป็นชายหนุ่มชุดขาวผมเทาคนหนึ่ง ดูเหมือนอายุน้อย ความจริงเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่ง มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า นามว่าหลิวเจี้ยนคุน


เป็นกระบี่เดียวของเขา ที่เฉือนมือยักษ์สีเลือดของโก่วหยางหยวนจนแหลก


“ทั้งสองท่าน ให้ข้าเป็นคนจัดการเด็กนี่เถอะ”


หลิวเจี้ยนคุนสีหน้าเย่อหยิ่ง คำพูดสบายๆ แต่กลับไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ


“กำเริบ นี่ไม่ใช่สำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเจ้า!” โหวเทียนจงพูดเสียงเย็น “ข้าว่าเจ้าเก็บอาการหน่อยเถอะ!”


โก่วหยางหยวนสีหน้าเหี้ยมโหดอย่างที่สุด แสยะยิ้มพูด “หลิวเจี้ยนคุนเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร กล้าคุยโวเช่นนี้ เด็กนี่วันนี้ต้องถูกข้าโก่วหยางหยวนสังหาร!”


ทั้งสามประชันแก่งแย่งกัน อานุภาพราชันพุ่งปะทะ ทำให้ฟ้าดินทั้งผืนตกอยู่ในบรรยากาศที่น่ากลัวและกดดันอย่างหนึ่ง


ส่วนหลินสวิน กลับถูกพวกเขามองข้าม


เพราะในใจพวกเขา หลินสวินเป็นนกในกรงตะพาบในไห ยากจะหนีตายได้ สิ่งที่แย่งกันจริงๆ คือใครจะฆ่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้ก่อน


ไม่ทันไรก็มีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอีกหลายคนปรากฏตัว เข้าร่วมการแย่งชิง ไม่มีใครยอมใคร ต่างฝ่ายต่างเยื้อแย่งกัน


ภาพตรงหน้าราวกับนักล่ากลุ่มหนึ่งเจอเหยื่อพร้อมกัน กำลังแย่งชิงสิทธิ์ในการสังหารเหยื่อโดยไม่มีใครยอมใคร


ส่วนเหยื่อ ก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่สามารถหนีได้


“ทุกท่าน อย่ามัวปกปิดจุดประสงค์ พวกเราล้วนอยากชิงสมบัติอริยะในตัวเด็กนี่เท่านั้น จากที่ข้าดู ฆ่าเด็กนี่ก่อนแล้วค่อยแย่งชิงตามศักยภาพดีหรือไม่”


หลิวเจี้ยนคุนแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าพูดเสียงเย็น


“ได้” ราชันหลายคนพยักหน้า


“หึ ในมือเด็กนี่มีสมบัติอริยะ มีกระบวนผนึกมรรคราชัน ฆ่าเขาไม่ง่ายเลย ข้าว่า เปิดศึกโดยตรงเถอะ ใครฆ่าเด็กนี่ได้ ศุภโชคก็เป็นของคนนั้น!”


โหวเทียนจงพูดพร้อมสายตาอันเยียบเย็น


“พวกเจ้าพูดจบหรือยัง” ตอนนี้เองหลินสวินที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางพูดขึ้น ดวงตาดำยิ่งเย็นชา กวาดมองเหล่าราชัน


เขาสงบนิ่งมากมาโดยตลอด แม้ถูกมองว่าเป็นเหยื่อ สีหน้าก็ไม่เคยเปลี่ยน


เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า ความชิงชังที่ไม่สามารถสกัดกั้นได้พรวดพราดขึ้นกลางอกเขา พร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา


เหล่าราชันต่างขมวดคิ้ว เหยื่อที่ทำได้แค่นั่งรอความตายก็กล้าเถียงซะด้วย นี่ทำให้พวกเขาไม่พอใจอย่างมาก


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เจ้ารีบร้อนรนหาที่ตายหรือ ข้าจะสงเคราะห์เจ้า!”


โหวเทียนจงยื่นมือไปคว้า เมฆสายฟ้าแถบหนึ่งก่อตัวขึ้น แผ่กลิ่นอายทำลายล้างอันน่ากลัว สยบสังหารไปทางหลินสวิน


ว่องไวดุดันและเผด็จการ!


ราชันคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถยอมให้โหวเทียนจงชิงฆ่าหลินสวินก่อนได้ ต่างลงมืออย่างไม่ลังเล


ตูม!


ทันใดนั้นเหล่าราชันต่างงัดวิธีออกมาอย่างไม่ออมมือสักนิด มีทั้งวิชามรรคที่น่ากลัวไร้ขอบเขต มีสมบัติที่พลานุภาพตะลึงโลก ต่างโจมตีสังหารไปทางหลินสวินจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน


หนึ่งเคลื่อนไหว สะเทือนไปทั้งกาย


เพราะการลงมือของโหวเทียนจงทำลายสถานการณ์คุมเชิงอันตึงเครียด ทำให้ในที่นั้นระเบิดศึกใหญ่ขึ้นแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)