Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1069-1078

 ตอนที่ 1069 เพลงกระบี่มหาวัฏจักร

 

เมื่อได้ยินคำพูดของจินมู่อวิ๋น หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย มีเพียงจิตต่อสู้ในดวงตาเท่านั้นที่ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น คล้ายจะเผาทำลายท้องนภา!


ในการประลองแต่ละยกก่อนหน้านี้ เพื่อไม่ให้ยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนอื่นมองทะลุตื้นลึกหนาบางของตนออก เขาย่อมต้องรักษาท่าไม้ตายและไพ่ตายเอาไว้บ้าง


เช่นหมัดสะเทือนสวรรค์ที่เพิ่งโจมตีจินมู่อวิ๋นให้ถอยร่นไปเมื่อครู่


ทว่า นี่ก็ไม่ใช่ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาครอบครอง!


ดังนั้นไม่ว่าโลกภายนอกจะไม่ถือหางเขาอย่างไร ล้วนไม่อาจส่งผลต่อสภาวะจิตของหลินสวินได้


“วิถีแห่งกระบี่ สู้เพื่อทัดเทียมฟ้า ภายในวัฏจักรไม่มีสิ่งใดไม่อาจฟาดฟัน!”


ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของกระบี่ที่ประหนึ่งกระแสธาร อานุภาพของจินมู่อวิ๋นพลันเพิ่มสูงขึ้น กระบี่พรหมราชโฉบผ่านอากาศจู่โจมออกมา


“กระบี่นี้นามว่าเตาหลอมวัฏจักร!”


เขาตะคอกออกมา เจตกระบี่พุ่งทะลุเมฆา ทุกที่ที่ผ่านห้วงอากาศถูกแผดเผาเหมือนไฟจากเตาซัดสาดออกมา รวมตัวเป็นกระแสกระบี่ใหญ่ยักษ์อลหม่านสายหนึ่ง ฟาดฟันไปยังหลินสวิน


“เพลงกระบี่มหาวัฏจักร!”


ในลานมีคนร้องเสียงหลง


ทุกคนต่างจำได้ว่านี่เป็นหนึ่งในสามมหาคัมภีร์ยอดกระบี่ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เพลงกระบี่มหาวัฏจักรจัดอยู่ในระดับเดียวกับคัมภีร์กระบี่มหาวิบัติ และวิชากระบี่มหาหยินหยาง


เพลงกระบี่นี้เป็นมรดกสำคัญของสามมหาคัมภีร์ยอดกระบี่ ทุกกระบี่ล้วนสอดคล้องกับมหามรรควัฏจักร เป็นวิชาสังหารอย่างแท้จริง


วิชาอย่าง ‘เตาหลอมวัฏจักร’ ยังเป็นการซ่อนพลังแห่งวัฏจักรฟ้าดินไว้ในหนึ่งกระบี่ อานุภาพน่าสะพรึงที่เทพผีร่ำไห้


ในสมัยบรรพกาล บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าอาศัยเพลงกระบี่นี้ปลิดชีพผู้แข็งแกร่งยิ่งยวดมาแล้วไม่รู้เท่าไร ได้รับฉายา ‘บรรพจารย์กระบี่’ เจตกระบี่เทียมฟ้า


กระบี่นี้ของจินมู่อวิ๋นแม้ยังไม่น่ากลัวเท่าบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า แต่มองไปในหมู่ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในปัจจุบันก็เรียกได้ว่าน่าตื่นตาหาใดเทียมแล้ว


แม้แต่มารกระบี่เยี่ยเฉิน เมื่อเห็นวิชากระบี่ล้ำเลิศเหนือธรรมดาเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง สังเกตเห็นความน่ากลัวในอานุภาพของมัน


โครม!


กระบี่นี้ยังมาไม่ถึง แต่ทั้งสนามประลองนั้นกลับประหนึ่งแปรสภาพเป็นเตาเพลิงเตาหนึ่ง ทุกที่ล้วนมีแต่เจตกระบี่ดุดันลุกโชน ไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุด


น่ากลัว!


เหิมเกริม!


ดุดันอหังการ!


กระบวนท่าที่สองนี้เห็นชัดว่าจินมู่อวิ๋นได้ใช้วิธีแข็งกล้าถึงที่สุด รวบรวมพลังซึ่งแข็งกร้าวอย่างที่สุดนับแต่ที่เขาฝึกฝนมา


ในลานทุกคนต่างหายใจไม่ออก


สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนกับอาหลู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของการโจมตีนี้


พวกอวี่หลิงคงและหลี่ชิงผิงก็สะท้านขวัญกับการโจมตีนี้ ไม่อาจไม่ยอมรับว่าจินมู่อวิ๋นแข็งแกร่งยิ่งจริงๆ


ในขณะเดียวกัน นี่ก็ทำให้พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาคอยว่าเทพมารหลินจะยังกล้าใช้หมัดรับการโจมตีนี้หรือไม่


ความฮึกเหิมและตั้งตาคอยยิ่งเผยออกมาจากดวงตาของผู้แข็งแกร่งจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า


“เก้าเคราะห์หวนคืนเป็นหนึ่ง มังกรพันผูกโผนนภา!”


แทบจะในขณะเดียวกัน หลินสวินยืดหลังตรง สี่ทิศรอบกายปรากฏเงามายาสัตว์เทพเงาแล้วเงาเล่า


ทั้งชือน้ำแข็งเจิดจ้าชูคอ ฟู่ซี่ที่ดุร้ายป่าเถื่อนปะทะอากาศ ปี้อั้นที่เหยียบย่างลงบนภูผาธารา ซวนหนีที่พ่นเมฆเซียนหมอกเทพ…


ยังมีหยาจื้อ ฉิวหนิว เฉาเฟิง ผูเหลา ป้าเซี่ย!


สัตว์เทพเก้าตนครอบครองห้วงอากาศรอบกายหลินสวิน อานุภาพดุร้ายแตกต่างกันไป ล้วนเรียกได้ว่าคับฟ้า พลานุภาพแผ่กระจายออกมา ขับเน้นให้หลินสวินดุจดั่งเจินหลงไร้เทียมทานตนหนึ่ง!


ภาพนี้ช่างเหนือธรรมดาเกินไปแล้ว ประหนึ่งกลับสู่ยุคบรรพกาล เผยให้เห็นภาพน่าพรั่นพรึงที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี


ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง ตระหนกจนเหงื่อกาฬไหลไปทั้งตัว นี่มันวิชายุทธ์อะไรกันถึงได้วิปริตเช่นนี้


แต่เยี่ยนจั่นชิวกลับผุดลุกขึ้น แววกราดเกรี้ยวแผ่พุ่งออกมาจากดวงตา เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงครอบครองมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรได้


สำหรับเขาแล้ว มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรมีความหมายเกินธรรมดาไปมาก!


เป็นปมในใจของเขา!


ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!


ในขณะเดียวกัน บนสนามประลองการโจมตีของทั้งสองปะทะเข้าหากัน เกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นน่าหวาดหวั่นสั่นคลอนฟ้าดิน สะเทือนแปดทิศ


เห็นได้ชัดเจนว่าปราณกระบี่ราวเตาหลอมวัฏจักรนั้นถูกบดขยี้ ระเบิดแตกและถูกทำลายล้างอย่างราบคาบ ละอองแสงเปล่งประกายลอยละล่อง แปรสภาพเป็นกระแสปั่นป่วนสั่นสะท้านไปทั่วสี่ทิศ


ทั้งสนามประลองล้วนสั่นสะเทือนตามไปด้วย พลังกฎระเบียบที่รวมตัวหนาแน่นปรากฏขึ้นบนพื้นสนามอันแข็งแรงและเก่าแก่ สลายการโจมตีนี้ไป


ที่นอกสนาม ตอนนี้ข้ารับใช้วิญญาณผู้มีสีหน้าเฉยชาก็หน้าเปลี่ยนสี เขาเป็นร่างจำแลงของกฎระเบียบ เป็นเจตจำนงกลุ่มหนึ่งของภูเขาเทพไร้มรณะ ย่อมรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความน่ากลัวของพลานุภาพการโจมตีนี้


โครม!


เงามายาของสัตว์เทพเก้าตนสำแดงอานุภาพดุร้ายแตกต่างกันไป ชั่วพริบตาก็ทำลายกระบวนท่าเตาหลอมวัฏจักรนี้ให้สลาย พุ่งไปปกคลุมจินมู่อวิ๋นแล้ว


จินมู่อวิ๋นขนลุกเกรียว หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ นี่เป็นไปได้อย่างไร


ในระหว่างนี้เขารู้สึกอ่อนล้าเหมือนถูกพันธนาการอยู่ในกรงขัง จะหนีก็ไม่ได้ จะหลบก็ไม่พ้น!


“ไสหัวไป!”


เขาคำรามเดือดดาล ระเบิดพลังดุร้ายจากกลางใจ โคจรพลังทั้งหมดในตัวขึ้นมา กระบี่พรหมราชยิงเพลิงกระบี่ไร้ที่สิ้นสุดออกมาอีกครั้งในชั่วพริบตา


ตูม!


การปะทะปะทุขึ้น ทุกคนที่อยู่นอกสนามเพียงรู้สึกแสบตา ไม่อาจจดจ้องได้อีก พร้อมกันนั้นเสียงโครมครามน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบก็แผ่ขยายไปทั้งสนาม


ฟ้าดินแถบนี้ส่งเสียงครึกโครม สั่นระรัวไม่ว่างเว้น


ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง พลังกฎระเบียบเต็มฟ้าขยายออก ผนึกสนามประลองที่อยู่ตรงกลางไว้อย่างแน่นหนา เลี่ยงไม่ให้คลื่นส่วนเกินกระจายออกมาจนส่งผลให้ทุกคนโดนลูกหลงไปด้วย


จากจุดนี้ก็เห็นได้ว่าอานุภาพของการปะทะครั้งนี้วิปริตปานไหน!


ครู่หนึ่งผ่านไป


ทุกคนถึงได้มองไปที่สนามประลองหลังจากหายตกตะลึง เห็นเพียงเงาร่างของหลินสวินยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ส่วนฝั่งตรงข้ามของเขา จินมู่อวิ๋นก็ไม่ไหวติงสักนิดเช่นกัน


การโจมตีนี้หรือจะเสมอกัน


กร๊อบๆ!


เมื่อความคิดนี้เพิ่งปรากฏขึ้นในใจของทุกคน ก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกเบาๆ ระลอกหนึ่งแว่วออกมาจากร่างของจินมู่อวิ๋น ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดเช่นนี้ฟังดูแสบแก้วหูอย่างประหลาด


ราวกับว่าภายในร่างเขากำลังถูกจู่โจมและทำลาย


จากนั้น…


ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตกตะลึง จินมู่อวิ๋นสั่นสะท้านไปทั้งกาย ริมฝีปากพ่นเลือดสดๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องสิบกว่าครั้ง


ทุกครั้งที่กระอักเลือดออกมาร่างของเขาก็สั่นเทา รูขุมขนบนผิวหนังมีน้ำเลือดสายแล้วสายเล่าไหลรินย้อมอาภรณ์


หลังจากกระอักเลือดออกมาสิบกว่าครั้ง เขาก็แปรสภาพเป็นมนุษย์โลหิตคนหนึ่ง แดงฉานไปทั้งร่าง น่าสะพรึงอย่างยิ่ง!


ครั้นหันกลับไปดูหลินสวิน สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหวดังเดิม!


“นี่…”


ที่ตีนเขา ผู้ชมสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ


น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ในการประลองก่อนหน้านี้จินมู่อวิ๋นแข็งแกร่งปานไหน ทั้งวิชาที่สำแดงออกมายังเป็นนัยเร้นลับแห่งเพลงกระบี่มหาวัฏจักรที่ระบือนามไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณ


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส!


เมื่อนึกถึงเคล็ดวิชาที่หลินสวินสำแดงออกมาเมื่อครู่ ภาพอันน่าหวาดหวั่นของสัตว์เทพเก้าตัวที่ออกมาเต็มฟ้านั่น ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างหนาวเยือกไปทั้งกาย


นั่นเป็นมรดกวิชาอะไรกัน


เหตุใดถึงน่าพรั่นพรึงเช่นนี้


‘ร้ายกาจ!’ เยี่ยเฉินลอบพยักหน้า หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาเพียงชื่นชมหลินสวิน เช่นนั้นตอนนี้ก็มองหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องให้ความสำคัญไปแล้ว


‘เหมือนเป็นมรดกของเผ่ามังกรเจินหลง หรือเจ้าหมอนี่จะมีความสัมพันธ์อะไรกับเผ่าเจินหลง’ เซี่ยวชางเทียนลูบคางพลางใคร่ครวญ


‘เขาถึงกับหยั่งรู้นัยเร้นลับที่แท้จริงของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรแล้ว!’ ความกราดเกรี้ยวในดวงตาของเยี่ยนจั่นชิวยิ่งเข้มข้นขึ้น ไม่สุขุมเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว


ราวกับว่าวิชาลับที่หลินสวินครอบครองนี้ทำให้เขาไม่อาจอดทนได้


“เป็นไปไม่ได้!”


ที่ตีนเขา ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่อาจยอมรับภาพนี้ได้ สีหน้าไม่น่าดูผิดธรรมดา


ก่อนหน้านี้พวกเขายังตั้งตารอให้จินมู่อวิ๋นสำแดงเดชบดขยี้หลินสวิน ใครจะไปคิดว่าในการประลองกระบวนท่าที่สองนี้ จินมู่อวิ๋นยังถูกโจมตีให้ถอยร่นดังเดิม ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้!


“เผียะๆๆ! เผียะๆๆ! ตบหน้าคราวนี้เจ็บคงเอาเรื่องเลยสิท่า”


คนปากร้ายเช่นอาหลู่เริ่มเยาะเย้ยอีกครั้งแล้ว เสียงดังราวอสนีบาต ยั่วให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงเชิงเขาเหล่านั้นโกรธจนเต้นเร่า รู้สึกอยากพุ่งเข้าไปฆ่าคนเต็มที


ริมฝีปากเปล่งปลั่งของจ้าวจิ่งเซวียนคลี่ยิ้ม ดวงตากระจ่างสดใสเจือด้วยความภูมิใจ


แต่ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นสายตาน่ากริ่งเกรงหาใดเทียบของเยี่ยนจั่นชิว นี่ทำให้นางมุ่นคิ้วงามขึ้นทันที ด้วยรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง


ฉับพลันนางก็สายหน้า ไม่อยากจะสนใจ


มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร มาจากในภาคีนักสลักวิญญาณในนครต้องห้ามของจักรวรรดิจื่อเย่า เป็นสิ่งที่ท่านลู่หลงเหลือไว้ในตอนนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจพูดว่าไม่ควรเป็นของหลินสวิน!


เพียงแต่ขนาดจ้าวจิ่งเซวียนยังคิดไม่ถึง ว่าหลินสวินจะถึงกับหยั่งถึงปริศนาของมรดกวิชาได้ขนาดนี้แล้ว…


“เข้ามาอีก!”


บนสนามประลอง เสียงแหบแห้งราวหินกรวดเสียดสีกันดังออกมาจากปากจินมู่อวิ๋น


พร้อมกับเสียงนั้น เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ตอนนี้ดวงตาที่เดิมขุ่นเคืองอยู่แล้วยิ่งโชติช่วงขึ้นไปอีก ดุจดั่งดวงดาวแผดจ้าคู่หนึ่ง


เขาโชกเลือดไปทั้งตัว สีหน้าซีดขาว แต่ในตอนนี้ทุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกได้ถึงความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งจากตัวเขา


ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ยามเผชิญหน้ากับจินมู่อวิ๋นในตอนนี้ต่างต้องยอมรับว่า นี่คือผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่หยิ่งทระนง แข็งแกร่งและสะดุดตาผู้หนึ่ง


จิตวิญญาณอันยึดมั่นหนักแน่นเช่นนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจไม่หวั่นไหว


แต่เช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งขับเน้นความน่ากลัวของหลินสวิน จินมู่อวิ๋นโดดเด่นสะท้านโลกขนาดนี้แล้ว แต่หลินสวินกลับสามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้อย่างต่อเนื่องในสองกระบวนท่า นี่น่าหวาดหวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย


“อาศัยแค่จิตวิญญาณและเจตจำนงเช่นนี้ จินมู่อวิ๋นคนนี้สามารถพาตัวเองมาอยู่ในสี่อันดับแรกได้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”


ตอนนี้แม้แต่เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินยังยอมรับความแข็งแกร่งของจินมู่อวิ๋น


ทว่านี่กลับทำให้จินมู่อวิ๋นไม่ดีใจแม้แต่น้อย


เขาไม่ยอม!


ยิ่งไม่อาจยอมรับได้!


“เจ้าก็ไม่เลว น่าเสียดาย เจ้าไม่ใช่อวิ๋นชิ่งไป๋” หลินสวินเอ่ยปากเช่นกัน วาจาที่เอ่ยออกมากลับดูไม่มีที่มาที่ไปอยู่บ้าง


ผู้ฝึกปราณไม่น้อยสั่นสะท้านในใจ เหมือนจะเดาอะไรออก หรือว่าคู่ต่อสู้ที่เขาคิดจะเอาชนะจริงๆ คืออวิ๋นชิ่งไป๋


เทพมารหลินเหิมเกริมยิ่งแล้ว!


และสิ่งนี้ก็ทำให้จินมู่อวิ๋นสีหน้าอึมครึม ขุ่นเคืองขึ้นไปอีก เจตกระบี่ทั้งกายประหนึ่งกำลังลุกโชน ดวงตาเย็นชาจนน่าตกใจ


เพียงแต่เขาไม่ทันได้เอ่ยปาก หลินสวินก็พูดออกมาแล้วว่า “คราวนี้เจ้าก็รับข้าไปอีกกระบวนท่าแล้วกัน!”


เสียงพูดยังไม่ทันเงียบไป อานุภาพพลังที่ปราดเปรียวราวลำแสง เฉียบคมดุจใบดาบ ไพศาลราวเหวใหญ่ก็พุ่งออกมาจากร่างของเขา ปั่นป่วนเมฆลมทั่วทิศ!


ชิ้ง!


ดาบหักเจิดจ้าราวมายาโฉบออกมา ลายมรรคบนตัวดาบคลุมเครือ แสงดารากระจ่างใสเพริศแพร้วแผ่พุ่งออกมานับหมื่นสาย


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงทุกการกระทำในที่นั้นล้วนหยุดลงในตอนนี้


สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของหลินสวินราวกับเชื่อมโยงกับสวรรค์ ควบรวมกับปฐพี ประหนึ่งจำแลงเป็นเทพสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล มองเหยียดหยันมายังโลกหล้า เพียงแค่อานุภาพพลังเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนชาหนึบที่ศีรษะ


และดาบหักก็ล่องลอยอย่างเงียบเชียบอยู่ในยามนี้


ไม่มีเสียงแม้สักนิด ประหนึ่งว่าพลังทั้งมวลต่างรวมตัวกันที่คมดาบนั้น ทำให้การโจมตีนี้ปรากฏความรู้สึกสงบนิ่งแบบที่เมื่อถึงขีดสุดก็จะพลิกกลับ!


หากการโจมตีนี้เคลื่อนออกมา อานุภาพของมันจะมากมายเพียงใด พลังจะแข็งแกร่งปานไหน

 

 

 


ตอนที่ 1070 ฟันหัวชั้นเลิศให้ร่วงหล่น

 

เมื่อรับรู้ได้ถึงอานุภาพที่การโจมตีนี้ของหลินสวินแผ่ออกมา ผู้กล้ารุ่นเดียวกันในหมู่ผู้ชมการต่อสู้ก็แทบจะหนังศีรษะชาหนึบขึ้นมา หน้าเสียในทันที


ส่วนผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสก็จิตวิญญาณสั่นสะท้าน สงบใจลงได้ยาก


คมในฝัก!


ยิ่งร้ายกาจปานใดก็ยิ่งเงียบเชียบเท่านั้น!


การโจมตีที่เงียบเชียบไร้เสียงนี้ยังไม่ได้ระเบิดออกมา ก็สะท้านไปทั้งลานแล้ว


และจินมู่อวิ๋นที่อยู่ตรงข้ามหลินสวินยิ่งรู้สึกได้โดยตรงและรุนแรงยิ่งกว่า ชั่วพริบตานี้ในใจเขาเกิดความรู้สึกไร้พลังอย่างหนึ่ง


แต่เพียงแค่พริบตาเขาก็ตื่นจากความอ่อนแรงเช่นนี้ สติแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


ต้องรับการโจมตีนี้ให้ได้!


จินมู่อวิ๋นมีลางสังหรณ์ว่าขอเพียงรับการโจมตีนี้ได้ ไม่เพียงทำให้หลินสวินแพ้การประลองครั้งนี้ได้เท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือพลังของเขาจะสามารถทะลวงขั้นอีกครั้ง!


ชั่วขณะนี้สีหน้าจินมู่อวิ๋นแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจังผิดธรรมดา สลัดทิ้งความโลภ โกรธ หลง ลืมสิ้นความแค้น ชิงชังและความกลัว!


ภายในร่าง พลังและวิชาลับต่างๆ ที่ครอบครอง นัยเร้นลับแห่งมหามรรคนานาชนิดโคจรถึงขีดสุดอย่างเป็นธรรมชาติ


เขาเข้าไปในเขตแดนอัศจรรย์อย่างหนึ่ง


ประหนึ่งความสงบเงียบก่อนแปรสภาพ เงียบเชียบรอดอกไม้ผลิบาน!


“หือ เจ้าหมอนี่ยอดเยี่ยมเสียจริง จะบรรลุขั้นในตอนนี้เสียอย่างนั้น!”


ยามนี้ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นไม่น้อยต่างสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในกลิ่นอายของจินมู่อวิ๋น ล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึง ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าพรสวรรค์ของจินมู่อวิ๋นผู้นี้เย้ยฟ้าปานไหน!


“ครั้งนี้มีปีศาจไร้เทียมทานผุดขึ้นมามากเกินไปแล้ว เจิดจ้าตระการตากว่าแต่ก่อนนัก จินมู่อวิ๋นผู้นี้ หากอยู่ในครั้งที่แล้วต้องชิงอันดับหนึ่งมาได้อย่างสบาย ยืนผงาดเหนือผู้ใดแน่!”


ชายชราเผ่าวาทวาโยผู้หนึ่งเอ่ยเสียงสั่นเครือ เขาร่วมชมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่นี่ต่อเนื่องหลายครั้ง ได้เห็นผู้กล้าในใต้หล้ามากมาย แต่ยังไม่มีครั้งไหนที่เทียบได้กับคราวนี้


ในเวลาเดียวกันนั้นดวงตาดำของหลินสวินก็ฉายแววประหลาด


จากนั้นเขาเก็บสายตาลงไป เจตจำนงกร้าวแกร่งหลอมรวมกันในตอนนี้ แปรสภาพเป็นจิตต่อสู้ไพศาลเหลือคณา


กลางห้วงอากาศ ยามนี้ดาบหักที่สั่งสมพลังรอโจมตีไว้ก่อนแล้วโฉบออกมา


ขณะเดียวกันจินมู่อวิ๋นก็เคลื่อนไหวแล้ว กระบี่พรหมราชทิ่มแทงห้วงอากาศ แสงไร้ขอบเขตระเบิดออก กลายสภาพเป็นเงามายาวิญญาณเทพนับไม่ถ้วนบงการห้วงอากาศโดยรอบ ดุจดั่งเทพเทวาในอดีตกาลปรากฏกาย


ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับดาบหักที่ฟันลงมา ทั้งหมดนี้ก็เหมือนไม่มีอยู่จริง!


ฉัวะ!


ท่ามกลางเสียงระเบิดแสบแก้วหู อานุภาพของกระบี่นี้ถูกบดขยี้ ดาบหักคมปลาบฟันลงมาตรงๆ บนหัวของจินมู่อวิ๋น


วิกฤตแล้ว!


ในเวลาเดียวกันนี้จินมู่อวิ๋นก็รู้สึกได้ถึงจุดพลิกผันกะทันหัน เขาดึงพลังทั้งหมดในร่างออกมาใช้จนหมด ตั้งรับอย่างสุดแรงเหมือนเป็นการเดิมพัน


มองจากไกลๆ ตัวเขาเหมือนกลายสภาพเป็นแสงสายหนึ่ง แสงกระบี่ที่ดุดันเทียมฟ้าสายหนึ่ง!


ทุกคนล้วนแสบตา ดวงวิญญาณหวาดผวา สะท้านจิตกับภาพนี้


ถึงกระนั้น…


ไม่ทันที่แสงกระบี่เทียมฟ้าสายนี้ของจินมู่อวิ๋นจะได้ผงาดขึ้น จู่ๆ ก็หม่นแสงลงกลางทาง จากนั้นระเบิดออกดังปึงๆๆ ละอองแสงปลิวว่อนกระจายไปทั้งสนาม


การโจมตีนี้ไม่ดุเดือดเท่ากระบวนท่าที่สอง แต่กลับตรงไปตรงมา โหดร้าย และสะเทือนขวัญอย่างน่าประหลาด!


กระทั่งว่าผู้ชมการต่อสู้หลายคนต่างเห็นไม่ชัดว่าดาบหักฟันออกมาเช่นไร จึงไม่อาจล่วงรู้ว่าจินมู่อวิ๋นรับการโจมตีนี้ได้หรือไม่กันแน่


สาเหตุมีเพียงคำเดียว เร็ว!


เร็วจนหาที่เปรียบมิได้!


เมื่อสติรับรู้ฟื้นคืนมา การต่อสู้ก็จบลงแล้ว


ผ่านไปสามกระบวนท่าแล้ว!


ผลลัพธ์เป็นเช่นไร


ไม่อาจไปครุ่นคิด ตื่นตระหนก หรือใคร่ครวญใดๆ ทุกคนล้วนมองไปยังจินมู่อวิ๋นที่อยู่บนสนามโดยไม่รู้ตัว


ฝุ่นควันตลบอบอวล ละอองแสงยังคงปลิวว่อน เงาร่างของจินมู่อวิ๋นค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา


ฉับพลันทันใด ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่อยู่บริเวณเชิงเขาเหล่านั้นก็ระเบิดเสียงร้องยินดีปรีดา


“ชนะแล้ว!”


“เทพมารหลิน สัญญาสามกระบวนท่าผ่านไปแล้ว ยังไม่รีบยอมแพ้อีกหรือ”


“ยกหินกระแทกใส่เท้าตัวเองแท้ๆ เทพมารหลินอย่างเจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ”


ผู้ชมคนอื่นต่างอึ้งไป เทพมารหลินแพ้แล้วจริงหรือ


ทุกสายตามองไปยังหลินสวินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง บ้างมีความสุขที่ได้เห็นผู้อื่นลำบาก บ้างยิ้มเหี้ยมและได้ใจ บ้างทอดถอนใจ


จินมู่อวิ๋นก็ทอดสายตาไปยังหลินสวินเช่นกัน เพียงแต่เขากลับเงยหน้าเชื่องช้าน่าประหลาด เหมือนยากลำบากและกินแรงถึงที่สุด


ประหนึ่งทำดวงวิญญาณหายไป


“อีกนิดเดียวก็จะบรรลุ แต่กลับทำไม่สำเร็จ ข้า… แค้นนัก!”


มุมปากจินมู่อวิ๋นขยับไหว เสียงเหมือนเค้นออกมาจากทรวงอก อ่อนแรงถึงที่สุด คล้ายเพียงประโยคเดียวก็ใช้พลังทั้งหมดของเขาจนสิ้น


“นี่… เกิดอะไรขึ้น” หลายคนหนังตากระตุก หรือเทพมารหลินไม่ได้แพ้


ปึง!


และในตอนนี้เอง ร่างผอมบางที่เดิมยืนตระหง่านราวกระบี่ของจินมู่อวิ๋นก็ล้มลงไปกับพื้นเสียงดัง ศีรษะของเขากลิ้งตกลงไปที่พื้น เลือดสดๆ สาดกระเซ็นออกมา


ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในลานเงียบลงทันที ครู่เดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไร้เสียง เงียบจนทำเข็มหล่นก็ได้ยิน


ตายแล้วหรือ


ผู้ฝึกปราณหญิงบางคนถึงกับตกใจจนร้องเสียงหลง ใบหน้างามซีดเผือด


“นี่…”


ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่เดิมกำลังยินดีปรีดาและได้ใจ ไม่ว่าเด็กหรือแก่เวลานี้ต่างรู้สึกเหมือนถูกโจมตีฉับพลัน ภาพตรงหน้ามืดสนิท นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


พวกเขาไม่อาจยอมรับได้


ความแข็งแกร่งของจินมู่อวิ๋น ทุกคนที่อยู่ในสำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างรู้ดี เขาถูกบ่มเพาะด้วยการมองว่าเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สอง ในหมู่ศิษย์แกนหลักเขาก็เป็นผู้กล้าชั้นยอด เป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด!


แต่ตอนนี้กลับแพ้ในกระบวนท่าที่สามเช่นนี้หรือ


ทั้งศีรษะยังถูกฟันร่วงด้วย!


นี่น่าสะท้านขวัญเกินไปแล้ว


ในลานเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมสะท้อนก้อง


เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินต่างไหวหวั่น กลางนัยน์ตามีประกายไหวเคลื่อน การโจมตีของหลินสวินเมื่อครู่นี้ ทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม!


ส่วนยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่มองหลินสวินเป็นศัตรูอย่างอวี่หลิงคง ฉู่เป่ยไห่ หลี่ชิงผิง เวลานี้ล้วนมีท่าทางเหมือนถูกสายฟ้าฟาด จิตใจกระทบกระเทือน


เหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงแข็งแกร่งปานนี้ได้


จินมู่อวิ๋นมีคุณสมบัติเข้าช่วงชิงสี่อันดับแรก ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้จินมู่อวิ๋นกลับถูกกำราบราบคาบในสามกระบวนท่า!


ภาพนี้ส่งผลกระทบใหญ่ยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้พวกเขาต่างนิ่งอึ้งไปเช่นนั้น สีหน้าแปรผันไม่ว่างเว้น


แน่นอน ทุกคนรู้ดีว่าบนภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้ ภายใต้ข้ารับใช้วิญญาณที่เป็นประจักษ์พยานด้วยตนเอง จินมู่อวิ๋นไม่อาจตายไปโดยสมบูรณ์


แต่นี่กลับทำให้ทุกคนไม่อาจไม่ตื่นตระหนก หากเกิดขึ้นในโลกภายนอก เช่นนั้นผลลัพธ์ย่อมไม่อาจคาดคิดได้!


“ฮ่าๆๆ จังหวะตบหน้านี่มันสะใจเป็นบ้า! ดูไอ้นกกาที่ตีนเขาพวกนั้นสิ สีหน้าแต่ละคนเหมือนพ่อแม่ตายไม่มีผิด!”


เสียงอาหลู่หัวเราะบ้าคลั่งดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว เต็มไปด้วยอานุภาพร้ายกาจ ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากสำนักใหญ่ต่างๆ ที่มองหลินสวินเป็นศัตรูเหล่านั้นแทบกระอักเลือด จะเต้นเร่าอยู่รอมร่อ


‘อาหลู่พูดถูกแล้ว’ จ้าวจิ่งเซียวเห็นด้วยอย่างหาได้ยาก แน่นอนว่าคำพูดนี้พูดอยู่ในใจ นางไม่ต้องการยั่วให้ฝูงชนโกรธเกรี้ยว


ชิ้ง!


หลินสวินเก็บดาบหักกลับมา หันกายออกจากสนามประลอง ระหว่างทางดวงตาดำของเขามองลงไปลวกๆ กวาดตาไปที่ตีนเขารอบหนึ่ง มุมปากยกยิ้มเหยียดหยามไร้เสียง


แม้ไม่ได้เอ่ยปาก แต่นี่กลับเหมือนตบหน้าพวกผู้แข็งแกร่งที่เคยมีเรื่องกับหลินสวินเหล่านั้นเข้าอย่างจัง ทำให้พวกเขาเจ็บแสบอย่างยิ่ง


น่าแค้นนัก!


พวกเขาอับอายและขุ่นเคือง


ก่อนหน้านี้พวกเขามีใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าหลินสวินสามารถเอาชนะจินมู่อวิ๋นได้ในสามกระบวนท่า แต่ความเป็นจริงก็คือ หลินสวินไม่เพียงเอาชนะอีกฝ่าย แต่ยังฟันหัวให้ร่วงลงมาอีกด้วย!


นี่ไม่ต่างอะไรกับตบหน้าตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย


ฟู่!


หลังจากกลับสู่แท่นมรรคบนยอดเขา หลินสวินก็อดไม่ได้พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง หว่างคิ้วปรากฏความเหนื่อยล้า


โจมตีสามครั้ง ดูเหมือนสบาย แต่ความจริงแล้วกลับใช้พลังกายของเขาไปมากกว่าครึ่ง ทำให้เขารู้สึกอ่อนแรงเช่นกัน


ขนาดหลินสวินยังต้องยอมรับว่าจินมู่อวิ๋นรับมือยากจริงๆ คราวนี้เขาใช้โทสะหยาจื้อกับวิชาอริยะยุทธ์ไป ถึงกำราบอีกฝ่ายได้ในที่สุด หากไม่ทำเช่นนี้ย่อมเอาชนะในสามกระบวนท่าได้ยาก


ซู่!


ฝนวิญญาณเทพงดงามเป็นประกายเทลงมาจากฟ้า ชโลมร่างหลินสวินไว้ภายใน พลังกายและจิตวิญญาณที่เขาใช้ไปแทบจะฟื้นคืนมาในชั่วไม่กี่อึดใจ กลับสู่สภาวะสมบูรณ์!


ในขณะเดียวกันบนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง จินมู่อวิ๋นก็ถูก ‘คืนชีพ’ อาบชโลมฝนวิญญาณเทพ และกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


เพียงแต่หว่างคิ้วของเขากลับเต็มไปด้วยความอึมครึมที่ไม่อาจลบเลือน โดยเฉพาะยามสายตามองไปยังหลินสวิน มีทั้งความแค้น ขุ่นเคือง ไม่พอใจ และสับสน


เห็นได้ชัดว่าแม้รอยแผลจะสมานแล้ว แต่สภาวะจิตกลับยังไม่ฟื้นคืนจากการกระทบกระเทือนเมื่อครู่


อย่างไรเสียนี่ก็เท่ากับ ‘ตาย’ ไปแล้วครั้งหนึ่ง ภายในเวลาอันสั้นถูกโจมตีเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปล่อยวาง


ที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือ ในการประลองยกที่สามก็เป็นเขาที่ออกโรงเช่นกัน!


คู่ต่อสู้ของจินมู่อวิ๋นคือเซี่ยวชางเทียน ตอนนี้ฝ่ายหลังมาถึงสนามประลองแล้ว กล่าวด้วยเสียงกังวานว่า “จินมู่อวิ๋น ให้เวลาเจ้าได้ฟื้นฟูจิตใจให้มั่นคงอีกหน่อยไหม”


“ไม่ต้องแล้ว!”


จินมู่อวิ๋นสีหน้าเย็นชา สูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมอง เงาร่างพริบไหวพุ่งมาที่สนามประลอง


ก่อนหน้านี้เขาก็ถูกฆ่าที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่ทันไรก็ต้องกลับมายืนบนนี้อีกครั้ง นี่ทำให้สภาวะจิตของเขามีเค้าลางไม่มั่นคงอยู่บ้าง


“เจ้าแน่ใจหรือ”


เซี่ยวชางเทียนนิ่วหน้า “เจ้าในตอนนี้จิตใจมีเงาดำ เหมือนมีมารผจญ ยามต่อสู้จะส่งผลต่อการใช้พลังของเจ้า ย่อมไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”


เมื่อพูดเช่นนี้ออกมาก็ทำให้ทั้งสนามถอนหายใจไม่ว่างเว้น


หากเพียงแค่แพ้ก็คงไม่เป็นไร แต่จินมู่อวิ๋นกลับถูกฟัน จิตใจกระทบกระเทือนเพราะ ‘ความตาย’ ในใจมีเงามืดที่ไม่อาจสลายไปได้ในเวลาอันสั้น


ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมน่ากังวลจริงๆ


แต่ท่าทางซื่อตรงและใจกว้างเช่นนั้นของเซี่ยวชางเทียนก็ทำให้ทุกคนซาบซึ้ง อย่างน้อยเขาก็ไม่ถือโอกาสตอนศัตรูอ่อนแอเหมือนที่หลี่ชิงผิงทำกับหลินสวินก่อนหน้านี้


“ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้อง!”


ความเยียบเย็นแผ่พุ่งออกมาจากแววตาของจินมู่อวิ๋น “หากเจ้าให้เกียรติข้าจริง ก็เอาพลังที่แท้จริงทั้งหมดของเจ้ามาประลองกับข้า หาไม่แล้วก็เลิกพูดจาไร้สาระ!”


เซี่ยวชางเทียนไม่เพียงไม่โกรธ กลับหัวเราะเสียงดัง “ได้ ข้ารับรองว่าจะไม่ออมมือตามคำขอของเจ้า!”


ทันใดนั้นการต่อสู้ก็ปะทุขึ้น!


หนึ่งดาบหนึ่งกระบี่กรำศึกดุเดือด มีสีสันแตกต่างจากการประลองครั้งใดก่อนหน้านี้


ระหว่างดูจินมู่อวิ๋นที่กำลังประลองกับเซี่ยวชางเทียนบนสนาม ในใจหลินสวินก็ลอบถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ‘ตัดกริยาวาจาออกไป เจ้าหมอนี่ก็หยิ่งทระนง มีจิตวิญญาณทรหดอดทน เพียงแต่น่าเสียดายที่มาจากสำนักเดียวกันกับอวิ๋นชิ่งไป๋…’

 

 

 


ตอนที่ 1071 เจ้าเรียกเมื่อไหร่ ข้าจะไ...

 

อย่างไรก็ตาม ชื่นชมก็ส่วนชื่นชม ถ้าอีกฝ่ายดื้อดึงไม่ยอมรับ คิดแต่จะเป็นศัตรูกับตน เมื่อได้พบกันในอนาคตหลินสวินก็จะไม่ปรานีจินมู่อวิ๋นเพราะเหตุนี้แน่


หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนพื้น จ้องมองการต่อสู้บนสนามประลองที่อยู่ห่างไปพลางสรุปประสบการณ์การต่อสู้ก่อนหน้านี้


อย่างที่ทุกคนเห็นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เริ่มขึ้นเขาก็ออมมือมาโดยตลอด!


ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งสังหารตอนขึ้นเขา ครองภูผา หรือการประลองในรอบแรกและรอบที่สอง ล้วนไม่เคยทำให้หลินสวินสำแดงพลังออกมาอย่างเต็มที่


ชิงเหวินเจวี้ยนทำไม่ได้ โก่วเหยียนเจินทำไม่ได้ หลี่ชิงผิงและปี้ตงหลิ่วเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน!


บางทีคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎชั้นหนึ่งแห่งยุค


แต่สำหรับหลินสวิน ไม่ได้มีพลังคุกคามที่แท้จริง


มีเพียงตอนที่ประลองกับจินมู่อวิ๋นเมื่อครู่นี้ที่ทำให้เขาระเบิดพลังออกมาอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่ใช้โทสะหยาจื้อ แม้แต่วิชาอริยะยุทธ์ก็ยังถูกเอามาใช้ด้วย


อีกทั้งยังสำแดงนัยเร้นลับที่แท้จริงของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างเต็มศักยภาพ!


ซึ่งก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เคยใช้เลย


เหตุผลง่ายมาก ก็เพราะไม่นานมานี้เขาเพิ่งหยั่งถึงแก่นพิสุทธิ์ของวิชาลับของสองวิชานี้ โดยอาศัยวิญญาณแห่งพลังจิต


อย่างเช่นเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มรดกวิชาที่มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ อานุภาพลึกล้ำไม่อาจคาดเดา นัยเร้นลับของหมัดเก้ากระบวนท่ารวมเข้าด้วยกัน ก็สามารถสำแดงอานุภาพอันยอดเยี่ยมของมัน…


หนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์!


แน่นอนว่าถูกจำกัดด้วยพลังปราณในตัว แม้หนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์จะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ถ้าใช้ในมือราชันที่แท้จริง เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถเขย่าท้องฟ้าแปดทิศ สังหารศัตรูอย่างง่ายดายราวกับฉีกภาพวาด


ส่วนมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรนั้น ได้รับมาจากเก้าศิลาประตูมังกรในภาคีนักสลักวิญญาณแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า


มรดกวิชานี้แปรเป็นคำว่า ‘เคราะห์’ ที่เก่าแก่เรียบง่ายและแปลกประหลาด ลอยอยู่ในห้วงนิมิตของหลินสวินตลอดมา


จนถึงตอนนี้เขาฝึกวิชานี้มาหลายปีแล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมานี้เพิ่งพอจะเข้าใจนัยเร้นลับทั้งหมดของเก้ากระบวนแปร


และตอนนี้เองที่หลินสวินเพิ่งค้นพบว่า เมื่อใช้พลังแห่ง ‘เก้ากระบวนแปร’ พร้อมกัน สามารถสำแดงอานุภาพที่เหนือจินตนาการได้


เขาถึงขั้นสงสัยว่า นี่ต่างหากที่เป็นนัยเร้นลับที่แท้จริงของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หลอมรวมความมหัศจรรย์ของเก้ากระบวนแปร ผสานรวมเข้าไปในการต่อสู้ พลังอำนาจระดับนั้น แข็งแกร่งจนทำให้หลินสวินเองยังรู้สึกตกใจ


‘นัยเร้นลับของหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์รู้ทะลุปรุโปร่งแล้ว อยากยกระดับอานุภาพนี้ ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณและพลังมหามรรคเท่านั้น’


‘ส่วนอานุภาพมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร กลับควบคุมได้เพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ห่างจากการหลอมรวมอย่างสมบูรณ์อีกระยะหนึ่ง หากต้องการยกระดับอานุภาพนี้ จะต้องใช้เวลากับมันมากกว่านี้’


หลินสวินใคร่ครวญและสรุปเงียบๆ


‘หลังจากเพิ่มพลังของดาบหัก หลอมรวมแก่นมรรคธาตุน้ำ โทสะหยาจื้อและวิชาอริยะยุทธ์ กระบวนเฉือนเกิดดับที่สำแดงออกมาดุเดือดรุนแรงถึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย’


‘แต่นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของวิชานี้…’


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วไม่คิดมากอีก


ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีไพ่ใบเอกที่แท้จริงอีกใบที่ยังไม่ได้ใช้ หากไม่ถึงขั้นที่ถูกบีบจนไม่มีทางเลือก เขาจะไม่มีทางเปิดเผย!


……


ในสนาม การประลองระหว่างจินมู่อวิ๋นและเซี่ยวชางเทียนกำลังจะจบลงแล้ว


อย่างที่ทุกคนกังวล จินมู่อวิ๋นที่เพิ่งผ่านความเป็นตายมา ข้อเสียเปรียบของสภาวะจิตที่ไม่มั่นคงเผยออกมาในการต่อสู้ ทำให้เขาถูกเซี่ยวชางเทียนกดข่มไว้ตั้งแต่ยังสู้ไม่ถึงห้าร้อยกระบวนท่าแล้ว


ตอนที่ต่อสู้กันถึงแปดร้อยกระบวนท่า เขาก็ไม่มีแรงจะโต้ตอบแล้ว ทำได้เพียงหลบเลี่ยงป้องกันตัว


สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้


ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ถูกดาบหนึ่งของเซี่ยวชางเทียนสะเทือนจนกระอักเลือดตัวลอย ร่วงตกลงบนพื้น


ทุกคนต่างถอนหายใจ การพ่ายแพ้ในมือหลินสวิน สร้างแรงสะเทือนอันใหญ่หลวงต่อจินมู่อวิ๋นอย่างไม่ต้องสงสัย


หากไม่เป็นเช่นนี้ แม้เขาไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพ่ายแพ้ไวขนาดนี้


เพียงแต่เหนือความคาดหมายของทุกคน จินมู่อวิ๋นที่พ่ายแพ้แล้ว แม้เงาร่างจะสะบักสะบอม ใบหน้าจะซีดเซียว แต่แววตาของเขากลับเจิดจ้าและแน่วแน่ แสดงความมุ่งมั่นออกมา ไม่ได้หดหู่เหมือนก่อนหน้านี้


‘ไม่เสียทีที่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎชั้นยอด ผ่านการต่อสู้ครั้งหนึ่ง กลับทำให้เขาใช้การต่อสู้นี้ค่อยๆ คลี่คลายเงามืดในจิตมรรค ผ่านการเคี่ยวกรำครั้งนี้ ทำให้เขามีสัญญาณว่ากำลังจะเปลี่ยนแปลงรางๆ อีกครั้ง!’


หลินสวินหรี่ตาลง สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดในตัวจินมู่อวิ๋น


ทำให้เขาจำต้องยอมรับว่าจินมู่อวิ๋นสามารถฟาดฟันเข้ามาอยู่ในสี่อันดับแรกได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ใช่ว่าบุคคลขอบเขตมกุฎในความหมายทั่วๆ ไปจะสามารถเทียบได้


ทว่านี่ไม่มีผลใดๆ ต่อหลินสวิน ต่อให้จินมู่อวิ๋นมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง เขาก็มั่นใจว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้อีกครั้ง!


“ฝีมือเจ้าไม่เลว ครั้งนี้ข้าได้เปรียบไปมาก ต่อไปหากมีโอกาสสามารถประลองกันอีกครั้งได้”


เซี่ยวชางเทียนพูดจบก็หมุนตัวจากไป


จินมู่อวิ๋นเงียบและหมุนตัวจากไปเช่นเดียวกัน


สีหน้าของเขายิ่งดูนิ่งสงบ ไม่ได้เศร้าสร้อย แต่เป็นความรู้สึกที่เก็บซ่อนประกายคมอย่างหนึ่งหลังจากผ่านการเคี่ยวกรำ


“ดี!”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าเห็นเช่นนี้ สายตาพลันทอประกาย “คมกระบี่สมบัติผ่านการตีหลอม ข้ามผ่านความตาย หากสามารถเดินออกจากเงามืดได้ มู่อวิ๋นจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจอย่างแน่นอน นี่อาจเป็นความโชคดีในความโชคร้าย!”


เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา ก็ดึงดูดสายตาอิจฉาจำนวนไม่น้อยทันที


เหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเองก็ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


แต่ตอนนี้เอง เสียงหยาบกระด้างแปลกประหลาดของอาหลู่กลับสะท้อนก้องในลาน “เพราะฉะนั้นพวกเจ้าควรซาบซึ้งในบุญคุณของเทพมารหลินใช่หรือไม่ หากไม่มีเขาชี้แนะด้วยตัวเอง จะมีโอกาสให้จินมู่อวิ๋นได้เปลี่ยนแปลงเสียที่ไหน”


ทันใดนั้นบนใบหน้าของคนเหล่านั้นพลันย่ำแย่อย่างที่สุด โกรธจนจมูกเบี้ยว แทบอยากจะเข้าไปสู้กับอาหลู่สุดชีวิตเสียเดี๋ยวนี้


ผู้แข็งแกร่งของสำนักอื่นที่อยู่บริเวณนั้นก็ปวดหัวขึ้นมาวูบหนึ่ง ปากของเจ้าคนเถื่อนนี่ช่างร้ายกาจจนถึงที่สุด!


เพียงแต่การกระทำหลังจากนั้นของจินมู่อวิ๋น กลับเหนือความคาดหมายของทุกคนอีกครั้ง


ตอนที่เขาได้ยินคำพูดของอาหลู่ก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองยอดเขาไกลๆ ที่หลินสวินยืนอยู่ พูดว่า “ที่สหายยุทธ์คนนั้นพูดไม่ผิด ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้าเทพมารหลินจริงๆ ผ่านประสบการณ์ความตายมา ทำให้ข้ามีโอกาสอาบเพลิงเกิดใหม่ ถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก”


ทั้งลานเงียบกริบ ต่างไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง


แม้แต่ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างกะทันหัน รู้สึกไม่เข้าใจและอัดอั้นอย่างมาก


“แต่ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทางคลี่คลายได้”


จินมู่อวิ๋นเปลี่ยนประเด็น สีหน้าเย็นชา ท่าทางไร้อารมณ์ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน


“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง คำพูดที่ข้าพูดไปแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง หลังออกจากเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ ที่ใดมีเจ้าเทพมารหลินปรากฏตัว ข้าจะหลีกหนีไปให้ไกล!”


นี่คือสิ่งที่เขาพูดตอนเดิมพันสามกระบวนท่า


เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าจินมู่อวิ๋นกลับยอมรับอย่างจริงจังเช่นนี้ ทั้งยังนิ่งสงบมาก ไม่มีท่าทีว่าโกรธและเสียใจ


เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!


หลินสวินสามารถสังเกตได้อย่างฉับไวว่า สภาวะจิตและการขับเคลื่อนพลังของจินมู่อวิ๋นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยิ่งลึกล้ำและสงบกว่าเดิม


ราวกับกระบี่สมบัติที่ผ่านการหลอมตีมาอย่างโชกโชน ปลายคมเก็บงำอยู่ภายใน แต่กลับมีอานุภาพแห่งการตกตะกอนที่ทำให้คาดเดาไม่ได้


“เช่นนั้นย่อมดีที่สุด” หลินสวินพยักหน้า


พูดตามจริง เขาเจ็บแค้นเพียงแค่อวิ๋นชิ่งไป๋ และพวกคนที่ช่วยอวิ๋นชิ่งไป๋เท่านั้น สำหรับจินมู่อวิ๋น เขาไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าใดๆ


โดยเฉพาะตอนนี้ เห็นอีกฝ่ายรับคำตามสัญญาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ในใจหลินสวินอดชื่นชมอีกฝ่ายมากขึ้นไม่ได้


จากการคาดเดาของเขา หลังจากมหายุคมาเยือน เพียงแค่พรสวรรค์น่าอัศจรรย์ไร้ที่เปรียบของจินมู่อวิ๋น เขาไม่มีทางเงียบหายไร้ชื่อเสียงแน่นอน


เพียงแต่ยามนี้กลุ่มคนสำนักกระบี่เทียมฟ้ากลับไม่จำยอมอย่างมาก การที่จินมู่อวิ๋นทำตามสัญญา ก็เท่ากับต่อไปไม่มีความคิดที่จะแก้แค้นหลินสวินอีกแล้ว


พวกเขาไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้!


สำหรับหลินสวิน พวกเขาชิงชังจนกัดฟัน ที่เป็นเช่นนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นชิ่งไป๋ และเกี่ยวข้องกับเหล่าผู้กล้าสำนักกระบี่เทียมฟ้าอย่างพวกข่งหลิงที่หลินสวินเคยเอาชนะก่อนหน้านี้


……


ยกที่สี่ หลินสวินกับมารกระบี่เยี่ยเฉิน


ไม่ว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้จะสั่นสะเทือนเพียงใด อย่างน้อยตอนนี้ คำวิพากษ์วิจารณ์และการกระทำทั้งหมดในลานล้วนหยุดลงแล้ว


สายตาจับจ้องบนสนามประลองอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย!


มารกระบี่เยี่ยเฉิน ตอนนี้เพียงเสมอเซี่ยวชางเทียนเท่านั้น ยังไม่เคยพ่ายแพ้


ส่วนเทพมารหลินนั้นยิ่งวิปริตกว่า ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์จนถึงตอนนี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะอันตรายเพียงใด ล้วนถูกเขาพลิกร้ายให้กลายเป็นดี เป็นการชนะขาดลอยอย่างแท้จริง


ทั้งสองกำลังจะเริ่มประลองกันตอนนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ไม่อาจไม่จับตามอง


รวมทั้งเหล่าศัตรูของหลินสวินพวกนั้นยิ่งจับจ้องสนามประลองอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาคิดคือมารกระบี่เยี่ยเฉินสามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ จบผลงานที่ไม่เคยพ่ายแพ้ของเทพมารหลิน!


“ในที่สุดก็จะได้เห็นความสามารถทั้งหมดของเทพมารหลินแล้ว…”


มีคนรุ่นอาวุโสถอนหายใจ


คนอื่นๆ ต่างรู้สึกเหมือนกัน ก่อนที่จะประลองกับจินมู่อวิ๋น ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเก็บออมพลังมาโดยตลอด


และแม้การประลองกับจินมู่อวิ๋นครั้งนี้ทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็แค่สามกระบวนท่าเท่านั้น


เพียงแค่ทำให้พวกเขารู้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่จะแข็งแกร่งแค่ไหน และแข็งแกร่งถึงขั้นไหนนั้น กลับไม่มีคำตอบที่แน่ชัด


ว่ากันถึงแก่นแล้วก็เป็นเพราะ ต่อสู้มาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใครบีบเทพมารหลินให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ดังนั้นขีดจำกัดของเขาอยู่ที่ไหนนั้นจึงไม่มีใครรู้ได้


ตอนนี้มารกระบี่เยี่ยเฉินปรากฏตัว บางทีอาจจะคลี่คลายคำตอบทุกอย่างได้!


“ขอพูดอีกครั้งว่าข้าจะไม่ออมมือ”


เยี่ยเฉินอยู่ในชุดคลุมสีม่วง แววตาสาดประกายประหลาดที่หมื่นกระบี่พุ่งทะลวง ราวกับจักรพรรดิแห่งกระบี่ มีอานุภาพเหยียดหยันรอบทิศ


เขาจ้องหลินสวิน สีหน้านิ่งสงบและจริงจังอย่างมาก


“หากเจ้าออมมือ จะแพ้ไวมาก”


หลินสวินยิ้ม เขารอคอยการประลองกับเยี่ยเฉินมานานแล้ว มีเพียงบุคคลระดับนี้ จึงจะกระตุ้นจิตต่อสู้ในใจเขาได้อย่างเต็มที่


เทียบกับเยี่ยเฉินที่เป็นเหมือนจักรพรรดิแห่งกระบี่ ทุกอริยบถของหลินสวินล้วนเผยความผงาดผยอง ทะนงตนไม่กลัวฟ้าดิน


กลิ่นอายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองนี้ ความรู้สึกที่นำพามาสู่ทุกคนก็แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้คือ ทั้งสองล้วนน่ากลัวมาก!


“เช่นนั้นก็ให้ข้าได้ชื่นชมฝีมือของเจ้าสักหน่อย” เยี่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง พลันกำฝ่ามือเรียวยาวขาวผ่อง


เสียงชิ้งดังขึ้นคราหนึ่ง กระบี่ไม่พันผูกที่คดโค้งดุจมังกรเจินหลง ไอม่วงซัดสาดโฉบออกมา เจตกระบี่ทะลวงฟ้า อัดแน่นในใต้หล้า


กลางฟ้าดิน เจตกระบี่เรืองรอง สยบผู้คน


ทันใดนั้นกลิ่นอายรอบตัวเยี่ยเฉินเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด ผมสีดำปลิวพลิ้วอย่างบ้าคลั่ง อานุภาพราวกับสุริยันดวงโตสาดส่องจักรวาล


เห็นเช่นนี้นัยน์ตาดำของหลินสวินก็เป็นประกายขึ้นมา พูดอย่างไม่ปิดบัง “ขอบอกเจ้าอย่างไม่มีปิดบังว่า ข้ายังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้ใช้ หากเจ้าสามารถบีบจนข้าใช้มันออกมา ต่อไปหากจะดื่มเหล้า เจ้าเรียกเมื่อไหร่ ข้าจะไปเมื่อนั้น”


คำพูดราบเรียบ แต่กลับมีความหยิ่งทะนงอันเป็นเอกลักษณ์

 

 

 


ตอนที่ 1072 ประลองมารกระบี่

 

เมื่อคำพูดนี้ของหลินสวินออกมา เยี่ยเฉินชะงักเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงหัวเราะลั่นออกมา


เสียงราวกับกระบี่ครวญ สะเทือนฟ้าดิน


“เทพมารหลินเจ้านี่นะ ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าว่า หากเจ้าเอาชนะข้าได้จริงๆ ต่อไปเมื่อใดก็ตามที่เจ้าตกอยู่ในอันตราย เพียงแค่เรียกมาคำหนึ่ง ข้าเยี่ยเฉินก็จะออกหน้าให้เจ้า!”


คำพูดของเขาแฝงความเย่อหยิ่ง แข็งแกร่งทรงพลังราวกับกระบี่


ทั้งลานเงียบกริบ ทุกคนต่างดูออกว่าแม้หลินสวินกับเยี่ยเฉินต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน แต่กลับให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมาก


ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ทั้งสองก็ไม่มีทางจะกลายเป็นศัตรู!


“เทพมารหลินนี่โชคดีจริงๆ ได้เชื่อมสัมพันธ์ผู้มีอิทธิพลของตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยเชียว” ในใจหลายคนต่างแฝงความอิจฉา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุมอำนาจที่เห็นหลินสวินเป็นศัตรู


“เชื่อมสัมพันธ์ผู้มีอิทธิพลหรือ ด้วยพรสวรรค์ของเทพมารหลิน เพียงแค่กลายเป็นราชัน ขุมอำนาจใดจะมีคุณสมบัติให้เขาพึ่งพิง พวกเจ้าดูถูกกันเกินไปแล้ว”


และมีคนท้วงเถียง


ขณะที่ในลานถกเถียงวุ่นวาย หลินสวินขมวดคิ้วพูด “อะไรคือข้าตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะออกหน้าให้ข้า เจ้าน่ะดีทุกอย่าง แต่ชอบทำตัวเด่นเกินไป”


เยี่ยเฉินหัวเราะลั่นออกมาอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “เจ้าคิดว่าจะชนะข้าได้จริงๆ หรือ”


“ลองดูก็รู้”


หลินสวินพูดจบพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง พลังรอบตัวยิ่งแข็งแกร่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เงาร่างถูกแสงมรรคสีเขียวอร่ามท่วมท้น


“หึ!”


เยี่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อ กระบี่โบราณไม่พันผูกลอยขึ้น พริบตานั้นเจตกระบี่ไพศาลสะเทือนอากาศ ปลดปล่อยปราณกระบี่สีม่วงหนาแน่นแถบหนึ่ง โจมตีเข้าใส่หลินสวินด้วยท่วงท่าผ่าเผย


นี่ราวกับป่ากระบี่ที่กระจายอยู่กลางห้วงอากาศ แฝงด้วยค่ายกลมหามรรค ไม่มากไม่น้อย เพียงหนึ่งร้อยแปดปราณกระบี่พอดิบพอดี


ปราณกระบี่ทุกสายล้วนแสดงอานุภาพแห่งจักรพรรดิวิถี กึกก้องสะเทือนหู แสงม่วงเรืองรอง


เสียงตูมดังลั่น อากาศยุบทลาย ราวกับเทพมารบรรพกาลก้าวทะยานฟ้า รอบตัวหลินสวินเกิดปรากฏการณ์ประหลาดมากมาย รวมเข้าไปในหมัด ปลดปล่อยพลังหมัดนับร้อยพันชั้นออกมาในชั่วพริบตา เขย่าฟ้าสะเทือนดิน


ปังๆๆ!


แรงหมัดทะลวงอากาศ ทลายปราณกระบี่แต่ละสายจนแตกหักท่ามกลางเสียงกึกก้องสะเทือนหู แข็งแกร่งจนน่าตกใจ ถึงกับคล้ายจะหนาแน่นและดุร้ายกว่าปราณกระบี่


“เยี่ยม!” เยี่ยเฉินคำราม ถือกระบี่พุ่งเข้ามา เปิดฉากโจมตีดุเดือด


เขาฟาดฟันออกมาหนึ่งกระบี่ ประหนึ่งภูผาธาราทั้งผืนเคลื่อนขวาง แสงมรรพลุ่งพล่าน หมายจะสยบหลินสวิน


ทุกคนต่างรู้สึกรางๆ ว่ายามเผชิญกับกระบี่นี้ก็ราวกับกำลังรบกับภูผาธาราแถบหนึ่งของโลก รู้สึกกดดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


วิชากระบี่จักรพรรดิจื่อเวย!


นี่แสดงให้เห็นถึงการเคี่ยวกรำเจตกระบี่จนถึงขั้นสูงสุด ชักนำอานุภาพแห่งฟ้าดิน ไม่ยึดติดกับกระบวนท่าใดๆ ทุกท่วงท่าล้วนเผยแก่นอัศจรรย์วิถีกระบี่ออกมาอย่างหมดจด


หลินสวินไร้ซึ่งความกลัว มือขวากำหมัดกระแทกไปข้างหน้า เรียบง่ายธรรมดา แต่กลับมีอานุภาพทลายจักรวาลสลายอากาศ สาดแสงมรรคอันไร้ขีดจำกัด


ปัง!


ทั้งสองต่อสู้กันราวกับสุริยันเข้าปะทะ หมัดกระบี่ตัดประสาน ทำให้ฟ้าดินล้วนเปลี่ยนสี เสียงมรรคดังกึกก้อง พาให้ทุกคนในลานต่างตกใจ


นี่เพิ่งจะเริ่มปะทะกันก็ปรากฏพลานุภาพที่พลิกฟ้าระดับนี้แล้ว ไม่ว่าใครล้วนอดหวั่นไหวไม่ได้


“ฟัน!”


ผมดำของเยี่ยเฉินพลิ้วสยาย แววตาดุจสายฟ้า กระบี่ไม่พันผูกแฝงแสงม่วงเย้ยฟ้า ม้วนแผ่ลงมาราวกับจักรพรรดิโจมตีโลก


รอบตัวหลินสวินดุจถูกเผาไหม้ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณประหนึ่งเตาหลอม ทำให้พลังหมัดของเขายิ่งสว่างไสว เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ที่สำแดงออกมาก็ยิ่งน่ากลัว


โทสะหยาจื้อ วิชาอริยะยุทธ์ แก่นมรรคแห่งวารี…


ภายใต้การเกื้อหนุนของพลังเหล่านี้ ทำให้เขาปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ เสียงโครมหนึ่งดังขึ้น ก็สลายการโจมตีของเยี่ยเฉินได้ในทันที


ทั้งสองต่อสู้ปะทะกันบนสนามประลองไม่หยุด เจตกระบี่เดือดพล่าน พลังหมัดยิ่งใหญ่ ปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดถึงขีดสุด


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


นี่คือเสียงลำนำกระบี่ เดือดดาลราวกับมังกรครวญ กึกก้องสะเทือนหู กระบี่ของเยี่ยเฉินประหนึ่งเมฆมงคลตะวันออก มีอานุภาพแห่งจักรพรรดิวิถี แต่ละครั้งที่โจมตีล้วนพาให้คนใจสั่น หนังหัวชาวาบ


ที่น่ากลัวที่สุดคือกระบวนท่าของเขาไม่ถูกผูกมัด ก้าวเดินกลางอากาศ ตัดผ่านคำรามขวาง ปลายกระบี่ชี้ไปที่ใด ล้วนกลายเป็นอานุภาพอันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตน


หลินสวินก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน แม้จะปล่อยหมัดมือเปล่า พลังหมัดกลับทะลวงนภาสยบปฐพี ไม่มีสิ่งใดไม่อาจทำลาย กวาดล้างสรรพสิ่ง พาให้ตะลึงจนอ้าปากค้าง ยากจะจินตนาการได้เช่นเดียวกัน


ทั้งสองปะทะกันไปแล้วหลายร้อยครั้งโดยไม่รู้ตัว


ทุกคนในลานดูจนลืมหายใจ จิตใจราวกับพายุพัดโหม ยากจะควบคุมตัวเอง ไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ ว่า ในขอบเขตมกุฎระดับกระบวนแปรจุติสามารถสำแดงพลังระดับนี้ออกมาได้อย่างไร


แทบไม่มีใครสงสัยว่า หากราชันกึ่งระดับเข้าร่วมการต่อสู้ จะต้องตายอย่างอนาถแน่นอน!


ครืนโครม!


ท่ามกลางการปะทะที่สะเทือนฟ้าดิน ทั้งสองต่างกระเด็นออกไป


มุมปากเยี่ยเฉินมีรอยเลือดสายหนึ่งไหลออกมา ร่างกายสั่นเล็กน้อย สายตากลับยิ่งเจิดจ้า เต็มไปด้วยประกายกระบี่อันเยียบเย็นและน่ากลัว


บริเวณไหล่ของหลินสวินมีรอยกระบี่รอยหนึ่งเพิ่มเข้ามา ผิวเปิดเนื้อแตก มีเลือดไหลออกมา แต่เขาเหมือนไม่รู้สึก กลิ่นอายราวกับหินหนืดที่เดือดพล่าน ปั่นป่วนลมเมฆ


ทุกคนตะลึง ทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนไม่มีใครได้เปรียบทั้งนั้น


“หลินสวิน พลังเท่านี้ยังไม่พอหรอกนะ”


“ไม่รุนแรงพอหรือ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าสัมผัสอีกที!”


ระหว่างที่ต่อปากต่อคำกัน ภาพมายาสัตว์เทพแถบหนึ่งปรากฏขึ้น คุมเชิงรอบตัวหลินสวิน ชือน้ำแข็ง ซวนหนี ปี้อั้น ป้าเซี่ย…


ภาพมายาของสัตว์เทพเก้าตัว สั่นหัวกระดิกหาง ม่านแสงสว่างไสว เสมือนมีชีวิตจริง คำรามอย่างเย่อหยิ่ง ขับให้หลินสวินดูเหมือนเจินหลงมาเยือนโลก


มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร!


เยี่ยเฉินนัยน์ตาหดรัด เขาเคยเห็นความน่ากลัวของวิชาลับนี้ ในมือพลันสั่นขึ้นมา เสียงชิ้งดังขึ้น จู่ๆ กระบี่ไม่พันผูกสีม่วงเจิดจ้าก็แยกเป็นเก้าชิ้น


กระบี่เก้าเล่มราวกับสุริยันสีม่วง วนเวียนรอบกายเยี่ยเฉิน ปลดปล่อยเจตกระบี่ไม่มีที่สิ้นสุด!


“เก้ากระบี่รบจื่อเวย!”


แม้แต่หายใจทุกคนยังรู้สึกกดดัน แสบตาไปหมด ก่อนหน้านี้ในยกแรกที่เขาประลองกับเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินก็เคยใช้วิชาลับนี้แล้ว


ภายใต้เก้ากระบี่ที่ปรากฏพร้อมเพรียง อานุภาพนั้นทำให้เทพผียังถอยหนี!


ตูม!


การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง และดุเดือดกว่าเดิม


บนสนามประลองเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสัตว์เทพและเสียงลำนำกระบี่ที่ราวกับกระแสน้ำ ทั้งสองสู้กันจากพื้นดินขึ้นไปกลางอากาศ แล้วกลับลงสู่สนามประลองอีกครั้ง มองจากไกลๆ ราวกับมารเทพกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด สะเทือนฟ้าดิน


เยี่ยเฉินได้รับบาดเจ็บ


หลินสวินเองก็บาดเจ็บเช่นกัน!


และท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป แผลบนร่างกายของทั้งสองก็มากขึ้นเรื่อยๆ เลือดสดๆ โชกเสื้อผ้า แต่ไม่เพียงไม่สะบักสะบอม กลับยังให้ความรู้สึกฮึกเหิม


“สลาย!”


ตอนที่ประลองกันถึงพันกระบวนท่า เยี่ยเฉินส่งเสียงตะโกนราวกับฟ้าร้องออกมา


กระบี่วิญญาณเก้าเล่มโฉบออกมา ราวกับสุริยันเก้าดวงหล่นร่วงและปะทุในสนามประลอง


ชั่วขณะนี้ผู้แข็งแกร่งหลายคนต่างส่งเสียงร้อง จิตใจได้รับความกระทบกระเทือน รับการปะทะเช่นนี้ไม่ไหว ในปากกระอักเลือด


แม้เป็นผู้กล้ายอดมกุฎรุ่นเยาว์เหมือนกันยังสูดหายใจด้วยความตกใจ จิตวิญญาณสั่นไหว


ยามนี้หลินสวินก็รับรู้ได้ถึงอันตรายถึงขีดสุด ขับเคลื่อนพลังของตนเต็มกำลัง ทั้งตัวเปล่งแสงเจิดจ้า


วู้ม!


รอบตัวเขาจู่ๆ เงามายาสัตว์เทพเก้าตัวนั้นก็แปรสภาพเป็นอักษร ‘เคราะห์’ ที่ราวกับภาพมายาเป็นสายๆ


ทุกอักษรเคราะห์ล้วนแตกต่างกัน ราวกับสื่อถึงยุคสมัยและอารยธรรมที่แตกต่างกัน บ้างบิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน บ้างเป็นสัญลักษณ์รูปลิ่ม บ้างเหมือนภาพสัญลักษณ์โบราณ…


ทันทีที่ เก้า ‘เคราะห์’ ปรากฏขึ้น ในใจทุกคนพลันกระตุกวูบ ราวกับประสบเคราะห์สวรรค์อย่างไรอย่างนั้น จิตมรรค จิตวิญญาณ ทั้งในและนอกร่างกายล้วนรู้สึกถึงความกดดันยากจะอธิบายเป็นคำพูด


โชคดีที่อักษรเคราะห์เก้าตัวนี้คลุมเครือและลวงตาอย่างมาก ไม่ได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน มิฉะนั้นอานุภาพจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างแน่นอน!


แม้เพียงเท่านี้ ก็เรียกได้ว่าน่าสะพรึงอย่างที่สุดแล้ว


ตูม!


กระบี่เก้าเล่มที่ราวกับดวงสุริยัน และอักษรเคราะห์ที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาทั้งเก้าปะทะกันในสนามประลอง


ชั่วขณะนั้นแม้แต่ข้ารับใช้วิญญาณยังนัยน์ตาหดรัด โบกสะบัดแขนเสื้อ พลังแห่งกฎระเบียบที่ไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏขึ้น ปกคลุมทั้งสนามประลอง


แม้จะเป็นเช่นนี้ การประลองที่ตะลึงโลกนี้ก็ทำให้ในสนามประลองราวกับพิบัติโลกาวินาศมาเยือน เสียงดังสะเทือนกึกก้อง เจตกระบี่และแสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านไปมา ปั่นป่วนโกลาหล


“นะ นี่… น่ากลัวเกินไปแล้ว…”


ในลานสีหน้าของผู้ชมอึ้งงัน ตะลึงจนพูดไม่ออก ห่างกันแสนไกล แต่กลับทำให้จิตใจของพวกเขาถูกโจมตีไปด้วย


การประลองระดับนี้แม้ในโลกภายนอกยังเรียกได้ว่าหาดูได้ยาก ยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา เพียงพอที่จะทำให้เกิดความฮือฮาทั่วหล้า!


‘พลังแห่งมังกรเคราะห์แปรสภาพ! เขา… กลับทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว!’ เยี่ยนจั่นชิวเป็นคนเย่อหยิ่งมาโดยตลอด แต่กลับคล้ายพะวงการเข้าถึงพลังมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรของหลินสวิน ประหนึ่งไม่สามารถยอมได้


ยิ่งหลินสวินสำแดงความแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เขาโกรธ สีหน้าก็ยิ่งเฉยเมยและเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ


“ต้านทานได้หรือไม่”


อย่างพวกเซี่ยวชางเทียน จินมู่อวิ๋น ตอนนี้ต่างจับจ้องในสนามประลองอย่างใกล้ชิด


ความโกลาหลของที่นั่นกำลังจางหายไป ไม่นานก็ปรากฏเงาร่างของหลินสวินและเยี่ยเฉิน


เพียงแต่ตอนนี้สภาพของทั้งสองต่างย่ำแย่มาก


หลินสวินสีหน้าซีดเซียว มือทั้งคู่เปื้อนเลือด บนร่างกายมีรอยกระบี่ที่น่าสยดสยองมากมาย ยังมีเลือดไหลพรูออกมา


เยี่ยเฉินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน รอบตัวของเขาอาบเลือด หายใจหอบ ภายนอกแม้ไม่มีบาดแผล แต่กลับบอบช้ำภายใน


ตอนเห็นภาพนี้ทกคนต่างเงียบกริบ ล้วนจมสู่ความตกตะลึง


ครั้งนี้กลับไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้!


“อยากชนะข้า ยังคงไม่พอ!”


เยี่ยเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สายตาเปล่งประกาย กลิ่นอายไม่เสื่อมถอย กลับดุร้ายและน่าทึ่งกว่าก่อนหน้านี้


“หากเจ้ายังไม่แสดงไพ่ตายที่แท้จริงของเจ้า จะต้องพ่ายแพ้แน่!”


ระหว่างที่พูด ทุกคนต่างค้นพบอย่างตกตะลึง ว่าบาดแผลรอบตัวของเยี่ยเฉินกลับประสานด้วยความเร็วน่าตกใจ ส่วนพลังของเขาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามมาด้วย


“สวรรค์! เขาแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่” เหล่าผู้ชมร้องเสียงหลงอย่างตกตะลึง ความสามารถของเยี่ยเฉินสะดุดตาและวิปริตเกินไปแล้ว


“เจ้าพูดผิดแล้ว ยังไม่ถึงเวลา”


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกดาบหักออกมาพร้อมพูดว่า “หลังจากนี้ หากเจ้าสามารถต้านทานการโจมตีรอบนี้ได้ บางทีอาจมีความเป็นไปได้ที่ข้าจะใช้ไพ่ตายที่แท้จริง”


“เจ้ามันบ้าคลั่งจริงๆ ไม่ด้อยไปกว่าเซี่ยวชางเทียนเลย” เยี่ยเฉินเลิกคิ้ว


เซี่ยวชางเทียนที่อยู่ห่างออกไปแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเยียบเย็น ไม่พอใจอยู่บ้างที่เยี่ยเฉินเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ


“หยุดพูดไร้สาระ มาสู้กัน!”


ครั้งนี้หลินสวินออกโจมตีก่อน ดาบหักโฉบพุ่งกลางอากาศ ละอองแสงสว่างไสวนับพันหมื่นพรั่งพรู ลวงตาราวกับแสงดารา แฝงไอดุร้ายพลิกฟ้า


รบกันมาถึงตอนนี้ ความฮึกเหิมในร่างกายของเขาถูกกระตุ้น จิตต่อสู้ลุกโชนเดือดดาล ผิวหนังทุกส่วนล้วนแฝงความปรารถนาในการต่อสู้


นับตั้งแต่เข้าร่วมการประลองในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินต่อสู้อย่างตื่นเต้นขนาดนี้


เหตุผลง่ายมาก เยี่ยเฉินเป็นคู่ต่อสู้ที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมอย่างมาก!


มีเพียงการประลองกับผู้แข็งแกร่งระดับนี้ จึงจะมีความรู้สึกเดือดพล่าน จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชนเช่นนี้!


มองออกไปไกลๆ เงาร่างของหลินสวินราวกับเทพมารที่โจมตีเก้าสวรรค์ จิตต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงทำให้ผู้ชมทั้งลานตกใจ

 

 

 


ตอนที่ 1073 ดุจภาพภูผาธารา ดับดาราทะลวง

 

จิตต่อสู้น่าทึ่งมาก!


แม้เป็นบุคคลระดับเซี่ยวชางเทียน ในใจยังสั่นสะเทือนอย่างควบคุมไม่อยู่


หลินสวินในตอนนี้ประหนึ่งเทพมารแห่งการต่อสู้ เพียงแค่จิตต่อสู้ก็ราวกับควันสงครามที่พุ่งทะลวงฟ้า กวาดล้างลมเมฆแหลกสลาย เขย่านภสินธุ์!


แค่มองเงาร่างของเขาจากระยะไกล ยังยังทำให้คนรู้สึกหนังหัวชาวาบ จิตใจได้รับผลกระทบ


พูดอย่างไม่เกินจริงสักนิด ยามนี้แม้เหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์ขึ้นไป ยังไม่ทันลงมือก็จะถูกจิตต่อสู้ในตัวหลินสวินกดข่มจนจิตใจสับสนวุ่นวาย!


จิตต่อสู้นี้ก็คือ ‘อานุภาพ’ ของวิชาอริยะยุทธ์


หลังจากหลอมรวมนัยเร้นลับของโทสะหยาจื้อเข้าไป ทำให้มรดกวิชาที่มาจากคีรีเทพดวงกมลแห่งแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์วิชานี้ ปลดปล่อยอานุภาพคับฟ้าที่ยากจะจินตนาการ!


และนัยเร้นลับชั้นยอดของการต่อสู้ ก็สั่งสมอยู่ภายใน


“เข้ามาเลย!”


เยี่ยเฉินเองก็รู้สึกกดดันแล้ว แต่นี่กลับกระตุ้นปณิธานต่อสู้ของเขา


ตูม!


ในมือเขากระบี่ไม่พันผูกราวกับมังกรยักษ์สีม่วง ทะลุอากาศขึ้นมา แสงมรรคไร้จำกัด


ฉัวะ!


ดาบหักวาบแสงเย็นเยียบ ระเบิดพุ่งออกมา


กระบวนเฉือนนภาสงัด


ทันใดนั้นฟ้าดินกลับคืนสู่ความเงียบ ทุกอย่างหยุดชะงัก


มีเพียงคมดาบสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาแล้วฟาดฟันลงไป


“นี่…” ห่างออกไป สีหน้าของพวกหลี่ชิงผิง โก่วเหยียนเจิน ปี้ตงหลิ่วต่างเปลี่ยนไป


ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยประลองกับหลินสวิน รู้ความน่ากลัวของกระบวนท่านี้เป็นอย่างดี เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ การโจมตีนี้กลับน่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย!


พวกหลี่ชิงผิงกล้ายืนยันว่าหากตอนนั้นหลินสวินโจมตีเช่นนี้ แม้พวกเขาจะสกัดได้ แต่ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส!


และในตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจความแตกต่างของตนกับหลินสวินแล้ว ในใจเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้และไม่จำยอมอย่างรุนแรง


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


ในสนามประลองหลินสวินกับเยี่ยเฉินโจมตีต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง


รุนแรงและดุร้ายกว่าก่อนหน้านี้ แสงดาบเงากระบี่เต็มไปด้วยไอสังหารอันเด็ดเดี่ยวไร้กำจัด ผู้ชมแต่ละคนเห็นแล้วต่างขนพองสยองเกล้า


จิตต่อสู้ของหลินสวินแข็งแกร่งขึ้นอีก แต่เยี่ยเฉินเองก็กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทำให้ตอนที่ทั้งสองประมือกันนั้น แม้ต่างสู้อย่างสุดฝีมือแล้วแต่ยังคงไม่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ในชั่วขณะ


บาดแผลบนร่างกายของทั้งสองหนักขึ้นเรื่อยๆ


แต่ตอนนี้ กลับยิ่งดุดันและรุนแรง


“ครั้งนี้คงไม่ได้เสมออีกนะ”


มีคนพูดเสียงสั่น


ไม่ว่าเป็นใคร ต่อให้เป็นคนรุ่นอาวุโสเหล่านั้น ก็ไม่สามารถดูออกว่าใครกันแน่ที่ได้เปรียบ


นี่เป็นการบ่งบอกว่าพลังต่อสู้ของทั้งสองน่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน จึงสามารถตีเสมอ ฝีมือไล่เลี่ยกันอย่างไม่ต้องสงสัย


“ไม่ ไม่ได้ยินหรือ เทพมารหลินยังมีไพ่ใบเอกที่ยังไม่ได้ใช้!”


“เจ้าคิดว่าเยี่ยเฉินไม่มีไพ่ใบเอกหรือ”


เสียงถกเถียงดังขึ้นในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่ไม่นานก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ


เพราะเมื่อเทียบกับการถกเถียง พวกเขาสนใจการประลองครั้งนี้มากกว่า ไม่ยอมพลาดทุกรายละเอียดเพราะการถกเถียง


ตูม!


หลังจากการปะทะกันอีกครั้ง เงาร่างของเยี่ยเฉินทะลวงฟ้า จู่ๆ กระบี่ทั้งเก้าเล่มก็หยุดชะงักกลางอากาศ ลอยอยู่รอบตัวเขาเงียบๆ


ในเวลาเดียวกัน ไอดุร้ายที่น่ากลัวถึงขีดสุดแผ่ออกจากร่างกายของเยี่ยเฉินอย่างกะทันหัน


ทุกคนรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้ามืดมนลง ราวกับเมฆดำบดบังแสงจากฟากฟ้า


แต่นี่เป็นเพียงแค่การคิดไปเอง เหตุผลอยู่ที่ตัวเยี่ยเฉิน


ตอนนี้เขายืนอยู่กลางอากาศอย่างเย่อหยิ่ง เงาร่างแผ่เจตกระบี่ดุร้าย อานุภาพของคนคนหนึ่งก็ทำให้แสงจากฟากฟ้ามืดสลัวลง!


“กระบี่นี้ ข้าต้องการตัดสินแพ้ชนะ เจ้ายังไม่คิดจะใช้ไพ่ตายอีกหรือ” เสียงของเยี่ยเฉินดังก้อง สะเทือนสี่ทิศ


เขาบาดเจ็บสาหัสแล้วแท้ๆ ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด แต่ตอนนี้กลับยังคงดูแข็งแกร่งมาก ราวกับภูเขาสันโดษสูงตระหง่านที่ไม่อาจสะเทือนได้


“ข้ากังวลว่าเจ้าจะต้านไม่ไหว” หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงแหบพร่าเล็กน้อย


เขาเองก็บาดเจ็บสาหัส แต่นัยน์ตาสีดำทั้งคู่เจิดจ้ามากเป็นพิเศษ จิตต่อสู้ที่ลุกโหมอยู่ในดวงตา สามารถทำให้เทพผีอกสั่นขวัญแขวน


“ช่าง… บ้าคลั่งจริงๆ!” เยี่ยเฉินยิ้ม ในสายตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว


ชิ้ง!


กระบี่เล่มหนึ่งกโฉบออกมา อานุภาพราวกับเก้าสวรรค์ร่วงลงในธารดารา แสงสีเงินรุ่งโรจน์


ไม่รอให้หยุดหายใจ เสียงชิ้งดังขึ้น กระบี่ที่สองโฉบตามออกมา อานุภาพราวกับไฟลามทุ่ง เพลิงสีแดงแผ่กว้างราวกับมหาสมุทร


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


จากนั้นกระบี่เล่มแล้วเล่มเล่าโฉบพุ่งออกมา บ้างประหนึ่งรุ้งเขียวทะยานป่าลึก บ้างราวกับสุริยันก้าวข้ามสมุทรคราม บ้างสูงตระหง่านราวกับภูเขา…


ทุกกระบี่ล้วนประทับนัยเร้นลับมหามรรค


ทุกนัยเร้นลับแห่งมหามรรค ล้วนแสดงอานุภาพที่แตกต่างกัน


ทะยานออกมาอย่างต่อเนื่องในยามนี้ สะท้อนใต้หล้าฟ้าดิน


ภูผาธาราราวภาพวาด กระบี่ก็ประหนึ่งภาพวาด!


กระบี่ที่บรรจุนัยเร้นลับมหามรรคเก้าอย่างนี้ มีนามว่า ‘ดุจภาพภูผาธารา’!


ทุกคนในที่นั้นต่างตะลึง ไม่สามารถเปรียบเทียบอานุภาพของการโจมตีนี้ได้ พลังมหามรรคเก้าชนิดหลอมรวมเข้าไปในเจตกระบี่ สำแดงออกมาราวกับภาพวาดภูผาธารา!


นี่เป็นการโจมตีที่เพียงพอจะทำให้ฟ้าดินตะลึง เทพผีร่ำไห้อย่างแน่นอน!


“น่าชังนัก!”


มีเพียงเซี่ยวชางเทียนที่สีหน้าเคร่มขรึมขึ้นมา สำหรับเขา ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะข้ารับใช้วิญญาณหยุดการประลองระหว่างเขากับเยี่ยเฉิน ก็ย่อมสามารถเผชิญหน้ากับอานุภาพของการโจมตีนี้ได้


‘เจ้าหมอนี่วิปริตตามคาด ถึงกับครอบครองนัยเร้นลับแห่งมหามรรคเก้าชนิด…’ แม้แต่หลินสวินยังตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าไพ่ตายของเยี่ยเฉินจะน่าทึ่งเพียงนี้


ด้วยอายุที่ยังไม่ถึงสามสิบปี พลังปราณเพียงระดับกระบวนแปรจุติ กลับครอบครองพลังมหามรรคเก้าอย่าง นี่ดูน่ากลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย ทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ กลัวว่าคงหาคนที่สามารถเทียบเคียงได้ไม่กี่คน


แม้จะเป็นหลินสวิน ในด้านจำนวนการหยั่งถึงมหามรรคก็ยังด้อยกว่าไม่น้อย


ทว่าจำนวนก็ส่วนจำนวน ไม่ได้หมายความถึงอานุภาพที่แท้จริง ต้องดูที่การหยั่งรู้ในพลังมหามรรค!


แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ การโจมตีนี้ของเยี่ยเฉินก็เพียงพอที่จะตะลึงโลก


พูดแล้วเหมือนช้าแต่ความจริงรวดเร็วนัก การเคลื่อนไหวทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วดีดนิ้ว หลินสวินเผชิญหน้าการโจมตีนี้ก็ไม่กล้าประมาท ถึงขั้นที่ทำได้เพียงสู้อย่างสุดความสามารถ!


ตูม!


แสงใสพวยพุ่งรอบตัวเขา ปรากฏอักษรเคราะห์เก้าตัวที่ราวกับภาพมายาป้องกันรอบกาย


และในเวลาเดียวกัน วิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้อเองก็ถูกเขากระตุ้นจนถึงขีดสุด ส่วนดาบหักก็พุ่งพรวดออกมาในตอนนี้


กระบวนเฉือนเกิดดับ!


การเฉือนนี้ปรากฏการเกิดดับในชั่วพริบตา เป็นการโจมตีซึ่งมีพลังทำลายล้างมากที่สุดและดุร้ายที่สุดที่หลินสวินครอบครองในตอนนี้


ก่อนหน้านี้ตอนที่ประลองกับหลี่ชิงผิง หลินสวินยังออมมือ แต่กลับผ่าอีกฝ่ายเป็นสองท่อนอย่างง่ายดายด้วยกระบวนเฉือนเกิดดับ


แต่ตอนนี้อานุภาพของกระบวนเฉือนเกิดดับได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว!


แต่เหนือความคาดหมายของหลินสวิน ไม่รอให้กระบวนเฉือนเกิดดับเข้าใกล้ จู่ๆ กระบี่วิญญาณล้อมด้วยนัยเร้นลับแห่งมหามรรคที่แตกต่างกันก็รวมตัวกันกะทันหัน แปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลกระบี่กระบวนหนึ่ง ปิดกั้นดาบหักไว้อย่างหนาแน่น เกิดเสียงปะทะเสียดสีแสบแก้วหู แสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน


สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าค่ายกลกระบี่นั่นราวกับหินโม่ หมุนเวียนด้วยนัยเร้นลับแห่งมหามรรคเก้าชนิด ลบล้างและสลายพลังโจมตีของดาบหักอย่างต่อเนื่อง


ปังๆๆ!


เสียงปะทะที่ราวกับฟ้าร้องดังก้อง ดาบหักกำลังคำราม ไม่สามารถสลายค่ายกลกระบี่นี้ได้


หืม?


ดวงตาดำขลับของหลินสวินหดรัดลง


“หลินสวิน การโจมตีนี้ไม่มีผลต่อข้า!” มุมปากของเยี่ยเฉินแฝงรอยยิ้ม เย่อหยิ่งราวกับองค์เทพ


ก่อนหน้านี้ตอนที่ชมการต่อสู้ เขาก็สังเกตเห็นความน่ากลัวของกระบวนเฉือนเกิดดับแล้ว และคิดวิธีรับมือไว้แล้ว ตอนนี้ก็ได้ผลจริงๆ


“เปิด!”


ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง เยี่ยเฉินพลันคำรามออกมาคำหนึ่ง


เสียงครืนโครมดังสนั่น ค่ายกลกระบี่หมุนเวียนสาดแสงกระบี่งดงามสดใส สะเทือนดาบหักจนปลิวออกไป ก่อนจะพุ่งกำราบไปทางหลินสวิน


กระบี่เก้าเล่ม นัยเร้นลับแห่งมหามรรคเก้าอย่างที่แตกต่างกัน ตอนนี้ได้รวมตัวเป็นกระบวนค่ายกล ปลดปล่อยแสงเทียมฟ้าคลุมสวรรค์ปกคลุมลงมา


ภาพเช่นนั้นทำให้ทุกคนต่างรู้สึกสิ้นหวังไม่อาจหลบหนี ทำได้เพียงนั่งรอความตาย!


ครืนโครม!


ค่ายกลกดข่มเข้ามาอย่างว่องไวรวดเร็ว ชนเข้ากับอักษร ‘เคราะห์’ เก้าตัวที่ลอยอยู่รอบตัวหลินสวินก่อนเป็นอันดับแรก


ระหว่างทั้งสองปะทุแสงสว่างไหว ท่วมท้นหลินสวินไปทั้งตัว หลายคนต่างแสบตา จิตวิญญาณราวกับถูกกรีดตัด ไม่สามารถเห็นความจริงเท็จได้ชัดเจน


แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสและยอดมกุฎรุ่นเยาว์ต่างมองเห็นอย่างชัดแจ้ง ภายใต้การกดข่มของค่ายกลกระบี่ พลังของอักษรเคราะห์ที่อยู่รอบตัวหลินสวินกำลังถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ใกล้จะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว!


“น่ากลัว!”


“ดุจภาพภูผาธารา การโจมตีนี้เพียงพอสร้างชื่อสะเทือนใต้หล้า!”


“ต่อไปตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยจะต้องมียอดผู้กล้าเพิ่มมาอีกคนแน่!”


หลายคนใจสะเทือนไหวยากจะสงบ


การประลองครั้งนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว เห็นชัดว่าค่อนข้างเนิ่นนาน แต่ทุกช่วงเวลาล้วนให้ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ตื่นเต้นระทึก จิตวิญญาณสั่นสะเทือน น่าทึ่งเกินไปแล้ว


ตอนนี้เห็นเยี่ยเฉินกำลังจะกำราบหลินสวินและได้รับชัยชนะในครั้งนี้ ทุกคนอดทอดถอนใจไม่ได้


แต่เพิ่งจะเริ่มทอดถอนใจก็ต้องหยุดชะงักโดยพลัน!


ชั่วขณะนี้ทุกคนรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าหวั่นหวาดและคลุมเครือสายหนึ่ง ปรากฏขึ้นบนตัวหลินสวินเงียบๆ


ประหนึ่งหุบเหวกลางนภา ราวกับสามารถกลืนกินสรรพสิ่ง!


“หืม?”


“นี่คือ?”


“ในที่สุดก็ใช้แล้วหรือ”


จิตรับรู้และสายตาน่ากลัวมากมายต่างจับจ้องอย่างใกล้ชิดพร้อมกัน พวกเขารู้ว่าหากหลินสวินจะพลิกสถานการณ์ สิ่งที่สำแดงออกมาตอนนี้ จะต้องเป็น ‘ไพ่ใบเอก’ ของเขาแน่!


ครืน!


กลิ่นอายของหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมดำแผ่สยาย ร่างกายราวกับหุบเหวนิรันดร์ แผ่ระลอกคลื่นน่ากลัวที่คลุมเครือและชวนใจสั่น


ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนส่องกะพริบ จากนั้นดับสลายรอบตัวเขา ราวกับฟ้าดาราโดยรอบล้วนก้มหัวข้างกายเขาคนเดียวเท่านั้น!


ปรากฏการณ์ประหลาดที่น่าสะพรึงและหาได้ยากเช่นนี้ ทำให้ทั้งลานเงียบกริบ รู้สึกถึงความหวาดกลัว!


“ดับ!”


จู่ๆ ร่างกายของหลินสวินก็แผ่พุ่ง อักษรเคราะห์เก้าตัวที่กำลังจะถูกผลาญเผา พลันประหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นหลุมดำ พาดขวางเข้าไปในส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และหมุนเวียนอย่างเงียบๆ


ครึ่ก! ครึ่ก!


เสียงระเบิดแตกเป็นระลอกๆ ดังขึ้น ค่ายกลกระบี่ที่ก่อตัวจากนัยเร้นลับแห่งเก้ามหามรรคเริ่มยุบทลาย เจตกระบี่แตกหัก ละอองแสงสาดกระจาย!


จากนั้นอานุภาพนี้ก็ถูกกลืนกินจนหมด!


พูดแล้วเหมือนช้า ทว่าความจริงแล้วการเคลื่อนไหวทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา จบในรวดเดียว เร็วจนถึงขีดสุด ทำให้ดูแทบไม่ทัน


พรวด!


กลางอากาศที่อยู่ห่างออกไป เงาร่างของเยี่ยเฉินส่ายไหวคราหนึ่ง สีหน้าซีดเซียวขึ้นมากะทันหัน ชั่วขณะที่ค่ายกลกระบี่ถูกสลาย ทำให้เขาถูกพลังสะท้อนกลับ กระอักเลือดออกมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป


มองด้วยตาเปล่าก็สามารถเห็นได้ชัดว่า กลิ่นอายที่ดุร้ายจนถึงขีดสุดรอบตัวเยี่ยเฉินราวกับกระแสน้ำที่ถดถอย ไม่นานก็อ่อนแออย่างที่สุดแล้ว


ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาก็ได้บาดเจ็บหนักแล้ว ตอนนี้ใช้แรงทั้งหมดในการสำแดง ‘ดุจภาพภูผาธารา’ แต่กลับถูกสลายอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ ชั่วขณะจึงเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน ทำให้เขายืนหยัดไม่ไหว


ฟุ่บ ตึง!


เงาร่างของเขาส่ายไปมา สุดท้ายก็ยืนหยัดไม่ไหว ร่วงหล่นจากกลางอากาศลงมายังสนามประลอง


ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงทรงตัวได้อย่างมั่นคง ไม่ได้ล้มลงพื้น ร่างกายราวกับทวนยาวที่ตั้งตรง แม้ตายก็ไม่ยอมล้ม


ทั้งลานล้วนสั่นไหว ตะลึงจนเงียบกริบไปทั้งแถบ


ส่วนหลินสวินในตอนนี้ได้เก็บกลิ่นอายรอบตัวลงไปแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1074 นัยเร้นลับแห่งเจินหลง

 

ในลานเงียบกริบ แม้แต่เสียงลมยังหยุดนิ่ง


เหล่าผู้กล้าสีหน้ามึนงง จิตใจยังคงพลิกตลบไม่สามารถสงบได้


ก่อนหน้านี้กระบี่เก้าเล่มของเยี่ยเฉินโจมตีออกมาพร้อมกัน บรรจุนัยเร้นลับแห่งเก้ามหามรรค แปรเป็นค่ายกล มีอานุภาพสังหารทลายใต้หล้าภูผาธารา


แต่กลับถูกเทพมารหลินพลิกสถานการณ์ในช่วงสุดท้าย ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทำให้ยากจะเชื่อ


การโจมตีที่ตะลึงโลกเช่นนี้ พ่ายแพ้ได้อย่างไร


พลังที่เทพมารหลินใช้ในช่วงสุดท้ายคืออะไร เหตุใดจึงมีอานุภาพเหลือเชื่อเพียงนี้


เสียดายที่ทุกอย่างจบไวเกินไป


ตอนที่ค่ายกลถูกสลาย เทพมารหลินเองก็เก็บมือตาม พลังที่เขาสำแดงออกมาราวกับถานฮวาชั่วข้ามคืน[1] หายวับไปไร้ร่องรอย


ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่มีวาสนาได้เห็น


แม้แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสและยอดมกุฎรุ่นเยาว์บางคนยังเห็นเพียงคร่าวๆ


ไม่มีเหตุผลอื่นใด การปะทะนั่นรุนแรงเกินไป ราวกับสุริยันระเบิด ที่เจ็บแสบไม่เพียงแค่ตา ยังมีจิตวิญญาณอีกด้วย!


“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า… เหมือนนัยเร้นลับของมหามรรคกลืนกินที่ศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ครอบครองอย่างที่สุด”


ตรงตีนเขา ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งสงสัย


เมื่อพูดคำนี้ดังออกมา สีหน้าของคนอื่นๆ โดยรอบพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้จริงๆ


ยามนี้สัมผัสดูคร่าวๆ พลันพบว่า พลังที่หลินสวินสำแดงออกมาตอนท้าย มีจุดที่เหมือนกับนัยเร้นลับแห่งมหามรรคกลืนกินที่อวิ๋นชิ่งไป๋ครอบครองจนน่าตกใจ


แทบจะในเวลาเดียวกัน ในสนามประลอง เยี่ยเฉินใช้สายตาอันซับซ้อนราวกับมองสัตว์ประหลาดจับจ้องหลินสวิน แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรกับอวิ๋นชิ่งไป๋”


ทั่วทั้งลานยิ่งเงียบสงัด ผู้แข็งแกร่งหลายคนที่รู้จักอวิ๋นชิ่งไป๋สายตาต่างวูบไหว ตระหนักได้ถึงความนัยในคำพูดของเยี่ยเฉิน


เพราะพวกเขาเองก็สังเกตเห็นว่า พลังมหามรรคที่หลินสวินสำแดงออกมาตอนท้าย เหมือนมีแหล่งที่มาเดียวกันกับอวิ๋นชิ่งไป๋


“ศัตรู”


หลินสวินพูดง่ายๆ


คำสั้นๆ เพียงสองคำกลับทำให้ทุกคนตะลึง เดิมทีคิดว่าหลินสวินจะมีที่มาเดียวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ ไม่เคยคิดว่าเขากลับเห็นอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นศัตรู!


สีหน้าของหลินสวินสงบนิ่งมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดความลับนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน


ก่อนหน้านี้ด้วยความที่ต้องรักษาความปลอดภัยของตน ทำให้จำเป็นต้องอดทน สกัดกั้นความแค้นที่มีต่ออวิ๋นชิ่งไป๋ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ


แต่ตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดแล้ว!


แน่นอนว่าเขาไม่ได้อธิบายเหตุผล เชื่อว่าคำพูดสั้นๆ สองคำนี้ก็เพียงพอจะแสดงท่าทีของเขาได้แล้ว!


“มิน่าเจ้าถึงไปนครหยกขาว ทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว ที่แท้ก็มีเหตุผลนี้…”


เยี่ยเฉินเหมือนคิดอะไรอยู่ “แต่พลังเมื่อครู่นี้ของเจ้า…”


หลินสวินส่ายหน้าพูด “ไม่เกี่ยวกับเขา”


สุดท้ายเขาอดทนต่อความคิดที่จะพูดออกมา ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของตนไป ด้วยรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น


สักวันเขาจะแก้แค้น พูดให้คนอื่นฟังก็ไม่ต่างอะไรกับการนินทา


จ้องหลินสวินอยู่นาน เยี่ยเฉินพลันถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าแพ้แล้ว”


“ไม่ต้องเสียใจ อย่างน้อยเจ้าก็บีบจนข้างัดไพ่ตายออกมา ต่อไปหากเจ้าอยากดื่ม เรียกเมื่อไหร่ข้าจะไปหาเมื่อนั้น” หลินสวินยิ้มพูด


เยี่ยเฉินพูดอย่างไม่อภิรมย์ “ข้ายังไม่ถึงขั้นให้เจ้ามาปลอบใจ แพ้ก็คือแพ้ ไม่ได้แพ้ในสงครามมหายุคสักหน่อย”


“เช่นนั้นก็ดี”


เสื้อผ้าของทั้งสองต่างเปื้อนเลือด ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ต่อสู้กันอย่างรุนแรงเป็นที่สุด แต่ตอนนี้กลับท่าทางคุยกันถูกคอ


“ในเมื่อชนะข้าแล้ว อีกเดี๋ยวตอนสู้กับเซี่ยวชางเทียนเจ้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!” จู่ๆ เยี่ยเฉินก็พูดขึ้น น้ำเสียงไม่เปิดโอกาสให้สงสัย


“เฮอะ!” เซี่ยวชางเทียนที่อยู่ในระยะไกลกอดอกแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ


“ข้าจะพยายาม” หลินสวินไหวไหล่


ทั้งสองแยกย้ายกลับแท่นมรรคบนยอดเขา


ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อ ฝนวิญญาณเทพโปรยปรายอาบร่างทั้งสอง


และตอนนี้เอง บรรยากาศในลานตื่นเต้นอย่างยิ่ง เสียงฮือฮาต่างๆ ดังก้องราวกับระเบิด ทำลายความเงียบภายในลาน


“เยี่ยเฉินกลับแพ้เทพมารหลิน! เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”


หลายคนยังคงยากจะรับได้


“ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ หลินสวินนี่ก็ฆ่ามาตลอดทางโดยไม่เคยพ่ายแพ้ ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก!”


และมีคนตะลึง ถอนหายใจไม่หยุด


“เจ้าเดรัจฉานนี่ช่างทะเยอทะยานโฉดชั่ว ดันเห็นอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นศัตรู!”


เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างกรุ่นโกรธเป็นที่ยิ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่า เหตุใดช่วงก่อนหน้านี้หลินสวินจึงไปทำลายสถิติที่สิบสองหอแห่งนครหยกขาว


“หากไม่กำจัดเด็กนี่ พวกเราก็ยากจะกินอิ่มนอนหลับจริงๆ…”


เหล่าผู้แข็งแกร่งขุมอำนาจต่างๆ ที่มองหลินสวินเป็นศัตรู อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนพิสุทธิ์อมตะ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สีหน้าล้วนอึมครึมอย่างที่สุด


พลังต่อสู้ของหลินสวินทำให้พวกเขาตกใจ ถึงขั้นที่รู้สึกสยอง!


ไร้ที่พึ่งพิงแต่กลับสามารถสร้างสถิติไม่เคยพ่ายแพ้ ถึงขั้นไม่เคยถูกทำลาย แม้แต่มารกระบี่เยี่ยเฉินยังด้อยกว่าระดับหนึ่ง ศักยภาพนี้น่ากลัวเกินไปโดยไม่ต้องสงสัย หากเติบใหญ่ขึ้นมาย่อมเป็นมหันตภัยอย่างแน่นอน


“อย่างที่เขาบอก ไม่ถูกผู้อื่นริษยาเป็นคนความสามารถพื้นๆ คนผู้นี้สามารถสร้างความสำเร็จในวันนี้ ก็ถือเป็นผู้กล้าที่มีโชควาสนาติดตัวคนหนึ่งแล้ว!”


ส่วนเหล่าผู้แข็งแกร่งที่วางตัวเป็นกลาง ต่างไม่เกี่ยงที่จะกล่าวชม ชื่นชมและนับถือหลินสวินอย่างมาก


บนยอดเขา สีหน้าของเหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์อย่างฉู่เป่ยไห่ อวี่หลิงคง หลี่ชิงผิงดูแย่ยิ่งกว่ากินแมลงวันตายเข้าไป ในใจยิ่งมีความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


ครั้งนี้พวกเขามาพร้อมอานุภาพอันดุเดือด การแข่งขันยังไม่ทันเริ่มต้นก็ต่างประกาศกร้าวว่าจะมอบบทเรียนอันแสนเจ็บปวดให้กับหลินสวิน


แต่จนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นภาพที่หลินสวินเอาชนะเยี่ยเฉิน ความเย่อหยิ่งในใจพวกเขาล้วนถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงความไม่จำยอมและขมขื่น


แม้ไม่ยินยอม พวกเขาก็จำต้องยอมรับว่า หลินสวินแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทุกคน!


นี่ก็คือความจริง!


“วิปริต เจ้าวิปริต! เป็นคนวิปริตจริงๆ วิปริตแม่งสุดๆ ไปเลย…”


อาหลู่กำลังร้องเสียงดัง ตะโกนว่า ‘วิปริต’ ซ้ำไปซ้ำมา บนใบหน้าหยาบกร้านปรากฏคำว่านับถือเด่นหรา


จ้าวจิ่งเซวียนยิ้ม ดวงตาคู่ใสเป็นประกายแวววาว บนใบหน้างดงามที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและภาคภูมิจากใจจริง


หลินสวินไม่เคยทำให้นางผิดหวัง!


“ข้าสู้เขาไม่ได้… แต่…”


จินมู่อวิ๋นสายตาวูบไหว “ในอนาคตก็ไม่แน่!”


‘จะให้เจ้าเยี่ยเฉินสมปรารถนาไม่ได้เด็ดขาด’ เสื้อผ้าของเซี่ยวชางเทียนโบกสะบัดไปตามสายลม ในดวงตาเรียวยาวราวกับดาบคมแฝงความครุ่นคิด


เขาจะประลองกับหลินสวินในรอบที่หก


และพอเห็นการต่อสู้ของหลินสวินกับเยี่ยเฉิน กลับทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันหนักอึ้ง เขาเคยคิดว่าหลินสวินแข็งแกร่งมาก แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!


การประลองรอบที่ห้าเริ่มขึ้นท่ามกลางเสียงฮือฮาที่ดังเป็นระลอกๆ


สองฝ่ายที่ประลองกันคือจินมู่อวิ๋นและเยี่ยเฉิน


ทั้งสองล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่


จินมู่อวิ๋นเป็นผู้นำศิษย์แกนหลักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ครอบครองเพลงกระบี่มหาวัฏจักร จิตมรรคหนักแน่นมั่นคง มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


ส่วนเยี่ยเฉินเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย มีสมญานามว่ามารกระบี่ กระบี่ของเขาราวกับจักรพรรดิ มีอานุภาพที่เหยียดหยันลงมายังใต้หล้า


ระหว่างทั้งสอง จะต้องเกิดการต่อสู้ในวิถีกระบี่ที่น่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน!


เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนอึ้งค้างคือ ทันทีที่ขึ้นสนามประลอง เยี่ยเฉินก็ถามตรงๆ ว่า “เดินออกจากเงามืดแห่งความเป็นตายหรือยัง หากยัง ข้าว่าเจ้ายอมแพ้เสียเถอะ”


เด็ดเดี่ยวตรงไปตรงมา แต่กลับชี้ไปที่จิตมรรคของจินมู่อวิ๋น!


“ข้ากำลังจะบรรลุ” จินมู่อวิ๋นไม่สะทกสะท้าน แต่ประโยคเพียงสั้นๆ กลับแฝงนัยถึงการตาต่อตา ฟันต่อฟัน


ราวกับกำลังเตือนเยี่ยเฉินว่าเขาสามารถบรรลุในระหว่างการต่อสู้ได้ นี่เป็นความน่าทึ่งอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย


กลับเห็นเยี่ยเฉินยิ้มอย่างสบายใจ “นี่ค่อยน่าสนใจหน่อย หากเจ้าไม่บรรลุ ข้าคงรู้สึกแค่ว่าไม่สนุก”


ทั้งสองต่อปากต่อคำ ดูเหมือนเงียบสงบ แต่กลับทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จิตต่อสู้อันรุนแรงนั่นผนวกกับไอสังหาร ทำให้ผู้ชมต่างอกสั่นขวัญหนี


ชิ้ง!


กระบี่พรหมราชของจินมู่อวิ๋นออกจากฝัก ปลายกระบี่ชี้ไปที่เยี่ยเฉิน “หยุดพูดไร้สาระ ใช้กระบี่ตัดสินแพ้ชนะ!”


“ฮ่า เช่นนั้นก็ตามที่เจ้าปรารถนา!”


เยี่ยเฉินหัวเราะลั่น กระบี่ไม่พันผูกโฉบออกมา ราวกับเมฆไอมงคลจากตะวันออก เจือกลิ่นอายแห่งจักรพรรดิ


ตูม!


การต่อสู้ปะทุขึ้น การประลองในวิถีกระบี่ของผู้กล้าขอบเขตมกุฎทั้งสองเปิดม่าน ณ ตอนนี้


ทันใดนั้นความสนใจของทุกคนต่างถูกดึงดูด


……


เพียงแต่ตอนนี้หลินสวินกลับหลับตา นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นมรรค สงบนิ่งราวกับไม่ได้รับรู้ถึงการต่อสู้นี้


นี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง แต่เพราะผ่านการประลองในรอบที่ผ่านๆ มา ทำให้ในใจเขาเกิดการหยั่งรู้มากมาย สุดท้ายหลังจากประลองกับเยี่ยเฉิน การหยั่งรู้เหล่านี้ก็ปะทุในใจราวกับกระแสน้ำ


วู้ม


ในสมองสัญลักษณ์อักษร ‘เคราะห์’ เปล่งแสง ราวกับแปลงเป็นเจินหลงตัวหนึ่ง คำรามทะยานย่าง เผยลักษณ์อัศจรรย์


บางทีเปลี่ยนเป็นชือน้ำแข็ง บางคราวแปลงเป็นซวนหนี บ้างก็เป็นปี้อั้น…


แต่ไม่ว่าจะปรากฏอย่างไร สุดท้ายก็ล้วนหลอมรวมเป็นอักษรเคราะห์


และอักษรเคราะห์ทุกตัวก็ไม่เหมือนกัน ปรากฏท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่าง บ้างดูเก่าคร่ำคร่า บ้างบิดเบี้ยวแปลกประหลาด บ้างแข็งแกร่งราวกับเหล็ก…


จวบจนกระทั่งตอนหลังอักษร ‘เคราะห์’ ทั้งเก้าตัวก็เริ่มผสานเข้าด้วยกัน


ตอนนี้ในใจหลินสวินสะท้านไหว หยั่งถึงนัยเร้นลับมหามรรครูปแบบใหม่…


มหามรรคเจินหลง!


ในสมองราวกับมีมังกรเจินหลงตัวหนึ่งพลิกเมฆคว่ำฝน บางเลือนรางบ้างชัดเจน ปราดเปรียวดุจมีชีวิต บางคราวเหมือนห่างไกลไม่สามารถหยั่งถึง ราวกับอยู่ส่วนลึกสุดในความว่างเปล่า


บางคราวก็รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวมังกรเบียดเต็มฟ้าดิน นำพามาซึ่งความกดดันไร้จำกัด


เสียงมังกรครวญซัดสาดไพศาล เสมือนพรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้หลินสวินสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ราวกับอยู่ท่ามกลางแก่นอัศจรรย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด หลงใหลไปกับมัน


ต่อให้หลินสวินตีหัวจนแตกก็คงคิดไม่ถึง ว่าจะได้สัมผัสกับมหามรรคที่ไร้เทียมทานและตะลึงโลกเช่นนี้ในยามนี้!


หรือควรพูดว่า เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สุดยอดนัยเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในมรดกวิชามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรนี่ จะเกี่ยวโยงไปถึงแก่นแห่งเจินหลง!


เมื่อครั้งอยู่บนเขาพยับคราม ลั่วเจียผู้สืบทอดอริยะกระบี่ที่มาจากตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพ ก็เคยหยั่งถึงมรรคแห่งหงส์เซียน


นั่นเป็นเพราะลั่วเจียมีสายเลือดหงส์เซียนในตัว!


แต่หลินสวินเป็นเผ่ามนุษย์บริสุทธิ์ สายเลือดไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจินหลงแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน


แต่ตอนนี้กลับได้หยั่งรู้และสัมผัสกับมหามรรคเจินหลง นี่เป็นการยืนยันว่า การแจ้งมรรคของเขาในครั้งนี้มาจากวิชาลับมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างไม่ต้องสงสัย!


นี่ดูเหลือเชื่ออย่างยิ่ง


แน่นอนว่าตอนนี้หลินสวินเพียงแค่ได้สัมผัสกับมหามรรคเจินหลงเป็นครั้งแรก ยังไม่ถึงขั้นครอบครอง


ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป บนสนามประลอง การต่อสู้ในวิถีกระบี่ระหว่างเยี่ยเฉินและจินมู่อวิ๋นได้มาถึงขั้นที่ดุเดือดไร้ที่เปรียบแล้ว


จิตใจของทุกคนในที่นั้นต่างถูกดึงดูด จึงมีน้อยคนมากที่จะสังเกตเห็นว่า บนแท่นมรรคในยอดเขาหนึ่ง หลินสวินกำลังแจ้งมรรคอยู่


และแม้แต่หลินสวินเองก็ไม่รู้ว่า บนศิลามังกรขดที่อยู่ตรงหน้าเขา มีคลื่นคลุมเครือที่แทบจะว่างเปล่ากระจายออกมา ปกคลุมเงาร่างของเขาไว้ภายใน


ทุกอย่างราวกับมีการสอดรับและตอบสนองบางอย่าง มหัศจรรย์จนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้


——


[1] ถานฮวาชั่วข้ามคืน ดอกถานฮวาเป็นต้นไม้วงศ์เดียวกับกระบองเพชร ดอกมีขนาดใหญ่ มีทั้งสีขาวและสีแดงปลายม่วง มีกลิ่นหอมมาก แต่จะบานในเวลากลางคืนเพียงสามถึงสี่ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะเหี่ยวเฉาลง ถานฮวาชั่วข้ามคืนจึงหมายถึงชั่วครู่ชั่วคราว โดยมากใช้เปรียบเปรยถึงเรื่องที่งดงาม ว่ามักคงอยู่เพียงช่วงสั้นๆ ไม่นานก็หายไป

 

 

 


ตอนที่ 1075 ทำไมถึงเป็นเขาอีกแล้ว!

 

พรวด!


ในสนามจินมู่อวิ๋นกระอักเลือด ยอมแพ้อย่างเด็ดเดี่ยว


“เหตุใดจึงต้องยอมแพ้” เยี่ยเฉินขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ว่าจินมู่อวิ๋นยังไม่ถึงขีดจำกัด


ทุกคนในที่นั้นก็ผิดคาดเช่นกัน


กลับเห็นจินมู่อวิ๋นยิ้ม หันตัวออกจากสนามประลองไปยังแท่นมรรคบนยอดเขา


เพียงแต่เงาร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ ปะทุพลังน่ากลัวปานทะลวงฟ้า กระบี่พรหมราชในมือก็ส่งเสียงครวญใสราวกับฮึกเหิมเบิกบาน


เจ้าหมอนี่จะบรรลุแล้วหรือ


ทั่วทั้งลานต่างตกใจ สายตาหันขวับไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน


บนฟากฟ้า เจตกระบี่ขมุกขมัวมากมายปรากฏขึ้น ก่อตัวเป็นดอกกระบี่ขนาดราวปากถ้วยดอกแล้วดอกเล่า ร่วงหล่นจากฟ้ากะทันหัน


ในดอกกระบี่ทุกดอกราวกับทวยเทพบัญชาการ แผ่กระจายกลิ่นอายน่ากลัวประหนึ่งสยบโลกา


ดอกกระบี่พันหมื่นดอกตกลงจากฟ้า ภาพมายาแห่งเทพมากมายปรากฏขึ้นภายใน สุดท้ายปกคลุมจินมู่อวิ๋นที่อยู่กลางอากาศเอาไว้ ขับเน้นให้เขาดูมืดครึ้มมัวหม่นไปทั้งตัว มีพลานุภาพที่น่ากลัวสายหนึ่งเพิ่มเข้ามา


“ในที่สุดมหามรรคสถูปของมู่อวิ๋นก็บรรลุถึงขั้นแก่นมรรคแล้ว!”


ตรงเชิงเขา ผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งตะโกนอย่างดีใจ ใกล้จะคลั่งแล้ว


ทั่วทั้งลานต่างสูดหายใจด้วยความตกใจ ตะลึงอย่างควบคุมไม่อยู่


มหามรรคสถูป กับอีกสามมหามรรค ‘วิเวก’ ‘นิลกาฬ’ และ ‘แดนชำระ’ ถูกเรียกรวมกันว่า ‘สี่ยอดมรรคสังหาร’ อยู่ในกระดานมรรคเทียมฟ้า พลังสังหารเรียกได้ว่าน่าสะพรึง


และที่จินมู่อวิ๋นบรรลุในตอนนี้ ก็คือการหยั่งถึงระดับแก่นมรรค นี่น่าตกใจเกินไปแล้ว


“เยี่ยเฉิน ขอบคุณมาก มีหินลับกระบี่อย่างเจ้า จึงทำให้ข้ากำจัดด่านมารจิตมรรคในเวลาอันสั้นเช่นนี้ บรรลุในคราเดียว! ฮ่าๆๆ!”


กลางอากาศจินมู่อวิ๋นหัวเราะลั่น ท่าทางหยิ่งยโส ดอกกระบี่วนเวียนรอบตัวเขา ในดอกไม้มีเทพบัญชา สะดุดตาและไม่ธรรมดามากจริงๆ


เยี่ยเฉินยิ้มเยาะ “หินลับกระบี่หรือ ไม่สู้เรียกว่าข้าช่วยเจ้าบรรลุเป้าหมายถึงจะถูก!”


“ไม่ว่าอย่างไรการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แม้ข้าจะสู้สามแพ้สาม แต่บรรลุได้ด้วยเรื่องนี้ก็เพียงพอจะทำให้ข้าไม่เสียดายแล้ว” จินมู่อวิ๋นท่าทางผยอง เสียงสะเทือนไปทั่ว


เหล่าผู้กล้าสีหน้าตะลึง ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าหากจินมู่อวิ๋นที่ผ่านการบรรลุแล้วมีโอกาสประลองกับเยี่ยเฉิน เทพมารหลินและเซี่ยวชางเทียน มีความเป็นไปได้ที่จะชนะหรือไม่


“เด็กคนนี้ช่างเป็นอัจฉริยะไม่ด้อยไปกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋จริงๆ ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ระดับนี้ เกรงว่าคงสามารถชนะทุกคนในสนามประลองได้ ไม่มีใครเทียบเคียง”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิ


“เจ้าเฒ่า มีใครจะยกยอตัวเองอย่างเจ้ากัน” อาหลู่ที่อยู่ห่างออกไปไม่พอใจ ยิ้มพูดเย้ยหยัน


“ไม่พอใจหรือ เจ้าลองหาดูสิ ทอดสายตามองไปทั่วสนามประลอง ใครทำได้ถึงขั้นนี้บ้าง” ผู้อาวุโสท่าทางเรียบเฉย ภาคภูมิใจและเย่อหยิ่งอย่างมาก


พอคำพูดนี้ออกมา ทั่วทั้งลานต่างเงียบกริบ


เป็นความจริงที่ว่าตั้งแต่การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เริ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครบรรลุระหว่างการต่อสู้เหมือนอย่างจินมู่อวิ๋น และยังทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันโอ่อ่าเช่นนี้


อาหลู่พูดไม่ออก แต่เขาไม่มีทางยอมรับแต่เพียงเท่านี้ พลันร้องว่า “เทพมารหลิน สหาย ข้าช่วยเจ้าร้องท้าทายจนถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่รู้สึกรู้สาอีกหรือ”


ทุกคนได้แต่กลอกตา เจ้าคนเถื่อนคนนี้เด็ดจริงๆ แค่คุยโวโอ้อวดก็ต้องหาพวกหรือ ไม่กลัวว่าจะขายหน้าหรือ


“เทพมารหลินหรือ เขามีดีอะไร จะเทียบมู่อวิ๋นได้อย่างไร” ผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าดูถูก ถุยน้ำลายคำหนึ่ง


ตูม!


แต่ตอนนี้เองบนแท่นมรรคยอดเขาที่หลินสวินอยู่ พลังที่ไพศาลจนไม่อาจเปรียบเทียบทะลวงฟ้าขึ้นมา สะเทือนจนชั้นเมฆเหนือฟ้าแหลกละเอียด


ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนที่ราวกับระเบิดสายฟ้า เสียงมังกรครวญอันเก่าแก่และทรงพลังระลอกแล้วระลอกเล่าก็ดังมาจากส่วนลึกของชั้นเมฆที่แตกกระจาย


ฮูม


ชั่วพริบตาเดียว ลมซัดเมฆกรรโชก อานุภาพมังกรอันน่าสะพรึงไม่มีที่สิ้นสุดแผ่กระจายออกมา ปกคลุมฟ้าดินผืนนี้ไว้


ทุกคนรู้สึกเพียงแข็งทื่อไปทั้งตัว กายใจล้วนถูกกดข่ม จิตวิญญาณสั่นระริก รู้สึกถึงความกลัวที่มาจากจิตใจ


ท่ามกลางความมึนงง ในครรลองสายตาของทุกคนราวกับมีมังกรเจินหลงตัวหนึ่งผุดออกมาจากชั้นเมฆ กลืนเมฆคายหมอก เดี๋ยวเลือนรางเดี๋ยวชัดเจน โลดแล่นอยู่ภายในความว่างเปล่าโดยรอบ ไอคลุมเครือบนตัวเดือดพล่าน


ความยิ่งใหญ่นี้ ไม่อาจประเมิน


อานุภาพนี้ ไม่อาจวัด!


ในลานเสียงสูดหายใจด้วยความตกใจดังขึ้นเป็นระลอก ล้วนตะลึงกับเหตุการณ์นี้ หวาดหวั่นอย่างควบคุมไม่อยู่


ไอคลุมเครือแพร่กระจาย เจินหลงปรากฏตัว เสียงมังกรครวญดังก้องไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!


ปรากฏการณ์ประหลาดระดับนี้เพียงพอจะเรียกได้ว่าตะลึงโลก!


ครืนโครม


บนท้องฟ้าอานุภาพแห่งเจินหลงปกคลุม เมฆลมสั่นไหว สภาพบรรยากาศยิ่งดูยิ่งใหญ่โอ่อ่า


“อ๊าก…!”


จินมู่อวิ๋นที่ยืนอยู่กลางอากาศอย่างเย่อหยิ่ง ตอนนี้จู่ๆ ก็ส่งเสียงกรีดร้องราวกับถูกฟ้าผ่า เงาร่างโซซัดโซเซ ถูกกดข่มจากกลางอากาศจนล้มลงบนยอดเขา สภาพสะบักสะบอม


แม้แต่ ‘ดอกกระบี่’ และ ‘เทพ’ ที่สะท้อนออกมารอบตัวเขาก็จางลงและสลายไปด้วย


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ประหลาดสลายไปเท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังคงทำให้จินมู่อวิ๋นทั้งโกรธทั้งตกใจ


เขาในก่อนหน้านี้บรรลุแก่นมรรคแห่งสถูป ได้ใจอย่างมาก ภาคภูมิและปิติยินดี เป็นที่สนใจของทุกคน มาดฉายประกายส่อง


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะดื่มด่ำความรู้สึกที่ถูกชื่นชมเช่นนี้ให้พอใจก็ถูกขวางกลางคัน ปรากฏการณ์ประหลาดสลาย นี่จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร


ใครกัน?


เป็นใครกันแน่?


สายตาของเขามองไปยังแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ประหลาดเจินหลงนั่นทันที…


เทพมารหลินหรือ


ในหัวของจินมู่อวิ๋นราวกับถูกฟาดไปทีหนึ่ง งุนงงไปหมด ในใจเกิดความรู้สึกอัดอั้นอย่างพูดไม่ออก ทำไม… ทำไมถึงเป็นเขาอีกแล้ว!?


และในเวลาเดียวกัน ปรากฏการณ์ประหลาดเจินหลงก็หายไปด้วย ฟ้าดินกลับคืนสู่ปกติ อานุภาพมังกรอันน่าหวาดกลัวที่ปกคลุมอยู่ในลานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน


ตอนนี้เองทุกคนถึงเพิ่งได้สติ จากนั้นสายตาก็แทบจะมองไปยังตำแหน่งเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย


เทพมารหลิน!


ถึงกับเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเพราะเขา!


สีหน้าของผู้ฝึกปราณทั่วทั้งลานเปลี่ยนเป็นหลากสีสัน


มีทั้งคนตะลึง ผิดคาด อิจฉา และมีที่ขมขื่น รวมทั้งผิดหวัง


โดยเฉพาะคนของสำนักกระบี่เทียมฟ้า สีหน้าของแต่ละคนเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด อัดอั้นจนแทบจะกระอักเลือด เทพมารหลินคนนี้อีกแล้ว!


แม้แต่อาหลู่ยังอึ้ง พลันร้องตะโกนเสียงหลง “แม่งเอ๊ย ช่างเป็นสหายที่ดี บอกให้ช่วยเอาคืนก็เอาคืน ข้าตัดสินแล้ว ต่อไปนี้เจ้าจะเป็นพี่ใหญ่ของข้า!”


จากนั้นเขาก็เอาสองมือเท้าเอว ก่อนจะชี้มือไปที่ผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนนั้นแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าเฒ่า ตอนนี้เจ้ายังมีอะไรให้คุยอีก อายเขาไหม ยังจะบอกว่าเทพมารหลินมีดีอะไร แล้วเจ้าล่ะมีดีอะไร ถุย!”


พูดถึงตอนท้ายยังถ่มน้ำลายหนักๆ ไปคราหนึ่ง


ท่าทางอวดดีนั่นทำให้ผู้อาวุโสคนนั้นโกรธจนหน้าเขียว โกรธจนเต้นผาง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเทพมารหลินสมควรตายนี่ก็บรรลุตอนนี้ด้วย


นึกถึงคำพูดที่ตนพูดก่อนหน้านี้ แม้แต่เขาเองยังรู้สึกว่าใบหน้าชราร้อนผ่าวจนแสบแปลบ อัดอั้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก


เพียงแต่เรื่องตลกก็ส่วนเรื่องตลก เมื่อเห็นกับตาว่าหลินสวินบรรลุก็น่าทึ่งมากจริงๆ ทำให้บุคคลระดับเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินยังพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง


แตกต่างกับจินมู่อวิ๋น หลินสวินต่อสู้จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยแพ้เลยสักครั้งเดียว และตอนนี้แม้แต่ปรากฏการณ์ประหลาดยามบรรลุยังเหนือกว่าจินมู่อวิ๋นไประดับหนึ่ง นี่ดูวิปริตเกินไปแล้วจริงๆ


ยามนี้แม้แต่จินมู่อวิ๋นเองในใจยังเกือบจะถูกเงามืดปกคลุมอีกครั้ง


เริ่มจากแพ้อย่างอนาถก่อน ถูกหลินสวินตัดหัว อุตส่าห์เดินออกจากเงามืดแห่งความเป็นตาย หยั่งถึงบรรลุ เดิมนึกว่าสามารถล้างความอับอายได้แล้ว มีหรือจะคิดว่าจะถูกหลินสวินกดหัวเอาไว้อีกครั้ง…


จินมู่อวิ๋นถึงขั้นสงสัยอยู่บ้างว่าหลินสวินนี่เป็นดาวข่มของตนแต่กำเนิดหรือเปล่า มิฉะนั้นจะทำให้ตนซวยขนาดนี้ได้อย่างไร


และในเวลาเดียวกัน หลินสวินตื่นจากสมาธิ ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้น ทุกคนต่างมีความรู้สึกหนึ่งอย่างเลือนราง ราวกับมังกรที่จำศีลอยู่ตัวหนึ่งตื่นจากการหลับใหล!


“มหามรรคเจินหลง!” มีคนหัวใจสะท้าน


“เขาหยั่งถึงแล้วจริงๆ แต่ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้…” จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนคิดอะไรอยู่ ในสายตาปรากฏสีสันแปลกประหลาดไม่ขาดสาย


คนอื่นๆ ก็สีหน้าแตกต่างกันออกไป


มหามรรคเจินหลง เป็นหนึ่งในมหามรรคของกระดานมรรคเทียมฟ้าเช่นกัน อีกทั้งยังถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ


แต่ที่ทุกคนไม่เข้าใจคือ มรรคนี้เป็นมรรคที่เผ่าเจินหลงเท่านั้นจะครอบครองได้ เป็นเหมือนสิ่งต้องห้ามของเผ่าหนึ่ง เผ่ามนุษย์คนหนึ่งจะบรรลุได้อย่างไร


หรือเทพมารหลินคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงในตำนาน


เจินหลงก็เหมือนกับหงส์เซียน ล้วนเป็นการดำรงอยู่เกือบจะเป็นตำนาน เลือนรางอย่างที่สุด แม้อยู่ในสมัยบรรพกาลก็น้อยมากที่จะปรากฏสู่โลก


ถึงขั้นมีคนสงสัยว่า เจินหลงกับหงส์เซียนมีจริงหรือไม่!


และบนภูเขาเทพไร้มรณะในตอนนี้ หากจะบอกว่าใครที่คล้ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลง ก็มีเพียงเยี่ยนจั่นชิวแล้ว


บุคคลแห่งยุคของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนนี้ แม้จะเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ย แต่เผ่ามารดาของเขากลับเหมือนว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลง


‘เจ้านี่ไม่ใช่ลูกหลานเผ่าเจินหลงเด็ดขาด แต่เป็นโจรที่น่ารังเกียจ!’ ในใจเยี่ยนจั่นชิวขึ้งโกรธ สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูเยียบเย็นและไม่น่าดูผิดปกติ


มีเพียงเขาที่รู้ดีว่าหลินสวินกับเผ่าเจินหลงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กัน นัยเร้นลับแห่งเจินหลงที่อีกฝ่ายครอบครอง หยั่งรู้มาจากมรดกวิชามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร!


“ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าเพียงควบคุมตัวเองไม่อยู่…” ตอนนี้เองหลินสวินพลันลุกขึ้นพูดกับจินมู่อวิ๋น


ควบคุมตัวเองไม่อยู่หรือ


ใครจะเชื่อ!


จินมู่อวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบคราหนึ่ง ละสายตาออก เขากลัวว่าขืนมองนานไปกว่านี้ จะโกรธจนสภาวะจิตไม่มั่นคง ในใจปรากฏเงามืดอีกครั้ง…


“ฮ่าๆๆ เช่นนี้ย่อมดีที่สุด หลินสวิน อย่าลืมกำราบเจ้าเซี่ยวชางเทียนให้หนักๆ!” เยี่ยเฉินหัวเราะลั่น


ทำให้ทุกคนเพิ่งตระหนักได้ว่า การประลองรอบที่ห้าได้จบลงแล้ว ต่อไปจะเป็นการประลองรอบที่หกแล้ว


และนี่ก็เป็นการประลองรอบสุดท้ายของการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในครั้งนี้!


หากเซี่ยวชางเทียนชนะ เขาก็สามารถขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่ง ด้วยผลงานชนะสองเสมอหนึ่งจากการแข่งขันสามรอบ


เช่นเดียวกัน หากหลินสวินชนะ ก็เท่ากับชนะมาตลอดการแข่งขัน และขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยสถิติไร้พ่าย!


“เทพมารหลินนี่ ครั้งนี้เกรงว่าจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แล้ว…”


สีหน้าของผู้อาวุโสหลายคนต่างซับซ้อน ตอนนี้หลินสวินบรรลุพลังมหามรรคอีก แม้เป็นเซี่ยวชางเทียนก็ยังยากจะมีโอกาสชนะ


สีหน้าของคนอื่นๆ เองก็เป็นเช่นนี้ ซับซ้อนหลากสีสัน


การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในครั้งนี้ รวบรวมบุคคลขอบเขตมกุฎแห่งสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ มีบุคคลแห่งยุคของสำนักโบราณมากมายเข้าร่วม ศักยภาพโดยรวมมากกว่าการแข่งขันรอบที่ผ่านๆ มา!


แต่สุดท้ายกลับให้คนที่ไร้พรรคไร้สำนักอย่างหลินสวิน คนหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง เปิดทางจากการปิดล้อมอันหนาแน่น เหยียบร่างมากมายของผู้กล้า กลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองครั้งสุดท้ายนี้


นี่…


เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดถึงเลย!


เหมือนปาฏิหาริย์ที่เป็นไปไม่ได้กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และมีพวกเขาเป็นพยาน!


แต่ไม่ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไร ตอนนี้หลินสวินกับเซี่ยวชางเทียนต่างมาถึงในสนามแล้ว และกำลังประชันหน้ากันจากไกลๆ


การประลองครั้งสุดท้าย กำลังจะเริ่มขึ้น!

 

 

 


ตอนที่ 1076 ไปไร้หวน

 

ในการประลองรอบสุดท้ายนี้ หลินสวินได้เอาชนะจินมู่อวิ๋นกับเยี่ยเฉินอย่างต่อเนื่อง


จินมู่อวิ๋นพ่ายแพ้ในสามกระบวนท่า


เยี่ยเฉินพ่ายแพ้ให้ไพ่ตายของหลินสวิน


ตอนนี้เซี่ยวชางเทียนกำลังจะประลองกับหลินสวิน เขาจะสามารถทำลายสถิติไร้พ่ายของหลินสวินได้หรือไม่


ยากมาก!


นี่เป็นความเห็นพ้องของทุกคน


แม้เหล่าคู่ต่อสู้อย่างอวี่หลิงคง หลี่ชิงผิงที่เห็นหลินสวินเป็นศัตรู ก็จำต้องยอมรับว่าหลินสวินที่บรรลุพลังมหามรรคไปอีกขั้นได้เปรียบอย่างมาก


ทว่าเซี่ยวชางเทียนเองก็ไม่ใช่คนทั่วไป


ในขณะที่เขากับเยี่ยเฉินเสมอกัน จินมู่อวิ๋นก็พ่ายแพ้ในมือเขา


ในการประลองครั้งสุดท้าย เขาที่รู้แล้วว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินแข็งแกร่งเพียงใด แน่นอนว่าจะต้องช่วงชิงชัยอย่างสุดความสามารถ!


บนสนามประลองสีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบและจริงจัง มองเซี่ยวชางเทียนที่ราวกับสุริยันสะดุดตาตรงหน้า ในใจก็ไม่กล้าประมาทแต่อย่างไร


การต่อสู้กับเยี่ยเฉินทำให้ไพ่ตายของเขาถูกเปิดเผยภายใต้สายตาของเซี่ยวชางเทียนแทบจะทั้งหมดแล้ว อีกฝ่ายจะต้องมีวิธีรับมืออย่างเพียงพอแล้วแน่!


ทั่วบริเวณเงียบกริบ การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น ทุกสายตาล้วนเพ่งมองมา


นี่เป็นการประลองครั้งสุดท้าย เมื่อสิ้นสุดลง ก็หมายความว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในครั้งนี้ก็กำลังจะจบลงแล้ว


ถึงตอนนั้น ใครสามารถขึ้นจุดสูงสุด ยึดตำแหน่งหัวแถว ย่อมกลายเป็นผู้ที่คนทั่วหล้าให้ความสนใจอย่างแน่นอน


สำหรับอันดับสอง ความสนใจที่ได้รับก็จะน้อยกว่า


คนบนโลกนี้จำได้แค่อันดับหนึ่งเสมอ ส่วนอันดับสองจะเป็นใครนั้น แม้จะจำได้ แต่สิ่งแรกที่นึกถึงก่อนคือคนที่ได้อันดับหนึ่งเป็นใคร


นี่ก็คือความแตกต่าง!


……


“พวกเราตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวดีหรือไม่”


เซี่ยวชางเทียนพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ยื่นข้อเสนอหนึ่งออกมา “ขอแค่เจ้าสามารถต้านทานได้ ก็ถือว่าข้าแพ้!”


เมื่อคำพูดนี้ออกมา ทั่วทั้งลานต่างตะลึง


จากนั้นล้วนรู้สึกไร้สาระอย่างที่สุด บ้าเกินไปแล้ว!


นั่นเป็นถึงเทพมารหลินเชียว ผนวกกับศักยภาพไร้พ่ายที่สู้มาถึงตอนนี้ แค่การโจมตีเดียว มีหรือจะต้านไม่ได้


“หึ! เซี่ยวชางเทียน เก็บความฉลาดของเจ้าไปเสีย หากข้าเป็นเจ้า แม้จะแพ้ก็ต้องแพ้อย่างเด็ดเดี่ยว เหตุใดต้องทำเช่นนี้”


ห่างออกไปเยี่ยเฉินมุ่นคิ้ว รู้สึกผิดปกติ สงสัยว่าข้อเสนอนี้ของเซี่ยวชางเทียนมีความลับอื่นซ่อนอยู่


“น่าขัน เจ้าเคยเห็นข้าเซี่ยวชางเทียนใช้กลอุบายสกปรกหรือ” เซี่ยวชางเทียนยิ้มเยาะ


ด้วยความเย่อหยิ่งของเขาก็คงไม่ทำเช่นนั้นจริงๆ ทุกคนต่างรู้ถึงจุดนี้ แต่กลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยวชางเทียนจึงอยากตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียว


“เพราะเหตุใด” หลินสวินไม่เข้าใจ


“รอสู้เสร็จค่อยบอกเหตุผลเจ้า” เซี่ยวชางเทียนยิ้มอย่างเบิกบานมาก ดวงตาเรียวยาวราวกับคมดาบเต็มไปด้วยความผงาดผยอง ท่วงท่าสง่างาม


“ได้!”


เหนือความคาดหมายของทุกคน เมื่อเผชิญกับข้อเรียกร้องที่เห็นได้ชัดว่าผิดปกตินี้ หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ตอบตกลงอย่างเด็ดเดี่ยว


เดิมทีจ้าวจิ่งเซวียนยังคิดจะเตือนหลินสวินให้รอบคอบหน่อย แต่หลังจากเห็นเช่นนี้ก็อดกลั้นไว้ ยักไหล่อย่างหน่ายใจเล็กน้อย


นี่ก็คือหลินสวิน นางรู้ดีที่สุด


‘ตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียว หรือเจ้าหมอนี้จะอวดดีจนถึงขั้นคิดว่าหลินสวินจะต้านทานไม่ไหวแม้แต่การโจมตีเดียวของเขา’ เยี่ยเฉินขมวดคิ้ว


“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่” คนอื่นๆ เองก็แปลกใจ


ในสนามประลอง เซี่ยวชางเทียนไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดรอบๆ มุมปากเหยียดยิ้ม เผยความมั่นใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ทั้งตัว


ชิ้ง!


เหมือนดาบดุจหวนคืนออกจากฝัก ตัวดาบดำสนิทเผยคมตะลึงโลก


ฮูม


เสื้อผ้าของเซี่ยวชางเทียนโบกพลิ้วไปตามสายลมจนเกิดเสียงดัง อานุภาพพลังเองก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย


เขาอยู่ในชุดคลุมขาว ผมแดงประหนึ่งเพลิงพลิ้วไหว เงาร่างผึ่งผายแผ่กลิ่นอายสังหารที่เผด็จการจนถึงขีดสุด สั่นสะเทือนกลางจักรวาล


สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าเซี่ยวชางเทียนในตอนนี้เหมือนอยู่ในสนามรบทะเลเลือด กลิ่นอายกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีอานุภาพที่มองความตายดุจดั่งการหวนคืน


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


ที่น่าตกใจที่สุดคือ ดาบดุจหวนคืนที่ดำสนิทราวกับสีรัตติกาลในมือเขากลับส่งเสียงครวญขึ้นมา


เหมือนเพลงรบที่ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน และประหนึ่งเสียงเป่าเขาสัตว์ที่ดังทะลุทะลวง สะเทือนใจคน ทำให้เส้นเลือดขยายอย่างรวดเร็ว


ในหูทุกคนรู้สึกเพียงความร้อนระอุอย่างหนึ่ง เลือดลมเหมือนเผาไหม้ ในอกเกิดจิตต่อสู้อันบ้าคลั่ง


นี่เหลือเชื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่เสียงดาบครวญก็สามารถส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนพลังของผู้ฝึกปราณแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าการโจมตีที่เซี่ยวชางเทียนกำลังจะใช้จะต้องน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่งแน่


ตูม!


เพียงพริบตากลิ่นอายของเซี่ยวชางเทียนเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด เขายืนอยู่ตรงนั้น ผมยาวราวกับเปลวเพลิงร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสว่างไสวดุจดั่งดวงสุริยัน ดาบดุจหวนคืนในมือส่งเสียงครวญ


กลิ่นอายเข่นฆ่าอันน่ากลัวปานทำลายล้างปกคลุมเขาเอาไว้ทั้งตัว ราวกับเทพสังหารที่เหยียบย่ำภูเขาศพทะเลเลือดเข้ามา อานุภาพสยบโลกา!


ทั่วทั้งลานเงียบกริบ จิตใจถูกสั่นสะเทือน ต่างมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าหากกระบวนท่านี้ปล่อยออกมา จะต้องเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเซี่ยวชางเทียน เพียงพอสะเทือนฟ้าดินแน่


ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายบนร่างหลินสวินเองก็กำลังเปลี่ยนแปลง


สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวราวกับหินหนืดที่พรั่งพรูเดือดพล่าน เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดในชั่วพริบตา ในเวลาเดียวกันโทสะหยาจื้อและวิชาอริยะยุทธ์ก็ถูกโคจรออกมาทั้งหมด


แต่…


ยังไม่พอ!


แม้อีกฝ่ายไม่เคยออกโจมตี แต่ในใจหลินสวินกลับไม่สงบอย่างมาก


เขาใช้มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างไม่ลังเลสักนิด อักษรเคราะห์เก้าตัวที่มหัศจรรย์แตกต่างกันปราฏขึ้น วนเวียนรอบตัว ในนั้นมีพลังแห่งเจินหลงเพิ่มเข้ามาเสี้ยวหนึ่ง!


อย่าเห็นว่าเป็นแค่เสี้ยวเดียว แต่กับประหนึ่งวาดมังกรเติมดวงตาให้ ทำให้มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรเกิดการเปลี่ยนแปลงราวถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก อักษรเคราะห์เก้าตัวเปล่งแสงสว่างไสว แม้ยังคงเลือนรางมาก แต่อานุภาพพลังเช่นนั้นกลับทำให้เมฆแปดทิศยุบตัว ห้วงอากาศปั่นป่วนสลาย


ในใจหลินสวินแน่วนิ่ง เพียงแต่…


ยังไม่มั่นคงเพียงพออย่างแท้จริง!


เขาจ้องมองเซี่ยวชางเทียนที่อยู่ห่างออกไป ลอบกล่าวว่าอานุภาพการโจมตีนี้ของเจ้าหมอนี่ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่า ‘ดุจภาพภูผาธารา’ ของเยี่ยเฉิน ถือเป็นไพ่ตายก้นกรุที่แท้จริง


แน่นอนว่าในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินยังคงมีความมั่นใจที่จะสกัดกั้น เพียงแต่ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส


คิดถึงตรงนี้เขาพลันตระหนักได้ถึงบางอย่าง พอมองเซี่ยวชางเทียนอีกครั้ง แววตาก็ได้เปลี่ยนไป หรือว่าเจ้าหมอนี่คิดจะทำเช่นนี้


และตอนนี้เองเซี่ยวชางเทียนหัวเราะอย่างไร้เสียง เอ่ยว่า “กระบวนท่านี้ของข้านามว่า ‘ไปไร้หวน’”


คำพูดแม้จะเรียบเฉย แต่ทุกคำล้วนราวกับฟ้าร้อง สั่นสะเทือนกลางฟ้าดิน


ชิ้ง!


มือที่จับดาบอยู่ของเขาพลันกระชับแน่น พลังที่สั่งสมไว้แต่แรกในแขนขวาหลอมรวมเข้าไปในตัวดาบทั้งหมด


จากนั้นก็ฟันออกไป


สมัยบรรพกาลมีอริยะตัดสินความเป็นความตายในดาบเดียว ยิ้มเยาะให้ใต้หล้า


และดาบนี้ของเซี่ยวชางเทียน ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวที่ไม่แบ่งแยกความเป็นความตาย และไม่มีทางหวนคืนอย่างหนึ่ง


ไปไร้หวน!


เด็ดขาดถึงเพียงนี้!


ตอนที่ดาบนี้ฟันออกไป ทุกคนในที่นั้นต่างแสบตา จิตวิญญาณสั่นไหว ล้วนรู้สึกว่าดาบนี้ราวกับฟันใส่ตัวเอง ตกใจจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว


และตอนนี้หว่างคิ้วของหลินสวินก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาระลอกหนึ่ง ถูกแก่นความเด็ดเดี่ยวของดาบนี้จับกุม เขารู้ว่าไม่สามารถหลบได้แล้ว


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียว!”


ในดวงตาดำของหลินสวินสาดประกายลึกลับ อักษรเคราะห์เก้าตัวที่วนเวียนอยู่รอบกายพลันเปลี่ยนเป็นเจินหลงที่ขดตัว แหงนหน้าชูคอกลางอากาศ


แต่ใกล้ๆ กับเจินหลงกลับเป็นเหวใหญ่ที่มืดมนและลึกล้ำมากมาย ดวงดาราแต่ละดวงถูกดับทำลายในนั้น


มองจากไกลๆ ราวกับเจินหลงออกจากหุบเหว สลายดับธารดารา!


ตูม!


พริบตาที่ทั้งสองปะทะกัน ทั้งสนามประลองล้วนสั้นสะเทือน ความปั่นป่วนไม่มีที่สิ้นสุดม้วนตลบเข้ามา รัศมีเทพที่สาดแสงและดับสลายไปมาแผ่กระจายราวกับสายน้ำซัดสาด


ที่ตรงนั้นแสงมรรคสาดฉาย กึกก้องราวกับฟ้าร้อง


ยากจะเปรียบเทียบด้วยคำพูด นี่คือการประลองระหว่างผู้แข็งแกร่งที่มาจากระดับกระบวนแปรจุติ พลังซึ่งโดดเด่นระดับนั้นสะท้านโลกเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!


ข้ารับใช้วิญญาณลงมืออีกครั้ง คลุมสนามประลองไว้ด้วยกฎระเบียบ


แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะการคุ้มกันในสนามประลองไม่มั่นคงพอ แต่เป็นเพราะห่วงว่าคลื่นกระทบจากการปะทะกันของทั้งสองจะกระจายออกไปนอกสนาม


ครู่ใหญ่บนสนามประลองจึงกลับสู่ความสงบ ฝุ่นควันคละคลุ้ง


ตอนนี้เองในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นภาพบนสนามชัดเจน


ชุดคลุมขาวของเซี่ยวชางเทียนพลิ้วไหว ไอสังหารทั่วร่างน่าสะท้าน ดาบดุจหวนคืนดำสนิทยังคงแผ่แสงคมปลาบสะท้านขวัญ


เขาราวกับนายเหนือหัวแห่งดาบ สง่างามอย่างที่สุด


และฝั่งตรงข้าม หลินสวินยืนตระหง่านเช่นกัน ผมดำที่เดิมถูกมัดไว้ไม่รู้ถูกปล่อยตั้งแต่เมื่อไหร่ พลิ้วไสวท่ามกลางสายลม


บนร่างสง่างามของเขาบริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ และไร้ซึ่งร่องรอยการบาดเจ็บ!


เมื่อเห็นเช่นนี้ทั่วทั้งลานพลันฮือฮา


ปาฏิหาริย์ไม่ได้เกิดขึ้น เทพมารหลินสกัดการโจมตีไปไร้หวนไว้ได้!


มีคนตะลึง หัวใจสั่นสะท้านกับความแข็งแกร่งของหลินสวิน


และมีคนทอดถอนใจ หรือเทพมารหลินไม่สามารถถูกโจมตีจนพินาศจริงๆ


แม้จะเพียงแค่กระบวนท่าเดียว แต่อานุภาพของกระบวนท่านี้เพียงพอทำให้โลกตะลึง สะท้านสะเทือนไปทั้งโลก


เพียงแต่ สุดท้ายก็ยังคงโดนเทพมารหลินสกัดกั้นไว้ได้


นี่ทำให้ในใจหลายคนไม่สบอารมณ์มาก อย่างเช่นพวกหลี่ชิงผิง อวี่หลิงคง


“กระบวนท่าไปไร้หวนนี่ดีจริง!”


เยี่ยเฉินส่งเสียง ไม่ได้ชื่นชมจริงๆ แต่เป็นตรงกันข้าม เย้ยหยันเซี่ยวชางเทียน


“ตอนนี้ควรจะบอกเหตุผลของเจ้าได้แล้วกระมัง” หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง สกัดกั้นจิตต่อสู้และการพลังขับเคลื่อนที่ยังคงกระสับกระส่าย


กระบวนท่านี้ดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงเขาได้ใช้พลังจนถึงขีดจำกัดแล้ว ความอันตรายนั้นใช่ว่าคนนอกจะรับรู้ได้


ยามนี้กลับไม่เห็นความหดหู่และไม่จำยอมใดๆ ของเซี่ยวชางเทียน เขายิ้มออกมา รอยยิ้มนั่นเปล่งประกายราวกับตะวันที่เพิ่งทะยานฟ้า


“เจ้าเดาออกแล้วไม่ใช่หรือ ตัดสินแพ้ชนะภายในกระบวนท่าเดียว มีเพียงแค่สองจุดประสงค์”


“จุดประสงค์แรก หากเจ้าไม่สู้อย่างสุดความสามารถ แม้จะต้านดาบนี้ได้แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส เช่นนี้แม้สุดท้ายข้าแพ้ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ถูกข้าโจมตีจนบาดเจ็บ”


“หนอยเจ้าเซี่ยวชางเทียน ดันกล้ามากเล่ห์ถึงเพียงนี้!”


เยี่ยเฉินได้ยินเช่นนี้สีหน้าพลันอึมครึม เขาเดาออกทันทีว่าที่เซี่ยวชางเทียนสนใจเรื่องพวกนี้ขนาดนี้ เพราะต้องการจะเทียบกับตน!


เซี่ยวชางเทียนยิ้มพูดต่อโดยไม่ได้สนใจคำต่อว่าของเยี่ยเฉิน “จุดประสงค์ที่สอง หากเจ้าสู้อย่างสุดความสามารถเพื่อต้านกระบวนท่านี้ ย่อมต้องใช้ไพ่ตายที่แท้จริง เช่นนี้แม้ข้าจะแพ้การประลองนี้ แต่พวกเราทั้งสองล้วนไม่บาดเจ็บ ก็ถือว่าเสมอกันแล้ว”


พูดถึงตรงนี้เขาหันหน้าเหลือบมองเยี่ยเฉินแวบหนึ่ง แล้วยิ้มเยาะพูด “เช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์แบบใด ก็ล้วนดีกว่าใครบางคน ขอแค่ผลลัพธ์ดีกว่าใครบางคน จะแพ้การประลองครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร”


ทั่วทั้งลานต่างอึ้งงัน คิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยวชางเทียนจะมีจุดมุ่งหมายเช่นนี้ ยินดีพ่ายแพ้ ขอแค่ต้องแข็งแกร่งกว่าเยี่ยเฉินระดับหนึ่ง


แม้หลินสวินจะเดาออกบ้างแล้ว แต่หลังจากได้ยินเซี่ยวชางเทียนอธิบายด้วยตัวเองก็ยังคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


สองคนนี้ ช่างเป็นคู่ศัตรูแต่กำเนิด


และตอนนี้มุมปากของเยี่ยเฉินก็กำลังกระตุก แววตาที่มองเซี่ยวชางเทียนมีแต่ความอยากฆ่าคน!

 

 

 


ตอนที่ 1077 ขวยอายถึงขีดสุด

 

การประลองครั้งสุดท้ายของรอบสุดท้ายจบลงในกระบวนท่านี้


กระบวนการค่อนข้างไร้สาระ แต่การประลองนั้นสะเทือนใจคนอย่างไม่ต้องสงสัย เซี่ยวชางเทียนพ่ายแพ้ แต่ไม่มีใครกล้าบอกว่าเขาแพ้อย่างราบคาบ


บางทีนี่ก็คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ


และตอนนี้ ทุกสายตาที่มองมาทางหลินสวินล้วนแฝงความซับซ้อนและตะลึง


การต่อสู้ทั้งหมดในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์สิ้นสุดลง เด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างคนนี้ฝ่าฟันออกมาท่ามกลางเหล่าสำนักโบราณ กลายเป็นผู้ชนะด้วยผลงานไร้พ่ายอย่างไร้ข้อกังขา!


อันดับหนึ่ง!


ถึงขั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นขอบเขตมกุฎอันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่าสามสิบปีของสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ!


นี่เป็นเกียรติยศไร้เทียมทานที่สามารถทำให้คนทั่วหล้าเหลียวมองได้อย่างไม่ต้องสงสัย


เทพมารหลิน!


ไม่ว่าชื่อนี้เคยชักนำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์และความขัดแย้งมากเท่าไหร่ แต่นับจากนี้จะต้องโด่งดังไปทั่วสี่แดนวิภู เป็นที่รู้จักของคนทั่วใต้หล้าอย่างแน่นอน


“ชนะแล้ว!”


จ้าวจิ่งเซวียนกำหมัดแน่นเงียบๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นในใจ


ใบหน้างดงามของนางขาวผ่อง มุมปากแฝงรอยยิ้ม ท่าทางที่ชัดเจนบริสุทธิ์และสดใสนั่นดูงดงามมากเป็นพิเศษ


“ยังดีๆ นับถือหมอนี่เป็นพี่ใหญ่ไม่ถือว่าขายหน้า มิฉะนั้นหากเฒ่าสารเลวนั่นรู้เข้าจะต้องใช้ปากเหม็นๆ ของเขาด่าข้าจนตายแน่”


อาหลู่ท่าทางโล่งอก


‘คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นที่หนึ่ง เพียงแต่เขาผูกความแค้นกับศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ได้อย่างไร’ จินมู่อวิ๋นอึ้ง


แม้ถูกหลินสวินเอาชนะ แต่ความจริงในส่วนลึกของหัวใจเขาก็นับถือหลินสวินมาก


ไร้ที่พึ่งพิง มาจากโลกชั้นล่าง กลับสามารถก่อคลื่นลมทั่วหล้า อีกทั้งตอนนี้ยังคว้าชัยชนะอันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ด้วยสถิติไร้พ่าย นี่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์หนึ่ง


เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้สืบทอดสำนักโบราณคนอื่นๆ ต่างต้องทบทวนตัวเอง!


ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับเทพมารหลิน พวกเขาทุกคนล้วนไม่ขาดพรสวรรค์ แก่นกระดูกและมรดกวิชา มีข้อได้เปรียบที่เรียกได้ว่าสวรรค์ประทาน


แต่สุดท้าย… กลับพ่ายแพ้ให้กับเทพมารหลินทั้งหมด นี่เพียงพอจะทำให้ผู้กล้าที่เป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณทุกคนอับอายแล้ว


‘ช่างเถอะ อย่างไรตามสัญญา ต่อไปที่ใดมีหลินสวิน ข้าก็จะไม่ปรากฏตัวแน่’ จินมู่อวิ๋นส่ายหน้า หยุดคิดมาก


‘ให้ตาย การต่อสู้อาจสู้ไม่ได้ การดื่มเหล้าต้องล้มเขาให้ได้ อื้ม ถึงเวลาเอาเหล้าชั้นดีที่ตาเฒ่าสะสมไว้ออกมาแล้ว…’ เยี่ยเฉินลูบคางครุ่นคิด


ส่วนพวกอวี่หลิงคงสีหน้าต่างอึมครึม ในใจเต็มไปด้วยความไม่จำยอมและหดหู่อย่างรุนแรง


การที่หลินสวินขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด ส่งผลกระทบต่อพวกเขารุนแรงเกินไปแล้ว


‘เด็กคนนี้ ต้องกำจัด!’


เหล่าขุมอำนาจที่มองหลินสวินเป็นศัตรู แต่ละฝ่ายลอบตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ความสามารถของหลินสวินทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่แฝงอยู่แล้ว


รู้ดีว่าหากหลินสวินลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริง จะต้องกลายเป็นมหัตภัย!


“เชื่อว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คนบนโลกจะต้องตกตะลึงกับชื่อเทพมารหลินอีกครั้ง!”


“ผู้กล้าปรากฏในกลียุค มหายุคก็เช่นกัน หรือมหายุคจะมาเยือนแล้วจริงๆ…”


ผู้แข็งแกร่งสำนักอื่นๆ ต่างอดทอดถอนใจไม่ได้


……


การต่อสู้สิ้นสุดลง


อันดับหนึ่งหลินสวิน อันดับสองเซี่ยวชางเทียน อันดับสามเยี่ยเฉิน อันดับสี่จินมู่อวิ๋น


ส่วนการจัดอันดับของคนที่เหลือก็ถูกตัดสินออกมานานแล้ว


ตอนนี้ข้ารับใช้วิญญาณยืนอยู่กลางอากาศเหนือสนามประลอง ร่างกายอาบแสงศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าเคร่งขรึม ส่งเสียงกึกก้อง


“พวกเจ้าสามสิบห้าคน ภายภาคหน้ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่นำยุคหนึ่ง แต่พวกเขาต้องจำไว้ว่า ยามเมื่อมหายุคมาเยือน ย่อมมาพร้อมกับกลียุค!”


“ทุกคนล้วนเป็นผู้ปรีชาสามารถที่ถือกำเนิดในดินแดนรกร้างโบราณ หากวันหนึ่งผู้คนนับร้อยล้านในดินแดนรกร้างโบราณต้องการให้พวกเจ้าออกหน้า…”


พูดถึงตรงนี้เสียงของข้ารับใช้วิญญาณพลันชะงัก ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ


การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์จบลงแล้ว เดิมควรเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ยามได้ยินข้ารับใช้วิญญาณพูดเช่นนี้ ในใจทุกคนต่างเกิดความรู้สึกหนักอึ้ง


มหายุค! กลียุค!


หรือข้ารับใช้วิญญาณมองเห็นว่าจะมีสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นในอนาคต


“ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้เกี่ยวโยงไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่นับไม่ถ้วน ไม่มีใครสามารถบอกได้ ตอนนี้จะมอบรางวัลตามลำดับให้พวกเจ้า”


ข้ารับใช้วิญญาณไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง


ทันใดนั้นบนแท่นมรรคสามสิบห้าแท่นบนยอดเขา ศิลามังกรขดแต่ละป้ายเปล่งแสง จากนั้นโชควาสนามหามรรคที่รูปร่างราวกับมังกรเป็นสายๆ ก็อาบไล้เงาร่างของยอดมกุฎรุ่นเยาว์ทั้งสามสิบห้าคน


สำหรับแท่นมรรคบนยอดเขาหนึ่งในนั้นที่ไม่มีความเคลื่อนไหว เดิมเป็นของโก่วเหยียนเจิน แต่เพราะเขาทำผิดกฎจึงถูกคัดออกไปนานแล้ว


นี่ก็คือค่าตอบแทนที่ระเบิดตัวเอง


ทว่าตอนนี้ไม่มีใครเป็นห่วงเรื่องพวกนี้


สายตาที่มองไปยังกลุ่มยอดมกุฎรุ่นเยาว์บนยอดเขา ล้วนแฝงความอิจฉาอย่างไม่สามารถข่มกลั้นได้


โชควาสนามหามรรค!


นี่คือสิ่งสำคัญของการกลายเป็นราชัน!


หากต้องการบรรลุสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชันก่อนมหายุคมาเยือน จำนวนมากน้อยของโชควาสนาจะส่งผลอย่างยิ่งใหญ่ต่อเรื่องนี้


ทุกคนล้วนมีความรู้สึกหนึ่ง ว่าแม้มหายุคยังไม่ได้มาเยือนอย่างแท้จริง แต่ผู้กล้าทั่วหล้าก็ได้เริ่มแข่งขันกันแล้ว!


อย่างเช่นการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในครั้งนี้ คนที่ได้รับโชควาสนามหามรรคล้วนเป็นบุคคลแห่งยุคที่ได้รับชัยชนะท่ามกลางผู้กล้าจำนวนมาก ผ่านการต่อสู้มากมาย สุดท้ายจึงโดดเด่นออกมา


สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในหนทางที่จะการกลายเป็นราชันในภายภาคหน้า ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ทั้งสามสิบห้าคนนี้จะต้องได้เปรียบกว่าผู้กล้าคนอื่นๆ แน่!


……


หลินสวินสงบใจหยั่งรู้


โชควาสนามหามรรค เดิมเป็นพลังที่คลุมเครืออย่างมากกลางฟ้าดิน แต่กลับร่วงหล่นลงมาในตอนนี้ อาบไล้ตัวเขาทั้งตัว


ความรู้สึกเช่นนี้ยากจะอธิบายอย่างละเอียด


ราวกับว่าหลังจากครอบครองพลังโชควาสนาเหล่านี้ ทำให้จิตมรรคของเขายิ่งบริสุทธิ์ การสัมผัสมหามรรคและการหยั่งรู้ต่อฟ้าดินก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อก่อน


แต่เมื่อทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน กลับไม่สามารถรับรู้ได้อย่างละเอียด


พูดไม่ถูก อธิบายไม่กระจ่าง แต่กลับมีอยู่อย่างแท้จริง ดูมหัศจรรย์อย่างมาก


บางทีอาจเป็นอย่างที่อริยะบรรพกาลกล่าวไว้ โชควาสนาเป็นเหมือนกฎกรรม เหมือนชะตากรรม เหมือนหลักการแห่งสวรรค์ ล้วนอัศจรรย์ยากจะอธิบายเป็นคำพูด


ทว่าแม้ไม่สามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริง แต่หลินสวินกลับมั่นใจมาก ว่าโชควาสนามหามรรคที่ตนได้รับมากกว่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ในที่นี้มาก!


เทียบกับอันดับสองอย่างเซี่ยวชางเทียน ก็ยังมากกว่าอยู่มาก


ด้านหนึ่งเพราะเขาได้รับอันดับหนึ่ง รางวัลมากและหลากหลายที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาแสดงออกมาในการประลองก่อนหน้านี้ด้วย


เช่นหลังจากโก่วเหยียนเจินถูกคัดออก โชควาสนามหามรรคที่เป็นของเขาในตอนแรก ก็กลายเป็นการชดเชยและมอบให้หลินสวินทั้งหมด


……


ไม่นาน พวกหลินสวินก็หลอมรวมโชควาสนามหามรรคอย่างสิ้นเชิงแล้ว และลุกขึ้นจากแท่นมรรค


“เด็กคนนี้อยู่ก่อน คนอื่นไปได้” ข้ารับใช้วิญญาณยื่นมือชี้หลินสวินพลางพูด


หลินสวินไม่ได้แปลกใจ เพราะรางวัลของการได้รับอันดับหนึ่งไม่ได้มีเพียงเท่านี้!


นอกจากโชควาสนามหามรรค ยังสามารถเข้าสู่แดนลับไร้มรณะ ได้รับเวลาฝึกหนึ่งปี และการฝึกในนั้นหนึ่งปี ก็เท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอก!


ทันใดนั้นหลายสายตาที่มองหลินสวินล้วนแฝงความอิจฉา


มีวาสนาการฝึกปราณระดับนี้ก่อนที่มหายุคจะมาเยือน สำหรับผู้กล้าขอบเขตมกุฎทุกคน ล้วนเป็นศุภโชคชิ้นโตที่หาได้ยากอย่างมาก!


“หลินสวิน จบการแข่งขันครั้งนี้ข้าจะกลับแดนดาราอุดรรอบหนึ่ง หลังจากเอาเหล้าชั้นดีที่บรรพบุรุษบ้านข้าเก็บสะสมมาแล้ว ค่อยมาดื่มกับเจ้า”


เยี่ยเฉินยิ้มพูด “แน่นอนว่า หากเจ้ามีเวลาก็สามารถไปหาข้าที่เขาจื่อเวยในแดนดาราอุดรได้ ในแดนดาราอุดร รับรองว่าไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าเหมือนตอนอยู่ในแดนชัยบูรพา!”


ครั้นคำพูดนี้ออกมา ทำให้สีหน้าของผู้แข็งแกร่งจากสำนักต่างๆ อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างอึมครึมอึดอัดอยู่บ้าง


นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการตีวัวกระทบคราด!


“ได้!” หลินสวินตอบรับพร้อมรอยยิ้ม


“หลินสวิน เจอกันคราวหน้าข้าหวังว่าจะได้สู้กับเจ้าให้สะใจ ไม่เหมือนวันนี้ที่ประลองกันเพียงกระบวนท่าเดียว”


เซี่ยวชางเทียนเองก็พูดขึ้น ยิ้มอย่างสดใสยิ่งกว่าเยี่ยเฉิน


“นี่คือข้อเสนอของเจ้า เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงคืนคำเสียแล้วล่ะ” หลินสวินพูด


“อ้อ เพื่อเอาไปข่มเจ้าเยี่ยเฉินนี่อย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังไม่มั่นใจว่าจะสู้เจ้าได้จริงๆ เลยทำได้แค่วางแผน” เซี่ยวชางเทียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง


สีหน้าของเยี่ยเฉินอึมครึมลงทันที ท่าทางเหมือนจะไปสู้กับเซี่ยวชางเทียนให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้


“พี่ใหญ่ พาข้าไปฝึกปราณที่แดนลับไร้มรณะด้วยได้หรือไม่” อาหลู่ตะโกนอยู่ตรงนั้น


ทุกคนเกือบจะกลอกตาใส่ เจ้าคนเถื่อนนี่ฝันไว้สวยหรูจริงๆ หากทำเช่นนั้นได้จริงทุกคนคงไม่ต้องแย่งที่หนึ่งกันแล้ว


“ไม่ได้” คนตอบคือข้ารับใช้วิญญาณ


อาหลู่หมดคำพูดทันที ต่อให้เขาปากเปราะแค่ไหนก็ไม่กล้าโจมตีข้ารับใช้วิญญาณหรอก


“ข้า…”


จ้าวจิ่งเซวียนเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง หลินสวินกลับแย่งสื่อจิตพร้อมรอยยิ้ม ‘ยังจำตอนที่พวกเราออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่’


จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า นางจะจำไม่ได้ได้อย่างไร ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะวานรเฒ่าชุดเขียวผู้นั้นออกมือ หลินสวินกับเจ้าคางคกไม่รอดแน่


‘ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้ากลับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไปก่อน รอมีโอกาสข้าค่อยไปหาเจ้า’ หลินสวินพูดอย่างจริงจัง


‘แต่ครั้งนี้วานรเฒ่านั่นอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ’ จ้าวจิ่งเซวียนขมวดคิ้ว


นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพอออกจากเขตหวงห้ามไร้มรณะนี่ เหล่าผู้แข็งแกร่งในสำนักที่มองหลินสวินเป็นศัตรู จะต้องปิดล้อมและสังหารหลินสวินอย่างแน่นอน!


“ให้ข้าไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่เยี่ยน ให้เจ้าไปกับพวกเราดีหรือไม่” จ้าวจิ่งเซวียนพูด


หลินสวินปฏิเสธโดยไม่ลังเล


เยี่ยนจั่นชิวหรือ


พูดเป็นเล่น ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่ในแคว้นหมึกขาวได้ก่อเรื่องใหญ่โตไปแล้ว ทำให้ทั้งบนล่างของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเดือดดาล อยากจะกำจัดตนจนแทบรอไม่ไหว หากไปกับพวกเขา นั่นต่างหากที่เรียกว่าการโยนตัวเองเข้าไปในแห


จ้าวจิ่งเซวียนเองก็ตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม อดรู้สึกผิดไม่ได้ เอ่ยว่า ‘ข้าไม่ได้มีความหมายอื่น เจ้าอย่าคิดมาก’


หลินสวินยิ้มพูด ‘ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นสหายเก่ากันนี่นา’


จ้าวจิ่งเซวียนอึ้งไป พลั้งปากพูดออกมาว่า ‘แค่เพื่อนเก่าเท่านั้นหรือ’


ทันทีที่คำพูดออกจากปาก นางพลันเสียอาการ ใบหน้าขาวผ่องเผยความเขินอาย ดวงตาคู่ใสหลบหลีก ไม่กล้าสบตาหลินสวิน ท่าทางอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้


หลินสวินอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นพอเห็นเช่นนี้ก็อดรู้สึกสนุกไม่ได้ จึงแกล้งพูดอย่างแปลกใจว่า “ไม่ใช่สหายเก่าแล้วเป็นอะไร เจ้าต้องพูดกับข้าให้ชัด ข้ามันโง่ เดาใจผู้หญิงไม่ออกหรอก”


จ้าวจิ่งเซวียนทำเสียงชิ ใบหน้าสวยร้อนระอุขึ้นมา ความเขินอายย้อมแก้มทั้งสองข้างจนแดงราวกับเปลวเพลิง ทำให้ใบหน้างามของนางมีความเย้ายวนเพิ่มเข้ามา งดงามอย่างยิ่ง มีเอกลักษณ์ไปอีกแบบ


หลินสวินอดอึ้งไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นท่าทางเขินอายแบบนี้ของจ้าวจิ่งเซวียน แตกต่างจากบุคลิกผ่าเผยเด็ดเดี่ยวและสบายๆ ก่อนหน้านี้ของนางอย่างสิ้นเชิง


‘มองพอหรือยัง’


จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้วขึ้น ส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้หลินสวิน


‘ยัง’


หลินสวินตอบ


ดวงหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนร้อนผ่าวกว่าเดิม ฟันขาวเป็นประกายขบกัดเบาๆ มือขาวผ่องคล้ายว่าเพราะความตื่นเต้นจึงกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ดูทำอะไรไม่ถูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

 


ตอนที่ 1078 คำว่ารักยากจะเข้าใจ หรืออ...

 

ทั้งบนและล่างของภูเขาเทพไร้มรณะ ผู้ฝึกปราณกำลังทยอยจากไป


ไม่มีใครสังเกตว่าบนยอดเขามีเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่งโรจน์ และหญิงสาวในช่วงวัยแรกแย้มกำลังใช้วิธีสื่อจิตอันเป็นเอกลักษณ์ สื่อสารกันอย่างคลุมเครือและงดงาม


บรรยากาศละเอียดอ่อนอย่างมาก


แม้ห่างกันสองภูเขา กลับเหมือนสามารถสัมผัสกันได้


จ้าวจิ่งเซวียนคิดไม่ถึงเลยว่า เดิมทีเพียงเป็นห่วงหลินสวิน แต่ใครจะรู้ว่าการพูดคุยได้พัฒนามาถึงขั้นที่ละเอียดอ่อนและคลุมเครือเช่นนี้


นางทำอะไรไม่ถูก ดวงหน้างามแดงระเรื่อ พวงแก้มเป็นประกาย ท่าทางเคอะเขินและสับสน แต่ในสายตาของหลินสวินกลับเป็นความงามเฉพาะตัวอย่างไม่ต้องสงสัย


หลินสวินกระแอมทีหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า ‘เอ่อ…’


เขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปชั่วขณะ หัวใจกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ราวกับเมฆเหนือท้องฟ้า ล่องลอยจนพาให้ใจสั่น


‘คนโง่!’


จ้าวจิ่งเซวียนหัวเราะออกมา พลันรู้สึกว่าหลินสวินในตอนนี้แฝงความเงอะงะโง่เขลาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


‘เจ้าต่างหากที่โง่’ หลินสวินมุ่นคิ้ว ไม่ชอบใจอย่างมากที่ถูกเรียกเช่นนี้


‘หนอย เจ้ายังจะไม่ยอมอีก ไม่เคยเห็นคนโง่ที่ทั้งทึ่มทั้งโง่อย่างเจ้ามาก่อนเลย!’ จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้ว เสมองหลินสวินแวบหนึ่ง


เอวของนางเรียวยาว รูปร่างสง่างาม สวมชุดประโปรงสีม่วง ผิวขาวเป็นประกายราวกับมันแพะ ดวงหน้างดงามทุกอริยบท ชัดเจนบริสุทธิ์ไร้ที่ติ ยามนี้แม้เหลือบตาก็ยังแฝงความขี้เล่น


บรรยากาศที่ละเอียดอ่อนแต่คลุมเครือหายไปกะทันหัน หลินสวินลอบถอนหายใจ ผ่อนคลายไปทั้งตัว ในใจกลับว่างเปล่าราวกับเมื่อครู่นี้พลาดอะไรไป


‘เอาเถอะ ข้าต้องไปแล้ว’


จ้าวจิ่งเซวียนโบกมืองามแล้วเดินลงเขาไป


‘ไปง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ’


หลินสวินอึ้ง


‘เจ้าจะพูดอะไรอีก’


จ้าวจิ่งเซวียนหมุนตัวหันกลับมา ลมภูเขาพัดผ่าน นางยื่นมือไปทัดผมข้างหู การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจนี้ กลับเต็มไปด้วยความงดงามที่บอกไม่ถูก


‘ไม่มีอะไร’


หลินสวินชะงัก พูดอย่างลังเล ‘เช่นนั้นเจ้า… รักษาตัวด้วย!’


‘เจ้าไม่เพียงแค่โง่ ทั้งยังเป็นคนโง่ที่สุดในปฐพี!’


จ้าวจิ่งเซวียนถลึงตาใส่หลินสวินอย่างไม่อภิรมย์แวบหนึ่ง จากนั้นนางเองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอารมณ์วันนี้แปลกๆ


‘ไปล่ะ’


นางโบกมืออีกครั้ง เสียงใสไพเราะเสนาะหูราวกับเป็นเสียงจากสวรรค์


‘เจ้าเปลี่ยนไวเกินไปหรือเปล่า คิดจะไปก็ไป หลายวันก่อนเพื่อพบเจ้า ข้าล่วงเกินทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเลยนะ’


หลินสวินอดพูดไม่ได้


จ้าวจิ่งเซวียนเดินอยู่บนทางภูเขาโดยไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ


มือขาวผ่องราวกับหยกของนางไพล่หลัง ฝีเท้าเบาแผ่วร่าเริง พูดอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “ข้าวางใจมาก คนโง่อย่างเจ้า มีชีวิตอยู่อาจจะประสบเคราะห์ไม่น้อย แต่ถ้าอยากตายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ แม้แต่พญายมก็ใช่ว่าจะกล้าเก็บเจ้าไป”


‘นี่เจ้าชมข้าหรือว่าข้ากันแน่’


‘เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ เจ้าโง่!’


‘ข้าขอเตือนเจ้านะ แม้ความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่เลว แต่เจ้าจะเรียกข้าว่าเจ้าโง่ทุกคำเช่นนั้นไม่ได้ แพร่ออกไปจะน่าอายแค่ไหน’


‘แฮะๆ เจ้าโง่!’


‘เจ้า…’


หลินสวินโกรธจนกัดฟันกรอด อยากไล่ตามไปจับผู้หญิงไม่เชื่อฟังคนนี้มากดลงพื้นแล้วตีก้นสักยกเสียเดี๋ยวนี้


แต่ตอนนี้จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์แล้ว ริมฝีปากแวววาวยกขึ้นเผยความได้ใจมาก


‘เจ้าโง่นี่ ไม่รู้จักความหวานซึ้งเสียบ้างเลย! แต่ก็… น่ารักดี’


ทันใดนั้นในใจนางพลันพึมพำคำหนึ่ง


หากหลินสวินได้ยินเสียงในใจนาง ได้ยินคำว่า ‘น่ารัก’ กลัวว่าคงทรุดแน่


เขาเป็นถึงเทพมารหลิน จะเกี่ยวข้องกับคำว่าน่ารักได้อย่างไร


แต่ในสายตาของคนบางประเภท บางทีขอเพียงแค่ถูกชะตา ไม่ว่าจะทื่อทึ่มแค่ไหนก็จะรื่นหูรื่นตาและน่ารักมากขึ้น


……


จ้าวจิ่งเซวียนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็รวมกลุ่มกับคนของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ


หลินสวินเก็บสายตา นึกถึงแต่ละฉากเมื่อครู่นี้ สีหน้าสับสน ครู่ใหญ่จึงพึมพำอย่างโมโห ‘นี่ข้าเป็นอะไรไป’


เขาเมื่อก่อนนี้ แม้แต่ผู้หญิงที่เย่อหยิ่งอย่างจี้ซิงเหยายังกล้าเกี้ยวพา ไม่ประหม่าเลยสักนิด


และสามารถพูดคุยอย่างสนุกสนานกับผู้หญิงที่จิตใจบริสุทธิ์อย่างเยวี่ยไฉ่เวยได้อย่างสบาย


แต่มีเพียงตอนที่คุยกับจ้าวจิ่งเซวียนวันนี้ มักมีความรู้สึกอึดอัดผิดปกติ ทำอะไรไม่ถูก ดูเงอะงะมากจริงๆ โง่เขลาไม่น้อย…


นี่ทำให้หลินสวินยิ่งเดือดดาล ลอบคิดว่าเจอกันคราวหน้า จะต้องกู้หน้ากลับมาให้ได้ ให้จ้าวจิ่งเซวียนได้เห็นว่า อะไรที่เรียกว่าชายชาตรี!


ทว่าตอนเห็นเงาร่างของจ้าวจิ่งเซวียนค่อยๆ หายไป ในใจหลินสวินกลับรู้สึกโหวงๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ


เขาอดถอนหายใจไม่ได้


เขารู้ว่านี่เป็นเพราะอะไร


เพียงแต่…


ฝั่งซย่าจื้อจะทำอย่างไรดี


หลินสวินพลันนึกถึงซย่าจื้อที่งดงามขึ้นจนถึงขั้นตะลึงโลกขึ้นมา และนึกถึงประโยคหนึ่งที่นางเคยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและสงบนิ่ง…


‘ช่วงที่ข้าจุติกำเนิดใหม่ เจ้าห้ามหยอกล้อยั่วเย้าผู้หญิง ห้ามมีผู้หญิงข้างนอก แม้คนอื่นเข้าหาก่อน ก็ห้าม’


คิดถึงตรงนี้หลินสวินพลันหน้าหม่นแสง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันระลอกหนึ่ง ดูหัวเสียอยู่บ้าง


‘โชคดีที่ตอนแรกข้าไม่ได้รับปากเจ้า มิฉะนั้น ชาตินี้กลัวว่าคงต้องอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต…’ หลินสวินถอนหายใจยาว


ทันใดนั้นเขาก็อดปวดหัวไม่ได้


ตอนนั้นเขาเคยปฏิเสธ แต่ซย่าจื้อเองก็เสนอเงื่อนไขมาว่า ถึงตอนนั้นหากสามารถเอาชนะนางได้ นางจึงจะรับการปฏิเสธของเขา ไม่เช่นนั้นก็ทำได้เพียงยอมรับ


สุดท้ายหลินสวินลอบแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ เด็กน้อยคนเดียวเท่านั้น คราวหน้ารอเจ้าตื่นขึ้นมาจะเล่นงานเจ้าก่อนเลย!


เขาตัดสินใจว่า เพื่อไม่ต้องเดียวดายไปทั้งชีวิต จะต้องให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันดับต้นๆ!


“เจ้าหนุ่ม มหามรรคยากจะหยั่ง อย่าถูกความงามบดบังจิตใจ”


บนภูเขาเทพไร้มรณะเหลือเพียงแค่ข้ารับใช้วิญญาณคนเดียว ตอนนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลินสวินทั้งหมดจึงอดเตือนไม่ได้ ท่าทางอย่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อน


“ผู้อาวุโสรู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ” หลินสวินได้สติแล้ว แปลกใจมาก


เจตจำนงกฎระเบียบสายหนึ่งของภูเขาเทพไร้มรณะ กลับเอ่ยปากชี้แนะตนเช่นนี้ ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกๆ


“หึ แม้ไม่เคยกินหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง” ข้ารับใช้วิญญาณดูถูก


การเปรียบเทียบเช่นนี้หยาบกระด้างมาก พอออกจากปากของร่างเจตจำนงที่อาบไล้กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เคร่งขรึมอย่างที่สุดก็ยิ่งดูแปลกประหลาด


หลินสวินเกือบสำลัก อดพูดไม่ได้ “ผู้อาวุโส คิดไม่ถึงเลยว่าท่านก็รู้เยอะมาก เช่นนั้นท่านลองอธิบายหน่อยได้หรือไม่ว่า คำว่ารักคือสิ่งใด”


คำพูดนี้แฝงความเย้ยหยัน แต่ไม่คิดว่าข้ารับใช้วิญญาณกลับพูดพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ารู้ว่า คำว่ารักนี้ เป็นสิ่งที่อธิบายยากที่สุด หรืออาจไม่มีคำตอบ”


ประโยคสั้นๆ ดึงสติเขากลับคืนมา


หลินสวินชะงัก ข้ารับใช้วิญญาณกลับโบกมือ “ก็ไม่ใช่อย่างที่ข้าว่าเสียทีเดียว เจ้ากลับไปลองใคร่ครวญดูเอาเองเถิด”


“คำว่ารักยากจะเข้าใจ หรืออาจไม่มีคำตอบ…”


หลินสวินพึมพำรอบหนึ่ง นึกถึงภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วเกิดความรู้สึกมากมาย


“ไปเถอะ ได้เวลาแล้ว”


ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อ พลันพาหลินสวินหายวับไปกลางอากาศอย่างกะทันหัน


ภูเขาเทพไร้มรณะอันยิ่งใหญ่กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง มีเพียงกลิ่นอายที่ไม่เสื่อมคลายคละคลุ้งอยู่ในทั่วทุกแห่งบนภูเขาโบราณ ผ่านการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา เป็นสักขีพยานในการเปลี่ยนแปลงของโลก


……


“อาจารย์ลุงหม่า ครั้งนี้พวกเราถูกเทพมารหลินเล่นงานหนักเลย ประเด็นสำคัญคือ เขามองศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นศัตรู!”


ระหว่างทางที่ออกจากเขตหวงห้ามไร้มรณะ ข่งหลิงส่งเสียงอย่างเดือดดาล เปลวไฟแห่งความเกลียดชังลุกโชนในดวงตาของเขา “ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฆ่าเขาซะ”


นางนึกถึงภาพตอนที่ถูกหลินสวินเอาชนะ ขนรอบตัวถูกเผา ในฐานะลูกหลานของเผ่านกยูงห้าสี ตอนนั้นนางอายจนแทบจะทรุด


“ไม่ต้องรีบ เด็กคนนี้ดวงถึงคราวยากจะพ้นเคราะห์”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งสีหน้าเรียบเฉย เขามีนามว่าหม่าหยวนชิง เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่ง


ตอนที่พูดสายตาของเขากวาดมองไปเบื้องหน้า กล่าวอีกว่า “เจ้าดูสิ ในบรรดาขุมอำนาจสำนักโบราณ ก็มีหลายคนที่เกลียดหลินสวินจนอยากจะฆ่าเหมือนเรา”


เบื้องหน้าผู้ฝึกปราณสำนักโบราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากำลังจากไป ผู้คนหนาแน่น มีสำนักโบราณในแดนชัยบูรพาอย่างพวกแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


และมีขุมอำนาจในแดนวิภูอื่นๆ อย่างแดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักยุทธ์สมุทรคราม


“ข้าไม่ห่วงว่าจะฆ่าหลินสวินไม่ได้ กังวลเพียงว่ามีขุมอำนาจมากมายขนาดนี้ลงมือ หากถูกกลุ่มอิทธิพลอื่นชิงลงมือไปก่อนจะทำอย่างไร”


ข่งหลิงขมวดคิ้วพูด


หม่าหยวนชิงยิ้มพูด “ฮ่าๆ ไม่ว่าใครเป็นคนฆ่าเทพมารหลิน เพียงแค่แน่ใจว่าเด็กนี่ตายแน่ ผลลัพธ์ก็ไม่สำคัญ”


“แต่ข้าได้ยินว่าในมือเขามีสมบัติอริยะที่แท้จริง อีกทั้งที่เขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้ บนร่างจะต้องซ่อนความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้แน่ นี่…”


ไม่รอให้ข่งหลิงพูดจบ หม่าหยวนชิงก็โบกมือพูด “ช่วยไม่ได้ เหยื่อจะตายในมือใครก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเราแค่ต้องเตรียมการให้พร้อมเท่านั้น”


พูดถึงตรงนี้หม่าหยวนชิงก็จมสู่ภวังค์ความคิด


นอกเขตหวงห้ามไร้มรณะก็คือทะเลหมากดารา ทะเลนี้ลึกลับไม่อาจคาดเดา ไม่สามารถลงมือโดยพลการได้ ดังนั้นหากต้องการฆ่าหลินสวิน จะต้องเลือกลงมือตรงชายฝั่งทะเลหมากดาราแน่


ข้ามทะเลหมากดาราไปก็คือทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น ทว่าขอเพียงแค่คว้าโอกาสตอนที่อยู่บนชายฝั่งทะเลหมากดารา ก็สามารถปิดทางออกทุกทางแล้วสังหารหลินสวินซะ


ทว่าหม่าหยวนชิงเองก็รู้ดีว่า สำนักโบราณอื่นๆ ก็คงมีความคิดเช่นนี้


อีกอย่างเทพมารหลินเองก็ไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น


ก่อนหน้านี้หลินสวินเคยใช้สมบัติอริยะฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่แท้จริงมาแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสซูคงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณที่ไต่สู่ระดับอมตะเคราะห์ขั้นสองแล้วยังบาดเจ็บสาหัส


เช่นนี้หากต้องการเล่นงานเทพมารหลิน จะต้องใช้วิธีที่รัดกุมที่สุด!


แน่นอนว่าหม่าหยวนชิงไม่ได้กังวลว่าจะสู้หลินสวินไม่ได้ เขารู้ดีว่าสำนักโบราณอื่นๆ ก็คงคิดเหมือนสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเขา ต่างเคลื่อนพลังที่แข็งแกร่งที่สุด


ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ควรคำนึงคือ ใครจะสามารถฆ่าเทพมารหลินได้ก่อน และช่วงชิงศุภโชคในตัวเขา!


ตอนนี้เองห่างออกไปมีเสียงคำรามเคียดแค้นอย่างที่สุดดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของหม่าหยวนชิง


“ทำให้ข้าถูกคัดออกจากการแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ข้าไม่ให้หลินสวินั่นได้ตายดีแน่!”


เสียงสะเทือนฟ้าดิน ไม่ปกปิดไอสังหารเลยสักนิด


แต่ละสำนักโบราณที่กำลังทยอยจากไปเหลือบตาขึ้นมอง พลันเห็นว่าเป็นโก่วเหยียนเจินจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!


มุมปากของหม่าหยวนชิงเผยความเย้ยหยันอย่างกลั้นไม่อยู่ เจ้าดวงซวยนี่ ตัวเองพ่ายแพ้ไปเอง ยังจะโทษเทพมารหลิน


‘แต่เช่นนี้ก็ดี แม้เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬจะน่าชิงชัง แต่ขอเพียงแค่พวกเขาลงมือ ย่อมบ้าคลั่งอย่างที่สุด ครั้งนี้… เทพมารหลินต้องประสบเคราะห์อย่างไม่อาจหนีพ้นแน่!’


ในดวงตาของหม่าหยวนชิงวาบแววเหี้ยมโหด เขาสังหรณ์ว่าคลื่นลมที่พุ่งเป้าไปยังเทพมารหลินนี้ จะมาบรรจบกันที่ชายฝั่งทะเลหมากดารา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)