Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1065-1068
ตอนที่ 1065 การเคลื่อนไหวประหลาดของกฎ...
คนเราเมื่อเจ็บปวดใจหรือโกรธเคืองก็จะไปโยงคนอื่นเข้ามา
แม้แต่ผู้ฝึกปราณก็ไม่เว้น
และการมีอยู่ของหลินสวิน ย่อมทำให้ผู้ที่มองเขาเป็นศัตรูอยู่เดิมเหล่านั้นหาทางระบายออกได้อย่างไม่ต้องสงสัย พากันเอ่ยปากด่าว่าขึ้นมา
มีคุณสมบัติพาตัวขึ้นมาถึงสี่อันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่ไม่ได้รับเกียรติยศที่อันดับเช่นนี้นำมาให้ กลับดึงดูดการด่าว่าติเตียนเช่นนี้มาเสียได้
เมื่อกลับไปคิดถึงต้นตอ ต้องเป็นเพราะเห็นว่าหลินสวินรังแกได้เท่านั้นเอง เขาไร้สำนักไร้พรรค หัวเดียวกระเทียมลีบ ย่อมไม่มีพลังซึ่งสามารถทำให้สำนักโบราณเหล่านั้นหวั่นกลัว
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าในดินแดนรกร้างโบราณที่ควบคุมโดยสำนักโบราณใหญ่นี้ คนหัวเดียวกระเทียมลีบคิดจะผงาดขึ้นมาเป็นเรื่องยากลำบากปานไหน!
เมื่อหลินสวินเห็นภาพนี้เข้าก็หัวเราะขึ้นมาในทันใด
เขายืนอยู่เหนือแท่นมรรคบนยอดเขา มองลงมายังทุกคนในที่นั้น ท่าทีผิดจากปกติ แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวถึงขีดสุด แล้วพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ถูกผู้อื่นริษยาเป็นคนความสามารถพื้นๆ ที่โบราณว่าไว้ไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ข้าหลินสวินรอนแรมมาตลอดทางกระทั่งตอนนี้ เหยียบย่างภูเขาศพทะเลเลือด ฝ่าผ่านถ้ำเสือบึงมังกร ทุกอย่างที่ข้าได้ครอบครองในวันนี้ ฟ้าดินเป็นพยาน สุริยันจันทราแจ้งประจักษ์!”
“พวกเจ้า ยังไม่มีคุณสมบัติมาตัดสินข้า!”
น้ำเสียงเรียบเฉยดังก้องฟ้าดิน
ทุกคนในสนามประลองต่างนิ่งอึ้ง เสียงตำหนิติเตียนก็ถูกกดทับลงไป รู้สึกคล้ายถูกสั่นสะเทือนท่ามกลางความคลุมเครือ
“ฟ้าดินเป็นพยานได้ดีจริงๆ!” เยี่ยเฉินดวงตาฉายประกาย
“เพียงอาศัยจิตวิญญาณเช่นนี้ ก็สามารถมองว่าเป็นพวกเราได้!” แววประหลาดไหวเคลื่อนในดวงตาเซี่ยวชางเทียน
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มละไม ฟันงามเปล่งประกาย ริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเพราพริ้งส่องประกาย
ในดวงตาคู่งามที่มองไปยังหลินสวินมีแต่แววประหลาดราววงคลื่น
นี่ก็คือหลินสวินที่นางรู้จัก ไม่เหมือนคนทั่วไปเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร!
‘จองหอง!’ จี้ซิงเหยาลอบพึมพำในใจ
ทว่าในตอนนี้นางก็สะท้านใจขึ้นมาเช่นกัน ทุกคนบนโลกต่างรู้ดีว่าเทพมารหลินกล้าหาญไม่มีใครเทียม กิตติศัพท์ระบือไกล
แต่ใครๆ ก็รู้อีกว่าเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอย่างเขา เพื่อสิ่งนี้ ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อไปเท่าไร
“กำเริบเช่นนี้เหมือนเคย!” อวี่หลิงคงส่งเสียงหึหยัน เขายิ่งเห็นว่าหลินสวินขัดหูขัดตาขึ้นอีก
จินมู่อวิ๋นพลันเอ่ยปากเสียงดังว่า “หลินสวิน การคุยโตเช่นนี้เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ประเดี๋ยวเมื่อประลองกัน ระวังจะถูกตบหน้าเอา!”
“ตบหน้าหรือ อย่างเจ้าก็คู่ควรด้วยหรือ”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย “ต่อให้อวิ๋นชิ่งไป๋มา ก็ไม่กล้าพูดกับข้าแบบนี้!”
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
จินมู่อวิ๋นสีหน้าเคร่งขรึม
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่อยู่เชิงเขาก็สีหน้าคร่ำเคร่ง เด็กนี่ถึงกับกล้าดูหมิ่นอวิ๋นชิ่งไป๋ ช่างสมควรตายเสียจริง!
“รนหาที่ตายหรือ” มุมมากของหลินสวินปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม “อีกเดี๋ยว หากเจ้าสามารถตั้งรับข้าได้สามกระบวนท่า ก็ถือว่าข้าแพ้!”
ทั้งที่นั้นสั่นสะเทือน
สามกระบวนท่าหรือ
คุยโวยิ่งนัก!
แม้แต่เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินยังเลิกคิ้วอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดี! ดี! ดี!”
จินมู่อวิ๋นโกรธถึงขีดสุดจนหัวเราะ ทั้งร่างมีเจตกระบี่ดุดันเทียมฟ้าแผ่พุ่งออกมา รังสีเหี้ยมเกรียมยิงออกมาจากกลางดวงตา “ข้ารออยู่!”
‘ช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง อวิ๋นชิ่งไป๋ตอนนั้นก็มองคนรุ่นเยาว์อย่างโอหัง ยามเรียกได้ว่าไร้ศัตรู เกรงว่าคงไม่กล้าคุยโวปานนี้’
ที่ตีนเขา เยี่ยนจั่นชิวนั่งขัดสมาธิเหนือก้อนหิน แผ่นหลังเหยียดตรง สีหน้าสงบนิ่งและเรียบเฉยเหมือนแต่ก่อน
ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมากับตาหมดแล้ว แม้ในใจไม่ยินยอม แต่ต้องยอมรับว่าตอนแรกเขาประเมินหลินสวินต่ำไป
การแพ้อย่างย่อยยับของชิงเหวินเจวี้ยนและหลี่ชิงผิงทำให้เขาถึงกับเกิดความรู้สึกระแวดระวัง
ไม่ใช่เพราะตกใจกับพลังต่อสู้ที่โอหังราวเทพมารเช่นนั้นของหลินสวิน แต่เขาค้นพบได้ทันทีว่า เขากลับไม่เคยมองทะลุตื้นลึกหนาบางของหลินสวินได้อย่างทะลุปรุโปร่งมาโดยตลอด!
‘การต่อสู้มีท่วงท่าอย่างเทพมาร ไหวพริบล้ำลึกราวโกรกธาร แต่กลับกระทำการอย่างใจกล้าคับฟ้าปานนี้ ไม่หวั่นเกรงสายตาใคร หากเด็กนี่ผงาดขึ้นมา คลื่นลมไร้ที่สิ้นสุดต้องเกิดขึ้นตามมาด้วยแน่ ไม่รู้ว่าจะไปชักนำเรื่องโกลาหลมากน้อยแค่ไหน’
คิดถึงตรงนี้ดวงตาของเยี่ยนจั่นชิวฉายแววแน่วแน่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ‘ศิษย์น้องจิ่งเซวียน… อย่าไปเกลือกกลั้วกับเขาเด็ดขาดเชียว!’
……
รอบสุดท้าย ที่เปิดฉากขึ้นก่อนคือการประลองของยอดมกุฎรุ่นเยาว์อันดับที่ห้าถึงสิบ
กฎเกณฑ์เรียบง่ายนัก หลังจากแต่ละคนประลอง ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่พ่ายแพ้จะถูกจัดอันดับที่แปด เก้า และสิบ ตามความมากน้อยของโชควาสนามหามรรคของแต่ละคน
ส่วนยอดมกุฎรุ่นเยาว์สามคนที่ได้รับชัยชนะจะประลองกับอีกสองคนที่เหลือ อิงตามคะแนนสุดท้ายจัดอันดับที่ห้า หกและเจ็ด
……
ไม่นานนักการประลองก็เริ่มขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น
เพียงแต่สำหรับหลินสวิน เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน และจินมู่อวิ๋น สามารถนั่งรออย่างสบายใจ ยามดูการประลอง สภาวะจิตปลอดโปร่งเหนือธรรมดานัก
กระทั่งว่าพวกเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินต่างถือโอกาสนี้หลับตานั่งสมาธิ ไม่สนใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้
สามารถทำสมาธิในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีจิตมรรคที่หนักแน่นและผ่องแผ้วถึงที่สุด!
เหตุใดผู้ฝึกปราณต้องปิดด่าน
สาเหตุก็คือไม่ต้องการถูกโลกภายนอกรบกวน จดจ่อจิตวิญญาณทั้งหมดไปกับการบรรลุ
ทว่าหากสภาวะจิตแกร่งกล้ามากพอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ภูเขาดาบทะเลอัคคี หรืออยู่ที่นรกอเวจีคลุ้งเลือดล้วนสามารถรักษาความสงบเยือกเย็น วายุแปดทิศพัดมาก็ไม่โอนเอน
จะปิดด่านหรือไม่ ก็ไม่อาจส่งผลต่อพวกเขาได้
หลินสวินย่อมสามารถทำเช่นนี้ได้เช่นกัน ที่ทำให้เขาสะเทือนอารมณ์ก็คือ ผู้โดดเด่นในขอบเขตมกุฎอย่างเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉิน ล้วนยืนตระหง่านอยู่จุดสูงสุดของรุ่นเดียวกัน ยังสามารถรักษาจิตมรรคได้ดังเดิม รีบหาเวลาฝึกปราณอย่างไม่อ้อยอิ่งสักนิด เจตจำนงแสวงมรรคที่ตั้งมั่นและแข็งกล้าเช่นนี้ เพียงพอจะทำให้ผู้อื่นประทับใจ
ไม่กลัวว่าคู่ต่อสู้ชาติกำเนิดดีกว่าเจ้า พรสวรรค์สูงกว่าเจ้า หรือแก่นกระดูกดีกว่าเจ้า แต่กลัวคู่ต่อสู้ที่ยึดครองข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติ ขยันหมั่นเพียรกว่าเจ้า!
‘ไม่แน่ว่าอาจเพราะเป็นเช่นนี้ พวกเขาถึงมีความสามารถระดับนี้ในวิถีมรรคกระมัง’ หลินสวินครุ่นคิด
การเก็บเล็กผสมน้อยอาจไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่เมื่อสะสมถึงระดับหนึ่ง ย่อมมีเวลาที่กองศิลากลายเป็นภูผา ร้อยธารากลายเป็นมหาสมุทร!
‘การแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้มีคนเช่นนี้มาประลอง ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว’ ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินถึงให้ความสำคัญกับตนเช่นนี้
ง่ายนัก พวกเขามองว่าตนเป็น ‘พวกเดียวกัน’!
และตอนนี้ หลินสวินก็มองพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ต่างเฝ้าคอยการประลองกับพวกเขาอย่างเต็มที่!
คิดถึงตรงนี้ จิตต่อสู้ไร้รูปร่างก็ผุดขึ้นจากกายหลินสวิน
แทบจะในขณะเดียวกัน บนยอดเขาอีกสองยอด เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินที่นั่งสมาธิอยู่ล้วนเหมือนรับรู้ได้ พากันลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางหลินสวิน
เมื่อสังเกตได้ถึงจิตต่อสู้บนกายหลินสวิน ในดวงตาเรียวยาวราวคมดาบของเซี่ยวชางเทียนก็ฉายประกายขึ้นอย่างเงียบงัน
เยี่ยเฉินกลับยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างไร้เสียงว่า ‘คิดจะต่อกรกับข้า เมื่อต่อสู้ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ออมมือ!”
หลินสวินยิ้มหยัน “จะทำตามที่เจ้าต้องการ!”
“หึ!”
จินมู่อวิ๋นก็สังเกตเห็นภาพนี้ได้อย่างฉับไว ด้วยฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎที่มีคุณสมบัติเข้าชิงสี่อันดับแรกเช่นเดียวกัน เขาย่อมดูออกว่ากลิ่นอายของหลินสวินเปลี่ยนแปลงไป มีจิตต่อสู้ดุดันที่ไร้รูปเพิ่มขึ้นมา
แต่จินมู่อวิ๋นดูแคลนนัก ก่อนหน้านี้หลินสวินเคยพูดว่าจะเอาชนะเขาให้ได้ในสามกระบวนท่า ท่าทีที่ดูถูกและโอหังเช่นนี้ถูกจินมู่อวิ๋นมองว่าเป็นการเหยียดหยาม ไม่อาจทนได้!
ไม่นานนักการประลองบนสนามประลองโชควาสนาก็สิ้นสุดลง และแบ่งอันดับออกมา
ที่ห้า จี้ซิงเหยา
ที่หก จ้าวจิ่งเซวียน
ที่เจ็ด อาหลู่
ที่แปด อวี่หลิงคง
กู่เหลียงผิงและฉีชงโต้วได้อันดับที่เก้าและสิบ
ฉีชงโต้วเป็นผู้สืบทอดที่มาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เป็นศิษย์พี่ของเซียวชิงเหอ ก่อนหน้านี้ไม่แสดงตัวโดดเด่น แต่ตอนนี้กลับสามารถพาตัวเองมาอยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ก่อให้เกิดเสียงตื่นตะลึงในหมู่ผู้ชมไม่รู้เท่าไร
ส่วนยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะอย่างอวี่หลิงคง กลับได้เพียงอันดับแปด ก็ทำให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนประหลาดใจถึงที่สุด
เพราะตามที่ทุกคนคาดเดาไว้ บุคคลอย่างอวี่หลิงคงอย่างน้อยก็ควรอยู่ราวอันดับห้า
แต่ตอนนี้ขนาดคนเถื่อนอย่างอาหลู่เขายังกำราบไม่ได้ อยู่ที่อันดับแปด นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งของแดนพิสุทธิ์อมตะเหล่านั้นล้วนมีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ไม่อาจยอมรับได้ รู้สึกไม่ยินยอมแทนอวี่หลิงคง
อวี่หลิงคงก็อึ้งไป สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จิตใจถูกกระทบกระเทือน
เดิมทีถูกหลินสวินกดหัวก็ทำให้ใจเขาเต็มไปด้วยความอัปยศอยู่แล้ว ในตอนนี้กลับได้เพียงอันดับแปด นี่จะให้เขาซึ่งยโสโอหังรับได้อย่างไร
หลินสวินเห็นเช่นนี้ นอกจากอึ้งไปเล็กน้อยก็อดไม่ได้นึกถึงความเห็นประโยคหนึ่งจากซุ่นไป๋เซวียนตอนข้ามแม่น้ำพรมแดน ‘อวี่หลิงคงหรือ ก็แค่ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งที่อริยะในตระกูลทุ่มทรัพยากรบำเพ็ญเพียรจำนวนมหาศาลออกมาให้ก็เท่านั้น’
ในเสียงเจือไปด้วยความดูถูก
และตอนนี้เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินสวินก็รู้สึกอยู่รางๆ ว่าความเห็นของซุ่นไป๋เซวียนเหมือนจะถูกต้อง
ในเทศกาลโคมกถามรรคตอนนั้น เขาก็เคยเคยประลองกับอวี่หลิงคง ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกรับมือได้ยากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้มีพลังต่อสู้น่ากลัวมากมาย แต่เพราะตำหนักอมตะที่เขาครอบครองเป็นสมบัติอริยะที่น่าครั่นคร้ามถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง!
ตอนนี้อวี่หลิงคงไม่มีสมบัติอริยะ ว่าด้วยรากฐานพลังแล้วด้อยกว่าพวกจี้ซิงเหยา จ้าวจิ่งเซวียนและอาหลู่ขั้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าการที่อวี่หลิงคงสามารถพาตัวเองมาอยู่ในอันดับแปดของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ท่ามกลางบุคคลขอบเขตมกุฎ ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นสะดุดตาไม่ใช่คนอ่อนแอแล้ว
อวี่หลิงคงเหมือนสังเกตได้ถึงสายตาของหลินสวิน เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้ายิ่งอึมครึม ไม่อาจยอมรับผลลัพธ์นี้ได้!
‘หลินสวิน การประลองคราวนี้ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบ รอเมื่อออกไปจากที่นี่ ข้าจะกำราบเจ้าด้วยมือข้าเอง!’ อวี่หลิงคงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำในใจ เผยให้เห็นความแค้นหนักแน่นเด็ดขาด
ตูม!
ทันใดนั้นเหนือเขาเทพไร้มรณะ รัศมีเทพนิรันดร์อันโชติช่วงหาใดเทียบก็แผ่ออกมา เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมสะท้านทั่วฟ้าดิน ประหนึ่งเสียงแห่งมหามรรคก้องกังวาน ดึงดูดความสนใจของทุกสายตาในที่นั้น
การประลองรอบสุดท้ายเพื่อชิงสี่อันดับแรกกำลังจะเริ่มขึ้น แต่กลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างตื่นตะลึงยกใหญ่
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
พวกหลินสวินก็อึ้งไป เดิมทีพวกเขาเตรียมตัวเพื่อประลองตามกฎเกณฑ์ ใครจะคิดได้ว่าเวลานี้กลับเหมือนเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น!
ครืน!
การเคลื่อนไหวประหลาดของภูเขาเทพไร้มรณะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก เหนือเวิ้งฟ้าพลันมีแสงมงคลเทลงมา แสงอริยะผุดขึ้น สาดส่องให้ฟ้าดินแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกันคลื่นกฎระเบียบสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมา ถักทอกลางห้วงอากาศไม่ว่างเว้น เปล่งประกายงดงาม ในที่สุดก็ค่อยๆ ประกอบกันเป็นเงาร่างใหญ่โตหาใดเทียบเงาหนึ่ง!
“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน?!”
ทุกคนต่างตื่นตระหนกยกใหญ่ นัยน์ตาขยายกว้าง มองดูภาพนี้อย่างเหลือเชื่อ จิตวิญญาณล้วนสั่นสะท้าน
กลิ่นอายกฎระเบียบอันศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างน่าตะลึงเกินไปแล้ว!
ตอนที่ 1066 ความลับของเก้าดินแดน
แสงมงคลส่องลงมาจากฟ้า แสงอริยะดำรงนิรันดร์
กลางฟ้าดิน พลังกฎระเบียบนานาชนิดฉายสาดรังสีเปล่งปลั่งเป็นประกาย รวมตัวเป็นเงาร่างใหญ่โตเงาหนึ่งท่ามกลางเหล่าสายตาสั่นสะท้านที่จับจ้อง
เขาอาบชโลมด้วยกลิ่นอายนิจนิรันดร์ ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพไท้มาเยือน
ทุกคนอึ้งงั้น ตกละลึงอ้าปากค้าง ในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาดน่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้
เงาร่างใหญ่โตนี้ยืนตระหง่านบนท้องฟ้าเหนือสนามประลองโชควาสนา มองลงมายังทุกคน น่าเกรงขามดุจเทพเทวาบรรพกาล
“การประลองรอบสุดท้ายเกี่ยวข้องกับทิศทางมหายุค ความหมายลึกล้ำ กฎเกณฑ์และการแพ้ชนะของการประลอง มีข้าเป็นผู้ตัดสิน”
เงาร่างใหญ่โตนี้ปกคลุมไปด้วยคลื่นกฎระเบียบไม่เสื่อมคลาย ยามพูดจากังวานสะเทือนเลือนลั่น ประหนึ่งเสียงสัทครรลองมหามรรคดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ดังสนั่นจนคนหูหนวกยังได้ยิน
ทุกคนสูดหายใจเยียบเย็น นี่… นี่เป็นอริยเทพองค์หนึ่งหรือ
คิดถึงจุดนี้ทุกคนล้วนจิตวิญญาณสั่นสะท้าน จากนั้นเลือดลมก็สูบฉีดด้วยความตื่นเต้น สีหน้าต่างแปรเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้ขึ้นมา
เขตหวงห้ามไร้มรณะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเขตหวงห้ามทั้งห้าแห่งแดนชัยบูรพา ลึกลับไม่อาจหยั่งถึง โดยเฉพาะภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมโชควาสนาฟ้าดิน เต็มไปด้วยตำนานเหลือเชื่อมากมาย
ในอดีต ใครเคยได้เห็นภาพอัศจรรย์เช่นนี้กัน
ทุกคนสงบใจได้ยาก
“ข้าจะเบิกสมรภูมิ ‘เก้าดินแดน’ ให้พวกเจ้าทั้งสี่คน คะแนนที่พวกเจ้าได้จากการประลองครั้งนี้จะแปรสภาพเป็นประทับยุทธ์ จารลงบนสมรภูมิเก้าดินแดน!”
เงาร่างสูงใหญ่นั้นเปล่งประกายไปทั้งร่าง ยืนตระหง่านอยู่เช่นนั้น กลิ่นอายพาให้สรรพสัตว์ต่างหวาดกลัวแผ่กระจายออกมา
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ทั่วลานแตกตื่น หากไม่ถูกเงาร่างราวเทวะนั้นมองอยู่ พวกเขาคงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่กันไปนานแล้ว
สมรภูมิเก้าดินแดน!
ประทับยุทธ์!
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เวลานี้มีเพียงบุคคลรุ่นอาวุโสจากสำนักเก่าแก่บางคนที่จิตใจสั่นระรัวยกใหญ่ พวกเขาพอจะเคยได้ยินบันทึกที่กระจัดกระจายเกี่ยวกับ ‘สมรภูมิดินแดนใหญ่’ มาบ้าง
“สมรภูมิเก้าดินแดน… หรือจะเป็นเรื่องจริง บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงดินแดนรกร้างโบราณ ยังมีดินแดนอื่นอยู่อีกหรือ”
ชายชราที่ใบหน้าซูบตอบผู้หนึ่งสีหน้าแปรปรวน จิตใจสั่นสะท้าน
“ในคัมภีร์โบราณตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้าเคยเอ่ยถึงว่า นี่เป็นสมรภูมิที่ผู้กล้าจากดินแดนต่างๆ แก่งแย่งอริยมรรค!”
“ใช่แล้ว ในลัทธิเทพต้นกำเนิดของข้าก็มีบันทึกไม่สมบูรณ์ทำนองนี้อยู่ เพียงแต่ส่วนมากกล่าวไว้ไม่ชัดเจน รางเลือนถึงที่สุด บันทึกที่ชัดเจนเพียงบันทึกเดียวก็คือวลีที่ว่า ‘นอกดินแดนรกร้างโบราณ ล้วนเป็นศัตรูต่างแดน’”
“เก้าดินแดน…”
ที่ตีนเขา ผู้อาวุโสบางคนกำลังแลกเปลี่ยนความเห็น ทันใดนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวครึกโครม ทุกคนต่างสีหน้าผันแปร
เรื่องนี้เลื่อนลอยและดูไม่เป็นจริง ทำให้สภาวะจิตของทุกคนไม่อาจสงบลงได้
หลายคนต่างแสดงสีหน้าประหลาด พวกหลินสวินทั้งสี่คนแม้สามารถช่วงชิงสี่อันดับแรกได้ แต่ก็เป็นเพียงในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เท่านั้น บนโลกนี้ยังมีบุคคลที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่ามากมาย
เช่นอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว…
รวมถึงคนเช่นหวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ!
ยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎเหล่านี้ก็แค่อายุมากกว่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในสนามประลองเหล่านี้เท่านั้น แต่ว่าด้วยเรื่องรากฐานพลังและพลังต่อสู้ ย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
เงาร่างราวเทพเทวานั้นกลับจะเบิกทางให้สี่คนนี้ได้ประลองแข่งขันที่สมรภูมิเก้าดินแดน นี่… จะโอบอุ้มพวกเขาเกินไปแล้วกระมัง
“สมรภูมิเก้าดินแดนไม่ได้มีแห่งเดียว ไม่เพียงเป็นสนามประลองของผู้กล้าแห่งดินแดนหนึ่ง ยังเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎชั้นยอดมาสู้รบกัน ตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบันก็เปิดขึ้นน้อยครั้งมาก”
กลางห้วงอากาศเงาร่างสูงใหญ่กล่าวขึ้น เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก้องกังวานในฟ้าดิน เข้าถึงก้นบึ้งจิตใจคน
นี่ทำให้บุคคลรุ่นอาวุโสจากสำนักโบราณที่อยู่ในที่นั้นต่างรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง เรื่องพรรค์นี้พวกเขาไม่เคยรู้โดยแน่ชัดจริงๆ ทำให้พวกเขาอับอายและตื่นตระหนก
“นอกจากนี้เมื่อเปิดการต่อสู้นอกดินแดน สมรภูมิเก้าดินแดนก็จะเป็นสถานที่ประลองแก่งแย่งความเป็นหนึ่ง และถูกมองว่าเป็น ‘สนามรบศักดิ์สิทธิ์’!”
เงาร่างสูงใหญ่นั้นมีน้ำเสียงน่าเกรงขาม เย็นชาและไม่มีความรู้สึกเจือปน
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป ครู่เดียวก็ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนนับพัน
“สนามรบศักดิ์สิทธิ์หรือ” ในลานอึกทึกครึกโครม ผู้ฝึกปราณจากสำนักโบราณเหล่านั้นต่างรู้แล้ว
เกี่ยวกับสนามรบศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ในสำนักโบราณล้วนมีการบันทึกไว้ในคัมภีร์และข่าวลือ ในช่วงเวลาอันยาวนานแต่ละช่วง สนามรบศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้น
มีเพียงผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่แท้จริงในดินแดนหนึ่งเท่านั้นถึงสามารถเข้าร่วมประชันอริยมรรคในสนามรบนั้นได้!
พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ นี่เป็นการประชันระหว่างเหล่าบุคคลโดดเด่นที่สามารถเป็นผู้นำพายุคสมัยได้ เป็นการแย่งชิงของผู้กล้าในตำนานที่มีคุณสมบัติเหยียบย่างบนอริยมรรค สาดประกายเจิดจรัส!
ยิ่งเรียกได้ว่าเป็นการช่วงชิงกันของเหล่าปีศาจแห่งยุค อัจฉริยะชั่วนิรันดร์ และวีรชนไร้เทียมทานในใต้หล้า!
เมื่อพูดถึงสมรภูมิเก้าดินแดน ทุกคนอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่สำหรับสนามรบศักดิ์สิทธิ์กลับพอคุ้นเคยอยู่
ในทุกสำนักโบราณที่ยืนหยัดมาตั้งแต่บรรพกาลถึงปัจจุบันล้วนมีบันทึก ข่าวลือหรือเงื่อนงำที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนมีสมมติฐานอย่างหนึ่ง…
มีเพียงยามกลียุคมาเยือน สนามรบศักดิ์สิทธิ์ถึงจะปรากฏขึ้นบนโลก!
เวลานี้เงาร่างสูงใหญ่ของภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้พูดถึงสมรภูมิเก้าดินแดน นี่มีนัยว่าอะไร
ไม่ได้หมายถึงว่า มหายุคที่กำลังจะมาเยือนก็เป็นกลียุคครั้งหนึ่งหรอกหรือ
ทุกคนสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกไม่แน่นอน จิตใจปั่นป่วน
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งหนึ่งกลับเกี่ยวโยงกับความลับสะท้านโลกมากมายเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง
อีกทั้งในอดีตยังไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
นี่ จะหมายความว่าด้วยสถานการณ์ที่มหายุคใกล้มาเยือน ทำให้การแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์คราวนี้มีความลี้ลับที่ต่างจากแต่ก่อนเพิ่มขึ้นมาด้วยใช่หรือไม่
หลินสวินกลับสงบนิ่งยิ่ง เพียงแต่เวลานี้กลับอดไม่ได้ที่จะมองจ้าวจิ่งเซวียนคราหนึ่ง
เพราะตั้งแต่สมัยอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า จ้าวจิ่งเซวียนก็เคยพูดกับเขาว่า มหายุค ก็คือกลียุค!
แต่เขาไม่เชื่อว่าจ้าวจิ่งเซวียนในตอนนั้นจะสามารถคาดเดาความลับสะท้านโลกปานนี้ได้ล่วงหน้า เห็นได้ชัดว่าที่นางรู้เรื่องราวเหล่านี้ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์แห่งจักรวรรดิจื่อเย่า
‘คำว่ากลียุค เป็นคำพูดที่บิดาข้าเคยกล่าวไว้ หากเจ้าไม่เข้าใจ สามารถกลับไปถามเขาในภายหลังได้’
จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนใจสื่อถึงกัน ชั่วพริบตาก็เดาความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินออกแล้วแจกแจงเช่นนี้
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าไม่ธรรมดานัก!
หลินสวินถึงกับรู้สึกว่า โลกชั้นล่างมีสถานที่มากมายที่ลี้ลับกว่าดินแดนรกร้างโบราณ เช่นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สุสานสมุทรฝังมรรค สมรภูมิกระหายเลือด…
“ขอเรียนถามว่าผู้อาวุโสเป็นใคร” ทันใดนั้นเยี่ยเฉินพูดขึ้น
ทุกคนตื่นตระหนกเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงกลั้นลมหายใจ ต่างอยากรู้ฐานะของเงาร่างประหนึ่งเทพเทวาผู้นี้
“เป็นเพียงเจตจำนงที่จำแลงมากจากกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะสายหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าเรียกข้าว่า ‘ข้ารับใช้วิญญาณ’ ก็ได้” น้ำเสียงของเขาเฉยชา ไม่มีคลื่นความรู้สึกแปรปรวนเลยสักนิด
ข้ารับใช้วิญญาณ!
จากวาจาของเขาก็รู้ว่า เขาไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง แต่เป็นระเบียบและกฎเกณฑ์บริสุทธิ์จำแลงมา นี่ก็ช่างน่ากลัวถึงที่สุด
“ข้าไม่สนใจสมรภูมิเก้าดินแดน และไม่อยากรู้จักสนามรบศักดิ์สิทธิ์ เพียงอยากจะสู้ให้หนำใจในตอนนี้ ขอให้ข้าได้สมปรารถนาด้วย!”
วาจาเยี่ยเฉินเหมือนกระบี่ ตัวเขาเองก็เหมือนกระบี่
นี่ทำให้หลายคนนิ่วหน้า หากสามารถถือโอกาสนี้ล่วงรู้ความลับบางอย่างจากปากของข้ารับใช้วิญญาณได้ เช่นนั้นความหมายย่อมไม่ธรรมดา
แต่เยี่ยเฉินกลับไม่สนใจสักนิดเดียว น่าผิดหวังนัก
“ได้!” ข้ารับใช้วิญญาณไม่ได้รู้สึกถูกล่วงเกิน หรือพูดได้ว่า ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาก็ดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินไป ไม่มีความแปรปรวนในอารมณ์ใดๆ
เขาพูดจบก็ยื่นมือออกไป พลังกฎระเบียบสี่สายเคลื่อนออกมาแล้วพุ่งไปยังหว่างคิ้วของหลินสวิน เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียนและจินมู่อวิ๋น
ชั่วพริบตาพวกหลินสวินต่างเข้าใจกฎการประลองรอบสุดท้ายนี้
ประลองทีละคน!
แต่ละคนจะประลองกับอีกสามคนหนึ่งครั้ง แล้วจัดอันดับสูงต่ำรอบสุดท้ายตามคะแนนสุดท้าย
คำนวณเช่นนี้ ขอเพียงประลองหกยกก็พอแล้ว
เช่นหลินสวินกับจินมู่อวิ๋นประลองกัน นี่ก็ถือว่าทั้งสองคนต่างได้ต่อสู้หนึ่งครั้ง ต่อมาทั้งสองเพียงประลองกับอีกสองคนก็ได้แล้ว
จริงๆ แล้วหากคำนวณอย่างละเอียด การต่อสู้หกยก จะเท่ากับว่าทุกคนได้ต่อสู้สามครั้ง
เรื่องนี้สำหรับพวกหลินสวินทั้งสี่คนแล้ว เป็นเรื่องยุติธรรมนัก
ตู้ม!
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก็เห็นว่าสนามประลองโชควาสนาที่เก่าแก่หาใดเทียบนั้น ในขณะนี้ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครม แสงกฎระเบียบแน่นขนัดเปล่งประกายสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมาราวกระแสน้ำ ปกคลุมไปทั้งสนามประลอง
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ทั้งสนามประลองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดิน
ก็เห็นว่ามันล่องลอยในห้วงอากาศ ใหญ่โตราวผืนแผ่นดินผืนหนึ่ง ทั้งสนามมีรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทองอ่อนไหลหลั่งออกมาดุจหลอมด้วยทองเซียน ขณะเดียวกันบนนั้นก็มีกฎระเบียบนับไม่ถ้วนประทับอยู่ มองจากไกลๆ ยังนำพากลิ่นอายกดดันเข้ามา
“นี่ก็คือสมรภูมิเก้าดินแดนหรือ”
ทุกคนตื่นตะลึง สนามประลองแห่งหนึ่ง พลานุภาพยิ่งใหญ่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ไหลหลั่ง ประหนึ่งนิรันดร์กาลไม่เสื่อมคลาย เพียงแค่กลิ่นอายก็ทำให้เกิดความยำเกรงในจิตใจ
“เริ่มเถิด”
เงาร่างข้ารับใช้วิญญาณเคลื่อนที่ ยืนอยู่นอกสนามประลอง “ประทับยุทธ์ของพวกเจ้าจะเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ก็ดูว่าภายภาคหน้ายามปีนขึ้นระดับอริยะ จะเข้าร่วมในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดนได้หรือไม่’
นี่เป็นคำเตือนอย่างหนึ่ง เตือนพวกหลินสวินถึงความสำคัญของการครอบครองประทับยุทธ์!
พวกหลินสวินใจเต้น ประกายในตาไหวเคลื่อน ต่างสบตากัน จิตต่อสู้ไร้รูปก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างของพวกเขา
“เซี่ยวชางเทียน มาสู้กันสักตั้ง! หลังจากเอาชนะเจ้าวันนี้ ฉายายอดคู่ดาบกระบี่นี้ต้องกลายเป็นอดีตไป!”
เงาร่างเยี่ยเฉินพริบไหวก่อนจะปรากฏบนสนามประลอง ร่างกายตรงแน่วดั่งกระบี่ ชุดสีม่วงทั้งกายปลิวไสว ทั้งตัวแผ่เจตกระบี่โชติช่วงทะลวงเมฆา
“คิดจะขอคำแนะนำจาก ‘เคล็ดวิชากระบี่จักรพรรดิจื่อเวย’ ของเจ้ามานานแล้ว วันนี้หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
เซี่ยวชางเทียนหัวเราะเสียงดัง เงาร่างราวพายุคลั่งระลอกหนึ่งปรากฏขึ้นบนสนามประลอง ยืนเผชิญหน้ากับเยี่ยเฉินอยู่ไกลๆ
พริบตานั้นสายตาทุกคนต่างถูกดึงดูดไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตั้งตารอคอย!
มารกระบี่เยี่ยเฉิน เพียงหมุนกายต่อสู้ในแดนดาราอุดร กระบี่เดียวสะท้านไปทั้งเก้าพันแคว้น เป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่ง มีผลงานสะดุดตามากมาย ถูกเลี้ยงดูในฐานะราชันผู้เก่งกล้าซึ่งเป็นอนาคตของตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย
ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน เคยเอ่ยวาจาจองหองเหี้ยมหาญว่า ‘กล้าเยาะสวรรค์ดุจสระน้ำ ดาบข้ากวาดผ่านชิงชังฟ้าดิน’ ไม่ด้อยไปกว่ามารกระบี่เยี่ยเฉินมากนัก
ทั้งสองถูกมองว่าเป็น ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ แห่งแดนดาราอุดร ไม่ต่างอะไรกับคู่ผู้กล้าผู้โดดเด่นแห่งยุค
และคราวนี้ก็จะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองประลองกันอย่างแท้จริง!
ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งสองย่อมแบ่งแยกชัดเจนว่าใครสูงใครต่ำ ดึงดูดความสนใจจากทั้งใต้หล้า!
ใครจะแพ้ใครจะชนะกันแน่
แม้แต่หลินสวินยังตั้งตารอ
ตามกฎที่ข้ารับใช้วิญญาณกำหนดไว้ เขาต้องขึ้นประลองยกที่สอง ยกที่สี่และยกที่หก ดังนั้นถือโอกาสนี้ก็จะดูได้ว่ารากฐานพลังของเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่!
ตอนที่ 1067 กระบี่ไม่พันผูกกับดาบดุจห...
การต่อสู้ปะทุขึ้นบนสนามประลอง
ไม่ว่าจะเป็นมารกระบี่เยี่ยเฉินหรือดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน ต่างรู้ถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้เป็นอย่างดี จึงไม่หยั่งเชิงหรือออมมือ ล้วนโจมตีเต็มกำลัง
ชิ้ง!
กระบี่โบราณสีม่วงเล่มหนึ่งส่งเสียงกังวานทะลุเมฆา เยี่ยเฉินเหยียบย่างเข้าไปในห้วงอากาศ ควบคุมกระบี่เคลื่อนไหว อานุภาพทั้งร่างดุจภูเขาไฟที่กำลังปะทุ คล้ายจะแผดเผาใต้หล้าให้วอดวาย
กระบี่นามว่า ‘ไม่พันผูก’ เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ไอมงคลพวยพุ่ง เป็นยอดศาสตรามรรคราชัน
ไม่พันผูก มีนัยว่าไม่ผูกติดกับกฎระเบียบใดๆ ทำได้ดังใจนึก ฟาดฟันเครื่องกีดขวางให้แตกหัก
กระบี่นี้เหมือนดั่งวิถีกระบี่ที่เยี่ยเฉินแสวงหา… ดังใจนึก
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ เยี่ยเฉินราวราชันวิถีกระบี่องค์หนึ่งมาเยือน ปราณกระบี่สีม่วงแผ่พุ่งออกมา เบื้องบนฟันนภาคราม เบื้องล่างฟันเก้าขุมนรก มีอานุภาพไร้เทียบเทียม
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาและจิตวิญญาณต่างมีความรู้สึกเสียดแทงเหมือนถูกเชือดเฉือน เจตกระบี่สีม่วงนั่นไพศาลโชติช่วงเกินไปแล้ว!
ทว่าเซี่ยวชางเทียนก็ไม่น้อยหน้า
กลิ่นอายของเขาประหนึ่งดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวสาดแสงเหนือเวิ้งฟ้า เผยคมดาบจนหมดสิ้น รังสีแผ่ไปหมื่นจั้ง ท่วงท่าสง่าภาคภูมิ สำแดงท่าทีผงาดผยองออกมาจนหมดสิ้น
ดาบของเขาก็เหมือนตัวเขา แหลมคม เจิดจ้า ประหนึ่งม่านน้ำตกธารดาราสีขาวปลอดสุดสายตาสายหนึ่ง โจมตีห้วงอากาศ ม้วนตลบจักรวาล อหังการหาใดเทียบ
นามดาบ ‘ดุจหวนคืน’ นำความหมายมาจากมองความตายดั่งหวนคืน เพียงแค่ชื่อก็ชวนสะท้านจิตวิญญาณ ไม่แน่อาจเหมือนวิถีดาบนี้ อหังการถึงที่สุด ไม่มีความคิดหลบหนี!
เคร้งๆๆๆ!
เสียงปะทะน่าหวาดหวั่นดังขึ้น เหนือสนามประลองทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ราวกับราชันแห่งกระบี่กับนายเหนือหัวแห่งดาบพบกัน ชั่วครู่เดียวปราณดาบก็พาดขวาง ปราณกระบี่พุ่งทะลวงเมฆา สภาพการณ์สะท้านโลก
นี่ย่อมเป็นการประลองที่ตระการตาและมีสีสันที่สุดครั้งหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ดาบคำรามกระบี่กู่ก้อง คล้ายมังกรคำรามเหนือสี่สมุทร ปักษาเพลิงกู่ร้องทั่วแปดทิศ!
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ในที่นั้นผู้ชมนับไม่ถ้วนสูดหายใจเย็น ดวงตาเบิกกว้าง จดจ้องสนามประลองนิ่ง จิตวิญญาณล้วนถูกดึงดูด ลืมสิ้นทุกสิ่งพร้อมกับที่การต่อสู้ดำเนินไป
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสยังตื่นตาเป็นที่ยิ่ง เพียงครู่เดียวก็ทอดถอนใจ ครุ่นคิดถึงสมัยพวกเขายังเยาว์ ต่างเทียบทั้งสองคนตรงหน้านี้ไม่ติด!
“แดนดาราอุดรถึงกับมีอัจฉริยะสองคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น คล้ายดาวฤกษ์คู่ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ในสงครามมหายุคหลังจากนี้ก็ต้องมีตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาทั้งสอง”
มีคนทอดถอนใจ ก่อให้เกิดเสียงตอบรับมากมาย
‘กระบี่ของเยี่ยเฉินดุจราชันมาเยือน มีอานุภาพผงาดกร้าวเหนือภูผาธารา เป็นราชันปกครองใต้หล้า แต่ไม่ถูกกระบวนท่ากระบี่พันธนาการ เคลื่อนไหวได้ดังใจนึก วิถีกระบี่เช่นนี้ช่างยอดเยี่ยม’
หลินสวินใคร่ครวญในใจ จิตใจของเขาก็ถูกดึงดูดเช่นกัน
การต่อสู้นี้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์แรงกล้าสองดวงช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ทำให้เขาก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน พลังขับเคลื่อนแผ่ขยาย มุ่งหมายจะเข้าไปต่อสู้
‘ดาบของเซี่ยวชางเทียนมีอานุภาพอหังการยิ่งยง โอหังราวอัคคี ดุจดั่งเจ้าเหนือหัวกวาดล้างโลกา หากไม่มีพลังสภาวะจิตแกร่งกล้า ยังไม่ทันต่อสู้ก็คงถูกพลานุภาพของเขาทำให้หวาดหวั่น’
ดวงตาดำของหลินสวินมีประกายครุ่นคิดผุดขึ้นมา แม้ใจจะจดจ่อต่อรายละเอียดของการต่อสู้อยู่ ในสมองกลับสันนิษฐานอย่างว่องไวว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวเองประลองกับทั้งสอง ควรจะทำอย่างไรดี
คิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดแน่นขึ้น
ไม่อาจะเทียบได้!
เพราะพลังยุทธ์ของสองคนนี้ เพียงอาศัยการวิเคราะห์ยากจะตัดสินตื้นลึกหนาบาง ถึงขั้นบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ เก็บปล่อยได้ดังใจ
คิดจะเอาชนะพวกเขา มีเพียงไปสู้ด้วยตัวเองสักยกเท่านั้น!
เพียงอาศัยการสันนิษฐานและเปรียบเทียบย่อมไม่มีทางได้คำตอบที่ถูกต้อง
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็สูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองทิ้งไป พร้อมกันนั้นจิตวิญญาณก็แปรเปลี่ยนเป็นผ่องแผ้วว่างเปล่า จิตใจราบเรียบดั่งบ่อน้ำโบราณ ประหนึ่งจันทร์เพ็ญสมุทรคราม โปร่งใสไร้ฝุ่นควัน
ยามดูการประลองบนสนามประลองอีกครั้ง สภาวะจิตของหลินสวินก็สงบนิ่งเหนือธรรมดา ราบเรียบไม่ไหวติง
แม้เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินจะแข็งแกร่งจนสามารถทำให้ทั้งโลกจับตามอง แต่… ยังไม่อาจส่งผลต่อจิตใจเขาได้!
สามร้อยกระบวนท่า
หกร้อยกระบวนท่า
เก้าร้อยกระบวนท่า
……
บนสนามประลอง สถานการณ์การต่อสู้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ประหัตประหารจนมืดฟ้ามัวดิน แยกแยะได้ยาก มีแต่เสียงกระทบกันของดาบกระบี่ฟาดฟันไปทั่ว
ดุจอสนีบาตฟาดลงกลางฟ้าคราม เหมือนเสียงกลองเทพสะเทือนลั่นสิบทิศ
เสียงมรรค รัศมีเทพ ปรากฏการณ์ประหลาด… ภาพน่าตื่นตาทั้งมวลปรากฏขึ้น ขับเน้นจนทั้งสองเหมือนเทพเทวากำลังห้ำหั่นกัน สำแดงการต่อสู้ไร้เทียมทาน
นี่เป็นการประลองที่สมน้ำสมเนื้อครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าใครหมายจะกำชัยก็ดูยากลำบากเป็นพิเศษ!
ในที่นั้นเงียบเชียบไร้เสียงอยู่ก่อนแล้ว ทุกสายตาต่างถูกดึงดูด
พวกที่พลังอ่อนแอหน่อยบางคน เพราะจิตใจผันผวนปรวนแปรมากเกินไป ได้รับการรบกวนจากการประลองครั้งนี้ ถึงกับอดไม่ได้กระอักเลือดออกมา พลังขับเคลื่อนแทบถูกสะท้อนกลับ
ทั้งยังมีผู้ฝึกปราณที่หยั่งรู้โดยพลัน ตักตวงเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อย หยั่งถึงมรรคได้ ยินดีปรีดาเหมือนเสียสติระหว่างที่ดูการต่อสู้
การประลองครั้งหนึ่งกลับทำให้เรื่องมากมายเช่นนี้เกิดขึ้นนอกสนาม นี่ย่อมดูน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
ยิ่งเห็นได้ว่าการประลองยกนี้สะท้านโลกและเหนือธรรมดาปานไหน!
หากอยู่ในโลกภายนอก ต้องก่อให้เกิดความสะเทือนเลือนลั่นครั้งใหญ่ในสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณแน่
จนกระทั่งการต่อสู้ดำเนินไปถึงหนึ่งพันกว่ากระบวนท่า เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินก็หายใจหอบบ้างแล้ว อีกทั้งร่างกายต่างได้รับบาดเจ็บ
แต่จิตต่อสู้ของทั้งสองน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อประจัญบานกันขึ้นมาไม่มีเค้าลางอ่อนแรง กลับยิ่งดุดันและแกร่งกล้า
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ ไม่ทันรอให้ทั้งสองตัดสินแพ้ชนะ ข้ารับใช้วิญญาณที่ยืนอยู่นอกสนามพลันส่งเสียงขัดการประลองครั้งนี้
“หยุดมือเถิด สู้กันต่อไปก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้บาดเจ็บกันทั้งคู่”
เมื่อข้ารับใช้วิญญาณพูดออกมาก็มีผลทันที เสียงพูดเพิ่งเงียบลง เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินที่อยู่ในสนามประลองก็ถูกแยกออกจากกัน เคลื่อนที่ออกไปจากสนาม กลับสู่ยอดเขาของแต่ละคน
นี่ทำให้ทุกคนงุนงง ยังทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
กำลังประลองอยู่ดีๆ กลับถูกขัดเข้าอย่างจัง นี่จะทำให้คนไม่หนำใจเกินไปแล้ว
แม้ผู้ฝึกปราณบางคนไม่พอใจอยู่ในใจ ทว่ายามเผชิญหน้ากับข้ารับใช้วิญญาณที่ประหนึ่งทวยเทพผู้นั้น กลับกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด
หลินสวินกลับลอบพยักหน้า เขาก็ดูออกว่าแม้ต่อสู้ต่อไปอีก ทั้งสองก็ย่อมไม่รู้แพ้ชนะ เพราะพลังต่อสู้ของทั้งสองคนแทบจะอยู่ในระดับเดียวกัน แม้มีความแตกต่าง แต่ก็เป็นความแตกต่างเพียงน้อยนิดถึงที่สุด ไม่อาจส่งผลต่อการแพ้ชนะได้เลย
‘หาได้ยากนัก สองคนนี้ต้องให้ความสำคัญ ไม่อาจละเลยได้’
ที่ตีนเขา เยี่ยนจั่นชิวก็ทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนรุ่นเยาว์รุ่นนี้ผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเกินไปแล้ว เขารู้สึกได้ถึงความกดดันที่จะถูกไล่ทันจากทั้งเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉิน
“เซี่ยวชางเทียน อย่างไรนี่ก็เป็นเพียงการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ไม่อาจสู้กันอย่างสาแก่ใจได้อยู่ดี ถ้ามีความกล้า รอหลังจากออกไปพวกเราไปตัดสินแพ้ชนะอีกที่หนึ่งเป็นอย่างไร”
ที่ยอดเขา เยี่ยเฉินกล่าวเสียงกังวาน ดังก้องไปถึงชั้นเมฆา
“ได้สิ กลัวแต่ถึงเวลาเจ้าจะไม่กล้ามาตามนัด” เซี่ยวชางเทียนหัวเราะเสียงดัง เหิมเกริมและจองหอง
เยี่ยเฉินเลิกคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มหยัน “อ้อ? ยามข้ากำราบเจ้า หวังว่าเจ้ายังกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้!”
ทั้งสองคนเหมือนศัตรูเก่าแห่งโชคชะตาคู่หนึ่ง ช่วงชิงแก่งแย่งตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีใครยอมใคร พาให้ทุกคนตกตะลึงและทอดถอนใจ
ซ่า!
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ฝนวิญญาณเทพงดงามเพริศแพร้วสองสายก็เทลงมาจากฟากฟ้า อาบชโลมพวกเซี่ยวชางเทียนไว้ภายใน
นี่เป็นการปฏิบัติที่มีเพียงยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่แข่งขันช่วงชิงสี่อันดับแรกเท่านั้นถึงได้รับ เพื่อไม่ให้กระทบกับการประลองต่อๆ ไป
……
ยกที่สอง ถึงตาหลินสวินออกโรงแล้ว
ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาก็คือ กระบี่พรหมราชจินมู่อวิ๋น ซึ่งเป็นผู้นำสิบสามกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
เมื่อได้เห็นว่าสองคนนี้จะประลองกัน ผู้ชมที่อยู่นอกสนามต่างส่งเสียงครึกโครมขึ้นมา
“เทพมารหลิน ก่อนหน้านี้เจ้าเคยคุยโวไว้ว่าจะเอาชนะจินมู่อวิ๋นให้ได้ภายในสามกระบวนท่า เจ้าอย่าคืนคำเด็ดขาดเชียว!”
มีคนร้องตะโกน รอดูเรื่องสนุกพลางพูดสุมไฟ
“ใช่ เจ้าพูดแล้วว่าถ้าสามกระบวนท่ายังไม่ชนะก็ถือว่าเจ้าแพ้ ข้าจะรอดูเสียหน่อยว่าเทพมารหลินเช่นเจ้าเอาความกล้าที่ไหนมาคุยโตเช่นนี้”
ในลานมีเสียงตะโกนไม่ขาดสาย ต่างกลัวเพียงใต้หล้าไม่โกลาหล รอดูหลินสวินเป็นตัวตลก
อย่างไรเสียเมื่อกี้ได้เห็นการประชันพลังระหว่างยอดคู่ดาบกระบี่ ขนาดบุคคลขอบเขตมกุฎสองคนนี้ยังห้ำหั่นกันจนชี้ขาดแพ้ชนะได้ยาก จินมู่อวิ๋นที่มีคุณสมบัติเข้าชิงสี่อันดับแรกเช่นเดียวกันจะถูกเอาชนะในสามกระบวนท่าได้อย่างไร
“เด็กคนนี้ นี่ก็เหมือนยกก้อนหินกระแทกใส่เท้าตัวเอง”
สีหน้าผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสต่างแปรเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา
อาหลู่ตะโกนเสียงดังดั่งอสนีบาตว่า “อย่าไปฟังพวกนกกามันร้อง เจ้าก็ล้มเขาในสามกระบวนท่าซะ! จะได้ตบปากนกกาพวกนี้!”
จ้าวจิ่งเซวียนแทบจะกลอกตาอย่างอดไม่อยู่ คนป่าเถื่อนผู้นี้พูดง่ายเกินไปแล้ว นี่ตั้งใจจะทิ่มแทงหลินสวินหรือ
ทว่าอาหลู่ก็นับว่าพูดสิ่งที่อยู่ในใจของจ้าวจิ่งเซวียนออกมา เมื่อได้ยินเสียงที่พากันมองข้ามหลินสวินเหล่านี้ ในใจนางก็ไม่สบอารมณ์นัก อยากให้หลินสวินเอาชนะจินมู่อวิ๋นซะ ตบหน้าพวกชอบชมดูความครึกครื้นพวกนั้น!
หลินสวินคล้ายไม่สะทกสะท้านกับเสียงหัวเราะ เสียงตะโกน และเสียงเสียดสีเหล่านี้ เพียงทะยานเข้ามาในสนามประลอง สีหน้าเรียบเฉย
ในขณะเดียวกันจินมู่อวิ๋นก็มาแล้ว เพียงแต่สีหน้ากลับดูเย็นชาผิดธรรมดา ดวงตาราวกระบี่จับจ้องมาที่หลินสวินแล้วพูดว่า “รู้สึกเสียใจหรือไม่”
ถูกหลินสวินท้าทายด้วยสามกระบวนท่า เดิมก็เป็นการดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างหนึ่งอยู่แล้ว และตอนนี้ถูกผู้อื่นพูดถึงเช่นนี้ แม้มีความรู้สึกอยากเห็นหลินสวินเป็นตัวตลก แต่กลับทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเช่นกัน
“ทำไมต้องเสียใจเล่า” หลินสวินถาม
“หึ! โง่งมไม่รู้เรื่องรู้ราว หากเจ้าเอาชนะข้าได้ในสามกระบวนท่า ข้ารับรองได้เลยว่าภายภาคหน้าขอเพียงเป็นที่ที่เจ้าหลินสวินปรากฏตัว ข้าจะอยู่ให้ห่างอย่างยิ่ง”
จินมู่อวิ๋นแววตาดุดัน วาจาข่มขู่ “แต่หากเจ้าทำไม่ได้ ไม่เพียงต้องยอมแพ้ ยังต้องขอโทษข้าด้วย เพื่อชดใช้ให้กับวาจาจาบจ้วงของเจ้า!”
“ได้!” หลินสวินตอบโดยไม่คิด สบายยิ่งนัก
ท่าทีสบายๆ เช่นนี้กลับถูกจินมู่อวิ๋นมองว่าเป็นความจองหองอย่างหนึ่ง ทำให้เขาลอบกัดฟัน เจ้าหมอนี่ใจกล้าจนถึงขั้นไม่รู้ที่เป็นที่ตาย!
ชิ้ง!
กระบี่วิญญาณสีแดงเพลิงลุกโชน อานุภาพน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ถูกจินมู่อวิ๋นจับกุมไว้ในมือ
กระบี่พรหมราช!
หนึ่งในสมบัติโบราณสำนักกระบี่เทียมฟ้า หนึ่งในยอดศาสตรามรรคราชันอันลือชื่อแห่งแดนชัยบูรพา
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ พลังรอบตัวของจินมู่อวิ๋นก็เปลี่ยนไปเพราะกระบี่นี้ ประหนึ่งกระบี่สมบัติไร้เทียมทานที่ปิดผนึกอยู่ใต้ธุลีออกจากฝักในเวลานี้ คมดาบเหนือโลกา พุ่งทะลุเมฆา สั่นคลอนชั้นเมฆให้แหลกสลาย!
“เข้ามา ให้ข้าเห็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของเทพมารหลินเสียหน่อย!”
จินมู่อวิ๋นวาจาแน่วแน่เด็ดเดี่ยว เจตกระบี่น่าหวาดหวั่นวาบผ่านในดวงตา
เขาแต่งการด้วยชุดหยกทั้งตัว ผมสีดำปลิวไสว ดุจดั่งเซียนกระบี่ที่ดุดันหาใดเทียบองค์หนึ่งมาเยือนโลก ท่วงท่าสง่างามตระการตา
ทุกคนในที่นั้นตาเป็นประกาย นี่ก็คือจินมู่อวิ๋น ให้เวลาเขาได้เติบโตอีกหน่อย เป็นไปได้สูงมากที่เขาจะกลายเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สอง ไร้ผู้ต้านทานใต้ระดับราชัน!
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ชั้นนี้ เทพมารหลินกลับคุยโวว่าจะเอาชนะได้ในสามกระบวนท่า ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าน่าขันอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ เป็นไปได้หรือ
ตอนที่ 1068 พลังหมัดเดียวสะเทือนสวรรค์
แขนเสื้อจินมู่อวิ๋นโบกพลิ้ว ผมสีดำปลิวไสว
กระบี่พรหมราชมีเปลวเพลิงพลุ่งพล่าน ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งเซียนกระบี่ที่สังหารเด็ดเดี่ยวมาเยือนโลกา พลานุภาพดุดันหาใดเทียมนั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสไม่น้อยต่างหน้าเปลี่ยนสี
“เด็กคนนี้เพิ่งอายุยี่สิบกว่าปีกระมัง แต่ครอบครองวิชาเช่นนี้แล้ว อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นก็ไม่เหนือไปกว่านี้!”
“เทพมารหลินจะขายหน้าเสียแล้ว อย่าว่าแต่สามกระบวนท่าเลย ต่อให้หนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันกระบวนท่า ก็เกรงว่าจะไม่อาจเอาชนะจินมู่อวิ๋นได้”
“เด็กคนนี้สมกับเป็นผู้นำสิบสามกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า!”
เสียงร้องตกใจดังขึ้นในที่นั้น ต่างตื่นตาไปกับอานุภาพที่จินมู่อวิ๋นสำแดงออกมา
“เขาจะทำอย่างไร”
เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน จ้าวจิ่งเซวียน อาหลู่ อวี่หลิงคง หลี่ชิงผิง ฉู่เป่ยไห่ ปี้ตงหลิ่ว…
เหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็จับตามองอย่างใกล้ชิด
มีคนอยากจะให้หลินสวินอับอาย ทำตัวเองเสียหน้าเสียเอง
ทั้งมีบางคนสงสัยว่าในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้าคุยโอ่ว่าจะได้เอาชนะในสามกระบวนท่า…
ภายใต้สายตานับหมื่นที่จับจ้อง หลินสวินรวมผมทั้งศีรษะไว้ที่ท้ายทอยอย่างลวกๆ การเคลื่อนไหวเรียบร้อย สีหน้าสงบนิ่งและเฉยชา
เพียงแต่ในดวงตาดำราวเหวลึกของเขาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยจิตต่อสู้เข้มข้นดั่งหินหนืดแผ่พุ่ง
“หืม?”
“นี่…”
ทุกคนรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าระหว่างที่หลินสวินเคลื่อนไหวอย่างตามสบายถึงที่สุดนี้ กลิ่นอายแก่กล้าถึงที่สุดกลับแผ่พุ่งขึ้นบนกายเขา
ระหว่างงุนงง หลินสวินเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เรียบเฉยและหลุดพ้นต่างจากแต่ก่อน
บนเงาร่างผอมบางสูงโปร่งของเขามีอานุภาพอหังการประหนึ่งขุนเขา เกรียงไกรดุจเวิ้งฟ้า ประกายเทพไหวเคลื่อนระหว่างที่เขากะพริบตา
อีกทั้ง พลังบนตัวเขายังเพิ่มพูนขึ้น!
เปรียบเหมือนหุบเหวใหญ่ที่ลึกล้ำสุดหยั่งตื่นขึ้นในตอนนี้ โคจรอย่างสะเทือนเลือนลั่น
“สวรรค์!”
ผู้คนไม่น้อยใจสั่นสะท้าน ต่างรู้สึกหายใจลำบากขึ้นมา
หลินสวินในตอนนี้ดูแตกต่างอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย
หากบอกว่าในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาเฉียบแหลมและจองหอง ทรงเดชและแข็งกร้าว ทำลายทุกอย่างที่จับต้องเหมือนดาบแหลมคมปราดเปรียวเล่มหนึ่ง
เช่นนั้นตัวเขาในตอนนี้กลับมีท่วงท่าเป็นผู้อยู่สูงสุดทั้งเหนือฟ้าและใต้หล้า แสงมรรคสีใสโชติช่วงพลุ่งพล่านอยู่รอบกาย ทำให้ดูน่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุด
“เทพมารหลินร้ายนัก ถึงกับปิดบังมาจนตอนนี้ เพิ่งแสดงพลังที่แท้จริงของตนออกมา!”
เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินพากันจ้องเขม็ง จากนั้นจึงร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่เก็บซ่อนพลังที่แท้จริงมาตลอด…”
ผู้ชมบางคนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นผิดธรรมดา
เทพมารหลินตรงหน้าเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าก่อนหน้านี้เขาต้องออมพลังต่อสู้มาโดยตลอด!
“น่าชังนัก!”
ยอดมกุฎรุ่นเยาว์อย่างอวี่หลิงคงและฉู่เป่ยไห่ต่างดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ท่าทางตื่นตระหนกระคนโกรธเคือง ไม่อาจทำใจเชื่อได้
“เด็กนี่ช่างอดทนเก่งเสียจริง!”
ที่ตีนเขา ผู้แข็งแกร่งสำนักโบราณไม่น้อยต่างหน้าเปลี่ยนสี
“นี่ถึงเป็นเขา!” ดวงตาใสกระจ่างราววารีของจ้าวจิ่งเซวียนเปล่งประกายดุจดารา
“ให้ตายสิ เจ้าหมอนี่ร้ายจริงๆ มาถึงตอนนี้เพิ่งแสดงพลังที่แท้จริงออกมา!” อาหลู่ร้องออกมาอย่างประหลาด
จินมู่อวิ๋นก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากนั้นในดวงตาวาบประกายคมกริบน่าตกตะลึง เอ่ยว่า “มิน่าเจ้าถึงกล้าจองหองปานนี้ แต่เจ้าคิดว่าเพียงเท่านี้ก็สามารถเอาชนะข้าในสามกระบวนท่าได้หรือ”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ความตื่นตระหนกแต่เดิมในที่นั้นก็ลดลงไม่น้อย
แน่นอน ต่อให้เทพมารหลินแข็งแกร่งกว่านี้ แต่ก็เป็นเพียงยอดมกุฎรุ่นเยาว์ระดับกระบวนแปรจุติอยู่ดี ในฐานะที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน จินมู่อวิ๋นจะรับแม้แต่สามกระบวนท่าไว้ไม่ไหวได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ทุกคนก็ยิ่งโล่งอก
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้น ใบหน้ายิ่งเผยยิ้มเหี้ยม รอดูเรื่องสนุก
“ได้สิ” หลินสวินพยักหน้า สงบนิ่งและเยือกเย็น เหมือนกำลังพูดเรื่องที่ธรรมดายิ่งเรื่องหนึ่ง
เขาในตอนนี้ยามขยับตัวมีแสงมรรคปรากฏ รัศมีเทพอบอวล ประหนึ่งนายเหนือหัว มีท่วงท่าองอาจควบคุมขุนเขาธารา กลิ่นอายกลืนกินหมื่นแดนดิน
เขาไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ!
ทุกคนสีหน้าประหลาด หลินสวินในตอนนนี้ถึงมีท่าทางของเทพมารโดยแท้ ทำให้ยามทุกคนมองดูอยู่ไกลๆ ล้วนรู้สึกกดดัน
จินมู่อวิ๋นเดือดดาลจนกลายเป็นยิ้ม กระบี่ที่อยู่ในมือชี้ไปยังหลินสวินซึ่งอยู่ห่างออกไป พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าจะให้เจ้าต้องตบหน้าตัวเอง!”
ชิ้ง!
เขาอดไม่ไหวชิงออกโจมตีก่อนแล้ว กระบี่พรหมราชในมือพลันระเบิดเจตกระบี่เพลิงเทพคับฟ้าออกมาบดขยี้ห้วงอากาศ ประหนึ่งฝนเพลิงดาวตกระเบิดลงมาจากฟากฟ้า
กระบี่นี้ไม่เพียงทรงอำนาจยังมีอานุภาพมหามรรคไพศาล เสียงกระบี่หวีดร้องราวระเบิด ประหนึ่งจะทำลายมารในใจ ฟันพันธนาการให้แหลกสลาย พลังสะท้านสะเทือนถึงก้นบึ้งของจิตใจแผ่กระจาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจินมู่อวิ๋นบรรลุวิถีกระบี่ถึงขั้นเหนือธรรมดาหาใดเทียบแล้ว เพียงการโจมตีเดียวก็สำแดงความสง่างามไร้ศัตรูของผู้ฝึกกระบี่ไร้เทียมทานผู้หนึ่งออกมา
ทั้งดูออกได้เช่นเดียวกันว่า แม้ไม่เชื่อว่าหลินสวินจะสามารถเอาชนะตนได้ในสามกระบวนท่า แต่ยามเขาลงมือย่อมไม่มีการออมมือแต่อย่างใด
เมื่อกระบี่โจมตีออกไป แสงสาดส่องใต้หล้า สะท้านขวัญไปทั้งสนาม!
กระบี่ที่น่าตื่นตาเช่นนี้ทำให้ยอดมกุฎรุ่นเยาว์บางคนต่างหวาดกลัว สั่นสะท้านไม่หยุด
กระบี่นี้ หลินสวินควรจะสลายเช่นไร
ไม่แน่ว่า กระทั่งตั้งรับยังกินแรงนักกระมัง
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็เคลื่อนไหวแล้ว
ที่เหนือความคาดหมายคือหลินสวินไม่ได้ใช้สมบัติ แต่เป็นหมัดเปล่าๆ นิ้วมือรวบเข้าด้วยกัน ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป
ตูม!
เพียงแต่หมัดนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก!
ทันทีที่ปรากฏ ชั่วพริบตาก็มีปรากฏการณ์ทำลายล้างมากมายสำแดงออกมา ทั้งภูเขาถล่ม ทะเลแหวก ห้วงอากาศเผาไหม้ มังกรออกจากเหว หงส์เพลิงร้องกังวาน…
ต่อมายังปรากฏภาพประหลาดวันโลกาวินาศอย่างเวิ้งฟ้ายุบตัว นรกจมลง สรรพสัตว์มลายล้าง
ปรากฏการณ์ประหลาดและความเร้นลับอย่างแล้วอย่างเล่านี้ รวมเข้าไปในหนึ่งหมัดในชั่วพริบตา พลันทำให้หมัดนี้เต็มไปด้วยพลังยากบรรยาย
คล้ายสามารถสะเทือนสวรรค์ ทำให้ท้องนภาแยกออก!
หมัดเดียวสะเทือนสวรรค์!
หนึ่งหมัดอันทรงพลังอหังการถึงที่สุด หลอมรวมนัยเร้นลับทุกขนานของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ถูกพลังแก่นมรรคธาตุน้ำปกคลุม เพิ่มพูนอานุภาพแกล้วกล้าไม่มีสิ่งใดไม่อาจทำลาย
โครม!
หมัดเดียวตัดขวางอากาศ ทุกที่ที่ผ่านห้วงอากาศปั่นป่วน ทำให้จินมู่อวิ๋นรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกที่เข้ามาปะทะหน้าในทันใด หายใจได้อย่างติดขัด จิตวิญญาณได้รับผลกระทบถึงที่สุด
เขาหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ยามเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้เขาถึงกับสับสนว่าจะตั้งรับอย่างไรดี เปรียบเหมือนมดตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะหลบการปกคลุมของกรงเล็บมังกรฟ้าได้ด้วยวิธีใด
เขาพลันกัดปลายลิ้นเรียกสติกลับคืนมา จากนั้นจู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าจิตมรรคของตนกลับถูกอานุภาพหมัดของฝั่งตรงข้ามปกคลุม!
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ตอนที่จินมู่อวิ๋นคิดจะเปลี่ยนกระบวนท่าก็ไม่ทันการแล้ว
ตูม!
ก็เห็นว่าเหนือสนามประลองกว้างใหญ่ พลังแกร่งกร้าวอหังการของหนึ่งกระบี่และหนึ่งหมัดปะทะเข้าหากัน ทันใดนั้นห้วงอากาศรอบด้านก็ยุบลงดังโครมเหมือนเศษกระดาษ
รัศมีเทพและแสงมรรคนานาชนิดแผ่พุ่งออก น่าหวาดหวั่นถึงที่สุด ทั้งยังโกลาหลอย่างยิ่งยวด
นี่ต่างจากการประลองก่อนหน้านี้
ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันล้วนต้องการตัดสินผลแพ้ชนะภายในสามกระบวนท่า ดังนั้นทันทีที่ลงมือ สิ่งที่สำแดงออกมาล้วนเป็นไม้ตายของแต่ละคน อานุภาพและพลังทำลายล้างก็ย่อมแตกต่าง
ในลานผู้ฝึกปราณบางคนถึงกับมองรายละเอียดการต่อสู้ไม่ชัด ดวงตาถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวด จิตวิญญาณถูกกระทบกระเทือน!
ตึงๆๆ…
ท่ามกลางฝุ่นควันอบอวล ร่างของจินมู่อวิ๋นถอยออกไปต่อเนื่องอย่างสูญเสียการควบคุม เพียงรู้สึกว่าพลังหมัดนั้นพุ่งเข้าไปภายในร่าง ประหนึ่งม้าป่าที่หลุดจากเชือกบังเหียนกำลังพุ่งชน สั่นสะท้านจนอวัยวะตันห้ากลวงหกของเขาแทบพลิกกลับ เลือดเนื้อทุกกระเบียดเจ็บปวดเหมือนเข็มทิ่มแทง
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นกลับรู้สึกเหมือนฟ้าพลิกดินหมุน คล้ายจะหมดสติ
ทุกคนต่างงงงวย เหม่อลอยอยู่เช่นนั้น จิตวิญญาณถูกภาพนี้เขย่าขวัญ
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดอยู่เลยว่าหลินสวินจะสามารถตั้งรับกระบี่อันน่าตื่นตานี้ของจินมู่อวิ๋นได้หรือไม่ แต่เพียงชั่วพริบตา หมัดเดียวของหลินสวินกลับทำลายล้างราบคาบ สร้างบาดแผลให้แก่จินมู่อวิ๋น!
การพลิกผันนี้รวดเร็วยิ่งนัก เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้คนจำนวนมากยังคิดว่าดวงตาพร่ามัว ไม่อาจทำใจเชื่อทุกอย่างนี้
พรวด!
ในสนามประลอง จินมู่อวิ๋นอดทนมาครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวกระอักเลือดออกมา สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
กลับไปดูหลินสวิน เงาร่างสูงตระหง่าน มั่นคงไม่ไหวติง มีเพียงอาภรณ์สีขาวพระจันทร์กำลังโบกพลิ้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ทุกคนล้วนแตกตื่นอย่างอดไม่อยู่ ส่งเสียงร้องตื่นตระหนก สีหน้าตกตะลึง ตอนนี้ถึงแน่ใจได้ในที่สุดว่าการโจมตีนี้เป็นจินมู่อวิ๋นที่ได้รับบาดเจ็บ!
นี่… จะเป็นไปได้อย่างไร
ทุกคนดวงตาเบิกถลน ตกตะลึงอ้าปากค้าง
“หนึ่งหมัดที่แข็งแกร่งนัก!” เยี่ยเฉินหลับตาลง ในสมองนึกย้อนรายละเอียดทั้งหมดเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก
‘สะเทือนสวรรค์สะท้านปฐพี ไม่อาจเทียบเทียมได้ หมัดนี้ นัยเร้นลับที่แฝงไว้แข็งแกร่งยิ่งแล้ว…’ เซี่ยวชางเทียนใคร่ครวญในใจ เขาก็เริ่มอนุมานรายละเอียดที่อยู่ภายในนี้โดยไม่ได้นัดหมายเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสบางคนก็อดครุ่นคิดไม่ได้ จากสายตาของพวกเขาย่อมดูออกว่าการโจมตีนี้ไม่ได้เล่นเล่ห์อะไร เป็นการปะทะซึ่งหน้าโดยสมบูรณ์
แต่จินมู่อวิ๋นกลับถูกซัดให้กระเด็นถอยไป พิสูจน์ได้อย่างไร้ข้อกังขาว่าเทพมารหลินคนนั้นแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่ง!
‘ประเมินเขาต่ำไปอีกแล้วหรือ’ สีหน้าเยี่ยนจั่นชิวปรากฏความอึมครึม
ก่อนหน้านี้เขารับรู้พลังต่อสู้ของหลินสวินใหม่หลายครั้ง เดิมก็ประเมินไว้สูงพอตัวแล้ว ใครจะคิดว่าความเป็นจริงยังเหนือกว่าที่เขาคาดไว้!
บนสนามประลอง จินมู่อวิ๋นสีหน้าอึมครึม สงสัย ท่าทางไม่อาจทำใจเชื่อได้
กระบวนท่าเดียวนะ!
ล้วนเป็นการทุ่มพลังทั้งหมดที่มี แต่เขากลับถูกซัดสะท้าน จะหมายความว่าความสำเร็จบนมกุฎมรรคาของเทพมารหลิน แข็งแกร่งกว่าเขาระดับหนึ่งหรือไม่
“ลืมตาหมาๆ ของพวกเจ้ามาดูซะว่าอย่างไรถึงเรียกว่ามาดแห่งเทพมาร เสียทีที่ก่อนหน้านี้พวกเจ้ายังโวยวายถากถาง ตอนนี้ถูกตบหน้าเข้าแล้วหรือไม่”
ไกลออกไปอาหลู่หัวเราะบ้าคลั่ง เขาปากเปราะแต่กำเนิด เมื่อเห็นโอกาสนี้จะไม่ฉวยโอกาสแสดงฝีปากได้อย่างไร
ที่เชิงเขา หลายคนสีหน้าไม่น่าดู
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า แทบอยากจะฉีกปากเจ้าคนเถื่อนผู้นี้ให้เละ
“เพิ่งหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น คิดจริงๆ หรือว่าจะเช่นนี้ก็จะเอาชนะได้”
ผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งเอ่ยปากเหี้ยมเกรียม “เรียนรู้แลกเปลี่ยนกันครั้งแรก เลี่ยงไม่ให้เลินเล่อได้ยาก นี่เป็นเรื่องปกติ แต่หากกล่าวว่าเทพมารหลินสามารถเอาชนะได้ในสามกระบวนท่า นั่นต่างหากที่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลกใหญ่เท่าฟ้า!”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไปก็ดึงดูดให้เกิดความคิดคล้อยตามไม่น้อย ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งสำนักโบราณที่มองหลินสวินเป็นศัตรู ย่อมไม่อาจยืนอยู่ฝั่งหลินสวิน
“ชิชะ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หากเปลี่ยนข้าเป็นพวกเจ้าคงตบหน้าตัวเองไปนานแล้วโว้ย!” อาหลู่ยิ้มหยัน
“พอแล้ว!”
จินมู่อวิ๋นตะคอกดัง สีหน้าคล้ำเขียวจนน่ากลัว ตนมีฐานะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่หยิ่งยโส ย่อมทนให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้
จากนั้นเขาพลันมองไปยังหลินสวิน เอ่ยว่า “ความแข็งแกร่งของเจ้าเหนือความคาดหมายของข้าก็จริง แต่ว่า… แบบนี้ชนะข้าไม่ได้แน่!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น