Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1051-1054

 ตอนที่ 1051 ฆ่าหมา

 

ชิ้ง!


ดาบหักส่งเสียงบางเบา ประกายแสงขาวดุจหิมะราวมายา หวนกลับสู่มือหลินสวิน


ห่างออกไป หญิงสาวที่หัวกับตัวแยกจากกันนอนตายคาที่ตรงนั้น


กระทั่งตายไปคำพูดเยาะเย้ยของนางก่อนหน้ายังคงสะท้อนก้องในลาน กลายเป็นการเสียดสีอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า


เหล่าผู้กล้าเดือดดาล แน่นอนว่าไม่มีทางนั่งรอความตาย ต่างบุกโจมตีอย่างห้าวหาญ


การต่อสู้เดือดปะทุ คลั่งระห่ำยิ่งกว่าเดิม


ครั้งนี้ต่างจากแต่ก่อน บุคคลแห่งยุคมากมายออกเคลื่อนไหว ไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งร้ายกาจรับมือยากส่วนหนึ่ง


เฉกเช่นชายร่างสูงใหญ่ของสำนักยุทธ์สมุทรคราม หมุนควงแส้สำริดคู่หนึ่งชี้เวหาฟาดพสุธา แข็งแกร่งดุดันหาใดเปรียบ ฟาดจนห้วงอากาศแหลกเป็นจุณ


หญิงสาวชุดเหลืองแดนพิสุทธิ์อมตะก็สะดุดตานัก กระตุ้นโคมทองดวงหนึ่งให้สว่างไสว ก่อเกิดพลังพิสุทธิ์ชวนประหวั่นเหลือประมาณ


อีกฟากหนึ่ง ชายหนุ่มชุดดำเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนหนึ่งมือกระชับเหล็กหมาดปลายแหลมสีเลือด เพียงวาดกวาดเบาๆ แสงโลหิตห้อทะยานบดทลายห้วงอากาศ


นอกจากนี้ยังมีบุคคลแห่งยุคแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ และสำนักกระบี่เทียมฟ้าบุกจู่โจม ล้วนดั่งหงส์มังกรในหมู่ชน พลังต่อสู้โดดเด่นเหนือผู้อื่น


บนแท่นมรรคที่เดิมไม่ใหญ่โตเต็มไปด้วยแสงดาบเงากระบี่ทันใด เสียงปะทะของสมบัติและวิชามรรคดั่งฟ้าคะนอง กระหึ่มก้องเหนือยอดเขาแถบนี้


และเป็นเวลานี้ ที่หลินสวินเพิ่งรู้สึกถึงแรงกดดันหนักหน่วง


แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว ตรงข้ามกลับกระตุ้นจิตต่อสู้ให้ซัดสาดในส่วนลึกของจิตใจเขา อานุภาพพลังทั่วร่างก็ยกระดับตามไปด้วย!


แม้คู่แข่งเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง แต่วิธีต่อสู้ของหลินสวินก็เปลี่ยนตามไปด้วย ดาบหักออกจู่โจม อาศัยหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าต่อกรศัตรู


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


ดาบหักส่งเสียงใสกระจ่าง ดุจคลื่นน้ำถาโถมกระหน่ำฟ้าดิน สะท้อนก้องท้องนภาราวร้องเรียกหาเลือดมาเติมเต็ม


มันขาวเจิดจ้าดุจหิมะ เบาบางดั่งมายา เดิมก็เป็นศาสตราจิตที่มหัศจรรย์เกินคาดเดาชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว ทั้งไม่ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะ


บนคมดาบ ลวดลายมรรคคลุมเครือเร้นลับเปล่งแสงระยับ เพิ่มอานุภาพให้ดุดันหาใดเปรียบยิ่งกว่าเดิม


และกลิ่นอายของหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นดุดันถึงขีดสุด!


เดิมทีอาศัยพลังต่อสู้ของตัวเขาเอง ต่อให้ไม่ใช้ดาบหักก็มีพลังเพียงพอต่อกรศัตรู


แต่หลินสวินไม่อยากถูกถ่วงเวลา สำหรับเขาการได้สังหารคู่ต่อสู้มากขึ้นในเวลาอันสั้น จึงจะสามารถระบายเพลิงโทสะในใจได้โดยสมบูรณ์!


ครืน!


ชายร่างกำยำกุมแส้คู่สำริดฟาดเข้ามา ภายใต้การโจมตีเดียววายุอสนีโถมกระหน่ำ เสียงธรรมกัมปนาท แผ่อานุภาพปานทลายฟ้ามลายดิน


ขณะเดียวกันในดวงตาหลินสวินพลันฉายแววเยียบเย็น


กระบวนเฉือนคว้าดารา!


ประหนึ่งรัตติกาลนิรันดร์มาเยือน หมื่นดาราร่วงหล่นอยู่ภายใน ดาบเดียวสาดส่องรัตติกาลนิรันดร์ ม้วนกลืนหมื่นดารา


ฉัวะๆ


แส้คู่สำริดถูกตัดขาด สมบัติคู่นี้เป็นถึงยอดศาสตรามรรคราชัน ความเป็นมาเก่าแก่ เป็นสมบัติโบราณที่สืบทอดกันมาในสำนักยุทธ์สมุทรคราม


แต่ตอนนี้กลับถูกดาบหักเฉือนตัดอย่างแข็งกร้าว!


ชายร่างกำยำโกรธจัด ใจแทบหลั่งเลือด เจ็บปวดอย่างที่สุด บนภูเขาเทพไร้มรณะนี้จริงอยู่ที่ไม่มีทางปรากฏความตายอย่างแท้จริง แต่หากสมบัติถูกทำลายก็ไม่มีทางฟื้นคืนดังเดิมอีก


ถึงอย่างไรสุดท้ายยอดศาสตรามรรคราชันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่ดำรงอยู่บนความเป็นตาย


เห็นหลินสวินจวนพุ่งเข้าสังหาร ชายร่างกำยำแม้ขุ่นเคืองก็ได้แต่ข่มใจหลบหนี


ตูม!


ประกายแสงแถบหนึ่งปกคลุมลงมา สลายความมืดมิด เปี่ยมพลังบริสุทธิ์และผุดผ่อง โชติช่วงดั่งแสงศักดิ์สิทธิ์


เป็นหญิงสาวชุดเหลืองแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะนั่นที่ลงมือ


หลินสวินใช้ดาบหักบุกจู่โจม ส่วนตัวเองพุ่งเข้าหาชายร่างกำยำนั่นต่อไป


ชายร่างกำยำสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ โคจรพลังทั้งหมดฝืนปะทะ ผลคือถูกหมัดหลินสวินซัดลอยออกจากแท่นมรรค ร่วงคะมำลงกับพื้นดังพลั่กปากกบโลหิต


ร่วงจากแท่นมรรค ก็มีความหมายว่าพ่ายแพ้!


นี่ทำให้ชายร่างกำยำไม่อาจยอมรับได้ในชั่วขณะ คำรามเกรี้ยวกราดหาใดเปรียบอย่างอดไม่ได้ พุ่งไปยังแท่นมรรคอีกครั้ง


แต่เงาร่างเขาเพิ่งไปถึงครึ่งทางก็ถูกพลังกฎระเบียบไร้รูปปกคลุม หายลับจากไปชั่วพริบตา


เห็นชัดว่าเขาถูกคัดออกโดยสมบูรณ์!


เวลานี้การประลองบนแท่นมรรคยังคงดำเนินต่อเนื่อง ดุเดือดถึงขั้นเป็นประวัติการณ์


การเข่นฆ่าโรมรันเช่นนี้ หากเกิดขึ้นบนโลกภายนอกต้องก่อภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดาได้แน่ ทำให้ผู้คนในใต้หล้าตื่นตระหนกและฮือฮา


เช่นเดียวกัน การประลองขอบเขตมกุฎเช่นนี้ต้องดึงดูดความสนใจผู้ฝึกปราณได้นับไม่ถ้วน ก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครม


ถึงอย่างไรการประลองขอบเขตมกุฎเดิมก็ยากพบเห็น และการประลองที่ตัวคนเดียวต้านเหล่าบุคคลแห่งยุคเช่นหลินสวินก็ยิ่งพบเห็นได้น้อยกว่า


ฉัวะ!


ไม่นานหญิงสาวชุดเหลืองแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะพลันกรีดร้อง แขนขาวนวลดุจหิมะข้างหนึ่งถูกดาบหักเฉือนออก เจ็บจนใบหน้างามของนางซีดเผือด แทบสูญเสียการควบคุมโคมทองดวงนั้น


เหล่าผู้กล้าตกใจดวงตาเบิกกว้าง ต่อสู้ถึงตอนนี้เทพมารหลินไม่เพียงไม่ส่งสัญญาณอ่อนกำลัง กลับยิ่งรบยิ่งอาจหาญ อานุภาพมารล้นฟ้า ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม!


จิตต่อสู้ของผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งถูกโจมตี ลังเลไม่หยุด


แม้รู้ดีว่าไม่มีทางตายจริง แต่พอนึกถึงว่าต่อให้สู้สุดชีวิตก็คล้ายไม่มีหวังเท่าไร ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังและหดหู่


ปัง!


ไม่ช้าหญิงสาวชุดเหลืองนั่นก็ต้านไม่อยู่ ถูกหลินสวินกำราบอย่างแข็งกร้าว ดาบหักเคลื่อนกวาดตัดเอวอรชรของนาง โลหิตหลั่งรินดั่งน้ำตก


ณ เชิงเขาเหล่าผู้กล้าที่เจนจัด ข้ารับใช้ของขุมอำนาจต่างๆ ล้วนกำหมัดแน่น กลิ่นอายชวนประหวั่น สีหน้าคล้ำเขียว พวกที่ถูกคัดออกล้วนเป็นผู้สืบทอดสำนักพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกอัดอั้นและเดือดดาลเป็นพิเศษ


เหล่าผู้อาวุโสส่วนหนึ่งยิ่งโกรธจนหน้าดำราวก้นหม้อ ทั่วร่างมีไอสังหารไร้รูปตลบอบอวล ผู้สืบทอดในสำนักพวกเขาเป็นบุคคลระดับมกุฎเหมือนกัน แต่ถูกตีพ่ายเช่นนี้ นี่ทำให้พวกเขาเองยังยากยอมรับ


แน่นอนว่าผู้ชมการประลองอีกมากกลับตื่นเต้น ส่งเสียงอึกทึกเซ็งแซ่ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนย่อมมองเป็นเรื่องสนุก หวังให้เป็นเช่นนั้นยิ่ง


นี่คือเรื่องที่หลายปีนี้ไม่เคยมีมา คนหนุ่มไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งกลับ สังหารผู้สืบทอดสำนักโบราณเหล่านั้นอย่างแข็งกร้าวแตกพ่ายไม่เป็นขบวน ทำให้ผู้คนรู้สึกจิตใจสั่นไหว


‘ข้าคงดูถูกความสามารถเขาเกินไป’ เยี่ยนจั่นชิวมุ่นคิ้ว ฝีมือของหลินสวินเหนือการคาดเดาของเขาอีกครั้ง ทำให้เขาเองยังรู้สึกคาดไม่ถึง


‘ทว่าสุดท้ายก็ยังขาดความชำนาญ มกุฎมรรคาไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น’


ในฐานะที่เยี่ยนจั่นชิวเป็นผู้ที่จัดอยู่ในอันดับสามของสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแดนชัยบูรพา ก้าวล่วงบนมกุฎมรรคามาหลายปีอยู่ก่อนแล้ว


ความสามารถของหลินสวินแม้ทำให้เขาเกินคาดหลายครั้ง แต่กลับไม่สะเทือนเท่าไหร่ กระทั่งไม่อาจทำให้เขาเกิดความหวาดกลัว


หากแบ่งมกุฎมรรคาเป็นแรกก้าวสำรวจ เข้าถึงชำนาญ บรรลุสูงสุดสามระดับ เช่นนั้นในสายตาของเยี่ยนจั่นชิว พลังต่อสู้ของหลินสวินน่าจะอยู่ในขั้น ‘เข้าถึงชำนาญ’ ยังห่างจากระดับบรรลุสูงสุดไม่น้อย


แต่ในหมู่สำนักโบราณดินแดนรกร้างโบราณมีสิ่งที่รับรู้ร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือผู้กล้าขอบเขตมกุฎขั้นแรกก้าวสำรวจมีสิทธิ์ทะลวงกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์


ผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่ ‘เข้าถึงชำนาญ’ อย่างลึกล้ำ หากไม่มีอะไรเหนือคาดก็สามารถดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้อย่างมั่นคงแล้ว


ส่วนผู้กล้าขอบเขตมกุฎระดับ ‘บรรลุสูงสุด’ แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในหมู่คนรุ่นเดียวกัน มีศักยภาพในการไต่อันดับสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ!


‘หากเจ้าเป็นบุคคลระดับบรรลุสูงสุด บางทีอาจทำให้ข้าเหลียวมองได้บ้าง น่าเสียดาย…’ เยี่ยนจั่นชิวใคร่ครวญถึงตรงนี้ก็อดส่ายศีรษะอีกครั้งไม่ได้ เรื่องอย่างนี้ไม่มีอะไรน่าเสียดาย!


ขณะเดียวกันเหนือยอดเขาอื่น สถานการณ์การต่อสู้นานเข้าก็ยิ่งกระจ่างและชัดเจน


ทันทีที่บุคคลแห่งยุคอย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จินมู่อวิ๋น หลี่ชิงผิง อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยาขึ้นสู่แท่นมรรค ก็เป็นการยืนยันฐานะเจ้าครองแผ่นดินแห่งตน


อีกทั้งผู้แข็งแกร่งที่กล้าท้าทายพวกเขาแม้มีจำนวนไม่น้อย แต่กลับไม่มีคนกล้าตั้งก๊กรุมโจมตี


นี่ก็คือข้อได้เปรียบในฐานะผู้สืบทอดสำนักโบราณ ใครกล้าปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็รอถูกคิดบัญชีทีหลังได้เลย!


เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ภัยคุกคามที่พวกเขาได้รับยามครองภูผาจะมีตลอด แต่เปรียบเทียบกับหลินสวินแล้ว เหมือนคนหนึ่งอยู่บนฟ้าอีกคนอยู่ล่างปฐพี


เพียงแต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน เช่นอาหลู่ แม้ไม่ถูกรวมกลุ่มรุมโจมตี แต่การปฏิบัติที่ได้รับกลับไม่ต่างจากหลินสวินนัก


เพราะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าคนที่คล้ายคนป่านี่เป็นอริยเทพจากที่ใดกันแน่ ยามจัดการเขา แน่นอนว่าย่อมไม่ต้องเกรงกลัวแบบเดียวกับตอนที่ต่อสู้กับผู้สืบทอดสำนักโบราณเหล่านั้น


ที่น่าแปลกคือ นับตั้งแต่อาหลู่ปีนขึ้นสู่แท่นมรรคกลับทำการยั่วยุไม่หยุดหย่อน สำแดงวิชาปากเปราะโดยกำเนิดของเขาเต็มที่


“ขยะ! ขยะทั้งนั้น นี่หรือที่เรียกว่าผู้กล้า แม้แต่หมูบ้านข้ายังแกร่งกว่าพวกเจ้าด้วยซ้ำ!”


“ถุย! ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ผู้กล้าที่เรียกกันบนโลกนี้ล้วนเป็นพวกหน้าโง่ลวงโลก ต่อยตีไม่เป็นสักคน!”


“ไม่พอใจ? ไม่พอใจก็มาสู้ ใครขี้ขลาดก็เป็นไอ้ขี้แพ้!”


แค่ได้ยินวาจาเหิมเกริมพวกนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าสีหน้าเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ถูกอาหลู่ยั่วยุจะไม่น่าดูขนาดไหน


ทว่าที่จำต้องยอมรับคืออาหลู่วิปริตจริง ร่างผึ่งผายกำยำดุจภูผาไม่อาจสั่นคลอน ผู้แข็งแกร่งที่ประลองกับเขามีแต่โดนต่อยอยู่ฝ่ายเดียว


การแสดงออกที่สะดุดตาเช่นนี้ แน่นอนว่าดึงดูดสายตาให้ติดตามนับไม่ถ้วน


จ้าวจิ่งเซวียน เซียวชิงเหอเองต่างขึ้นสู่แท่นมรรคเช่นกัน กำลังต่อสู้กับคู่แข่งอย่างดุเดือด การประพฤติตนหาได้สะดุดตา ทว่าผลแพ้ชนะกลับยากคาดเดา


แต่ว่ายังดีที่อย่างน้อยถึงตอนนี้ทั้งคู่ล้วนไม่ถูกคัดออก


ขณะนี้เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปเกินครึ่งแล้ว บนยอดเขาแต่ละลูกสถานการณ์การรบคลั่งระห่ำขึ้นเรื่อยๆ


เพื่อดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ไม่ว่าใครต่างก็กำลังต่อสู้และฆ่าฟันเต็มที่ เกรงแต่จะถูกคัดออก


มีเพียงยอดเขาลูกที่เก้าซึ่งหลินสวินอยู่มีสถานการณ์พิเศษออกไป


ผู้กล้าที่เลือกเขาลูกนี้ ส่วนใหญ่ยึดการเอาชนะหลินสวินเป็นเป้าหมาย


อีกทั้งตั้งแต่เริ่มการต่อสู้หลินสวินก็ครองแท่นมรรคมาตลอด แม้ว่าจะมีเป้าหมายอื่นด้วย แต่สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซัดหลินสวินให้พ่ายก่อน จึงจะสบโอกาสบรรลุสิ่งที่ปรารถนาได้


เคร้ง!


ดาบหักเจิดจ้าดุจหิมะและเหล็กหมาดปลายแหลมสีเลือดปะทะกัน ส่งเสียงก้องสะเทือนหู


จากนั้นเหล็กหมาดสีเลือดที่ถูกควบคุมโดยชายชุดดำเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนั่นก็ระเบิดแตกดังสนั่น กลายเป็นละอองแสง


ในขณะนั้นเงาร่างหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวไปนานแล้ว ก้าวออกไปแล้วปล่อยสามหมัดในชั่วพริบตา แต่ละหมัดล้วนรุนแรงยิ่งขึ้นดั่งสายฟ้าฟาด คลื่นคลั่งซัดโถม


ปึง!


หมัดแรก ชายชุดดำร่างหนักอึ้งราวถูกฟ้าผ่า ไหล่ขวาแหลก กล้ามเนื้อกระดูกระเบิดกระจุย


ตูม!


หมัดที่สอง ชายชุดดำคุกเข่าทั้งสองลงกับพื้น เลือดออกทวารทั้งเจ็ด ส่งเสียงร้องทุรนทุราย กระดูกสันหลังแตกหักสิ้น


โพละ!


หมัดที่สาม ศีรษะเขาถูกระเบิด ศพไร้หัวกลับร่างเดิมเป็นหมาทมิฬ เลือดชโลมกองอยู่บนพื้น


สามหมัด ครบกระบวนในหนึ่งลมหายใจ ปิดฉากลงในพริบตา ว่องไวราวอสนีบาต


ผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนนี้ ถูกหลินสวินใช้ท่าทีที่แข็งแกร่งผงาดกร้าวซัดตายลงตรงนั้น!

 

 

 


ตอนที่ 1052 ความเข้าใจต่อมกุฎ

 

สักวันจะสังหารสุนัขมายาทมิฬทั่วหล้า!


หลินสวินไม่มีทางลืมวาจาที่เขากล่าวในแดนฐิติประจิมตอนนั้น


สำหรับเผ่านี้ หลินสวินรังเกียจถึงขีดสุดและแค้นฝังหุ่นจริง ใช้เพียงคำว่าชื่อเสียงเลวร้าย ก่อกรรมมากมาย ไร้มโนธรรมมาบรรยายยังไม่พอ


ด้วยเหตุนี้ยามสังหารชายชุดดำนี่ วิธีการที่หลินสวินใช้จึงเผด็จการและนองเลือดเป็นพิเศษ


ละแวกใกล้เคียงพลันกระสับกระส่าย ผู้กล้าไม่น้อยต่างเผยสีหน้าหวาดผวา ถูกฉากนี้สั่นสะเทือน


“วิปริตจริงๆ แม้เป็นบุคคลแห่งยุคก็ไม่อาจแกร่งเช่นนี้กระมัง” มีคนกล่าวเสียงสั่น


ต่อสู้ถึงตอนนี้ เหล่าผู้กล้าที่ล้มตายในมือหลินสวินอย่างต่ำมีมากถึงหลายสิบคน ทั้งในหมู่บุคคลแห่งยุคยังมีเจ็ดแปดคนถูกหลินสวินสังหาร


ทว่าแต่ต้นจนจบหลินสวินล้วนไม่บาดเจ็บ!


บนแท่นมรรค หลินสวินไม่มีความคิดหยุดมือ เคลื่อนกวาดศัตรูต่อเนื่อง


“เจ้ากล้า!”


ชายหนุ่มชุดหรูคนหนึ่งร้องตกใจ สังเกตเห็นว่าหลินสวินพุ่งเข้ามา ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน


“เจ้าโง่!” หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น ชายเสื้อเขาพลิ้วไหว ผมดำแผ่สยาย ดวงตาทั้งสองล้ำลึกดุจหุบเหวสยบผู้คน


ตูม!


ขณะเอ่ยปากเขาพลันซัดฝ่ามือหนึ่งออกไป


ชายหนุ่มชุดหรูกระโจนถอย ร่างกายพริบวาบไหวเคลื่อน ตวาดเดือดดาลไปพร้อมกัน “เจ้ากำลังเรียกหายนะใส่ตัว แม้ไร้คู่ต่อกรที่นี่ แต่เมื่อถึงโลกภายนอกต้องตายแน่ ต้องถูกสังหารทิ้ง!”


เสียงฟุ่บดังสนั่น เสียงเขาเพิ่งแผ่วลง ลำคอก็ถูกดาบหักตัดขาดฉับพลัน ศีรษะที่เลือดไหลหลั่งปลิดลอยกลางอากาศ


“น่าชังนัก!”


คนอื่นสีหน้าคล้ำเขียว ในดวงตาเปี่ยมโทสะและเกลียดชัง เดิมต้องเป็นพวกเขาล้อมปราบศัตรู ไหนเลยจะคิดว่ากลับถูกอีกฝ่ายซึ่งตัวคนเดียวทยอยสังหาร


นี่ทำให้ใครต่างไม่คาดไม่ถึง เป็นการโจมตีหนักหน่วงเหลือเกิน


“เทพมารหลิน เจ้าควรรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ไม่ก้มหัวโดยดีแต่กลับกระทำการป่าเถื่อน นี่มีแต่จะทำให้เจ้าตายอนาถยามหวนคืนโลกภายนอก!”


พวกเขาข่มขู่


“ผู้สืบทอดสำนักอย่างพวกเจ้าไม่ขายหน้าแย่รึ! ลงมือพร้อมกันยังทำอะไรข้าไม่ได้ บัดนี้ถูกข้าซัดพินาศ ไม่รู้จักยำเกรงยังกล้าประกาศศักดาข่มขู่ อาศัยคนอย่างพวกเจ้าคู่ควรกับคำว่าผู้กล้ารึ”


หลินสวินคนเดียวขวางอยู่บนแท่นมรรคดั่งจอมเทพมาร กดดันจนผู้คนปิ่มจะหายใจไม่ออก


ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างจากแท่นมรรคไม่ไกล หรือพวกมากฝีมือเจนจัด และข้ารับใช้ที่เชิงเขา สีหน้าต่างผิดแปลกไม่น่าดู ถูกเด็กหนุ่มไร้สำนักไร้พรรคคนหนึ่งตำหนิเช่นนี้คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน ในใจต่างโกรธแค้นอัดอั้นหาใดเปรียบ


“วันนี้มีข้าหลินสวินอยู่ที่นี่ หนูขี้ขโมยอย่างพวกเจ้าอย่าหวังได้ครองที่นี่สักคน!” วาจาหลินสวินเยียบเย็นอหังการ เปี่ยมมาดแห่งเทพมาร


“คุยโวไม่กระดาก ฆ่า!”


มีคนคำรามกราดเกรี้ยว บุกตะลุยเข้าไปพร้อมคนอื่นๆ


พวกเขายากลงจากหลังเสือ ไม่มีหนทางถอยแล้ว แม้หลินสวินแข็งแกร่งถึงขั้นทำให้พวกเขาหวาดกลัวและพรั่นพรึง แต่พวกเขาได้แต่ต้องสู้สุดตัว!


ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางตายจริง


หากสามารถผลาญพลังกายหลินสวินจนหมด ทำให้เขาพ่ายแพ้ ไยจะไม่ถือว่าเป็นชัยชนะ


ทว่าน่าเสียดาย ผู้กล้าเหล่านี้หาใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ถูกหลินสวินสังหารจนเลือดหลั่งรินราวกระแสธาร ศีรษะมนุษย์เกลือกกลิ้ง


ผู้แข็งแกร่งกลุ่มนี้มีประมาณร้อยกว่าคน เป็นขุมอำนาจสุดท้ายที่ปีนสู่ยอดเขาครานี้ ขอบข่ายเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุด คนเยอะกำลังมาก


แต่ผลกลับไม่พลิกโผ ภายใต้การสังหารหมู่จากดาบหักของหลินสวิน โลหิตสาดกระจาย เสียงร้องโหยหวนสะท้อนก้องทุกเมื่อ


บนศิลามังกรขด โชควาสนามหามรรคหลากสายคล้ายไส้เดือนตัวเล็กกำลังรวมตัวและมากขึ้นราวติดปีก เกล็ดมังกรหนาแน่นที่เปล่งประกาย คือแสงแวววาวอันเป็นเอกลักษณ์ของโชควาสนามหามรรค


กระทั่งต่อมาบริเวณหางมังกรขดพลันส่องประกาย ปรากฏแสงแวววาวศักดิ์สิทธิ์ทองอร่าม เปี่ยมจิตวิญญาณดั่งภาพมายา


นี่คือลักษณ์ประหลาดที่เกิดจากการสั่งสมรวบรวมโชควาสนามหามรรคถึงระดับหนึ่ง น่าตื่นตาอัศจรรย์ยิ่ง


“ช่างเป็นปาฏิหาริย์! ถึงขั้นทำให้ ‘หางมังกร’ ส่องประกายระหว่างครองภูผา ในอดีตที่ผ่านสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”


ณ เชิงเขา ผู้อาวุโสมากประสบการณ์คนหนึ่งตกใจไหวหวั่นไม่หยุด


ละแวกใกล้เคียงเองก็มีเสียงอื้ออึง คนมากมายตกตะลึงอ้าปากค้างยากจะเชื่อ


ศิลามังกรขดลักษณะคล้ายมังกรกระหวัดหมอบ แบ่งออกเป็นหางมังกร กรงเล็บมังกร ตัวมังกร หัวมังกร หนวดมังกร เขามังกร ตามังกรเจ็ดส่วน


เมื่อโชควาสนามหามรรคที่ได้รับรวบรวมถึงระดับหนึ่งก็สามารถทำให้ส่วนหนึ่งของ ‘มังกรขด’ เกิดแสงประกายศักดิ์สิทธิ์!


นี่เป็นตัวตัดสินความสูงต่ำของอันดับระหว่างการประลอง ‘ชิงโชควาสนา’ !


โชควาสนายิ่งมาก ชิ้นส่วนมังกรขดที่เกิดแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งเยอะ แน่นอนว่าอันดับก็ยิ่งสูงขึ้นไปเช่นกัน


แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมายังไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เหมือนหลินสวินมาก่อน แค่ระหว่าง ‘ครองภูผา’ ก็ทำให้ส่วนหนึ่งของศิลามังกรขดเกิดแสงศักดิ์สิทธิ์ได้!


นี่เรียกได้ว่าเป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ ไร้ใดเปรียบตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน!


“นี่ไม่เหนือความคาดหมาย เปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งอื่นที่มีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งระดับ ‘เข้าถึงชำนาญ’ ในขอบเขตมกุฎ ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้”


มีคนนิ่งสงบยิ่ง “ได้แค่พูดว่า เทพมารหลินอาศัยเหล่าศัตรู สถานการณ์ไม่ธรรมดาจึงมีโอกาสสร้างปาฏิหาริย์นี่”


เยี่ยนจั่นชิวลอบพยักหน้า วาจานี้ไม่เท็จเทียม


จากที่เขาดู โชควาสนาที่หลินสวินได้รับตอนนี้สามารถจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของยอดเขาสามสิบหกลูกได้จริง


แต่สุดท้ายนี่ก็เป็นเพียงการ ‘ครองภูผา’


ยามศึกชิงโชควาสนาปะทุขึ้น โชควาสนาที่หลินสวินครองยิ่งมากก็ยิ่งพ่าย โชควาสนาที่ต้องสูญเสียไปก็จะยิ่งมีมาก!


ท้ายที่สุดมีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นการลำบากทำแทนคนอื่น


หืม?


นึกถึงตรงนี้ในใจเยี่ยนจั่นชิวพลันชะงัก เขาตระหนักได้ทันทีว่าสมมุติฐานและการคาดการณ์ที่ตนคิดออกมา เป็นการยอมรับว่าหลินสวินสามารถครองภูผาสำเร็จแล้วโดยไม่รู้ตัว…


นี่ทำให้หัวคิ้วเขาขมวดมุ่นทันที


นี่ เป็นสิ่งเกินคาดหมายอีกครั้ง!



“เจ้า… อย่าเข้ามา!”


บนแท่นมรรคยอดเขาลูกที่เก้า การต่อสู้ดำเนินมาถึงตอนท้าย ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งถูกขู่จนจิตต่อสู้พังทลาย ยังไม่รอหลินสวินเข้าประชิดก็ส่งเสียงร้องลั่น


ฟุ่บ!


ผู้แข็งแกร่งอีกคนยิ่งตรงไปตรงมากว่า หันหลังหนีกระโดดลงจากแท่นมรรค ลุกลี้ลุกลนเหมือนหมา ถูกอานุภาพเทพมารปานทำลายล้างของหลินสวินทำเอาตระหนกเข้าจริงๆ แล้ว


นี่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงและสั่นสะท้านใจคนยิ่ง


ส่วนคนที่เหลืออยู่เมื่อเห็นภาพนี้ก็ต่างพังทลายสิ้นเชิง เริ่มหนีกระเจิดกระเจิงไม่สนอะไรทั้งนั้น แม้รู้ว่าไม่มีทางตายจริง พวกเขาก็ไม่คิดเผชิญหน้าหลินสวินอีก


ฝ่ายตรงข้ามดั่งภูเขาเทพขวางกั้นบนแท่นมรรค มีแต่จะถูกเขากำราบ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะถูกสั่นคลอน!


“น่าอัปยศ!”


“อับอายขายขี้หน้า!”


บริเวณเชิงเขา มีพวกผู้เจนจัดและพวกอาวุโสโกรธจนคำรามเดือดดาล


นี่ทำให้ใครต่างไม่อาจยอมรับ ผู้สืบทอดสำนักโบราณที่น่าเกรงขามชื่อเสียงขจรขจาย กิตติศัพท์เกรียงไกรสถานะสูงส่ง


แต่บัดนี้กลับถูกคนสังหารจนจิตต่อสู้ล่มสลาย ลุกลี้ลุกลนหนีกระเจิง แม้แต่หน้าตาและศักดิ์ศรีล้วนไม่ต้องการ หากเผยแพร่ออกไป สำหรับสำนักโบราณเหล่านี้แน่นอนว่าต้องเป็นจุดด่างพร้อย กลายเป็นเรื่องน่าขันอย่างหนึ่ง


บนแท่นมรรคว่างเปล่าเหลือแค่หลินสวินคนเดียว เขายืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ก้มมองเหล่าผู้กล้าที่อยู่ห่างไกล สีหน้าเยียบเย็นดังเดิม


“มีความสามารถแค่นี้รึ” เขาเอ่ยปาก


ละแวกใกล้เคียงไม่อาจนิ่งสงบ ผู้กล้าแต่ละคนสีหน้าคล้ำเขียว ทรวงอกกระเพื่อมไหว ในใจถูกความอัปยศและอัดอั้นอัดแน่น


แต่ยามสัมผัสสายตาลุ่มลึกเฉยชานั่นของหลินสวิน พวกเขากลับไม่มีสักคนที่กล้าพุ่งเข้าไปสู้อีก ถูกทำให้กลัวเข้าจริงๆ


“แม้เจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าคิดหรือว่าออกจากที่นี่แล้วยังสามารถรอดชีวิตได้อีก” มีคนกัดฟันกรอด


ฟุ่บ!


หลินสวินจู่โจมราวอสนีบาต ดาบหักเฉือนแหวกอากาศ แสงโลหิตซ่านเซ็น ผ่าร่างคนผู้นั้นออกเป็นสองซีก โลหิตหลั่งรินดั่งน้ำตก


“พูดไปพูดมาก็แค่อวดอ้างข่มขวัญ ข้าหลินสวินตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ สังหารพวกหน้าโง่เช่นนี้มาไม่รู้เท่าไหร่ เคยใส่ใจการข่มขู่ที่เทียบไม่ได้แม้แต่ตดหมาพวกนี้เสียที่ไหน”


สีหน้าหลินสวินเปี่ยมความหยิ่งผยอง วาจาราบเรียบ มีท่วงท่ามาดมั่นไร้คู่ต่อกรเป็นของตัวเอง


ทุกคนในที่นั้นหน้าซีดเผือด


ชิ้ง!


ดาบหักโฉบกลางฟ้า หลินสวินยืนนิ่งบนแท่นมรรค แหวกอากาศพุ่งสังหารผู้กล้าเหล่านั้น


ล่วงเกินไปแล้วโดยสมบูรณ์ มีหรือยังต้องออมมือ แม้ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายตายจริง แต่ตอนนี้หลินสวินคิดเพียงฆ่าให้สะใจ!


แสงโลหิตซ่านกระเซ็น ฉับพลันก็มีหลายคนไม่ทันตั้งตัวถูกเฉือนสังหารลงตรงนั้น


“เผ่นโว้ย!” กลุ่มคนที่เหลือลนลานสิ้นเชิง แตกฮือกระจัดกระจาย พุ่งทะยานลงทางขึ้นเขา กระสับกระส่ายดั่งสุนัขไร้เจ้าของ


คนส่วนหนึ่งยิ่งตรงไปตรงมากว่า พุ่งไปยังด้านข้างของเส้นทางขึ้นเขาทั้งสองฟาก และถูกกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะคัดออกในชั่วพริบตา


นี่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสสำนักโบราณตรงเชิงเขาสีหน้าคล้ำเขียว ความพ่ายแพ้ในวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงความกล้าหาญ ตรงข้ามกลับกลายเป็นความอัปยศอันยากลบล้าง!


อันที่จริงพวกเขาก็ดูออก หลินสวินอานุภาพยิ่งยงยากถูกตีพ่าย แต่ผู้สืบทอดในสำนักกระเจิดกระเจิงและหนีตายเช่นนี้ กลับน่าขายหน้าเกินไปแล้ว


หากเป็นไปได้หลินสวินแทบอยากจะล้างบางเจ้าพวกนี้ไม่ให้เหลือ ที่น่าเสียดายคือตอนนี้เขาต้อง ‘ครองภูผา’ ไม่อาจออกจากแท่นมรรค ไม่เช่นนั้นความพยายามจะเสียเปล่า


หลินสวินสูดหายใจลึกไม่คิดมากอีก หันมองศิลามังกรขดที่อยู่ไม่ไกล คำนวณเวลาแล้วก็นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูทันที


การต่อสู้ครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุด เวลาที่ใช้ไม่นับว่ายาวนาน แต่กลับเรียกได้ว่าคลั่งระห่ำอย่างที่สุด แน่นอนว่านี่เป็นเพียงศัตรูที่หมายหัวหลินสวินเท่านั้น


ก่อนหน้าก็มีคนพากันคาดเดาว่าเขาคงยืนหยัดได้ไม่นาน แต่ผลกลับตรงกันข้าม


ทว่าหลินสวินเวลานี้ผลาญพลังไปไม่น้อยจริงๆ ผ่านการเข่นฆ่าโรมรันทำให้เขาเสียพลังวิญญาณไปอย่างน้อยเจ็ดส่วน


นี่ไม่ใช่ปัญหา ก่อนศึกชิงโชควาสนาเริ่มต้น ภูเขาเทพไร้มรณะจะเกิด ‘ฝนวิญญาณเทพ’ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณที่ครองภูผาสำเร็จฟื้นฟูพลังทั้งหมดในชั่วพริบตา


‘ตอนนั้นหน้าเทศกาลโคมกถามรรค สิงเจินจื่อที่มาจากมหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะนั่นกล่าวไว้ไม่ผิด บนโลกนี้ไม่ใช่ว่าใครต่างมีสิทธิ์คู่ควรกับคำว่าผู้กล้า’


ภายในดวงตาหลินสวินฉายแววใคร่ครวญ


ผ่านการต่อสู้นี้ ทำให้เขาเห็นด้วยกับทัศนคติของสิงเจินจื่อยิ่งกว่าเดิม


ต้องรู้ว่าการห้ำหั่นก่อนหน้าแม้ดุเดือดหาใดเปรียบ ทว่าแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยใช้โทสะหยาจื้อ และไม่เคยใช้วิชาอริยะยุทธ์!


รวมถึงกระบวนท่าสังหารอย่างกระบวนเฉือนนภาสงัด กระบวนเฉือนเกิดดับก็ไม่เคยสำแดง!


แต่ภายใต้สถานการณ์ออมมือเช่นนี้ เหล่าผู้กล้ามากมายนั่นกลับยังไม่อาจสู้ นี่ยังสมควรเรียกว่าผู้กล้าหรือ


ช่างน่าหัวเราะ!


ขณะเดียวกันหลินสวินก็เข้าใจและรับรู้เรื่องมกุฎมรรคาที่ต่างไปจากเดิม


แต่ก่อนความเข้าใจของเขาที่มีต่อมกุฎมรรคาล้วนมองเป็น ‘มรรคาที่แกร่งสุด’ มาตลอด แต่โบราณมายากจะพบเห็น แม้แต่สมัยบรรพกาลล้วนเห็นได้น้อยยิ่ง


แต่ดูท่าตอนนี้ เห็นชัดว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องนี้


ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจผิด แต่เพราะยุคสมัยแตกต่าง กาลเวลาไร้สิ้นสุดผ่านไปจนปัจจุบัน นิยามของ ‘มกุฎ’ ที่ผู้คนเข้าใจก็เปลี่ยนแปลงแตกต่างตามไปด้วย!

 

 

 


ตอนที่ 1053 ไม่อาจอภัย

 

มกุฎ ถูกมองว่าเป็นมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุด!


ตอนแรกยามหลินสวินสัมผัสมกุฎมรรคา มรรคานี้ถูกประดับไว้ด้วยคำอธิบายอันห่างไกลเอื้อมไม่ถึง ทั้งทำให้คนมุ่งหวังมากมาย


ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันยากพบเห็น สมัยบรรพกาลมรรคานี้เลือนรางดั่งตำนาน ไม่รู้ทำให้ผู้กล้าอัจฉริยะเท่าไรต่างมุ่งหวัง


กระทั่งมีคนสงสัยว่ามรรคานี้มีอยู่จริงหรือไม่


แต่หลังจากหลินสวินฝึกปราณลึกซึ้ง ผ่านเรื่องราวมากมาย เขาจึงค่อยๆ พบว่าตามกาลเวลาที่เปลี่ยนผันไร้สิ้นสุดนี้ นิยามที่ผู้ฝึกปราณบนโลกมีต่อมกุฎมรรคาได้เปลี่ยนไปนานแล้ว


ในความเข้าใจของเขา มกุฎมรรคาคือหนทางที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บรรลุถึงขอบเขตนี้ประหนึ่งราชันแห่งระดับ สามารถเคลื่อนกวาดศัตรูทั้งมวล


แต่ในสายตาผู้ฝึกปราณคนอื่น ผู้สืบทอดแกนหลักของสำนักโบราณอย่างข่งหลิง ซูซิงเฟิง เสวี่ยเชียนเหินก็คือบุคคลแห่งยุคขอบเขตมกุฎแล้ว


ภายในนั้นต้องมีส่วนที่เข้าใจผิดอยู่แน่!


ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ พวกที่เรียกว่าบุคคลแห่งยุคขอบเขตมกุฎถูกหลินสวินสังหารราวสิบกว่าคน แต่จากที่หลินสวินวิเคราะห์พลังของคนเหล่านี้ มากสุดก็ได้แค่ถือว่าสัมผัสธรณีประตูเส้นทางแห่งมกุฎ ยังไม่เคยก้าวเข้าไปในนั้น!


กระทั่งคนส่วนหนึ่งแม้แต่ธรณีประตูล้วนไม่เคยสัมผัส ก็อวดตัวเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎ ทำให้หลินสวินรู้สึกไร้สาระและขบขันนัก


เป็นความเข้าใจของตนที่ยิบย่อยเกินไป หรือเป็นนิยามที่คนบนโลกมีต่อมกุฎได้เปลี่ยนแปลงไปจนผ่อนปรนลงกันแน่


หลินสวินไม่อาจรู้ได้


แต่เขารู้ดีว่าเทียบกับบุคคลแห่งยุคเหล่านี้ คนอย่างมารกระบี่เยี่ยเฉิน ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน สอดคล้องกับนิยามแห่งมกุฎกว่าโดยไม่ต้องสงสัย


‘ต่อให้ถอยลงมาก้าวหนึ่ง แบ่งมกุฎมรรคาเป็นสามระดับ พวกที่เพิ่งถูกข้าพิฆาตอย่างมากก็แค่ระดับล่างสุดแรกก้าวสำรวจเท่านั้น’


‘สำหรับบุคคลอย่างเยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน อยู่เหนือระดับแรกก้าวสำรวจ ส่วนแข็งแกร่งมากแค่ไหนกลับยากประเมิน’


‘แต่เหล่ายักษ์ใหญ่บุคคลแห่งยุครุ่นก่อนอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ น่าจะมีความเชี่ยวชาญน่าทึ่งเหลือประมาณในมกุฎมรรคา แม้ไม่ถึงขั้นเรียกว่าแข็งแกร่งที่สุดแต่ก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่…’


หลินสวินใคร่ครวญ


มหายุคจวนมาเยือน ก็บ่งชี้ว่าใต้หล้านี้ต้องปรากฏปีศาจไร้เทียมทานอีกนับไม่ถ้วน ผงาดง้ำราวหมู่ดาว ประชันขันแข่งท่ามกลางมหายุค


ก่อนหน้านั้นหากสามารถเข้าใจบุคคลแห่งยุครุ่นเดียวกันอย่างลึกซึ้งและแม่นยำได้สักหน่อย คงมีแต่ประโยชน์ไม่เป็นโทษ


‘ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะก้าวเดินบนเส้นทางของข้า จนถึงมรรคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อมรรคาแห่งตน!’


นานพอควรข้อสงสัยในใจหลินสวินหายไปจนหมด จิตมรรคกระจ่างว่างเปล่า แน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม


เขานั่งสมาธิบนแท่นมรรค พิจารณาปริศนาแห่งมกุฎ แต่เหนือยอดเขาอื่นศึกใหญ่ยังคงออกแสดง


เช่นเดียวกัน ณ เชิงเขา เหล่าผู้ชมที่มาจากต่างสำนักก็ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด


อานุภาพยิ่งใหญ่ของหลินสวินได้เป็นที่ประจักษ์ สามารถคว้าหนึ่งในสามสิบหกอันดับกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้แล้ว คราวนี้ก็มาดูว่ายอดเขาอื่นที่เหลือจะตกเป็นของใครกันแน่


การเข่นฆ่าโรมรันบนยอดเขาแต่ละลูกล้วนเรียกได้ว่าดุเดือด คนรุ่นเดียวกันช่วงชิงความเป็นใหญ่ ผู้แข็งแกร่งแข่งประลอง การต่อสู้ใดๆ หากเกิดยังโลกภายนอกล้วนพอที่จะสร้างความครึกโครมครั้งใหญ่


แต่บนภูเขาเทพไร้มรณะนี้กลับเห็นบ่อยจนชินตา


เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยนั้นต่างรับมือแทบไม่ทัน การต่อสู้น่าชื่นชมมากเหลือเกิน บุคคลแห่งยุคซึ่งเจิดจรัสในที่นั้นก็มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งมีจุดเด่นชัดเจนเป็นของตน ช่างทำให้ผู้คนสับสนตาลายยากจะเลือก


หลินสวินก็เหลือบสายตาไปยังยอดเขาอื่นเช่นกัน พลังจิตรับรู้มหาศาลแผ่ขยายชมการต่อสู้


ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนวาดดาบดุจอสนี มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พลานุภาพทำลายล้าง ตั้งแต่ขึ้นสู่แท่นมรรคแทบไม่มีคนสามารถยืนหยัดใต้เงื้อมมือเขาเกินสิบกระบวน


มารกระบี่เยี่ยเฉินโดดเด่นเช่นกัน กระบี่โบราณจื่อเวยแผ่เจตกระบี่ไพศาล มีความสูงส่งสง่าผ่าเผย อำนาจมารทำลายล้างสูงสุด ทรงพลังไร้เทียมทาน ไร้ผู้สามารถหันปลายดาบเข้าประชัน


ตรงกันข้าม จินมู่อวิ๋นเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ชั้นยอดคนหนึ่ง แต่เจตกระบี่ของเขากลับคลั่งระห่ำดั่งฟ้าคำราม แข็งแกร่งดุดันมืดฟ้ามัวดิน ไอสังหารทะลุทะลวง


กลวิธีต่อสู้ของหลี่ชิงผิงกลับเห็นได้ว่าเจ้าเล่ห์อำมหิต ปรวนแปรเกินคาดเดา เขาอาศัยขลุ่ยหยกมรกตต่อกรศัตรู เสียงขลุ่ยครวญดั่งเสียงแห่งเทพผี มีอานุภาพซึมจิตชิงวิญญาณ


อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา โก่วเหยียนเจิน…


บุคคลแห่งยุคที่ชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่งนานแล้วเหล่านี้ หากเป็นไปดังคาดต้องสามารถดันตนขึ้นสู่อันดับกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แน่


ที่ทำให้หลินสวินสนใจเป็นพิเศษคือโก่วเหยียนเจิน การต่อสู้ของเขาสามารถใช้คำว่าเหี้ยมโหดวิปริตมาอธิบาย


ศัตรูที่ท้าทายเขาเป็นต้องถูกเขาใช้สองมือฉีกทึ้งร่างอย่างแข็งกร้าวจนแขนขาขาดกระจาย ฝนโลหิตสาดพรมราวน้ำตก


ทำให้คู่แข่งประสบความทรมานและทุกข์ทนยากจินตนาการก่อนถูกคัดออก


วิธีการเหี้ยมโหดเช่นนี้กระตุ้นความคับแค้นและเสียงคำรามมากมายจากเหล่าผู้อาวุโสสำนักโบราณ แทบอยากขึ้นไปสังหารไอ้ลูกหมาทมิฬนี่ด้วยมือตัวเอง


แต่วิธีเช่นนี้ของโก่วเหยียนเจินเหี้ยมโหดก็ส่วนเหี้ยมโหด แต่กลับมีแรงสั่นสะเทือนเหลือประมาณ ยามผู้แข็งแกร่งเห็นภาพนองเลือดนี้กับตา ส่วนใหญ่ล้วนตระหนกจนไม่กล้าขึ้นไปท้าสู้ เกรงแต่จะถูกโก่วเหยียนเจินใช้มือฉีกกระชาก


ยามสายตาหลินสวินมองไป ก็เห็นโก่วเหยียนเจินกำลังบีบตัวหญิงสาวร่างอรชรคนหนึ่งไว้พอดี สองมือพลันแยกออกจากกันดังฟึ่บ แขนและร่างหญิงสาวถูกฉีกกระชากราวไหมทอ ฝนโลหิตแดงสดสาดพรมแท่นมรรคดั่งน้ำตก


โก่วเหยียนเจินเผยรอยยิ้มตื่นเต้นกระหายเลือด แลบลิ้นแดงก่ำลิ้มรสเลือดที่กระเด็นลอยกลางอากาศ จากนั้นจึงสูดหายใจลึก ส่งเสียงครางพึงพอใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคลิบเคลิ้มหาใดเปรียบ


ฟุ่บ!


เกือบจะเวลาเดียวกัน เขาสังเกตเห็นสายตาที่หลินสวินมองมา เขาพลันแสยะยิ้มเผยฟันขาวดุจหิมะที่แหลมคม ริมฝีปากกล่าววาจาโดยไร้เสียง


‘เทพมารหลิน ข้าจะฉีกกระชากเจ้าด้วยมือเปล่าเช่นกัน ลองชิมเลือดเจ้าว่ามีกลิ่นอายวิเศษราวเทพมารหรือไม่’


ลำคอเขาไหวเคลื่อนเหมือนจ้องเหยื่ออันล่อใจ ยิ้มอย่างกำเริบเสิบสาน


หลินสวินมองอีกฝ่ายเงียบๆ สีหน้าราบเรียบ ก่อนจะถอนสายตากลับมา


หากเจอโก่วเหยียนเจินในการประลอง ‘ชิงโชควาสนา’ เขาไม่ถือสาที่จะทรมานเจ้าหมาดำตัวนี้ทีละน้อยจนตาย!


จากนั้นหลินสวินก็มองเห็นเซียวชิงเหอ


เซียวชิงเหอสามารถต่อสู้บนแท่นมรรคต่อเนื่องถึงตอนนี้ ทำให้หลินสวินรู้สึกเกินคาดหมาย


ในความเข้าใจของเขา เซียวชิงเหอแม้แข็งแกร่ง แต่ยังห่างจากมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริงไม่น้อย


แต่เซียวชิงเหอกลับสามารถ ‘ครองภูผา’ ได้ถึงปัจจุบัน นี่พิสูจน์แล้วว่าพลังแฝงของคนผู้นี้ล้ำลึกยิ่ง เหนือกว่าศักยภาพจริงที่เขาแสดงออกมา


แต่ไม่ช้าหลินสวินก็มุ่นคิ้ว


สถานการณ์ของเซียวชิงเหอไม่เข้าทีอยู่บ้าง!


คู่ต่อสู้ของเขาคือชายหนุ่มชุดขนนกที่กลิ่นอายอ่อนโยนคนหนึ่ง สีผิวขาวกระจ่าง ใบหน้างามเหมือนหญิงสาว เจือเสน่ห์เฉพาะตัวที่อัศจรรย์พิกล


หากหลินสวินจำไม่ผิด ชายหนุ่มชุดขนนกนี้นามชิงเหวินเจวี้ยนมาจากเผ่าหงส์เขียว ถูกมองว่าเป็นบุตรเทพของเผ่านี้


ชิงเหลียนเอ๋อร์ที่ตายด้วยมือตนตอนนั้นก็เป็นญาติผู้น้องของชิงเหวินเจวี้ยนนี่


ขณะนี้เงาร่างชิงเหวินเจวี้ยนราวไร้รูปเลือนราง ทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ออก ไม่เพียงแต่เร็วเท่านั้นยังอัศจรรย์เหลือประมาณ


ไม่ว่าเซียวชิงเหอบุกโจมตีอย่างไรก็สัมผัสชายเสื้อเขาไม่ได้แม้เพียงเสี้ยว!


ไม่จำเป็นต้องสงสัย วิชาเคลื่อนไหวนี้ของชิงเหวินเจวี้ยนได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด


เดิมภายใต้สถานการณ์ปกติเซียวชิงเหอก็ไม่มีหวังจะชนะแล้ว แต่ชิงเหวินเจวี้ยนกลับไม่รีบร้อนโจมตีอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ ตรงกันข้ามกลับเหมือนแมวเล่นกับหนู ล้อหลอกเซียวชิงเหอไปมา


บุคลิกชิงเหวินเจวี้ยนบอบบางเหมือนหญิงสาว มีเสน่ห์อัศจรรย์หาใดเปรียบ ในมือขาวกระจ่างเรียวบางถือเข็มทองแหลมละเอียด


เขาราวกำลังปักบุปผา เห็นเซียวชิงเหอเป็นผ้าไหม ทุกครั้งที่ลงมือจะแทงเข็มทะลวงร่างเซียวชิงเหอจนเกิดรูเข็มเล็กบางทีละรอย


เห็นชัดว่าเซียวชิงเหอแบกรับความเจ็บปวดถึงขีดสุด สีหน้าคล้ำเขียวขุ่นเคืองหาใดเปรียบ แต่เขากลับไม่อาจจับจังหวะชิงเหวินเจวี้ยนได้อย่างสิ้นเชิง กระทั่งบาดแผลที่ได้รับนานเข้าก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ


สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าผิวหนังทั่วร่างเขาถูกแทงทะลุจนเกิดรูโหว่ชุ่มเลือดเล็กแน่น โลหิตหลากสายซึมออกมา ร่างเป็นรูปร่าง ‘กุหลาบป่า’ ดอกหนึ่ง


ชิงเหวินเจวี้ยนกำลังปักบุปผาอยู่จริงๆ !


การกระทำเขาถึงขั้นแฝงความสุนทรีคล่องแคล่ว เชี่ยวชาญชำนาญการ ประหนึ่งจิตรกรใหญ่ที่บรรลุขั้นสูงกำลังจรดพู่กันพรมหมึก


เพียงแต่การเห็นคู่แข่งเป็นผืนผ้า วิธีการที่อาศัยโลหิตแดงสดแทนหมึกเขียน ใช้เข็มทองแทนปลายพู่กันเช่นนี้ กลับทำให้ผู้คนไม่อาจรู้สึกสุนทรีย์แม้เพียงเสี้ยว กลับเห็นได้ว่าน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ!


ไม่ว่าใครเห็นภาพนี้คงล้วนขนพองสยองเกล้า รู้สึกหวาดผวา


เซียวชิงเหอเจ็บปวดนัก ผิวหนังทั่วร่างล้วนสั่นสะท้าน ดวงตาปูดโปนแทบถลน เขาราวสู้สุดชีวิต ใช้พลังทั้งหมดซัดสังหารชิงเหวินเจวี้ยน


แต่ทุกอย่างล้วนเห็นได้ว่าเปล่าประโยชน์


สีหน้าชิงเหวินเจวี้ยนนิ่งสงบ เข็มทองในมือซัดเหิน เพิกเฉยต่อความคั่งแค้นของเซียวชิงเหอ


นี่คือความอัปยศ!


ชั่วดีอย่างไรเซียวชิงเหอก็เป็นหนึ่งในสิบหกสุริยันผู้กล้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ฐานะ ตำแหน่ง พลังต่อสู้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นเลิศในหมู่คนรุ่นเยาว์ปัจจุบัน


แต่บัดนี้กลับถูกคนเห็นเป็นผืนผ้าปัก นี่คือการเหยียบย่ำ หยามศักดิ์ศรีและจิตมรรคของเขาอย่างสาหัสโดยไม่ต้องสงสัย!


แม้แต่หลินสวินก็มองจนในดวงตาดำปรากฏแววเยียบเย็นวูบหนึ่งอย่างไม่อาจระงับ ในใจมีไอสังหารที่ยากควบคุม


ชิงเหวินเจวี้ยนนี่ แม้วิธีเหี้ยมโหดสู้โก่วเหยียนเจินไม่ได้ แต่หากกล่าวถึงความวิปริตแล้วมีแต่เหนือกว่า!


หืม?


เวลานี้หลินสวินหน้าพลันเปลี่ยนสี กำสองหมัดแน่นเงียบๆ ไอสังหารในดวงตาราวปรากฏขึ้นอย่างแท้จริง สาดประกายชวนประหวั่น


ก็เห็นเหนือยอดเขาที่ห่างไกล เงาร่างเซียวชิงเหอพลันแข็งทื่อ หยุดชะงักกลางอากาศราวถูกสกัดจุด


และตอนนี้ชิงเหวินเจวี้ยนก้าวไปข้างหน้า หนีบเข็มทองบางละเอียดแทงเข้าตำแหน่งหัวใจของเซียวชิงเหอ


จากนั้นเงาร่างเขาพลันพริบไหว ถอยกลับจุดเดิม


แต่ร่างกายเซียวชิงเหอกลับเหมือนถูกเส้นด้ายคมนับไม่ถ้วนเฉือนตัดไปมา ระเบิดออกฉับพลัน


ไอโลหิตแผ่พุ่ง ปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ กลายเป็นลวดลายกุหลาบป่าสีเลือดที่เย้ายวนบาดตาดอกหนึ่ง


ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ต่างหนาวสะท้านไปทั้งตัว ในใจเกิดความหวาดผวา วิธีเช่นนี้ช่างวิปริตถึงขีดสุด!


ชิงเหวินเจวี้ยนกลับประหนึ่งไม่รับรู้อะไร ลูบคางจ้องมองกุหลาบป่าสีเลือดที่เบ่งบานกลางอากาศนั่น บนใบหน้าขาวกระจ่างเปี่ยมความชื่นชม


แม้รู้ว่าบนเขาเทพไร้มรณะนี้เซียวชิงเหอไม่มีทางสิ้นชีพ แต่หลินสวินก็ยังเกิดไฟโทสะไร้สิ้นสุด นัยน์ตาดำเยียบเย็นจนน่ากลัว


ฆ่าคนต้องรู้จักพอประมาณ ชิงเหวินเจวี้ยนนี่กลับใช้วิธีการวิปริตนองเลือดเช่นนี้มาหยามหน้าและทรมานเซียวชิงเหอ ไม่อาจอภัยเด็ดขาด!

 

 

 


ตอนที่ 1054 การแก่งแย่งโชควาสนาเปิดฉาก

 

เซียวชิงเหอถูกวิธีที่ดูหมิ่นและเหี้ยมโหดคัดออก


นี่ทำให้หลินสวินยากระงับความโกรธภายในใจ


ถูกเอาชนะไม่เท่าไหร่ แต่แพ้ด้วยความอัปยศวิปริตเช่นนี้กลับทำให้หลินสวินไม่อาจยอมรับ!


‘หลินสวิน เจ้าโกรธมากใช่หรือไม่ นี่ก็ถูกแล้ว ตอนนั้นที่เจ้าสังหารน้องเหลียนเอ๋อร์ ข้าก็โกรธมากเช่นกัน’


ข้างหูยินเสียงแหบพร่าบางเบาดุจอสรพิษแลบลิ้น


หลินสวินไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชิงเหวินเจวี้ยนเหลือบสายตามองมายังยอดเขาที่ตนอยู่


เขาสวมชุดขนนก ผิวขาวกระจ่าง ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์แปลกประหลาด ริมฝีปากบางแดงสดดุจคมดาบเผาไฟแรง


‘เจ้ามาล้างแค้นข้าก็ได้ ทำไมต้องลงมือกับเซียวชิงเหอ’ หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น


‘เพราะข้าก็อยากให้เจ้าสัมผัสรสชาติของความโกรธสักหน่อย’


ชิงเหวินเจวี้ยนยิ้มกำเริบเสิบสาน ‘จะว่าไปเจ้าไร้ที่พึ่งพิง ในดินแดนรกร้างโบราณแม้แต่ญาติสักคนก็ไม่มี ทำให้แม้ข้าคิดแก้แค้นก็ต้องปวดหัว ยังดีที่สุดท้ายข้าก็ได้เจอเซียวชิงเหอ’


เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้ชิงเหวินเจวี้ยนแอบสืบข่าวเกี่ยวกับหลินสวินไว้ก่อนแล้ว หมายลงมือทำร้ายคนใกล้ตัวหลินสวิน!


‘เจ้าไม่ห่วงว่าจะถูกตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราโจมตีรึ’ หลินสวินมุ่นคิ้ว รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ดูเหมือนบอบบางนิ่งสงบ อันที่จริงกลับราวคนบ้าวิปริต


‘หากข้ากลัวจะกล้าทำเช่นนี้รึ’


ชิงเหวินเจวี้ยนกล่าวเนิบช้า ‘จุดจบของเซียวชิงเหอเจ้าก็เห็นแล้ว บอกเลยว่าเว้นแต่เจ้าคุกเข่าขอร้องข้าโดยดีเสียตอนนี้ ไม่เช่นนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าจะทำให้พวกเขากลายเป็นจิตรกรรมเลือดทีละคน’


กล่าวถึงตอนท้ายเขาอดยิ้มไม่ได้ บนหน้าอ่อนโยนแต่เปี่ยมเสน่ห์เต็มไปด้วยกลิ่นอายบ้าคลั่ง


หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าว ‘เช่นนั้นข้าก็อยากดูนักว่า พวกเจ้าเผ่าหงส์เขียวจะรับไฟโทสะของข้าได้หรือไม่ เจ้ากล้าทำเช่นนี้ ข้าก็กล้าทำลายเผ่าพวกเจ้าให้สิ้นซาก ไม่เชื่อก็ลองดูว่าใครจะหัวเราะทีหลัง’


‘จริงสิ ทางที่ดีเจ้าควรภาวนาว่าอีกเดี๋ยวขออย่าให้ข้าเจอเจ้า’


น้ำเสียงราบเรียบ แต่มีเจตจำนงเด็ดเดี่ยว


พูดจบเขาถอนสายตากลับ ไม่เหลือบมองฝ่ายตรงข้ามอีก


วิธีการของชิงเหวินเจวี้ยนได้สะกิดต่อมโกรธเขาแล้ว ทำให้เขาไม่อาจอดกลั้น ตัดสินใจสังหารทิ้ง


ขณะเดียวกันชิงเหวินเจวี้ยนก็อึ้งไป จากนั้นพลันส่งเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนคนบ้า ในดวงตาอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความคลั่งระห่ำ ‘เช่นนั้นก็ลองดู!’



โครม!


บนยอดเขาอีกลูก อาหลู่ราวสัตว์ปีศาจที่ไม่มีทางอ่อนกำลัง แค่เพียงมือเปล่าก็ซัดสมบัติคู่แข่งกระเด็น เท้าข้างหนึ่งเตะอีกฝ่ายลอยออกนอกแท่นมรรค


จิตต่อสู้เขาทะลุทะลวง ผงาดง้ำทั่วจตุรทิศ ยื่นมือชี้เหล่าผู้กล้าที่อยู่ไม่ไกลซึ่งตระหนกจนไม่กล้าเข้ามานานแล้ว กล่าวไม่สบอารมณ์ “ตาขาวกันไปหมดได้อย่างไร พวกเจ้าไม่พอใจไม่ใช่รึ ทำไมหดหัวเข้ากระดองเหมือนผู้หญิงอยู่ตรงนั้น พวกเจ้ามันผู้กล้าตดหมา!”


น้ำคำยั่วยุเต็มเปี่ยม ทำให้เหล่าผู้กล้าโกรธจนอกแทบแตก แทบอยากฉีกปากเหม็นเน่าของเจ้าคนป่านี่ให้กระจุย


แต่สุดท้ายกลับไร้คนพุ่งไปเบื้องหน้า


ช่วยไม่ได้ พลังต่อสู้ของคนป่านี่เหมือนกับปากเหม็นเน่าของมัน ทรงอานุภาพจนผิดวิสัย ต่อสู้ถึงตอนนี้ แม้แต่บุคคลแห่งยุคล้วนถูกเขากำราบอย่างแข็งกร้าว ใครยังจะกล้าพุ่งเข้าไปอีก


หลินสวินเห็นดังนี้ก็ถอนสายตากลับ มองไปทางจ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่บนยอดเขาอื่น


ไม่เจอกันหลายปี ศักยภาพของจ้าวจิ่งเซวียนก็รุดหน้าเช่นกัน กระทั่งแข็งแกร่งถึงขั้นทำให้หลินสวินรู้สึกตะลึง


นางสวมชุดกระโปรงม่วง เงาร่างสูงโปร่งทรงสง่าร่ายรำดุจหงส์ตื่น แข็งแกร่งราวมังกรเหิน กรำศึกบนแท่นมรรคประหนึ่งเซียนเดินเล่นในสวนบ้าน


กระถางสมบัติเก้ามังกรถูกนางนำมาใช้ สำแดงเงามายาเจินหลงเก้าตัว เชิดศีรษะกลางอากาศ เคลื่อนทะยานแผดคำราม พลานุภาพศักดิ์สิทธิ์ล้นฟ้า สว่างอำไพดั่งอานุภาพสวรรค์มาเยือน


คนที่กำลังต่อกรกับนางคือบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง แต่ประมือกันแค่ไม่กี่สิบกระบวนท่า ระหว่างที่ฝืนปะทะซึ่งหน้าก็ถูกจ้าวจิ่งเซวียนกำราบสิ้นเชิง!


‘นางมีพลังจักรพรรดิพญามังกรติดตัว ทั้งขัดเกลาฝึกฝนยอดวิชามรดกของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ มีผลสัมฤทธิ์เช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล’


หลินสวินวางใจลง จากการวิเคราะห์ของเขา หากไม่ผิดคาดจ้าวจิ่งเซวียนสามารถเข้าสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้อย่างสบาย


‘ไม่เลว ศิษย์น้องจิ่งเซวียนบรรลุขั้น ‘เข้าถึงชำนาญ’ ของมกุฎมรรคา ห่างจาก ‘บรรลุสูงสุด’ ไม่ไกลแล้ว’


ขณะเดียวกันเยี่ยนจั่นชิวที่ติดตามจ้าวจิ่งเซวียนมาตลอดลอบพยักหน้า ในดวงตาเจือความชื่นชมจากใจ


วู้ม!


ทันใดนั้นบนเขาเทพไร้มรณะส่งเสียงกระหึ่มไม่หยุด ปรากฏพลังกฎระเบียบมหามรรคไม่เสื่อมคลายและสูงส่ง ทำให้เหนือยอดเขาสามสิบหกลูกสว่างไสวโดยพร้อมเพรียง


สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ว่าการต่อสู้บนแท่นมรรคแต่ละแห่งเวลานี้ต่างถูกระงับพร้อมกัน


ขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งที่ท้าชิงไม่สำเร็จก็ถูกพลังไร้รูปขับออกจากแท่นมรรค เหลือเพียงเงาร่างทั้งสามสิบหกแยกกันยืนอยู่บนนั้น


เวลาหนึ่งก้านธูปจบลง การครองภูผาสิ้นสุดแล้ว!


พริบตานั้นกลุ่มคนที่เฝ้ารอตรงเชิงเขา ต่างทอดสายตามองไปยังแต่ละเงาร่างที่ยืนอยู่บนยอดเขานั่นโดยพร้อมเพรียง


เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จินมู่อวิ๋น ฉู่เป่ยไห่ หลี่ชิงผิง อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา โก่วเหยียนเจิน จ้าวจิ่งเซวียน…


แน่นอนว่ายังมีหลินสวิน


รวมเหล่าผู้กล้าทั้งสิ้นสามสิบหกคนที่ครองภูผาสำเร็จ!


เหล่าผู้กล้าแต่ละสำนักที่แม้ปีนเขาแต่ไม่เคยพุ่งสู่แท่นมรรคเห็นภาพนี้เข้า ไม่มีใครไม่เผยสีหน้าท้อแท้และผิดหวัง


การปีนเขาและครองภูผาดูเหมือนห่างกันเพียงก้าว แต่กลับแตกต่างราวฟ้ากับดิน!


ผู้ครองภูผาสำเร็จเท่ากับจัดอยู่ในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ กลายเป็นบุคคลระดับยอดมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์


นี่เป็นทั้งเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ และเป็นคำอธิบายซึ่งมีพลังที่สุดต่อศักยภาพตัวเอง!


สำหรับผู้กล้าอื่นๆ เป็นได้แค่ตัวประกอบที่ถูกคัดออก จากนี้คงไม่มีทางดึงดูดความสนใจได้มากเท่าไรนัก


นี่ก็คือการแก่งแย่งมหามรรค เหลื่อมกันเพียงก้าวก็เป็นไปได้สูงที่จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน!



“ต่อไปน่าจะเริ่มการต่อสู้จัดอันดับ ‘ชิงโชควาสนา’ ช่วงท้ายแล้ว ยอดมกุฎรุ่นเยาว์สามสิบหกคน ไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะได้อันดับหนึ่ง”


ณ เชิงเขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ ผู้ฝึกปราณแต่ละสำนักต่างกำลังเฝ้าดู


“เปรียบเทียบกับอดีต การแข่งขันครองภูผารอบนี้เรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์ ผู้กล้าส่วนหนึ่งหากเป็นเมื่อก่อนต้องมีศักยภาพดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แน่ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้แพ้ ทำให้ผู้คนทอดถอนใจด้วยความเสียดาย”


“ไม่ผิด ใช่ว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่ง แต่ผู้กล้าที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ รวมตัวบุคคลแห่งยุคซึ่งเจิดจรัสที่สุดของสี่แดนวิภูในดินแดนรกร้างโบราณ ความพ่ายแพ้ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องผิด!”


“เมื่อไหร่ก็ตามที่มหายุคมาเยือน จะต้องมีปีศาจและอัจฉริยะนับไม่ถ้วนเด่นผงาด แก่งแย่งฟ้าดินช่วงชิงบนมหามรรค มหายุคครั้งนี้แม้ยังไม่มาเยือน แต่จากตัวคนรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถสัมผัสได้เลยว่า มหายุคครั้งนี้ต้องไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์!”


เหล่าผู้อาวุโสต่างกำลังรำพึงทอดถอนใจ


“ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว บางทีอาจเป็นเทพมารหลินนี่!”


“ถูกผู้กล้าสำนักโบราณมากขนาดนั้นหมายหัวร่วมมือกันโจมตี เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงถูกสังหารนานแล้ว แต่เจ้าหมอนี่กลับยืนหยัดถึงตอนท้าย ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”


“หึๆ รอก่อนเถอะ การแสดงออกของเขายิ่งสะดุดตา ยามออกจากเขตหวงห้ามไร้มรณะก็ยิ่งตายอนาถ!”


คนที่คอยตามดูหลินสวินก็มีจำนวนไม่น้อย


ก่อนหน้านี้ใครต่างคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถดันตนขึ้นบนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ล้วนคิดว่าภายใต้การโจมตีของผู้กล้าสำนักโบราณมากมาย เขาต้องถูกคัดออกแน่


แต่ผลกลับเกินคาด


หลินสวินชนะแล้ว!


ตัวคนเดียวเอาชนะเหล่าผู้กล้าบนยอดเขาลูกที่เก้าได้ทั้งหมด!


นี่ดึงดูดความสนใจผู้แข็งแกร่งเหนือยอดเขาอื่นที่ดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เช่นกัน


“อย่างนี้สิค่อยน่าสนุก” ในดวงตาเฉียบคมดุจดาบของเซี่ยวชางเทียนสาดแสงแวววาววูบหนึ่ง


“ร้ายนักนะเทพมารหลิน! ข้ายิ่งเฝ้าคอยที่จะได้ดื่มกับเจ้าเข้าไปอีก!” มารกระบี่เยี่ยเฉินชายเสื้อพลิ้วไหว ยิ้มรื่นรมย์


“นี่สิค่อยเหมือนเทพมารหน่อย” อาหลู่ยิ้มยิงฟัน


สีหน้าพวกจินมู่อวิ๋น ฉู่เป่ยไห่ อวี่หลิงคง หลี่ชิงผิง โก่วเหยียนเจิน แต่ละคนล้วนอึมครึมไม่น่าดู


ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างส่งกำลังพลไปกดดันหลินสวิน แต่คิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หลินสวินยังสามารถได้ชัยชนะ นี่ทำให้พวกเขามีท่าทางอักอ่วนเหมือนกินแมลงวันเข้าไป


“เก่งมาก พี่ชายเทพมาร” จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบ หยอกล้อทะเล้นประโยคหนึ่ง


“ชนะแล้วอย่างไร ‘ชิงโชควาสนา’ ต่อจากนี้ จะดูว่าคนไร้ยางอายอย่างเจ้าจะอวดเบ่งได้ถึงเมื่อไหร่!” จี้ซิงเหยาไม่พอใจนัก


ส่วนคนอื่นที่ไร้ความแค้นกับหลินสวินและไม่รู้จักเขา แต่เป็นผู้กล้าที่ดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เหมือนกันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสนใจหลินสวินมากขึ้นอยู่บ้าง


มีคนแปลกใจสงสัย บ้างก็ชื่นชม บ้างระวังตัวและระแวดระวัง


ต่อจากนี้จะเริ่มการแข่งขันจัดอันดับ ตัวตนของหลินสวินคือกรณีพิเศษโดยไม่ต้องสงสัย ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่ให้ความสำคัญ


สำหรับการจับตามองเหล่านี้หลินสวินไม้ได้ใส่ใจ มาถึงขั้นนี้ ในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แม้ไม่กล้าคุยโวว่าจะคว้าชัยชนะ แต่ก็ไม่หวั่นเกรงศัตรูคนใดแน่นอน!


‘การชิงโชควาสนา ไม่รู้ว่าจะเป็นไปอย่างไร…’


หลินสวินเหลือบสายตามองไปยังแท่นมรรคบนยอดเขาต่างๆ บนภูเขาเทพไร้มรณะไม่มีผู้ตัดสิน หลินสวินก็รู้แค่ว่าอาศัยกฎระเบียบดำเนินการเท่านั้น


ครืน!


ขณะหลินสวินใคร่ครวญ บนยอดเขาสามสิบหกลูก ทุกแท่นมรรคต่างเกิดเสียงกึกก้อง เส้นทางประกายทองแต่ละสายที่พุ่งมายังใจกลางยอดเขาแต่ละลูกรวมตัวเข้าด้วยกัน ระเบิดประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สะเทือนใต้หล้าออกมา


จากนั้นประกายศักดิ์สิทธิ์ถักทอ ค่อยๆ ก่อตัวเป็นสนามประลองมหึมาหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง!


สนามประลองเป็นสีขาวดำ ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ สร้างขึ้นบนอากาศ ส่องประกายนิรันดร์ราวไม่ดับสูญ ทันทีที่ปรากฏก็ดึงดูดสายตาทุกคน


เส้นทางประกายทองสามสิบหกสาย พุ่งจากยอดเขาแต่ละลูกไปสู่ใจกลางลานประลอง


นี่ก็คือสนามประลองโชควาสนา!


การต่อสู้จัดอันดับยอดมกุฎรุ่นเยาว์จะเปิดฉากบนนั้น


เมื่อการต่อสู้เริ่มต้น กฎระเบียบต้องห้ามของภูเขาเทพไร้มรณะจะโคจรด้วยตัวเอง เคลื่อนย้ายผู้แข็งแกร่งแต่ละคนไปต่อสู้บนสนามประลอง


ผู้ชนะไม่เพียงอันดับสูงขึ้น ยังสามารถชิงโชควาสนามหามรรคส่วนหนึ่งได้ด้วย!


“กำลังจะเริ่มแล้ว!”


ณ เชิงเขา ทุกคนต่างจับจ้อง สายตารวมอยู่ที่สนามประลองโชควาสนาเหนือท้องฟ้า


ผู้แข็งแกร่งอย่างเผ่าวาทวาโยยิ่งเตรียมใบต้นข่าวสารทองคำหนาปึกอยู่ก่อนแล้ว วางแผนบันทึกทุกเหตุการณ์การประลองแห่งยุคที่จะเกิดขึ้นบนสนามประลองโชควาสนา!


‘ช่างทำให้คนเฝ้ารอเสียจริง…’ นัยน์ตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย มองออกไปไกลๆ ในใจเกิดจิตต่อสู้อย่างไม่อาจระงับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)