Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1045-1050
ตอนที่ 1045 อาภรณ์ขาวเหนือหิมะเยี่ยนจ...
จ้าวจิ่งเซวียนมาพร้อมผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งหมด
ยามสายตาและจิตใจของหลินสวินถูกจ้าวจิ่งเซวียนดึงดูด สายตาผู้กล้าแต่ละสำนักใหญ่ในที่นี้แทบทั้งหมดล้วนถูกชายข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนดึงดูดไปสิ้น
ชายผู้นี้สวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ คิ้วกระบี่เนตรดารา เงาร่างตระหง่านดุจสนขจีบนริมผา ยามก้าวเดินชายเสื้อพลิ้วไหวดั่งมังกรเหินพยัคฆ์ก้าว แฝงความสง่างามครองพิภพ
แววตาเขานิ่งสงบ มุมปากระบายยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มี ดูเหมือนทำให้คนเคลิบเคลิ้มดั่งลมฤดูใบไม้ผลิ ความจริงแล้วกลับมอบระยะห่างอันสูงส่งไม่อาจเอื้อมแก่ผู้คน
เห็นได้ว่าเขาไม่ธรรมดายิ่ง แม้แต่บุคคลอย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินล้วนถูกทำให้ตระหนก เมื่อมองเห็นรูปพรรณคนผู้นี้ชัดเจน ในดวงตาต่างฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง
ในสายตาบุคคลแห่งยุคอย่างพวกเขา ชายชุดขาวนี่มีความสง่างามอีกอย่าง
เงาร่างที่ดูเหมือนผอมบางของเขา แท้จริงแฝงความอหังการผงาดง้ำ!
นี่คืออานุภาพพลังอันโดดเด่นอย่างหนึ่ง คือความเชื่อมั่นแน่วแน่ที่ดูหมิ่นสรรพสิ่ง ประหนึ่งราชันกำลังตระเวนดินแดนตน มีอานุภาพอัศจรรย์ไม่อาจล่วงล้ำ
เยี่ยนจั่นชิว!
ในหัวทุกคนปรากฏชื่อหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ชายชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าสง่างามโดดเด่นผู้นี้ เดิมก็เหมือนตำนานคนหนึ่ง
เขาคือบุตรเทพคนปัจจุบันของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ มีชาติกำเนิดจากตระกูลเยี่ยนซึ่งเป็นตระกูลอริยะ เล่าลือว่าเผ่าฝั่งมารดามีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงบรรพกาล
แผ่นหลังเขาประทับ ‘ลายมรรคเกล็ดมังกร’ แต่กำเนิด ครอบครอง ‘มรรคมังกรฟ้าแปดภาคี’ ได้รับฉายา ‘มังกรไร้พ่าย’
ปัจจุบันเขาคือบุคคลแห่งยุคอันดับสามของสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแดนชัยบูรพา!
ผู้มีชาติกำเนิด ความเป็นมา รากฐาน แก่นกระดูก พลังต่อสู้เยี่ยงนี้ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดมกุฎชั้นเลิศ ใครจะกล้ามองข้าม
ดวงตาอาหลู่พลันเปล่งประกาย จิตต่อสู้ร้อยแรงวาบผ่านอย่างยากสังเกตเห็น เหมือนได้เจอคู่แข่งที่ทรงพลังเพียงพอให้เขาตื่นเต้น
เซียวชิงเหอกลับขนพองสยองเกล้า ในใจลอบอุทานว่าไม่เข้าที คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเยี่ยนจั่นชิวจะมาจริงๆ
มีเพียงหลินสวินที่มองข้ามเยี่ยนจั่นชิว ทว่าไม่ใช่เพราะเจตนา แต่เป็นเพราะสายตาและความคิดของเขาตอนนี้ล้วนอยู่ที่จ้าวจิ่งเซวียน
ขณะเดียวกันจ้าวจิ่งเซวียนก็มองเห็นหลินสวิน นางชะงักเล็กน้อย นัยน์ตากระจ่างเบิกกว้าง แววตาหวานเชื่อม จิตใจลั่นไหว มุมปากอวบอิ่มนั่นปรากฏรอยยิ้มตามจิตใต้สำนึก
จากนั้นคิ้วดุจหมึกเขียนของนางขมวดมุ่น กลีบปากเผยอเล็กน้อย สื่อจิตกล่าว ‘คนอย่างเจ้านี่ใจกล้าเหลือเกิน ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น ยังกล้าวิ่งมาถึงนี่อีกได้อย่างไร’
เสียงใสดั่งลำธาร ไพเราะเสนาะหู
หลินสวินยิ้มไร้เสียง ในคำพูดที่คุ้นเคยแฝงความห่วงใยดังเก่าก่อน ทำให้จิตใจของเขาซึ่งเดิมทีตึงเครียดผ่อนคลายลงอย่างบอกไม่ถูก
‘เจ้ารู้เรื่องที่ข้าทำในแคว้นหมึกขาวหมดแล้วหรือ’ หลินสวินสื่อจิตถาม
‘ดังนั้นจึงบอกว่าเจ้าใจกล้าเหลือเกิน กล้าเสียยิ่งกว่าปีนั้น’ นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนซุกซน หยอกล้อเขาประโยคหนึ่ง
หลินสวินเองก็อดยิ้มไม่ได้ นึกถึงตอนอยู่จักรวรรดิจื่อเย่า คนมากมายยังเรียกเขาว่า ‘เจ้ากล้าหลิน’
‘จริงสิ เจ้าต้องระวังตัว ศิษย์พี่เยี่ยนก็ได้ยินเรื่องที่เจ้าทำแล้ว ยังเคยถามเรื่องเจ้าส่วนหนึ่งกับข้าด้วย’
จ้าวจิ่งเซวียนพลันกล่าวเตือน ‘ถึงแม้ตอนนั้นเขาไม่เผยความรู้สึกอะไร แต่ข้ารู้ว่าเขาต้องตัดสินใจไปนานแล้วแน่’
กล่าวถึงตอนท้ายหว่างคิ้วนางเจือความกังวลวูบหนึ่งอย่างไม่อาจระงับ เอ่ยกำชับจริงจัง ‘ดังนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก’
เวลานี้หลินสวินจึงสังเกตเห็นเยี่ยนจั่นชิว แม้แต่เขายังไม่อาจไม่ยอมรับว่านี่คือบุคคลที่ทรงพลังยิ่งคนหนึ่ง ทำให้เขาสัมผัสถึงแรงกดดันยากจะเอ่ย
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่สัมผัสถึงแรงกดดันที่แท้จริงหลังมาถึงเชิงเขาเทพไร้มรณะนี้ จึงรู้ได้ทันทีว่าเยี่ยนจั่นชิวต้องไม่ใช่ผู้ที่บุคคลแห่งยุคทั่วไปสามารถเทียบเทียม
กระทั่งกล่าวได้ว่าเขาคือคนที่ทรงพลังที่สุด ในหมู่ผู้แข็งแกร่งซึ่งก้าวสู่มกุฎมรรคาที่หลินสวินเคยเจอมาในปัจจุบัน!
ทว่าหลินสวินเก็บความรู้สึกอย่างรวดเร็ว สื่อจิตกล่าว ‘ไม่ต้องห่วง มีคลื่นถาโถมอะไรที่ข้าไม่เคยพบเจอ ปีนั้นหลังออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันกลุ่มหนึ่งไล่ล่าทั่วฟ้า สุดท้ายข้าก็ยังรอดมาได้ สถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่สะเทือนข้าหรอก’
จ้าวจิ่งเซวียนส่งเสียงถุยออกมาคำหนึ่ง นัยน์ตากระจ่างงามทั้งฉิวทั้งขัน ‘ข้ากลับคาดไม่ถึง ไม่เจอกันหลายปี เจ้าเปลี่ยนเป็นอวดเก่งใช่ย่อย ถูกเจ้าคางคกจอมหลงตัวเองพาเสียคนใช่ไหม’
เจ้าคางคก…
ศีรษะหลินสวินปรากฏเส้นเลือดดำ หากกล่าวถึงความหลงตัวเอง ปากแข็ง อวดเก่งและไร้ยางอาย เขายังห่างชั้นกับเจ้าคางคกอยู่อักโข ยามเจ้านี่อวดเก่งขึ้นมาล้วนสามารถทำให้ผู้คนชิงชังรังเกียจ!
แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าคางคกยังปิดด่านอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร ไม่เช่นนั้นหากได้ยินเสียงในใจหลินสวิน คงได้โหวกเหวกชวนหลินสวินทะเลาะแน่
ขณะสนทนาเยี่ยนจั่นชิวพาพวกจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงเชิงเขาเทพไร้มรณะ ผู้สืบทอดสำนักโบราณไม่น้อยต่างพุ่งเข้าไปทักทายเยี่ยนจั่นชิว ทำเอาบริเวณนั้นคึกคักพอควร
เยี่ยนจั่นชิวสุภาพและถ่อมตัวยิ่ง ทักทายพวกเขาทีละคน
เขายิ้มเปิดเผยกล่าว “การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครานี้ช่างเป็นชุมนุมหมู่ดารา ผู้กล้าดั่งพนาไพร เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ อย่างน้อยปีที่ข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็ไม่เจอบุคคลเก่งกาจมากเช่นนี้”
ทุกคนในลานส่วนใหญ่ยิ้มตาม นี่คือการยอมรับสถานะและศักยภาพของเยี่ยนจั่นชิว
“น่าเสียดาย ข้าผู้แซ่เยี่ยนอายุเกินสามสิบ ทั้งเคยร่วมการแข่งขันเช่นนี้แล้ว ไร้วาสนาได้เข้าร่วมอีก ไม่เช่นนั้นก็อยากแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายยุทธ์ทุกท่านที่มาจากสี่แดนวิภูยิ่ง”
ทันทีที่ประโยคนี้ของเยี่ยนจั่นชิวกล่าวออกมา บรรยากาศในที่นั้นก็ผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม
คนมากมายต่างเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง เยี่ยนจั่นชิวได้เป็นหนึ่งในบุคคลที่จัดอยู่ในสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแดนชัยบูรพาแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้อีก
คิดได้เช่นนี้จึงล้วนเป่าปากโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ศิษย์พี่เยี่ยน เจ้าหมอนั่นก็คือหลินสวิน!”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน เจือความเกลียดชังเข้มข้น ทำให้บรรยากาศในลานพลันเปลี่ยนแปลง
คนที่เอ่ยวาจาคือชายหนุ่มชุดแดงคนหนึ่ง เป็นซูซิงเฟิงนั่นเอง ยามนี้สีหน้าเขาอึมครึม แววตาชิงชังจับจ้องหลินสวินที่อยู่ห่างไป แทบอยากกลืนกินเขาทั้งเป็น
หลายวันก่อนเขาถูกหลินสวินตีสลบแขวนประจานบนกำแพงเมือง เรียกได้ว่าเสียหน้าไม่เหลือ ชื่อเสียงป่นปี้
ในที่สุดก็มาแล้ว!
สีหน้าทุกคนแตกต่างกันไป คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเกิดฉากนี้ขึ้น
เยี่ยนจั่นชิวร้องอ้อคราหนึ่ง สายตามองยังหลินสวิน
เขาชุดขาวเหนือหิมะ คิ้วกระบี่เนตรดารา ดูเหมือนนิ่งสงบ แต่พริบตาที่มองไปทางหลินสวินกลับมีอานุภาพชวนประหวั่นไร้รูปแผ่ออกจากร่าง
ห้วงอากาศใกล้เคียงพลันส่งเสียงครวญไม่อาจแบกรับ ท้องฟ้าเหนือศีรษะเมฆลมเปลี่ยนสี
ชั่วขณะนั้นทุกคนรู้สึกได้รางๆ ว่าเยี่ยนจั่นชิวราวเปลี่ยนเป็นอีกคน ไม่มีความสันติและถ่อมตัวดังก่อนหน้า แต่เผยความอหังการซึ่งเพียงพอสั่นคลอนลมเมฆ ผงาดผยองเหนือฟ้าดิน อานุภาพเช่นนั้นกดดันจนผู้แข็งแกร่งไม่น้อยล้วนหายใจลำบาก!
และหลินสวินซึ่งเป็นผู้ถูกโจมตียิ่งถูกอานุภาพเช่นนี้บีบกดสภาวะจิต ผิวหนังทั่วร่างเกร็งตามจิตใต้สำนึก นัยน์ตาดำล้ำลึกดุจหุบเหวหดรัดลงเล็กน้อย
สีหน้าเขานิ่งสงบเหมือนปกติ ไม่ได้รับผลกระทบ
คิดดูแล้วก็ใช่ หลายปีมานี้เขาเคยเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันไม่รู้เท่าไหร่ และไม่รู้พบเจออานุภาพกดดันน่าสะพรึงไร้ขอบเขตมากี่หน พลังของเยี่ยนจั่นชิวแม้แข็งแกร่ง แต่ต่อให้แกร่งแค่ไหนมีหรือจะสู้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้
ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่อาจสั่นคลอดนหลินสวิน
บรรยากาศเงียบสงัด อากาศราวกับถูกแช่แข็ง กดอัดใจคน
แม้เยี่ยนจั่นชิวยืนนิ่งๆ สายตาประเมินหลินสวินเงียบๆ แต่อานุภาพไร้รูปบนร่างนั้นกลับทำให้ผู้คนไม่กล้าผลีผลามเอ่ยปาก
จ้าวจิ่งเซวียนขบริมฝีปากแดงอวบอิ่มเบาๆ ในดวงตากระจ่างเจือความกังวลยากสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง นางรู้ดีว่าพลังต่อสู้เยี่ยนจั่นชิวเก่งกาจระดับใด
หากให้หลินสวินถูกคนน่ากลัวอย่างนี้เพ่งเล็ง ผลที่ตามมานั้นก็ไม่อยากจะคิด
“เจ้าและศิษย์น้องจิ่งเซวียนรู้จักกันมาก่อนรึ” ผ่านไปครู่หนึ่งสุดท้ายเยี่ยนจั่นชิวก็เอ่ยปาก ทว่ากลับเอ่ยถามสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้า รับสายตาเยี่ยนจั่นชิวอย่างเยือกเย็น
“ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร” เยี่ยนจั่นชิวกล่าวอย่างสนอกสนใจ
“ดีมาก” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
“ดีมากแค่ไหน” เยี่ยนจั่นชิวซักไซ้
“ดีกว่าที่เจ้าจินตนาการ” หลินสวินคิดไปคิดมาก่อนตอบจริงจัง
ได้ยินการถามมาตอบไปเช่นนี้ คนส่วนหนึ่งที่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยนจั่นชิวและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเผยสีหน้าพิลึกพิลั่น
พวกเขาไม่มีทางลืม เคยมีปีหนึ่งที่ผู้สืบทอดแดนเร้นอริยะคนหนึ่งมุ่งหน้ามาสู่ขอที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หมายจะแต่งงานกับจ้าวจิ่งเซวียน ผลกลับทำให้เยี่ยนจั่นชิวที่กำลังปิดด่านอยู่ทะลวงด่านออกมา
เขาไม่สนคำค้านของคนใหญ่คนโตทั้งหมด ซัดผู้สืบทอดแดนเร้นอริยะนั่นอย่างแข็งกร้าวเสียเกือบตาย ก่อนโยนออกนอกประตูหน้าเขาสามกระจ่าง!
ตอนนั้นเยี่ยนจั่นชิวยังเคยกล่าว ‘ต่อไปใครกล้าคิดเกินเลยกับจ้าวจิ่งเซวียนต้องผ่านด่านเขาก่อน ไม่เช่นนั้นแม้ราชันสวรรค์มา เขาก็ไม่ปล่อยไว้!’
ยามนี้หลินสวินกลับพูดตรงๆ ต่อหน้าเยี่ยนจั่นชิวว่ามีความสัมพันธ์กับจ้าวจิ่งเซวียนไม่เลวเกินธรรมดา นี่เท่ากับหันปากกระบอกปืนเข้าหาตัว!
‘เทพมารหลินนี่ช่างใคร่ตัณหาคับฟ้า ถึงขั้นกล้าคิดไม่ซื่อกับหญิงที่เยี่ยนจั่นชิวหวงแหน นี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วรึ’
ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยลอบร้องกับตัวเอง
แต่จ้าวจิ่งเซวียนเห็นภาพนี้ ใบหน้างามผุดผ่องเผยความเขินอายวูบหนึ่งอย่างยากสังเกตเห็น นัยน์ตากระจ่างเจือแววตำหนิเสี้ยวหนึ่ง ทั้งหัวเสียกับความตรงไปตรงมาและใจกล้าของหลินสวิน ทั้งกังวลผลที่อาจตามมาจากการกระทำของเขา
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน ที่เขาพูดเป็นความจริงหรือ”
สีหน้าเยี่ยนจั่นชิวยังนิ่งสงบ นัยน์ตาดำราบเรียบดั่งน้ำในทะเลสาบ
แต่พลานุภาพไร้รูปซึ่งแผ่กระจายทั่วร่างกลับน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ทำเอาห้วงอากาศข้างกายเขาทรุดตัวลงทีละน้อย
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าพลังกฎระเบียบเร้นลับน่าพรั่นพรึงหลากสายปรากฏเริ่มปรากฏใกล้ห้วงอากาศที่กำลังทรุดตัว
พลังแห่งกฎระเบียบเช่นนี้ แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเพียงเสี้ยวก็ทำให้ผู้คนขนพองสยองเกล้า ความกล้าทั้งมวลเกือบพังทลาย
ไม่จำเป็นต้องสงสัย พลังบนตัวเยี่ยนจั่นชิวแข็งแกร่งและอันตรายเกินไป ชักนำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของระเบียบฟ้าดินที่นี่!
ขณะนี้แม้แต่เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินและเหล่าบุคคลแห่งยุคชั้นยอดที่สุดในที่นั้นก็ล้วนไม่อาจสำรวมนิ่งสงบ
เพียงภาพนี้ก็สามารถมองออกว่าเยี่ยนจั่นชิวทรงพลังระดับใด!
แต่เยี่ยนจั่นชิวกลับคล้ายไม่รับรู้กฎระเบียบฟ้าดินที่แผ่ภัยคุกคามถึงชีวิตเหล่านั้น ดวงตายังจับจ้องหลินสวินเงียบๆ
กำลังรอคำตอบของจ้าวจิ่งเซวียน
ตอนที่ 1046 รุ้งทองทั่วหล้า หนทางขึ้นเขา
บรรยากาศในลานเงียบสงัด มีเพียงอากาศรอบกายเยี่ยนจั่นชิวยามทรุดตัวก่อเสียงคร่ำครวญหลากสายสะท้อนก้อง
หลินสวินเหลือบสายตามองจ้าวจิ่งเซวียน
เวลานี้สายตาส่วนใหญ่ ณ ที่นั้นต่างมองไปทางจ้าวจิ่งเซวียน กำลังรอคำตอบของนาง
คำตอบนี้เป็นไปได้สูงที่จะทำให้เยี่ยนจั่นชิวตัดสินใจบางอย่าง แล้วแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อหลินสวิน!
บางทีอาจเกี่ยวพันถึงความเป็นตาย!
คิ้วเรียวบางดั่งใบหลิวของจ้าวจิ่งเซวียนขมวดมุ่นจนเกิดรอย นัยน์ตากระจ่างคู่นั้นของนางมองหลินสวิน ทั้งมองเยี่ยนจั่นชิวที่สวมชุดขาวเหนือหิมะข้างกาย
สามารถเห็นได้อย่างเด่นชัด ว่าบนหน้างามผุดผ่องนั้นของนางเจือความลังเลเล็กน้อย ทั้งโมโห ทั้งจนปัญญา…
แต่สุดท้ายนางสูดหายใจลึก เหมือนทำการตัดสินใจบางอย่างแล้ว
บรรยากาศตอนนี้ตึงเครียดถึงขีดสุด
แต่เหนือความคาดหมาย ไม่รอจ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยปาก เยี่ยนจั่นชิวพลันโบกมือกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า รอเจ้าใคร่ครวญกระจ่างแล้วค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”
ทุกคนตื่นตะลึง คนไม่น้อยเลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้าง
หลินสวินเองก็เลิกคิ้ว มองเยี่ยนจั่นชิวไม่ออกอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้ในใจเขาอดเกร็งไม่ได้ ไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงการกดดัน แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจ้าวจิ่งเซวียนจะตอบอย่างไรกันแน่
และเมื่อเยี่ยนจั่นชิวขวางทุกอย่างนี้ไม่ให้เกิดขึ้น หลินสวินจึงทั้งไม่สบอารมณ์ แต่ก็เบาใจด้วยเช่นกัน
บางทีไม่รู้คำตอบเวลานี้อาจเป็นผลที่ไม่เลว
สายตาเขามองไปยังจ้าวจิ่งเซวียน นัยน์ตากระจ่างของฝ่ายหลังก็มองมา เจือความผ่อนคลายเสี้ยวหนึ่ง และมีแววประหลาดบอกไม่ถูก
‘หลินสวิน เจ้าอย่าได้คิดมาก’ ริมหูยินเสียงไพเราะนั้นของจ้าวจิ่งเซวียน
‘เอ๋ ข้าคิดมากอะไรหรือ’ หลินสวินกะพริบตาปริบๆ
‘เจ้าแสร้งทำรึ!’ นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนพลันหดรัด ถลึงตาใส่หลินสวินวูบหนึ่ง น้ำเสียงเจือความตำหนิ
หลินสวินลูบจมูก พลันค้นพบว่าความรู้สึกที่ไม่ต้องตัดสินความสัมพันธ์กันและกันเช่นนี้ก็ไม่เลว
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน พวกเจ้ามาทางนี้ ประเดี๋ยวการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์จะเปิดฉาก มีบางอย่างที่ข้าต้องเตือนพวกเจ้า”
เยี่ยนจั่นชิวไม่ใส่ใจหลินสวินอีก เก็บสายตากลับแล้วเอ่ยกำชับ
‘จบอย่างนี้หรือ’
คนมากมายในที่นั้นต่างผิดหวัง เดิมคิดว่าเยี่ยนจั่นชิวไม่ว่าเพื่อจ้าวจิ่งเซวียน หรือเพื่อแก้แค้นล้างความอัปยศแทนสำนักจะต้องเพ่งเล็งหลินสวิน แสดงท่าทีและจุดยืนของเขาแน่
แต่ใครเล่าจะคาดคิด ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเพียงถามปัญหาผิวเผินส่วนหนึ่ง ไม่แสดงออกอะไรทั้งสิ้น
พวกฉู่เป่ยไห่ จินมู่อวิ๋น หลี่ชิงผิง โก่วเหยียนเจินเองก็มุ่นคิ้ว เดาความคิดเยี่ยนจั่นชิวไม่ออก
ว่ากันตามตรง พวกเขาหวังให้เยี่ยนจั่นชิวเข้าร่วมกับพวกเขายิ่ง ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันจัดการหลินสวิน!
หืม?
ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จี้ซิงเหยาก็มาถึงแล้ว
นางสวมชุดกระโปรงดำ เงาร่างบางสมส่วน ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์เหนือห้วงมายา เครื่องหน้าทั้งห้าประณีตงามดุจผลงานชิ้นเอกแห่งสวรรค์ มีความงามใกล้เคียงมายา เหมือนเซียนที่เดินออกมาจากภาพวาด
นางสันโดษโดดเดี่ยว ยืนอยู่มุมเปลี่ยวเพียงลำพัง ประกอบกับความสนใจก่อนหน้าของทุกคนล้วนถูกเยี่ยนจั่นชิวดึงดูด จนกระทั่งสายตาที่สามารถสังเกตเห็นนางได้เหลือแค่ส่วนน้อย
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แม่นางจอมหยิ่งนี่เปลี่ยนเป็นเก็บตัวเงียบเช่นนี้’
หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้
คนอื่นไม่รู้แต่เขารู้ดี จี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาผู้นี้แข็งแกร่งระดับใด
ขณะเดียวกันจี้ซิงเหยาก็สังเกตเห็นสายตาหลินสวิน นัยน์ตาดาราดั่งฝันเสมือนมายาคู่นั้นพลันฉายแววเย็นชา ถลึงตาเหี้ยมเกรียมใส่เขาทันที
ประหลาด!
หลินสวินแอบพึมพำในใจ ก็แค่ชนก้นเจ้านิดหน่อยเองไม่ใช่หรือ เหตุใดจนป่านนี้ยังจำฝังใจ
จี้ซิงเหยากลับลอบกัดฟันกรอด ตนนี่เป็นอะไร ทุกครั้งที่เจอเจ้าน่ารังเกียจไร้ยางอายนี่เป็นต้องควบคุมความคิดอยากซัดเขาสักตั้งไม่อยู่ ช่างน่าโมโหจริง!
…
ในที่นั้นคลื่นลมแปลกประหลาด แต่ตามเวลาที่ล่วงเลย จิตใจทุกคนล้วนจมอยู่กับการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่จวนมาเยือน
ตัดกันกับข้อพิพาทและความขัดแย้งส่วนหนึ่ง เหล่าผู้กล้าที่มาจากแต่ละสำนักโบราณในสี่แดนวิภูนี้ ยิ่งให้ความสำคัญกับการแข่งขันที่ใกล้เกิดขึ้นบนเขาเทพไร้มรณะครั้งนี้โดยไม่ต้องสงสัย!
ถึงตอนนี้เหล่าผู้กล้าซึ่งมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันคราวนี้ที่ควรมาล้วนมาแล้ว
เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน อวี่หลิงคง…
แต่ละคนบ้างอหังการ บ้างหยิ่งทะนง บ้างดุดัน บ้างดื้อรั้น ทุกคนล้วนประหนึ่งดวงดาวบนฟากฟ้า เปล่งแสงเจิดจรัส
กวาดตามองในหมู่คนรุ่นเยาว์สี่แดนวิภูดินแดนรกร้างโบราณ เหล่าชายหญิง ณ ที่นี้อาจสามารถเป็นตัวแทนระดับสูงที่สุดบนหนทางการฝึกปราณ!
‘หึ ใต้หล้ามักปรากฏอัจฉริยะ ครั้งนี้ไหนเลยจะสนว่าพวกเจ้ามีชื่อเสียงมาก่อนหรือไม่ มหายุคนี้ต้องเป็นยุคที่ข้าได้เจิดจรัส!’
มีคนยิ้มเย็นในใจ
เป็นถึงผู้กล้าแน่นอนว่าแต่ละคนต้องหยิ่งทะนงและอวดดี มีความเชื่อมั่นเสมือนข้าไร้คู่ต่อกร ย่อมต้องมีคนที่ไม่พอใจบุคคลอย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินอยู่มากเป็นธรรมดา
‘ข้ารอคอยมาหลายปี ครั้งนี้บนสามสิบหกยอดเขาเทพไร้มรณะนั่นต้องมีที่ของข้าแน่!’
บ้างเลือดร้อนลำพองตน
‘มหายุคจวนมาเยือน มีเพียงรุ่นข้าที่สามารถปั่นป่วนสถานการณ์ในใต้หล้า พวกตาแก่นั่นต้องปิดฉากโรยราแล้ว!’
‘นี่คือมหายุคของพวกเรา!’
บ้างแอบกำหมัดแน่น
‘แค่การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็เป็นชุมนุมผู้กล้า หมู่ดาวส่องประกายแล้ว เหตุการณ์นี้ช่างทำให้ผู้คนมุ่งหวังและเฝ้ารอ!’
เห็นผู้แข็งแกร่งเจิดจรัสมากมายในลานกับตา ต่อให้เป็นหลินสวินในใจก็เกิดไอพลุ่งพล่านฮึกเหิมตามธรรมชาติ เขาไม่เคยเฝ้ารอการต่อสู้เช่นนี้มานานแล้ว!
ว่ากันตาม จริงท้ายที่สุดหลินสวินก็เป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง หาใช่ภิกษุที่ละกิเลส และไม่ใช่อริยะที่หกธุลีไม่แปดเปื้อน
เขามีความรู้สึกและมีปณิธานต่อสู้!
เผชิญหน้ากับบุคคลแห่งยุคชั้นยอดรุ่นเดียวกันมากเช่นนี้ ความเลือดร้อนและจิตต่อสู้ในตัวเขาที่เก็บเงียบมานาน ราวกระบี่คมกริบที่ถูกผนึกอยู่ในกล่องถูกเปิดออก
ที่ผ่านมายามเผชิญหน้าคนรุ่นเดียวกัน กระทั่งสู้กับราชันกึ่งระดับ แม้เขาจะต่อสู้จริงจัง แต่สัญชาตญาณต่อสู้ในจิตใต้สำนึกกลับไม่มีการเฝ้ารอจนโลหิตเดือดพล่านเช่นนี้
เพราะเขารู้ว่าตนต้องชนะ
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป!
ไม่ใช่เพียงจิตต่อสู้และปณิธานต่อสู้ในใจหลินสวินที่กำลังตื่นขึ้น เหล่าผู้กล้าคนอื่นๆ ในที่นั้นก็ล้วนเป็นแบบเดียวกัน
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ที่แย่งชิงคือโชควาสนามหามรรค ที่แข่งขันคือรากฐานการกลายเป็นราชัน!
ยิ่งไปกว่านั้น หากสามารถดันตนขึ้นสู่สามสิบหกอันดับแรกได้ จะทำให้ชื่อของตนเลื่องลือทั่วสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ กลายเป็นที่จับตามองจากทั่วหล้า
ชักนำคลื่นลมทั่วใต้หล้า นี่สิถึงเรียกว่าอำนาจที่แท้จริง!
แน่นอนว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้มีนับไม่ถ้วน หมายจะดันตนขึ้นสู่อันดับคงยากลำบากยิ่ง
แต่ขอแค่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าตนจัดอยู่ในหมู่คนรุ่นเยาว์ชั้นยอดของยุคปัจจุบัน แม้มหายุคมาเยือนก็สามารถเผยคมดาบของตนให้เห็นได้!
ผู้กล้าแห่งพื้นที่หนึ่งอาณาเขตหนึ่ง เดิมไม่สำคัญอะไร
ผู้กล้าแห่งยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ภายภาคหน้าจึงจะมีสิทธิ์ครองอำนาจ ปกครองฟ้าดิน เหยียดหยันโลกหล้า!
ใครจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่นำพายุคสมัยหลังมหายุคมาเยือน ตอนนี้ไม่ว่าใครก็พูดลำบาก แต่อย่างน้อยต้องก้าวสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ให้ได้ก่อน!
เห็นภาพนี้กับตา เยี่ยนจั่นชิวอดนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตอนที่ตนเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ปีนั้นไม่ได้ ในใจทอดถอนใจไม่หยุด
เขานับเป็นบุคคลแห่งยุครุ่นก่อน อยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกอวิ๋นชิ่งไป๋ หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ
เพียงแต่เขาในปีนั้นก็ใจร้อน แม้แข็งแกร่งไม่สู้ปัจจุบัน แต่กลับตั้งมั่นว่าต้องทะลวงกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ให้ได้
‘ยังดีที่ไม่ถือว่าสายไป’
เยี่ยนจั่นชิวลอบกล่าว เขายังเยาว์วัย หลายปีนี้สะกดข่มระดับปราณของตนมาตลอด กำลังรอมหายุคมาเยือนเช่นกัน
อีกทั้งบนมรรคาที่แย่งชิงศุภโชคมหายุค เทียบกับคนตรงหน้าเหล่านี้แล้ว บุคคลแห่งยุครุ่นก่อนที่เหมือนเขาได้เปรียบกว่ามากโดยไม่ต้องสงสัย!
เพราะพวกเขาสั่งสมและตกตะกอนเวลาฝึกปราณมามากกว่า และได้รับโชควาสนามหามรรคมากมายอยู่โข!
แต่เยี่ยนจั่นชิวก็รู้ดีว่าพวกที่ดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เหมือนตนในปีนั้น มีคนไม่น้อยต้านแรงจูงใจที่จะเลื่อนสู่ระดับราชันไม่ได้ ทะลวงระดับตัวเองไปนานแล้ว ไม่กลายเป็นราชันกึ่งระดับก็กลายเป็นราชันที่แท้จริง
ถึงแม้หลังกลายเป็นราชันพลังต่อสู้จะบรรลุถึงขั้นสามารถเหยียดหยันห้าระดับปราณใหญ่ แต่เช่นเดียวกัน คนเหล่านี้กลับเสียสิทธิ์ที่จะกลายเป็นมกุฎราชันในมหายุค!
‘ก็ยังดี ในที่สุดมหายุคก็ใกล้มาแล้ว!’ เยี่ยนจั่นชิวแอบพึมพำกับตัวเอง
ตูม!
ขณะที่ผู้กล้ามากมายต่างคิดฟุ้งซ่าน เวลาก็ล่วงเลยไปโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นภูเขาเทพไร้มรณะซึ่งเด่นตระหง่านไม่เสื่อมสูญพลันส่งเสียงกัมปนาท ดุจตื่นจากกาลเวลาเงียบสงัด
จากนั้นเส้นทางประกายทองหลากสายราวภาพฝันแผ่ลงมาจากยอดเขาสามสิบหกลูก พุ่งตรงต่อเนื่องถึงเชิงเขา
เส้นทางประกายทองแต่ละสายต่างเรืองแสงเจิดจรัส แผ่กลิ่นอายมหามรรคศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม ยิ่งใหญ่และส่องสว่างสะท้านใจคน
กลิ่นอายที่ห้อมล้อมด้านบนแฝงพลังกฎระเบียบไม่เสื่อมคลายแต่โบราณ
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เริ่มขึ้นแล้ว!
“ไป!”
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เตรียมพร้อมนานแล้วตอบสนองทันที พุ่งไปยังเส้นทางประกายทองแต่ละทิศทาง
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย เลือกยอดเขาที่ตนพึงใจไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้ทันทีที่เริ่มปีนเขาจึงมีน้อยคนนักที่ลังเลไม่ตัดสินใจ
สวบๆๆ
ผู้กล้ามากมายในแต่ละสำนักต่างขับเคลื่อนแสงงามตระการ ประหนึ่งฝนรุ้งเทพโฉบไปบนเขา
การปีนเขาและครองภูผามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป!
ทุกคนต่างรู้ดีว่าภูเขาเทพไร้มรณะยิ่งใหญ่และสูงตระหง่านเหลือประมาณ หากไม่เร่งทำเวลาอย่าว่าแต่ครองภูผาเลย แม้แต่จะปีนขึ้นไปล้วนยากลำบาก!
อีกทั้งการปีนเขาทันทีก็ไม่ต้องหวาดกลัวและระวังผู้แข็งแกร่งคนอื่นมากีดขวางและลอบทำร้าย สามารถขึ้นเขาได้โดยไม่ต้องสนอะไร
ถ้าขึ้นเขาช้าเพียงก้าวเช่นนั้นก็ต่างออกไปแล้ว หากเจอคู่แข่งที่มีความแค้นกันบางส่วนคงเกิดการขัดขวางและโจมตีกันอยู่บ้าง
แม้ไม่ถูกคัดออกก็อาจสิ้นเปลืองเวลาและกำลังมหาศาล ผลที่ตามมาก็ไม่อยากจะคิดแล้ว
ในอดีตที่ผ่านมาเกิดเรื่องคล้ายคลึงกันเช่นนี้ไม่น้อย บุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งขัดแย้งกันเอง ยังไม่ทันถึงยอดเขาก็ถูกคัดออกทันที!
ตอนที่ 1047 คมศาสตราเพ่งเล็ง
แน่นอนว่าบุคคลแห่งยุคที่มีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพตัวเองยิ่ง ไม่จำเป็นต้องร้อนรนกระวนกระวายเช่นนั้น
ตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่ไม่รีบขึ้นเขา แต่จะรอเวลาผ่านไปเล็กน้อยค่อยใคร่ครวญเส้นทางของคู่แข่งที่ตนระวัง จากนั้นจึงตัดสินใจว่าจะปีนยอดเขาลูกไหน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถเลี่ยงบุคคลที่ยากจัดการส่วนหนึ่งได้ บรรลุเป้าหมาย ‘ราชันเลี่ยงราชัน’
ส่วนการตัดสินว่าใครเป็น ‘ราชัน’ ที่ไม่อาจหาเรื่องนั้น ผู้กล้าทุกคนต่างมีการประเมินและเกณฑ์ของตน ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวกัน
ก็เหมือนในสายตายอดผู้กล้าส่วนหนึ่ง เหล่าบุคคลแห่งยุคนั้นแน่นอนว่าคือ ‘ราชัน’ ที่ไม่อาจหาเรื่อง
แต่ในสายตาบุคคลแห่งยุค ย่อมมีดุลยพินิจต่อพลังต่อสู้และปราณที่ต่างออกไป
“หลินสวิน ข้าไปก่อนนะ!”
เซียวชิงเหอทำการตัดสินใจ โบกมือลาหลินสวิน หันหลังพุ่งไปบนเส้นทางประกายทองสายหนึ่ง
“น่าเบื่อ ไปทางไหนล้วนเหมือนกันไม่ใช่รึ”
อาหลู่พูดพลางย่างก้าว เงาร่างสูงใหญ่ดั่งบรรพตพุ่งตรงไปยังทางขึ้นเขาที่อยู่ใกล้เขาที่สุด เห็นได้ว่าเรียบง่ายหยาบกระด้างนัก
‘หลินสวิน เจ้าต้องระวังตัว ผู้แข็งแกร่งแต่ละสำนักโบราณที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้แม้มีมาก แต่ทุกสำนักจะฝากความหวังไว้กับผู้สืบทอดที่แกร่งสุดคนหนึ่งเท่านั้น’
ข้างหูหลินสวินก้องเสียงสื่อจิตเตือนของจ้าวจิ่งเซวียน
‘สำหรับคนอื่นแม้มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน แต่พวกเขาก็เป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น’
‘ตัวสำรอง?’ หลินสวินถาม
‘ถูกต้อง เจ้าอย่าได้ดูถูกเชียว พวกตัวสำรองเหล่านี้มีจุดประสงค์อื่น หนึ่งเพื่อป้องกันผู้แกร่งที่สุดของสำนักตนไม่ให้ถูกสำนักอื่นโอบล้อมและขัดขวาง’
‘สองก็เพื่อรุมโจมตีและกีดขวางผู้แกร่งที่สุดของสำนักอื่น!’
จากคำพูดของจ้าวจิ่งเซวียน การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไม่ใช่แค่การประลองพลังต่อสู้ส่วนบุคคลง่ายๆ เช่นนั้น
เพื่อรับรองความเป็นไปได้สูงสุดที่ผู้สืบทอดสำนักจะสามารถดันตนขึ้นสู่สามสิบหกอันดับแรกกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ สำนักโบราณจะส่งศิษย์แกนหลักจำนวนมากเข้าร่วมพร้อมกันเพื่อปกป้องผู้แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งคน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในการแข่งขันปีนเขาและครองภูผาก็ไม่ต้องกลัวเกิดเหตุการณ์ถูก ‘ล้อมโจมตี’ อย่างคาดไม่ถึง
เช่นเดียวกัน ระหว่างสำนักโบราณก็มีการแข่งขันและเป็นอริกันอยู่แล้ว ไม่อาจเลี่ยงเหตุการที่เพ่งเล็งและลอบทำร้ายซึ่งกันและกัน
ในอดีตที่ผ่านมา เรื่องคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง!
สรุปง่ายๆ คือ การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครานี้เป็นทั้งการแข่งขันพลังต่อสู้ส่วนบุคคล และยังเป็นการประจัญศักยภาพระหว่างสำนักมากมายโดยปริยาย
หลินสวินโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ทั้งเคยผูกพยาบาทกับผู้สืบทอดสำนักต่างๆ มากมาย คิดจากคำพูดของจ้าวจิ่งเซวียนแล้ว เมื่อเขาปีนเขาต้องถูกสายตาคิดไม่ซื่อมากมายจับจ้องแน่!
ด้วยเหตุนี้นางจึงกล่าวเตือนทันที เลี่ยงไม่ให้หลินสวินประมาทพลาดท่า
‘เจ้าวางใจเถอะ ข้าหวังให้พวกเขากล้าทำเช่นนั้นยิ่ง!’
หลินสวินมุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเย็น สายตากวาดมองพวกฉู่เป่ยไห่ จินมู่อวิ๋น หลี่ชิงผิง อวี่หลิงคง โก่วเหยียนเจินที่ยังไม่เริ่มเคลื่อนไหวทีละคน
จากนั้นเขาเก็บสายตา เลือกเส้นทางประกายทองสายหนึ่งที่พาขึ้นสู่ยอดเขา ชายเสื้อพลิ้วไหวโฉบขึ้นไปบนนั้น
‘เจ้าหมอนี่คลุ้มคลั่งอีกแล้ว ดูท่าการถูกพุ่งเป้าหลายครั้งก่อนหน้าจะทำให้เขาไม่พอใจ สะสมเพลิงโทสะไว้มากนัก’
จ้าวจิ่งเซวียนชะงัก นัยน์ตากระจ่างทอดมอง ใบหน้าผุดผ่องงามสง่าเผยความจนปัญญาวูบหนึ่ง
แม้ไม่เจอกันหลายปี แต่ในที่นี้คงไม่มีคนเข้าใจนิสัยหลินสวินดีกว่านาง เจ้าหมอนี่ไม่ใช่พวกกล้ำกลืนความเจ็บช้ำเสียด้วย
…
“ลงมือได้!”
เห็นเงาร่างหลินสวินจากไป ในดวงตาฉู่เป่ยไห่เผยไอสังหารเข้มข้น
ทันใดนั้นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หลายคนข้างเขาเริ่มปฏิบัติการ พุ่งทะยานไปยังทางขึ้นเขาที่หลินสวินเลือก
…
“จงจำไว้ ขวางเจ้านี่โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งตอบแทนใด!”
หลี่ชิงผิงเอ่ยราบเรียบ สั่งผู้สืบทอดสำนักยุทธ์สมุทรครามข้างกาย
บนภูเขาเทพไร้มรณะ แม้เกิดความขัดแย้งถึงที่สุดก็จะไม่ปรากฏ ‘ความตาย’ ที่แท้จริง เพราะนี่คือภูเขาเทพไร้มรณะ
ต่อให้ร่างถูกซัดแหลก จิตวิญญาณถูกจู่โจมสังหาร ก็เป็นเพียง ‘การตายหลอก’ จะถูกกฎระเบียบของเขาเทพไร้มรณะ ‘ช่วยกลับคืน’ มา
สรุปง่ายๆ คือ ผู้ฝึกปราณที่ปีนภูเขาเทพไร้มรณะไม่มีทางตายเด็ดขาด!
แต่แน่นอนว่าหลัง ‘การตายหลอก’ จะถูกคัดออก
…
“พวกบ้านนอกของโลกชั้นล่างที่ไร้สำนักไร้พรรคคนหนึ่ง ยังกล้าฝันถึงกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ช่างเพ้อพกละเมอครวญ!”
“พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าต้องทำเช่นไรกระมัง”
ส่วนลึกของนัยน์ตาอวี่หลิงคงฉายแววเกลียดชังเข้ากระดูก เขาลืมความอัปยศที่หลินสวินมอบให้แก่ตนตอนเทศกาลโคมกถามรรคไม่ลง
ด้านข้างเขา ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะทั้งกลุ่มรับคำสั่งออกปฏิบัติการ
…
“ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าช่วยคุ้มกันข้า และไม่ต้องการให้พวกเจ้าช่วยข้าจัดการขุมอำนาจอื่น ที่พวกเจ้าต้องทำก็คือขวางไอ้สวะนี่! อย่าให้มัน ‘ครองภูผา’ สำเร็จ!”
ชุดดำของโก่วเหยียนเจินพลิ้วสะบัด ในดวงตาแดงก่ำเปี่ยมความอำมหิตน่าเกรงขาม
ไม่ว่าแดนฐิติประจิมหรือแดนชัยบูรพา ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่ตายในมือหลินสวินล้วนมีจำนวนไม่น้อย
แม้ครั้งนี้โก่วซวีสิงไม่ร้องขอ โก่วเหยียนเจินก็ไม่มีทางนิ่งดูดาย!
…
“เห็นหรือยัง ขุมอำนาจที่หมายจัดการเด็กนี่คราวนี้มากนัก พวกเราสำนักกระบี่เทียมฟ้าเองก็อย่าได้พลาด พวกเจ้าไปเถอะ เป็นเวลามอบบทเรียนเจ็บแสบให้แก่เทพมารหลินแล้ว!”
น้ำเสียงจินมู่อวิ๋นก้องกังวาน กลิ่นอายสังหารเด็ดเดี่ยว
…
ผู้สืบทอดสำนักมากมายทยอยออกปฏิบัติการ ทั้งทางขึ้นเขาที่เลือกยังเหมือนหลินสวินทุกประการ นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมาย ณ ที่นั้นสีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น
ก่อนหน้านี้พวกเขาเดาออกว่าการขึ้นเขาครั้งนี้ของหลินสวิน มีแนวโน้มจะเจอการจู่โจมที่คาดไม่ถึง
แต่พวกเขากลับนึกไม่ถึงว่าแค่เริ่มต้น ขุมอำนาจสำนักโบราณเหล่านั้นก็จะเผยเขี้ยวคมกริบออกมาแล้ว!
‘มีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ถูกหมายหัวและกดดันเช่นนี้ เทพมารหลินยังมีโอกาสดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์อีกหรือ’
ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งที่คงความเป็นกลาง เห็นดังนี้ก็อดลอบถอนใจไม่ได้ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของหลินสวินนัก
“พวกเขาไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ นี่ก็คือมารยาทของสำนักโบราณหรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนเห็นภาพต่างๆ กับตา คิ้วดุจหมึกเขียนของนางขมวดมุ่น นัยน์ตากระจ่างเผยความรังเกียจ ถากถาง เดือดดาล
“บุญทำกรรมแต่งไม่พ้นลิขิตตน ในเมื่อเขาผูกแค้นมากเช่นนี้ เรื่องที่เห็นตรงหน้าก็คือกรรมที่เขาควรแบกรับ”
ด้านข้างเยี่ยนจั่นชิวสองมือไพล่หลัง เงาร่างตระหง่านดั่งชะง่อนผา เขาอยู่ในชุดขาวเหนือหิมะ สีหน้านิ่งสงบไร้อารมณ์
จ้าวจิ่งเซวียนเตรียมจะพูดอะไร ก็เห็นเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต่างเริ่มเคลื่อนไหว
ทางขึ้นเขาที่เลือกเหมือนกันกับหลินสวิน!
“ศิษย์พี่เยี่ยน นี่เป็นความคิดท่านรึ” จ้าวจิ่งเซวียนใจกระตุกวูบ คลื่นถาโถมโหมกระหน่ำ
เยี่ยนจั่นชิวเลี่ยงไม่ตอบ ชี้ไปยังทางขึ้นเขาเส้นหนึ่งซึ่งห่างไกล “ศิษย์น้องจิ่งเซวียน การปีนเขาครานี้มีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ชักช้าไม่ได้แล้ว ข้าได้ช่วยเจ้าเลือกหนทางที่เหมาะสมที่สุด เจ้าดู ก็คือเส้นทางนั้น”
ดวงหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนอึมครึมไม่นิ่ง นัยน์ตากระจ่างจ้องเยี่ยนจั่นชิวเขม็ง ส่วนลึกของดวงตามีเพลิงคู่หนึ่งกำลังลุกโชนเลือนราง
“ท่านทำให้ข้าผิดหวังนัก!”
สุดท้ายนางเอ่ยประโยคหนึ่งเรียบๆ น้ำเสียงดั่งน้ำนิ่งไร้คลื่นระลอกและไม่มีคลื่นความรู้สึก
พูดจบจ้าวจิ่งเซวียนหันหลังจากไป ไม่มองเยี่ยนจั่นชิวอีก
ร่างงามสง่าสูงโปร่งเจือความดื้อดึงเสี้ยวหนึ่ง
เยี่ยนจั่นชิวมองส่งร่างนางจนเลือนหายไปในทางขึ้นเขาทองอร่าม ผ่านไปสักพักจึงพลันถอนใจแผ่ว ส่ายศีรษะไม่กล่าววาจา
ทว่ายามสายตาเขาทอดมองทางขึ้นเขาที่หลินสวินเลือกก่อนหน้า ก็ฟื้นคืนความสงบและราบเรียบดังเก่าก่อน
‘สุดท้ายก็ยังขาดความเข้าใจไปอยู่บ้าง’
ไม่ช้าเยี่ยนจั่นชิวก็ถอนสายตากลับ
ก่อนจะมาเขารู้เรื่องของหลินสวินอยู่แล้ว รู้ถึงของสองสิ่งที่เขาพึ่งพา ทำให้สามารถเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีครั้งแล้วครั้งเล่า
หนึ่งคือกระบวนผนึกมรรคราชัน
สองคือสมบัติอริยะ
แต่บนเขาเทพไร้มรณะที่ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบนี้ ไม่ว่าใครต่างไม่อาจวางค่ายกล ยิ่งไม่อาจพึ่งพาสมบัติอริยะ
นี่เท่ากับกำจัดที่พึ่งหลักของหลินสวิน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาคิดปีนเขาล้วนไม่ง่ายนัก คิดครองภูผาให้สำเร็จแน่นอนว่าความหวังริบหรี่
…
การปีนเขาคือด่านแรกของการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์
ทางขึ้นเขาที่ปูลงมาเป็นแสงสีทองสามสิบหกสาย ต่างพาไปสู่ยอดเขาสามสิบหกยอด
ทุกคนล้วนเป็นคู่แข่ง ตลอดทางหากไม่เจออุปสรรคและความกดดันก็แล้วไป แต่ทันทีที่พบเจอสิ่งกีดขวาง กระทั่งมีคนขวางหนทางข้างหน้าเล็กน้อยล้วนอาจก่อให้เกิดการปะทะ
เส้นทางประกายทองกว้างห้าจั้งสาดแสงสว่างไสว ก้าวย่างบนนั้นประหนึ่งก้าวบนรุ้งเทพ
สองข้างทางคือหินภูเขาเก่าแก่ขรุขระ ถูกพลังต้องห้ามเร้นลับไม่เสื่อมคลายปกคลุม ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้
ทางขึ้นเขาเส้นที่เก้าที่หลินสวินเลือก ยามปีนป่ายไม่ถือว่าเร็วและไม่นับว่าช้าเกินไป
เพียงแต่เวลานี้เป็นช่วงที่จำนวนคนขึ้นเขามากที่สุด ทางเดินสีทองกว้างห้าจั้งตรงดิ่งสู่เบื้องบน ประหนึ่งมหาวิถีซึ่งสร้างจากเมฆาทอง
เงาร่างบนนั้นวูบไหวต่างแย่งกันมุ่งไปข้างหน้า
ตูม!
พลังกดดันไร้รูปหนึ่งถาโถมจากทั่วสารทิศ ทำให้ทันทีที่หลินสวินเหยียบขึ้นทางขึ้นเขา ร่างกายก็หนึกอึ้ง
‘ดังคาด การปีนเขาก็พิถีพิถันยิ่ง’ หลินสวินสูดหายใจลึก โคจรพลังขับเคลื่อนทั่วร่าง ชั่วพริบตาก็สลายพลังกดดันนั้นได้
ทว่าหลินสวินเพิ่งมุ่งหน้าต่อไปไม่นาน บนทางขึ้นเขาข้างหน้าก็เกิดการต่อสู้ขวางอยู่ตรงนั้น หากคิดก้าวผ่านก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกพัวพันเข้าไปด้วย
หลินสวินมุ่นคิ้วแต่ไม่ได้หยุดเท้า บนร่างระเบิดอานุภาพไร้รูปสายหนึ่งออกไปโดยตรง ทั้งตัวราวดาบแหลมคมบุกตะลุย!
ปึงๆๆ
ผู้แข็งแกร่งที่กำลังประมือกันถือเป็นผู้ยิ่งยงของสำนักโบราณ อัจฉริยะรุ่นเยาว์ แต่เมื่ออานุภาพที่หลินสวินปลดปล่อยออกมากดดันเข้าไป ก็ทำให้พวกเขาดั่งถูกคีรีเทพปะทะร่างอย่างหนักหน่วงทันที ลอยกระเด็นเกลื่อนกลาดออกไป
ที่โชคดีหน่อยหกคะเมนไปอีกฝั่ง
ที่น่าเศร้าหน่อยก็ถูกซัดกระเด็นออกนอกเส้นทางประกายทองโดยตรง ถูกพลังกฎเกณฑ์ของภูเขาเทพไร้มรณะคัดออกท่ามกลางเสียงร้องไม่ยินยอม
หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง มุ่งตรงต่อไปข้างหน้า
ใช่ว่าเขาเผด็จการ แต่หนทางขึ้นเขาเดิมก็เป็นการแข่งขัน ในเมื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่ว่าใครล้วนต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะถูกคัดออก กล่าวโทษใครไม่ได้
ภาพต่างๆ เช่นนี้ ปัจจุบันกำลังทยอยเปิดฉากบนเส้นทางสีทองสามสิบหกสาย
บัดนี้ การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก่อนมหายุคมาเยือนได้เปิดฉากขึ้นแล้ว!
ตอนที่ 1048 โชควาสนาศิลามังกรขด
กิตติศัพท์หลินสวินแม้โด่งดัง แต่ยามขึ้นเขากลับไม่ราบรื่น
ตูม!
เพียงครู่หนึ่งผู้กล้าหลายคนที่เห็นชัดว่ามาจากสำนักโบราณเดียวกัน ต่างร่วมมือล้อมโจมตีบนทางขึ้นเขาที่กว้างเพียงห้าจั้ง เปี่ยมอานุภาพดั่งเขาไท่ซานกดศีรษะไม่อาจหลบหลีก
ปราดเดียวหลินสวินก็มองออก คนพวกนี้เจตนาหาเรื่อง
อีกฝ่ายอาจได้รับการไหว้วานจากคนอื่น เจตนาลอบกัดทำร้ายตน บางทีอาจเป็นผู้ที่ไม่อยากให้ตนเหนือกว่า
น่าเสียดาย ผู้กล้าเหล่านี้แม้แข็งแกร่ง แต่คนที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาแทบไม่มี ถือเป็นเพียงระดับศิษย์สืบทอดแท้จริง สำหรับหลินสวินแล้วไม่พอสร้างภัยคุกคามใดๆ
หลินสวินคร้านจะลงมือ ใต้เท้าชือน้ำแข็งขาวดุจหิมะตัวหนึ่งพุ่งออกมา เชิดศีรษะเหนืออากาศ หางสะบัดม้วนอัดอีกฝ่ายทีละคนอย่างง่ายดาย
กระดูกพวกเขาแตกละเอียด เลือดเนื้อสาดกระจาย ตกจากทางภูเขาสองข้างทางก่อนหายจากไป
‘เทพมารหลินนี่ช่างวิปริต!’
ละแวกใกล้เคียงมีคนสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ ต่างสูดหายใจเย็นไม่กล้าขวางหน้าอีก เปิดทางให้ตามจิตใต้สำนึก
หลินสวินเองก็ไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจ โฉบผ่านมุ่งหน้าต่อไปทันที
“เทพมารหลิน พวกเราเจอกันอีกแล้ว!” ทว่าไม่นานก็มีคนทนไม่ไหว เรียกประทับทองเหลืองออกมาพิฆาตเต็มกำลัง
“ผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์เผ่าปีกอสนีสิงอี่เทียน!”
“ได้ยินว่าสิงอี่เทียนก้าวสู่มกุฎมรรคาแล้ว ครองวิชาลับอสนีบาต พลังต่อสู้แข็งแกร่งดุดันเหลือประมาณ”
ด้านหลังผู้สืบทอดจากสำนักโบราณแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนพิสุทธิ์อมตะ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเห็นภาพนี้ สีหน้าต่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นอยู่บ้าง
คนที่เทพมารหลินล่วงเกินมีมากไปแล้ว หนทางขึ้นเขาของเขาต้องเจอเคราะห์สังหารครั้งแล้วครั้งเล่าแน่!
พลังต่อสู้สิงอี่เทียนไม่ธรรมดายิ่ง แม้สู้เซียวชิงเหอไม่ได้ แต่ก็ไม่ด้อยกว่ากันเท่าไร
น่าเสียดาย ตอนนั้นที่หาดดาราขจรเขาก็ถูกหลินสวินกำราบอย่างแข็งกร้าว ไม่เพียงเกือบสิ้นชีพ ยังสูญเสีย ‘ศรนิรันดร์’ ที่คิดว่าใช้เป็นที่พึ่งได้
ปัจจุบันแม้ศักยภาพเขาแกร่งขึ้นหลายเท่าตัวกว่าตอนแรก แต่พลังต่อสู้ของหลินสวินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินนานแล้วเช่นกัน
ฟุ่บ!
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ชั่วพริบตาเงาร่างก็หายลับจากจุดเดิม
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาถึงหน้าสิงอี่เทียน ซัดฝ่ามือหนึ่งออกไป
“บัดซบ!”
สิงอี่เทียนหน้าพลันเปลี่ยนสี โคจรพลังทั้งหมดทันที ร่างกายส่งเสียงฟ้าคำราม มายางูมังกรเสมือนจริงคู่หนึ่งปรากฏ ก่อร่างวิวัฒน์จากพลังมรรคอสนีบริสุทธิ์ แสงสายฟ้าส่องประกายไหลบ่าชวนใจสั่น
นี่คือวิชาลับสืบทอดของเผ่า… วิชาอสนีแกร่งงูมังกร ยามสำแดงถึงขีดสุดดั่งงูมังกรพ้นปฐพี พลังสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ปัง!
ร่างหลินสวินพลันระเบิดออกราวทำจากกระดาษ
นี่ทำให้สิงอี่เทียนตะลึงงัน จากนั้นจึงขนพองสยองเกล้าไปทั้งตัว นี่ใช่หลินสวินเสียที่ไหน เห็นชัดว่าเป็นแค่ร่างเงาที่หลินสวินเหลือไว้!
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เห็นชัดว่าเพราะความเร็วของอีกฝ่ายว่องไว เหนือความสามารถในการตอบสนองของตน!
“หากคิดต่อสู้ ข้าจะรอเจ้าที่ยอดเขา”
ข้างหูยินเสียงราบเรียบนิ่งสงบของหลินสวิน สิงอี่เทียนพลันเงยหน้า ก็เห็นว่าบัดนี้หลินสวินอยู่บนทางขึ้นเขาข้างหน้านอกระยะหลายสิบจั้งนานแล้ว!
สิงอี่เทียนสีหน้ามืดทะมึนไม่นิ่งทันที
เขาไม่ได้โง่ ประมือกันสั้นๆ ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ระยะห่างระหว่างตนกับเทพมารหลินนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายตรงข้ามก้าวสู่มรรคาที่สูงยิ่งขึ้นไปนานแล้ว!
ชั่วขณะหนึ่งเขาลังเลและเสียใจภายหลังอยู่บ้าง บนทางขึ้นเขานี้มีเทพมารหลินอยู่ ใครจะต่อกรเขาได้
“สหาย เทพมารหลินแม้แข็งแกร่ง แต่สร้างศัตรูไว้มากมาย สองหมัดยากต้านสี่มือ ยิ่งไปกว่านั้นพวกที่อยากจัดการเขาตอนนี้มีจำนวนไม่น้อย สู้ขึ้นเขาพร้อมกันไม่ดีกว่าหรือ”
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่งเอ่ยปาก พวกเขาเป็นขุมอำนาจสำนักกลุ่มแรกที่เร่งตามมาและเห็นฉากเมื่อครู่กับตา ในใจก็ตกตะลึงกับฝีมือของหลินสวินไม่หยุด
เวลานี้หากสามารถดึงผู้ช่วยสักส่วนมาจัดการเทพมารหลินด้วยกัน แน่นอนว่านั่นคงดียิ่งกว่า
“หึ ควรตัดสินใจทำอะไร ข้ารู้ตัวดี”
สิงอี่เทียนแค่นเสียงเย็นชา เขารู้ความคิดของฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมถูกหลอกใช้เช่นนี้
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่โน้มน้าวอีก ปีนเขาต่อไป
“สิงอี่เทียน เจ้าขี่หลังเสือแล้วลงยาก ถอยไม่อาจถอย หากไม่กำจัดเทพมารหลิน ยอดเขานี้คงถูกเทพมารหลินยึดครอง เจ้ายอมรึ”
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็มาแล้ว ทำการเตือนสิงอี่เทียนเช่นนี้
ในใจสิงอี่เทียนลังเลดิ้นรนยิ่งกว่าเดิม
ผู้สืบทอดในขุมอำนาจต่างๆ ที่เคยมีความแค้นกับหลินสวินอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ แดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักยุทธ์สมุทรครามต่างปรากฏตัวตามมาติดๆ
สิงอี่เทียนเห็นดังนี้ ท้ายที่สุดก็กัดฟันกรอด ตัดสินใจขึ้นเขาต่อ!
เดิมเขาคือบุคคลแห่งยุคคนหนึ่ง หากครั้งนี้สามารถยืมมือคนอื่นกำจัดเทพมารหลิน เช่นนั้นการแข่งขันลำดับถัดไปก็มีความหวัง ‘ครองภูผา’ สำเร็จมากขึ้น
…
เรื่องคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นบนทางขึ้นเขาเส้นที่เก้า
ตลอดทางขุมอำนาจสำนักเหล่านี้ดึงผู้แข็งแกร่งอื่นมาเป็นพวกเต็มที่ หมายสร้างพันธมิตรจัดการหลินสวินด้วยกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้การคว้าชัยชนะจะมีแต่มากขึ้น!
เท่านี้ก็ดูออกว่าแม้พวกเขาคนเยอะกำลังมาก แต่ภายในใจต่างหวาดกลัวหลินสวินยิ่ง เห็นเขาเป็นศัตรูผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง ไม่มีใครกล้าละเลยและดูถูก
หลินสวินโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ทั้งระยะเวลาที่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณยังแสนสั้น อย่างไรก็ยังไม่คุ้นสถานการณ์
แต่สำหรับสำนักโบราณเหล่านี้ แต่ละแห่งล้วนรากฐานแข็งแกร่งน่าอัศจรรย์ เหล่าผู้กล้าที่ถูกพวกเขาดึงเป็นพวกบ้างรักษาหน้า บ้างหวาดกลัวอานุภาพของสำนักเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่ล้วนตอบตกลงเข้าร่วมขบวนล้อมปราบหลินสวิน
ด้วยประการฉะนี้ขบวนพันธมิตรที่ก่อตั้งจากต่างสำนักโบราณจึงเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกลิ้งก้อนหิมะ
แม้มีเพียงผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งปฏิเสธการทำเช่นนี้ แต่ยังมีความคิดในเชิง ‘ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ ไล่ตามไปติดๆ คิดลงมือยามสบโอกาส
ชั่วขณะเดียว บนทางขึ้นเขาอื่นๆ การต่อสู้ดุเดือดทยอยปะทุ มีผู้แข็งแกร่งถูกคัดออกตลอดเวลา แต่สถานการณ์บนทางขึ้นเขาเส้นที่เก้ากลับตรงข้าม
การแข่งขันและห้ำหั่นหายไปเกินครึ่งอย่างน่าประหลาด ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลินสวินถูกมองเป็น ‘ภัยคุกคามอันดับหนึ่ง’ !
สถานการณ์เช่นนี้ ที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นน้อยมาก
เพราะแต่ละสำนักโบราณจะออกเคลื่อนพลมหาศาลมาคุ้มกันและปกป้องเพื่อรับรองว่า ‘ผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุด’ ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันจะดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้
ที่น่าเสียดายคือหลินสวินโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ทั้งไม่มีพื้นเพและคนหนุนหลัง ฉะนั้นยามจัดการเขาเหล่าผู้สืบทอดสำนักโบราณนั่นจึงกล้าก่อตั้งพันธมิตรอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้
หากหลินสวินเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณบางแห่ง สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่
…
สถานการณ์รุนแรงนัก!
หลินสวินเห็นทุกอย่างกับตานานแล้ว ในใจนอกจากเดือดดาล ที่มากกว่าคือไอสังหารเยียบเย็นซึ่งจวนระงับไม่อยู่
ผู้กล้าสำนักโบราณมากเช่นนี้ ปัจจุบันกลับลอบสร้างพันธมิตรหมายจัดการเขาคนเดียว วิธีการเช่นนี้สามารถใช้คำว่าไร้ยางอาย ต่ำทรามมาอธิบายได้ทั้งสิ้น!
‘เจ้าพวกสวะนี่ให้ความสำคัญกับข้าเสียจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้บนเขาเทพไร้มรณะนี่ข้าจะสู้ด้วยถึงที่สุด ดูสิว่าสุดท้ายใครจะร้องไห้ก่อน!’
หลินสวินแอบเคียดแค้น
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาไม่สังหารสิงอี่เทียน นอกจากไม่อยากเสียเวลาถ่วงการปีนเขาของตนแล้ว ยังมีเหตุผลหนึ่งที่สำคัญกว่า
นั่นก็คือแค่สามารถปีนถึงยอดเขา ยึดตำแหน่งครองภูผา ก็มีโอกาสได้รับโชควาสนามหามรรค!
ถึงตอนนั้น ทุกครั้งที่เอาชนะคู่แข่งได้คนหนึ่ง ก็สามารถไขว่คว้าโชควาสนามหามรรคได้เสี้ยวหนึ่ง
โชควาสนามหามรรคที่สะสมยิ่งมาก ข้อได้เปรียบในการประลอง ‘ชิงโชควาสนา’ ถัดไปก็ยิ่งเยอะ
‘ชิงโชควาสนา’ ก็คือการแข่งขันอันดับ อันดับยิ่งสูงแน่นอนว่าประโยชน์ก็ยิ่งมาก!
…
ฟุ่บ!
ในเวลาถัดมาหลินสวินไม่เก็บงำอีก โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างดั่งเรืองแสง อาศัยความเร็วน่าทึ่งที่ตาเนื้อสามารถมองเห็นพุ่งดิ่งไปยังยอดเขา
ระหว่างทางแม้พลังกดดันที่ภูเขาเทพไร้มรณะปลดปล่อยออกมาจะยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่อาจทำให้ความเร็วหลินสวินช้าลงได้
ระหว่างทางแม้มีผู้แข็งแกร่งมากมายชิงปีนป่ายอยู่สูงกว่า แต่ไม่นานก็ถูกหลินสวินไล่ตามทัน ทั้งสะบัดหลุดทิ้งหายเสียห่างไกล
ระหว่างทางไม่รู้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและสายตาตกตะลึงเท่าไหร่ แต่กลับไม่อาจสร้างผลกระทบให้หลินสวินแม้เพียงเสี้ยว
ณ เชิงเขา เยี่ยนจั่นชิวนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งตามอารมณ์ เห็นภาพนี้กับตาพอดี คิ้วกระบี่เลิกขึ้นน้อยๆ ราวใคร่ครวญ ‘พลังแฝงของเด็กนี่น่าอัศจรรย์นัก สามารถทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน ก็ไม่ใช่ผู้ที่คนทั่วไปสามารถเทียบเทียมได้แล้ว’
จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าเพลิดเพลิน ‘เพียงแต่ยิ่งเขาทำเช่นนี้การผลาญพลังก็ยิ่งมาก รอเมื่อครองภูผา สิ่งที่ต้องเผชิญคือการล้อมโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ขาดสาย นี่ไม่ใช่เรื่องชาญฉลาด ดูท่าใจเขาคงสับสนแล้ว…’
เยี่ยนจั่นชิวส่ายศีรษะ เหลือบสายตามองไปยังทางขึ้นเขาอื่น คนที่เขาให้ความสนใจมีเพียงคนส่วนน้อยบางตา
ภายในนั้นมีจินมู่อวิ๋น เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน และมีอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยาเป็นต้น
แน่นอนว่าที่เขาใส่ใจที่สุดมีเพียงคนเดียว…
จ้าวจิ่งเซวียน
…
เพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ หลินสวินทะยานสู่ยอดทางขึ้นเขาเส้นที่เก้าทันที
ที่นี่เป็นจุดสิ้นสุดยอดเขาลูกที่เก้า
แท่นมรรคมหึมาแท่นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น แท่นมรรคโบราณเรียบง่าย อบอวลกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์รางๆ มีรูปร่างเป็นดอกบัวเบ่งบานดอกหนึ่ง ครึ่งหนึ่งดำครึ่งหนึ่งขาว คล้ายแบ่งลักษณ์มืดสว่าง หยินหยางร่วมเคียง
ปรารถนาครองภูผาต้องยึดครองแท่นมรรคนี้!
นับแต่ปีนเขาถึงครองภูผา หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปจึงจะรู้ผลแพ้ชนะ
ฟุ่บ!
หลินสวินไม่ลังเล เงาร่างลอยล่องปรากฏบนแท่นมรรค
ขณะเดียวกันพื้นผิวหยินหยางขาวดำของแท่นมรรคราวตื่นจากความเงียบสงัด แผ่คลื่นโชควาสนาอัศจรรย์หาใดเปรียบ
โชควาสนาเดิมว่างเปล่าเลือนราง แต่บัดนี้กลับราวสายลมเย็นพัดผ่านหน้า ประดุจควันหมอกหนาทึบแท้จริงกำลังแผ่อยู่บนแท่นมรรค
ในใจหลินสวินอดไหวสั่นไม่ได้ ภูเขาเทพไร้มรณะนี้ช่างอัศจรรย์เกินคาดเดา สมเป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้ามที่มีชื่อเสียงที่สุดแต่โบราณ
ตูม!
ไม่นานกลางแท่นมรรคปรากฏป้ายหินรูปมังกรหนึ่ง สูงเก้าจั้ง ศีรษะมังกรผงาดฟ้า ร่างมังกรม้วนครองอาณาเขต
ดวงตา หนวดมังกร กรงเล็บมังกร เกล็ดมังกรของมัน… ต่างแผ่กลิ่นอายเก่าแก่น่าเกรงขามทุกอณู ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง
ทว่าป้ายหินที่ขมุกขมัวนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตาย ขาดแคลนพลังที่ยากอธิบายอย่างหนึ่ง
นี่ก็คือศิลามังกรขด!
พลังโชควาสนามหามรรคที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันได้รับระหว่าง ‘ครองภูผา’ ล้วนจะปรากฏบนนั้น!
ตอนที่ 1049 เคลื่อนกวาดเหล่าศัตรู
ศิลามังกรขด!
สื่อถึงจำนวนของพลังโชควาสนามหามรรคที่ผู้กล้าคนหนึ่งสามารถได้รับ
ปีนเขาลำบาก ครองภูผายิ่งยากกว่า
เมื่อยืนอยู่บนแท่นมรรคก็บ่งชี้ว่าอาจถูกผู้กล้าคนอื่นท้าทายได้ทุกเมื่อ
ซ้ำการท้าประลองนี้ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว หากเวลาหนึ่งก้านธูปไม่ปิดฉาก การต่อสู้ก็ไม่จบสิ้น!
สายตาหลินสวินจ้องมองศิลามังกรขดโดยละเอียดครู่ใหญ่ ไอสังหาร ปณิธานต่อสู้ เพลิงโทสะ ความภาคภูมิ… อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายที่สั่งสมภายในใจ ทำให้จิตต่อสู้ในใจเขาฮึกเหิม พลุ่งพล่านตามไปด้วย!
นี่เป็นเพียงกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เท่านั้น
ในเมื่อตนมาแล้ว แน่นอนว่าเป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียว…
อันดับหนึ่ง!
เพราะแต่ไหนแต่ไรอันดับหนึ่งของการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ นอกจากได้รับโชควาสนามหามรรคมากกว่าแล้ว ยังสามารถได้รางวัลฝึกปราณใน ‘แดนลับไร้มรณะ’ ครั้งหนึ่ง
ความอัศจรรย์ของแดนลับไร้มรณะนั้นง่ายมาก ผันเปลี่ยนกฎกาลเวลา!
บำเพ็ญเพียรในนั้นหนึ่งปี โลกภายนอกเพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งวัน วิธีการพลิกฟ้าเช่นนี้แม้แต่อริยะที่ก้าวสู่อริยมรรคล้วนได้แค่แหงนมองไม่อาจกระทำ!
เพราะกฎกาลเวลาคือกฎระเบียบสูงสุดแห่งสวรรค์ สูงส่งและไม่อาจคาดเดาเกินไป แม้แต่อริยะก็ได้แค่ทอดถอนใจว่า ‘กาลเวลาผ่านไปดั่งสายน้ำ ไม่อาจเปลี่ยนแปลง’
สำหรับหลินสวิน เวลาคือสิ่งเร่งด่วนที่เขาต้องการโดยไม่ต้องสงสัย
เพราะเขารู้ดีว่าช่องว่างระหว่างเขากับอวิ๋นชิ่งไป๋อยู่ที่การตกตะกอนของเวลา!
‘อันดับหนึ่งนี้ ข้าต้องเอามาให้ได้!’
หลินสวินพึมพำในใจ สีหน้านิ่งสงบแผ่เจตจำนงแห่งความเด็ดเดี่ยวไร้ขอบเขต
จากนั้น…
เขาเหลือบสายตาไปยังทางขึ้นเขาด้านล่าง
สามารถมองเห็นแต่ไกล ว่ามีเงาร่างมากมายดั่งอสรพิษกำลังพุ่งมาใกล้ยอดเขาด้วยความเร็ว
คนจำนวนมากเต็มเส้นทางสีทองกว้างห้าจั้ง พวกเขาต่างเข้าใจกันอย่างลับๆ ไม่ประชัน ไม่เข่นฆ่า
เพราะพวกเขาล้วนผูกพันธมิตร เล็งเป้าหมายสำคัญอันดับแรกไปที่หลินสวินคนเดียว!
หลินสวินสองมือไพล่หลัง ยืนนิ่งสงบ ชุดขาวพระจันทร์พลิ้วสะบัดกลางสายลม หมอกเมฆใกล้เคียงห้อมล้อม ขับเสริมร่างเขาจนโดดเด่นไร้มลทิน
นัยน์ตาดำลุ่มลึกเยียบเย็น เปี่ยมความเฉยชา
“เทพมารหลิน ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง กระโดดลงจากเขานี่ไปซะ พวกข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก จะได้ไม่ต้องประสบความทุกข์ทนทางกาย!”
คนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาถึงแล้ว มองหลินสวินที่ยืนโดดเดี่ยวบนแท่นมรรค สีหน้าเปี่ยมความหยามเหยียดและอึมครึม
“เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงถูกทำลายปราณ ไม่ทำให้พวกเจ้าเข็ดเลยรึ” หลินสวินเอ่ยราบเรียบ
ประโยคเดียวทำเอาอีกฝ่ายสีหน้าพลันอึมครึม คล้ำเขียวหาใดเปรียบ
“กระโดดลงไป? นี่ไม่ง่ายกับเขาเกินไปรึ ถึงแม้ว่าบนเขาเทพไร้มรณะต่อให้สังหารเขาแล้วก็ไม่ตายจริง แต่ข้ายังคิดแล่เนื้อเถือหนังเขาทั้งเป็นทีละดาบ!”
เพียงชั่วขณะผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็มาถึง คนที่เอ่ยวาจาคือกระบี่นงคราญข่งหลิง นางเป็นทายาทเผ่านกยูงห้าสี สวมชุดกระโปรงแดงเพลิง ในดวงตาเปี่ยมความเกลียดชัง
ตอนนั้นกระบี่แสงราตรีของอวิ๋นชิ่งไป๋ถูกหลินสวินแย่งไปจากมือนาง นี่ทำให้นางเดือดดาลเกินต้าน รู้สึกอับอายด้วยเหตุนี้
“คนแพ้ยังกล้าเอ็ดตะโร ประเดี๋ยวจะถอนขนเจ้าให้หมดตัว!” หลินสวินยิ้มเยาะ สีหน้าไม่ยี่หระ
“เจ้ารนหาที่ตาย!” ดวงตาทั้งสองของข่งหลิงดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ
“เทพมารหลิน สถานการณ์ตอนนี้เจ้าก็เห็น ไม่อยากแพ้จนน่าเกลียดก็รีบไสหัวลงมาจากแท่นมรรค!”
“ไสหัวลงมา!”
เวลานี้เหล่าผู้กล้าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักยุทธ์สมุทรคราม เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬต่างทยอยมาถึง
พวกเขารวมตัวแออัดกันตรงนั้น ชี้นิ้วสั่งหลินสวินเอ็ดตะโรไม่หยุด สีหน้าบ้างเจือความเกลียดชัง บ้างแฝงไอสังหาร
“อาศัยคนเยอะกำลังมากก็คิดว่าไม่ต้องเกรงกลัวอะไรรึ เสียแรงที่พวกเจ้าทุกคนเรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณ ช่างอับอายขายขี้หน้า!”
นัยน์ตาดำลุ่มลึกของหลินสวินเยียบเย็น เสียงดั่งระฆังยักษ์สะท้อนก้องเหนือเมฆา “ข้าไม่มีอารมณ์มาพูดไร้สาระกับพวกเจ้า หากใครไม่พอใจก็ขึ้นมา!”
เขาท่วงท่าไร้มลทิน เหยียดหยันเหล่าผู้กล้า วาจาราบเรียบแต่มีความหยิ่งหยอง สะเทือนไปทั่วยอดเขาลูกที่เก้า ปั่นป่วนลมเมฆ!
ณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยที่ติดตามการต่อสู้นี้นานแล้วดวงตาพลันเปล่งประกาย เรียกใบต้นข่าวสารทองคำที่เตรียมไว้ออกมา บันทึกฉากนี้ลงไปโดยไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
บนยอดเขาเหล่าผู้กล้าเดือดดาล สีหน้าอึมครึม เดิมคิดว่าการมาด้วยท่าทีข่มขู่คุกคาม อย่างน้อยเทพมารหลินต้องหวาดกลัวอยู่สามส่วน ไหนเลยจะคิดว่าฝ่ายหลังยังกำเริบเสิบสาน ใจกล้าเหิมเกริมเช่นนี้!
“หึๆ ช่างเป็นพวกบ้าคลั่งรนหาที่ตายจริงๆ อาศัยเจ้าตัวคนเดียวยังกล้าคุยโวเช่นนี้รึ” มีคนยิ้มเยาะ สีหน้าหยามเหยียด
ตูม!
บนแท่นมรรคหลินสวินกดฝ่ามือลงไป ห้วงอากาศพลันปรากฏประทับฝ่ามือหนึ่ง แหวกความว่างเปล่าพิฆาตลงมา
ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันพร่ามัว ประทับฝ่ามือนั้นดั่งตะวันดวงโตทะยานฟ้า เปล่งแสงเจิดจ้าถึงขีดสุด ความเร็วก็ไวจนหาใดเปรียบ
“อ๊าก…” คนผู้นั้นตะโกนลั่น เรียกสมบัติออกมาขวางทั้งยังหลบหลีกเต็มกำลัง แต่ล้วนไร้ประโยชน์
นี่คือผู้กล้าที่ครองพลังระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง ทั้งยังเป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักโบราณแห่งหนึ่ง ผลตอนนี้คือถูกประทับฝ่ามือบดขยี้ราววัชพืช
พรูด!
ร่างกายเขาระเบิดออก ฝนโลหิตสาดกระจาย
การโจมตีนี้ของหลินสวินเรียกได้ว่าเผด็จการหาใดเปรียบ รวดเร็วดุดันไร้ใครเทียม ซัดอัจฉริยะสำนักโบราณผู้หนึ่งแหลกกระจุยพริบตา!
ฉากนองเลือดนี้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกฉับพลัน!
และเวลานี้หลินสวินยังยืนอยู่บนแท่นมรรคตามเดิม ชายเสื้อพลิ้วไหว นัยน์ตาดำเยียบเย็น กลิ่นอายว่างเปล่าไร้มลทิน ประหนึ่งว่าไม่เคยลงมือมาก่อน
ทุกคนสีหน้าแปรปรวนไม่หยุด บ้างตระหนกขุ่นเคือง บ้างก็นึกกลัว
“ทุกท่านเข้าไปพร้อมข้า สังหารเจ้าเดรัจฉานนี่ซะ!”
เห็นหลินสวินเชือดไก่ให้ลิงดูตัดขวัญกำลังใจ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่งพลันก้าวออกไปโดยไม่ลังเล
นี่คือชายหนุ่มสวมชุดป่านเท้าเปล่าคนหนึ่ง ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ทะยานเข้ามา เรียกบรรทัดหยกชิ้นหนึ่งออกมา ประดุจสายฟ้าสีน้ำเงินส่องสว่างชั่วนิรันดร์
กลิ่นอายบรรทัดหยกนี้แข็งแกร่งดุดัน เห็นชัดว่าเป็นยอดศาสตรามรรคราชันที่ชวนประหวั่นชิ้นหนึ่ง อานุภาพไม่ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะ
ชิ้ง!
ข่งหลิงแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเองก็ออกจู่โจม เรียกกระบี่นงคราญออกมา ปราณกระบี่เจิดจ้ายาวร้อยจั้งที่พรั่งพรูเจิดจรัสแสบตา
ไม่ว่าชายหนุ่มชุดป่านหรือข่งหลิงล้วนเป็นบุคคลที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ ยามนี้ลงมืออย่างแข็งกร้าวหาใดเปรียบ
เห็นดังนี้ผู้แข็งแกร่งที่เดิมลังเลอยู่บ้างก็ออกโจมตี เข้าสังหารหลินสวินที่อยู่กลางแท่นมรรคจากทั่วสารทิศ!
นี่ไม่ใช่การประลองบนสังเวียน ไม่มีคำว่ายุติธรรม การยืนเหนือแท่นมรรคก็ต้องพบเจอการล้อมปราบและรุมจู่โจม
ตู้ม!
ทั่วร่างหลินสวินปะทุแสงศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ไร้ขอบเขต ประหนึ่งคลื่นมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตาโถมกระหน่ำ ส่องห้วงอากาศแถบนี้ให้สว่างไสว ขวางบรรทัดหยกนั่นเอาไว้
ขณะเดียวกันประทับปี้อั้นควบรวมออกมาราวกับเป็นของจริง ปลดปล่อยอานุภาพพิฆาตฟ้าดิน รับปราณกระบี่เจิดจ้าดุจหิมะนั่น
“ฆ่า!”
ศึกใหญ่จุดชนวนเปิดฉากโดยสมบูรณ์ในชั่วพริบตา
เหล่าผู้กล้าทรงพลังที่มาจากต่างขุมอำนาจต่างพุ่งสังหารไปยังแท่นมรรค พลานุภาพสะท้านฟ้าน่าหวาดกลัวไร้ขีดจำกัด
แต่หลินสวินไม่ถอยร่นกลับพุ่งเข้าไปรับ เปิดศึกใหญ่กับพวกเขาด้วยตัวเอง
ตั้งแต่เข้าสู่เขตหวงห้ามไร้มรณะ ตลอดทางขึ้นเขาก็ถูกคนหมายหัวทุกแห่งหน ตั้งท่าอยากกำจัดเขาให้สิ้นซาก
กระทั่งขึ้นเขา ผู้สืบทอดสำนักโบราณที่สง่าผ่าเผยกลับร่วมมือกันหมายจัดการตนคนเดียวอย่างไร้ยางอาย!
นี่จะให้หลินสวินอดกลั้นได้อย่างไร
ตัวตลกกระโดดโลดเต้นกลุ่มหนึ่งล่วงเกินกันหลายครั้ง หากไม่กำราบความหยิ่งทะนงของพวกเขาจนราบคาบ ต่อไปภายหน้ายังจะถามหาคุณธรรมอะไรได้
เหมือนที่จ้าวจิ่งเซวียนคาดเดาก่อนหน้า คราวนี้หลินสวินตัดสินใจลงมือสังหารครั้งใหญ่ ไม่เช่นนั้นคงไม่พอจะระบายความเดือดดาลภายในใจ!
ฆ่า!
นัยน์ตาเย็นชาของหลินสวินวาบแสงอสนี เงาร่างเปล่งประกายเจิดจรัสแสบตา ประหนึ่งตะวันเขียวสาดส่องภูผาธารา
ตูม!
นัยเร้นลับเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์โคจรบ้าคลั่ง พลังหมัดหลากสายปะทุพล่าน ดั่งเทพมารแกว่งหมัดทะลวงเวิ้งฟ้า
เสียงปึงดังสนั่น กระบี่นงคราญของข่งหลิงถูกซัดกระเด็นส่งเสียงครวญ ร่างอรชรของนางสั่นสะเทือน แทบร่วงคะมำออกไป
อีกฟากหนึ่ง บรรทัดหยกของชายหนุ่มชุดป่านถูกเท้าหนึ่งของหลินสวินเหยียบไว้ ไม่ว่าดิ้นรนอย่างไรล้วนไม่เป็นผล
พรูดๆๆ
และยามนี้ หลังจากพลังหมัดชวนสะพรึงที่สามารถสะท้านฟ้าสะเทือนดินนั่นของหลินสวินยิงพุ่งออกมา เงาร่างผู้กล้ามากมายที่เข้ามาใกล้ ยังไม่ทันหลบหลีกร่างกายก็ระเบิดออกราวดอกไม้ไฟเบ่งบาน ฝนโลหิตหลั่งรินโดยรอบ ย้อมห้วงอากาศเป็นสีชาด
ณ เชิงเขา เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น
หลังกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เปิดฉาก ผู้กล้าที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันมากมายเริ่มเคลื่อนไหวนานแล้ว เหลือเพียงพวกผู้เจนจัด ผู้ติดตาม ข้าบ่าวรับใช้เก่าแก่บางส่วนที่อยู่ตรงเชิงเขา
เมื่อมองเห็นภาพนี้ต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกตะลึง หน้าพลันเปลี่ยนสี
ผู้สืบทอดสำนักโบราณเหล่านั้นแต่ละคนล้วนเป็นพวกชั้นยอดในรุ่นเดียวกัน อิทธิพลดั่งดวงตะวันโชติช่วง บัดนี้รวมตัวจ่อคมศาสตราใส่หลินสวินคนเดียว พลังเช่นนั้นน่าหวาดกลัวระดับไหน
แต่ผลคือหลินสวินรับมือได้ ทั้งสบายหาใดเปรียบ เปิดฉากสังหารครั้งใหญ่อย่างแข็งกร้าวดุจเทพมาร ตัดสลับไปมาบนแท่นมรรค!
“ตาย!”
หลินสวินกางนิ้วออก ธารดาราลุกโชนสายหนึ่งแผ่ขยายกลางอากาศ ผลาญนภาทลายปฐพี ระเบิดร้อนแรงน่าตื่นตะลึง
วิชามรรคชั้นเลิศ มรรคธารดาราหลอมเพลิง!
อาศัยพลังมหามรรคธาตุไฟขั้นแก่นมรรค ทันทีที่วิชามรรคส่วนนี้สำแดง บนแท่นมรรคดั่งมีดาวดวงโตลุกโชนมากมายระเบิดออก
พลังทำลายล้างชวนประหวั่นนั่นกลืนกินเหล่าผู้กล้าสิบกว่าคนตรงนั้นทันที ส่งเสียงร้องทุรนทุรายโหยหวนหาใดเปรียบ
“ไอ้มารผจญเจ้าบังอาจ!” ชายหนุ่มชุดป่านโกรธจัด บรรทัดหยกเปล่งแสงแวววาว ซัดสาดรัศมีสายฟ้าพันหมื่นชั้นออกมา
“ไสหัวไป!” หลินสวินที่กำลังพุ่งสังหารไม่แม้แต่หันหลังกลับ เงามายาสัตว์เทพฟู่ซี่ปรากฏจากแผ่นหลัง ทะยานฟ้าออกไป
พริบตานั้นชายหนุ่มชุดป่านและบรรทัดหยกในมือเขาถูกซัดละลิ่วไปพร้อมกัน ภายในร่างส่งเสียงกระดูกแตกละเอียด ทำเอาเขาจมูกปากกบเลือด เกือบประสบเคราะห์
ตูม!
ขณะเดียวกันพลังหมัดหลินสวินดุจมังกรคำรามก้องฟ้าดิน พุ่งเข้ารับผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะ พลังหมัดแข็งแกร่งไม่มีสิ่งใดไม่อาจทำลาย อานุภาพไร้ขีดจำกัด สยบศัตรูทั่วทิศ!
ณ เชิงเขา เหล่าผู้เจนจัดและข้ารับใช้แต่ละขุมอำนาจต่างใจสะท้าน พวกเขาส่วนใหญ่เพิ่งเคยเห็นหลินสวินลงมือเป็นครั้งแรก เดิมคิดว่าบุคคลแห่งยุคคนเดียว ต่อให้แกร่งแค่ไหนภายใต้สถานการณ์ที่ถูกล้อมกรอบก็คงหนีคราวเคราะห์ไม่พ้น
แต่ใครเล่าจะคาดคิด เทพมารหลินนี่แข็งแกร่งกว่า น่ากลัวกว่าคำเล่าลืออยู่โข!
เขาแค่ตัวคนเดียว แต่อานุภาพกลับเปี่ยมล้นฟ้าดิน ครองแท่นมรรคนั่นดั่งเจ้าเหนือหัว เคลื่อนกวาดศัตรูทั้งมวล!
ตอนที่ 1050 เงาร่างที่ไม่อาจต้าน
ตูม!
บรรทัดหยกถูกซัดกระเด็นอีกครา ส่งเสียงครวญไม่หยุด
หลินสวินดั่งเทพมารตนหนึ่ง ระหว่างชูมือพลังหมัดทลายอากาศ ระเบิดหมัดทรงพลัง
“อ๊าก…!” ชายหนุ่มชุดป่านร้องโหยหวน
ศิษย์แกนหลักที่จัดอยู่ในแนวหน้าของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้นี้ หลังจากประมือไม่กี่ครั้งสุดท้ายก็สู้ไม่ไหว ถูกหลินสวินซัดจนบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย กระอักเลือดคำโต
แต่สีหน้าเขายังคงเหี้ยมเกรียม ผูกพยาบาทตะเบ็งลั่น “เทพมารหลิน บนภูเขาเทพไร้มรณะนี้พวกเราล้วนไม่ตาย ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ สุดท้ายก็ต้องมีช่วงที่อ่อนแอหมดกำลัง!”
ตูม!
พลังหมัดเคลื่อนกวาด ทำจนร่างเขาแตกละเอียด หลินสวินไม่ลังเลอะไรส่งหมัดออกสังหารอีกครา
กลางห้วงอากาศ ชายหนุ่มชุดป่านร่างระเบิดหายลับไป
“คนเยอะกำลังมาก ยังมาพูดข่มขู่ก่อนตาย ขยะเช่นนี้สมกับคำว่าผู้กล้าขอบเขตมกุฎรึ” หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น ในดวงตาดำไร้ความปรานี
เขาหันหลังกลับ จ้องมองข่งหลิง
“เร็วเข้า! ลงมือพร้อมกัน ฆ่าเจ้ามารนี่ซะ!” ข่งหลิงหวีดร้อง ความแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้นางหวั่นใจ จิตต่อสู้ถูกโจมตี
ชายหนุ่มชุดป่านนั่นคือบุคคลแห่งยุคคนแรกที่ถูกคัดออกหลังเริ่มต่อสู้
นี่ยังไม่เท่าไหร่ ที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกคือ เป็นบุคคลแห่งยุคเหมือนกัน แต่เขากลับไม่ใช่คู่ต่อกรของหลินสวิน!
จิตใจของผู้กล้าสำนักอื่นๆ ต่างงถูกโจมตี ต่อสู้ถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปไม่นานก็มีผู้กล้ายี่สิบกว่าคนถูกสังหาร แม้ไม่ได้ตายจริง แต่ความสูญเสียเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าตกตะลึง!
“นับแต่ก้าวสู่ยอดเขานี้ พวกเราก็ไร้ทางถอย หากไม่กำจัดเจ้ามารนี่ซะ จะให้มันฆ่าเราทีละคนรึ”
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนหนึ่งคำราม
“กำลังคนมีจำกัด ต่อให้เขาเทพมารหลินแข็งแกร่งแค่ไหน ก็มีปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น!”
“ฆ่า! ถึงอย่างไรก็ไม่ตาย ต่อให้ถูกคัดออก หากสามารถลากไอ้สวะนี่ให้ตายตกไปได้ก็ถือว่าคุ้มค่า!”
ปณิธานการต่อสู้ของเหล่าผู้กล้าถูกจุดขึ้นอีกครั้งทันที
ไม่ใช่พวกเขาไม่กลัวตาย แต่เพราะบนภูเขาเทพไร้มรณะนี้ไม่มีทางปรากฏ ‘ความตาย’ แต่แรก!
ฟุ่บๆๆ
เงาร่างมากมายพุ่งเข้ามา ไอสังหารแผ่พุ่ง กลิ่นอายชวนประหวั่น ทั่วร่างห้อมล้อมด้วยแสงมรรคงามตระการ
วิชามรรค วิชาลับนานัปการดั่งฝนกระหน่ำมืดฟ้ามัวดิน ครอบคลุมเหนือแท่นมรรค
สมบัติมากมายปรากฏแสงแวววาวหลากสีสัน เผยลักษณ์อัศจรรย์และอานุภาพต่างกันไป ปกคลุมมาทางหลินสวินคนเดียว
ภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดินนั้น เพียงพอทำให้ราชันกึ่งระดับคนใดๆ ล้วนสิ้นหวัง!
ขณะนี้ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยที่กำลังใช้ใบต้นข่าวสารทองคำบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนตระหนกตกใจ ขนพองสยองเกล้า
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในอดีตที่ผ่าน ไม่เคยเกิดเรื่องบ้าระห่ำชวนสะพรึงเช่นนี้มาก่อน!
หากเรื่องนี้แพร่สู่โลกภายนอก ทั้งแดนชัยบูรพา… ไม่สิ ทั่วดินแดนรกร้างโบราณเกรงว่าคงอึกทึกครึกโครมด้วยเหตุนี้แน่
แต่ขณะเดียวกันอานุภาพผงาดง้ำที่ ‘หนึ่งคนเฝ้าด่าน หมื่นฉกรรจ์ไม่อาจกล้ำกราย’ นั่นของเทพมารหลิน ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยจับจ้องอย่างลุ่มหลง โลหิตทั่วร่างเดือดพล่านตามไปด้วย
ตัวคนเดียวกรำศึกกับผู้กล้าหลากสำนัก ความอาจหาญเช่นนี้สามารถสะเทือนฟ้าดินตะวันจันทรา น่าตกตะลึงยิ่งนัก!
ตูม โครม
สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือดกว่าเดิม เงาร่างหลินสวินเปล่งประกายยิ่งขึ้น ดุจมายาราวภาพฝัน
สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างเขาลุกโชน ร้อนเร่าดั่งเตาหลอมยักษ์ รากฐานมรรควิถีที่หนาแน่นหาใดเปรียบภายในร่างถูกโคจรเต็มกำลัง
เขาในตอนนี้ผิวทุกอณูพรั่งพรูแสงมรรค เส้นผมแต่ละเส้นล้วนแวววาวสว่างไสว สะท้อนแสงชวนประหวั่น
ระหว่างที่เขาขยับตัว พลังมหามรรคส่งเสียงกัมปนาทชักนำห้วงอากาศให้สั่นสะเทือน พลังที่ปล่อยออกมาในทุกการโจมตีต่างเผยอานุภาพทำลายล้างยิ่งยวด
ชิ้ง!
แสงเยียบเย็นของกระบี่นงคราญส่องระยับ ดุดันหาใดเปรียบ จู่โจมเข้ามา
พรูด!
ขณะเดียวกันนิ้วมือหลินสวินวาดผ่าน ประหนึ่งดาบสวรรค์ทะลวงนภาคราม เจิดจ้าเฉียบคม ข่งหลิงกรีดร้อง แต่ไม่ทันได้หลีกหลบก็ถูกปาดคอ โลหิตแดงสดสาดพรมออกมา
ร่างไร้หัวของนางกลายเป็นนกยูงปีกงามตระการตัวหนึ่ง ผลคือถูกหลินสวินใช้วิชาธารดาราหลอมเพลิงเผาจนปีกกลายเป็นเถ้า ร่างโกร๋นดำไหม้เกรียมหาใดเปรียบ
หงส์ที่สลัดขนสู้ไม่ได้แม้แต่ระกา นกยูงที่ถูกเผายิ่งไม่งามตายิ่งกว่า
ที่น่าเสียดายคือชั่วพริบตาศพของข่งหลิงก็อันตรธานหายไป ไม่เช่นนั้นหลินสวินก็อยากลิ้มลองเนื้อนกยูงอยู่บ้าง
บนแท่นมรรคฝนโลหิตพร่างพรม เสียงร้องโหยหวนดังเป็นระลอกไม่หยุด
เงาร่างหลินสวินเคลื่อนย้ายเปลี่ยนผ่าน เปล่งประกายตลอดตัว พลังหมัดอานุภาพยิ่งใหญ่ ผู้กล้ามากมายระเบิดกระจุยคนแล้วคนเล่า ทั้งหมดล้วนถูกสังหารดุเดือด
ที่นี่แสงศักดิ์สิทธิ์สะเทือนเลือนลั่น วายุอสนีโถมกระหน่ำ เลือดลมดั่งมหาสมุทรไร้ขอบเขต หลินสวินตัวคนเดียวรบพุ่งอยู่ในนั้น แม้ถูกศัตรูโจมตีทั่วทิศ แต่กลับมีความอาจหาญที่หมื่นฉกรรจ์ไม่อาจกล้ำกราย!
บนแท่นมรรคโลหิตสาดพรมรวมเป็นแอ่งสีแดงสดบาดตา จากนั้นระลอกคลื่นกฎระเบียบแผ่คลุมทำให้เลือดและซากศพเหล่านั้นต่างหายลับไป
มีแค่บนศิลามังกรขดเก่าแก่นั่นที่ส่องแสงแวววาวดั่งมายาหลากสาย ประหนึ่งไส้เดือนตัวเล็กมากมายเลี้ยวลดไปมา กำลังรวมตัวกันไม่หยุด
สามารถมองเห็นได้รางๆ บนตัวมังกรบนป้ายหินนั่น ผืนเกล็ดสีเทาขมุกขมัวปรากฏแสงแวววาวน้อยๆ ดูมีจิตวิญญาณมากขึ้น
นี่คือพลังของโชควาสนามหามรรค!
การครองภูผาบนแท่นมรรค ทุกครั้งที่เอาชนะคู่แข่งคนหนึ่ง จะได้รับโชควาสนามหามรรคเสี้ยวหนึ่งจากภูเขาเทพไร้มรณะ รวบรวมบนศิลามังกรขดนั่น
และยามนี้ ตามจำนวนคู่ต่อสู้ที่หลินสวินจู่โจมสังหารมากขึ้นเรื่อยๆ พลังโชควาสนามหามรรคที่รวมบนศิลามังกรขดก็ทยอยเพิ่มตามไปด้วย
เวลานี้เหนือยอดเขาอื่นอีกสามสิบห้าลูกก็เกิดการปะทะเช่นกัน ทว่าเทียบกันแล้วกลับอลหม่านหาใดเปรียบ ไม่มีการพุ่งเป้าไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เช่นเดียวกัน ทุกคนที่ครองภูผาต่างต้องรับการท้าทายไม่หยุด
แน่นอนว่ากล่าวถึงระดับความบ้าคลั่ง การแข่งขันบนยอดเขาอื่นไม่อาจเทียบแท่นมรรคที่หลินสวินครองอยู่
ตูม!
แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งปะทะ สมบัติวิเศษปลิวว่อน
การเข่นฆ่ายังดำเนินต่อเนื่อง
หาใช่หลินสวินไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน เพียงแต่แรงกดดันที่ศัตรูโจมตีทั่วทิศเช่นนี้ยังไม่ถึงขั้นทำให้เขาต้านทานไม่อยู่
ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่ต่อสู้จนถึงตอนนี้ แม้พบเจอบุคคลแห่งยุคบางส่วน แต่กล่าวถึงพลังต่อสู้ล้วนเทียบเซียวชิงเหอไม่ได้
“ขยะอย่างพวกเจ้า ทำได้แค่หลบอยู่ข้างหลังรอฉวยโอกาสรึ”
ทันใดนั้นหลินสวินเอ่ยเย็นชา สังเกตเห็นบุคคลแห่งยุคที่พลังแข็งแกร่งยิ่งส่วนหนึ่งต่างรวมตัวอยู่ห่างไกล ไม่พุ่งเข้ามา
นี่เห็นชัดว่าคิดยืมมือคนอื่นมากร่อนพลังตน ยามกำลังตนถดถอย เจ้าพวกนี้ก็จะบุกจู่โจมโดยไม่ลังเล
ทันทีที่กล่าววาจานี้ออกไป ทำให้เหล่าผู้กล้าที่กำลังบุกโจมตีต่างสีหน้าไม่น่าดู เดือดดาลหาใดเปรียบ ไม่ว่าใครล้วนไม่ยินดีจะถูกเห็นเป็นเบี้ยใช้แล้วทิ้ง
“บังอาจนัก! อย่ามาเสี้ยมคนให้เข้าใจผิด!”
ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะที่ศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนกคนหนึ่งพุ่งออกมา ทะยานเข้าหาแท่นมรรคในชั่วพริบตาดั่งมังกรเหินพยัคฆ์ก้าว กวาดสะบัดทวนวงเดือนผ่าแหวกสังหาร
นี่คือชายหนุ่มซึ่งโดดเด่นยิ่งคนหนึ่ง ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ พลานุภาพไม่ธรรมดา ทันทีที่ลงมือก็แผ่พลังอหังการเต็มเปี่ยม
แต่เพียงชั่วครู่เขาก็ถูกหมัดหลินสวินซัดใส่หน้าอก ร่างกายระเบิดกระจุยราวทำจากกระดาษ ฉากนองเลือดนั้นน่าตระหนกจนทุกคนในลานสูดหายใจเย็น จิตวิญญาณต่างสั่นสะท้าน
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บุคคลแห่งยุคถูกสังหารง่ายดายเช่นนี้
ณ เชิงเขา เหล่าผู้เจนจัด ข้ารับใช้แต่ละขุมอำนาจต่างสั่นสะท้าน เทพมารหลินนี่ แม้แต่ในหมู่ผู้กล้าขอบเขตมกุฎก็เรียกได้ว่าล้ำเลิศ พลังต่อสู้แข็งแกร่งยิ่ง!
หลินสวินกวาดมองเหล่าผู้กล้า กล่าวเสียงราบเรียบเยียบเย็น “วันนี้มีข้าอยู่นี่ ไม่ว่าพวกเจ้ามาจากสำนักโบราณไหน ไม่ว่าใครถ้ากล้าล้ำเส้นเพียงก้าว สังหารไม่ละเว้น!”
บัดนี้บนแท่นมรรคว่างเปล่า ผู้กล้าแต่ละคนที่พุ่งเข้าไปก่อนล้วนถูกสังหารเกลี้ยง มีเพียงหลินสวินยืนอยู่บนนั้นคนเดียว
ใต้เท้าคือแอ่งโลหิตที่รอยเลือดไม่เคยจางหาย
อากาศโดยรอบเป็นกลิ่นคาวเลือดฉุนกึก
แต่ตัวเขากลับไม่แปดเปื้อนโลกีย์ เงาร่างสันโดษ อานุภาพดั่งเทพมารตนหนึ่งที่กำลังมองเหยียดหยันทั่วทิศ พลานุภาพเช่นนั้นทำให้ผู้คนไม่น้อยต่างสะท้านไหว
ตัวคนเดียวกลับประหนึ่งมหาบรรพต หยัดยืนตระหง่านบนแท่นมรรค ต้านขวางผู้สืบทอดทุกสำนัก กำราบศัตรูทั้งมวล!
นี่ก็บ้าระห่ำเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้
ใครจะกล้าเชื่อว่าคนผู้หนึ่งที่มีปราณระดับกระบวนแปรจุติเหมือนกัน กลับสามารถจู่โจมผู้กล้าสำนักโบราณมากมายได้
ในโลกภายนอกผู้กล้าเหล่านั้นไม่มีสักคนที่ไม่ใช่ผู้กล้ารุ่นเยาว์ ชื่อเสียงสั่นสะเทือนฟากหนึ่ง เป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง
แต่ต่อหน้าเทพมารหลินกลับต้านทานไม่ไหวเช่นนั้น ทำให้ผู้คนแทบไม่กล้าเชื่อสายตา!
ทุกอย่างนี้พิสูจน์ได้เพียงว่า บนมกุฎมรรคา พลังต่อสู้ของเทพมารหลินบรรลุถึงขั้นเป็นประวัติการณ์ ไม่ต้องกล่าวถึงผู้กล้าทั่วไป ต่อให้เป็นบุคคลแห่งยุคเหมือนกันก็ใช่ว่าใครๆ จะมีคุณสมบัติประลองฝีมือกับเทพมารหลินได้!
ยังดีที่นี่คือภูเขาเทพไร้มรณะ มีกฎระเบียบคอยจำกัดไม่ถึงขั้นตายจริง ไม่เช่นนั้นทุกสำนักใหญ่คงแบกรับความเสียหายสาหัสเช่นนี้ไม่ไหวแน่
อีกทั้งด้วยรู้ว่าไม่มีทางตายจริง จึงทำให้ผู้กล้าเหล่านี้กล้าจู่โจมอย่างอาจหาญไม่กลัวตาย!
เวลานี้เยี่ยนจั่นชิวก็ไม่อาจไม่ติดตามการต่อสู้นี้ ความสามารถของหลินสวินทำให้เขารู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง ในดวงตาฉายแววประหลาด
‘หนึ่งพลังเรืองรุ่ง สองเสื่อมโทรม สามสิ้นสุด เจ้าเด็กนี่ต่อสู้ถึงตอนนี้คงผลาญพลังไปมาก ก็ไม่รู้ว่าจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไหร่’
เยี่ยนจั่นชิวใคร่ครวญ แต่จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ ไม่มีอะไรน่าติดตาม บุคคลแห่งยุคที่สามารถดันตนขึ้นสู่อันดับกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ล้วนสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
หากหลินสวินไม่ถูกหมายหัว อาศัยพลังต่อสู้ที่เขาสำแดงออกมา การจะดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็ไม่ใช่ปัญหา
น่าเสียดาย สถานการณ์ของเขาไม่ใคร่ดี!
เสมือนยืนยันการคาดเดาของเยี่ยนจั่นชิว บนยอดเขามีคนยั้งใจไม่อยู่เอ่ยเย็นชา
“เทพมารหลิน แม้พลังต่อสู้ของเจ้าโดดเด่น แต่ใครให้เจ้ากล้าลบหลู่พวกข้าสำนักโบราณที่อยู่มานาน”
คนที่เอ่ยวาจาไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นกลุ่มหนึ่ง ล้วนเป็นบุคคลแห่งยุค แววตาเยียบเย็น
จากการวิเคราะห์ของพวกเขา กรำศึกถึงตอนนี้หลินสวินคงใช้พลังไปมากโข ต้องยืนหยัดต่อได้ไม่นานแน่
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเตรียมลงมือ!
น่าเสียดาย ไม่มีคนรู้ชัดว่ารากฐานพลังหลินสวินยิ่งใหญ่เพียงใด หากประลองมรรควิถี ในที่นี้ไม่มีคนสามารถเทียบเคียงเขาได้!
“รอพวกเจ้าตั้งนานแล้ว ยังไม่ขึ้นมารับความตายอีกรึ” นัยน์ตาเยียบเย็นของหลินสวินลุ่มลึกชวนประหวั่นยิ่งกว่าเดิม
“เทพมารหลิน เจ้าหลงระเริงเกินไปแล้ว คิดจริงหรือว่าตนจะอยู่ยงคงกระพัน” หญิงสาวคนหนึ่งยิ้มเยาะ ถึงแม้หวาดหวั่นแต่ข่มความเดือดดาลในใจไม่อยู่
เพราะในฐานะผู้สืบทอดสำนักโบราณ พวกเขาสูงส่งเหนือคนอื่นเสมอ เมื่อเผชิญหน้าคนไร้ที่พึ่งอย่างหลินสวินจึงรู้สึกเหมือนครองความได้เปรียบ
แต่ตอนนี้พวกเขากลับทยอยถูกสังหาร นี่เห็นได้ว่าขายหน้านัก จะให้ผู้คนไม่เดือดดาลล้วนยากลำบาก
ฟุ่บ!
ทว่าเสียงหญิงคนนั้นเพิ่งแผ่วลง ประกายคมขาวเจิดจ้าดุจหิมะก็โฉบออกจากร่างหลินสวิน ศีรษะหญิงสาวถูกปลิดร่วงในฉับเดียว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น