Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1041-1044
ตอนที่ 1041 กฎเกณฑ์ไร้มรณะ
ภูเขาเทพไร้มรณะถึงแม้จะมีคำว่า ‘มรณะ’ ในนั้น แต่ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์และอานุภาพภูเขากลับตรงกันข้าม
ภูเขานี้สูงตระหง่านเด่นหรา คดเคี้ยวราวกับมังกรตัวใหญ่ ทั่วเขาดำสนิทประหนึ่งหยกสีหมึก มีอานุภาพทะยานจากผืนดินขึ้นเทียมฟ้า ตัวเขาทั้งบนล่างไหลเวียนด้วยกลิ่นอายพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งไม่เสื่อมสลาย
ตรงตำแหน่งกึ่งกลาง ยอดเขาสามสิบหกยอดราวกับดอกบัวเบ่งบาน สูงทะลุหมอกเมฆ งดงามทรงพลัง
ไม่ว่าใครมาที่แห่งนี้ ขอเพียงได้เห็นเขาลูกนี้ ในใจต่างก็เกิดภาพจำยิ่งใหญ่ของการ ‘หมุนเวียนชั่วกัลป์ นิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ’ กันทั้งสิ้น
มันศักดิ์สิทธิ์และเหนือธรรมดาเกินไป พลังกฎระเบียบฟ้าดินอันไร้รูปที่ส่งผลกระทบต่อเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ ทำให้ที่แห่งนี้อวลบรรยากาศมิ่งมงคล พลังชีวิตเฟื่องฟู ดุจดั่งแดนเทพพิสุทธิ์
“นี่ก็คือภูเขาเทพไร้มรณะหรือ”
หลินสวินเองก็อดใจสะท้านไม่ได้เช่นกัน พลังจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด ชั่วพริบตาก็สามารถสัมผัสได้ว่าภูเขาลูกนั้นเป็นอมตะ คงอยู่ตราบนานเท่านาน เปี่ยมด้วยคลื่นพลังสูงสุดที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้
ตามที่เล่าลือ ทุกครั้งของการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ผู้แข็งแกร่งที่ไต่เท้าขึ้นสู่สามสิบหกอันดับแรกล้วนจะได้รับโชควาสนามหามรรคที่งอกงามบนภูเขาเทพไร้มรณะ
ยิ่งลำดับสูง โชควาสนามหามรรคที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้น
ไร้โชควาสนาไม่อาจกลายเป็นราชัน โชควาสนามหามรรคนี้เป็นถึงสิ่งที่เลือนรางริบหรี่และสุดแสนล้ำค่าที่สุดบนโลกใบนี้
วาสนาทั่วๆ ไปอาจสามารถทำให้ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกปราณพัฒนาแบบก้าวกระโดด
แต่โชควาสนามหามรรคกลับสามารถส่งผลต่อมรรคาของผู้ฝึกปราณ ถึงขั้นที่มีผลต่อทิศทางชะตาชีวิตเลยทีเดียว!
ก็เหมือนกับการพุ่งโถมสู่ระดับมกุฎราชัน หากไร้โชควาสนา แม้ว่ารากฐานจะแข็งแกร่งเพียงใด พรสวรรค์โดดเด่นแค่ไหนก็ย่อมไร้วาสนาจะอยู่ในระดับนี้
พูดภาษาบ้านๆ คือ ยิ่งโชควาสนาแกร่งกล้า ยามที่แสวงหามรรคา ไม่แน่ว่าอาจได้รับโชควาสนาบ่อยครั้ง
แม้จะเผชิญหน้าภัยพิบัติอันตราย ก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้
และหากโชควาสนาต่ำเตี้ย ต่อให้ความเร็วในการฝึกปราณจะรวดเร็วเพียงใด หากชะตาขาดระหว่างทาง การเสาะแสวงทั้งหมดก็ย่อมสูญเปล่า
หนึ่งชีวิต สองโชคลาภ สามฮวงจุ้ย ผู้คนต่างรู้ดีถึงหลักการอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วเช่นนี้
เซียวชิงเหอกระแอมในลำคอ กล่าวแนะนำจากด้านข้าง “การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ ถึงแม้จะต่างจากที่ผ่านมา แต่กฎเกณฑ์ก็ยังคงเหมือนเดิม คร่าวๆ แบ่งออกเป็นสามด่าน”
“ด่านแรกคือ ‘ขึ้นเขา’ ด่านที่สองคือ ‘ครองภูผา’ ด่านที่สามคือ ‘ชิงโชควาสนา’ และถูกมองว่าเป็นการแข่งขันจัดอันดับด้วย”
“ขึ้นเขาเป็นด่านแรก เมื่อการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้เปิดม่าน กลุ่มผู้แข็งแกร่งต่างก็จะพากันวิ่งกรูขึ้นไปบนยอดเขาเทพไร้มรณะตั้งแต่จังหระแรก สิ่งที่มุ่งเน้นก็คือว่าเร็ว ใครสามารถเบียดขึ้นเป็นอันดับแรก ก็จะได้เปรียบในด่านครองภูผา”
อาหลู่กล่าวอย่างไม่แยแส “นี่มันยากตรงไหน ตอนข้าอายุสิบสี่ก็สามารถหิ้วภูเขาพันจั้งมาเล่นในมือได้แล้ว”
“ปัญญาอ่อน!”
เซียวชิงเหอไม่เกรงใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าในที่สุดก็สบโอกาสโจมตีอาหลู่เสียที
เขาหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “นั่นเป็นถึงภูเขาเทพไร้มรณะ คงกระพันมาเนิ่นนาน หากเจ้าฉกหินก้อนหนึ่งมาจากที่นั่นได้ ก็ถือว่าข้าแพ้”
ไม่รอให้อาหลู่แย้งเขาก็กล่าวต่อไปว่า “ระหว่างที่ขึ้นเขาอยู่นั้นย่อมจะดึงดูดศึกโกลาหล ดังนั้นการเลือกเส้นทางจึงสำคัญยิ่ง”
“พวกเจ้าเองก็เห็นแล้ว ด้านบนภูเขาเทพไร้มรณะมียอดเขาสามสิบหกยอด ซึ่งหมายความว่ามีเพียงสามสิบหกคนเท่านั้นจึงจะสามารถกำชัยชนะได้”
“ดังนั้นเมื่อพวกวิปริตคนอื่นๆ เลือกเดินเส้นทางเดียวกัน จะต้องเกิดความขัดแย้งอันคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ปะทุขึ้น ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดาแล้ว”
“ในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ผ่านมา บุคคลชั้นยอดที่ร้ายกาจที่สุดกลุ่มหนึ่งส่วนใหญ่จะไม่เลือกเส้นทางเดียวกันตอนที่ขึ้นเขา เพราะอาจบาดเจ็บ ได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่ายได้ง่ายยิ่ง”
หลินสวินพยักหน้า หากให้บุคคลชั้นยอดอย่างเซี่ยวชางเทียนมาปีนป่ายขึ้นยอดเขาลูกเดียวกันจริงๆ แทบไม่ต้องคิดเลยว่าคงถูกกำจัดทิ้งไปหลายคนตั้งแต่รอบแรก
ถึงตอนนั้น แม้จะมีพลังต่อสู้จัดอยู่ในอันดับกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็คงไม่ช่วยอะไร
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะขึ้นเขา จำเป็นต้องไตร่ตรองและพิจารณาเกี่ยวกับเส้นทางขึ้นเขาก่อนสักเที่ยว หาก ‘ราชันไม่พบราชัน’ ได้นั่นย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เห็นได้ชัดว่าเซียวชิงเหอก็กังวลจุดนี้มากที่สุดไม่แพ้กัน
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านโดยสิ้นเชิง บุคคลชั้นยอดโดดเด่นไร้เทียมทานแห่กันมามากมาย ยอดเขาแค่สามสิบหกยอดนั้นแบ่งกันไม่พอสักนิด
และนี่ก็ถูกลิขิตแล้วว่าระหว่างทางขึ้นเขา การแข่งขันแย่งชิงจะยิ่งลำบากและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าครั้งไหนๆ!
“บนภูเขาเทพไร้มรณะมีข้อจำกัดและอันตรายอะไรหรือไม่” หลินสวินเอ่ยถาม
เซียวชิงเหอส่ายหน้า “อันตรายน่ะไม่มีหรอก มีแต่ผนึกต้องห้ามมหามรรคหนึ่งชั้น ส่งผลให้ยามขึ้นเขาไม่สามารถเหาะเหินได้ แถมต้องต้านพลังกดดันด้วย คงได้แต่อาศัยพลังกายในการป่ายปีนเท่านั้นแล้ว”
“นอกจากนี้หากอายุเกินสามสิบปี ปราณอยู่สูงกว่าระดับกระบวนแปรจุติล้วนถูกคัดออก ไม่สามารถเข้าร่วมได้”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือยามที่ปีนขึ้นภูเขาเทพไร้มรณะ อาวุธระดับสมบัติอริยะ รวมถึงวิธีการต้องห้ามที่น่าหวาดกลัวส่วนหนึ่ง หรือสมบัติลับที่พิษสงร้ายแรงไร้ใดเปรียบก็จะถูกยับยั้งโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถนำมาใช้งานได้!”
จนถึงตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจกฎกติกาการขึ้นเขาแล้ว
“แน่นอน นี่เป็นเพียงด่านแรกเท่านั้น เว้นแต่โชควาสนาเลวร้ายสุดๆ หรือมีความคับแค้นที่แก้ไม่ขาดกับคู่ต่อสู้บางคน โดยทั่วไปล้วนสามารถปีนสู่ยอดเขาได้”
“บททดสอบที่แท้จริงคือด่านที่สอง ‘ครองภูผา’ ต่างหาก!”
กล่าวถึงตรงนี้สีหน้าเซียวชิงเหอเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย “ยอดเขาสามสิบหกยอด ท้ายที่สุดจะถูกบุคคลชั้นยอดเพียงสามสิบหกคนครอบครอง ต่อให้ครอบครองยอดเขาหนึ่งยอดแล้ว ก็ยังอาจพบเจอการแย่งชิงจากผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ อยู่ดี สุดท้ายแล้วก็ต้องดูว่าเจ้าสามารถ ‘ครองภูผา’ ได้หรือไม่!”
“ถึงตอนนั้นจึงจะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเริ่มต่อสู้อย่างแท้จริง”
“จงจำไว้ยามที่แก่งแย่งยอดเขา เมื่อพ่ายแพ้จะถูกคัดออกจากการแข่งขันทันที”
“อีกอย่างตั้งแต่เริ่มขึ้นเขาเรื่อยมาถึงครองภูผา มีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น เมื่อผ่านหนึ่งก้านธูปไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงอยู่บนตำแหน่งยอดเขาก็เท่ากับไต่ขึ้นบนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้แล้ว เรื่องถัดไปก็คือการแข่งขันจัดอันดับ”
กล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ เซียวชิงเหอก็พบว่าคำเตือนของตนออกจะเกินจำเป็นไปหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรืออาหลู่ ล้วนเป็นพวกวิปริตที่เหมือนสัตว์ประหลาดกันทั้งนั้น
อาศัยความแข็งแกร่งของพวกเขา อย่างน้อยก็มั่นใจเกินครึ่งว่าจะสามารถครองภูผาได้สำเร็จ!
“ด่านที่สาม ‘ชิงโชควาสนา’ มีความหมายอะไรอีก” หลินสวินเอ่ยถาม
เซียวชิงเหอกล่าวยิ้มๆ “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เอง”
ทั้งสามเดินทางมุ่งสู่ภูเขาเทพไร้มรณะที่อยู่ไกลออกไปโดยไม่โอ้เอ้อีกต่อไป
……
ที่เชิงเขาภูเขาเทพไร้มรณะ เงาร่างผู้ฝึกปราณมากมายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว
มีทั้งหญิงชาย อายุล้วนยังน้อยยิ่ง แต่ละคนต่างไม่ธรรมดา ปลดปล่อยกลิ่นอายเหนือกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอยู่เนืองๆ โดดเด่นเป็นสง่า ท่วงท่าแตกต่างกันไป
เหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ของแต่ละสำนักโบราณในดินแดนรกร้างโบราณ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดล้วนอยู่ในระดับศิษย์สืบทอดแท้จริงทั้งสิ้น!
ส่วนศิษย์แกนหลักของสำนักโบราณอย่างเซียวชิงเหอก็มีจำนวนไม่น้อย แต่ละคนล้วนเหมือนสุริยันเฉิดฉาย ข้างกายรายล้อมด้วยเงาร่างมากมายประหนึ่งดาวล้อมเดือนก็ไม่ปาน
นอกจากนี้ยังมีพวกบริวารติดตามและสาวใช้ส่วนหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่ตรงนั้น คอยปรนนิบัติเจ้านายของตน ยิ่งเสริมให้ฐานะผู้สืบทอดสำนักโบราณเหล่านั้นสูงศักดิ์ ที่มาเหนือธรรมดาเข้าไปใหญ่
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยกลุ่มหนึ่งกำลังเพ่นพ่านอยู่ในนั้น สีหน้าฮึกเหิม ใช้ใบข่าวสาวจดบันทึกแต่ละภาพในลานไม่ขาดสาย
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยเหล่านี้ไม่ได้มาเข้าร่วมการแข่งขันกระดายยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่มาชมเรื่องสนุกและรวบรวมข่าวสารล้วนๆ
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้รวมตัวบุคคลเฉิดฉายในหมู่คนรุ่นเยาว์สี่แดนวิภู สุ่มเลือกออกมาหนึ่งคน ล้วนเป็นไปได้ว่าอาจเป็นอัจฉริยะโดดเด่นที่หาตัวจับยากในรอบหมื่นปีคนหนึ่ง ยิ่งไม่ขาดบุคคลแห่งยุคที่ชื่อเสียงก้องโลกตั้งแต่แรกบางส่วน
กล่าวได้ว่าบรรดาผู้กล้าที่หาตัวจับยากในโลกภายนอก ตรงหน้าภูเขาเทพไร้มรณะนี้กลับมีมากมายก่ายกอง เรียกได้ว่าเป็นหมู่ดาวเจิดจรัส เหล่าผู้กล้ารวมตัว!
และในทำนองเดียวกัน เนื่องจากมหายุคกำลังจะมาเยือน การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้จึงเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน พาให้สายตานับไม่ถ้วนจากโลกภายนอกล้วนเพ่งความสนใจมายังที่แห่งนี้ทั้งสิ้น
ใต้หล้ายามนี้ ผู้กล้าสี่แดนวิภูรวมตัวกัน แล้วจะมีผู้โชคดีคนไหนที่สามารถไต่ขึ้นกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้
สำนักโบราณมากมายต่างให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกัน
และการแข่งขันที่ไม่เคยมีมาก่อนระดับนี้ จะให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยที่ชื่นชอบเรื่องครึกครื้นเป็นที่สุดพลาดได้อย่างไรกัน
ขณะที่พวกหลินสวินมาถึงก็เห็นภาพครึกครื้นเช่นนี้แล้ว
“ยายมันเถอะ จำนวนคนที่ร่วมการแข่งขันครั้งนี้มากกว่าที่ผ่านมาอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว!” เซียวชิงเหอสูดหายใจหนาวเยือก
เพียงพริบตาเดียวเขาก็จำเงาร่างคุ้นตาจำนวนไม่น้อยได้ทันที ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาทั้งสิ้น!
“เยอะมากจริงๆ” หลินสวินก็อดอึ้งงันไม่ได้เช่นกัน
จากสายตาของเขา บรรดาชายหญิงที่อยู่ในลานเหล่านั้นไม่ขาดบุคคลชั้นยอด กลิ่นอายผิดแผกแปลกประหลาด บุคลิกโดดเด่นเป็นหงส์ในหมู่กา สั่นสะเทือนโลกหล้าอยู่เนืองๆ
นอกจากนี้ชายหนุ่มหญิงสาวคนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเจิดจ้าเช่นกัน ถือเป็นบุคคลชั้นนำในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่ละคนล้วนมีรัศมีและกลิ่นอายของตน
สิ่งนี้พาให้หลินสวินก็ไม่อาจไม่ทอดถอนใจ ผู้โดดเด่นที่เจิดจ้าที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ทั่วโลก ปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง!
อันที่จริงเมื่อคิดอยากละเอียดแล้ว นี่เป็นเรื่องปกตินัก
สี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ แต่ละแห่งต่างเรียกได้ว่ากว้างขวางไร้ขอบเขต มีเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกปราณนับหมื่นนับแสน รวมถึงขุมอำนาจฝึกปราณทุกรูปแบบ
ต่อให้ในบรรดาผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์หนึ่งแสนคนจะเลือกสรรบุคคลชั้นยอดออกมาได้เพียงคนเดียว เมื่อทอดสายตาทั่วสี่แดนวิภู ก็เพียงพอจะคัดเลือกบุคคลโดดเด่นที่คล้ายคลึงกันได้เป็นกลุ่มใหญ่!
นับประสาอะไรกับบรรดาขุมอำนาจสำนักโบราณจำพวกเรือนกระบี่เร้นปุจฉา แดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แต่ไหนแต่ไรล้วนไม่เคยขาดแคลนบุคคลแห่งยุคที่แท้จริงเลย!
“คนพวกนี้ก็คือผู้กล้าที่โลกนี้เรียกกันหรือ จากความเห็นข้า ยังไม่แข็งแกร่งเท่าทายาทนกแหดาราใกล้ๆ หมู่บ้านข้าเลย ชวนมองไม่ชวนสู้”
อาหลู่เบิกตากว้าง กวาดสายตาสำรวจกลุ่มคนในลานรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดก็คล้ายผิดหวังน้อยๆ อดบ่นอุบหนึ่งประโยคไม่ได้
เซียวชิงเหอดีดตัวขึ้นมาเสียงดึงผึง ปิดปากอาหลู่เอาไว้ในหมับเดียว กล่าวลอดไรฟันว่า “ที่นี่คือที่ไหน เจ้ามาเย้ยหยันได้อย่างไร ไม่กลัวดึงดูดความโกรธจากผู้คน ตกเป็นเป้าธารกำนัลหรือไร!”
“ไม่ได้ความ!”
อาหลู่ดันมือเซียวชิงเหอออก กลอกตาหนึ่งครากล่าวว่า “ตราบใดที่หมัดใหญ่พอ ยังต้องกลัวพวกอ่อนหัดด้วยหรือ”
สีหน้าเซียวชิงเหอมืดทะมึน ปวดหัวไปหมด เจ้าเหลือขอคนนี้ปากพล่อยสิ้นดี พูดสองสามคำก็เพียงพอจะจาบจ้วงคนหมู่มากได้แล้ว!
ถึงแม้เสียงอาหลู่ไม่ดังมาก แต่ในลานล้วนมีแต่ผู้แข็งแกร่งที่หูตาฉับไวกันทั้งนั้น เพียงพริบตาเดียวก็มีสายตามากมายมองเข้ามาทางนี้
ปัญหามาเยือนจนได้!
เซียวชิงเหอสังเกตเห็นภาพนี้ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เขาไม่ได้กลัวมีเรื่อง แต่ไม่อยากก่อปัญหาที่ไม่จำเป็นด้วยเรื่องนี้
ตอนนี้กลับดีนัก พออาหลู่อ้าปากก็เหยียดเยาะสำเร็จ เรียกสายตาเพ่งเล็งได้เป็นจำนวนมาก
ตอนที่ 1042 เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ
ในลานส่วนใหญ่พื้นเพเหนือธรรมดา หนำซ้ำล้วนเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรทั้งสิ้น ยามนี้กลับถูกเย้ยว่า ‘ชวนมองไม่ชวนสู้’ ในใจย่อมไม่เบิกบานเป็นธรรมดา!
แต่ยามที่เห็นอาหลู่ซึ่งรูปร่างหยาบใหญ่บึกบึน แต่งตัวเหมือนคนเถื่อนที่มาจากป่าดงพงไพรหุบเขาลึก คนส่วนหนึ่งก็อดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าไม่เอ่ยคำ คร้านจะสนใจ
เจ้าคนที่ดูหยาบโลนคนหนึ่ง จะสนใจไปไย
เสื่อมเกียรติตนเสียเปล่าๆ
แต่ก็มีคนไม่พอใจ หัวเราะเสียงเย็นเย้ยหยันว่า “เจ้าบ้านนอก นี่มันยุคไหนกันแล้ว ยังสวมชุดหนังสัตว์มอซอสุดจะทน พูดจาก็หยาบกระด้างเบาปัญญาเช่นนี้ ทำตัวน่าขายหน้าชัดๆ น้ำหน้าอย่างเจ้ายังกล้าหมิ่นเกียรติพวกข้าด้วยหรือ น่าขันสิ้นดี”
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มสวมชุดดำดิ้นทอง เป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณคนหนึ่งเช่นกัน ข้างกายรายล้อมด้วยบริวารกลุ่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์
อาหลู่อึ้งงัน เอี้ยวหัวไปถามเซียวชิงเหอ “นี่เขากำลังด่าข้าหรือ”
เซียวชิงเหอรีบกล่าวเป็นพัลวัน “เจ้าอย่าก่อเรื่องเชียว ในเขตหวงห้ามไร้มรณะไม่อนุญาตให้ต่อสู้ฆ่าแกงกัน ทันทีที่ลงมือก็จะถูกกฎระเบียบมหามรรคของที่แห่งนี้ขับไล่ออกไป ถึงตอนนั้นเจ้าก็เข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไม่ได้แล้ว…”
ไม่รอให้พูดจบชายหนุ่มชุดดำดิ้นทองที่อยู่ตรงข้ามก็หัวเราะหยันตัดบท “ที่แท้ก็เป็นเจ้าโง่บรมคนหนึ่ง ไม่รู้อะไรสักอย่าง”
อาหลู่แสยะยิ้ม เผยให้เห็นเนื้อฟันขาวผ่องสองแนว บนใบหน้าหยาบกร้านเจือแววเหยียดหยันเต็มเปี่ยม ถ่มน้ำลายไปทางชายหนุ่มชุดดำอย่างฉุนเฉียว โพล่งผรุสวาท “หลานชาย รอตอนขึ้นเขาก่อนเถอะ ปู่จะซัดพวงไข่เจ้าระเบิดกระจุยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!”
เจ้าหมอนี่ดิบเถื่อนจริงๆ!
กลุ่มคนในลานต่างขมวดคิ้ว นี่เป็นถึงภูเขาเทพไร้มรณะ คนหนุ่มสาวในลานต่างเป็นบุคคลเฉิดฉายประหนึ่งหงส์มังกรกลางมวลมนุษย์ ไหนเลยจะคิดได้ว่าถึงกับมีคนถ่มน้ำลายหยาบคายเช่นนี้
และหญิงสาวส่วนหนึ่งที่ได้ยินคำพูดกระโชกโฮกฮากของอาหลู่ก็เบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนกล้าเอ่ยวาจาสกปรกสุดจะทนเช่นนี้ออกมาต่อหน้าพวกนาง
“เจ้า… บังอาจ!”
ชายหนุ่มชุดดำโกรธจนแทบจมูกเบี้ยว เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขาเบี่ยงหลบทัน คงเกือบถูกน้ำลายนั่นติดบนตัวเข้าให้แล้ว แค่คิดก็พาให้ผู้คนขยะแขยง
อาหลู่กลอกตา กล่าวอย่างดูเบาว่า “บังอาจแล้วอย่างไร ปู่พูดจริงทำจริง หากไม่ซัดเจ้าจนไข่กระจุยสิ้นชีพ ข้าก็ไม่ใช่ปู่เจ้าแล้ว!”
ผู้คนได้ยินแล้วจนวาจาไปชั่วขณะ เจ้าหมอนี่ก็ช่างข่มเก่งเหลือเกิน ไม่ว่าจะตีอีกฝ่ายจนตายหรือไม่ เขาก็อุปโลกน์ตนเป็นปู่ของอีกฝ่าย วาจาจาบจ้วงจริงๆ
พลันเห็นชายหนุ่มชุดดำโมโหจนแทบคลั่ง หลินสวินและเซียวชิงเหอรีบร้อนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ลากอาหลู่มายังพื้นที่อีกฝั่งที่อยู่ไกลๆ
อาหลู่ไม่พอใจอยู่บ้าง บ่นอุบกล่าวว่า “ลากข้าทำไม หากเอ่ยถึงวิชาด่า แม้แต่ทายาทเผ่าเสียงคำรามก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า พวกเจ้าเองก็รู้ เผ่าเสียงคำรามวิปริตเพียงใด อ้าปากก็ล้วนคำรามจนแผ่นดินแตกกระจุย พาให้สุริยันจันทราสั่นสะเทือน แต่พอพวกเขาเจอข้าก็ได้แต่รับคำด่าหนีอุตลุดเท่านั้น”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาก็อดลำพองขึ้นมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจต่อวิชาด่าของตนยิ่ง
และเวลานี้ ในที่สุดเซียวชิงเหอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกครั้งตนถึงถูกอาหลู่ทำให้โมโหจนอยากต่อยคน ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็เป็นพวกวาจาจัดจ้านคนหนึ่งนี่เอง!
บรรดาผู้กล้าที่อยู่เชิงเขาภูเขาเทพไร้มรณะมาจากสำนักโบราณที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเกาะกลุ่มกันเป็นหมู่เหล่า ต่างฝ่ายต่างครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง ต่างพากันวางตัวเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง
ในพื้นที่ฝั่งนี้ของพวกหลินสวิน เมื่อเทียบกันแล้วเห็นชัดว่าร้างผู้คน มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าในที่สุดก็เงียบสงบเสียที ใครเลยจะคิดว่าผู้ฝึกปราณหญิงของเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งดันส่งเสียงร้องแหลมออกมาเต็มคอหนึ่งครา วิ่งแจ้นมาทางฝั่งเขา
“สวรรค์ เป็นเจ้า เทพมารหลิน! เจ้าก็มากับเขาด้วย! ข้าถามคำถามเจ้าส่วนหนึ่งได้หรือไม่ วางใจเถิด หากเจ้าไม่เต็มใจตอบข้าก็จะไม่บังคับเด็ดขาด”
ริมฝีปากของนางแดงดุจเพลิง นัยน์ตางามพราวระยับ รูปโฉมมีเสน่ห์เย้ายวน เวลานี้กลับมีอาการระรี้ระริกเกินเหตุ
“อะไรนะ เข้าก็คือเทพมารหลินคนนั้นหรือ”
“เป็นเขาจริงหรือ”
“ไม่หรอกกระมัง คนดิบเถื่อนนั่นก็คือเทพมารหลินหรือ ถ่มน้ำลายก็ไพร่สถุลเกินไปแล้ว!”
“เจ้าโง่ เทพมารหลินคือเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เจ้าคนป่านั่นต่างหาก”
ในลานปั่นป่วน สายตาคู่แล้วคู่เล่าต่างรวมตัวกันบนร่างหลินสวินจากทุกทิศทางไม่ขาดสาย ในแววตาเจือความสงสัยใคร่รู้ ตกใจ และฉงนสนเท่ห์
ก่อนหน้านี้การแสดงออกของอาหลู่เรียกได้ว่าสะดุดตา พาให้พวกเขาถูกดึงดูด ไม่อาจจดจำตัวตนของหลินสวินได้ในคราแรก จนกระทั่งตอนนี้ถึงเพิ่งมีปฏิกิริยา
เทพมารหลิน!
ในแดนชัยบูรพาชื่อนี้ล้วนสามารถใช้คำว่า ‘ร้อนเร่ารุนแรง’ มาบรรยายได้เลยทีเดียว ชักนำคลื่นลมตั้งไม่รู้เท่าไร ได้รับความสนใจจากทั่วสารทิศ
แต่เวลานี้พอได้เห็น พวกเขากลับยากจะเชื่อมโยงหลินสวินซึ่งมีรูปลักษณ์หล่อเหลาบุคลิกนิ่งเงียบ เข้ากับ ‘เทพมารหลิน’ ที่อาละวาดไปทั่ว อานุภาพคับฟ้าในคำเล่าลือได้เลย
ตรงกันข้ามกันลิบลับเกินไป พาให้ผู้คนยากจะจินตนาการ
“เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ”
แม้แต่อาหลู่ก็ยังตกใจ สายตามองสำรวจหลินสวินก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่… ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนหนุ่มหน้ามนคนหนึ่ง”
หน้าผากหลินสวินผุดเส้นสีดำ เอ่ยวาจากับผู้ฝึกปราณหญิงเผ่าวาทวาโยคนนั้น “ตอนนี้ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก โปรดออกไปก่อนด้วย”
ผู้ฝึกปราณหญิงทรงเสน่ห์ไม่เคืองขุ่น ตรงข้าม ผิวหน้านางค่อนข้างหนาทีเดียว หัวเราะระริกกระแซะเข้าใกล้หลินสวิน กล่าวว่า “ไม่เอาน่า ข้าถามเพียงสามข้อ ถามจบข้าก็จะไป”
หลินสวินขมวดคิ้ว รู้สึกปวดหัวน้อยๆ เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าเหตุใดเผ่าวาทวาโยนี้ถึงได้กระเหี้ยนกระหือรือต่อการสืบเสาะข่าวสารเช่นนี้
“เจ้าไม่กลัวล่วงเกินข้าหรือ” หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ไม่กลัว ถึงอย่างไรในเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ก็ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กัน ยิ่งกว่านั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าเองคงไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงอ่อนแออย่างข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอกกระมัง”
หญิงสาวทรงเสน่ห์ทำท่าเจ้าเล่ห์แสนกล
หลินสวินทอดถอนใจ ตั้งท่าจะพูดอะไร ก็เห็นอาหลู่เดินขึ้นมา กล่าวว่า “เสียแรงที่เจ้าเป็นถึงเทพมารหลิน แม้แต่ผู้หญิงคนเดียวยังเอาไม่อยู่ ดูข้านะ”
กล่าวพลาง เขาเอื้อมท่อนแขนสีทองแดงที่หนาปานหินผาออกไปรัดรวบเอวคอดของหญิงสาวทรงเสน่ห์ ยื่นใบหน้าที่มีแต่ตอหนวดไปเบื้องหน้าหญิงสาว สูดหายใจเข้าแรงๆ คราหนึ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่สัปดนสุดจะเปรียบกล่าวว่า “แม่นาง กายเจ้าช่างหอมนัก มีคำถามอะไรก็ถามข้าเถิด รับรองว่าจะทำให้เจ้าพึงพอใจแน่”
หญิงสาวทรงเสน่ห์อึ้งงันก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงส่งเสียงกรีดร้องเล็กแหลมออกมาคราหนึ่ง รีบยกต้นขาเรียวเผ่นหนีทันที
อาหลู่ระเบิดหัวเราะฮ่าๆ ลูบคางไปพลางกล่าวว่า “บั้นท้ายใหญ่จริงเชียว หากแบกผู้หญิงคนนี้กลับไปทำเมียที่หมู่บ้าน รับรองว่าคงคลอดเก่งแน่”
หลินสวินและเซียวชิงเหอสบตากันปราดหนึ่ง ในสมองต่างผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเหนือปีศาจยังมีจอมปีศาจกระมัง
ถึงอย่างไรผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในลานต่างเป็นบุคคลโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ หลังจากผ่านความพิศวงแปลกใจในคราแรกแล้วก็เก็บสายตากลับไป ไม่สนใจหลินสวินอีก
เพียงแต่ในใจพวกเขากลับไม่สามารถมองข้ามทั้งอย่างนี้ได้
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงเทพมารหลิน เป็นบุคคลชั้นยอดที่สามารถก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิม และชื่อก้องเกรียงไกรในแดนชัยบูรพาไม่แพ้กัน!
ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว ใครจะกล้ามองข้าม
แต่ว่า ให้ความสำคัญก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกรงกลัว ถึงเทพมารหลินจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาล้วนไม่ยอมรับว่าตนจะอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย!
กล้าเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎยอดรุ่นเยาว์ครั้งนี้ แต่เดิมก็เพียงพอจะพิสูจน์ว่าพวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากเพียงใดแล้ว
“ที่แท้เจ้าก็คือเทพมารหลิน”
ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งพลันเอ่ยปากขึ้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหินก้อนหนึ่ง สวมชุดคลุมสีขาว เรือนผมแดงดุจเพลิง
เดิมทีเขาหลับตาอยู่ กลิ่นอายทั่วร่างเงียบสนิทดุจหินผา ไม่เป็นที่สังเกตแม้แต่น้อย
แต่จังหวะที่เขาลืมตาขึ้นมองไปทางหลินสวินนั้น ก็ราวกับอาทิตย์เจิดจ้าที่แผ่รัศมีแสงหมื่นจั้งแหวกอากาศออกมา พาให้ทุกผู้คนทั่วลานหน้าเปลี่ยนสี
ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน!
แม้แต่บุคคลชั้นยอดส่วนหนึ่งที่อหังการอย่างที่สุดในที่นั้น เวลานี้ต่างฉายแววเคร่งขรึมออกมา ในใจพวกเขานั้น เซี่ยวชางเทียนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวถึงที่สุดคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินเคยสบตากับเซี่ยวชางเทียนจากระยะไกลครั้งหนึ่ง ยามนี้เมื่อได้พบกันอีกครั้งจึงไม่ได้ตกใจมากมายนัก
เขารับสายตาของอีกฝ่ายโดยไม่หลบแต่อย่างใด ไหวไหลน้อยๆ กล่าวว่า “ฉายาเป็นสิ่งที่ผู้อื่นตั้งให้ ข้าไม่อยากรับไว้ก็ไม่ได้”
“เจ้าไม่เต็มใจเรียกตนว่าเทพมาร ข้าเองก็ไม่เต็มใจเรียกตัวเองว่าดาบคลั่งเช่นกัน ถึงอย่างไรสำหรับข้าแล้ว ชื่อจอมปลอมพวกนี้ก็เป็นแค่เมฆลอยเท่านั้น แต่ข้ากลับตั้งตาคอยที่จะวัดฝีมือกับเจ้าสักครั้งยิ่งนัก”
เซี่ยวชางเทียนหัวเราะหน้าระรื่น เรือนผมแดงปลิวสยาย ดวงตารียาวเป็นประกายเจิดจ้าน่าสะพรึงปานคมดาบ
ทั้งตัวเขามีบุคลิกเหยียดหยันโลกหล้า ทุกท่วงท่าอิริยาบถมีความคมกริบไร้เทียมทานที่ปกปิดไม่มิด ลักษณะเด่นเฉพาะตัวเหนือปวงชนอย่างยิ่ง
กล่าวเสร็จเขาก็ไม่สนใจหลินสวินอีก หลับตาลง กลิ่นอายทั้งตัวจมสู่ความเงียบงัน ประหนึ่งสุริยันเฉิดฉายจำศีลอยู่ในราตรีนิรันดร์
ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยในลานต่างลอบทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ กลิ่นอายที่เซี่ยวชางเทียนปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่เปี่ยมล้นเกินไป พาให้พวกเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันไม่น้อยเช่นกัน
และพร้อมกันนั้น สายตาที่พวกเขามองหลินสวินก็เพิ่มแววซับซ้อนขึ้นมาหนึ่งขนัด
ตั้งแต่เซี่ยวชางเทียนมาถึงที่นี่ก็เอาแต่นั่งนิ่งครองถิ่น ไม่เคยมีผู้ใดดึงดูดความสนใจของเขาได้ มีแค่หลินสวินเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยวาจาก่อน
นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า เทพมารหลินคือคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อคนหนึ่งในสายตาเซี่ยวชางเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย!
“หลงตัวเองจริงๆ!”
อาหลู่ปรายตามองเซี่ยวชางเทียนปราดหนึ่งแล้วพึมพำหนึ่งประโยค ท่ามกลางบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เห็นชัดว่าสะดุดตายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนต่างตะลึงอึ้งค้าง เจ้าคนป่าเถื่อนนี่ช่างกล้าหาญเสียจริง!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาผิดหวังคือเซี่ยวชางเทียนคล้ายกับไม่ได้ยิน ไม่เคยลืมตา และไม่เคยสนใจคำพูดเจือความปลุกปั่นของอาหลู่สักนิด
อาหลู่ก็ดูคล้ายผิดหวังน้อยๆ เช่นกัน ทำปากเบ้ ไม่ได้พูดมากความอีก
“ยังต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะเริ่ม” หลินสวินทอดสายตาไปทางภูเขาเทพไร้มรณะที่สูงเสียดฟ้า
“ต้องรออีกประมาณสองวัน สองวันให้หลังผนึกต้องห้ามมหามรรคบนเขาลูกนี้จึงจะสลายไป อนุญาตให้พวกเรามุ่งหน้าขึ้นเขาได้” เซียวชิงเหอเอ่ยตอบ
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งครา นึกสงสัยในใจ ไหนบอกว่าจ้าวจิ่งเซวียนมาตั้งที่นี่นานแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดในลานจึงไม่เห็นวี่แววของนางเลย
“คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มากันแล้ว”
ไม่รู้ว่าใครพูดประโยคนี้ขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ทอดมองบริเวณที่ไกลออกไป ก็เห็นชายหนุ่มชุดทองคนหนึ่งแล่นปราดมาทางนี้ ภายใต้การรายล้อมของชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดทองผู้นี้รูปงามหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง ทั่วร่างชโลมแสงทอง เลือดลมชวนตระหนก ยามที่เดินเหิน ทั่วกายคลับคล้ายมีเสียงมังกรครวญพยัคฆ์คำรามดังก้องอยู่เนืองๆ
ลำพังแค่บุคลิกสูงส่งสุขุมเช่นนั้นก็พาให้ผู้กล้าในสำนักอื่นๆ ไม่น้อยทอดถอนใจแล้ว
ฉู่เป่ยไห่!
หลินสวินเองก็สังเกตเห็นคนผู้นี้เช่นกัน ทั้งยังจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตา มุมปากอดโค้งองศาเย็นเยียบขึ้นมาไม่ได้
ตอนที่ 1043 จินมู่อวิ๋น
บุญคุณความแค้นระหว่างหลินสวินกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ผูกแค้นกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ณ จักรวรรดิจื่อเย่าแล้ว
แต่ความเกลียดชังในความหมายแท้จริงกลับจุดชนวนในแคว้นกู่ชางที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตั้งอยู่
และต้นตอภัยพิบัติก็มาจากตัวฉู่เป่ยไห่!
ตอนแรกที่งานประเมินหินเมืองเพลิงมรกต เพราะการตัดสินใจของฉู่เป่ยไห่ทำให้เกิดการตามล่าหลินสวินขึ้น กระทั่งเรื่องบานปลายใหญ่โต
ด้วยเหตุนี้ยามเห็นฉู่เป่ยไห่ผู้บงการหลังม่านปรากฏตัว ในใจหลินสวินก็เกิดไอสังหารอย่างไม่อาจระงับ
“เทพมารหลิน! เจ้ายังกล้าปรากฏตัวที่นี่รึ!”
ขณะเดียวกันฉู่เป่ยไห่ก็เห็นหลินสวินเช่นกัน ในดวงตาพลันฉายประกายสีทองดุจอัคคี จับจ้องหลินสวินแต่ไกล
เหล่าผู้กล้าละแวกใกล้เคียงที่มาจากสำนักโบราณอื่นเห็นดังนี้ล้วนเผยสีหน้าประหลาด
พวกเขาต่างรับรู้บุญคุณความแค้นระหว่างหลินสวินกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาก่อน แน่นอนว่าต้องเข้าใจที่ฉู่เป่ยไห่มีการตอบสนองเช่นนี้ ว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“ทำไมข้าจะมาไม่ได้”
หลินสวินเอ่ยราบเรียบ นัยน์ตาดำลุ่มลึกดุจหุบเหว “จะว่าไป เจ้าควรรู้สึกยินดีที่ตอนนั้นในแคว้นกู่ชางไม่ได้ลงมือกับข้าด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าคงมาไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองตอบโต้กันไปมา ทำจนบรรยากาศที่นี่เปลี่ยนเป็นอึดอัด
“อย่าพูดมาก ในเมื่อวันนี้เจ้ามาแล้วก็หนีความตายไม่พ้น วาจาข้าจบลงเพียงเท่านี้!”
ฉู่เป่ยไห่สีหน้าอึมครึม คำพูดกึกก้องสะท้านแผ่นดิน พลังทั่วร่างพลุ่งพล่าน อาภรณ์สะบัดระรัว ทั้งตัวอาบไล้อยู่กลางแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองสว่างไสว
ตอนนั้นในแคว้นกู่ชาง หลินสวินสังหารผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไปไม่รู้เท่าไหร่ กระทั่งมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งถูกฆ่าทั้งเป็น!
แม้แต่ศิษย์แกนหลักอย่างจางเจิง เสวี่ยเชียนเหินล้วนถูกทำลายปราณ ความแค้นฝังลึกเช่นนี้จะให้ฉู่เป่ยไห่อดกลั้นได้อย่างไร
ทุกคนต่างสูดหายใจเย็น รู้ว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครานี้ต้องลุกเป็นไฟแน่!
กลับเห็นอาหลู่หัวเราะลั่น กล่าวราวกับกลัวฟ้าดินไม่อลหม่าน “เจ้าหมอนี่เป็นใคร พูดจาใหญ่โตนัก เทพมารหลินเจ้าอย่าได้ตาขาวเชียว ไม่เช่นนั้นข้าคงดูถูกเจ้าแน่!”
เซียวชิงเหอกลับมุ่นคิ้ว สื่อจิตกล่าวเตือน ‘ด้วยข้อจำกัดกฎระเบียบฟ้าดิน ในเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ไม่อาจแบ่งแยกเป็นตาย ในเมื่อเจ้าหมอนี่กล้ากล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องรอเจ้าออกไปค่อยลงมือ’
‘ข้าสงสัยว่า เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ใช่แค่ฉู่เป่ยไห่บุกโจมตีคนเดียว เป็นไปได้สูงที่จะมีเจ้าเฒ่าจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เข้าร่วมด้วย!’
หลินสวินพยักหน้า สีหน้าไม่ตระหนกวิตก
นับแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ เขาถูกตามล่ามาไม่รู้เท่าไหร่ เคยชินกับเรื่องพวกนี้นานแล้ว อีกทั้งคราวนี้เขายังมีที่พึ่งหลัก ไม่มีทางนำภัยคุกคามเล็กน้อยนี่มาใส่ใจแต่แรก
“หึ!” ฉู่เป่ยไห่ถอนสายตากลับ ไม่สนใจพวกหลินสวินอีก
เทียบกับการสังหารหลินสวินแล้ว สิ่งที่เขาสนใจกว่าในตอนนี้คือการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์
ต่อมาเหล่าผู้กล้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยมาถึง
บ้างเป็นผู้สืบทอดจากสำนักโบราณและตระกูลอริยะแดนชัยบูรพา บ้างเป็นยอดบุคคลที่มาจากแดนฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณ
ทำให้ในลานเกิดความฮือฮาไม่น้อยตามไปด้วย
เมื่อบุคคลทรงอิทธิพลที่เรียกได้ว่ายิ่งยงส่วนหนึ่งปรากฏตัว ก็ดึงดูดความสนใจทุกคนตรงนั้น
ตัวอย่างเช่นทันทีที่เยี่ยเฉินทายาทตระกูลเยี่ย ตระกูลอริยะแห่งเขาจื่อเวยแดนดาราอุดร ชายหนุ่มที่ถูกขนานนามว่า ‘มารกระบี่’ ปรากฏตัว ก็นำมาซึ่งความสนใจทั่วสารทิศ
เขาสวมชุดคลุมม่วง ผมดำเรียบลื่นสะท้อนระยับดุจแพรไหม รูปร่างผอมสูงราวกระบี่ คล้ายสามารถแหวกทะลวงเวิ้งฟ้า!
กลางนัยน์ตาสีดำคู่นั้นของเขา สะท้อนลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นที่หมื่นกระบี่พลุ่งพล่าน ผู้แข็งแกร่งที่เขากวาดตาผ่านต่างมีความรู้สึกราวจิตวิญญาณถูกแล่เฉือน
การปรากฏตัวของมารกระบี่เยี่ยเฉินดึงดูดความสนใจของเซี่ยวชางเทียนเช่นกัน สายตาทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ราวประชันดาบกระบี่ปั่นป่วนลมเมฆ
“เจ้าไม่ควรมา”
เซี่ยวชางเทียนเอ่ยปาก วาจาตรงไปตรงมา เผด็จการและดุดัน
“กลัวข้าข่มเจ้า ทำฉายา ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ สิ้นชื่อรึ”
คำพูดเยี่ยเฉินราบเรียบ แต่กลับมีความน่าเกรงขามสยบผู้คนดุจดั่งกระบี่
เซี่ยวชางเทียนแค่นหัวเราะทีหนึ่ง ก่อนหลับตาไม่พูดจา ราวกับไม่ได้สนใจ
มารกระบี่เยี่ยเฉินไหวไหล่ หาได้สนใจไม่
จากนั้นเขาพลันส่งเสียงประหลาดใจ หันสายตาไปทางหลินสวินที่อยู่อีกฝั่ง มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มพลางกล่าว “เทพมารหลิน ตอนนั้นนอกเทศกาลโคมกถามรรค ข้ามองเจ้าไม่ผิดดังคาด ครั้งนี้เจ้ามาเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ทำให้ข้าเฝ้ารอนัก”
หลินสวินชะงักไป “ตอนเทศกาลโคมกถามรรคเจ้าเคยพบข้าหรือ”
มารกระบี่เยี่ยเฉินยิ้มกล่าว “นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือข้าชื่นชมทุกการกระทำของเจ้ามาก หากมีโอกาสข้าจะประลองกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าแพ้หรือชนะ ข้าล้วนเชิญเจ้าดื่มสุราสามจอก จอกแรกแด่จิตใจข้า จอกสองแด่จิตใจเจ้า จอกสามแด่จิตใจเรา”
หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว “ในเมื่อร่ำสุรา เหตุใดยังต้องประลอง”
เยี่ยเฉินหัวเราะร่าถามกลับ “ร่ำสุรา มีหรือจะไม่ประลองให้สาใจก่อน”
พูดจบเขานั่งลงกับพื้น หลับตาทั้งคู่ทำสมาธิ ไม่ใส่ใจการจับจ้องของสายตาต่างๆ โดยรอบอีก
เปลี่ยนเป็นคนอื่น บางทีอาจรู้สึกว่าการนั่งบนพื้นไม่น่าดูนัก ไม่สมฐานะบุคคลแห่งยุคที่ชื่อเสียงสะเทือนแดนดินฟากหนึ่ง
แต่เห็นชัดว่าเยี่ยเฉินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ที่เขาใส่ใจมีเพียงเจตจำนงตัวเอง สบายใจจึงกระทำ ดำเนินการตามจิต
กระบี่ของเขาก็เป็นเช่นนั้น
…
เพียงชั่วขณะ สายตาทุกคนที่มองหลินสวินเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่หลินสวินเพิ่งมาถึงที่นี่ก็ดูธรรมดามาตลอด ไม่เผยความโดดเด่น และไม่ดึงดูดสายตา
แต่เมื่อรู้ฐานะเขา ก็ทำให้ในลานเกิดความไม่สงบเป็นระลอก
เวลานั้นผู้กล้าในสำนักต่างๆ ไม่น้อยแม้ให้ความสำคัญต่อการมีอยู่ของหลินสวิน แต่กลับไม่คิดว่าตนสู้หลินสวินไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงนิ่งสงบลงภายในเวลาไม่นาน
ทว่าหลังจากดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนเอ่ยปากคุยกับหลินสวินก่อน ก็ทำผู้กล้ามากมายสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ในใจให้ความสำคัญต่อหลินสวินยิ่งกว่าเดิมถึงสามส่วน
เวลานี้เมื่อเห็นมารกระบี่เยี่ยเฉินให้ความสำคัญและชื่นชมหลินสวินโดยไม่ปกปิด เหล่าผู้กล้าในลานที่มาจากต่างสำนักนั่นสุดท้ายก็ไม่อาจสงบใจ
หรือนี่บ่งชี้ว่าในสายตาบุคคลแห่งยุคซึ่งเจิดจรัสที่สุดของแดนดาราอุดรอย่าง ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ เทพมารหลินเป็นผู้ที่สามารถทัดเทียมกับพวกเขา?
นี่น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
สิ่งนี้นำมาซึ่งเสียงพึมพำไม่พอใจของอาหลู่อีกครั้ง “พวกอวดเบ่งมาอีกแล้ว”
บนหน้าผากทุกคนต่างปรากฏเส้นสีดำกันหมด เจ้าคนเถื่อนนี่ช่างกวนบาทาถึงขีดสุด ไม่เคยเจอใครปากเปราะเท่าเขามาก่อน!
เวลาล่วงเลย ณ เชิงเขาเทพไร้มรณะ จำนวนผู้กล้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนบรรยากาศในลานนานเข้าก็เปลี่ยนเป็นกดดัน
เสียงพูดคุยมากมายเบาลงโดยไม่รู้ตัว
ทุกคนล้วนคาดเดาออก ว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์คราวนี้ต้องต่างจากอดีตสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่จำนวนผู้เข้าร่วมมหาศาล ซ้ำผู้กล้าดั่งเมฆา ผู้แข็งแกร่งราวผืนป่า!
ยิ่งไม่ขาดแคลนบุคคลชั้นแนวหน้าแห่งยุคที่ครองอำนาจในพื้นที่หนึ่งนานแล้ว อย่างพวกเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน!
นี่ทำให้จิตใจผู้กล้าไม่น้อยต่างหนักอึ้ง กดดันขึ้นเท่าทวี
ต้องรู้ว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ผ่าน น้อยนักที่จะมีบุคคลแห่งยุคมากเช่นนี้เข้าร่วมพร้อมกัน!
“คนของสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาแล้ว”
รุ่งเช้าวันที่สองหลังหลินสวินมาถึง ในลานพลันปั่นป่วน สายตามองไปยังจุดเดียวกัน
บนอากาศที่ห่างไกล แสงกระบี่หลากสายดั่งรุ้งเทพงามตระการแหวกอากาศมาเยือน เปล่งประกายโชติช่วง ดุดันน่าสะพรึง
จากนั้นแสงกระบี่เหล่านี้พลันหยุดกลางอากาศ ปรากฏเป็นเงาร่างชายหญิงกลุ่มหนึ่ง
ผู้นำคือชายร่างผอมในเสื้อขนนก ศีรษะสวมเกี้ยวประดับทองคำคนหนึ่ง ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายผู้ยิ่งยง แฝงความดุดันอหังการยากจะเอ่ยอย่างเห็นได้ชัด ถูกเขาจ้องมองปราดเดียวก็เหมือนถูกอสนีฟาดผ่า ทำให้ผู้คนรู้สึกใจสั่นโดยไม่รู้ตัว
จินมู่อวิ๋น!
ผู้นำแห่งสิบสามกระบี่ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ‘กระบี่พรหมราช’ ซึ่งเป็นผู้นำในหมู่ศิษย์แกนหลักสำนักกระบี่เทียมฟ้า
หากกล่าวว่าอวิ๋นชิ่งไป๋คือผู้นำรุ่นก่อนของสำนักกระบี่เทียมฟ้า โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร เช่นนั้นจินมู่อวิ๋นก็คือผู้ฝึกกระบี่ซึ่งฝีมือเลิศล้ำที่สุดของสำนักกระบี่เทียมฟ้ารุ่นนี้ กล่าวถึงพรสวรรค์และแก่นกระดูก เทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในปีนั้นล้วนไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่
จินมู่อวิ๋นเยาว์วัยนัก อย่างมากอายุไม่น่าเกินยี่สิบกว่า แต่ร่างกายกลับบ่มเพาะกลิ่นอายกร้าวแกร่งแห่งวิถีกระบี่ เฉียบคมสมบูรณ์ เย้ยหยันเมฆลม
หากเปรียบเทียบโดยรวมแล้ว กิตติศัพท์ของเจ้านี่ไม่ด้อยไปกว่าพวกชั้นเลิศอย่างดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน มารกระบี่เยี่ยเฉินเลย
กระทั่งมีบางคนมองว่าเขาเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สองแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
ในลานเกิดความไม่สงบ สายตานับไม่ถ้วนต่างถูกจินมู่อวิ๋นคนเดียวดึงดูด อัจฉริยะวิถีกระบี่ที่ถูกมองเป็นกระบี่พรหมราชคนนี้ มีความสง่างามและรากฐานพลังที่ทำให้ผู้คนต้องให้ความสำคัญโดยไม่ต้องสงสัย
เปรียบเทียบกันแล้ว กลุ่มชายหญิงสำนักกระบี่เทียมฟ้าข้างกายเขากลับหม่นแสงลง ความโดดเด่นถูกจินมู่อวิ๋นคนเดียวปกคลุมโดยสมบูรณ์
หลินสวินก็สังเกตคนผู้นี้เช่นกัน อีกทั้งขณะนี้เซียวชิงเหอยังสื่อจิตบอกความเป็นมาของจินมู่อวิ๋นกับเขา
‘เป็นพวกร้ายกาจจริงๆ’
ในใจหลินสวินวิจารณ์ประโยคหนึ่งก็ถอนสายตากลับ แม้จินมู่อวิ๋นจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อวิ๋นชิ่งไป๋
ทว่าเหนือความคาดหมายหลินสวิน และเกินความคาดหมายทุกคนตรงนั้น ทันทีที่จินมู่อวิ๋นมาถึงก็กวาดมองทั่วลาน เอ่ยเสียงเย็นชา “เทพมารหลินมาหรือยัง”
เสียงเขาดุจกระบี่ สะท้อนกังวานดั่งลำนำกระบี่ ปั่นป่วนรอบทิศ ทำแก้วหูผู้คนเสียดแทง จิตวิญญาณสั่นสะท้าน
สายตามากมายล้วนมองไปยังตำแหน่งที่หลินสวินอยู่ตามจิตใต้สำนึก สีหน้าเจือแววประหลาดไม่มากก็น้อย
เรื่องที่หลินสวินทะลวงด่าน ‘สิบสองหอ’ ในนครหยกขาวเมื่อหลายวันก่อน อึกทึกครึกโครมทั่วใต้หล้านานแล้ว จนผู้คนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ผู้หญิงกับเด็กก็ยังรู้
สำหรับสำนักกระบี่เทียมฟ้า แน่นอนว่าไม่อาจรู้สึกดีกับหลินสวินเท่าไรนัก
ทว่ายังมีคนมากมายคิดไม่ถึง ว่าทันทีที่จินมู่อวิ๋นมาเยือนก็จ่อปลายทวนเข้าใส่หลินสวินทันที!
“เจ้าน่ะหรือเทพมารหลิน”
กลิ่นอายทั่วร่างจินมู่อวิ๋นดุดันเผด็จการ นัยน์ตาดุจกระบี่คมกริบจับจ้องหลินสวิน “เจ้ากล้ามากนะ ถึงกับกล้าชิงกระบี่แสงราตรีของศิษย์พี่อวิ๋นของข้า โทษทัณฑ์นี้ไม่อาจอภัย!”
ในใจทุกคนสั่นสะเทือน ก่อนหน้ามีฉู่เป่ยไห่ ต่อมามีจินมู่อวิ๋น ล้วนผูกจิตสังหารกับเทพมารหลิน!
ซ้ำการแสดงออกของจินมู่อวิ๋นยังแข็งกร้าวและตรงไปตรงมายิ่งกว่า!
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนส่งเสียงประหลาดใจที่สุดคือ เทพมารหลินถึงกับแย่งชิงกระบี่คู่กายของอวิ๋นชิ่งไป๋ในปีนั้นไป นั่นเป็นถึงกระบี่เลื่องชื่อสะเทือนใต้หล้าที่เคยบั่นศีรษะราชันกึ่งระดับมากกว่าร้อยคน!
เผชิญหน้ากับจินมู่อวิ๋นที่ข่มขู่ดุดัน สุดท้ายหลินสวินก็อดกลอกตาใส่ไม่ได้ กล่าวว่า “อยากตายจะยากอะไร ไม่ต้องรีบร้อน รอสังหารฉู่เป่ยไห่แล้วค่อยส่งเจ้าลงนรก!”
ตอนที่ 1044 ปากเปราะโดยกำเนิด
ทันทีที่หลินสวินกล่าวออกไปก็ทำให้สีหน้าฉู่เป่ยไห่พลันอึมครึม เอ่ยเย็นชา “หลินสวิน ด้วยคำพูดนี้ ข้าจะให้เจ้าตายอย่างอนาถ!”
ส่วนในดวงตาจินมู่อวิ๋นฉายแววเยียบเย็นดุจกระบี่ วาจานี้ของหลินสวินเจือความหยามเหยียด ชัดเจนว่าไม่เคยเห็นเขาในสายตา
“ความจองหองต้องจ่ายค่าตอบแทน ถึงตอนนั้นข้าจะใช้เลือดสดๆ ของเจ้ามาอุ่นสุรา ใช้วิญญาณเจ้ามาเช็ดกระบี่ข้า!”
จินมู่อวิ๋นกล่าวเน้นทีละคำ ทุกคำไอสังหารแผ่ซ่าน ทำให้ทั้งตัวเขามีพลานุภาพเหนือฟ้าดิน พาให้คนไม่น้อยสีหน้าเปลี่ยนไปบ้าง
หลินสวินเอ่ยถามราวไม่รู้สึกอะไร “คนทั่วไปบอกว่าเจ้าคืออวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สอง เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า เคยเอาชนะสถิติอวิ๋นชิ่งไป๋มาก่อนหรือไม่”
จินมู่อวิ๋นนัยน์ตาหดรัดลงเล็กน้อย หว่างคิ้วปรากฏความอึมครึมวูบหนึ่งอย่างยากสังเกตเห็น
แต่สีหน้าทุกคนในที่นั้นกลับเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น
แท้จริงคำตอบไม่จำเป็นต้องเดาแต่แรก หากจินมู่อวิ๋นเคยทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทำไว้ในสิบสองหอ เกรงว่าคงปั่นป่วนนครหยกขาว เป็นที่รู้กันทั่วนานแล้ว
แต่เห็นชัดว่าเขาไม่เคย
ปัจจุบันคนที่ทำลายสถิติทั้งห้าของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ ก็คือหลินสวิน!
“นั่นเป็นเพียงสถิติที่ศิษย์พี่อวิ๋นสร้างเมื่อสิบปีก่อน เจ้าเอาอะไรมาลำพอง” จินมู่อวิ๋นกล่าวเย็นชา
“ไม่ถึงขั้นลำพอง ข้าแค่กำลังคิดว่า แม้แต่สถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนเจ้ายังทำลายไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาคุยโวไม่กระดากปาก”
กล่าวถึงตอนท้ายเสียงหลินสวินเจืออานุภาพไร้รูป เสียงดั่งฟ้าคะนองสะเทือนข้างหูจินมู่อวิ๋นเต็มๆ ทำจนหัวใจเขากระตุกเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น สีหน้าวูบไหวไม่หยุด
“อย่ามาโอหัง!”
“หลินสวิน เจ้าคงไม่โง่ถึงขั้นคิดว่าทำลายสถิติศิษย์พี่อวิ๋นเมื่อสิบปีก่อนได้ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวฟ้าดินกระมัง”
“อวดดีเกินไปแล้ว รนหาที่ตาย!”
ข้างกายจินมู่อวิ๋น เหล่าผู้กล้าสำนักกระบี่เทียมฟ้ามากมายพากันส่งเสียงประณามหลินสวิน
หลินสวินหันไปกล่าวกับอาหลู่ “ช่วยหน่อยสิ”
“ช่วยอะไร” อาหลู่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ด่าพวกเขา” หลินสวินกล่าว “ไม่ใช่ว่าในด้านวิชาด่า เจ้าสามารถทำให้เผ่าเสียงคำรามอกสั่นขวัญแขวนได้หรอกรึ ตอนนี้ได้เวลาแสดงฝีมือของเจ้าแล้ว”
อาหลู่มุมปากกระตุก โวยว่า “เทพมารหลินเจ้านี่มัน! เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร หญิงปากร้ายรึ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเปิดฉากด่า เจ้าพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติพอให้ข้าด่าด้วยซ้ำ ไม่ดูศีลธรรมพวกเขาเสียบ้าง ด่าพวกเขาไปคงได้เสนียดปากข้า”
หลินสวินอดเริงร่าไม่ได้ อาหลู่เป็นตัวเลือกที่เหมาะแก่การด่ากราดดังคาด ทันทีที่เอ่ยปากก็บรรลุผลด่ายกกลุ่ม ฝีปากช่างร้ายกาจนัก
ทางด้านสำนักกระบี่เทียมฟ้านั่น สีหน้าทุกคนรวมถึงจินมู่อวิ๋นต่างดำทะมึน เจ้าคนเถื่อนนี่บอกว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติพอให้มันด่ารึ
จะรังแกกันเกินไปแล้ว!
อาหลู่รีบร้อนอธิบาย “พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ด่าพวกเจ้า ข้าแค่ด่าว่าพวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอให้ข้าด่า พวกเจ้าฟังรู้เรื่องไหม”
พรืด!
ผู้คนไม่น้อย ณ ที่นั้นต่างกลั้นหัวเราะไม่อยู่
พวกจินมู่อวิ๋นโกรธจนหน้าเขียวแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลินสวินขี้ขลาดจึงขอความช่วยเหลือ มีหรือจะคิดว่าจะให้คนป่าไม่กลัวอะไรคนหนึ่งมาประชันฝีปากกับพวกเขา… ซ้ำวาจานั่นช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
“เอ่อ ดูท่าพวกเจ้าจะเข้าใจผิดแล้ว ข้าน่ะรังเกียจและเดียดฉันท์พวกเจ้ามาก แต่ไม่ได้มีเจตนาด่าพวกเจ้า ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์โดนข้าด่าได้ตามสะดวก ตอนนี้พวกเจ้าน่าจะเข้าใจแล้วกระมัง”
อาหลู่อธิบายอย่างอดทน
แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ เสียงหัวเราะในลานก็ยิ่งดังขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ แม้แต่หลินสวินและเซียวชิงเหอยังทอดถอนใจโดยพร้อมเพรียง อะไรเรียกว่าราชันปากเปราะโดยกำเนิด
อาหลู่นี่แหละใช่!
บางคนตกตะลึงท่าทางราวเห็นผีตัวเป็นๆ เจ้าคนป่านี่จะต้องเป็นตัวประหลาดยั่วโมโหคนได้อย่างง่ายดาย ด่าคนโดยไม่มีคำหยาบ แต่ราวกับดาบเชือดเฉือนใจ
“พอแล้ว!”
จินมู่อวิ๋นเองก็โกรธแล้ว หน้าดำราวก้นหม้อ ทั่วร่างมีไอสังหารพรั่งพรูชวนประหวั่น ทำให้บรรยากาศในลานเปลี่ยนเป็นกดดันกะทันหัน
“พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ!” กลางนัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยประดาบคมกริบน่ากลัว อำมหิตหาใดเปรียบ เห็นชัดว่าเดือดดาลเข้าแล้วจริงๆ
อาหลู่หมายจะพูดอะไรก็ถูกหลินสวินขวางไว้ เวลานี้พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์
“เฮ้อ ทำไมเรื่องกลายเป็นอย่างนี้ไปได้” อาหลู่ถอนใจครวญ
“เพราะเจ้าปากเปราะ” เซียวชิงเหอกล่าวตอบ
จากนั้นทั้งคู่ส่งสัญญาณวางมวยรางๆ หลินสวินได้แค่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัว
ละครตลกนี้ชั่วพริบตาก็พ้นผ่าน ไม่ว่าอย่างไรการมาถึงของพวกจินมู่อวิ๋นก็ทำให้ผู้กล้าแต่ละสำนักในนั้นต่างตระหนักได้ว่า เทพมารหลินซึ่งปรากฏตัวที่นี่คราวนี้ ต้องชักนำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่อีกแน่!
ทว่าไม่รอให้หลินสวินได้หยุดพัก เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมากลับทำให้เขามุ่นคิ้วไม่หยุดอย่างอดไม่ได้
เพราะมี ‘คนคุ้นเคย’ อีกไม่น้อยมาแล้ว
อวี่หลิงคงในชุดหยก ศีรษะสวมเกี้ยวขนนก เงาร่างสูงอวลแสงมรรคเปล่งประกาย ดูประหนึ่งภาพฝันมายา เมื่อมาถึงในลานก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วน
ข้างกายเขายังตามมาด้วยเหล่าผู้กล้าแดนพิสุทธิ์อมตะส่วนหนึ่ง ทันทีที่มาถึงก็ดึงดูดความสนใจผู้คน
แต่สายตาอวี่หลิงคงกลับมองไปทางหลินสวินคนเดียว สีหน้าเฉยชาอำมหิต ทิ้งวาจาแผ่ไอสังหารประโยคหนึ่ง
“หลินสวิน ความแค้นครั้งก่อนคราวนี้ต้องตอบแทนสิบเท่า!”
วาจาเดียวตะลึงทั้งลาน
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ตระหนกวิตก
ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์สมุทรครามแดนฐิติประจิมก็มาด้วย ผู้นำคือชายหนุ่มนามหลี่ชิงผิง เมื่อเขาสังเกตเห็นการมีอยู่ของหลินสวินก็เอ่ยถามประโยคเดียว “น้องชายข้าหลี่ชิงฮวนถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่”
หลินสวินพยักหน้า
หลี่ชิงผิงกล่าวคำว่า ‘ดี’ ติดๆ กันสามครั้ง ในน้ำเสียงเผยไอสังหาร ทำให้ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยขนพองสยองเกล้า
ไม่นานชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัว ทั่วร่างแผ่กระแสเย็นเยียบเสียดกระดูก
เขาประเมินหลินสวินวูบหนึ่ง มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเร้นลับ เอ่ยราบเรียบ “ข้าชื่อโก่วเหยียนเจิน ครั้งนี้โก่วซวีสิงฝากข้ามาสังหารเจ้า ถึงแม้ข้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่สุดท้ายโก่วซวีสิงก็เป็นทายาทคนหนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของข้า อีกทั้งผู้แข็งแกร่งเผ่าข้าที่ตายในมือเจ้าก็ไม่ใช่น้อย ข้าจึงได้แต่รับปากด้วยจำยอม”
โก่วเหยียนเจินถูกมองว่าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด ‘บั่นหมื่นเศียร’ ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ทั้งยังเป็นมารสังหารที่ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง!
หลังจากเขาปรากฏตัว ผู้แข็งแกร่งแต่ละสำนักต่างเผยทีท่าบ้างหวาดกลัว บ้างรังเกียจ
แต่เมื่อโก่วเหยียนเจินหันหัวปลายทวนจ่อหลินสวิน สีหน้าทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก ถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬหมายตา จุดจบคงไม่ดีสักเท่าไหร่
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินแค่ยิ้มกล่าว “เจ้ามาได้จังหวะ ช่วงนี้ข้ากำลังขาดเนื้อหมาทมิฬมาบำรุงพอดี”
โก่วเหยียนเจินยิ้มทะมึน ทำมือปาดคอใส่แล้วไม่สนใจหลินสวินอีก
แต่ตอนนี้สายตามากมายที่มองหลินสวินต่างเจือความสับสน บ้างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น บ้างสงสารเวทนา
แน่นอนว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพาช่วงนี้ หากกล่าวถึงผู้ที่ถูกจับตามองที่สุด หลินสวินจัดเป็นหนึ่งในนั้นโดยไม่ต้องสงสัย
แต่เช่นเดียวกัน ความเด่นผงาดของเขากลับตามมาด้วยคลื่นลมและความยุ่งยากนับไม่ถ้วน
ก็เหมือนการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ตอนนี้ ชักนำมาซึ่งสายตาอันเป็นอริจากบุคคลแห่งยุคมากมาย ทั้งฉู่เป่ยไห่ จินมู่อวิ๋น หลี่ชิงผิง อวี่หลิงคง โก่วเหยียนเจิน ท่าทีที่ไม่มีการเกรงใจเช่นนี้ ต้องทำให้หลินสวินประสบหายนะแน่!
ไม่ว่าใครเห็นภาพนี้ก็ต้องเกิดความคิดเช่นนี้
“ที่แท้เจ้าเคยล่วงเกินคนมากขนาดนี้” อาหลู่แปลกใจยิ่ง
“เจ้าคิดว่าฉายาเทพมารของเขาเรียกกันส่งเดชรึ” เซียวชิงเหอกล่าวไม่สบอารมณ์
แท้จริงในใจเขากังวลยิ่ง สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ถือว่าเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน เห็นหลินสวินถูกเพ่งเล็งเช่นนี้กับตา ต่อให้เขาอยากสงบใจยังยากนัก
มีเพียงหลินสวินยิ้มค้าน กล่าวว่า “แค่อริเก่าบางส่วนเท่านั้น พวกเขากล้ากระโดดออกมาก็เพียงพิสูจน์ได้เรื่องหนึ่ง คือพวกเขายังไม่เข็ด ลืมบทเรียนแสนเจ็บปวดในอดีตไปหมดแล้ว”
น้ำเสียงสบายอารมณ์กลับเจือความเยียบเย็นสายหนึ่ง
ถูกเพ่งเล็งเช่นนี้มีหรือเขาจะไม่โกรธ หากไม่ถูกจำกัดด้วยระเบียบมหามรรคของเขตหวงห้ามไร้มรณะ เขาคงไม่มีทางอดกลั้นต่อไปเช่นนี้แน่!
เขาลอบตัดสินใจกับตัวเอง หลังออกจากที่นี่จะต้องฉวยโอกาสกำจัดเจ้าพวกนี้ให้หมด!
“ต้องการให้ช่วยไหม” ทันใดนั้นมารกระบี่เยี่ยเฉินลืมตาตื่นจากสมาธิ ไม่สนสายตาผิดแปลกโดยรอบ ถามไปตรงๆ กับหลินสวิน
บรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนแปลง สีหน้าผู้แข็งแกร่งอย่างฉู่เป่ยไห่ อวี่หลิงคง จินมู่อวิ๋นก็เปลี่ยนตามไปด้วย
หากมารกระบี่เยี่ยเฉินสอดมือเข้ามาคงยุ่งยากอยู่บ้าง
เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินเอ่ยง่ายๆ “ไม่จำเป็น รอจัดการพวกเขาแล้ว หากเจ้าอยากร่ำสุราจริง ข้าก็ไม่ถือสาที่จะเมาหัวราน้ำกับเจ้า”
เยี่ยเฉินเองก็อึ้งไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะปฏิเสธตนอย่างหมดจดชัดเจนเช่นนี้ จากนั้นมุมปากเขาระบายยิ้ม กระทั่งต่อมาถึงกับกลั้นไม่อยู่ หัวเราะลั่นออกมา เสียงสะเทือนฟ้าดิน
“ดี! แต่ก่อนเมาหัวราน้ำ เจ้าน่ะต้องรอดให้ได้ก่อน!” เยี่ยเฉินกล่าว
“เจ้าเตรียมเหล้าดีๆ รอไว้ก็พอ” หลินสวินยิ้มน้อยๆ
“โอหัง!” ฉู่เป่ยไห่แค่นเสียงเย็นชา
พวกจินมู่อวิ๋น อวี่หลิงคงเองต่างยิ้มเยาะ พวกเขาไม่เชื่อว่าคราวนี้หลินสวินจะสามารถรอดไปได้
“คนของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมาแล้ว”
เวลานี้มีคนส่งเสียง สายตาไม่น้อยต่างเปลี่ยนเป็นผิดแปลกยิ่งกว่าเดิมทันที
เพราะหลายวันก่อนหลินสวินเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ที่แคว้นหมึกขาว ไม่เพียงทำซูคงราชันที่ก้าวสู่อมตะเคราะห์ขั้นสองบาดเจ็บหนักจนล้มลุกคลุกฝุ่น ยังประกาศศักดาด้วยการแขวนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมากมายเหนือกำแพงเมืองเนินยุทธ์
นี่เท่ากับตบหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ทำเอาสำนักโบราณแห่งนี้ระเบิดคลั่ง แทบอยากทึ้งเอ็นเถือหนัง ทำลายกระดูกโปรยเถ้าถ่านหลินสวิน
บัดนี้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมาเข้าร่วมกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แค่คิดก็รู้ว่าคงไม่มีทางมีสีหน้าดีๆ ให้หลินสวินเท่าไรนัก
ทว่าหลินสวินหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เวลานี้เขาเหลือบสายตามองไปเช่นกัน ในใจปรากฏความตื่นเต้นเกินอธิบายเสี้ยวหนึ่งอย่างยากจะได้เห็น
ไม่นานร่างงามสูงโปร่งที่คุ้นเคยสะท้อนเข้ามาในครรลองสายตา
คนผู้นั้นสวมชุดกระโปรงม่วง นัยน์ตากระจ่างฟันขาว หน้าตาราวภาพวาด ผมดำขลับทั้งศีรษะใช้ปิ่นไม้เขียวอันหนึ่งเกล้าเป็นมวยไว้เบื้องหลัง เผยใบหน้าผุดผ่องที่งดงามทุกความรู้สึก
ท่าทางนางสง่างาม ระหว่างขยับเคลื่อนมีความองอาจเฉิดฉายเป็นของตน งามโดดเด่นต่างจากคนอื่น
จ้าวจิ่งเซวียน!
เพียงปราดเดียว ในหัวหลินสวินกลับปรากฏเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยประสบกับจ้าวจิ่งเซวียนในอดีตอย่างไม่อาจระงับ ทำเอาจิตใจเขาเกิดระลอกคลื่นแถบหนึ่ง ความรู้สึกประหลาดแผ่ขยายตามมา
ความสง่างามของนางยังคงเดิม กระจ่างผุดผ่องเหมือนเมื่อก่อน รูปโฉมยิ่งเหนือกว่าแต่ก่อน
ทว่าจากกันหลายปี บัดนี้พบเจอกันอีกครั้ง อีกฝ่าย… จะยังเป็นคนที่ตนคุ้นเคยในปีนั้นหรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น