Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1037-1040

ตอนที่ 1037 ทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น

 

หลายปีก่อน ยามที่อยู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในแดนลับอสูรมารอริยะ เพราะเรื่องที่พ่ายแพ้ในเงื้อมือของหลินสวินพาให้ซูซิงเฟิงคับแค้นฝังใจมาจนบัดนี้


หลายปีต่อมา ซูซิงเฟิงไต่เต้าขึ้นสู่รายชื่อศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอย่างราบรื่น เดิมทีคิดว่าเพียงพอจะล้างความอัปยศก่อนหน้านี้ได้แล้ว


แต่ที่ทำให้เขาไม่อาจยอมรับคือ หลินสวินในตอนนี้คือเทพมารหลินที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร!


เขาไม่ยอม ไม่เต็มใจ ไม่ยินดีจะถูกหลินสวินบดบังรัศมีอีกครั้ง


ดังนั้นครั้งนี้เมื่อรู้ข่าวว่าหลินสวินปรากฏตัวที่แคว้นหมึกขาว ก็ตั้งใจไปดูศัตรูคู่แค้นที่ทำให้เขาแค้นฝังใจ ให้เห็นกับตาตัวเองว่าจะแข็งแกร่งขึ้นถึงขั้นไหนกันแน่


แต่ยามนี้ในที่สุดซูซิงเฟิงก็เห็นความน่ากลัวของหลินสวินเองกับตัว!


การโจมตีเพียงสามครั้ง เขาก็ถูกสยบโดยตรง ไร้ซึ่งความอนาทร ยิ่งไม่มีพลังขัดขืน ถูกบดขยี้อย่างสิ้นเชิง!


เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน หลินสวินในตอนนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนชัดๆ ฝีมือต่อสู้กร้าวแกร่ง อานุภาพอหังการ พาให้ซูซิงเฟิงยังรู้สึกหมดหวัง


ควรรู้ว่าเขาก็เองก็เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแล้วเหมือนกัน แต่ยามที่เผชิญหน้ากับหลินสวิน สิ่งที่แลกมาก็ยังเป็นจุดจบที่ถูกกำราบตามเคย!


และเวลานี้ ในที่สุดซูซิงเฟิงก็เพิ่งประจักษ์แจ้งว่าในช่วงหลายปีมานี้ที่ตนแข็งแกร่งขึ้น หลินสวินเองก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน แถมยังแกร่งจนห่างชั้นกันลิบลับ!


เขายังสงสัยว่าทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เกรงว่าคงมีแต่เยี่ยนจั่นชิวลงมือด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะมีโอกาสกำราบหลินสวิน


เพียงแต่ไม่รอให้ซูซิงเฟิงคิดมากก็ถูกหลินสวินซัดสลบเหมือด


และจากนั้นครู่หนึ่ง ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอีกสิบหกคนที่เหลือต่างก็ถูกกำราบ ไม่มีใครรอด และไม่มีใครหลบหนีได้สักคน


……


เมืองเนินยุทธ์


สียามค่ำคืนเหมือนสายน้ำ แต่ในเมืองกลับสว่างไสว


ผู้ฝึกปราณตัวเปื้อนฝุ่นธุลีคนหนึ่งเพิ่งมาถึงนอกเมือง เตรียมจะเข้าไปในเมือง แต่พอช้อนสายตาขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็ปากอ้าตาค้างทันที


บนผนังกำแพงสูงตระหง่าน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มีเงาร่างคนแล้วคนเล่าแขวนห้อยอยู่ ล้วนถูกมัดตัวแน่นหนา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เรียงแถวหน้ากระดาน


และบนนั้นก็เขียนอักษรเลือดตัวใหญ่ที่แสนอุกอาจสะดุดตาแถวหนึ่ง


‘ผู้สืบทอดสำนักใหญ่อันทรงเกียรติส่วนหนึ่ง กลับไม่สนศักดิ์ศรี สมคบคิดกับพวกสวะหมาทมิฬ พฤติกรรมต่ำช้า พาให้ผู้คนเคืองขุ่น ธรรมชาติเกินรับไหว!’


เมื่อเห็นฉากนี้ผู้ฝึกปราณก็สูดหายใจเฮือก ในใจสั่นสะท้าน


ไม่นานนักผู้ฝึกปราณที่รวมตัวกันนอกประตูเมืองก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองเห็นภาพฉากนี้ต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี ตื่นตระหนกไม่สิ้น


“เป็นใครกันถึงกับกล้าแขวนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไว้ตรงนี้ ประกาศศักดาต่อธารกำนัล”


ผู้คนมากมายต่างใจสะท้านสะเทือน


เมืองเนินยุทธ์นี้เป็นเมืองที่ใกล้กับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมากที่สุด แต่ยามนี้ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณกลับถูกมัดตัวแน่นหนา แขวนประจานอยู่บนกำแพงเมือง นี่ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังตอกหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอยู่!


“สมคบคิดกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬหรือ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เจ้าพวกนี้ก็ไร้ยางอายยิ่งแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าพวกหมาทมิฬเหล่านี้เป็นเผ่าหนึ่งที่ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าชิงชังมากที่สุด”


และมีคนร้องอุทาน ข่าวที่ตัวอักษรเลือดแถวนั้นเปิดโปงช่างพาให้ผู้คนตกใจเสียจริง หากพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง ชื่อเสียงของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจะต้องแปดเปื้อนอย่างแน่นอน


“ต้องเป็นฝีมือเทพมารหลินแน่นอน! ก็มีแต่เจ้าหมอนี่ที่ใจกล้าทำเรื่องผิดมนุษย์มนาขนาดนี้!”


“ถูกต้อง หลายวันมานี้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไม่ได้ล่าตัวเจ้านั่นตลอดเลยหรือ เห็นชัดๆ ว่าทุกอย่างตรงหน้าก็คือการแก้แค้นจากเจ้านั่น”


ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ต่างเดาถึงชื่อนี้ออกมาได้โดยไม่ได้นัดหมายตั้งแต่จังหวะแรก ในใจก็ว้าวุ่นไม่หยุด ไม่อาจสงบสติอารมณ์


ก่อนหน้านี้ยามที่ได้ยินข่าวว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล่าตัวหลินสวิน ยังมีผู้ฝึกปราณไม่น้อยตั้งใจจะชมเรื่องสนุก คิดว่าครั้งนี้เกรงว่าเทพมารหลินคงต้องตกที่นั่งลำบากเท่านั้นแล้ว


แต่ใครเลยจะคิดว่าคืนนี้เอง เทพมารหลินสวินก็สำแดงการตอบโต้!


หนำซ้ำการตอบโต้เช่นนี้ยังไม่ได้ปกปิดใดๆ เผด็จการเป็นที่สุด!


“พอเรื่องนี้แพร่ออกไป แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคงไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่ หากไม่เหนือคาด ทั่วทั้งแคว้นหมึกขาวจะเริ่มเปิดฉากมรสุมลูกใหญ่ในคืนนี้…”


มีคนทอดถอนใจ สังหรณ์ใจว่าเรื่องในคืนนี้จะต้องสร้างคลื่นลมที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน


ไกลออกไปหลินสวินและเซียวชิงเหอเก็บสายตากลับมา ต่างฝ่ายต่างสบตากันปราดหนึ่ง พากันหัวเราะอย่างเงียบๆ


“เมื่อของขวัญชิ้นโตนี้ส่งออกไป ทั้งบนล่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต้องเดือดดาลด้วยเหตุนี้เป็นแน่ และเจ้าเดรัจฉานเฒ่าซูคงที่สมคบคิดกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ไม่เพียงต้องแบกรับคำครหา แถมต้องให้คำอธิบายที่น่าพอใจแก่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอีกด้วย หาไม่ ผลกระทบนี้ก็จะเลวร้ายเกินไป”


เซียวชิงเหอหัวเราะร่วนเอ่ยคำ


เขามาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เข้าใจพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของสำนักโบราณเหล่านี้เป็นที่สุด เพื่อศักดิ์ศรีและกิตติศัพท์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลือกร่วมมือกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอย่างโจ่งแจ้ง หาไม่คงถูกคนทั่วหล้าปรามาสแน่นอน


“แต่น่าเสียดาย ครั้งนี้ไม่ได้พบแม่นางจ้าวจิ่งเซวียนเลย”


เซียวชิงเหอชำเลืองมองหลินสวินปราดหนึ่ง


“ไม่ได้บอกว่านางมุ่งหน้าไปภูเขาเทพไร้มรณะแล้วหรือ พอดีเลย พวกเราก็ต้องไปร่วมศึกประลอง ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ด้วยเหมือนกัน ถึงตอนนั้นค่อยเจอกันก็ไม่เป็นไร”


สีหน้าหลินสวินราบเรียบ ความจริงแล้วในใจก็รู้สึกเสียดายน้อยๆ เช่นกัน


ครั้งนี้มุ่งหน้ามาแคว้นหมึกขาว เป้าหมายแรกเริ่มของเขาก็แค่อยากพบหน้าค่าตาจ้าวจิ่งเซวียน แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะดึงดูดระลอกคลื่นเช่นนี้ขึ้นมาได้


แต่ว่าหลินสวินไม่นึกเสียใจด้วยซ้ำ


ความแค้นระหว่างเขากับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณผูกพยาบาทกันตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ต่อให้วันนี้ไม่ปะทุขึ้นมา วันหน้าก็ต้องระเบิดออกมาอยู่ดี


“แต่ข้าขอเตือนเจ้า ครั้งนี้คนที่เดินทางมุ่งสู่ภูเขาเทพไร้มรณะร่วมกับแม่นางจ้าวจิ่งเซวียน ยังมีเยี่ยนจั่นชิวเจ้าหมอนี่ด้วย”


เซียวชิงเหอเอ่ยเตือน “และเรื่องที่เจ้าทำลงไปในวันนี้ จะต้องเข้าหูเยี่ยนจั่นชิวตั้งแต่แรก ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อจ้าวจิ่งเซวียน แต่ลำพังเพื่อรักษาชื่อเสียงสำนักเอาไว้ เกรงว่าเยี่ยนจั่นชิวคงเห็นเจ้าเป็นหนามยอกอกอย่างแน่นอน”


หลินสวินพยักหน้า เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องราวที่ทำลงไปในคืนนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบใด


……


ผ่านไปหลายวัน แดนชัยบูรพาสั่นสะเทือน


หลินสวินซึ่งได้รับความสนใจเต็มเปี่ยมเพราะอยู่ในอันดับแรกของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนร้องอุทานอีกครั้ง


มีคนคำนวณเวลา นับแต่เทพมารหลินเข้าสู่แดนชัยบูรพาจวบจนบัดนี้ยังไม่ครบสามเดือนดีด้วยซ้ำ ก็สร้างความปั่นป่วนให้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แห่งแคว้นกู่ชาง สำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งนครหยกขาว แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแห่งแคว้นหมึกขาวอย่างต่อเนื่อง!


สามขุมอำนาจใหญ่นี้ แต่ละที่ล้วนเป็นถึงสำนักโบราณชื่อเสียงเกรียงไกร รากฐานแน่นหนาไร้ใดเปรียบ!


แต่เด็กหนุ่มไร้สำนักปราศจากสังกัดอย่างเทพมารหลินกลับกล้าท้าทายสำนักโบราณ แต่ละครั้งล้วนสร้างคลื่นลมมหึมา จากนั้นก็จากไปอย่างผ่าเผย สิ่งนี้พาให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนรู้สึกสะท้านสะเทือนยิ่ง น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว


สำนักโบราณที่กระจายตัวอยู่ในแดนชัยบูรพาใช่ว่ามีน้อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึง ‘แหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ’ ‘แดนอริยมรรคนิรันดร์’ อันเป็นที่ยอมรับในดินแดนรกร้างโบราณ


เดิมทีสำนักโบราณส่วนหนึ่งไม่ได้ใส่ใจต่อการปรากฏตัวอุกอาจของเทพมารหลิน คิดว่าเป็นเพียงเรื่องทะเลาะเล็กน้อยของเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง


แต่ยามนี้สำนักโบราณเหล่านี้ต่างถูกทำให้ตกใจ เริ่มเพ่งความสนใจไปที่ตัวเจ้าหนุ่มที่กร้าวแกร่งผงาดง้ำปานดาวหางคนนี้


มาจากโลกชั้นล่าง ไร้สำนักไร้พรรค ไม่มีรากเหง้า แค่ตัวคนเดียวลำพัง แต่กลับสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือสามสุดยอดสำนักโบราณโดยสวัสดิภาพอยู่บ่อยครั้ง นี่เห็นได้ชัดว่าผิดธรรมดายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!


“เจ้านั่นเหมือนปีศาจ พฤติกรรมอุกอาจกำแหง ไร้ขื่อไร้แป เมื่อผงาดขึ้นมาจะต้องเป็นเภทภัยต่อใต้หล้า” สำนักไม่น้อยต่างออกความเห็นวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้


หลินสวิน คนหนุ่มไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง กลับกล้าท้าทายสำนักโบราณบ่อยครั้ง สิ่งนี้พาให้สำนักอื่นๆ ตื่นตัว ได้กลิ่นภัยคุกคามน้อยๆ แล้วเช่นกัน


“มหายุคใกล้มาเยือน การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังสำแดงอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ระหว่างการเชื่อมต่อเก่าและใหม่นี้ สามารถให้กำเนิดผู้กล้ารุ่นเยาว์อย่างเทพมารหลินขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”


สำนักโบราณส่วนใหญ่ต่างรักษาจุดยืนของการเป็นผู้ชมอยู่ด้านข้างไปพลางๆ บนโลกใบนี้ไม่มีวันขาดแคลนผู้กล้าและวีรชน ถึงแม้หลินสวินจะแกล้วกล้าน่าจับตามองในช่วงที่ผ่านมา แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้ว สุดท้ายก็เป็นเพียงคนหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น


คนรุ่นเดียวกันที่โดดเด่นยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับเขาก็มีไม่น้อย กระทั่งคนที่โดดเด่นเป็นสง่ามากกว่าเขาก็ใช่ว่าไม่มีเลย


จะสามารถเหยียบย่างบนขอบเขตมกุฎระดับราชันในมหายุคได้หรือไม่ บางทีต้องรอถึงตอนนั้นจึงจะสามารถประเมินความตื้นลึกของรากฐานพลังและความสั้นยาวในมรรคาของเขาได้อย่างแท้จริง!


ขณะที่โลกภายนอกต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ หลินสวินและเซียวชิงเหอก็ได้ปรากฏตัวบนทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่เวิ้งว้างร้างผู้คนแห่งหนึ่งตั้งนานแล้ว


ทอดสายตาไกลออกไป รอบด้านล้วนเป็นน้ำค้างเย็นน้ำแข็งหิมะ ฟ้าดินไพศาล สีขาวเงินทั้งแถบ


“ภูเขาเทพไร้มรณะตั้งอยู่ภายในแดนลี้ลับ หากคิดเข้าไปในนั้นจะต้องข้ามผ่านทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นแถบนี้ให้ได้ก่อน”


เซียวชิงเหอพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ไอร้อนเพิ่งจะแผ่กระจายก็ถูกควบแข็งกลายเป็นแท่งน้ำแข็ง ร่วงตุบลงกับพื้น


“ที่แห่งนี้ลือกันว่าเป็นรังเก่าของเผ่าจู๋หลงบรรพกาล หนาวเย็นกรีดกระดูก สัตว์ปีศาจที่จำศีลอยู่ในนั้นมีเป็นฝูง อยากข้ามผ่านอย่างปลอดภัยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”


เซียวชิงเหอแนะนำไปพลาง เหาะเหินมุ่งหน้าพร้อมกับหลินสวินไปพลาง


ยานขนส่งอวกาศถึงจะรวดเร็วถึงขีดสุด แต่ก็เปลืองแรงมหาศาลเช่นเดียวกัน หากไม่จำเป็นหลินสวินก็ไม่อยากขับสมบัติอริยะลำนี้โคลงเคลงข้ามเมืองไป


ยามนี้เหลือเวลาห่างจากการประชันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ราวๆ เจ็ดวัน จากการสันนิษฐานของเซียวชิงเหอ หากไม่เหนือความคาดหมายก็น่าจะเข้าสู่ภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนั้นได้ก่อนเวลา


ท่ามกลางลมหิมะเวิ้งว้าง เงาร่างของทั้งคู่ถูกท่วมจมอย่างรวดเร็ว หายลับไปในที่ไกลๆ


ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงเข่นฆ่าอันดุเดือดก็ลอยมาจากระยะไกล หลินสวินและเซียวชิงเหอหยุดฝีเท้าทันควัน แผ่จิตรับรู้กระจายออกไป


บริเวณไกลๆ งูเหลือมยักษ์น้ำแข็งลำตัวยาวเต็มพันจั้ง ร่างหนาเท่าบ้านตัวหนึ่งห้อทะยานกลางอากาศ กำลังโรมรันดุเดือดกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่ง


งูเหลือมยักษ์น้ำแข็งทรงพลังไร้เทียมทาน ส่วนหัวมีเขาประหลาดคู่หนึ่งงอกออกมารำไร ถึงกับมีลักษณะจะกลายเป็นมังกร มันห้อทะยานกลางห้วงอากาศ ปลดปล่อยพลังน้ำค้างแข็งและประจุอสนี พาให้ฟ้าดินแถบนี้จมสู่ความสั่นสะเทือน อานุภาพดุร้ายท่วมฟ้า


สามารถกล่าวได้อย่างไม่เกินจริงแม้แต่น้อย ต่อให้ระดับกึ่งราชันมาเอง ก็ต้องฝังร่างอยู่กลางปากสัตว์ตัวนี้แน่นอน!


เพียงแต่เหนือความคาดหมายของหลินสวินและเซียวชิงเหอ ยามนี้งูเหลือมยักษ์น้ำแข็งกลับตกสู่สถานการณ์ถูกควบคุมโดยสิ้นเชิง!


ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนนั้นมีผมยาวดั่งเพลิง มือกำดาบศึกสีเลือดยาวสี่ฉื่อ ตัวดาบคละคลุ้งด้วยแสงสายฟ้า ท่วงท่าอาจอง หยิ่งผยองกำแหง


รูปแบบการต่อสู้ของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวถึงที่สุด ดาบพุ่งดั่งฟ้าคำราม ว่องไวเต็มพิกัดทั้งยังเผด็จการ ไอดาบเจิดจ้าสายแล้วสายเล่านั้นประหนึ่งควบรวมมาจากสายฟ้าแห่งเก้าสวรรค์ พาดขวางกลางฟ้าดิน เปี่ยมด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าสะพรึง พาให้ห้วงอากาศแตกกระจุยกลายเป็นเกลียวคลื่นแผ่กว้างไม่ขาดสาย


เพียงแค่ทอดมองจากไกลๆ ก็ให้บรรยากาศดุกร้าวเผด็จการบีบคั้นแก่ผู้คนได้แล้ว


ปึง!


ขณะที่หลินสวินและเซียวชิงเหอมองไป การต่อสู้ก็จวนจะยุติแล้ว ก็เห็นเงาร่างกำยำดั่งเพลิงสายนั้นห้อทะยานฟ้า ฟันดาบเดียวลงไป ราวกับสายฟ้าสีเลือดร่วงหล่นจากเวิ้งนภา


หัวของงูเหลือมยักษ์น้ำแข็งระเบิดกระจุยดังสนั่น!


แสงอสนีเจิดจรัสส่องสะท้อนบนเงาร่างกำยำที่ยืนถือดาบอยู่ตรงนั้น ทำให้เขาโดดเด่นสง่าสะท้านโลก ราวกับเทพไท้กลางดงดาบ

 

 

 


ตอนที่ 1038 กล้าเยาะสวรรค์ดุจสระน้ำ

 

ในใจหลินสวินก็อดเกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นมาไม่ได้


คนบางคน เพียงแค่มองไปก็รู้ว่าไม่ใช่พวกที่จะอยู่ในบ่อน้ำเล็กๆ ตลอดไป จะต้องซัดสะเทือนเมฆลม อยู่เหนือหมู่เมฆอย่างแน่นอน


ก็เหมือนกับเงาร่างกำยำที่ยืนถือดาบหลังจากบั่นหัวงูเหลือมยักษ์คนนั้น เป็นบุคคลประเภทนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!


“เซี่ยวชางเทียน!”


เซียวชิงเหอโพล่งอย่างตกใจ “เขาก็มาด้วย!”


ทันใดนั้นหลินสวินก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือใคร


ในบรรดาคนรุ่นเยาว์แดนดาราอุดร มีมารกระบี่เยี่ยเฉินที่ ‘เพียงหมุนกายต่อสู้ในแดนดาราอุดร คมกระบี่เดียวหนาวสะท้านไปทั้งเก้าพันแคว้น’


และก็มีดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนที่ ‘กล้าเยาะสวรรค์ดุจสระน้ำ ดาบข้ากวาดผ่านชิงชังฟ้าดิน’!


ทั้งสองได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ ดุจดั่งดาวคนคู่ เลื่องชื่อลือชาในแดนดาราอุดร เจิดจ้าดั่งอาทิตย์ดวงใหญ่


เห็นได้ชัดว่าเงาร่างกำยำที่อยู่ไกลออกไปสายนั้น จะต้องเป็นดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย


พรึ่บ!


เกือบจะในเวลาเดียวกัน เซี่ยวชางเทียนที่อยู่ไกลๆ ก็หันมองมา


เครื่องหน้าทั้งห้าดั่งคมดาบ หว่างคิ้วกว้าง อาจหาญกดดันผู้คน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น แคบยาวราวกับดาบ สุกสว่างเจิดจรัส


จังหวะที่เขาหันมองมา นัยน์ตาราวกับมีประกายสายฟ้าคมกริบสายหนึ่งพุ่งยิงออกมา


ร่างกายเซียวชิงเหอรัดเกร็งอย่างยากจับสังเกต พลังขับเคลื่อนทั่วร่างพลุ่งพล่าน เสื้อผ้าโบกสะบัดโดยปราศจากลมเสียงดังพรึ่บๆ


นี่คือการปะทะอันไร้รูปของอานุภาพอย่างหนึ่ง


ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น สายตาของเซี่ยวชางเทียนก็เคลื่อนไปทางหลินสวิน


‘ไม่เสียแรงที่เป็นดาบคลั่ง!’


สีหน้าหลินสวินราบเรียบ เหมือนไม่รู้สึกรู้สา แต่ในใจกลับลอบร้องตกใจอย่างอดไม่ได้


เพราะนิสัยที่ต่างกัน เส้นทางแห่งมหามรรคที่ก้าวเดินจึงต่างกัน บุคลิกและอานุภาพที่ผู้กล้าแต่ละคนสำแดงออกมาก็แตกต่างกันด้วย


บางคนกลิ่นอายเก็บงำ บางคนกลิ่นอายแรงกล้า บางคนกลิ่นอายนุ่มนวล


กลิ่นอายของเซี่ยวชางเทียนก็เหมือนกับอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องสว่างกลางเวิ้งนภาเพียงหนึ่งเดียว ประกายคมผุดพราย แสงคมหมื่นจั้ง ท่วงท่าเด่นสง่าพร่าตาไร้ใดเปรียบ


เผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ คนรุ่นเดียวกันส่วนหนึ่งที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอก็จะถูกซัดสะเทือนในทันที แทบไม่มีทางเกิดความคิดต้านทานแม้แต่น้อย


แน่นอน หลินสวินเองก็ประหลาดใจน้อยๆ เช่นกัน


ประหลาดใจที่กลิ่นอายของเซี่ยวชางเทียนคนนี้ เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่เขาเคยเจอ


ส่วนเรื่องสะทกสะท้านและเกรงกลัวนั้น ยังไม่อาจพูดถึง


เวลานี้ในใจเซี่ยวชางเทียนที่อยู่ไกลออกไปก็เริ่มพิศวงน้อยๆ เช่นกัน สัญชาตญาณบอกเขาว่าหลินสวินเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเอามากๆ คนหนึ่ง


หากบอกว่ากลิ่นอายของเขาดั่งอาทิตย์แผดเผา ส่องสะท้อนเวิ้งนภา เช่นนั้นภาพจำที่หลินสวินมอบให้เขาก็เป็นห้วงเหวลึกอันกว้างใหญ่


กว้างจนไร้ปลายทาง ลึกไม่อาจหยั่งถึง!


‘น่าสนใจ การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ น่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังมากเกินไปแล้ว’


เซี่ยวชางเทียนเก็บสายตา หัวเราะอย่างไร้เสียง เผยให้เห็นเรียวฟันเรียงสวยขาวกระจ่าง จากนั้นก็หมุนตัวจากไป


ถึงแม้หลินสวินจะไม่ธรรมดา ทำให้เขารู้สึกเหนือคาดน้อยๆ แต่กลิ่นอายก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเท่านั้น


มีหลายปัจจัยที่ทดสอบว่าผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเก่งกาจหรือไม่ ไม่ใช่แค่กลิ่นอายกร้าวแกร่ง พลังต่อสู้ก็ยิ่งต้องแข็งแกร่ง


เซี่ยวชางเทียนเงาร่างกำยำ ผมสีแดงดั่งเปลวเพลิง ชุดคลุมสีขาวทั้งตัว ย่างเท้าก้าวไปในสายลมหิมะอย่างเชื่องช้า เพียงแค่เงาหลังก็เห็นชัดว่าเจิดจ้าถึงเพียงนั้น


เซียวชิงเหอทอดถอนใจ “ข้าสู้เขาไม่ได้”


จะให้ผู้กล้าคนหนึ่งที่เหยียบย่างมกุฎมรรคายอมรับว่าตนสู้ไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องใช้ความกล้ายิ่งยวด


หลินสวินตบไหล่เขา “แค่ห่างกันนิดหน่อยเท่านั้น เบื้องหน้าก็เป็นแค่การแข่งขันชั่วครั้งคราว หนทางแห่งมหามรรคเป็นถึงการแข่งขันชั่วชีวิต”


เซียวชิงเหอไหวไหล่ หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “วางใจน่า ตั้งแต่ตอนอยู่นครหยกขาวข้าถูกเจ้าโจมตีสะเทือนไปหนึ่งยก ได้เคี่ยวกรำจนกระดูกหนาหนังเหนียวตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะถูกซัดโจมตีอีกครั้งได้”


ทั้งคู่มุ่งหน้าต่อไป ตลอดทางเลาะตามเส้นทางที่เซี่ยวชางเทียนสัญจร กลายเป็นว่าลมสงบคลื่นเงียบงัน ได้อานิสงส์ไปไม่น้อยทีเดียว


เนื่องจากสัตว์ปีศาจระหว่างทางนี้ถูกเซี่ยวชางเทียนใช้หนึ่งคนหนึ่งดาบสังหารหมดเกลี้ยงตั้งแต่แรก ตอนที่หลินสวินและเซียวชิงเหอมาถึง บนพื้นก็เหลือแต่ซากศพเละเทะกองหนึ่ง


ทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นกว้างใหญ่เหนือกว่าที่หลินสวินจินตนาการเอาไว้มาก ตลอดทางลมหิมะคละคลุ้ง รอบด้านเวิ้งว้าง สภาพแวดล้อมย่ำแย่อย่างที่สุด


ผู้ฝึกปราณทั่วไปล้วนทนต่อสภาพแวดล้อมหนาวเหน็บกรีดกระดูกเช่นนี้ไม่ได้สักนิด


แม้จะเป็นหลินสวินและเซียวชิงเหอ เมื่อเข้าไปลึกขึ้น ก็ไม่อาจไม่ขับเคลื่อนปราณมาต้านทานกระแสลมหนาวที่ดังหวีดหวิวปานดาบในห้วงอากาศ


ฮูม!


ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็หอบม้วนจากด้านหลังไกลๆ ก่อให้เกิดพายุหิมะน้ำค้างแข็งคลุ้งฟ้า


นั่นเป็นหงส์ปีกสีทองอร่ามตัวหนึ่ง สองปีกสยายความยาวเต็มร้อยจั้งโฉบบินกลางห้วงอากาศ อานุภาพชวนสะพรึง


บนหลังหงส์สีทองมีชายหญิงวัยหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ ชายรูปงามหญิงชวนพิศ บุคลิกแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้ว่าพื้นเพเหนือคนทั่วไป


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็สังเกตเห็นหลินสวินและเซียวชิงเหอ เพียงแต่ไม่ได้สนใจ โดยสารหงส์หิรัณย์จากไปอย่างรวดเร็ว


“ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เอกภาคีก็มากันแล้ว”


ดวงตาเซียวชิงเหอหรี่ลงน้อยๆ “ก็ไม่รู้ว่าหลิ่วฉางเฟิงมาหรือยัง เจ้าหมอนั่นเป็นพวกวิปริตคนหนึ่ง ช่วงห้าปีก่อนเหลืออีกก้าวเดียวก็จะไต่เต้าขึ้นรายชื่อกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แล้ว”


จากคำอธิบายของเซียวชิงเหอ หลินสวินเพิ่งรู้ว่าหลิ่วฉางเฟิงคนนี้ก็เป็นบุคคลแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ของสำนักยุทธ์เอกภาคี พลังต่อสู้กร้าวแกร่งอย่างที่สุด


ขบวนสำนักยุทธ์เอกภาคีคล้อยหลังไป ระหว่างทางต่อมาก็มีเงาร่างผู้ฝึกปราณปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ล้วนเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณทั้งสิ้น รวมตัวออกเดินทางเป็นกลุ่มก้อน ไม่เพียงมาจากแดนชัยบูรพา ยังมีผู้สืบทอดสำนักโบราณจากสามแดนวิภูที่เหลืออย่างฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณอีกด้วย


ผู้สืบทอดของขุมอำนาจสำนักบางส่วนแม้แต่เซียวชิงเหอก็ยังไม่รู้จัก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความอีกฝ่ายจะไม่แข็งแกร่งพอ


ถึงอย่างไรสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ เพราะมีแม่น้ำพรมแดนขวางกั้น ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สถานการณ์กันและกันก็เป็นเรื่องปกติ


แต่นี่ก็ยังพาให้ในใจเซียวชิงเหอบังเกิดความสงสัยอย่างหนัก กล่าวว่า “การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ผ่านมา ผู้ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นบุคคลชั้นนำในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพา แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดายิ่ง”


สาเหตุไม่จำเป็นต้องอธิบายหลินสวินก็รู้อยู่เต็มอก


ไม่ใช่อะไรอื่น เพราะมหายุคใกล้มาเยือนแล้วนั่นเอง!


ไม่ว่าจะทำเพื่อไต่เต้าขึ้นกระดานทองคำผู้กล้า หรือทำเพื่อช่วงชิงศุภโชคใหญ่ในมหายุค ผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่กระจายตัวอยู่ในสามแดนวิภูอย่างฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณ จะไม่ยอมอ้างว้าง ต้องเข้าร่วมศึกประชันอำนาจหมื่นผู้กล้าครั้งนี้อย่างแน่นอน


ก็เหมือนกับการแข่งขัน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ครั้งนี้ จะต้องแตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงแน่!


“ครั้งนี้การแข่งขันจะต้องดุเดือดเลือดสาดยิ่งกว่าที่ผ่านมาเป็นแน่แท้ เดิมทีข้ายังมั่นใจว่าจะเบียดขึ้นสามสิบหกอันดับแรกได้อยู่เลย แต่ตอนนี้…”


เซียวชิงเหอทอดถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “จู่ๆ ข้าก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจบ้างแล้ว”


“การแข่งขันแบบนี้ต้องผ่านการต่อสู้จึงจะรู้ผล”


หลินสวินเอ่ยสบายๆ “มนุษย์ไม่ควรหยิ่งผยอง และไม่ควรมองตนต้อยต่ำเกินไป”


เซียวชิงเหอส่ายหน้า ตัวเขาย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด


เป็นความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา มีชื่อติดอันดับสิบหกสุริยันผู้กล้า ในหมู่คนรุ่นเดียวกันก็นับว่าเป็นบุคคลชั้นยอดที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง


แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าในบรรดาสำนักโบราณมากมายของแดนชัยบูรพา บุคคลที่เหมือนกับเขาก็ต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน


หนำซ้ำผู้ที่เข้าร่วมศึกกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ นอกจากผู้บำเพ็ญมรรคแดนชัยบูรพาแล้ว ยังมีผู้แข็งแกร่งจากสามแดนวิภูอื่นๆ อีกด้วย


แต่ว่าเซียวชิงเหอก็ใช่ว่าจะไม่มั่นใจเอาเสียเลย


เนื่องจากการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ ไม่ใช่การชิงชัยแห่ง ‘ยักษ์ใหญ่’ ที่อยู่ใน ‘การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู’


จากข้อจำกัดกฎกติกาของภูเขาเทพไร้มรณะ ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดที่มีอายุเกินสามสิบปี ต่อให้พรสวรรค์โดดเด่นเหนือปวงชนเพียงใดก็ไม่อาจเข้าร่วมได้!


ลำพังแค่ข้อจำกัดนี้ก็เพียงพอจะหยุดยั้งฝีเท้าของบุคคลเก่งกาจมากมายได้แล้ว


พร้อมกันนั้นผู้แข็งแกร่งที่เคยไต่ขึ้นรายนาม ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ก็ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งที่สองได้


อย่างพวกอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว หมีเหิงเจิน หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ ย่อมไม่อาจมาเข้าร่วมได้อยู่แล้ว


เมื่อคัดกรองเช่นนี้แล้ว แรงกดดันในการแข่งขันก็ลดลงมากทีเดียว


หาไม่หากให้บุคคลผู้กล้าหน้าเก่ามากประสบการณ์อย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิวเข้ามาร่วมด้วย คนอื่นๆ ก็แทบจะหมดสิทธิ์คว้าชัยแล้ว


‘หวังว่าในการชิงชัยครั้งนี้ ขออย่าให้พวกวิปริตประเภทเดียวกับเจ้าหมอนี่โผล่มามากเกินไปแล้วกัน หาไม่คงไม่มีความหวังอะไรแล้วจริงๆ…’


เซียวชิงเหอปรายตามองหลินสวินปราดหนึ่ง เขามั่นใจยิ่งว่าอาศัยพลังต่อสู้ในยามนี้ของหลินสวิน สามารถไต่ขึ้นกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้อย่างมั่นคงแน่นอน


ส่วนจะได้อยู่ในอันดับไหนนั้นก็คงพูดไม่ถนัดปาก


ถึงอย่างไรในสถานการณ์ที่มหายุคจวนจะมาเยือน เจ้าพวกปีศาจที่จะมาเข้าร่วมประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์คงไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีพวกอำมหิตที่วิปริตยิ่งกว่าหลินสวิน


ผ่านไปสามชั่วยาม


ในที่สุดหลินสวินและเซียวชิงเหอก็ข้ามผ่านทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมาถึงหน้ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง


ที่ไกลๆ สามารถมองเห็นว่าบนผิวทะเลมีเกาะจำนวนมากตั้งเรียงรายแน่นขนัด กระจัดกระจายเหมือนดาวบนฟากฟ้า มากเสียยิ่งกว่ามาก


ส่วนบริเวณที่ไกลออกไปอีกนั้นถูกเมฆหมอกหนาทึบปกคลุม มองไม่เห็นอะไรเลย


“นี่ก็คือทะเลหมากดารา เขตหวงห้ามไร้มรณะตั้งอยู่อีกฝั่งของทะเลนี้”


เซียวชิงเหอชี้ไปทางมหาสมุทรไกลๆ กล่าวว่า “ทะเลนี้ไม่ธรรมดา เหมือนกับหมากกระดานหนึ่ง หมู่เกาะที่กระจายอยู่บนนั้นก็เปรียบดั่งตัวหมาก สลับซับซ้อน”


“อยากข้ามทะเลผืนนี้จำเป็นต้องมี ‘แผนภาพลับนำทาง’ หาไม่ ต่อให้เจ้ามีอานุภาพเทียมฟ้าก็ต้องหลงทางอยู่ในนั้นแน่นอน แทบไม่มีหวังว่าจะหลุดพ้นเลย!”


“เมื่อนานมาแล้วเคยมีอริยะผู้หนึ่งอยากมุ่งหน้าไปเขตหวงห้ามไร้มรณะเพื่อแสวงหาโชควาสนา แต่เพราะไม่มีแผนภาพลับนำทางจึงถูกกักขังอยู่ในนั้น จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยย้อนกลับมา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ไม่มีใครกล้าผลีผลามก้าวเข้าทะเลผืนนี้แม้แต่ก้าวเดียว”


หลินสวินพยักหน้า เขาลองสำรวจแล้ว ทันทีที่พลังจิตรับรู้แผ่กว้างไปถึงท้องทะเลที่อยู่ไกลๆ ก็พลันหายลับไปเหมือนวัวดินจมสมุทร ไม่มีประโยชน์ใดๆ แม้เพียงครึ่งเสี้ยว


เห็นได้ชัดว่าทะเลหมากดาราอันเวิ้งว้างนี้ มีพลังต้องห้ามบางอย่างที่เชื่อมโยงกับการขับเคลื่อนกฎระเบียบแห่งฟ้าดิน แม้กระทั่งจิตรับรู้ก็ยังสูญเสียความวิเศษไป


เมื่อพวกหลินสวินมาถึงชายฝั่งทะเล ก็บังเอิญเห็นผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งพุ่งปราดไปทางผืนทะเลหมากดาราเข้าพอดี


ทันทีที่เงาร่างของพวกเขาโผล่อยู่เหนือผิวทะเลก็ถึงกับอันตรธานหายไป ราวกับระเหยไปจากโลกโดยสิ้นเชิงอย่างไรอย่างนั้น


ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน ทะเลหมากดารานี้เหนือธรรมดาจริงๆ ด้วย ครอบคลุมด้วยพลังอัศจรรย์อันคาดไม่ถึง


“พวกเราก็ไปกันเถอะ รอไปถึงเขตหวงห้ามไร้มรณะแล้ว ก็จะได้รู้กันว่าบุคคลร้ายกาจที่เข้าร่วมประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้มีใครบ้างกันแน่”


เซียวชิงเหอสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ตั้งท่าจะออกเดินทาง


แต่จังหวะนั้นเอง เงาร่างชายชราทรงพลังสายหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากด้านหลังโขดหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไกลๆ อย่างกะทันหัน


“ไอ้เด็กเหลือขอ ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ตั้งนาน!”


ยามที่เสียงดังขึ้น เงาร่างชายชราก็พริบไหวพุ่งสังหารเข้ามา อานุภาพแห่งราชันอันน่าสะพรึงไร้ใดเปรียบก็แผ่ครอบฟ้าคลุมดินลงมาดุจดั่งกระแสน้ำเชี่ยว


ชายชราคนนี้ก็คือซูคง ราชันอมตะเคราะห์ขั้นสองนั่นเอง!

 

 

 


ตอนที่ 1039 อาหลู่

 

ในใจซูคงเปี่ยมด้วยความชื่นมื่นปานได้แก้แค้น


หลายวันก่อนในแคว้นหมึกขาวเขาถูกหลินสวินลอบโจมตี ไม่เพียงได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ซ้ำยังต้องแบกคำตราหน้าว่าสมคบคิดกับพวกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอีกด้วย


สิ่งนี้พาให้เขามองว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่เสียหน้าอย่างหนักจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้สักนิด เริ่มเสาะหาร่องรอยของหลินสวินในทันใด


หลังผ่านการวิเคราะห์ ในมุมมองของเขา หากหลินสวินหมายจะผงาดในแดนชัยบูรพา ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ด้วย


ดังนั้นซูคงจึงมาถึงที่นี่ตั้งแต่เนิ่นๆ ซุ่มรออย่างอดทนอดกลั้น


ราชันที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ขั้นสองคนหนึ่ง แต่เพื่อจัดการคนรุ่นหลังกลับไม่อายที่จะทำเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาถูกทำให้โกรธจนกลายเป็นสภาพไหนแล้ว


ความมุมานะไม่ทรยศผู้มีความพยายาม หลินสวินปรากฏตัวแล้ว ซูคงที่คิดแก้แค้นล้างอายไหนเลยจะลังเลอะไรอีก


หนำซ้ำได้ลิ้มรสบทเรียนความเจ็บปวดเมื่อคราวก่อน ครั้งนี้เขาจึงงัดพลังทั้งหมดมาใช้ทันทีที่ลงมือ!


แรงกดดันระดับราชันอันน่าสะพรึงบีบคั้นมาเยือนประหนึ่งภูเขาถล่มคลื่นยักษ์ซัดทลาย ครอบคลุมจักรวาล กดดันจนแม้กระทั่งเคลื่อนไหวหลินสวินและเซียวชิงเหอยังรู้สึกยากลำบาก


ในใจทั้งคู่ไหวสั่น คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าจังหวะที่กำลังจะเข้าสู่ทะเลหมากดารา เจ้าเดรัจฉานเฒ่าซูคงจะถึงกับพุ่งพรวดออกมา


หนำซ้ำทันทีที่ลงมือก็โหมโจมตีสุดกำลัง!


พลังของราชันสังสารวัฏเดิมทีก็เพียงพอจะสังหารผู้ฝึกปราณห้าระดับใหญ่คนใดก็ตามอยู่แล้ว


นับประสาอะไรกับที่ซูคงคนนี้เป็นถึงราชันที่ข้ามอมตะเคราะห์สองครา


พลานุภาพการโจมตีนี้ ต่อให้เปลี่ยนเป็นระดับราชันแท้จริงก็ยังไม่กล้าขวางคมดาบของเขาด้วยซ้ำ!


ทว่าในช่วงคับขันอันตรายไร้ใดเปรียบนี้ ภาพที่คาดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น


กระบองเหล็กสีดำเมื่อมอันหนึ่งหวดอากาศเต็มแรง ดุจดั่งเสาตะกายนภาปรากฏ ทะลวงแดนสรวง เบียดห้วงอากาศแตกระเบิด ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ปานผลาญฟ้าล้างพิภพ


โครม!


กระบองเหล็กทะยานผ่านฟ้า ระเบิดปะทุขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง


อานุภาพศักดิ์สิทธิ์มรรคราชันที่แต่เดิมปกคลุมกลางฟ้าดินแถบนี้ ระเบิดกระจุยโครมครามราวกับเมฆอลหม่าน ส่งเสียงกู่ก้องสะเทือนโสตจวนจะหูหนวกออกมา


และในเวลาเดียวกันนี้ซูคงที่กำลังแสยะยิ้มเย็นชาเย้ยหยันก็อึ้งงันอย่างจัง ดวงตาแทบโปนถลน ตกใจเกือบขวัญหนีวิญญาณกระเจิง


ไม่รอให้เขาตอบสนองด้วยซ้ำ กระบองเหล็กก็ซัดกวาดเข้าร่างเขาเต็มเหนี่ยว


ปัง!


ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตะลึงของหลินสวินและเซียวชิงเหอ ซูคงก็ถูกกระแทกลอยออกไปเสียงดังสวบเหมือนกับกระสอบทรายก็ไม่ปาน


เสียงกระดูกกล้ามเนื้อแตกร้าวดังระงมก้องขึ้น เห็นได้ชัดว่าร่างกายอันทรงพลังไร้ใดเปรียบของซูคงถูกกระแทกจนโค้งงอบิดเบี้ยว กระดูกสันหลังแตกหักจนหมด


ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนที่ทั้งวังเวงและน่าหวาดกลัว เขาลอยไปทางขอบฟ้าทั้งตัว และร่วงตุบลงในบริเวณส่วนลึกของลมหิมะเวิ้งว้าง


“โคตรเจ๋ง!” เซียวชิงเหอปากอ้าตาค้าง


หลินสวินก็รู้สึกพร่าตาน้อยๆ ไม่แพ้กัน ภาพนี้ชวนสะท้านใจเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย ราชันที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ขั้นสองคนหนึ่ง ถึงกับถูกกระบองด้ามหนึ่งกระแทกลอยจนไม่เห็นร่องรอยเหมือนหินอุกกาบาต!


ผู้ฝึกปราณบางส่วนที่ยังไม่ทันเริ่มเคลื่อนไหวบนชายฝั่งทะเลหมากดาราต่างพากันสูดหายใจเฮือก ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ


ตูม!


กระบองเหล็กสีดำเมื่อมที่ซัดออกมาถูกเก็บไปแล้ว ตกสู่กลางมือเงาร่างสูงใหญ่กำยำปานภูเขาลูกหนึ่ง จากนั้นก็อันตรธานลับไป


เพียงชั่วอึดใจ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บีบคั้นผู้คนที่ลอยคลุ้งกลางอากาศก็หายลับตามไปด้วยเช่นกัน


เงาร่างสูงใหญ่นี่คือชายหนุ่มคนหนึ่ง ผิวสีทองแดง ใบหน้าหยาบกระด้าง คิ้วหนาราวกับหมึก ดวงตาใหญ่และทอประกาย


สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งคือเขาสวมชุดหนังสัตว์ เรือนผมยาวดกดำยุ่งเหยิง ผิวบริเวณไหล่แขนที่โผล่เปลือยออกมาราวกับหินผาก้อนแล้วก้อนเล่าก็ไม่ปาน!


เขายืนอยู่ตรงนั้น ดุจดั่งคนป่าเถื่อนจากถิ่นทุรกันดารดั้งเดิม แฝงกลิ่นอายบ้าระห่ำที่พาให้ผู้คนใจสั่นออกมา


เวลานี้สายตาทุกคู่ล้วนไปอยู่ที่ร่างชายหนุ่มชุดหนังสัตว์คนนี้ สีหน้าเจือแววตกใจแกมสงสัย อยากรู้อยากเห็น และเคร่งขรึม


หลินสวินและเซียวชิงเหอย่อมไม่ต่างกัน


ครั้งนี้พวกเขาสามารถหลบเลี่ยงภัยได้ ยังต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากชายหนุ่มชุดหนังสัตว์คนนี้อย่างมาก


เพียงแต่ไม่รอให้พวกเขาแสดงความขอบคุณ ชายหนุ่มเงาร่างสูงใหญ่นั้นก็ปลดปล่อยกลิ่นอายป่าเถื่อนบ้าคลั่งทั่วร่าง เอ่ยปากกล่าวเสียงดังกระหึ่ม “ข้าชื่ออาหลู่ อยากไปเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ หากในมือพวกเจ้ามีแผนภาพลับนำทางก็พาข้าไปด้วย หากไม่มีก็ช่างเถิด”


เสียงของเขาก้องกระหึ่มดั่งฟ้าคำราม คำพูดไม่มีอ้อมค้อม ตรงไปตรงมายิ่ง


“เจ้าก็อยากเข้าร่วมการประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ด้วยหรือ”


เซียวชิงเหอเบิกตากว้าง ยากจะเชื่อได้ เจ้าหมอนี่ใช้กระบองเดียวก็สามารถกระแทกราชันอมตะเคราะห์ขั้นสองลอยลิ่วแล้ว ยังต้องวิ่งแจ้นมาร่วมสนุกถึงที่นี่ด้วยหรือ


อาหลู่เกาหัวแกรกๆ กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ปีนี้ข้าเพิ่งอายุสิบเก้า ทำไมจะเข้าร่วมไม่ได้”


สิบเก้า!?


เสียงสูดหายใจเฮือกดังขึ้นแถวนั้นอีกครั้ง พูดตามตรง ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดกันว่าเจ้าคนบึกบึนคนนี้เป็น ‘ผู้อาวุโส’ คนหนึ่งเสียอีก ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะยังเด็กถึงเพียงนี้!


และเวลานี้หลังจากกลับสู่ความเยือกเย็น หลินสวินเพิ่งสังเกตว่าถึงแม้กลิ่นอายรอบตัวอาหลู่คนนี้จะกร้าวแกร่งยิ่ง แต่ยังไม่ก้าวเหนือระดับกระบวนแปรจุติ บนตัวก็ไม่ได้มีอานุภาพเฉพาะตัวอันเป็นส่วนหนึ่งของระดับราชันด้วยซ้ำ


“แต่เมื่อครู่เหตุใดใช้กระบองเดียวเจ้าก็ซัด…” เซียวชิงเหออึ้งงัน รู้สึกว่าสมองใช้งานไม่ค่อยได้อยู่บ้าง


ไม่รอให้พูดจบอาหลู่ก็กลอกตา แสยะปากยิ้มกล่าวว่า “เจ้านี่ช่างปัญญาอ่อนเสียจริง นั่นคืออานุภาพ ‘กระบองกระดูกมังกร’ ของข้า ไม่ใช่พลังของตัวข้าเองเสียหน่อย”


บนหน้าผากเซียวชิงเหอผุดเส้นสีดำขึ้นมา ในใจอัดอั้น ถูกคนอายุสิบเก้าคนหนึ่งด่าว่าปัญญาอ่อน ความรู้สึกนี้พาให้เขาไม่ชอบใจนัก


แต่ว่าเห็นแก่ที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตตนไว้ครึ่งหนึ่ง เขาจึงยังอดทนเอาไว้


‘กระบองกระดูกมังกร… ดูท่านั่นน่าจะเป็นสมบัติอริยะกร้าวแกร่งชิ้นหนึ่งจึงจะถูก’ หลินสวินนึกถึงภาพเมื่อครู่ที่ซูคงถูกซัดจนปลิว แล้วทำการสันนิษฐานออกมาข้อหนึ่ง


“อาหลู่ เมื่อครู่เจ้าช่วยชีวิตพวกเรา ก็เพราะอยากให้พวกเราพาเจ้าเข้าสู่เขตหวงห้ามไร้มรณะนั่นหรือ” เซียวชิงเหออดเอ่ยถามอีกครั้งไม่ได้


อาหลู่กลอกตาอีกครากล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้เบื่อหน่ายขนาดนั้น ที่ลงมือเมื่อครู่ก็เป็นเพราะเห็นเจ้าเฒ่านั้นขวางหูขวางตาทั้งนั้น เหยียบย่างระดับราชันแล้ว ยังจะมาต่อสู้กับพวกเราคนหนุ่มสาวอีก ช่างหน้าด้านหน้าไม่รู้จักอายนัก สมควรโดนต่อยแล้ว”


เซียวชิงเหอชักทนไม่ไหวกับการกลอกตาของเจ้าหมอนี่แล้วจริงๆ เหมือนมองคนเบาปัญญาอย่างไรอย่างนั้น พาให้ผู้อื่นบันดาลโทสะอย่างควบคุมไม่อยู่


เขากัดฟันกรอดกล่าว “แค่เพราะขวางหูขวางตาเนี่ยนะ”


อาหลู่พยักหน้าอย่าง จากนั้นก็กล่าวไม่สบอารมณ์ “ข้าถามเจ้าว่าพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงพูดพล่ามมากความเช่นนี้ เหมือนอีกาเน่าร้องแรกแหกกระเชอตัวหนึ่งชัดๆ พาให้คนเอือมระอา หากเปลี่ยนเป็นตอนข้าอารมณ์ไม่ดี ฝ่ามือเดียวคงซัดเจ้าตายไปนานแล้ว”


มุมปากเซียวชิงเหอกระตุกขึ้นมาเต็มแรง ลอบกัดฟันกรอด หยิ่งผยองเกินไปแล้ว! ทุกประโยคของเจ้าคนป่าเถื่อนนี่สามารถยั่วคนเป็นๆ ให้โกรธตายได้ชัดๆ!


“ดี พวกเราไปด้วยกัน” หลินสวินเอ่ยปากตกลงตรงๆ เขากลับรู้สึกว่าอาหลู่คนนี้น่าสนใจยิ่ง


‘รับปากทั้งอย่างนี้แล้วหรือ’


เซียวชิงเหอสื่อจิตอย่างหัวเสีย กล่าวพึมพำว่า ‘เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกคนป่าเถื่อนที่สมองเรียบง่าย แขนขาล่ำบึก แถมตอนพูดยังชอบกลอกตาคนนี้ยั่วโมโหตายหรือ’


หลินสวินยิ้ม ตบบ่าเซียวชิงเหอเบาๆ ไม่ได้พูดมากความอะไร


ท้ายที่สุดเซียวชิงเหอก็ทัดทานหลินสวินไม่ได้ ต้องพาอาหลู่ไปด้วย มุ่งหน้าสู่ทะเลหมากดารา


ครืน!


ทันทีที่มาถึงผิวทะเล ภาพแสนอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น


ราวกับฟ้าดินพลิกวน หมู่ดาวเคลื่อนคล้อย ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนแปลงปุบปับ แสงดาวสีเงินยวงสายแล้วสายเล่าร่วงหล่นจากฟากฟ้า ตกลงบนกลุ่มเกาะที่ตั้งซ้อนเหนือผิวทะเล


หมู่เกาะแน่นขนัด เวลานี้ราวกับตื่นขึ้นจากความเงียบงัน พรั่งพรูแสงดาวเจิดจรัสดั่งภาพฝันมายาออกมา


ทอดสายตามองไปท้องฟ้าพร่างดวงดาวกว้างใหญ่ มหาสมุทรไพศาล แสงดาวสีเงินไหลเคลื่อนระหว่างฟ้าดิน ให้ความรู้สึกงดงามลวงตาไม่สมจริงอย่างหนึ่งแก่ผู้คน


สีหน้าเซียวชิงเหอกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่สุด เรียกแผนภาพลับที่ตีหลอมจากหินหยก ประทับด้วยลวดลายคลุมเครือแน่นขนัดออกมา ทำการเปรียบเทียบเส้นทางอย่างละเอียด


เนิ่นนานเขาพลันเงยหน้าขวับ พุ่งปราดไปยังหมู่เกาะที่อยู่ห่างออกไปแห่งหนึ่ง


หลินสวินและอาหลู่ก็รีบตามไปติดๆ


ทะเลหมากดารานี้เป็นเหมือนหมากกระดานฟ้าดินกระดานหนึ่ง เมื่อพรวดพราดเข้าไปในนั้น แม้จะเป็นอริยบุคคลล้วนเป็นไปได้สูงว่าจะหลงทางอยู่ข้างใน


แต่เพราะมีเซียวชิงเหอนำทาง ระหว่างทางที่มุ่งสู่เบื้องหน้าจึงไม่มีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นเลย


หลินสวินสังเกตเห็นว่ายิ่งเข้าไปลึกหมู่เกาะที่พบเห็นระหว่างทางยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เบียดเสียดแออัด กระจุกบ้างกระจายบ้าง ประหนึ่งตัวหมากตัวแล้วตัวเล่าที่โปรยปรายบนผิวทะเล พรั่งพรูแสงดาราดั่งภาพฝันมายา


ทอดสายตามองรอบบริเวณ ก็เหมือนกับเข้าสู่ส่วนลึกของท้องฟ้าดาราอันไพศาล ไม่สามารถระบุทิศเหนือใต้ออกตก แม้แต่ทางมายังหาไม่พบ


ในใจหลินสวินจมสู่ภวังค์ครู่หนึ่ง คล้ายกับมองเห็นเงาร่างชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่เหนือห้วงอากาศมหาสมุทร ดวงดาวเต็มฟ้ารวมตัวและโคจรอยู่เหนือศีรษะเขา… แสงดาวสีเงินยวงหลายหมื่นล้านสายร่วงหล่นลงมา


แต่ร่างกายของเขากลับเหมือนเหวลึกหลุมดำ กลืนเขมือบและทำลายล้างแสงดาวที่ร่วงรินลงมา…นองเนืองไม่ขาดระยะ เวียนซ้ำไปมา


ยามนี้ฟ้าดินเงียบสงัด คล้ายเหลือเพียงเงาร่างชายชราเพียงสายเดียว สุขุม เคร่งครัด สูงส่งเช่นนี้ ประหนึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน นั่งแลฟ้าดิน กลืนกินวัฏจักรดารา!


บริเวณหน้าอกของหลินสวินร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างประหลาด ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดปลดปล่อยพลังมหามรรคคลุมเครือออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง ไหลทะลักสู้ห้วงนิมิต


เพียงชั่วครู่เท่านั้นในสมองหลินสวินปรากฏค่ายกลคลุมเครือหรุบหรู่ขึ้นมา


ค่ายกลนี้มีวัฏจักรดาราเป็นพื้นฐาน ประกอบด้วยค่ายกลวัฏจักรดาราสามร้อยหกสิบห้าภาพ และแผนภาพหมู่ดาวอนุจักรวาลหนึ่งหมื่นสี่พันแปดร้อยภาพ


เมื่อหยั่งรู้โดยละเอียด ค่ายกลทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนจักรวาลฟ้าดาราแถบหนึ่ง ในนั้นมีดวงดาวเจิดจรัสมากยิ่งกว่ามาก ต่างหมุนเวียนตามวงโคจรที่ต่างกัน แน่นขนัดซับซ้อนอย่างถึงที่สุด


กระบวนอริยะวัฏจักรดารา!


นี่เป็นถึงมรดกกระบวนอริยะที่ลึกลับสะท้านโลกอย่างหนึ่ง ปริศนาของมันรวมตัวอยู่ในห้วงนิมิต กลายร่างเป็นแผนภาพวัฏจักรดาราภาพหนึ่ง!


ภาพพิลึกพิลั่นนี้พาให้หลินสวินรู้สึกเหมือนฝันไปอย่างเลี่ยงไม่ได้


ทะเลหมากดารานี้ หรือว่าจะวิวัฒน์มาจาก ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’


ส่วนเงาร่างของชายชราที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้ กลืนกินวัฏจักรดารานั้น คล้ายจะเป็นเงาร่างอริยะสายนั้นที่เคยห้อตะบึงไปสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่าโดยรอบอย่างบ้าคลั่งคนนั้น!


‘มรรคดับดารากลืนกิน ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด หุบเหวกลืนกิน ทะเลหมากดารา ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา… สิ่งเหล่านี้ล้วนคล้ายเชื่อมโยงและสอดรับกันอย่างน่าอัศจรรย์…’


‘เป็นเพราะชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด ในเทศกาลโคมกถามรรคข้าจึงสามารถหยั่งรู้มรรคดับดารากลืนกิน รับรู้ประสบการณ์ของอริยะที่ห้อตะบึงสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่าผู้นั้น’


‘และเพราะชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด ทำให้ข้าได้รับปริศนามรดกของ ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’ โดยบังเอิญในทะเลหมากดาราแห่งนี้ด้วย…’


คิดถึงจุดนี้ในใจหลินสวินก็ผุดความสงสัยลึกๆ ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ พรสวรรค์ชีพจรปราณวิญญาณหุบเหวกลืนกินของตนนั้น ซุกซ่อนความลับที่ตนยังไม่เคยล่วงรู้มากน้อยเพียงใดกันแน่


“หลินสวิน!”


ทันใดนั้นเสียงร้องเรียกของเซียวชิงเหอก็ดังขึ้นข้างหู พาให้หลินสวินสะดุ้งตื่นจากความคิดเลื่อนลอย


เมื่อเงยหน้ามองไป ก็เห็นเซียวชิงเหอและอาหลู่ต่างจับจ้องตนด้วยสายตาที่เหมือนเห็นสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน

 

 

 


ตอนที่ 1040 แผนภาพวัฏจักรดารา

 

ในคราแรก เซียวชิงเหอและอาหลู่ไม่ได้นึกเอะใจถึงความไม่ชอบมาพากลอะไร


แต่ต่อมาพร้อมๆ กับที่เข้าสู่ส่วนลึกของทะเลหมากดารา พวกเขาต่างพบว่าแสงดาวเจิดจรัสเป็นสายๆ ที่ร่วงหล่นจากเวิ้งนภานั้น ถึงกับพากันไหลกรูไปทางหลินสวิน ส่องสะท้อนเงาร่างจนรอบตัวเขาเป็นสีเงินยวงดั่งภาพฝันมายา


คราวนี้ทั้งคู่จึงตระหนักว่าเหตุการณ์ไม่เข้าทีอยู่บ้าง


แสงดาวดั่งภาพลวงตา เรืองพิสุทธิ์พรั่งพรู พาให้หลินสวินทวีกลิ่นอายว่าเปล่าเหนือโลกีย์มากขึ้น


แต่ร่างกายเขากลับเป็นดั่งหลุมดำที่ลึกไม่เห็นก้นบึ้ง ไม่ว่าแสงดาวไหลหลั่งไปมากเท่าไร ล้วนถูกกลืนกินจนหมดสิ้น


จนกระทั่งต่อมาเมื่อหลินสวินสูดหายใจเข้าออก ดวงดาวบนเวิ้งนภานั้นดูคล้ายจะสั่นระริกตามไปด้วย แสงดาราที่ร่วงหล่นลงมาดุจกระแสน้ำเชี่ยวไหลทะลัก พาให้ห้วงอากาศแถบนี้เกิดความโกลาหลอลหม่าน ส่องแสงสีเงินยวงทั้งแถบ เจิดจ้าบาดตาไร้ใดเปรียบ


ภาพฉากเช่นนี้สามารถใช้คำว่า ‘สะเทือนฟ้าสะท้านดิน’ มาบรรยายได้โดยสิ้นเชิง!


แต่สิ่งที่แย่ก็คือ เมื่อเป็นเช่นนี้ บนหนทางที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไปล้วนถูกแสงดาวปกคลุม แม้จะมีแผนภาพลับนำทางก็ไม่สามารถระบุเส้นทางได้เลย


ภายใต้ความจนปัญญา เซียวชิงเหอจึงไม่อาจไม่ส่งเสียง ขัดจังหวะโชควาสนาอัศจรรย์ครั้งนี้ของหลินสวิน


หลินสวินได้สติขึ้นมา พอกวาดสายตาไปเห็นแสงดาวไหลหลั่งรอบด้าน หนาแน่นดุจหมอก ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


ในใจเขาไหวหวั่นขึ้นมา นึกถึงแผนภาพวัฏจักรดาราในห้วงนิมิต ก่อนโบกแขนเสื้อหนึ่งคราตามจิตใต้สำนึก


ฮูม!


แสงดาวเจิดจรัสเต็มฟ้าย้อนกลับไปตามทิศทางที่ไหลหลั่งมา หวนกลับสู่สี่ด้านแปดทิศ ไม่นานก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ทอดสายตาจากไกลๆ ก็เหมือนกับเซียนผู้หนึ่ง เพียงโบกสะบัดแขนเสื้อ แสงดาวก็ทะยานสู่เวิ้งนภา ภาพอันแสนอลังการและงดงามนั้นทำเอาเซียวชิงเหอมองจนตาเบิกโตแล้ว


แบบนี้ก็ได้หรือ


การตอบสนองของอาหลู่นั้นเรียบง่ายมาก โพล่งด้วยความอัศจรรย์ใจ “โคตรสวยเลยจริงๆ สักวันหนึ่งข้าต้องปีนขึ้นเก้าสวรรค์ คว้าดวงดาวมาเล่นเหมือนก้อนหินให้ได้”


“ยังจะคว้าดวงดาวมาเล่นอีก โม้ โม้สุดๆ” เซียวชิงเหอหัวเราะเยาะ


“กบในบ่อแหงนมองฟ้า น่าสงสาร” อาหลู่กลอกตาหนึ่งครา ทำท่าคร้านจะสนใจ


เซียวชิงเหอหงุดหงิดขัดเคืองขึ้นมาทันที สิ่งที่เขาทนไม่ได้มากที่สุดก็คือการกลอกตาของอาหลู่


เจ้าคนบึกบึนหยาบกร้านเหมือนพวกป่าเถื่อน แต่กลับชอบกลอกตา ช่างพาให้ผู้คนไม่อาจอดกลั้นได้จริงๆ!


“ข้าขอเตือนเจ้า อย่าคิดว่าเคยช่วยชีวิตพวกเราหนึ่งครั้งแล้วจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้เชียว!” เซียวชิงเหอกล่าวอย่างฉุนเฉียว


“มีแต่พวกอ่อนแอถึงจะส่งเสียงข่มขู่ ผู้แข็งแกร่งลงมือทำตรงๆ”


สองแขนหยาบหนาปานหินผาของอาหลู่กอดอยู่ตรงหน้าอก รูปร่างเขาสูงใหญ่อย่างที่สุด สูงกว่าเซียวชิงเหอหนึ่งช่วงหัวเต็มๆ ย่อมเจือความเหยียดหยันเอาไว้เป็นธรรมดา


“เจ้า…” เซียวชิงเหออยากลงไม้ลงมือขึ้นมาจริงๆ แล้ว ปากของเจ้าอาหลู่นี่เป็นอาวุธสังหารชิ้นโตที่ชวนคับแค้นชัดๆ ทำให้คนโกรธแทบตายแต่ทำอะไรไม่ได้


“พอแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ” หลินสวินรีบร้อนไกล่เกลี่ย


“เฮอะ หากไม่ใช่เพราะหลินสวินไกล่เกลี่ย ครั้งนี้ข้าต้องสู้กับเจ้าสักครั้งโดยไม่สนใจอะไรแล้ว” เซียวชิงเหอแค่นเสียงเย็น


“เอาแต่พูดไม่ลงมือทำใช้ไม่ได้ ชายทั้งแท่งมีเพียงคำเดียวคือ ทำ!” ดวงตาอาหลู่เปล่งประกาย จ้องเซียวชิงเหอคล้ายจะท้าทาย


หลินสวินปวดหัวตุบๆ เขาเพิ่งพบว่าเซียวชิงเหอและอาหลู่คนนี้เหมือนคู่กัดที่ผูกชะตากันมาชัดๆ ไม่ลดราวาศอกแม้แต่น้อย


ภายใต้ความจนปัญญา เขาได้แต่เดินไปเบื้องหน้าก่อน


คราวนี้เองเซียวชิงเหอถึงสะดุ้งตกใจ รีบร้อนพุ่งพรวดขึ้นหน้าร้องว่า “ที่นี่เป็นถึงทะเลหมากดารา อย่าได้วิ่งเพ่นพ่านเชียว!”


ในที่สุดการทะเลาะเบาะแว้งขนาดย่อมครั้งนี้ก็ผ่านไป ทั้งสามมุ่งหน้าเดินทางต่อ


เพียงแต่สีหน้าหลินสวินกลับผิดแปลกน้อยๆ


พร้อมๆ กับที่เดินไปเบื้องหน้า ความเร้นลับทุกอย่างของพื้นที่ใกล้เคียงต่างผุดขึ้นมาในห้วงนิมิต ทำให้เขาสามารถคาดเดาทิศทางทุกเส้นได้ในพริบตา


ที่ใดมีอันตราย ที่ใดเป็นด่านวงกต ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกหลินสวินสอดส่องแจ่มแจ้ง


‘ที่แท้ทะเลหมากดารานี่ก็วิวัฒน์มาจาก ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’ จริงๆ ด้วย!’


ในใจหลินสวินสั่นไหว รู้สึกเบิกบานโปร่งโล่งคล้ายเมฆเคลื่อนเห็นตะวัน


เขาถึงขั้นสามารถระบุได้ว่า พื้นที่ที่มุ่งหน้าเดินทางอยู่ตอนนี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งประตูสวรรค์กลุ่มดาวเขาสัตว์ทางทิศตะวันออกของค่ายกลใหญ่


ที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตหนึ่งในแผนภาพสามร้อยหกสิบค่ายกลมหาวัฏจักรดารา ด้านในซ่อนค่ายกลย่อยสามร้อยหกสิบแห่ง ใจกลางของค่ายกลแต่ละแห่งสอดคล้องกับหมู่เกาะบนผิวทะเลนั่นพอดี


ภายใต้การโคจรพลังค่ายกลใหญ่ หมู่เกาะแต่ละแห่งต่างปกคลุมด้วยอานุภาพที่ต่างกัน มีทั้งผนึกต้องห้ามด่านวงกต ผนึกต้องห้ามมายา ผนึกต้องห้ามพิฆาตเป็นต้น


หากผลีผลามบุกทะลวง ต้องไปแตะกับผนึกต้องห้ามอย่างแน่นอน!


ควรรู้ว่านี่เป็นถึงกระบวนอริยะที่ปกคลุมฟ้าดินแห่งหนึ่ง ดึงผมเส้นเดียวสะท้านทั้งร่าง ถึงตอนนั้นไม่ว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมเทียมฟ้าแค่ไหน ก็ย่อมพบกับอันตรายที่คาดเดาไม่ได้!


หลินสวินสันนิษฐานเปรียบเทียบโดยละเอียด พบว่าเส้นทางที่เซียวชิงเหอนำทางมานั้น เป็นหนึ่งในเส้นทาง ‘เป็น’ ที่มีจำนวนไม่มากในพื้นที่แถบนี้


เมื่อนึกถึงจุดนี้ มุมปากหลินสวินก็อดผุดระบายยิ้มขึ้นมาไม่ได้


ทะเลหมากดารานี้ สำหรับผู้ฝึกปราณบนโลกอาจจะเป็นสถานที่อันตรายที่ไม่อาจก้าวล่วง


แต่สำหรับตนที่ครอบครองมรดก ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’ แล้ว การเข้าสู่ทะเลผืนนี้ก็เหมือนเหยียบย่างบนพื้นราบ!


หนำซ้ำขอเพียงตนยินดี ก็สามารถหยิบยืมพลังของค่ายกลนี้มาใช้ประโยชน์ได้


ในห้วงนิมิต แผนภาพวัฏจักรดาราผุดลอยอย่างเงียบเชียบ หลินสวินรู้ว่าครั้งนี้ตนพบกับ ‘ศุภโชคใหญ่’ โดยบังเอิญแล้ว!


ลำพังแค่มรดกค่ายกลใหญ่นี้ก็เพียงพอให้ตนใช้สอยไร้ขีดจำกัดแล้ว!


ขณะมุ่งหน้าตลอดทาง หลินสวินเปรียบเทียบและหยั่งรู้ไปพลาง โดยใช้สิ่งนี้ควานคลำปริศนามรดกในแผนภาพวัฏจักรดารา


ยิ่งทำความเข้าใจก็ยิ่งพาให้เขาร้องอุทาน ความแข็งแกร่งของอานุภาพค่ายกลนี้เหนือกว่าจินตนาการของเขาอย่างสิ้นเชิง


หากขับเคลื่อนเต็มประสิทธิภาพ จะสามารถดึงดูดพลังดวงดาวหนึ่งหมื่นสี่พันแปดร้อยดวงทั่ววัฏจักรมาได้ เพียงพอจะทำลายล้างฟ้าดินทั้งแถบ ทุกสิ่งมอดไหม้สิ้นซาก!


สิ่งที่น่าเสียดายคือค่ายกลนี้เป็นกระบวนอริยะ จำเป็นต้องใช้วิชาอริยมรรคมากางข่ายผนึกต้องห้าม แม้จะสามารถส่องทะลวงปริศนาในนั้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินในตอนนี้จะสามารถควบคุมได้


‘ปีนั้นคงไม่ใช่อริยะที่ห้อตะบึงในความว่างเปล่าอย่างบ้าคลั่งคนนั้น ใช้วิธีสูงสุดวางค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราอยู่ที่นี่ จากนั้นก็กลายเป็น ‘ทะเลหมากดารา’ แถบนี้กระมัง’


หลินสวินทอดถอนใจในใจ


‘ต่อไปหากบังเอิญพบเคราะห์สังหารที่สลายไม่ได้ ก็สามารถแฝงตัวเข้าสู้ที่แห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้อริยะมาเองก็เกรงว่าคงจะทำอะไรข้าไม่ได้…’


แน่นอน การเป็นฝ่ายถูกโจมตีไม่ใช่แนวทางของหลินสวิน ทะเลหมากดาราก็คือกระบวนอริยะขนาดใหญ่ที่ไม่อาจจินตนาการแห่งหนึ่ง หากสามารถขับเคลื่อนพลังหนึ่งในหมื่นส่วนของมันได้ การจัดการกับสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเกรงว่าเป็นเรื่องง่ายดาย!


ระหว่างทางหลินสวินก็พูดคุยกับอาหลู่เป็นครั้งคราว


ไม่นานเขาก็เข้าใจแล้วว่าที่มาของอาหลู่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด!


เขาออกมาจากโลกลึกลับที่หลงเหลือสืบมาจากยุคบรรพกาลแห่งหนึ่ง ทุ่มเทกายใจอย่างหนักกว่าจะมาถึงแดนชัยบูรพาได้ในที่สุด


ก่อนที่จะมาถึงแดนชัยบูรพา อาหลู่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในส่วนลึกของหุบเขาใหญ่ภายในโลกลึกลับแห่งนั้น คอยติดตามชายชราที่ถูกเขาเรียกว่า ‘เจ้าเฒ่าสารเลว’ เพื่อฝึกปราณตั้งแต่เด็ก


เมื่อเอ่ยถึง‘เฒ่าสารเลว’ คนนั้น อาหลู่ก็รู้สึกว่าไอคับแค้นเต็มท้อง หันไประบายความขมขื่นกับหลินสวิน บอกว่าตั้งแต่เขาอายุสามขวบก็ถูกบังคับให้ประลองพลังกับลูกลิงของเผ่าวานรมารหกแขน ห้อทะยานประชันความเร็วกับทายาทนกแหดารา แข่งขันว่าใครคอหนากว่ากันกับทายาทเผ่าเสียงคำราม ประลองกับเผ่าคชสารมังกรว่าร่างกายใครทนทานกว่ากัน…


จนกระทั่งอายุสิบสามปี หลังจากที่ประลองโดยใช้การแข่งขันต่างๆ นานากับทายาทสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ครบหมดแล้ว เดิมทีอาหลู่คิดว่าในที่สุดก็ปลดแอกเสียที ไหนเลยจะคิดว่า ‘เฒ่าสารเลว’ คนนั้นยังเอ่ยข้อเรียกร้องที่วิปริตมากกว่าเดิมหนึ่งข้อ


ย้ายภูเขา!


ทุกวันล้วนต้องย้ายภูเขาสูงพันจั้งลูกหนึ่งวิ่งตะบึงตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงพระอาทิตย์ตก และตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงเช้าตรู่


ตอนที่อาหลู่สามารถหิ้วภูเขาใหญ่เหมือนเล่นก้อนหินได้แล้วนั้น ‘เฒ่าสารเลว’ ก็เอ่ยข้อเรียกร้องที่เกินขอบเขตยิ่งขึ้นไปอีก


คว่ำทะเล!


ตอนที่อาหลู่สามารถพลิกเมฆคว่ำทะเลเหมือนเจียวหลง สร้างคลื่นลมสูงหมื่นนจั้งกลางทะเลได้แล้วนั้น ก็มีข้อเรียกร้องที่สูงขึ้นไปอีกโดยไม่มีข้อยกเว้น…


จนกระทั่งก่อนที่เขาจะมาถึงแดนชัยบูรพา ยังดวลศึกเข่นฆ่ากับทายาทสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งอยู่ ทุกครั้งล้วนต้องเข่นฆ่าจนหมดแรงกว่าจะได้พัก


“เฒ่าสารเลวรับปากแล้วว่า รอให้ข้าเหยียบย่างขอบเขตมกุฎระดับราชันในแดนชัยบูรพานี้แล้ว ก็จะไม่เสนอข้อเรียกร้องอีก ถึงตอนนั้นข้าจึงจะถือว่าปลดแอกอย่างแท้จริง”


ตอนที่อาหลู่เอ่ยประโยคนี้ออกมา บนใบหน้าหยาบกร้านและเถื่อนคลั่งนั้นแต้มด้วยความวาดหวังและปรารถนาเต็มเปี่ยม แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาผ่านมาก่อนหน้านี้คือชีวิตที่มืดมนเพียงใด


หลินสวินฟังจบก็สะอึกไปชั่วขณะ สภาพจิตใจไม่อาจสงบลง


เขามั่นใจแล้วว่า อาหลู่ที่อยู่ต่อหน้าเดินบนมรรคาที่ลำบากตรากตรำที่สุดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นคือ… ‘กายหยาบบรรลุอริยะ’!


และ ‘เฒ่าสารเลว’ ที่อาหลู่พูดถึงต้องเป็นยอดฝีมือที่น่าทึ่งคนหนึ่งอย่างแน่นอน


ยิ่งกว่านั้น จากคำพูดของอาหลู่ก็ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อาหลู่ดูเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาลึก แต่ความจริงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


มีทั้งทายาทวานรมารหกแขน ทายาทนกแหดารา ทายาทเผ่าเสียงคำราม ทายาทคชสารมังกร…


นี่ไหนเลยจะเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งกัน เป็นสถานที่นอกพิภพที่สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าในสมัยบรรพกาลอาศัยอยู่ชัดๆ!


พอลองคิดดูแล้ว ‘กระบองกระดูกมังกร’ ในมืออาหลู่เป็นถึงสมบัติอริยะที่สามารถซัดสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างซูคงปลิวลอยได้อย่างง่ายดาย แค่นี้ก็สามารถมองออกว่า ‘โลกลึกลับ’ ที่เขาเติบโตมาตั้งแต่เด็กแห่งนั้นเหนือธรรมดาเพียงใด


และหลังจากเซียวชิงเหอได้ฟังทุกอย่างนี้ก็พลันจนวาจาไปทันที ในใจลอบผรุสวาทว่าวิปริต


เดิมทีคิดว่าเทพมารหลินก็วิปริตพอแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าอาหลู่คนนี้ถึงกับไม่ด้อยกว่ากันแม้แต่น้อย!


……


“ถึงแล้ว”


หลังจากเดินทางข้ามทะเลหมากดารามาเนิ่นนาน หลังจากที่มาถึงหมู่เกาะแห่งหนึ่ง พร้อมๆ กับที่เกลียวคลื่นแปลกประหลาดระลอกหนึ่งพัดเข้ามา พวกหลินสวินก็ถูกย้ายมาสู่โลกที่เวิ้งว้างไร้ใดเปรียบแห่งหนึ่ง


เวิ้งนภาสีฟ้าครามดั่งชะล้าง บนผืนดินกว้างอวลกลิ่นหอมต้นไม้ใบหญ้า กลางอากาศพรั่งพรูพลังวิญญาณที่แสนบริสุทธิ์เป็นมงคล


ที่แห่งนี้แปลกประหลาดยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเถาวัลย์ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ หรือจะเป็นดอกไม้สีสันสดใสบานสะพรั่ง ต่างเจือพลังวิญญาณพิสุทธิ์ไร้ที่ติ


ทันทีที่มาถึงพวกหลินสวินราวกับเข้าสู่แดนพิสุทธิ์เทพในตำนาน ปากจมูกเปี่ยมด้วยไอวิญญาณบริสุทธิ์มงคล พลังจิตก็พลอยไหวสั่น หัวใจสดชื่นเบิกบานตามไปด้วย


ที่นี่ก็คือ ‘เขตหวงห้ามไร้มรณะ’ ซึ่งถูกแดนชัยบูรพามองว่าเป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้ามใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!


มองปราดเดียวก็เห็นว่าบริเวณที่ไกลลิบๆ มีภูเขาเทพลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ทั่วตัวเขาดำสนิทดุจหมึก บนนั้นมียอดเขาสามสิบหกยอด ราวกับดอกบัวเบ่งบาน ค้ำยันเวิ้งนภาแถบนั้น


“นั่นก็คือภูเขาเทพไร้มรณะ ถือกำเนิดมาพร้อมกับโชควาสนาฟ้าดิน ครอบครองคุณสมบัติไม่เสื่อมสลาย อยู่รอดเรื่อยมานับแต่อดีตจนปัจจุบัน ประหนึ่งไม่ดับสูญชั่วนิจนิรันดร์”


“ลือกันว่าที่ตรงนั้นก็เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดมหามรรคที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน บนนั้นเคยมีเทพไท้สมัยดึกดำบรรพ์ที่เกิดในแดนแรกกำเนิดอาศัยอยู่…”


สีหน้าเซียวชิงเหอฉายแววร้อนเร่า “ตำนานปรัมปราที่เกี่ยวกับมันมีมากเกินไป จากอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครสามารถส่องทะลวงปริศนาทั้งหมดภายในนั้นได้”


“แต่สำหรับพวกเราแล้วเรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์กำลังจะเปิดฉากบนภูเขาเทพไร้มรณะลูกนั้น!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)