Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1031-1036
ตอนที่ 1031 ผู้ปรีชาสามารถใต้หล้าล้วน...
เย่หมัวเฮอ!
เสียงสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจดังขึ้นในที่นั้นระลอกหนึ่ง
หลินสวินสังเกตเห็นว่าเซียวชิงเหอเองก็ตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยากจะสังเกต
“เพื่อวาสนา เจ้าหมอนี่ไม่เอาชีวิตแล้วจริงๆ แดนมรณะประหัตมารเป็นถึงสนามรบโบราณที่มีชื่อเสียง ภายในเต็มไปด้วยอันตราย อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ แม้แต่บุคคลระดับราชันที่แท้จริงยังไม่กล้าก้าวเข้าไปง่ายๆ!”
เซียวชิงเหอพึมพำ
เห็นได้ชัดว่าแดนมรณะประหัตมารที่เย่หมัวเฮอเข้าไป ทำให้เขาไม่สามารถสงบได้
“วาสนาอะไร” หลินสวินแปลกใจ
เซียวชิงเหออธิบายอย่างอดทน
เดิมทีแดนมรณะประหัตมารเป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้ามแห่งดินแดนรกร้างโบราณ เป็นสนามรบลี้ลับอันน่ากลัวแห่งหนึ่งที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล อันตรายที่แฝงอยู่นั้นยากจะคาดเดา แปลกประหลาดและไม่ชัดเจน
แต่ตอนนี้ภายในก็มีศุภโชคและวาสนามากมายที่ไม่สามารถบอกได้!
ทว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งคนใดที่เข้าไปในแดนมรณะประหัตมารแทบจะเก้าตายหนึ่งรอด ทำให้เขตหวงห้ามแห่งนี้เป็นที่หวาดกลัวของผู้ฝึกปราณทั่วหล้า แทบจะไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
“จากบันทึกในตำราโบราณของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้า แดนมรณะประหัตมารไม่ธรรมดาอย่างมาก มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกี่ยวข้องกับสงครามเทพมารในตำนาน”
เซียวชิงเหอกล่าวเสียงขรึม “และตอนนี้ที่เย่หมัวเฮอนี่เข้าไปโดยลำพัง คงเพื่อฝึกมรรค ‘ต้าหลัวคืนสัจจะ’ ของเขา!”
มรรคต้าหลัวคืนสัจจะเป็นหนึ่งในเก้าสิบเก้ามหามรรคเทียมฟ้า สะเทือนอดีตสาดส่องปัจจุบัน มรรคนี้ถูกลัทธิเทพต้นกำเนิดครอบครองอย่างมั่นคงมาโดยตลอด
ทว่าแม้แต่ในลัทธิเทพต้นกำเนิด ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถบรรลุและครองครอบแก่นอัศจรรย์ของมรรคนี้ได้
ไม่มีเหตุผลอื่นใด เป็นเพราะมรรคนี้เทียมฟ้า มหัศจรรย์ยากเข้าใจ ไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์ก็จะสามารถหยั่งถึงมรรคนี้ได้
แต่เห็นได้ชัดมากว่าเย่หมัวเฮอเป็นกรณียกเว้น
“มรรคต้าหลัวคืนสัจจะ คืนความเป็นความตาย แปรจักรวาล ปราบสิ่งชั่วร้าย มหัศจรรย์เกินคาดเดา ไม่ด้อยไปกว่า ‘มรรคสว่างไสวไม่เคลื่อน’ ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้า หากเย่หมัวเฮอสามารถฝึกมรรคนี้จนถึงระดับแก่นมรรคได้ พลังต่อสู้จะต้องน่ากลัวไร้เทียมทานอย่างแน่นอน”
ในเสียงของเซียวชิงเหอแฝงความหวาดกลัวและระแวง “ตอนนี้พลังต่อสู้ของเขาอยู่ในอันดับที่ห้าของสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแห่งแดนชัยบูรพา แต่ถ้าสามารถรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะประหัตมาร อันดับจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน”
หลินสวินฟังเงียบๆ ในใจไหวสะเทือนอย่างมากเช่นกัน
บนโลกนี้ไม่เคยขาดบุคคลขอบเขตมกุฎ ดังเช่นเย่หมัวเฮอ การที่สามารถอยู่ในอันดับสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ ย่อมต้องเป็นบุคคลระดับปีศาจที่สะดุดตาอย่างยิ่ง
ตอนนี้บนต้นข่าวสารทองคำ ปรากฏข่าวสารที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ห้าของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้า…
‘จี้ซิงเหยาธิดาเทพรุ่นปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉา สำนักอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมมุ่งหน้าไปท้าทายหวังเสวียนอวี๋ศิษย์แกนหลักแห่งสำนักเอกอุ!’
‘ที่น่าเสียดายคือหวังเสวียนอวี๋ปิดด่านไม่เคยรับศึก จี้ซิงเหยาคนเดียวเอาชนะผู้สืบทอดแกนหลักแปดคนของสำนักเอกอุ จากไปอย่างสง่างาม!’
ในลานฮือฮายิ่ง
จี้ซิงเหยา ชื่อนี้จะต้องเป็นที่รู้จักของทุกสำนักใหญ่ในแดนชัยบูรพาภายในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน!
‘ผู้หญิงเย่อหยิ่งคนนี้ก็มาแล้วหรือ…’ สีหน้าของหลินสวินแปลกประหลาดเล็กน้อย นึกถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นกับจี้ซิงเหยาในแดนฐิติประจิม
“เจ้าเองก็มาจากแดนฐิติประจิม เจ้าคิดว่าจี้ซิงเหยาแข็งแกร่งเพียงใด” เซียวชิงเหออดถามไม่ได้
“แข็งแกร่งมาก คงจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าไม่ใช่น้อยๆ แน่” หลินสวินพูดสบายๆ
เซียวชิงเหอท่าทางผิดพแปลก ยิ้มขื่นพูด “ข้าเพียงถามดูเท่านั้น จำเป็นต้องโจมตีข้าเช่นนี้หรือ”
“ข้าเพียงพูดตามความจริง ผู้ฝึกปราณหญิงคนนี้มี ‘ประทับกระบี่ไตรภพ’ ที่แข็งแกร่งมาก ยามอยู่ในเทศกาลโคมกถามรรคยังหยั่งถึงมหามรรคแห่งนิลกาฬที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสี่ยอดมรรคสังหาร พลังต่อสู้นั้นใช่ว่าคนในขอบเขตมกุฎทั่วไปจะเทียบได้”
หลินสวินอธิบาย
เซียวชิงเหอเบ้ปาก จู่ๆ ก็พูดว่า “เช่นนั้นเจ้ากับนางใครแข็งแกร่งกว่า”
หลินสวินชะงัก ใคร่ครวญแล้วเอ่ย “เรื่องนี้พูดยาก ตอนอยู่ในแดนฐิติประจิมข้าเคยดวลกับนางครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่รู้แพ้ชนะ ส่วนตอนนี้…”
“ตอนนี้เป็นอย่างไร” เซียวชิงเหอซักไซ้
“พูดยาก” หลินสวินส่ายหน้า เขาแข็งแกร่งขึ้น แต่อีกฝ่ายก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน นอกจากประลองกันอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นเขาไม่กล้าคุยโวว่าจะสามารถชนะอีกฝ่ายได้
เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้ไม่สามารถทำให้เซียวชิงเหอพอใจได้ แต่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว เขาเองก็เข้าใจได้ว่า ผู้ที่แข็งแกร่งระดับเทพมารหลิน ไม่สามารถใช้มาตรฐานทั่วๆ ไปมาวัดได้ตั้งนานแล้ว
จากนั้นบนต้นข่าวสารทองคำก็ทยอยปรากฏข่าวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สี่ สาม สองบนกระดานทองคำผู้กล้า
ทุกข่าวที่เผยแพร่ออกมาล้วนทำให้เกิดความฮือฮาขึ้น
แม้แต่หลินสวินก็ยังดูอย่างเพลิดเพลิน
อย่างข่าวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สี่ เกี่ยวข้องกับนักดาบนามว่าเซี่ยวชางเทียน คนผู้นี้มาจากแดนดาราอุดร ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาพร้อมกับมารกระบี่เยี่ยเฉิน ทั้งสองถูกมองว่าเป็น ‘คู่ยอดดาบกระบี่’ รุ่นเยาว์ของแดนดาราอุดร พลังต่อสู้พลิกฟ้า
ข่าวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สาม เกี่ยวข้องกับหมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา บอกว่าเขาหมายจะเลียนแบบอริยบุคคลบรรพกาล มุ่งหน้าไปฝึกปราณที่ ‘เส้นทางดาราวัฎจักร’ ที่เป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้าม
ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ เซียวชิงเหอทั้งตกใจทั้งกังวล
เพราะหมีเหิงเจินเป็นคนในรุ่นเดียวกันที่เขาชื่นชมที่สุดในสำนัก
แต่เซียวชิงเหอรู้ดีว่า เส้นทางดาราวัฎจักรก็เหมือนกับแดนมรณะประหัตมาร ใช่ว่าใครจะบุกรุกเข้าไปได้ง่ายๆ!
ข่าวที่จัดอยู่ในอันดับที่สองกลับทำให้หลินสวินตะลึงอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่มีที่มาลึกลับไม่อาจคาดเดคนหนึ่ง
ตามข่าวระบุว่าผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในโลงศพน้ำแข็งแผนที่ดาราอันลึกลับและแปลกประหลาด รอบตัวมีข้ารับใช้ที่พลังต่อสู้คับฟ้าสองตัว ซึ่งเป็นหมียักษ์สีเงินตัวหนึ่งและตะพาบมังกรเลือดบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง!
กลุ่มของพวกเขาเคยปรากฏตัวริมแม่น้ำพรมแดน ผู้หญิงที่อยู่ในโลงศพน้ำแข็งนั่นเผยร่องรอย ดึงดูดความสนใจของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ หมายจะช่วงชิงโลงศพน้ำแข็งที่นางอาศัยอยู่
แต่ผลลัพธ์กลับทำให้กลัวจนตัวสั่น ผู้หญิงคนนั้นหิ้วฝาโลงศพสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนนั้นภายในการโจมตีเดียว!
ตามการคาดเดาของเผ่าวาทวาโย โลงศพน้ำแข็งนั่นต้องเป็นสมบัติอริยะที่ลึกลับและน่ากลัวอย่างที่สุดชิ้นหนึ่งแน่!
และด้วยเหตุนี้ ทำให้ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในโลงศพน้ำแข็งเต็มไปด้วยสีสันอันลึกลับอย่างไร้ที่เปรียบชั้นหนึ่ง
“ฝาโลงศพอันเดียวกระแทกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งจนตาย ผู้หญิงโลงศพน้ำแข็งนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!” เซียวชิงเหอจุ๊ปาก
แต่หลินสวินกลับนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นหมียักษ์สีเงินและโลงศพน้ำแข็งที่ถูกตะพาบมังกรตัวนั้นแบกไว้กลางหลัง ตอนที่อยู่ใต้หาดดาราขจรอันลึกลับนั่น
ประสบการณ์ในตอนนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นหมียักษ์สีเงินหรือตะพาบมังกรนั่น หลังจากเห็นตนก็เหมือนเห็นผี ตกใจจนหนีเตลิดไป
จวบจนถึงตอนนี้หลินสวินก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่ซ่อนอยู่
และตอนนี้พอได้ยินข่าวของหมียักษ์สีเงินและตะพาบมังกรเลือดบริสุทธิ์อีกครั้ง ทำให้เขาเข้าใจว่า ที่แท้โลงศพน้ำแข็งที่ประทับภาพแผนที่ดาราอันลึกลับนั่น กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ภายใน!!
นางเป็นใคร
หรือจะเป็นบุคคลลึกลับเหมือนนายน้อยเผ่าราชันเร้นดารา ‘เซ่าเฮ่า’ และ ‘คุณชายน้อย’ แห่งเกาะอริยะปัญจธาตุ
หลินสวินคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
และตอนนี้เอง เสียงฮือฮาราวกับคำรามดังขึ้นในที่นั้นอย่างกะทันหัน สะเทือนฟ้าสะท้านดิน อานุภาพเสียงทรงพลังอย่างมาก
เซียวชิงเหอกลับตบไหล่หลินสวิน สื่อจิตอย่างตื่นเต้น ‘เก่งจริงพี่หลินของข้า ข้าว่าจะด้วยวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในนครหยกขาวของเจ้า เพียงพอที่จะสะเทือนใต้หล้าแล้ว!’
หลินสวินได้สติจากภวังค์ความคิด เงยหน้าขึ้นมองไป ข่าวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้านั่นไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ สร้างความตื่นตะลึงให้ทุกคน
ตอนที่ 1032
‘เทพมารหลินที่มาจากแดนฐิติประจิม ได้แสดงมาดของการเป็นเทพมารอีกครั้งในเดือนนี้ เมื่อหลายวันก่อนทำลายสถิติห้าหอในสิบสองหอในคราเดียว!’
‘สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน ถูกคนหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและเป็นเหมือนปีศาจยิ่งกว่าเขาในตอนนั้นทำลาย!’
‘หลายปีมานี้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนทั่วหล้าต่างตั้งคำถามว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ที่ถูกมองว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน จะถูกเอาชนะได้หรือไม่’
‘ตอนนี้การปรากฏตัวอย่างโดดเด่นของเทพมารหลิน ได้เปิดเผยคำตอบให้เราแล้ว!’
‘เทพมารหลิน คนรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่ไร้พรรคไร้สำนัก กลับป่วนแดนฐิติประจิม ฝ่าฟันสังหารออกจากการการปิดล้อมอย่างหนาแน่นของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ตอนนี้ก็มาเจิดจรัสในนครหยกขาวอีกครั้ง! เส้นทางแห่งตำนานของเขาจะดำเนินต่อไปได้หรือไม่’
‘เรามาตั้งหน้าตั้งตารอกัน!’
นี่ก็คือข่าวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้า ถูกเผ่าวาทวาโยใช้คำพูดฮึกเหิมบรรยายออกมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
ในลานฮือฮาอย่างที่สุดไปแล้ว ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตกอยู่ในความโกลาหล
อย่างที่ในข่าวบอก คนรุ่นเยาว์ที่ไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง กลับสามารถลืมตาอ้าปากในดินแดนรกร้างโบราณที่ผู้กล้านับหมื่น ผู้มีความสามารถมากมาย สร้างตำนานครั้งแล้วครั้งเล่า เขียนเกียรติยศที่เป็นของตน นี่เป็นเรื่องที่ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ!
สิ่งที่ยากจะเชื่อที่สุดคือ ภายใต้การกดข่มของสำนักโบราณมากมาย เทพมารหลินนี่ยังคงสามารถลืมตาอ้าปากอย่างแข็งกร้าว ไม่เคยหม่นมัวและเงียบหาย น่าแปลกใจเกินไปแล้ว
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าชื่นชมเพียงเทพมารหลิน!”
ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์หลายคนต่างตื่นเต้น สีหน้าเผยความยกย่อง
“หึ ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ตอนนี้ต่อให้เทพมารหลินสะดุดตาแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ได้เติบใหญ่ขึ้นมาอย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะหักโค่นได้ทุกเมื่อ!”
และมีคนแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ น้ำเสียงแฝงความอิจฉา
“ให้ตาย ข้าชอบการกระทำของเทพมารหลินนัก ตัวคนเดียวกล้าขัดแย้งกับสำนักโบราณมากมาย เพียงแค่ความกล้าหาญ ทอดสายตามองไปทั่วหล้า ใครจะเทียบได้”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในที่นั้นดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
หลินสวินปวดหัวขึ้นมาระลอกหนึ่ง ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักกระบี่เทียมฟ้าหรือเหล่าขุมอำนาจที่เคยมีความแค้นกับตน กลัวว่าคงจะมองตนเป็นหนามยอกอก หมายจะกำจัดตนให้สาแก่ใจ
ในทำนองเดียวกับการยิงนกที่ยื่นหัวออกมา ตอนนี้ตนดูเหมือนแข็งแกร่งโดดเด่น แต่กับกลายเป็นการดึงดูดความสนใจจากสายตามากมาย
ในสายตาพวกนี้ ไม่มีทางมีเพียงความหวังดีอย่างแน่นอน!
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกปราณในโลกถึงทั้งรักทั้งชังเผ่าวาทวาโย…” หลินสวินยิ้มขื่น
ขึ้นไปอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้า ย่อมสามารถทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายออกไปอีก เป็นที่รู้จักของคนทั่วหล้า
นี่เป็นกิตติคุณอย่างหนึ่ง
แต่เช่นเดียวกัน ในระหว่างนี้ก็จะดึงดูดความไม่ประสงค์ดีมามากมาย!
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ใต้หล้านี้ยังจะมีใครไม่รู้จักเจ้า” เซียวชิงเหอยิ้มอย่างสดใสอยู่ข้างๆ
หลินสวินพูดอย่างไม่อภิรมย์ “หยุดพูดไร้สาระ รีบไป”
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีความสุขเช่นนี้ หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ สามารถมีชื่อเสียงอย่างเจ้าในวันนี้คงจะดีใจจนคลั่งไปแล้ว แต่ดูเจ้าสิ ท่าทางไม่เต็มใจ กังวลว่าจะเดือดร้อนเพราะชื่อเสียงหรือ”
เซียวชิงเหอยิ้มพูด
หลินสวินกลับไม่มีกะจิตกะใจล้อเล่น ขมวดคิ้วพูด “ไร้ที่พึ่งพิงก็เหมือนแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ พอมีคลื่นโหมซัดสาดก็จะถูกม้วนเข้าไป สำหรับข้าในตอนนี้ชื่อเสียงนี้อันตรายมากกว่าจะเป็นผลดี”
พูดจบเขาก็ก้าวไปทางนอกเมืองแล้ว
‘ดูเหมือนเจ้าหมอนี่ไม่ได้หน้ามืดตามัวกับความสำเร็จที่ได้รับในตอนนี้… นี่อาจจะเป็นผู้กล้าที่แท้จริง เห็นชื่อเสียงเป็นเมฆที่ลอยล่องไร้ความหมาย มุ่งมั่นอยู่กับมรรคาของตนเท่านั้น…’
เซียวชิงเหอพลางใคร่ครวญ พลางไล่ตามฝีเท้าของหลินสวิน
……
นอกเมืองเนินยุทธ์ เทือกเขาเรียงรายเป็นลูกคลื่นราวกับไม่มีที่สิ้นสุด สภาพรกร้างทั้งแถบ
เขาสามกระจ่างซึ่งเป็นที่ตั้งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลผืนนั้น
“เจ้าจะไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าสภาพนี้หรือ”
ระหว่างทางเซียวชิงเหออดถามไม่ได้
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็เป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่ง ไม่ว่าวิชาแปลงกายของหลินสวินจะแนบเนียนเพียงใด แต่ถ้ากล้าปรากฏตัวในเขาสามกระจ่าง จะต้องถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจับได้อย่างแน่นอน
“เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าช่วยอะไรข้าสักหน่อย” หลินสวินยิ้มเอ่ย
“ข้าหรือ” เซียวชิงเหออึ้ง
“ใช่ ข้าไม่สะดวกปรากฏตัว จึงต้องขอให้เจ้าไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณสักหน่อย”
“แต่…”
เซียวชิงเหอพูดอย่างลังเล “ให้ข้าไปก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องบอกสิว่าสหายเก่าคนนั้นของเจ้าเป็นใคร”
“จ้าวจิ่งเซวียนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ”
พอคำพูดนี้ของหลินสวินดังออกมา สีหน้าของเซียวชิงเหอแปลกประหลาดขึ้นมากะทันหัน ร้องว่า “ที่แท้ก็เป็นนาง!”
คราวนี้หลินสวินกลับแปลกใจขึ้นมา “ทำไมหรือ เจ้ารู้จักนางหรือ”
สีหน้าของเซียวชิงเหอยิ่งแปลกพิกล จ้องหลินสวินแล้วพูดว่า “บอกข้าก่อนได้หรือไม่ว่า เจ้า… กับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน”
“สหาย” หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“แค่สหายจริงๆ หรือ” เซียวชิงเหอพูดเพื่อความแน่ใจอีกขั้น
หลินสวินรับรู้ได้อย่างมีไหวพริบว่าคำถามเช่นนี้ของเซียวชิงเหอดูไม่ปกตินัก เขาพิจารณาครู่หนึ่งจึงพูด “ใช่ เป็นสหาย”
เรื่องบางเรื่อง ไม่สามารถอธิบายให้เซียวชิงเหอเข้าใจได้
“งั้นก็ดี”
เซียวชิงเหอแอบโล่งอก เอ่ยว่า “จ้าวจิ่งเซวียนที่เจ้าพูดถึงข้าเองก็รู้จัก แต่ไม่ใช่เพราะนางงดงามและสะดุดตา แต่เพราะคนผู้หนึ่ง”
“ใคร?” หลินสวินมุ่นคิ้ว
“เยี่ยนจั่นชิว!” เซียวชิงเหอพูดออกมาทีละคำ
ชื่อนี้ราวกับมีพลังเวทมนตร์แปลกประหลาด ทำให้ตอนเซียวชิงเหอพูด สีหน้าเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมา
“คนผู้นี้คือใคร” หลินสวินอดถามไม่ได้
“เจ้าเพิ่งมาแดนชัยบูรพาได้ไม่นาน ไม่รู้จักเยี่ยนจั่นชิวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สำหรับผู้ฝึกปราณท้องถิ่นแดนชัยบูรพา เยี่ยนจั่นชิวเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่เป็นดั่งตำนานคนหนึ่ง”
เสียงของเซียวชิงเหอหนักอึ้ง ราวกับเพียงแค่ชื่อเยี่ยนจั่นชิวนี้ ก็สามารถนำพาความกดดันอันใหญ่หลวงอย่างมากให้เขา
“เขาเป็นบุตรเทพยุคปัจจุบันของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ถือกำเนิดในตระกูลเยี่ยนที่เป็นตระกูลอริยมรรคบรรพกาล จัดอยู่ในอันดับที่สามของสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแห่งแดนชัยบูรพา!”
“ตอนที่คนผู้นี้ถือกำเนิด บนหลังมีภาพ ‘ลายมรรคเกล็ดมังกร’ ครอบครองพลังมหามรรค ‘มังกรฟ้าแปดภาคี’ แต่กำเนิด ฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจนถึงปัจจุบัน อายุยังไม่ถึงสามสิบปีก็มีสมญานามว่า ‘มังกรไร้พ่ายแล้ว’”
“ข้าเคยได้ยินเฒ่าดึกดำบรรพ์ในสำนักพูดว่า ในร่างกายของเยี่ยนจั่นชิวคนนี้มี ‘เลือดเจินหลง’ ไหลเวียนอยู่ เผ่าฝั่งมารดาของเขามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงบรรพกาล!”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้
ฟังดูแล้วเยี่ยนจั่นชิวคนนี้ไม่เพียงแค่พลังต่อสู้โดดเด่น แม้แต่ชาติกำเนิดก็ยังเรียกได้ว่าน่ากลัวอย่างที่สุด เขามาจากตระกูลเยี่ยนที่เป็นตระกูลอริยมรรค อีกทั้งฝั่งมารดาก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลง
แม้แต่ตัวเขา ตอนนี้ก็กลายเป็นบุตรเทพรุ่นปัจจุบันของสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว เพียงแค่ชาติกำเนิดและที่มาก็สามารถทำให้บุคคลระดับผู้กล้าส่วนใหญ่ในโลกจืดจางลงแล้ว
“เมื่อประมาณหกปีที่แล้ว ศิษย์พี่ของข้าหมีเหิงเจินเคยต่อสู้กับเยี่ยนจั่นชิวครั้งหนึ่ง ขั้นตอนนั้นไม่มีใครรู้ และผลลัพธ์ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ศิษย์พี่ของข้าเคยส่งเสียงถอนหายใจเบาๆ บอกว่า เยี่ยนจั่นชิวคนนี้เรียกได้ว่าเป็นคนที่เหมือนเจินหลงจริงๆ ทำให้เขาไม่ยอมรับไม่ได้!”
เซียวชิงเหอสีหน้าซับซ้อน “นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นศิษย์พี่ประเมินคนในรุ่นเดียวกันสูงเพียงนี้”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้ก็อดพูดอย่างสงสัยไม่ได้ “คนผู้นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่ง แต่เขากับจ้าวจิ่งเซวียนมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน”
สีหน้าของเซียวชิงเหอพลันแปลกประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง “ง่ายมาก เมื่อสามปีที่แล้วเคยมีผู้สืบทอดคนหนึ่งของแดนเร้นอริยะเดินทางไปสู่ขอที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หมายจะแต่งจ้าวจิ่งเซวียนเป็นคู่บำเพ็ญ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร”
ไม่รอคำตอบ เขาก็ถามเองตอบเอง “ตอนนั้นเยี่ยนจั่นชิวที่ปิดด่านอยู่รู้ข่าวก็ออกด่านมาทันที และลงมือโดยไม่สนการห้ามปราบของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณและไม่ถามเหตุผลใดๆ ซัดเจ้าคนที่มาสู่ขอจนเกือบตาย!”
หลินสวินหรี่ตา ในที่สุดก็เดาเหตุผลบางอย่างออกรางๆ แล้ว
“ตอนนั้นหลังจากเยี่ยนจั่นชิวทำเรื่องนี้เสร็จก็ประกาศกร้าวว่า ต่อไปใครกล้าคิดเกินเลยกับจ้าวจิ่งเซวียนต้องผ่านด่านเขาเยี่ยนจั่นชิวก่อน ไม่เช่นนั้นแม้ราชันสวรรค์มา เขาก็ไม่ปล่อยไว้!”
พูดถึงตรงนี้เซียวชิงเหออดหดหู่ไม่ได้ “ตอนนั้นเรื่องนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เลยเชียว ทำให้ผู้ฝึกปราณที่เดิมทีไม่รู้จักผู้หญิงที่ชื่อจ้าวจิ่งเซวียน ก็จำชื่อนี้ได้ตั้งแต่ตอนนั้น”
จนตอนนี้ในที่สุดหลินสวินจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อครู่นี้เซียวชิงเหอจึงถามว่าตนกับจ้าวจิ่งเซวียนเป็นอะไรกันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
ที่แท้ก็เพราะข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนยังมี ‘ผู้พิทักษ์บุปผา’ อย่างเยี่ยนจั่นชิวอีกคน
“แต่ว่า เยี่ยนจั่นชิวกับจ้าวจิ่งเซวียนเป็นอะไรกัน” หลินสวินขมวดคิ้ว ความจริงในใจเขามีการคาดเดาบางอย่างรางๆ แล้ว
“นี่ก็พูดยากแล้ว มีคนบอกว่า นอกจากฝึกปราณ สิ่งที่เยี่ยนจั่นชิวห่วงใยและชื่นชอบที่สุดก็คือจ้าวจิ่งเซวียน”
“และมีคนบอกว่า เยี่ยนจั่นชิวหมายตาจ้าวจิ่งเซวียนเป็นคู่ครองในอนาคต ไม่ยอมให้คนอื่นแตะต้อง”
“สรุปแล้ว สิ่งที่มั่นใจได้คร่าวๆ ก็คือ ความสัมพันธ์ของเยี่ยนจั่นชิวกับจ้าวจิ่งเซวียนต้องไม่ธรรมดาแน่ ไม่เช่นนั้นบุคคลระดับยอดมกุฎที่ราวกับปีศาจไร้เทียมทานอย่างเยี่ยนจั่นชิว จะสนใจจ้าวจิ่งเซวียนขนาดนี้ได้อย่างไร”
เซียวชิงเหอพูดถึงตรงนี้ก็เตือนว่า “เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าอย่าคิดเกินเลยกับผู้หญิงคนนี้จะดีที่สุด แม้เป็นสหายก็ต้องระวังขอบเขต จะได้ไม่ล่วงเกินจนเกิดศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างเยี่ยนจั่นชิวเพิ่มมาอีกคน”
หลินสวินขานรับว่าอ้อ ในใจรู้สึกฝาดเฝื่อนน้อยๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ไม่เจอกันหลายปี เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนจะมีผู้พิทักษ์บุปผาอย่างเยี่ยนจั่นชิวเพิ่มเข้ามา
นี่คือชายในดวงใจที่นางเลือกงั้นหรือ
หรือบางทีนางอาจจะคบหากับเยี่ยนจั่นชิวแล้ว
ความคิดของหลินสวินค่อนข้างสับสน และลังเลเล็กน้อยว่าจะไปเยี่ยม ‘สหายเก่า’ อย่างจ้าวจิ่งเซวียนตอนนี้หรือไม่
หากตนปรากฏตัวตรงหน้านางโดยพลการตอนนี้ จะทำให้นางเกิดความกลัดกลุ้มใจโดยใช่เหตุหรือไม่
อีกอย่างไม่เจอกันหลายปี นางจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่นางที่เขาคุ้นเคยในตอนนั้นอีกต่อไปแล้วหรือไม่
ภาพของหญิงสาวที่ปลอมเป็นชาย บุคลิกสง่างาม รอยยิ้มกระจ่างตา ปรากฏขึ้นในหัวของหลินสวินอย่างควบคุมไม่อยู่
ในใจยิ่งรู้สึกฝาดเฝื่อนและลังเลกว่าเดิม
“หลินสวิน เจ้า… คงไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับจ้าวจิ่งเซวียนนั่นจริงๆ หรอกกระมัง”
เห็นว่าหลินสวินเงียบไป สีหน้าก็ดูสับสน เซียวชิงเหออดตกใจไม่ได้ พลันส่งเสียงอย่างสงสัย
“อย่าพูดเหลวไหล!” หลินสวินถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง ลอบสูดหายใจเข้าลึกๆ สกัดกั้นความรู้สึกแปลกประหลาดในใจไว้
“เช่นนั้นครั้งนี้เจ้าจะไปเยี่ยม… สหายเก่าคนนี้อยู่หรือไม่” เซียวชิงเหอถาม
“ไป ทำไมจะไม่ไป หรือเพราะเยี่ยนจั่นชิวคนเดียวก็ต้องเปลี่ยนความตั้งใจในการมาเยี่ยมของข้าในครั้งนี้” หลินสวินยิ้ม
จู่ๆ เขาก็พบว่า เมื่อครู่นี้ตนคิดมากไป
ก่อนที่จะมั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวจิ่งเซวียนกับเยี่ยนจั่นชิว คิดมากขนาดนั้นก็ดูไม่มีความหมายเลยสักนิด ไม่ต่างอะไรกับการตีตนไปก่อนไข้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาครุ่นคิดอย่างใจเย็นแล้ว ระหว่างเขากับจ้าวจิ่งเซวียนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษ อย่างมากที่สุดก็เรียกได้ว่าเป็นสหายเก่าที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และชื่นชมซึ่งกันและกันก็เท่านั้น
ส่วนความสัมพันธ์เช่นนี้จะสามารถพัฒนาไปอีกขั้นได้ไหมนั้น…
หลินสวินเองก็ไม่รู้
หรือจะบอกว่า ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่รู้ชัดว่าชอบจ้าวจิ่งเซวียนในเชิงชู้สาวมากกว่า หรือชอบในฐานะสหายมากกว่า
แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้เขาก็ต้องเจออีกฝ่ายให้ได้!
“ฮ่า ก็จริง!”
เซียวชิงเหอตบเข่าฉาด หัวเราะลั่นขึ้นมา “ข้าก็ลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าข้าเป็นถึงเทพมารหลิน ที่พูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความกังวลโดยใช่เหตุ”
พูดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็เอ่ยอย่างตื่นเต้น “จะว่าไป ข้ากลับรอคอยอย่างมากว่าเจ้าจะสามารถชิงตัวจ้าวจิ่งเซวียนมาจากเยี่ยนจั่นชิวได้ จะได้ฉวยโอกาสนี้โจมตีความเย่อหยิ่งของเยี่ยนจั่นชิวสักหน่อย”
หลินสวินหมดคำพูด เจ้าหมอนี่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายชัดๆ!
ไม่นานเงาร่างของทั้งสองก็ไปปรากฏในกลุ่มเทือกเขาที่เรียงรายสลับทับซ้อน ท้องทุ่งสี่ด้านกว้างใหญ่ไพศาล ฟ้าสูงเมฆขาว
“ข้าจะรอข่าวจากเจ้าที่นี่”
หลินสวินหยุดฝีเท้า ห่างออกไปอีกไม่ถึงพันลี้ก็คือเขาสามกระจ่างอันเป็นที่ตั้งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว
“รอฟังข่าวจากข้า”
เซียวชิงเหอตอบรับอย่างเต็มที่
ด้วยฐานะผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของเขา เพียงแค่ไปเยี่ยมจ้าวจิ่งเซวียน ให้อีกฝ่ายออกมาระลึกความหลังกับหลินสวินเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
……
บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหินประหลาด หลินสวินนั่งอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง เหม่อมองทะเลเมฆที่อยู่ห่างไกล
ในสมองหวนคิดถึงภาพครั้งแรกที่เจอจ้าวจิ่งเซวียน จนถึงการปฏิสัมพันธ์ครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากนั้น
จ้าวจิ่งเซวียนงดงามมาก เป็นความงามที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ผ่าเผยและตรงไปตรงมา ทุกๆ รอยยิ้ม ทุกๆ อริยาบถ ล้วนเผยบุคลิกที่พาให้รู้สึกราวกับอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ
เวลาอยู่กับนางทำให้หลินสวินรู้สึกผ่อนคลาย สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ
พูดได้ว่าในบรรดาผู้หญิงที่หลินสวินรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วชิงเยียนที่สง่างามไร้เทียมทาน ไป๋หลิงซีที่งามดั่งภาพวาด หรือเยวี่ยไฉ่เวยที่สติปัญญาหลักแหลม…
ต่างมีความงาม มีบุคลิกและความโดดเด่นของตน
แต่มีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่ทำให้หลินสวินรู้สึกสบายใจและเป็นอิสระอย่างที่สุดเมื่อได้ใกล้ชิดกัน
ผู้หญิงทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่เห็นได้ชัดว่าสำหรับหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนนั้นพิเศษไม่เหมือนใคร
ส่วนซย่าจื้อ…
หลินสวินคิดถึงตรงนี้ในหัวใจพลันกระตุกวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขื่น ราวกับจนปัญญา ทั้งคล้ายรักถนอมเอ็นดู
‘ไม่เจอกันหลายปี แต่ละคนต่างมีการเปลี่ยนแปลงของตนเอง เพียงแต่… ก็ไม่รู้ว่าแม่นางจ้าวจะเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วหรือไม่…’
หลินสวินพึมพำในใจ
ห่างออกไปทะเลเมฆพวยพุ่ง หมุนวนพลิกม้วนไม่หยุด ปรากฏเป็นสีสันงดงามหลากหลายท่ามกลางการส่องสว่างของดวงสุริยันที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าในทิศตะวันตก
เช่นเดียวกับหลินสวินในตอนนี้ ภายนอกดูนิ่งสงบ ความจริงภายในใจกลับเกิดระลอกคลื่น ความคิดสับสนวุ่นวาย ไม่ได้สงบเหมือนอย่างภายนอก
หืม
ภายใต้การรับสัมผัสของจิตรับรู้อันยิ่งใหญ่ของหลินสวิน ในบริเวณที่ห่างออกไปพันลี้ ได้ปรากฏแสงเคลื่อนไหวอันงดงามมากมาย
หลินสวินยืนขึ้นโดยพลัน เส้นผมสีดำพลิ้วไหว ชุดคลุมสีขาวพระจันทร์โบกพลิ้วจนเกิดเสียงดังท่ามกลางลมภูเขาที่พัดกระหน่ำ
ห่างออกไป ทะเลเมฆม้วนตลบ อาทิตย์อัสดงราวกับเพลิง
ตอนที่ 1033 เทพมารออกจู่โจม
สวบๆๆ!
แสงเคลื่อนไหวเจิดจรัสสายแล้วสายเล่าแล่นผ่านอากาศ ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนห่างออกไปพันลี้
เพียงแต่หลินสวินกลับสีหน้าเคร่งขรึม อารมณ์ประหลาดที่แต่เดิมทั้งตั้งตาคอยและลุ่มลึกพลันมลายหายไปโดยสิ้นเชิง
ในแสงเคลื่อนไกลๆ มีเซียวชิงเหอ และผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณในชุดนักพรตสีเหลืองส้มมากมาย เพียงแต่ไม่มีเงาร่างของจ้าวจิ่งเซวียน
อีกอย่าง เงาร่างพวกนั้นไม่เพียงมีจำนวนมากถึงสามสิบกว่าคน หนำซ้ำในนั้นยังมีบุคคลระดับกึ่งราชันหลายคนอีกด้วย
นี่แปลกประหลาดยิ่ง!
หลายปีมานี้หลินสวินผ่านการเข่นฆ่าเคี่ยวกรำมามาก มองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พลันโคจรไอซวนหนีทันที ปกปิดตัวตนเอาไว้โดยไม่ลังเลสักนิด
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เซียวชิงเหอและผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งหมดก็แหวกอากาศมาถึง
“ทุกท่านไม่ต้องไปส่งแล้ว ในเมื่อแม่นางจ้าวมุ่งหน้าสู่ภูเขาเทพไร้มรณะ เพื่อเตรียมพร้อมประชันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แล้ว เช่นนั้นข้าค่อยมาเยี่ยมภายหลังก็ได้”
เซียวชิงเหอยืนมั่นกลางห้วงอากาศ ประสานมือกล่าว
“สหายยุทธ์เกรงใจเกินไปแล้ว”
ชายชราไว้เคราแพะ เงาร่างซูบผอมที่อยู่หน้าสุดเอ่ยปากเจือรอยยิ้ม “ก่อนจากไป ข้าขอบังอาจถามสักประโยค ครั้งนี้สหายยุทธ์มาคนเดียวหรือ”
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา คนอื่นๆ ล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เซียวชิงเหอกวาดตามองทุกคน พูดด้วยสีหน้าสงสัย “ทำไมหรือ ข้ามาเยี่ยมสำนักพวกท่านคนเดียวมีปัญหาหรือ”
ชายชราเคราแพะหัวเราะร่วน “ไม่มีปัญหา เพียงแต่…”
เขาหยุดไป หุบรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาเจือแววซักไซ้เพิ่มขึ้นมา “เท่าที่พวกเรารู้ สหายยุทธ์เจ้าไม่ได้มาคนเดียว”
เซียวชิงเหอขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสกงหยางเฉียน ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เลิกทำไขสือ ใครบ้างไม่รู้ว่าหลายวันก่อนเจ้ากับเทพมารหลินคนนั้นร่วมกันก่อเรื่องในนครหยกขาว”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนลั่น
“พวกเราให้เกียรติที่เจ้าเป็นผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา แต่หากเจ้าซ่อนความคิดชั่วร้าย มีเจตนาไม่ดี ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”
“ว่ามา เทพมารหลินคนนั้นมาพร้อมกับเจ้าใช่หรือไม่”
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนอื่นต่างพากันเอ่ยปาก สายตาที่แต่ละคนมองทางเซียวชิงเหอเจือแววเย็นชา
กลางห้วงอากาศ ทะเลเมฆพลิกตลบ บรรยากาศเริ่มเคร่งเครียด
เซียวชิงเหอครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะเยาะกล่าวว่า “ตั้งแต่แรกตอนที่พวกเจ้ายกโขยงมาส่งข้าอย่างเคารพ ข้าก็นึกเอะใจว่าไม่ปกติ ตอนนี้ดูแล้ว เห็นจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
เขาตัวคนเดียว ถูกผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งกลุ่มปิดล้อมกลายๆ แม้เป็นเช่นนี้กลับไม่กริ่งเกรงสักนิด ตรงข้ามกลับเผยแววดูเบาออกมา
“อยากสืบข่าวเทพมารหลินจากตัวข้าหรือ คิดการใหญ่ใจละโมบชัดๆ! ข้าเตือนพวกเจ้ารีบหลีกไปจะดีกว่า!”
กล่าวจบเซียวชิงเหอก็มุ่งตรงไปข้างหน้า
สวบ!
ผู้เฒ่าเคราแพะกงหยางเฉียนร่างพริบไหว ขวางอยู่ข้างหน้าเซียวชิงเหอ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเฉยเมยและเย็นชา “สหายยุทธ์ หากเจ้ารั้นยึดตนเป็นใหญ่ เช่นนั้นพวกข้าก็ได้แต่งัดวิธีอื่นมาใช้เท่านั้นแล้ว”
ยามเอ่ยคำ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างล้อมรอบรุกหน้าขึ้นมา กลิ่นอายทั่วร่างพลุ่งพล่าน ทำท่าเหมือนจะลงมืออย่างหนักหากไม่ยอมให้ความร่วมมือ
เซียวชิงเหอสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวเสียงเย็น “ข้าก็อยากถามสักประโยค นี่พวกเจ้าคิดจะเปิดศึกกับพวกเราตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรางั้นหรือ”
กงหยางเฉียนเปลือกตากระตุก กล่าวเรียบๆ “หาใช่ขนาดนั้น เพียงแต่อยากให้สหายยุทธ์พูดความจริงกับพวกเราหน่อยก็เท่านั้น เมื่อได้รับคำตอบ พวกข้าย่อมส่งสหายยุทธ์จากไป จะไม่ขัดขวางใดๆ อีกเป็นอันขาด”
ชิ้ง!
ฝ่ามือเซียวชิงเหอปรากฏทวนศึกเหล็กนิลเล่มหนึ่ง รอบตัวคละคลุ้งด้วยแสงเรืองทองอร่าม กลิ่นอายทั้งตัวไต่ทะยานถึงขีดสุดในพริบตา
“เลิกพูดพล่ามระยำเสียที ถ้ากล้าก็เข้ามา!” เขาตะโกนลั่น สายตาสาดประกายเย็นเยียบ
“เฮ้อ สหายยุทธ์ไยจึงโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ เวลานี้รั้งม้าริมหน้าผา กลับตัวยังทัน” กงหยางเฉียนถอนใจเบาๆ สายตากลับเปี่ยมแววเย็นชาและอึมครึม
“ไอ้แก่ ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า วันนี้ต่อให้พวกเจ้าสังหารข้า ก็อย่าคิดจะได้ข้อมูลเทพมารหลินจากปากข้าแม้แต่นิดเดียว ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองดู!”
กลิ่นอายเซียวชิงเหอก้องกระหึ่มดั่งสายฟ้า ทั่วร่างเรืองอร่าม กระชับทวนศึกยืนตระหง่านกลางทะเลเมฆ ท่วงท่าเหมือนหนึ่งคนเฝ้าด่าน หมื่นทหารมิอาจกราย
กงหยางเฉียนสายตาคุโชน จู่ๆ ก็ยิ้มน้อยๆ “เจ้าว่า หากพวกเราลงมือกับเจ้า เทพมารหลินนั่นจะเห็นคนใกล้ตายไม่ช่วยหรือไม่”
เซียวชิงเหอหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“สหายยุทธ์ ล่วงเกินแล้ว!” กงหยางเฉียนตะโกนลั่น ร่างซูบผอมเหยียดตรงขึ้นมา สาวเท้ากลางอากาศ ฟาดฝ่ามือหนึ่งไปทางเซียวชิงเหอ
ตูม!
ฝ่ามือนี้ดั่งฟ้าถล่มเขาวิญญาณ แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์สีม่วงพลุ่งพล่าน บดขยี้ห้วงอากาศแตกกระจุย พลังมหาศาลหนักหน่วง น่าสะพรึงไร้ขอบเขต
เซียวชิงเหอกวาดทวนศึกเข้าปะทะ ภายในเสียงกระหึ่มน่าสะพรึง การโจมตีนี้ของกงหยางเฉียนถูกสลายอย่างง่ายดาย
“อาศัยแค่เจ้าก็คู่ควรต่อสู้กับข้าด้วยหรือ”
เซียวชิงเหอดูเบา หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความภาคภูมิ ราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง ไม่สามารถสร้างภัยคุกคามยิ่งใหญ่มาสู่เขาได้จริงๆ
“หากนับรวมพวกเราด้วยล่ะ”
เวลานี้เงาร่างสามสี่สายพุ่งปราดออกมาต่อเนื่อง มีทั้งชายหญิง ล้วนอยู่ระดับกึ่งราชันทั้งสิ้น
ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็เรียกสมบัติของแต่ละคนออกมา ป้องขวางรอบทิศ ตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างเข้มงวด
“คนมากรังแกคนน้อยหรือ บุคคลชั้นนำแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณตายกันหมดแล้วรึ”
เซียวชิงเหอกล่าวเสียดสี
“สหายยุทธ์ ระวังปากพาซวย!”
กงหยางเฉียนสาวเท้ามาถึง ร่างซูบผอมระเบิดอานุภาพเสียดฟ้าออกมาประหนึ่งอสนีคลั่งรุนแรง พุ่งสังหารออกไป
และเวลานี้เอง ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มลงมือจากต่างทิศทาง
ตึง!
หญิงกลางคนผู้หนึ่งเรียกกลองศึกหนังสัตว์ออกมา เพียงตีเบาๆ เสียงกลองดุจดั่งเทพมารกู่ร้อง สะเทือนฟ้าสะท้านดิน
ฉัวะ!
ผู้ชายอ้วนเตี้ยคนหนึ่งสะบัดโซ่สีเงินยวงเส้นหนึ่ง ผ่านภาฟาดปฐพี กร้าวแกร่งเผด็จการ
“เฉือน!”
ชายชราชุดเทาคนหนึ่งถือกระบี่โบราณสีน้ำเงินเข้มเล่มหนึ่งโถมเข้ามา
ทันใดนั้นเซียวชิงเหอเผชิญหน้าศัตรูรอบด้าน ถูกล้อมกรอบด้วยการโจมตีสารพัดแบบ
เห็นได้ชัดว่าการเพ่งเล็งบุคคลชั้นยอดอย่างเขา พวกราชันกึ่งระดับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล้วนไม่ได้ดูถูกใดๆ หาไม่คงไม่มีทางกรูขึ้นมาพร้อมกันเด็ดขาด
เซียวชิงเหอสีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมเคร่งขรึม ในใจเดือดดาล นี่เห็นได้ชัดว่ารังแกเขาซึ่งตัวคนเดียวชัดๆ!
เพียงแต่ยังไม่รอให้เขาลงมือ เงาร่างสายหนึ่งก็แหวกอากาศมาปรากฏอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว
คนผู้นี้ก็คือหลินสวินนั่นเอง
เมื่อเห็นภาพแต่ละฉากก่อนหน้านี้ เขาก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดตั้งนานแล้ว ในใจมีไอสังหารที่ไม่อาจควบคุมได้พวยพุ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ตูม!
พูดแล้วเหมือนช้าแต่กลับรวดเร็วอย่างยิ่ง การโจมตีรอบทิศล้อมกรอบเข้ามา
เงาแส้ พลังฝ่ามือ เสียงกลอง ปราณกระบี่… ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งน่าสะพรึง เป็นพลังเข่นฆ่ามหึมาจากราชันกึ่งระดับรวมเข้าด้วยกัน พาให้ฟ้าดินแถบนี้ต่างกรีดร้อง เมฆลมปั่นป่วน
ทะเลเมฆกว้างใหญ่ยังแหลกเป็นผุยผงในพริบตา!
หลินสวินตาไวมือไว ซัดประทับฝ่ามือสีเขียวเจิดจ้านับร้อยนับพันสายออกไปในทันที ประทับฝ่ามือแต่ละสายต่างควบรวมสมจริง ประทับตรึงแสงมรรค
พร้อมๆ กับเสียงอึกทึกกระเทือนโสตจนเกือบหูหนวก การโจมตีทั้งหมดต่างถูกสลายสิ้น!
แต่สำหรับเรื่องนี้ พวกกงหยางเฉียนไม่ตกใจกลับดีใจ
“ฮ่าๆๆ เทพมารหลิน ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว!” กงหยางเฉียนแหงนหน้าขึ้นฟ้าระเบิดหัวเราะ
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต่างก็พากันหัวเราะเยาะ ท่าทางเหมือนรู้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
“เจ้าสมองกลวงหรือไร รู้ทั้งรู้พวกเขาคิดบีบบังคับให้เจ้าปรากฏตัว เหตุใดถึงยังทำเช่นนี้อีก หรือคิดว่าพวกเขากล้าฆ่าข้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
เซียวชิงเหอกลับร้อนใจ จ้องหลินสวินเขม็ง
ก่อนหน้านี้ที่เขาแสร้งพูดคุยกับอีกฝ่าย ก็เพื่อบอกหลินสวินในมุมมืดว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ให้เขาถือโอกาสหนีไปโดยเร็ว
ไหนเลยจะคิดว่าเจ้าหมอนี่กลับกระโดดออกมาอย่างโง่เง่า!
“สมองกลวง?”
มุมปากหลินสวินเผยเส้นโค้ง “ในฐานะสหาย สมองกลวงย่อมดีกว่าทรยศ เจ้าว่าอย่างไร”
“สหาย?” เซียวชิงเหออึ้งงัน ในใจเต้นกระตุกอย่างหาได้ยาก
“เทพมารหลิน ปีนั้นในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เจ้าสังหารกงหยางอวี่หลานชายเผ่าข้า เจ้ายังจำได้หรือไม่!”
ไกลออกไปกงหยางเฉียนสีหน้าอาฆาตชวนสยอง “ข้ารอคอยวันนี้มาเนิ่นนาน ในที่สุดก็รอจนเจ้ามาได้เสียที!”
“เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ ช่างกล้าเสียจริง ปีนั้นในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทำเอาเกียรติภูมิพวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยับเยิน วันนี้ยังมีหน้ามาเหยียบแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเราอีก ช่างไม่รู้จักว่าคำว่าตายเขียนอย่างไรชัดๆ!”
คนอื่นต่างก็สีหน้าเย็นชาไร้ใดเปรียบ
“พูดพล่ามมากพอแล้ว ปีนั้นข้ากล้าสังหารกงหยางอวี่ วันนี้ก็กล้าฆ่าพวกเจ้าด้วย!”
ขณะพูดหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหว ในใจเขาเกิดไอสังหารตั้งนานแล้ว มีหรือจะประวิงเวลา
พรึ่บ!
เขาสาวเท้าก้าวออกไป ชือน้ำแข็งสีขาวหิมะทะยานอากาศ กลิ่นอายทั้งตัวพลันเปลี่ยนไปประหนึ่งกลายร่างเป็นเทพมาร พุ่งพรวดขึ้นหน้า
กงหยางเฉียนหรี่ตาลง ขับเคลื่อนปราณเต็มกำลัง หวดสะบัดดาบศึกฟันสังหารออกไป “ร่วมกันลงมือ ฆ่าเดรัจฉานนี่!”
เพียงแต่เสียงเขายังไม่ทันสิ้นสุด หลินสวินก็พุ่งพรวดมาถึง เร็วเกินไปแล้ว ว่องไวดั่งเคลื่อนย้ายพริบตา เผด็จการและอหังการ ซัดหมัดหนึ่งออกไป
ดาบศึกของกงหยางเฉียนกรีดร้องคร่ำครวญรุนแรง หลุดออกจากมือเสียงดังเคร้ง
และเวลานี้เอง อานุภาพหมัดที่ลุกโชนน่าสะพรึงนั้นก็แผ่คลุมลงมา ประทับใส่ช่วงอกกงหยางเฉียนอย่างจัง
ผลั่ก!
หน้าอกกงหยางเฉียนระเบิดกระจุยแหลกโดยพลัน ร่างซูบผอมโค้งงอเหมือนกุ้งตัวใหญ่ที่ต้มสุก ลอยคว้างออกไปอย่างรุนแรง
เขาเลือดออกเจ็ดทวาร ส่งเสียงร้องโหยหวน ทั้งตัวเจ็บหนักปางตาย!
และตั้งแต่ต้นจนจบเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วกะพริบตา
ทั้งที่นั้นต่างเงียบกริบ
หมัดเดียว!
บุคคลระดับกึ่งราชันอย่างกงหยางเฉียนถึงกับไม่อาจต้านไหว!
และเวลานี้เอง พวกเขาเพิ่งตระหนักโดยพลัน ว่าคนหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้เป็นถึงเทพมารคนหนึ่งที่เลื่องชื่อลือกระฉ่อนอยู่ในแดนชัยบูรพา ณ เวลานี้
แม้แต่มุมปากเซียวชิงเหอก็ยังกระตุกน้อยๆ อย่างยากจับสังเกต หากพูดถึงความโหดเหี้ยมและวิปริต หลินสวินเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในบริเวณนั้นกระสับกระส่ายขึ้นมา ผู้ฝึกปราณแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งกลุ่มล้วนหน้าเปลี่ยนสี
และยามนี้หลินสวินก็ซัดโจมตีต่อไปอย่างไม่บันยะบันยัง
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ห่างจากเขาสามกระจ่างอันเป็นที่ตั้งของสำนักนี้ไม่ถึงพันลี้ หากไม่รีบรบรีบจบ นานไปจะก่อให้เกิดการโต้กลับที่ไม่อาจคาดเดาได้
ตูม!
เงาร่างหลินสวินดั่งภาพมายา พุ่งปราดไปทางชายอ้วนเตี้ยที่มือถือโซ่สีเงินยวงคนนั้น
แต่ระหว่างทางก็มีเสียงกลองปานสะเทือนฟ้าสายหนึ่งดังกึกก้อง เสียงกลองเหมือนมีตัวตนจริงแผ่กว้างออกไป ทรงพลังไร้ใดเปรียบ
หลินสวินส่งเสียงตะโกนลั่นหนึ่งครา ดั่งสัทครรลองมหามรรค เงามายาสัตว์เทพผูเหลาตัวหนึ่งเหินอากาศ เสียงปังดังขึ้นคราหนึ่ง เข้าปะทะโจมตีเสียงกลองนั้นจนปราชัย
พลังของเสียงคำรามผูเหลายังคงไม่ลดละ พาให้หญิงวัยกลางคนถือกลองใหญ่หนังสัตว์นั้นก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด จิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัส ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
และเวลานี้ เงาร่างของหลินสวินได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าชายอ้วนเตี้ยคนนั้นแล้ว ประทับปี้อั้นที่เจิดจรัสไร้เทียมทานสายหนึ่งประทับกำราบลงมา
ตอนที่ 1034 ผู้อาวุโสซูคง
ระดับกึ่งราชัน แม้เป็นผู้ล้มเหลวในการฝ่าทะลวงระดับราชัน แต่ขาข้างหนึ่งก็เท่ากับก้าวข้ามธรณีประตูระดับราชันแล้ว พลังต่อสู้ห่างไกลจากผู้ฝึกปราณทั้งห้าระดับใหญ่ลิบลับ
โดยเฉพาะระดับกึ่งราชันขั้นสูงสุด พลังต่อสู้ยิ่งกร้าวแกร็งอย่างที่สุด
แต่สำหรับบุคคลชั้นยอดอย่างหลินสวิน ระดับกึ่งราชันที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่ต่างอะไรกับไก่โคลนสุนัขกระเบื้อง
ตูม!
ภายใต้การกำราบลงมาของประทับปี้อั้นที่เจิดจ้าดั่งอาทิตย์ดวงโต ชายอ้วนเตี้ยซึ่งถือโซ่สีเงินยวงนั้นฝืนต้านสุดแรงเกิด แต่สุดท้ายก็ยังถูกสังหาร ร่างอ้วนเตี้ยถูกบดขยี้ เลือดเนื้อปลิวว่อนไปทั่ว
ไกลออกไปเสียงกรีดร้องของผู้หญิงถือกลองหนังสัตว์หยุดชะงักทันควัน ทั่วใบหน้าเปี่ยมแววตกใจกลัว
ชายชราชุดเทาที่โถมเข้ามาหยุดฝีเท้าทันใด ทั้งร่างแข็งทื่อ
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแถวนั้นต่างเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงงันและไม่อยากเชื่อ
เพิ่งเปิดศึกก็พ่ายยับเหมือนภูเขาทรุด!
ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนสักนิด
“ฆ่าระดับกึ่งราชันเหมือนตัดหญ้า อวิ๋นชิ่งไป๋ในปีนั้นกลัวแต่ว่าคงด้อยกว่าสามส่วน!” เซียวชิงเหอร้องชื่นชม
“พอแล้ว!”
เมื่อเห็นหลินสวินโจมตีอีกครั้ง เสียงตะโกนหนักเข้มและเย็นชาสายหนึ่งพลันดังขึ้นทันควัน
บนร่างผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่งซึ่งมีปราณเพียงระดับกระบวนแปรจุติ ถึงกับระเบิดอานุภาพน่าสะพรึงออกมาในยามนี้ สั่นสะเทือนเลือนลั่นทุกทิศทาง
นี่คือพลังแห่งระดับราชัน!
นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ก็เห็นชายหนุ่มที่ดูอ่อนวัยคนนั้น พริบตาพลันกลายร่างเป็นชายชราหนวดเคราขาวขุ่น ดวงหน้าเด็ดเดี่ยว รูปร่างอาจองทรงพลังไร้เทียมทาน
รอบตัวเขาอวลแสงมรรค สว่างไสวดั่งแสงอรุณ เมื่อดวงตาคู่นั้นกะพริบเปิด ประดุจมีสายฟ้าพลุ่งพล่านอยู่ในนั้น น่าสยองไร้ใดเปรียบ
นี่คือบุคคลน่าสะพรึงซึ่งเหยียบย่างสู่ระดับราชันคนหนึ่ง ก่อนหน้าเอาแต่ปลอมตัวปกปิดฐานะแท้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผู้อาวุโสซูคง!”
ในที่นั้นผู้บำเพ็ญมรรคแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณที่แต่เดิมตะลึงอึ้งค้าง ยามนี้กลับเปี่ยมด้วยแววฮึกเหิม
ซูคง นี่เป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าน่าสะพรึงที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ขั้นสองเชียว!
‘ท่าไม่ดี!’
เซียวชิงเหอหน้าเปลี่ยนสี จำตัวตนของซูคงได้ รีบร้อนสื่อจิตบอกหลินสวิน
ยามนี้ดวงตาของหลินสวินก็หดรัดลงเช่นกัน เขากำลังตั้งท่าจะเริ่มสังหารครั้งใหญ่ ไม่คิดเลยว่าจะมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งโผล่ออกมา สิ่งนี้ทำให้เขาออกจะตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง
สถานการณ์พลิกผันเหนือคาดในยามนี้!
ระดับราชันที่เหยียบย่างมรรคาอมตะผู้หนึ่ง หาใช่ระดับราชันทั่วไปจะเทียบเทียมได้ ไม่ว่าเจ้าจะเย้ยฟ้าในระดับกระบวนแปรจุติเพียงใด เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลระดับนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นฟางแสนเปราะบาง
“ไปเร็ว!” เซียวชิงเหอลุกลนยิ่ง
หลินสวินย่อมรู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ร้ายแรง จึงเรียกยานขนส่งอวกาศออกมาโดยไม่จำเป็นต้องร้องเตือนสักนิด
วู้ม!
ยานสมบัติสีเงินมีแสงแวววาวศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน หลินสวินคว้าเซียวชิงเหอแล้วตั้งท่าเผ่นหนี
แต่เวลานี้เองซูคงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ตูม!
พริบตานั้นฟ้าดินสั่นสะเทือน ภูเขาละแวกนี้พังครืนอย่างไร้สุ้มเสียง ต้นไม้ใบหญ้าแหลกกระจุย ห้วงอากาศอลหม่านปั่นป่วน
“เคลื่อนไหวอุกอาจหน้าประตูภูเขาแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเรา หากปล่อยพวกเจ้าหนีรอด ข้าซูคงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
เงาร่างกร้าวแกร่งของซูคงดั่งเทพไท้ พาดผ่านห้วงอากาศ เขายื่นมือใหญ่ออกมาข้างหนึ่ง แผ่คลุมลงมาดุจดั่งครอบงำผืนฟ้า
ดูเหมือนเนิบนาบราบเรียบ แต่ทันทีที่ฝ่ามือนี้โผล่ออกมากลับคล้ายหัตถ์สวรรค์ ลวดลายแต่ละข้อนิ้วล้วนชัดแจ้ง ราวกับประทับร่องรอยมหามรรคไว้บนนั้น
และกลางฝ่ามือนั่นปรากฏลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึง ทั้งตะวันดิ่งฮวบจันทราร่วงหล่น ห้วงอากาศผันเปลี่ยน เทพมารกู่ร้องเป็นต้น แต่ละลักษณ์ประหลาดต่างเป็นตัวแทนของเคราะห์สังหารอย่างหนึ่ง
ลักษณ์ประหลาดมากมายเช่นนี้รวมอยู่กลางฝ่ามือ แผ่ลงมาประหนึ่งครอบฟ้าคลุมดิน ภาพนี้น่าสะพรึงอย่างที่สุด
นี่ก็คือระดับราชันที่เหยียบย่างมรรคาอมตะ!
และถูกมองว่าเป็น ‘ผู้เป็นอมตะ’ พลังมหามรรคที่ครอบครองอยู่เหนือกว่าขอบเขตที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปจะทำความเข้าใจได้ตั้งนานแล้ว สามารถชักนำฟ้าดิน เปลี่ยนมหามรรคทั้งปวงมาใช้ได้เอง!
เผชิญหน้ากับบุคคลระดับนี้ ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาเผชิญหน้าเทพเซียน
ความเร็วของยานขนส่งอวกาศรวดเร็วยิ่ง แต่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของซูคงเร็วยิ่งกว่า ไม่ให้โอกาสหลินสวินและเซียวชิงเหอหลบหนีสักนิด
เมื่อฝ่ามือนี้แผ่ครอบลงมา ทั้งสองเพิ่งจะเหยียบขึ้นยานสมบัติอย่างทุลักทุเล คิดหนีก็สายเกินไปเสียแล้ว
ในช่วงอันตรายไร้ใดเปรียบนี้ หลินสวินเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด เตรียมใช้งานขวดมหามรรคไร้ขอบเขต!
แต่เหนือความคาดหมาย ยามนี้เซียวชิงเหอถึงกับยืนจังก้าขวางเบื้องหน้าเขา ชูมือเรียกยันต์สีม่วงออกมา
บนยันต์นั้นประทับลวดลายปริศนาอริยมรรคที่บิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน เรืองแสงหลากสีสันเจิดจ้ากลางอากาศ สว่างไสวจนราวกับอาทิตย์สีม่วงดวงใหญ่ส่องสะท้อนสรรพสิ่ง!
ปึง!
อานุภาพแผ่ครอบของมือใหญ่ถูกยันต์สีม่วงสกัดไว้ ส่งเสียงระเบิดกระแทกสะเทือนโสต
ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้ๆ ต่างร่างสั่นเทิ้ม ประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาด แทบกระอักเลือดออกมาอย่างทุรนทุราย การปะทะของพลังระดับนี้น่าหวาดกลัวและยิ่งใหญ่เกินไป ทำให้พวกเขาก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
“ยันต์ที่เขียนโดยอริยะหรือ เฮอะ! น่าเสียดายปราณเจ้าต่ำเกินไป ไม่เพียงพอจะใช้พลังของสมบัติชิ้นนี้แม้แต่น้อย! ทำลายมันให้ข้า!”
ซูคงตกตะลึงก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นจึงหัวเราะเสียงเย็น มือใหญ่ปานครอบฟ้านั้นร้องคำราม บดขยี้ห้วงอากาศร่วงหล่นลงมาเรื่อยๆ
โครม!
พลังศักดิ์สิทธิ์ของยันต์สีม่วงถึงกับส่อเค้าว่าจะต้านไม่อยู่
ในเวลาเดียวกันสีหน้าเซียวชิงเหอก็เริ่มซีดเผือด ร่างซวนเซวูบหนึ่ง กระอักเลือดออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
“มัวอึ้งทำอะไรอยู่ ไปเร็ว!”
เขาคำรามเดือดดาล พยายามกระตุ้นยันต์สีม่วงสุดกำลัง
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฝืนระงับไอสังหารในใจตนเอาไว้ บังคับยานขนส่งอวกาศแล่นปราดไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
ซูคงตั้งท่าจะไล่ล่าโจมตี กลับต้องตกใจเมื่อพบว่าความเร็วของยานขนส่งอวกาศนั้นรวดเร็วเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง เพียงพริบตาก็ถึงกับมองไม่เห็นร่องรอยแล้ว
“คิดไม่ถึงว่าในมือเจ้าเด็กนี่ถึงขั้นยังมียานสมบัติอริยมรรคอยู่ลำหนึ่ง…” นัยน์ตาซูคงวาบแสงศักดิ์สิทธิ์ชวนสยอง
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนอื่นๆ ต่างพากันอึ้งงัน คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าแม้แต่คนระดับราชันอย่างซูคงออกโรงโจมตี ก็ยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้ได้
ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาต่างไม่ยินยอมยิ่ง
ในการต่อสู้เมื่อครู่ ทำเอาระดับกึ่งราชันคนหนึ่งของฝั่งพวกเขาถูกสังหาร ราชันกึ่งระดับอีกสองคนเจ็บหนักปางตาย
ความเสียหายนี้ดูเหมือนไม่ใหญ่หลวง แต่หากแพร่งพรายออกไป ไม่ว่าอย่างไรก็เห็นชัดว่าไม่ค่อยสร้างสรรค์สักเท่าไร และจะทำลายชื่อเสียงของพวกเขาแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณด้วย
“กลับไปแจ้งสำนัก ระดมกำลังทั้งหมดจับกุมเทพมารหลิน!”
ซูคงสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำการตัดสินใจ จากนั้นเงาร่างเขาพริบไหว พุ่งปราดออกไปยังทิศทางที่พวกหลินสวินหลบหนี
……
ตุ้บ!
ยานขนส่งอวกาศเพิ่งเหาะเหินออกมาไม่ทันไร เซียวชิงเหอก็ซวนเซทรุดนั่งลงกับพื้นดังตุ้บ เขากระอักเลือดคำโต ส่งเสียงอู้อี้อย่างเจ็บปวด
ส่วนยันต์สีม่วงนั้นเรียกเก็บกลับมาไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลินสวินเอ่ยถาม
“วางใจเถิด ยังตายไม่ได้”
เซียวชิงเหอปาดคราบเลือดบริเวณมุมปาก แสยะยิ้มกล่าวว่า “แต่ที่น่าเสียดายคือเปลืองยันต์แผ่นนั้นไปกับหมาเฒ่าอมตะตัวหนึ่งเสียได้ โคตรไม่คุ้มเลย”
หลินสวินนิ่งเงียบพักหนึ่งค่อยกล่าวว่า “แค้นนี้ข้าจะช่วยเจ้าคิดบัญชีคืนมาสิบเท่า!”
ก่อนหน้านี้เซียวชิงเหอขวางการโจมตีของซูคงอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อช่วยตน สิ่งนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกซาบซึ้งอย่างที่สุดเช่นกัน ในใจไหวสะเทือนไม่สิ้น
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติต่อเซียวชิงเหอในฐานะสหายธรรมดา เช่นนั้นตอนนี้ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ความทุกข์ยากสร้างสัมพันธ์แท้จริง
คำกล่าวนี้แม้จะแสนธรรมดา แต่กลับเป็นเหตุผลสูงสุดที่ไม่อาจสั่นคลอนให้แตกหักได้ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
และเพราะเป็นเช่นนี้ พอได้เห็นเซียวชิงเหอได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็พาให้ในใจหลินสวินมีความเดือดดาลอย่างควบคุมไม่อยู่
ครั้งนี้ตนก็แค่มาแวะเยี่ยมจ้าวจิ่งเซวียนเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย ถึงขั้นไม่เคยเผยร่องรอยชัดเจนใดๆ อย่างแท้จริง
แต่เห็นชัดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไม่คิดเช่นนั้น ไม่เพียงยกโขยงต่อกรเซียวชิงเหอ ใช้สิ่งนี้มาบีบให้ตนเผยตัว หนำซ้ำยังส่งราชันที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ขั้นสองออกมา หมายจะสังหารตนอีกด้วย!
เรื่องนี้พาให้ใครก็ไม่อาจอดกลั้นไหว!
“ให้เจ้าช่วยข้าแก้แค้นหรือ”
เซียวชิงเหอร้องเสียงหลง กัดฟันกรอดกล่าวว่า “ไม่ได้ ข้าต้องไปคิดบัญชีกับเจ้าเดรัจฉานเฒ่าด้วยตัวเองให้ได้ ระยำเอ๊ย ข้าฝึกปราณจนป่านนี้ยังไม่เคยสะบักสะบอมเหมือนวันนี้มาก่อนเลย!”
จากนั้นเขาพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยิ้มขื่นกล่าวว่า “เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเดรัจฉาจเฒ่านี่ ก็เหมือนกับคำทุกคนบนโลกกล่าวกัน ไม่เคยเป็นราชัน ท้ายที่สุดก็ยังไม่เติบใหญ่ ในสายตาของบุคคลยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ต่อให้เจ้าโดดเด่นเป็นสง่าเพียงใดก็ไม่ต่างอะไรจากมดเลยด้วยซ้ำ”
“เมื่อก่อนข้าไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าอาศัยฐานะผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรานี้ อย่างน้อยก่อนหน้าที่ยังไม่กลายเป็นราชันก็ไม่มีใครกล้าเล่นงานข้า แต่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าสิ่งที่เรียกว่าฐานะก็แค่ขี้หมา ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งแห่งตนจำเป็นต้องกร้าวแกร่งพอจึงจะไหว!”
เอ่ยถึงตอนสุดท้าย หว่างคิ้วเขาฉายแววเหี้ยมโหดแวบหนึ่ง เห็นชัดว่าประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้เขาสะท้านสะเทือนยกใหญ่เช่นกัน
“หืม? เจ้าเดรัจฉานเฒ่านั่นไล่ตามมาแล้ว!”
หลินสวินหรี่ตาลงโดยพลัน ตระหนักได้ว่าข้างหลังมีกลิ่นอายน่าสะพรึงถึงขีดสุดสายหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา
วู้ม!
หลินสวินเร่งยานขนส่งอวกาศสุดกำลังโดยไม่ลังเล ทั้งลำยานเหมือนดั่งสะเก็ดสายฟ้าทะลุผ่านห้วงอากาศสายหนึ่ง
เพียงแต่ที่หลินสวินคิดไม่ถึงคือ การไล่ล่าสังหารเช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องนานถึงสามวันเต็มๆ!
แต่ละครั้งที่เขาและเซียวชิงเหอเพิ่งเข้าสู่เขตเมืองแห่งหนึ่ง ยามที่ตั้งใจจะหยุดพัก ไม่ถึงหนึ่งเค่อซูคงก็ไล่สังหารมาทันแล้ว
หลินสวินเคยใช้ไอซวนหนีระงับกลิ่นอายไว้ แต่ไม่ได้ผลเลยสักนิด!
ระหว่างทางนี้ ไม่พูดถึงเรื่องผลาญผลึกวิญญาณชั้นสูงของหลินสวินจำนวนมหาศาล แถมยังทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกกินแรงไม่น้อยยามที่บังคับยานขนส่งอวกาศอีกด้วย
ไม่ใช่อะไรอื่น เป็นเพราะพลังกายและปราณของเขาถูกผลาญไปด้วยระหว่างที่หลบหนี แต่ซูคงเหมือนหนอนกาฝากเกาะกระดูก ทำให้เขาไม่มีโอกาสฟื้นสภาพปรับตัวแม้แต่น้อย
กลับเป็นเซียวชิงเหอที่ผ่านการพักรักษาตัวมาหลายวัน อาการบาดเจ็บได้ฟื้นตัวจวนจะหายแล้ว
“เจ้าเดรัจฉานเฒ่านั่นเกาะแจเป็นวิญญาณตามติด เหตุใดเจ้าถึงวางแผนจะเข้าเมืองอยู่อีก”
วันนี้เซียวชิงเหอเห็นหลินสวินเก็บยานขนส่งอวกาศยามมาถึงหน้าเมืองแห่งหนึ่ง จึงอดเอ่ยถามอย่างงงงันไม่ได้
“ข้าสงสัยว่ามีคนลอบรายงานข่าวสารให้ซูคงอยู่ในเงามืด”
นัยน์ตาดำสนิทของหลินสวินเย็นเยียบ “หลายวันนี้พวกเราเข้าเมืองทั้งหมดสิบสามเเห่ง แต่ละครั้งไม่ว่าพวกเราซ่อนตัวมิดชิดอย่างไร อย่างมากไม่เกินหนึ่งเค่อก็ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่านั่นหาพบอย่างแม่นยำ โดยพื้นฐานนี่ก็มีปัญหาแล้ว”
จากปราณในปัจจุบันของเขา ขับเคลื่อนไอซวนหนีปิดเร้นกลิ่นอาย แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังยากจะสังเกตเห็น
แต่ครั้งนี้กลับพลาดพลั้งซ้ำซ้อน สิ่งนี้พาให้หลินสวินไม่อาจไม่สงสัยว่าในนี้มีอีกคนกำลังช่วยซูคงอยู่หรือไม่
หรือไม่ก็ซูคงเชี่ยวชาญวิชาลับสะกดรอยบางอย่างที่แข็งแกร่งเพียงพอจะมองข้ามไอซวนหนี
ในใจเซียวชิงเหอเย็นวาบ กล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าวางแผนอย่างไร”
“ลองดูอีกที ดูว่าการไล่ล่าสังหารครั้งนี้มีคนกำลังช่วยเดรัจฉานเฒ่านั่นหรือไม่กันแน่!” นัยน์ตาหลินสวินเผยไอสังหารแวบผ่านวูบหนึ่ง
ตอนที่ 1035 ไข่มุกเลือดเพลิงสัญญาณ
เมืองคทาทราย
นี่คือเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนแคว้นหมึกขาว
เที่ยงวันแสกๆ
หลินสวินและเซียวชิงเหอนั่งบริเวณริมหน้าต่างชั้นสองของหอสุราแห่งหนึ่ง สั่งโต๊ะสุราโต๊ะหนึ่ง เริ่มชนจอกดื่มสุรากัน
“ในสามวันที่ผ่านมานี้พวกเราเข้าไปในเมืองถึงสิบสามแห่ง ทุกครั้งล้วนถูกเจ้าเดรัจฉานเฒ่านั่นหาพบอย่างแม่นยำ หากมีคนลอบรายงานข้อมูลอย่างลับๆ จริง นี่จะต้องไม่ใช่ฝีมือคนๆ เดียวแน่”
เซียวชิงเหอกล่าวพึมพำ
“ถูกต้อง อันที่จริงข้าก็มีคำตอบอยู่ในใจบ้างแล้ว”
หลินสวินดื่มสุราหนึ่งจอก “ค่อยรอเถอะ บางทีคำตอบอาจเฉลยเร็วๆ นี้ก็ได้”
เซียวชิงเหอไม่ถามมากความอีก
เวลาเคลื่อนคล้อยทีละนิด
พริบตาเวลาสองในสามเค่อผ่านไป ยามนี้เองจู่ๆ หลินสวินก็คล้ายสังเกตอะไรขึ้นมาได้ วางจอกสุราในมือลง หันไปส่งสายตาให้เซียวชิงเหอคราหนึ่ง
จากนั้นเงาร่างทั้งคู่ก็หายลับไปจากหอสุรา
……
ถนนตะวันตกเมืองคทาทราย
ที่แห่งนี้เป็นย่านการค้าที่แสนพลุกพล่านขวักไขว่ ผู้คนสามสำนักเก้าอาชีพล้วนคลาคล่ำแน่นขนัด ครึกครื้นจอแจ
บริเวณมุมกำแพงร่มครึ้มแห่งหนึ่งในย่านการค้า มีบุรุษวัยกลางคนผอมซูบคนหนึ่งนั่งอยู่ สวมชุดคลุมนักพรตซอมซ่อ เบื้องหน้าตั้งแผงลอยอันหนึ่ง บนนั้นห้อยกลอนคู่เอาไว้
บทแรก ‘สี่เสาหกลายเส้น พยากรณ์ลางดีร้ายทั่วโลก’
บทหลัง ‘ปัญจธาตุแปดทิศ ทำนายเหตุร้ายฤกษ์งามใต้หล้า’
บุรุษชุดนักพรตนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น สีหน้าเคร่งขรึมลุ่มลึก วางตัวสง่าผ่าเผย
เพียงแต่กิจการของเขากลับเงียบเหงายิ่ง ไร้ผู้คนแวะเวียน แต่บุรุษชุดนักพรตก็ไม่หวั่นไหว แลดูสงบผ่อนคลาย
“ทำนายชะตานี่เจ้าทำนายอย่างไร”
เซียวชิงเหอเดินตรงดิ่งเข้ามา ปรายตาชำเลืองบุรุษชุดนักพรต มุมปากเจือเส้นโค้งขี้เล่น
บุรุษชุดนักพรตหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ กระแอมไอแหบแห้งหนึ่งครา กล่าวว่า “ขอบังอาจถามสหายว่าอยากดูเรื่องใดหรือ”
เซียวชิงเหอเอ่ย “ความเป็นความตาย”
“ความเป็นความตายหรือ” บุรุษชุดนักพรตแววตาลุกโชน หัวเราะแห้งๆ กล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตและผลกรรม คนต่ำต้อยความรู้น้อยด้อยทักษะคงไม่อาจทายทักออกมาได้”
“ข้าทำได้” เซียวชิงเหอสายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา มองเหยียดหยันบุรุษชุดนักพรต แสร้งยิ้มกล่าวว่า “อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าวันนี้เจ้าจะเป็นหรือตาย!”
บุรุษชุดนักพรตเงยหน้าขวับทันควัน
และเวลานี้เองเซียวชิงเหอก็กดฝ่ามือหนึ่งออกไป พลังไร้รูปวูบหนึ่งบีบคั้นลงมา ชั่วพริบตาก็กักขังบุรุษชุดนักพรตอยู่ตรงนั้น ไม่อาจขยับเขยื้อน
บุรุษชุดนักพรตตกใจแกมโกรธ “สหาย นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ผัวะ!
เซียวชิงเหอตบเข้าที่กบาลเจ้าหมอนี่หนึ่งฉาด ผรุสวาท “ไอ้หมาสับปะรังเค ยังทำไขสืออีก!”
บุรุษชุดนักพรตถูกตีจนมึนงง เบื้องหน้าปรากฏดาวสีทอง หน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวร้องว่า “เจ้ายังกล้าลงมือทำร้ายคนด้วยเรอะ”
เซียวชิงเหอถีบเขากลิ้งหลุนๆ บนพื้น จากนั้นเอื้อมมือบีบนิ้วมือที่กำแน่นของเขาแทบแหลก บีบไข่มุกเลือดใสวาวออกมาจากกลางฝ่ามือเขา
“‘ไข่มุกเลือดเพลิงสัญญาณ’ ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ มิน่าเจ้าเดรัจฉานเฒ่านั่นถึงหาพวกเราพบได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะพวกกากเดนหมาทมิฬอย่างพวกเจ้าคอยช่วยเหลืออยู่นี่เอง”
เซียวชิงเหอสีหน้าเย็นชา นัยน์ตาเผยไอสังหาร
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณที่สง่าผ่าเผยอย่างซูคงคนนั้น จะถึงกับลอบสมคบคิดกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่ ‘อาละวาดทั่วทิศ กิตติศัพท์ฉาวโฉ่ลือลั่น’ เสียได้
“เจ้า… เจ้าจะทำอะไร”
บุรุษชุดนักพรตเห็นว่าตัวตนถูกเปิดเผยจึงลุกลนโดยสิ้นเชิง “ในเมื่อรู้ตัวตนของข้า เจ้าก็น่าจะรู้ว่าผลของการล่วงเกินเผ่าข้าจะร้ายแรงแค่ไหนกระมัง”
ผัวะ!
เซียวชิงเหอคร้านจะพูดพล่าม เงื้อมือขึ้นตบอีกฝ่ายจนสลบไปตรงๆ จากนั้นก็หิ้วเจ้าหมอนี่ขึ้นมาเหมือนหิ้วหมาตาย ก่อนหายลับไปจากจุดเดิมโดยพลัน
……
ภายในห้องมืดเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เสียงร้องโหยหวนวังเวงชวนสยองไร้ใดเปรียบดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า บางครั้งก็ผสมกับเสียงหมาหอนพิสดาร พาให้ผู้คนขนลุกขนตั้ง
เคราะห์ดีที่ห้องมืดเล็กๆ นี้ถูกปกคลุมด้วยผนึกต้องห้าม ตัดขาดจากโลกภายนอก หาไม่คงดึงดูดความสนใจจำนวนมากเป็นแน่
ภายใต้การผลัดเปลี่ยนเวียนกดดันจากหลินสวินและเซียวชิงเหอ บุรุษชุดนักพรตคนนี้ถูกทรมานจนน้ำมูกน้ำตาไหล ไม่ทันไรก็ทรุดครืน พูดทุกอย่างออกมาเหมือนกระบอกไม้ไผ่คว่ำก็ไม่ปาน
ที่แท้การร่วมมือกับซูคงในครั้งนี้ก็ตัวตั้งตัวตีคือโก่วซวีสิงนายน้อยเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ออกคำสั่งให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่กระจายตัวอยู่ทั่วแคว้นหมึกขาวร่วมกันเคลื่อนไหว เมื่อไรก็ตามที่ค้นพบร่องรอยหลินสวิน ต้องใช้ไข่มุกเลือดเพลิงสัญญาณส่งต่อข่าวสารแจ้งให้ซูคงทราบในทันที
จนบัดนี้ในที่สุดหลินสวินและเซียวชิงเหอก็เข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้ว หากมีเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคอยช่วยเหลือ การไล่ล่าสะกดรอยอย่างแม่นยำครั้งแล้วครั้งเล่าของซูคงก่อนหน้านี้ก็เข้าใจได้ง่ายยิ่ง
หลินสวินเองก็ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง ต่อให้เคล็ดวิชามหาไร้รูปกับไอซวนหนีเร้นลับขนาดไหน ทว่ากลับไม่สามารถหลบซ่อนจมูกหมาของเจ้าพวกหมาทมิฬนี่ได้ ทำให้เขายังต้องยอมแพ้อยู่บ้าง
พร้อมกันนั้นในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าโก่วซวีสิงคือใคร เป็นนายน้อยเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่เคยไล่ล่าสังหารเขากับซย่าเสี่ยวฉงตลอดทางคนนั้นนั่นเอง!
แน่นอน ขุมกำลังของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแผ่ขยายทั่วดินแดนรกร้างโบราณ โก่วซวีสิงคนนี้เป็นแค่หนึ่งในนายน้อยของเผ่านี้ก็เท่านั้น
แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง รังเก่าของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่อยู่แดนฐิติประจิมถูกกำจัดจนสิ้นซากแล้ว โก่วซวีสิงคนนี้ถึงกับไม่ยอมถอดใจ ไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งตามมาแก้แค้นตนถึงแดนชัยบูรพา จิตแก้แค้นนี้ช่างแรงกล้าเหลือเกิน
ไม่แปลกที่ถึงแม้ผู้ฝึกปราณบนโลกจะดูหมิ่นและเคียดแค้นเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ แต่กลับไม่ค่อยกล้าหาเรื่องเผ่านี้กันเท่าใดนัก ไม่ใช่อะไรอื่น เป็นเพราะกลัวถูกหมาบ้ากลุ่มนี้กัดเอานั่นเอง
“จะจัดการเจ้าหมอนี่อย่างไร” เซียวชิงเหอเอ่ยถาม
หลินสวินหัวเราะน้อยๆ “เจ้าเคยชิมเนื้อหมาหรือไม่”
เซียวชิงเหอเผยสีหน้าสะอิดสะเอียนออกมาทันควัน กล่าวว่า “ของพรรค์นี้เจ้ากินด้วยหรือ ต่อให้ตีจนตายข้าก็ไม่กินหรอก!”
หลินสวินเอ่ยสบายๆ “รอให้เจ้ากินเข้าไปแล้วจะต้องเสียใจที่พูดเช่นนี้แน่”
ยามที่ทั้งคู่พูดคุยกัน บุรุษชุดนักพรตคนนั้นสีหน้าฉายแววตื่นตระหนกและสิ้นหวังตั้งนานแล้ว นั่งตัวสั่นเทาอยู่ในมุมอับของห้องมืดเล็กๆ…
……
สวบ!
แสงเคลื่อนสายหนึ่งแหวกเวิ้งนภาทะลวงอากาศมาเยือนหน้าเมืองคทาทราย
คนผู้นี้หนวดเคราขาวขุ่น เงาร่างทรงพลัง กลางนัยน์ตาดั่งมีสายฟ้าคะนองพันหมื่นสายไหลพล่านอยู่ในนั้น เป็นซูคง ราชันผู้เหยียบย่างอมตะเคราะห์ขั้นสอง
เมื่อมาถึงที่แห่งนี้เขาแผ่จิตรับรู้มหึมาออกไป เพียงชั่วพริบตา สถานที่ทุกบริเวณของเมืองคทาทรายล้วนถูกแผ่ครอบปกคลุม
ผู้คนสัญจรบนท้องถนน นกโฉบบินบนฟากฟ้า มดไต่พื้นดิน ลมพัดหญ้าไหว… ภาพทุกอย่างต่างฉายชัดละเอียดกลางใจ
จากนั้นซูคงก็ย่างเท้าก้าวออกไปประหนึ่งเคลื่อนย้ายชั่วขณะจิต ไม่กี่อึดใจก็มาถึงด้านหน้าแผงลอยทำนายดวงชะตาแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนตะวันตกในเมืองคทาทราย
“ข่าวสารเล่า เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่ส่งมาให้” สายตาซูคงตกอยู่บนร่างบุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านหลังแผงลอยนั้น
“ครั้งนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ทันทีที่เทพมารหลินคนนั้นเข้าเมืองก็หายวับไม่เห็นเงา ไม่ง่ายเลยกว่าผู้น้อยจะค้นพบร่องรอยเพียงเศษเสี้ยวของเขา” บุรุษชุดนักพรตหยัดตัวขึ้น เผยรอยยิ้มประจบ
“เลิกพูดพล่าม เอาไข่มุกเลือดเพลิงสัญญาณมาให้ข้า!”
ซูคงขมวดคิ้ว ทั่วร่างแผ่รัศมีดุดันชวนสยองออกมา
บุรุษชุดนักพรตพยักหน้าหงึกหงัก พลิกมือหยิบขวดหยกมันแพะออกมาหนึ่งขวด
หืม?
ซูคงอึ้งงัน
พร้อมกันนั้นขวดหยกมันแพะวาวใสนั้นพลันเปล่งแสง พ่นพลังผนึกต้องห้ามมรรคราชันอันน่าสะพรึงไร้ขอบเขตออกมา
อานุภาพของมันดั่งอสนีเดือด สะเทือนจักรวาล!
การโจมตีนี้ กร้าวแกร่งไม่ต่างจากการโจมตีสุดกำลังของระดับราชันแท้จริงคนหนึ่ง!
ระลอกคลื่นแข็งกร้าวและยิ่งใหญ่นั้นทำให้ซูคงแข็งทื่อไปทั่วร่าง หัวใจเต้นโครมคราม ตระหนึกถึงอันตรายถึงชีวิต
แย่แล้ว!
ซูคงหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ขับเคลื่อนพลังสุดแรงเกิดตามจิตใต้สำนึก ซัดฝ่ามือหนึ่งออกมา
แต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงเป็นอันขาดก็คือ พริบตาที่เกิดการระเบิดนี้ ยังมีเจตกระบี่เขมือบวิญญาณคร่าชีวิตสายหนึ่งจากเสี่ยวอิ๋นด้วย!
การโจมตีนี้ไร้รูปลักษณ์ มุ่งเล่นงานจิตวิญญาณ พิสดารยากหยั่งถึงอย่างที่สุด
แม้ว่าซูคงมีฐานะเป็นราชันอมตะเคราะห์ขั้นสอง พลังจิตบรรลุขั้นแข็งแกร่งถึงขีดสุดตั้งนานแล้ว แต่ภายใต้การซุ่มโจมตีกะทันหันก็ยังบาดเจ็บอยู่ดี จิตวิญญาณเจ็บปวดราวกับถูกฉีกทึ้ง พาให้ภาพเบื้องหน้าเขาดำมืด
ทุกอย่างพูดแล้วเหมือนช้า แต่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟแลบ
ไวเกินไปแล้ว!
ไวเสียจนสัตว์ประหลาดเฒ่าประสบการณ์โชกโชน ผ่านอะไรมามากอย่างซูคงยังถูกซัดจนตั้งรับไม่ทัน
ขณะที่เขาเฉลียวใจว่าไม่เข้าที พลังทั้งหมดที่สั่งสมในขวดมหามรรคไร้ขอบเขตนั้นก็ซัดใส่ร่างเขาอย่างดุเดือด
ตูม!
ชั่วพริบตาฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนน่าสะพรึงระเบิดออกจากตัวซูคง พลังทำลายล้างน่าหวาดกลัวปกคลุมร่างทรงพลังของเขาจนจมมิด
และเวลานี้เองร่างบุรุษชุดนักพรตคนนั้นก็เปลี่ยนไป กลับสู่สภาพเดิมของหลินสวิน
นี่คือการแก้แค้นครั้งหนึ่งจากหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟ้าดินกู่ก้อง อาคารใกล้เคียงถนนตะวันตกระเบิดกระจุย พื้นดินทรุดครืน ผู้ฝึกปราณแถวนั้นตกใจจนหนีเตลิดเปิดเปิง โกลาหลไปหมด
ดีที่การโจมตีนี้ซัดกระแทกใส่ร่างซูคงเต็มๆ หาไม่ลำพังเพียงควันหลังที่แผ่กว้างออกมาก็เพียงพอจะทำลายล้างพื้นที่แถบนี้ได้!
แต่ว่าไม่อาจไม่พูด สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอมตะเคราะห์ขั้นสองน่าหวาดกลัวเกินไปจริงๆ ครอบครองพลังมหามรรคที่คาดไม่ถึง
แม้ว่าเงาร่างของเขาจะถูกท่วมมิด แต่ก็ยังมีพลังโต้กลับออกมา ในพริบตาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ระเบิดการโจมตีออกมา นิ้วมือราวกับดาบ ผ่าฟันอากาศลงมา
เคร้ง!
หลินสวินที่เรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ต้านการโจมตีครั้งนี้ได้อย่างหวุดหวิด แต่พลังอันกร้าวแกร่งนั้นยังคงซัดสะเทือนจนหลินสวินลอยคว่ำออกไปเหมือนว่าวสายป่านขาด แน่นหน้าอกจนเกือบกระอักเลือดออกมา
สิ่งนี้พาให้เขาหน้าเปลี่ยนสี บังคับยานขนส่งอวกาศหลบหนีออกไป
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างอันทรงพลังของซูคงก็หลุดพ้นออกมาจากการปกคลุมของแสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ ส่งเสียงแผดคำรามออกมา “ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าจะต้องฟันเจ้าพันดาบเฉือนเจ้าหมื่นครั้งให้จงได้!”
น้ำเสียงดั่งฟ้าคำรามก้องกระหึ่มทั่วเวิ้งนภา ซัดสะเทือนจนทั่วทั้งเมืองคทาทรายยังเริ่มสั่นสะเทือน
ซูคงในเวลานี้หนวดเคราผมคิ้วถูกเผาโล้นเกลี้ยง เสื้อผ้าขาดวิ่น ผิวหนังไหม้เกรียมปริแตก โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก ถูกฉีกทึ้งแหวกเป็นแผลฉีกขาด เลือดเนื้อปะปน เป็นที่น่าสยดสยองยิ่ง
สภาพนั้นน่าสังเวชและสะบักสะบอมเกินไปจริงๆ บุคคลระดับอมตะเคราะห์ขั้นสองที่แสนสง่าคนหนึ่ง กลับหมดสภาพหน้าเปื้อนโคลนผมคลุกฝุ่นเช่นนี้ สิ่งนี้พาให้เขาโกรธจนแทบกระอักเลือด ความอัปยศใหญ่หลวงก่อตัวในใจ
ตูม!
เขาพุ่งทะยานขึ้นฟ้าโดยไม่ลังเลใดๆ ไล่ล่าสังหารไปตามทางที่หลินสวินหลบหนี ประหนึ่งมังกรคลั่งเดือดดาลตัวหนึ่ง
และในเมืองคทาทราย ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างขวัญหนีดีฝ่อ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ล้วนรู้สึกใจหายใจคว่ำที่หนีรอดจากความตายมาได้
มรรคราชันที่ซูคงปล่อยออกมาเมื่อครู่นั้นอานุภาพน่าหวาดกลัวเกินไปจริงๆ!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาใจสะท้านก็คือ ใครกันแน่ถึงกับกล้าลงไม้ลงมือกับผู้เป็นราชันคนหนึ่ง
“บอกแต่แรกแล้ว ว่าต่อให้อาศัยสมบัติอริยะก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าเดรัจฉานเฒ่าอย่างซูคงให้ตายได้”
บนยานขนส่งอวกาศ เซียวชิงเหอถอนหายใจเบาๆ
“อย่างน้อยทำให้เขาได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดสักหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ในใจหลินสวินรู้สึกขัดใจน้อยๆ
พลังจตุลักษณ์ราชันที่สั่งสมในขวดมหามรรคไร้ขอบเขต แต่ละครั้งล้วนต้องสิ้นเปลืองผลึกวิญญาณชั้นสูงสามหมื่นกว่าผลึก ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว
และยามนี้พลังเช่นนี้กลับสามารถทำได้แค่ทำให้ซูคงบาดเจ็บเท่านั้น ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าผู้เป็นราชันที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์นั้นช่างแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
“ฮ่าๆ ก็จริง ยามนี้เกรงว่าเจ้าเดรัจฉานเฒ่านั่นคงโกรธจนคลั่งไปแล้ว”
เซียวชิงเหออดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ การซุ่มโจมตีปุบปับครั้งนี้ประสบความสำเร็จยิ่ง แม้จะไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายจนตาย แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายสะบักสะบอมเหลือทน อับอายขายขี้หน้าได้ ช่างสุขใจยิ่งนัก
ตอนที่ 1036 ท่านปู่น้อยหก
ซูคงโกรธจนคลั่งแล้วจริงๆ
ครั้งนี้เขาออกโจมตีด้วยตัวเอง แถมยังมีเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคอยช่วยเหลืออีก เดิมทีคิดว่าต้องกำชัยแน่ๆ แต่เวลาหลายวันมานี้กลับถูกอีกฝ่ายหนีพ้นการไล่ล่าสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งนี้พาให้เขายากจะจินตนาการ
จวบจนหนนี้เขาถึงขั้นถูกอีกฝ่ายวางกับดัก ตกหลุมพรางอย่างจัง ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ว่า ยังเสียหน้าอีก นี่จะให้เขาทนไหวได้อย่างไร
เขากล้าฟันธงเลยว่าไม่ทันข้ามวัน ข่าวที่ตนได้รับบาดเจ็บจะต้องแพร่กระจายทั่วแคว้นหมึกขาวแน่นอน
“ไอ้เด็กเหลือขอ คราวนี้เจ้าตายแน่!”
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ซูคงคิดจัดการหลินสวินเพราะมีความคิดจะแก้แค้นแทนผู้น้อยในสำนัก เช่นนั้นเวลานี้เขายากจะลงจากหลังเสือแล้ว มีแต่ต้องฆ่าหลินสวินสิ้นชีพเท่านั้นจึงจะกู้หน้าที่เขาเสียไปกลับคืนมาได้!
แน่นอนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ยามนี้เขามั่นใจแล้วว่าบนตัวหลินสวินไม่ได้มีสมบัติอริยะแค่ชิ้นเดียว!
ของล่อหูล่อตาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ราชันอย่างเขาเลย แม้แต่อิรยะก็เกรงว่าคงตาลุกกันหมด
เพียงแต่ในการไล่ล่าสังหารครั้งต่อมา สถานการณ์กลับเกิดความเปลี่ยนแปลง
หลินสวินหลบหนีตลอดทาง เข้าไปในเมืองต่างๆ บ่อยครั้ง แถมแต่ละครั้งที่เข้าไปในเมืองก็สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬในเมืองตายตั้งแต่จังหวะแรก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ซูคงสูญเสียหูตาไปทันที การสะกดรอยตามถูกปิดกั้น ไม่ทันไรก็หาร่องรอยของหลินสวินไม่พบโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว
สิ่งนี้พาให้เขาโกรธจนเกือบคลุ้มคลั่ง
และเวลานี้เองภายในอาณาเขตแคว้นหมึกขาว ข่าวเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล่าตัวเทพมารหลินก็สร้างคลื่นโกลาหลระลอกใหญ่ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดไม่รู้ตั้งเท่าไร
ควรรู้ว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เผ่าวาทวาโยเพิ่งเปิดตัว ‘กระดานเกียรติภูมิผู้กล้า’ รอบใหม่ ข่าวเกี่ยวกับเทพมารหลินสร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ในนครหยกขาว จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดาน ได้รับความสนใจจากทั่วทั้งแดนชัยบูรพาในบัดดล
และยามนี้เทพมารหลินยังปรากฏตัวที่แคว้นหมึกขาว เกิดความขัดแย้งกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอีก นี่จะไม่ให้ผู้คนตื่นตกใจได้อย่างไรกัน
“นี่เทพมารหลินกำลังเล่นอะไรอยู่ หลังจากก่อเรื่องกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ใหญ่ในแคว้นกู่ชางและสำนักกระบี่เทียมฟ้าในนครหยกขาว นี่ยังจะมาป่วนในแคว้นหมึกขาวอีกหรือ”
ผู้ฝึกปราณมากมายเดาะลิ้น คิดว่าหลินสวินเหี้ยมหาญเกินไปชัดๆ เสมือนว่าบนโลกใบนี้ไม่มีขุมอำนาจใดที่เขาไม่กล้าล่วงเกิน
และหลังจากที่ข่าวเกี่ยวกับราชันอย่างซูคงได้รับบาดเจ็บสาหัสที่เมืองคทาทรายแพร่งพรายออกไป ทั่วแคว้นหมึกขาวก็ฮือฮาโดยสมบูรณ์
ซูคงเป็นถึงราชันอมตะเคราะห์ขั้นสองคนหนึ่ง ใช่ว่าคนทั่วไปจะทัดเทียมได้ แต่ถึงกับได้รับบาดเจ็บ! นี่ก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้!
“ซูคงก็อายุปูนนี้แล้ว ในฐานะผู้อาวุโส เดิมทีไปล่าสังหารเทพมารหลินก็เข้าข่ายผู้ใหญ่รังแกเด็ก เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้กลับดีนัก ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ดันถูกเทพมารหลินโจมตีจนบาดเจ็บเสียได้!”
“เห ซูคงผู้นี้ก็ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนหนึ่ง ยามนี้กลับ… เสียเชิงเด็กรุ่นหลัง พาให้ผู้คนปลงอนิจจังนัก!”
เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ซูคงก็โกรธจนแทบกระอักเลือด สำหรับเขา ไม่มีคำวิจารณ์อะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่า ‘เสียเชิงเด็กรุ่นหลัง’ แล้ว
สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งมุ่งมั่นตั้งปณิธานจะสังหารหลินสวินมากขึ้นเรื่อยๆ เสาะหาร่องรอยของหลินสวินทุกแห่งหน เหมือนคนบ้าคลั่งไม่มีผิด
และเมื่อแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณรู้ข่าวเหล่านี้ก็หัวเสียและจนวาจาไปพักหนึ่ง รู้สึกวางหน้าไม่สนิทอยู่หน่อยๆ ลอบระดมพลังในมุมมืดเพื่อร่วมช่วยเหลือซูคงเสาะหาร่องรอยของหลินสวินไม่รู้ตั้งเท่าไร
เพียงแต่พวกเขาคงคิดไม่ถึงสักนิด ว่ายามนี้หลินสวินกำลังกินเนื้อหมากับเซียวชิงเหออย่างเบิกบานสำราญใจ แถมยังอยู่ในหุบเขาลึกห่างจากเขาสามกระจ่างออกไปไม่ถึงสามพันลี้
กองไฟระอุคุโชน บนตะแกรงย่างน่องหมาทมิฬขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง ย่างจนเหลืองเกรียมมันเยิ้ม กลิ่นเนื้อสัตว์หอมฉุยเช่นนั้นพาให้เซียวชิงเหออดกลืนน้ำลายซ้ำๆ ไม่ได้
ข้างๆ เขามีกองกระดูกที่ถูกแทะจนสะอาดเกลี้ยงเกลื่อนพื้นตั้งนานแล้ว
แต่เวลานี้เขายังคงรู้สึกว่าสามารถขยุ้มกินได้อีกสามร้อยยก!
ไม่ใช่อะไรอื่น เนื้อหมาทมิฬนี่เอร็ดอร่อยเกินไปแล้วจริงๆ คุณภาพเนื้อแน่นพ่วงพี คลุกเคล้าเกลือแกงและเครื่องเทศปรุงรสสักหน่อย รสชาตินั้นเรียกได้ว่าวิเศษล้ำทีเดียว
“ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกว่าตีเจ้าตายก็ไม่กินเนื้อหมาทมิฬหรือ” หลินสวินจดจ่ออยู่กับการย่างน่องหมาทมิฬ และไม่วายเอ่ยปากแซะเซียวชิงเหอหนึ่งประโยค
“เอ้อ”
เซียวชิงเหอหัวเราะแหะๆ กล่าวราวกับคนหน้าไม่อาย “ก็ไม่ใช่ยังไม่ได้ตีตายหรือ พูดตามตรง เนื้อหมาทมิฬนี่ถึงจะขึ้นเหลาไม่ได้ แต่รสชาตินี้ช่างวิเศษสุดจะเอ่ยจริงๆ”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาก็อดทำปากจุ๊ๆ หนึ่งคราไม่ได้ สายตาที่มองน่องหมาทมิฬสีเหลืองทองมันเยิ้มบนตะแกรงย่างก็เปลี่ยนเป็นอดใจรอไม่ไหวน้อยๆ
ไม่นานนักหลินสวินก็ฉีกแบ่งน่องหมาทมิฬที่ย่างสุกแล้วยื่นให้เซียวชิงเหอส่วนหนึ่ง ทั้งคู่ต่างไม่พูดมากความอีก ก้มหน้าก้มตาสวาปามทันที
จนกระทั่งกินอิ่มแปล้ยัดไม่ไหว คราวนี้เซียวชิงเหอถึงตบหน้าท้อง ทอดมองเมฆเคลื่อนบนฟากฟ้า ทอดถอนใจกล่าวงึมงำ “สบายนัก พวกเราฝึกปราณ หากมีเนื้อหมาทมิฬคอยอยู่เคียงข้างทุกๆ วันจะโชคดีแค่ไหนกันนะ”
“ตราบใดที่เจ้าไม่กลัวเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬไล่สังหาร ก็สามารถเสกความปรารถนานี้ให้เป็นจริงได้ทุกเมื่อ” หลินสวินชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่ก็เป็นจอมตะกละคนหนึ่งเหมือนกัน
“จะว่าไป พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไร” เซียวชิงเหอเอ่ยถาม
“ไม่รีบร้อน แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไม่ได้กำลังล่าตัวข้าอยู่หรือ ทำมาไม่ทำกลับเสียมารยาทนัก ก่อนออกเดินทาง ข้าเองก็ต้องมอบ ‘ของขวัญชิ้นใหญ่’ ให้พวกเขาสักชิ้นเหมือนกัน”
หลินสวินหยัดตัวขึ้น นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึก ทอดมองยังทิศทางไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา
“ของขวัญชิ้นใหญ่…”
เซียวชิงเหออึ้งงัน จากนั้นกลางนัย์ตาก็วาบแววพิกล
“มาแล้ว!”
และเวลานี้เอง เงาร่างหลินสวินพริบไหวกลางอากาศ พลันอันตรธานหายลับไป
……
ห้วงอากาศไกลออกไป ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณในชุดนักพรตสีเหลืองอิฐกลุ่มหนึ่งแล่นปราดไปยังเมืองเนินยุทธ์
ผู้ที่นำหน้าสุดคือชายหนุ่มรูปงามรูปร่างกำยำ เรือนผมสีดำปลิวสยายประบ่า รอบเอวผูกสายรัดหยกขาว เท้าสวมรองเท้าเมฆหมึก ทั่วร่างพรุ่งพรูแสงมรรคลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ว่ายเวียนไม่รู้จบ พาให้อานุภาพของเขาผงาดผยองและกำแหง
เพียงแต่เวลานี้สีหน้าของชายหนุ่มรูปงามคนนี้กลับอึมครึมจนน่ากลัว พาให้กลุ่มคนที่คอยติดตามอยู่ข้างกายเขาต่างเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
คนผู้นี้คือซูซิงเฟิงนั่นเอง!
ปีนั้นเขา เซียวหรัน กงหยางอวี่ เหวินเสียง และอวิ๋นเช่อไปเยือนโลกชั้นล่างด้วยกันภายใต้การนำของเกาหยาง ผู้อาวุโสสายนอกของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
“ศิษย์พี่ซู เทพมารหลินคนนั้นเจ้าเล่ห์ไร้ใดเปรียบ ถึงแม้จะกร้าวแกร่ง แต่ไม่มีทางทำร้ายผู้อาวุโสซูคงจนบาดเจ็บได้แน่นอน จากความเห็นของข้า ผู้อาวุโสซูคงต้องถูกเทพมารหลินคนนี้วางกับดักเป็นแน่”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่ว คล้ายกำลังปลอบใจ
“เรื่องนี้มันแน่อยู่แล้ว เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าโง่จนมองไม่ออกแม้กระทั่งเรื่องแค่นี้” ซูซิงเฟิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงเจือความโกรธอันยากจะควบคุม
ชายหนุ่มสีหน้าแข็งทื่อ ยิ่งเงียบพูดไม่ออก
“รีบไปเร็ว ข้าล่ะอยากเห็นนัก ไม่เจอกันหลายปี หลินสวินจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่!” ซูซิงเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก เหาะเหินมุ่งตรงไปข้างหน้า
ซูคงเป็นปู่น้อยหกของเขา เหตุที่ครั้งนี้ออกโจมตีจัดการหลินสวินก็เพราะมีใจอยากช่วยซูซิงเฟิงแก้แค้น
แต่ยามนี้ซูคงไม่เพียงไม่อาจทำสำเร็จ ตรงข้ามกลับถูกวางหลุมพราง สิ่งนี้พาให้ซูซิงเฟิงตื่นตกใจเป็นล้นพ้น ในใจเกิดความแค้นใหญ่หลวงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เพราะต้องการไปล่าสังหารหลินสวินเท่านั้น แต่ยังอยากดูเสียหน่อยว่าวันนี้หลังผ่านไปหลายปี เด็กหนุ่มที่ปีนั้นทำให้ตนอับอายขายขี้หน้า หนีหัวซุกหัวซุนในแดนลับอสูรมารอริยะแห่งแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์คนนี้ จะเติบใหญ่ถึงขั้นไหนแล้วกันแน่
หืม?
เพียงแต่มุ่งหน้าไม่ทันไร ซูซิงเฟิงก็อึ้งงัน เบิกตากว้างกล่าวว่า “ท่านปู่หก เหตุใดท่านจึงกลับมาแล้ว”
ห้วงอากาศเบื้องหน้ามีเงาร่างทรงพลังสายหนึ่งพุ่งปราดออกมา หนวดเคราขาวขุ่น ทั่วร่างปลดปล่อยอานุภาพบีบคั้นผู้คน
เวลานี้เอง กลุ่มคนข้างกายซูซิงเฟิงต่างพากันโค้งคำนับ “คารวะผู้อาวุโสซูคง!”
ซูคงกวาดสายตามองคนทั้งกลุ่ม ท้ายที่สุดก็ตกบนร่างซูซิงเฟิง กล่าวว่า “ซิงเฟิง นี่พวกเจ้าจะทำอะไรกัน”
ซูซิงเฟิงกัดฟันกรอดกล่าวว่า “ข้าจะไปดูเจ้าเหลือขอหลินสวินนั่นให้เห็นกับตา เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเท่านั้น เด็กหนุ่มต้อยต่ำจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งอย่างเขาจะเปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ในน้ำเสียงเผยแววเคียดแค้นและไม่ยินยอมเปี่ยมล้น
ซูคงร้องอ้อหนึ่งครา กล่าวว่า “เจ้ารู้สึกขัดใจที่ถูกเจ้าเด็กนั่นเหนือกว่า หรือว่าไม่อาจทำใจยอมรับความจริงว่าเขากร้าวแกร่งขึ้นมากยิ่งกว่าเจ้ากันแน่”
ซูซิงเฟิงสีหน้าแข็งทื่อน้อยๆ เนิ่นนานกว่าจะพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านปู่หกพูดถูกต้อง มีความคิดเช่นนี้จริงๆ”
เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง
“การฝึกปราณ สิ่งแรกต้องยอมรับความจริง ยอมรับศักยภาพของตน ซิงเฟิงจิตใจคับแคบเช่นนี้ จากนี้ไปเกรงว่าคงยากจะประสบความสำเร็จ”
ซูคงทอดถอนใจ
“ท่านปู่หก ข้า…”
ซูซิงเฟิงอ้าปากตั้งท่าจะแก้คำ ก็เห็นซูคงสีหน้าเคร่งขรึม อานุภาพไร้รูปแผ่กว้างกระจายออก ตะโกนเสียงดังว่า “ยังจะแก้ตัวอีก ข้าดูแล้วเจ้าน่ะถูกความเลอะเลือนครอบงำจนใจมืดบอด ยังไม่คุกเข่ายอมรับผิดอีก!”
เสียงดั่งฟ้าคำรามยามเงียบสงบ ซัดสะเทือนจนสองหูซูซิงเฟิงอื้ออึง จิตใจกวัดแกว่ง คุกเข่าฮวบกลางอากาศโดยไม่รู้ตัว
แต่จากนั้นเขาก็เฉลียวใจว่าไม่ถูกต้อง ท่านปู่หกฟูมฟักรักใคร่ตนเรื่อยมา พูดจาก็ไม่เคยเกรี้ยวกราดเช่นนี้มาก่อน วันนี้เป็นอะไรไป
เขาอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ พอมองครานี้ก็ทำให้เขาสังเกตเห็นจุดไม่เข้าทีทันควัน
‘ท่านปู่หก’ ตรงหน้าคนนี้ถึงแม้รูปร่างท่าทางล้วนเหมือนกับภาพจำของตนทุกประการ แต่กลิ่นอายกลับอ่อนแอเกินไปอย่างเห็นได้ชัด ขาดอานุภาพเฉพาะตัวที่เป็นส่วนหนึ่งของระดับราชันอมตะเคราะห์ไป
ยิ่งกว่านั้นสายตาที่มองตนก็ยังชอบกล ถึงกับเจือกลิ่นอายล้อเลียนคล้ายมีแต่ไม่มีเสี้ยวหนึ่ง!
“เจ้าไม่ใช่ท่านปู่หก!” ซูซิงเฟิงกล่าวเดือดดาล
คนอื่นๆ ต่างก็อึ้งงัน มึนงงไปหมด
กลับเห็น ‘ซูคง’ หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “เจ้าอยากนับข้าเป็นปู่ แต่ข้าไม่อยากนับเจ้าเป็นหลานหรอกนะ!”
เมื่อสิ้นเสียง ‘ซูคง’ ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง กลายร่างเป็นคนหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง เป็นหลินสวินนั่นเอง
เมื่อเห็นหลินสวิน กอปรกับได้ยินเสียงหัวเราะลั่นที่เจือแววเหยียดหยัน ใบหน้าหล่อเหลาของซูซิงเฟิงคับแค้นจนแดงก่ำขึ้นมาทันควัน ผมยาวทั่วศีรษะปลิวสยาย โกรธจนควันออกเจ็ดทวาร
เขาดีดตัวดังผึง โมโหจนผมตั้ง ชี้นิ้วสั่นระริกไปทางหลินสวิน “หลินสวิน ไอ้เหลือขออย่างเจ้าถึงกับกล้าทำข้าขายหน้าเช่นนี้เชียว!”
เขาโกรธจนแทบคลุ้มคลั่งจริงๆ เมื่อครู่เขาถึงกับคุกเข่าต่อหน้า ‘คู่แค้น’ ของตน ถึงแม้จะถูกตบตา แต่สุดท้ายก็อัปยศเกินไปอยู่ดี หากข่าวอื้อฉาวพรรค์นี้แพร่งพรายออกไป ชั่วชีวิตนี้เขาคงโงหัวไม่ขึ้นเป็นแน่
“เทพมารหลิน เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”
“น่าชังนัก!”
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา สีหน้าแปลกพิลึกไร้ใดเปรียบ
หลินสวินระบายยิ้มสดใส ไม่ว่าอีกฝ่ายจะด่าว่าอย่างไรเขาก็ไม่พูดมากความอีก เงาร่างพริบไหว เหยียบย่างห้วงอากาศพุ่งพรวดสู่เบื้องหน้า ซัดโจมตีอย่างอุกอาจ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น