Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1027-1030

ตอนที่ 1027 เขามาเพื่อแก้แค้น

 

วันนั้นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มลึกลับคนหนึ่งทำลายสถิติห้าหอแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งนครหยกขาวราวกับลมพายุ


พลันเกิดความฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่


“คนผู้นั้นเป็นใคร”


ผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างตกใจ อยากรู้ฐานะของผู้ทะลวงห้าหอ


……


“ทำลายสถิติห้าอันของอวิ๋นชิ่งไป๋ภายในวันเดียว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย!”


“อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นถึงบุคคลระดับตำนานไร้พ่าย วันนี้ในที่สุดฐานะของเขาก็จะถูกโค่นล้มแล้วงั้นหรือ”


ผู้คนมากมายตกใจกับข่าวนี้


……


“นั่นเป็นเพียงแค่สถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีที่แล้ว ในเมื่อเป็นสถิติ ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะถูกทำลาย เหตุใดต้องตกใจถึงเพียงนี้”


“ไม่ผิด เพียงแค่สถิติเมื่อสิบปีที่แล้วเท่านั้น แน่นอนว่าไม่สามารถโค่นล้มฐานะของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้”


และมีผู้ฝึกปราณที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้


……


แต่ในสำนักกระบี่เทียมฟ้ากลับสามารถใช้คำว่าวุ่นวายอลม่านและกระสับกระส่ายมาเปรียบเทียบได้แล้ว


มีคนโกรธ มีคนร้อนรน และมีคนรับไม่ได้ ร้องโวยจะไปสังหารหลินสวิน


แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าหลินสวินเป็นใคร


สิ่งที่น่าอึดอัดที่สุดก็คือตรงนี้ เพียงแค่เด็กหนุ่มที่มีที่มาไม่ชัดเจนเท่านั้น แต่ไม่เพียงทำลายสถิติห้าอันของอวิ๋นชิ่งไป๋ จวบจนกระทั่งตอนท้าย พวกเขาในฐานะเจ้าถิ่นนครหยกขาวยังไม่อาจรับรู้ฐานะของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ นี่ถ้าเผยแพร่ออกไปจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกมากแน่


……


ข่งหลิงสีหน้าเย็นชา หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความอึมครึม


ตอนนี้นางเดินอยู่บนถนนที่เจริญรุ่งเรือง ในใจมีความเคียดแค้นและอับอายที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้


อวิ๋นชิ่งไป๋เพิ่งให้กระบี่แสงราตรีกับนางวันนี้


แต่วันนี้เอง กระบี่นั่นก็ถูกช่วงชิงไป นี่ทำให้ข่งหลิงเกือบจะคลั่ง


ในฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎอันดับที่สามของสิบสามกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า ข่งหลิงมีต้นทุนมากพอที่จะเย่อหยิ่ง


นางบุคลิกสง่าไร้เทียมทาน พลังต่อสู้โดดเด่น ถือกำเนิดจากเผ่าโบราณนกยูงห้าสีอันลึกลับ ไม่ว่าในด้านใดล้วนเรียกได้ว่าสูงล้ำ


แต่ในวันนี้นางกลับพบเจอวันที่สะบักสะบอมและมืดมนที่สุดในชีวิต!


‘อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าเจ้าเป็นใคร!’


ในดวงตาคู่ใสของข่งหลิงมีเพลิงโกรธพลุ่งพล่าน ชิงชังจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“ยังจะเป็นใครได้อีก แน่นอนว่าต้องเป็นเทพมารหลิน!”


เสียงหนึ่งดังมาจากระยะไกล ทำให้ข่งหลิงที่ตกอยู่ท่ามกลางความขึ้งโกรธและโทษตัวเองรู้สึกตัวกะทันหัน พลันเชยตาขึ้นมองไป


นางกลับมาถึงหอสำแดงมรรคอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว


เพียงแต่ที่แห่งนี้ไม่ได้รกร้างว่างเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้ เงาร่างของผู้ฝึกปราณมากมายมารวมตัวกัน


คนที่ส่งเสียงเมื่อครู่นี้ก็คือชายชุดคลุมดำที่อยู่ท่ามกลางผู้คน มีใบหน้าเยียบเย็น เบ้าตาลึก แผ่กลิ่นอายกระหายเลือดไปทั่วทั้งตัวคนหนึ่ง


“เทพมารหลินไหน” มีคนถาม


“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าคนที่กล้ารับพันดาบหมื่นพิบัติ ช่วงก่อนเขาป่วนจนแคว้นกู่ชางพลิกตลบ ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สั่นสะเทือน สายฟ้าโหมกระหน่ำ พวกเจ้าไม่มีทางไม่รู้หรอกมั้ง”


ชายชุดคลุมดำพูดเสียงเย็น


“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่ทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋คือเขา”


หลายคนยังคงไม่เชื่อ


ชายชุดคลุมดำยิ้มเยาะพูด “แม้เขากลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำได้ ส่วนพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าคร้านจะสนใจ”


ในขณะที่พูดเขาก็ก้าวเท้าออกจากกลางฝูงชน


เพียงแต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกข่งหลิงขวางเอาไว้


“แม่นางนี่เจ้าจะทำอะไร” ชายชุดคลุมดำหรี่ตา ใบหน้าเผยความหวาดเกรงอย่างชัดเจน


“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่เป็นฝีมือของเทพมารหลินนั่น” ข่งหลิงไฟสุมอกมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้บังเอิญได้ยินข่าว แน่นอนว่านางต้องไม่ยอมพลาด


“แน่ใจ!”


ชายชุดคลุมดำพยักหน้า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าแม้จะงดงามปานเทพธิดา แต่กลิ่นอายกลับดุร้ายและน่ากลัวอย่างที่สุด


ถูกดวงตาคู่ใสของนางจ้อง ทำให้แม้แต่วิญญาณของชายชุดคลุมดำยังรู้สึกเจ็บแสบเหมือนโดนดาบกรีด


“จริงหรือ” ข่งหลิงถาม แม้จะดูนิ่งสงบ แต่กลับมีอานุภาพที่กดดันใจคน


ชายชุดคลุมดำสั่นไปทั้งตัว แม้แต่จิตใจยังมีท่าทีจะพังทลาย


“พูดตรงๆ อย่างไม่ปิดบัง ข้ามาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ชื่อว่าโก่วซวีสิง มีความแค้นที่ไม่สามารถอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับหลินสวิน!”


ชายชุดคลุมดำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พอรู้ว่าเขาปรากฏตัวในแดนชัยบูรพา ข้าก็ไปที่แคว้นกู่ชางทันที เคลื่อนกำลังของเผ่าดำเนินการตรวจสอบอย่างรอบด้าน ในที่สุดก็มั่นใจแล้วว่าเจ้าหมอนั่นคือเทพมารหลินจริงๆ…”


ไม่รอให้พูดจบก็ถูกข่งหลิงตัดบทเสียก่อน “อย่ามัวพูดจาไร้สาระ ข้าถามเจ้าว่า เจ้าแน่ใจหรือว่าคนที่ทำลายสถิติห้าหอวันนี้คือเทพมารหลินนั่นจริงๆ”


โก่วซวีสิงชะงักไปก่อนจะพูดว่า “แม่นาง ทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ หากพูดถึงวิชาตามรอย ถ้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของพวกเราอ้างตัวว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว”


“ข้ากล้าเอาหัวเป็นประกัน คนที่ทำลายสถิติห้าหอในครั้งนี้คือเทพมารหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อครู่นี้ข้าได้ตรวจบริเวณรอบๆ หอสำแดงมรรคจนจับกลิ่นอายที่เขาหลงเหลือไว้ได้ตั้งนานแล้ว ไม่มีผิดแน่”


คำพูดหนักแน่น เห็นได้ชัดว่ามั่นใจเต็มเปี่ยม


“หลินสวิน… เทพมารหลิน… ที่แท้ก็คือเจ้าคนดุดันที่มาจากแดนฐิติประจิมคนนี้…”


ใบหน้างดงามดั่งหยกของข่งหลิงวูบไหว อยากจะส่งข่าวนี้กลับสำนักเสียเดี๋ยวนี้


โก่วซวีสิงเห็นเช่นนี้พลันฉวยโอกาสพูดว่า “แม่นาง ตอนที่เจ้าหมอนี่อยู่แดนฐิติประจิมก็ทำให้ข้าประสบเคราะห์จนเกือบไม่รอด ข้าเห็นว่าเจ้าเหมือนจะเจ็บแค้นคนผู้นี้มาก ถ้าอย่างนั้น… พวกเราร่วมมือกันจัดการเขาดีหรือไม่”


“ข้าว่าเจ้าใจกล้าคับฟ้า คิดเพ้อฝันเกินไปแล้ว!” นัยน์ตาของข่งหลิงเผยความรังเกียจอย่างไม่ปกปิดเลยสักนิด


นางเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า ยิ่งเป็นลูกหลานสายตรงของเผ่านกยูงห้าสี อุปนิสัยเย่อหยิ่งสูงส่ง จะร่วมมือกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่ชื่อเสียงย่ำแย่ไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณได้อย่างไร


ดังนั้นคำพูดของนางจึงไม่เกรงใจเลยสักนิด


โก่วซวีสิงเดือดดาลยกใหญ่ แต่กลับทำได้เพียงข่มกลั้นไว้ในใจ ด้วยฐานะของเขา ไม่มีสิทธิ์เหิมเกริมในนครหยกขาวจริงๆ


“ข้าจำเจ้าได้แล้ว หากเจ้ากล้าหลอกข้า ข้าจะตัดหัวสุนัขของเจ้าแน่!”


พูดจบข่งหลิงก็จากไป


‘แม่งเอ๊ย สักวันข้าจะกำราบผู้หญิงหน้าเหม็นอย่างเจ้าให้ได้!’ โก่วซวีสิงลอบตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว


พลบค่ำวันเดียวกัน ข่าวที่หลินสวินเป็นคนทำลายสถิติห้าหอก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วทั้งนครหยกขาว


เทพมารหลิน!


คืนนี้ชื่อนี้จะต้องเป็นที่รู้จักของผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนในนครหยกขาวอย่างแน่นอน


……


ยอดเขายุทธ์วิถีแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า


ภายในตำหนักแสงเมฆา


“เหตุใดเขาจึงแข็งแกร่งเพียงนี้… เหตุใด…” จ้าวจิ่งเจินตื่นตระหนก ท่าทางถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก ไม่เห็นความเย่อหยิ่งและดูถูกเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป


ตอนนี้เขารู้ข่าวทุกอย่างหลังจากหลินสวินเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณอย่างสิ้นเชิงแล้ว


รวมถึงวีรกรรมต่างๆ ของหลินสวินในแดนฐิติประจิม และการกระทำทั้งหมดของหลินสวินในแคว้นกู่ชางเมื่อไม่นานมานี้


ทั้งหมดนี้ราวกับค้อนอันหนักหน่วงที่ทุบความเย่อหยิ่งและที่พึ่งในใจของจ้าวจิ่งเจินจนแหลกละเอียด ทำให้เขาแทบทรุดหลายต่อหลายครั้ง


เพิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปี เด็กหนุ่มชนบทคนนั้นก้าวหน้าถึงขนาดนี้แล้วหรือ


“เพราะฉะนั้นหากเจ้าจะแก้แค้น ก็ต้องวางแผนในระยะยาว อย่าคิดดูถูกและชะล่าใจเด็ดขาด!”


เหมิงหรงที่อยู่ข้างๆ ให้คำแนะนำด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เจ้าต้องจำไว้ว่า ข้อได้เปรียบเดียวของเจ้าตอนนี้ก็คือท่านตาของเจ้าและข้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มกำลัง แต่นี่ยังไม่พอ ประเด็นหลักคือเจ้าต้องรีบเติบโตขึ้นมา!”


จ้าวจิ่งเจินพูดอย่างลังเล “แต่… เขาก้าวสู่ขอบเขตมกุฎแล้ว พลังต่อสู้แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบในระดับกระบวนแปรจุติ ข้า…”


“นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง!” เหมิงหรงพูดตัดบท


“เหมิงหรง หยุดโทษจิ่งเจินได้แล้ว ตอนนี้เจ้ารีบมาหาข้า” ทันใดนั้นเสียงอันทุ้มต่ำดังขึ้น


ท่านพ่อ!


เหมิงหรงหัวใจสะท้าน


……


ชั้นสามของตำหนักแสงเมฆาเป็นสถานที่ฝึกปราณส่วนตัว


ตอนนี้มีผู้อาวุโสตัวสูง เผ้าผมหนวดเคราเป็นสีเงินคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง รอบตัวพรั่งพรูอานุภาพที่น่าหวั่นหวาดอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้แข็งแกร่งระดับราชัน


ผู้อาวุโสคนนี้ก็คือบิดาของเหมิงหรง เหมิงชิวจิ้ง!


ในขณะเดียวกันเขายังมีอีกฐานะ นั่นก็คือผู้อาวุโสสายในแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่มีอำนาจระดับสูงคนหนึ่ง!


“ท่านพ่อ ตามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ” เหมิงหรงมาแล้วโค้งตัวคำนับ


“เรื่องทำลายสถิติห้าหอวันนี้เจ้าได้ยินหรือยัง” เหมิงชิวจิ้งพูดเรียบๆ


“ได้ยินแล้ว”


“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือใคร”


“ใคร?” เหมิงหรงชะงัก ไม่เข้าใจนัก บิดายุ่งกับการปิดด่านมาโดยตลอดเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับทะลวงอมตะเคราะห์ขั้นสาม เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นใส่ใจเรื่องนี้ขึ้นมา


“หลินสวิน!”


ตอนที่เหมิงชิวจิ้งบอกชื่อนี้ เหมิงหรงอึ้งงันอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า


ครู่หนึ่งนางจึงพูดเสียงหลง “เป็นเขาได้อย่างไร”


เหมิงชิวจิ้งพูดเรียบๆ “ทำไมถึงเป็นเขาไม่ได้ ข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ไม่ผิดแน่ ข้าเรียกเจ้ามาไม่ใช่เพื่อดูเจ้าเสียอาการนะ”


ในใจเหมิงหรงสะท้าน รีบสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง กดความตะลึงในใจไว้แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ เชิญพูดต่อ”


“เด็กคนนี้คือคนที่ถูกชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดในตอนนั้น แม้รอดชีวิตแต่ก็ถูกกำหนดให้เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้เขากลับมีความสำเร็จที่สะดุดตาปานนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ตามการคาดเดาของข้า เขาคงให้กำเนิดชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดเส้นใหม่แล้ว!”


“หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาไม่มีทางเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เหลือเชื่อเพียงนี้”


สีหน้าของเหมิงชิวจิ้งแฝงความลึกล้ำ ประกายแสงพลุ่งพล่านในนัยน์ตา “เรื่องที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทำตอนที่ไปเยือนโลกชั้นล่าง ในสำนักมีเพียงข้า ผู้อาวุโสกู้ตงถิงและอีกไม่กี่คนที่รู้”


“และก็เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋ได้รับมหาศุภโชค เสริมมรรคาของเขาจนสมบูรณ์ บรรลุสู่ขอบเขตมกุฎในคราเดียว หยั่งถึงพลังมหามรรคเทียมฟ้าที่สะเทือนอดีตสาดส่องปัจจุบัน!”


“ไม่เช่นนั้นหากอวิ๋นชิ่งไป๋อยากได้สมญานามว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน ก็คงต้องเลื่อนไปอีกหลายปี”


ในใจเหมิงหรงไม่สงบอย่างมาก


ตอนนั้นก็เป็นเพราะนางแอบแจ้งเบาะแส บอกข่าวเรื่องที่ตระกูลหลินให้กำเนิดเด็กทารกที่มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดกับบิดาของนางเหมิงชิวจิ้ง


จากนั้นบิดาของนางบอกข่าวนี้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ หลังจากนั้นจึงมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นในตระกูลหลิน


นี่เป็นเรื่องภายในอย่างยิ่ง ในสำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งสำนักมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ หากถูกเปิดโปงจะต้องเกิดผลกระทบที่ไม่อาจคาดเดาอย่างแน่นอน


ถึงตอนนั้นคนที่ต้องเดือดร้อนไม่ใช่แค่อวิ๋นชิ่งไป๋ แต่ต้องเกี่ยวโยงมาถึงนางและบิดาของนางอย่างแน่นอน!


ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นเหมิงหรงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลย เพียงแต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าเหตุใดบิดาจึงพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งในเวลานี้


ตอนนี้เองเหมิงชิวจิ้งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นลุกขึ้นอย่างกะทันหัน เงาร่างสูงใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทอดเงายาวเหยียดภายในตำหนักอันว่างเปล่านี้


“ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ เพียงแค่อยากบอกเจ้าว่า ที่เด็กคนนี้ปรากฏตัวในดินแดนรกร้างโบราณ จะต้องมาเพื่อแก้แค้นอย่างแน่นอน!”


เสียงเรียบเฉยทุ้มต่ำดังก้องกระแทกใจคน


เหมิงหรงสีหน้าเปลี่ยนไป หวาดหวั่นอย่างมาก

 

 

 


ตอนที่ 1028 ช่วงชิงศุภโชค

 

แก้แค้น!


เหมิงหรงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว


นางทำความเข้าใจสิ่งที่หลินสวินทำหลังจากเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณอย่างละเอียด รู้ดีว่าเด็กทารกที่ควรตายตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้น่ากลัวถึงเพียงใดแล้ว


เขาถูกมองว่าเป็นเทพมารหลิน ป่วนแดนฐิติประจิมจนวุ่นวายไปหมด


จนกระทั่งเข้ามาในแดนชัยบูรพา เขาป่วนแคว้นกู่ชาง ฆ่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไปไม่รู้เท่าไหร่ แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งยังตายอย่างอนาถในมือเขา!


อีกทั้งในข่าวลือ เขายังครอบครองสมบัติอริยะที่ยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่ง เพียงพอที่จะทำให้ตำหนักอมตะแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะ และทวนทองผลาญตะวันแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างรับมือไม่ไหว


คนรุ่นเยาว์ที่รากฐานมั่นคงและครอบครองสมบัติอริยะเช่นนี้ หากมาแก้แค้น นั่นย่อมเป็นภัยเงียบที่ไม่อาจมองข้ามอย่างแน่นอน เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ!


“เขาต้องตายสถานเดียว!”


เหมิงหรงส่งเสียงแหลมอย่างเสียการควบคุม นางยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวาย ราวกับมีอะไรอัดอั้นอยู่ในใจ


เสียงอันแหลมคมดังขึ้นภายในตำหนักอันว่างเปล่า เหมิงชิวจิ้งไม่ได้กล่าวโทษ พลันพยักหน้าพูด “เจ้าพูดถูก เด็กนี่ต้องตายสถานเดียว!”


“ท่านพ่อ ท่านมีแผนแล้วใช่หรือไม่”


จู่ๆ เหมิงหรงก็สังเกตว่าเหมิงชิวจิ้งสงบและนิ่งกว่าที่นางคิด


เหมิงชิวจิ้งเอ่ยว่า “สำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งสำนัก บวกกับเจ้า อย่างมากที่สุดก็ไม่เกินห้าคนที่รู้ว่าเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่”


“แม้แต่อวิ๋นชิ่งไป๋ เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าทารกในตอนนั้นกลับรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์”


เหมิงหรงอดพูดแทรกไม่ได้ “อวิ๋นชิ่งไป๋ยังไม่รู้หรือ”


“เขาปิดด่านตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว จะรู้ได้อย่างไร”


เหมิงชิวจิ้งพูดเรียบๆ “ตอนนั้นยามเขาช่วงชิงศุภโชครอบนั้น แม้แต่เด็กทารกคนนั้นชื่ออะไรยังไม่รู้ ตอนนี้… เหอะๆ ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่าหากหลินสวินยืนอยู่ตรงหน้าเขา เกรงว่าเขาก็คงจำไม่ได้”


ดวงตาของเหมิงหรงวาบประกาย เอ่ยว่า “นี่… จะต้องบอกเขาตอนนี้เลยหรือไม่ หากให้เขาลงมือได้ การสังหารเด็กหนุ่มคนนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”


“ไม่”


เหมิงชิวจิ้งปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว สีหน้าลึกลับ “หรงเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่เพียงไม่สามารถบอกอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ และจะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด!”


“เพราะเหตุใด” เหมิงหรงชะงัก


“เพื่อศุภโชคใหญ่ครั้งหนึ่ง!” นัยน์ตาของเหมิงชิวจิ้งพลันสาดประกายน่ากลัวออกมา ร้อนแรงราวกับสุริยันดวงโตลุกโชนอยู่ในดวงตา


“ทุกคนต่างรู้ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนที่พรสวรรค์โดดเด่นอยู่แล้ว แก่นกระดูกเหนือกว่าอัจฉริยะผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าที่หมื่นปีก็ยากจะได้เห็น”


พูดถึงตรงนี้เหมิงชิวจิ้งก็เปลี่ยนเรื่อง สีหน้าแฝงความเย็นเยียบ


“แต่ถ้าไม่มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่ถูกเขาชิงมาในตอนนั้น เขาก็ไม่มีทางก้าวสู่มรรคาระดับสูงสุดที่อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนต่างใฝ่ฝันได้ไวขนาดนี้!”


เหมิงหรงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ในใจไม่สามารถกดความตะลึงที่พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ “ท่านพ่อ หรือท่านคิดจะ…”


เหมิงชิวจิ้งยิ้มก่อนจะพูดว่า “หรงเอ๋อร์ ตอนนี้จิ่งเจินเบียดตัวเข้าไปอยู่ในอันดับชั้นยอดของระดับกระบวนแปรจุติได้แล้ว แต่ถ้าอยากก้าวสู่มกุฎมรรคาก็ยังขาดอีกเล็กน้อย เจ้าคิดว่าหากมีโอกาสช่วยเขาเปลี่ยนชีวิตพลิกโชคชะตา ครอบครองพลังขอบเขตมกุฎในคราเดียวก่อนที่มหายุคจะมาเยือน เจ้า… จะลองหรือไม่”


“ข้า…” ในใจเหมิงหรงเต้นแรง รู้สึกคอแห้งขึ้นมาระลอกหนึ่ง


นางคิดไม่ถึงเลยว่า บิดากลับหมายตา ‘ศุภโชค’ ในตัวหลินสวินเหมือนอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น!


“ไม่ต้องกังวลขนาดนี้ เด็กนี่ยังไม่ได้ก้าวสู่ระดับราชัน แม้จะมีชื่อเสียงดุดันแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยังไม่สามารถทำให้ข้าเกรงกลัวได้”


เหมิงชิวจิ้งสายตาลุ่มลึกเย็นเยียบ “อีกอย่าง ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่า หากเราไม่แย่ง กู้ตงถิงก็จะแย่ง!”


“ผู้อาวุโสสายในกู้ตงถิงหรือ”


“ไม่ผิด เจ้าเฒ่านั่นเคยลงไปเยือนโลกชั้นล่างเมื่อหลายปีก่อน เคยเห็นความไม่ธรรมดาของหลินสวินกับตา มีความคิดเช่นนี้ตั้งนานแล้ว”


“เขาเป็นถึงราชันที่ทะลวงอมตะเคราะห์ขั้นสองแล้ว ยังอยากได้… ‘ศุภโชค’ เช่นนี้อีกหรือ”


“เขาเตรียมไว้เพื่อชิงเจ๋อ”


พูดถึงตรงนี้เสียงของเหมิงชิวจิ้งแฝงความดูถูก “เจ้าเฒ่านั่นเคยรับปากว่าจะช่วยชิงเจ๋อช่วงชิงศุภโชคระดับนี้ให้ เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน เผ่ากระเรียนเขียวที่ชิงเจ๋ออยู่จะเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าให้กู้ตงถิงเข้าไปทะลวงอมตะเคราะห์”


“พูดง่ายๆ ก็คือ นี่เป็นการแลกเปลี่ยนเท่านั้น หากไม่เป็นเช่นนี้ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีกู้ตงถิงจะสามารถทะลวงอมตะเคราะห์ถึงสองครั้งได้อย่างไร”


เหมิงหรงถึงเพิ่งรู้เอาตอนนี้ว่า คนที่กังวลเรื่องของหลินสวินยังมีกู้ตงถิงและชิงเจ๋อ!


“ถ้าหากเราทำเช่นนี้จริง ก็เป็นการแข่งกับกู้ตงถิงไม่ใช่หรือ” เหมิงหรงขมวดคิ้วพูด


เหมิงชิวจิ้งพูดเรียบๆ “ไม่ ก่อนที่จะฆ่าหลินสวินและช่วงชิงศุภโชคในตัวเขา เราทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน”


“ส่วนหลังจากฆ่าเขาแล้ว ใครจะช่วงชิงศุภโชคไปได้ จะเป็นสิทธิ์ของพวกคนรุ่นหลังอย่างจิ่งเจินและชิงเจ๋อในการจัดการ”


“จัดการอย่างไร”


“ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดจัดการ”


“ต่อสู้หรือ”


นัยน์ตาเหมิงหรงหดรัดลง รีบพูดว่า “ชิงเจ๋อนั่นเป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว พรสวรรค์โดดเด่น เท่าที่ข้ารู้ เขาในตอนนี้มีพลังต่อสู้ที่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในสิบสามกระบี่ได้แล้ว นี่จะให้จิ่งเจินสู้กับเขาได้อย่างไร”


เหมิงชิวจิ้งสีหน้าอึมครึม พูดอย่างไม่ชอบใจ “หรงเอ๋อร์ หากชิงเจ๋อคนเดียวยังสู้ไม่ได้ ยังต้องพูดถึงเรื่องจะช่วงชิงมหามรรคในมหายุคอะไรอีก ทั้งจะมีสิทธิ์อะไรไปแข่งกับผู้กล้าทั่วหล้า”


“ในฐานะหลานของเหมิงชิวจิ้ง หากด่านนี้เขาจ้าวจิ่งเจินยังผ่านไม่ได้ ข้าว่าชาตินี้เขาอย่าคิดล้างแค้นอีกเลย!”


คำพูดเผยความขุ่นเคืองในความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย


สีหน้าของเหมิงหรงอึมขรึมสับสน ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พลันกัดฟันพูด “ท่านพ่อ เรื่องนี้จัดการตามนี้ก็แล้วกัน ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับพลังต่อสู้ของจิ่งเจินอย่างเร็วที่สุด!”


เคร้ง!


เหมิงชิวจิ้งสะบัดแขนเสื้อ หยกประดับรูปกระบี่โฉบออกมา ส่งเสียงปานกระบี่ครวญ


“นี่คือป้ายยืนยันของหอลับกระบี่ เมื่อจิ่งเจินพร้อมก็ส่งเขาเข้าไปฝึกในนั้น ด้วยแก่นกระดูกและพรสวรรค์ของเขา ขอเพียงแค่ยืดหยันไปถึงชั้นสิบเก้าได้ ก็เพียงพอที่จะเทียบกับชิงเจ๋อนั่นได้!”


หอลับกระบี่!


แดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกปราณที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าสร้างขึ้นกับมือในสมัยบรรพกาล


โดยทั่วไปมีเพียงศิษย์สืบทอดแท้จริงที่มีคุณูปการต่อสำนักเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เข้าไปฝึก


เห็นได้ชัดว่าเพื่อให้จ้าวจิ่งเจินพัฒนา เหมิงชิวจิ้งเองก็ทุ่มสุดตัว!


เหมิงหรงกำป้ายยืนยันรูปกระบี่ไว้แน่นพลันเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านจะจัดการกับหลินสวินอย่างไร”


“การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูที่มีขึ้นทุกสามสิบปีกำลังจะเปิดม่านขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้า หากหลินสวินจะสู้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ในสงครามมหายุค ก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันนี้!”


“เพราะจากการวิเคราะห์ของข้า เมื่อเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว สิ่งที่เด็กคนนี้ขาดก็คือเวลา และมีเพียงแค่ในกระดานดาราเท่านั้นจึงจะมีโอกาสให้เขาชดเชยข้อบกพร่องนี้”


“และนี่ ก็เป็นโอกาสดีที่สุดในการจัดการกับเขา”


เหมิงชิวจิ้งดูมั่นใจมาก เห็นได้ชัดว่าได้พิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและรอบคอบแล้ว


“อีกหนึ่งปีงั้นหรือ” เหมิงหรงพูด “ช้าเกินไปหน่อยหรือเปล่า”


“ใจร้อนทำเรื่องใหญ่ไม่ได้ ตอนนี้ถ้าพวกเราไปจัดการเด็กนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร หากไม่สามารถสังหารเขาให้ได้ในคราเดียว ก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้เขาเกิดความระวังและระแวง”


เหมิงชิวจิ้งพูดสบายๆ “อย่าลืมว่า เด็กคนนี้สามารถหนีรอดแม้แต่การปิดล้อมอย่างแน่นหนาของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้ง่ายๆ”


“ดังนั้นจะเล่นงานเขา ไม่ลงมือก็ช่าง แต่ถ้าลงมือขึ้นมาก็ต้องใช้พลังที่มีอานุภาพประดุจอสนีบาต กำจัดเขาภายในการโจมตีเดียว!”


พูดถึงตอนท้าย ในเสียงของเขาปลดปล่อยไอสังหารที่ไม่สามารถกดข่มไว้ได้ ทำให้ทั้งโถงตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศน่ากลัว


นี่คืออานุภาพแห่งระดับราชัน เพียงแค่คิด ฟ้าดินเป็นต้องเปลี่ยนสี!


เหมิงหรงเห็นว่าบิดาเตรียมความพร้อมทุกอย่างแล้ว ในใจพลันสงบลง ไม่ลังเลอีกต่อไป


นางถึงขั้นไม่กดความปรารถนาที่เกิดขึ้นแล้ว…


หากจิ่งเจินสามารถครอบครองชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่น่ามหัศจรรย์และน่ากลัวเหมือนอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ ต่อไปยังต้องกังวลว่าจะไม่สามารถยืนบนจุดสูงสุดของระดับราชันได้อีกหรือ


……


แคว้นพยัคฆ์มังกร


เมืองแสงพิรุณ


ภายใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาล ในเมืองแสงไฟเรียงราย สดใสและเจริญรุ่งเรือง


หลินสวินและเซียวชิงเหอเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่บนถนนที่ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง


คนหน้าสีหน้าเรียบเฉย


คนหลังในใจยังมีความกังวลหลงเหลืออยู่


“ให้ตาย ดันส่งราชันวิถีกระบี่มาโจมตี สำนักกระบี่เทียมฟ้าบ้าไปแล้วจริงๆ ก็แค่ชิงกระบี่คู่กายเล่มหนึ่งของอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องระดมกำลังเพียงนี้”


เซียวชิงเหอไม่พอใจนัก


พูดถึงตรงนี้เขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ มุมปากพลันเผยความแปลกประหลาดพร้อมเอ่ย “พี่ชาย ตอนนั้นเจ้าคงไม่ได้คิดจะจับนกยูงแสนสวยอย่างข่งหลิงทั้งเป็นหรอกนะ”


“มีความคิดนี้จริงๆ” หลินสวินพูดสบายๆ


เซียวชิงเหอสีหน้าพิกลแฝงความคลุมเครือ พลันยิ้มพูด “พูดตามจริง ผู้หญิงคนนั้นงามที่สุดในแผ่นดิน งามล่มบ้านล่มเมือง หากสามารถกำราบนางได้ ย่อมทำให้ชายชาตรีทั่วหล้าอิจฉาอย่างแน่นอน”


หลินสวินกลอกตา “เหตุใดความคิดของเจ้าจึงสกปรกเช่นนี้ ข้าเพียงรู้สึกขาดยานพาหนะไว้ขี่ก็เท่านั้น”


“เจ้า เจ้า… อยาก ‘ขี่’ นางด้วยงั้นหรือ”


เซียวชิงเหอสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ พูดพร้อมใบหน้าชื่นชมเต็มประดา “หากคนในโลกเห็นเข้าว่ากระบี่นงคราญข่งหลิงที่เย่อหยิ่งอย่างหาที่สุดไม่ได้ถูกเจ้าขี่ นี่จะต้องทำให้ผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉาตาร้อนจนคลั่งแน่!”


“…” หลินสวินสีหน้าทะมึนขึ้นมา เจ้าหมอนี่ดูสง่าผ่าเผย จิตใจกลับน่าสมเพชจริงๆ


“จริงสิ นี่เราออกจากนครหยกขาวมาถึงอาณาเขตของแคว้นพยัคฆ์มังกรแล้ว พี่ชาย เจ้าควรทำตามสัญญาแล้วใช่หรือไม่”


เซียวชิงเหอเบี่ยงประเด็น สายตาจ้องหลินสวินอย่างร้อนระอุ


“เจ้าตามข้ามา”


หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วพาเซียวชิงเหอออกจากเมืองแสงพิรุณด้วยกัน


หนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น


ในเทือกเขาที่สูงต่ำเป็นชั้นๆ ท้องฟ้าสีรัตติกาลมืดสนิทราวกับหมึกดำ เงาร่างของหลินสวินและเซียวชิงเหอเคลื่อนมาถึง


เซียวชิงเหอพินิจรอบๆ แล้วพูดเล่นว่า “ฟ้ามืดลมแรงคืนแห่งการฆ่า… เจ้าคงไม่ได้คิดจะฆ่าปิดปากข้าเพื่อปกปิดฐานะหรอกนะ”


“ที่นี่ฮวงจุ้ยสุดยอด ฝังเจ้าทั้งเป็นที่นี่ก็ไม่เลว”


หลินสวินกวาดสายตามองเขาปราดหนึ่ง


เซียวชิงเหอพูดอย่างตื่นตระหนก “เรื่องล้อเล่นนี้ไม่ตลกเลยสักนิด!”


“เช่นนั้นเจ้าก็หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!”


หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่าเซียวชิงเหอจะเป็นคนที่พูดมากขนาดนี้ ระหว่างทางพร่ำบ่นไม่หยุด ทำให้หลินสวินรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้ว


“ได้! ข้ารับปากเจ้า แต่…”


เห็นว่าเซียวชิงเหอจะร่ายยาวอะไรอีก หลินสวินพลันถลึงตาจ้อง “หุบปาก!”


จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เสียงพรืดพราดดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่เงาร่างสองร่างจะกลิ้งลงมาบนพื้น

 

 

 


ตอนที่ 1029 ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี...

 

เงาร่างทั้งสองร่วงลงพื้น ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด และตื่นจากอาการหมดสติ


“เทพมารหลิน เจ้ากล้ากดขี่พวกเราถึงตอนนี้เชียวหรือ”


“น่าชังนัก!”


สองคนนี้ก็คือเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ถูกหลินสวินจับตัวมาจากแคว้นกู่ชางในตอนแรก


ตอนเห็นหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ด่าอย่างระอุ ในสายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


เซียวชิงเหอที่อยู่ข้างๆ อึ้งไป เทพมารหลินงั้นหรือ เป็นเขา?


ในใจเขาสะท้าน ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าเจ้าคนที่ถูกเขามองว่าเป็นคนวิปริตนี้เป็นอริยเทพจากไหนแล้ว


ในฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎของคนรุ่นเยาว์แห่งแดนชัยบูรพา แน่นอนว่าไม่มีทางที่เซียวชิงเหอจะไม่เคยได้ยินชื่อหลินสวินที่มาจากแดนฐิติประจิม


แต่เซียวชิงเหอก็ยังคิดไม่ถึงว่า คนหนุ่มที่ดูเหมือนหล่อเหลาสะอาดสะอ้านโดดเด่นตรงหน้า กลับเกี่ยวข้องกับฉายา ‘เทพมารหลิน’


“หลินสวิน จะฆ่าจะแกงกันเจ้าก็เข้ามาเลย แต่หากคิดใช้วิธีแบบนี้หยามหน้าพวกเราก็ฝันไปเถอะ!”


จางเจิงโกรธจนหน้าเขียว กัดฟันพูด


ไม่ว่าใครที่ถูกกดข่มมานานขนาดนี้ ก็ย่อมต้องไฟสุมอก


แม้เสวี่ยเชียนเหินจะพูดน้อย แต่สีหน้าก็อึมครึมอย่างที่สุด เป็นถึงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ตอนนี้กลับถูกลดฐานะเป็นนักโทษ ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานอย่างที่สุด


ทว่าไม่ว่าจะเป็นจางเจิงหรือเสวี่ยเชียนเหินต่างมั่นใจว่า หลินสวินไม่กล้าฆ่าพวกเขา


เหตุผลง่ายมาก ฐานะของพวกเขาก็เห็นๆ กันอยู่ หากฆ่าพวกเขา ชาตินี้หลินสวินย่อมหนีการถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตามฆ่าไม่พ้นแน่!


ขอเพียงแค่เป็นคนฉลาดก็จะรู้ว่าควรเลือกอย่างไร


ไม่เช่นนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่เขาหลินสวินจะกดขี่พวกเขาจนถึงตอนนี้ แต่ยังไม่กล้าพรากชีวิตพวกเขาเสียที


“ทั้งสองท่าน ข้าเข้าใจความคิดของพวกเจ้า คงคิดว่ามีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หนุนหลังพวกเจ้า ข้าจึงไม่กล้าล่วงเกินพวกเจ้าเกินไป”


สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบราบเรียบ เหลือบมองลงมายังทั้งสอง “น่าเสียดายพวกเจ้าเดาผิดแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ไม่ฆ่า เพราะพวกเจ้ายังมีผลประโยชน์ หากถูกผู้ยิ่งใหญ่สำนักเจ้าไล่ตามมา ก็สามารถเอาพวกเจ้ามาเป็นตัวประกันสร้างคุณค่าสักหน่อย”


หยุดไปครู่เขาจึงพูดต่อ “แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แม้คุณค่าเพียงเท่านี้พวกเจ้าก็ไม่มีแล้ว ข้ารอมาหนึ่งเดือนกว่าก็ไม่เห็นว่าคนใหญ่คนโตในสำนักของพวกเจ้าจะตามมาช่วยพวกเจ้า เช่นนี้…”


“ข้าเก็บพวกเจ้าไว้แล้วจะมีประโยชน์อะไร”


เสียงที่สบายๆ ลอยอยู่ในพื้นที่ภูเขาท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลนี้ กลับราวกับกระแสเย็นทำให้เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงต่างตัวแข็งค้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


“หรือ… เจ้าจะ…” จางเจิงหน้าถอดสี ซีดขาวอย่างที่สุด


“เจ้ารู้จุดจบของการทำเช่นนี้หรือไม่” เสวี่ยเชียนเหินพยายามข่มกลั้นความตื่นตระหนกในใจ เสียงเหมือนลอดออกจากไรฟัน


“คำพูดข่มขู่เช่นนี้ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแดนฐิติประจิมข้าก็เคยได้ยินมาหลายรอบแล้ว พวกเจ้าคิดว่าหากข้าเป็นคนกลัวปัญหาจริงๆ จะถูกคนในโลกเรียกว่า ‘เทพมาร’ หรือ”


ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำและเยียบเย็น ไม่มีคลื่นความรู้สึกเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว


“จำไว้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้าทำไม่ดีกับข้าก่อน เพื่อตามฆ่าข้า แคว้นกู่ชางทั้งแคว้นถูกพวกเจ้าปิดล้อม ตอนนั้นหากข้าตกอยู่ในมือของพวกเจ้า เช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”


จางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เสียงของหลินสวินยิ่งราบเรียบและนิ่งสงบ ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัว


ไม่มีใครไม่กลัวตาย


แม้เป็นอริยะ เมื่อเผชิญกับความตายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกรู้สา!


ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่อริยะ พวกเขาอายุยังน้อย ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ยังปรารถนาจะลืมตาอ้าปากในมหายุคที่กำลังจะมาเยือน จะยอม… ร่วงหล่นเช่นนี้ได้อย่างไร


“หลินสวิน หากเจ้าปล่อยพวกเราไป ข้าสัญญาว่าจะขอความเมตตากับสำนักให้บุญคุณความแค้นในอดีตจบเพียงเท่านี้ ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก!”


จางเจิงร้อง เขารู้สึกกลัวอย่างสิ้นเชิงแล้ว


เสวี่ยเชียนเหินเองก็พยักหน้า “ไม่ผิด หากเจ้าฆ่าพวกข้า มีแต่จะก่อพิบัติภัยที่ใหญ่กว่า เมื่อเทียบกันแล้วปล่อยพวกเราไปเสีย ยังสามารถคลี่คลายเคราะห์สังหารให้เจ้าได้”


มุมปากของหลินสวินเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย พยักหน้าพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะถอยสักก้าว ไว้ชีวิตพวกเจ้า”


จางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินโล่งอกโดยพร้อมเพรียง


แต่ประโยคถัดไปของหลินสวินกลับทำให้พวกเขาอึ้งงันอย่างสิ้นเชิงราวกับถูกฟ้าผ่า


“โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากจะหนี ไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้งก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องชดใช้สักหน่อย”


เสียงอันเรียบเฉยยังไม่ทันจบ หลินสวินก็ลงมือแล้ว


ปัง! ปัง!


พร้อมกับเสียงนั่น ทั้งสองยังไม่ทันได้ตอบสนอง จุดตันเถียนชี่ไห่ก็ถูกระเบิด แปรจุติมหามรรคที่หล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายยุบสลายไปตามกัน พลังปราณในร่างกายพลันถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิง!


“หลินสวิน เจ้าสมควรตาย!”


“เจ้า! เหี้ยม! มาก…!”


เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงในตอนนี้ล้วนมีความรู้สึกล่มสลายและบ้าคลั่งไปแล้ว พลังปราณถูกกำจัด ทรมานยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาเสียอีก!


ไม่มีพลังปราณก็เท่ากับสูญเสียฐานะ ตำแหน่งและพลัง กลายเป็นคนไร้ประโยชน์!


ความกระทบกระเทือนเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งพังทลาย เรียกว่าตายทั้งเป็นก็ไม่เกินไป


แม้แต่เซียวชิงเหอที่เห็นภาพนี้ในใจก็ยังไม่สามารถสงบได้ คิดไม่ถึงเลยว่าหลินสวินที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนพูดคุยง่ายมาก วิธีการกลับโหดเหี้ยมและเย็นชาเพียงนี้


พูดตามจริงเขาเองก็ตกใจกับเรื่องนี้!


“เมื่อครู่นี้พวกเจ้ายังพูดอยู่เลยว่าจะกลับสำนักไปขอความเมตตา คลี่คลายบุญคุณความแค้นกับข้า ตอนนี้ข้ารับปากแล้วว่าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า พวกเจ้ากลับมีท่าทีเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”


หลินสวินถอนหายใจเบาๆ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ พลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกมา “ไสหัวไปซะ หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถออกจากเทือกเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจนี้ได้”


ครืนโครม!


เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงราวกับใบไม้ที่ถูกสายลมพัด ถูกส่งไปอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอันกว้างใหญ่นี้ทันที


ในที่นั้นเงียบสงัดในชั่วขณะ เซียวชิงเหอเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป


หลินสวินพูด “มีอะไรเดี๋ยวค่อยพูด”


เขาสะบัดแขนเสื้อ มีเงาร่างอีกสองเงากลิ้งลงพื้นออกมา


“ยังมีอีกหรือ” เซียวชิงเหอเบิกตาโพลง


หลินสวินไม่ได้สนใจเขา ทอดสายตามองไป เงาร่างสองเงานั่นคืออวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจิน


ทั้งสองก็เพิ่งฟื้นจากอาการหมดสติเช่นกัน ตอนเห็นหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า พวกนางต่างเข้าใจสถานการณ์ของตนแล้ว


ทว่าเมื่อเทียบกับพวกเสวี่ยเชียนเหิน พวกนางดูนิ่งกว่ามาก สายตาที่มองหลินสวินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและชิงชังอย่างลึกล้ำ แต่กลับไม่ได้ก่นด่าออกมา


“เจ้า… เจ้าคงไม่ได้จะลงมือกับผู้หญิงสองคนนี้ด้วยหรอกนะ” เซียวชิงเหออดพูดไม่ได้


พอคำพูดนี้ออกมา สีหน้าของอวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจินต่างเปลี่ยนไป อะไรคือ ‘ด้วย’?


หรือเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงประสบเคราะห์ไปแล้ว


หลินสวินพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันอึดอัดและเงียบงัน “การกำจัดพลังปราณสองคนนั้นเป็นการคุมอำนาจ ส่วนแม่นางสองคนนี้…”


พวกอวี้เป๋าเป่าต่างหัวใจกระตุกวูบ


หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงหมุนตัวเดินไป “ไปเถอะ”


“ไปงั้นหรือ”


เซียวชิงเหออึ้ง อวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจินก็อึ้งเช่นกัน


แต่หลินสวินกลับเดินไปไกลแล้ว และไม่หันกลับมามองตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว


จู่ๆ เซียวชิงเหอก็หัวเราะแฮะๆ ออกมา “ข้าว่าแล้ว เป็นถึงเทพมารหลิน จะลงมือกับผู้หญิงอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ได้อย่างไร”


จากนั้นเขาพลันพูดกับผู้หญิงทั้งสองว่า “ไม่ว่าพวกเจ้ากับเขาจะมีความแค้นใหญ่หลวงอะไรต่อกัน แต่อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ปล่อยพวกเจ้าไป เช่นนั้นโปรดทำตัวดีๆ ด้วย”


พูดจบเขาก็รีบตามไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป


อวี้เป๋าเป่ากับหลิงหงจินสีหน้าสับสน ต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกโชคดีที่พ้นจากความตาย


“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าบุคคลระดับเทพมารอย่างเขากลับมีตอนที่ใจอ่อน” อวี้เป๋าเป่าพูดเนิบๆ เครื่องหน้าของนางประณีตเย้ายวนด้วยเสน่ห์ เป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง


“ใจอ่อนหรือ”


หลิงหงจินเองก็สีหน้าขมขื่น “ตอนอยู่ในแคว้นกู่ชาง เจ้าหมอนี่เล่นงานข้าอย่างเจ็บแสบ ทำให้ข้าแบกรับชื่อเสียงอันน่าอายของการเป็น ‘ไส้ศึก’…”


“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด คนโง่ถึงจะเชื่อ” อวี้เป๋าเป่าพูดปลอบ


“ไม่” หลิงหงจินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าคิดว่าสำนักจะมีปฏิกิริยาอย่างไรที่ครั้งนี้พวกเรากลับไปอย่างปลอดภัย”


อวี้เป๋าเป่าชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหาแล้ว


พวกนางกับจางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินถูกจับมาพร้อมกัน แต่สุดท้ายจางเจิงกับเสวี่ยเชียนเหินถูกกำจัดพลังปราณ มีเพียงพวกนางสองคนที่ปลอดภัยดี ใครจะไม่สงสัยว่ามีเงื่อนงำซ่อนอยู่


บอกว่าเทพมารหลินทะนุถนอมผู้หญิงเลยไม่ฆ่างั้นหรือ


ใครจะเชื่อเหตุผลเหลวไหลเช่นนี้


แต่ถ้าอธิบายไม่ชัดเจน…


จะต้องเกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานาอย่างแน่นอน!


ถึงขั้นถูกเข้าใจว่าพวกนางทั้งสองยอมจำนนต่อหลินสวินแล้วและทำการแลกเปลี่ยนบางอย่าง จึงแลกผลลัพธ์ที่ปลอดภัยหายห่วงมาได้!


ใจคนซับซ้อนและละเอียดอ่อนที่สุด แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เกลียดหลินสวินเข้ากระดูกมาตั้งนานแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้พวกนางกลับสำนักก็ต้องถูกสอบสวนและตั้งข้อสงสัย เกิดความยุ่งยากและผลกระทบที่ไม่จำเป็นมากมาย!


“หรือที่เขาปล่อยพวกเรา เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าแม้เราหวนกลับสำนัก สถานการณ์ก็จะไม่สู้ดี?”


อวี้เป๋าเป่าตกใจกลัว


“หากเจ้าหมอนี่ไม่มีความเฉลียวฉลาดและฝีมือระดับนี้ มีหรือจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ทั้งที่ก่อเรื่องมากมายขนาดนั้น”


ในดวงตาคู่ใสของหลิงหงจินเผยความชิงชัง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางยังไม่ลืมประสบการณ์น่าอับอายที่หลินสวินถอดเสื้อผ้าของนางจนเปลือยเปล่า


“หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าพูด เทพมารหลินนี่… น่ากลัวเกินไปแล้ว!” อวี้เป๋าเป่าสายตาเลื่อนลอย เย็นวาบไปทั้งตัว


“พวกเราไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้” หลิงหงจินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่งแล้วลุกขึ้น


ส่วนเรื่องที่จะไปแก้แค้นหลินสวิน พวกนางไม่มีความคิดเช่นนี้แม้แต่น้อยแล้ว คิดแต่ว่าจะไปอธิบายกับสำนักอย่างไร


……


“คิดไม่ถึงเลยว่าเทพมารหลินที่ใครพูดถึงแล้วสีหน้าต้องเปลี่ยนจะทะนุถนอมผู้หญิงเช่นนี้ นับถือ นับถือจริงๆ”


ภายใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาล ท่ามกลางเวิ้งฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล เซียวชิงเหอพูดพร้อมสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม


“ตอนที่อยู่ในแคว้นกู่ชาง ข้าก็ได้รับปากแล้วว่าจะจบสิ้นบุญคุณความแค้นกับหลิงหงจิน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้นางลำบากใจอีก”


หลินสวินพูดเรียบๆ “ส่วนอวี้เป๋าเป่านั่น… นางกลับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ครั้งนี้ สถานการณ์ก็คงไม่ดีสักเท่าไร นี่ไม่ใช่การลงโทษเสียที่ไหน”


เซียวชิงเหอได้ยินแล้วประหลาดใจขึ้นมา ครู่หนึ่งจึงเข้าใจ พลันร้องว่า “เจ้า…”


“ร้ายกาจหรือ”


หลินสวินพูดแทนเขา สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ร้ายกาจก็ช่าง ข้าฆ่าเพียงแค่คนที่สมควรฆ่า ไม่ใช่ปีศาจที่กวาดล้างโลกเพื่อการแก้แค้น”


เซียวชิงเหอชะงักงัน สายตาที่มองหลินสวินพลันมีอีกความรู้สึกที่แตกต่างออกไป


ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ


นี่ก็คือเทพมารหลินในคำเล่าขานหรือ


ภายในใจเซียวชิงเหอมีความรู้สึกที่พูดไม่ออก จากความประหลาดใจตกตะลึงที่มีต่อหลินสวินในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นความเคารพและชื่นชม


ก่อนหน้านี้ ชาตินี้มีเพียงคนเดียวที่เขาเซียวชิงเหอชื่นชมจากใจจริง นั่นก็คือหมีเหิงเจิน สุริยันผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา


แต่ตอนนี้ มีหลินสวินเพิ่มมาอีกคนแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 1030 ข่าวลือของภูเขาเทพไร้มรณะ

 

“ข้าว่าเจ้ารู้ที่มาของข้าแล้ว ยังจะตามข้ามาทำไม ไม่กลัวเดือดร้อนหรือ” หลินสวินเหลือบมองเซียวชิงเหอปราดหนึ่ง


“เอ่อ…” เซียวชิงเหอหลุดจากภวังค์ความคิด พลันถามว่า “เดือดร้อนอะไร”


หลินสวินเตือนอย่างจริงจัง “นับนิ้วดูแล้ว นอกจากเหล่าสำนักในแดนฐิติประจิม เพียงแค่ในแดนชัยบูรพา แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์และสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เห็นข้าเป็นศัตรูแล้ว เจ้าอยู่กับข้า ไม่กลัวถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกับข้าหรือ”


เซียวชิงเหอหัวเราะเยาะ “เจ้ายังไม่กลัวเลย ข้าจะกลัวอะไร”


สีหน้าของเขาแฝงความเย่อหยิ่ง ในฐานะหนึ่งในสิบหกสุริยันผู้กล้าแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เขาก็ไม่ได้กลัวความเดือดร้อนอะไรเลยจริงๆ


“เช่นนั้นเจ้าคิดจะตามข้าอยู่แบบนี้หรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว


เซียวชิงเหอท่าทางบอบช้ำมาก พลันเอ่ย “พี่หลิน พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันนะ ข้า…”


“หยุด!” หลินสวินตัดบท “เจ้าอยากตามข้าก็ได้ แต่เจ้าก็ควรบอกข้าว่าเพราะอะไรไม่ใช่หรือ”


เซียวชิงเหอพูดพร้อมสีหน้าเคารพเลื่อมใส “พี่หลิน เจ้าคิดมากไปแล้ว ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน นอกจากศิษย์พี่หมีเหิงเจินและเจ้าแล้ว ชาตินี้ข้าเซียวชิงเหอก็ไม่เคยชื่นชมใครอีกเลย”


หยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดอย่างครุ่นคิด “ในฐานะสหาย ข้าอยากชวนเจ้าไปภูเขาเทพไร้มรณะเพื่อร่วมการแข่งขัน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า”


ไม่รอให้หลินสวินถาม เขาก็อธิบายเรื่องกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์นี้รอบหนึ่ง


ในแดนชัยบูรพา ทุกๆ ห้าปีจะมีการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งหนึ่ง


ในเวลานั้นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติจะรวมตัวกันที่ ‘ภูเขาเทพไร้มรณะ’ เพื่อแข่งขัน


สุดท้ายมีเพียงผู้แข็งแกร่งสามสิบหกอันดับแรกจึงจะได้รับโชควาสนามหามรรค!


“โชควาสนามหามรรคงั้นหรือ” หลินสวินหัวใจสะท้าน


“ใช่ เจ้าก็รู้ว่าไร้โชควาสนาไม่อาจจะเป็นราชัน!”


เซียวชิงเหอสายตาร้อนระอุ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยากบรรลุสู่มกุฎราชันหลังจากมหายุคมาเยือน พึ่งพาศักยภาพของตนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะต้องช่วงชิงและสั่งสมโชควาสนา โชควาสนายิ่งแข็งแกร่ง โอกาสที่จะทะลุสู่ระดับราชันก็ยิ่งมาก!”


นี่คือความเห็นพ้องของสำนักใหญ่โบราณทั่วหล้า


“ภูเขาเทพไร้มรณะนั่น เป็นถึงเขตแดนลี้ลับที่เรียกได้ว่าวิเศษอัศจรรย์มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล จนปัจจุบันยังไม่เคยมีคนค้นพบที่มาของมัน”


“ในสมัยโบราณเล่ากันว่า ภูเขานี้เกิดขึ้นพร้อมกับโชควาสนาฟ้าดิน มีคุณสมบัติพิเศษที่เป็นอมตะ สามารถดำรงอยู่นิจนิรันดร์ อยู่ยงคงกระพัน”


“และมีข่าวลือว่า ภูเขานี้เป็นหนึ่งในต้นกำเนิดมหามรรคที่เก่าแก่ที่สุดของดินแดนรกร้างโบราณ เคยมีเทพสวรรค์ที่กำเนิดในปฐมกาลอาศัยอยู่ที่นี่…”


เซียวชิงเหอเอ่ยเสียงทอดถอนใจ “สรุปแล้วข่าวลือเกี่ยวกับภูเขาเทพไร้มรณะเยอะเกินไป แต่ในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด จนตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้”


“ภูเขาเทพไร้มรณะอยู่ที่ไหน” หลินสวินถาม


“พี่หลินหวั่นไหวแล้วหรือ”


เซียวชิงเหอตาเป็นประกาย “ข้าคิดว่าด้วยพลังต่อสู้ของเจ้า ย่อมสามารถเข้าไปเป็นหนึ่งในสามสิบหกผู้แข็งแกร่งในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์อย่างแน่นอน”


“ข้าถามเจ้าว่าภูเขานี้อยู่ที่ไหน” หลินสวินรู้สึกจนปัญญาขึ้นมา


“เขตหวงห้ามไร้มรณะ!”


เซียวชิงเหอตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “หากเจ้าเข้าร่วม ข้าสามารถนำทางเจ้าได้”


เขาพูดต่อ “เขตหวงห้ามไร้มรณะเป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้ามแห่งแดนชัยบูรพา มีเพียงขุมอำนาจสำนักโบราณจึงจะครอบครอง ‘แผนภาพลับนำทาง’ ที่เข้าไปภายใน ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ แม้มีพลังต่อสู้พลิกฟ้า แต่ถ้าอยากเข้าไปก็ต้องขอความช่วยเหลือจากสำนักโบราณที่ใดสักแห่งหนึ่ง”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้


ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว


ในใจเขาอดถอนหายใจไม่ได้ นี่คือความจริง ในดินแดนรกร้างโบราณ สำนักโบราณเหล่านั้นเป็นเหมือนผู้คุมอำนาจที่ครอบครองฟ้าดิน ควบคุมทรัพยากรฝึกปราณทั้งหมด


หากไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักโบราณ แม้พรสวรรค์และพลังต่อสู้จะเยี่ยมยอดเพียงใด ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์!


เป็นเช่นนี้เรื่อยมา การที่ผู้สืบทอดสำนักโบราณใช้ทรัพยากรฝึกปราณต่างๆ ก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


ย้อนกลับมาดูที่ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ อยากจะลืมตาอ้าปากก็กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ!


……


สุดท้ายหลินสวินตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในครั้งนี้


จะว่าไป การแข่งขันครั้งนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับ ‘การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู’ ที่กำลังจะมาถึงในอีกหนึ่งปีข้างหน้า


สถานที่แข่งขันของทั้งสอง ล้วนอยู่ในเขตหวงห้ามไร้มรณะ


สามสิบหกอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เรียกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับยอดมกุฎรุ่นเยาว์


ส่วนสิบอันดับแรกของการประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูจะเป็น ‘ยอดมกุฎ’ ที่แท้จริง!


……


ทว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์จะเริ่มขึ้นหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน ก่อนหน้านั้นหลินสวินตัดสินใจจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณสักรอบ


แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณตั้งอยู่ในแคว้นหมึกขาว ห่างจากแคว้นพยัคฆ์มังกรที่พวกหลินสวินอยู่ตอนนี้เพียงสามแคว้น ไม่ถือว่าไกลนัก


ในเมื่อมาถึงแดนชัยบูรพาแล้ว แน่นอนว่าหลินสวินจะต้องไปเยี่ยมจ้าวจิ่งเซวียนสักหน่อย


นึกถึงผู้หญิงที่ชัดเจนและเป็นอิสระคนนี้ มุมปากของหลินสวินก็อดเผยรอยยิ้มไม่ได้


หลังจากแยกกันนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ตอนนั้น พวกเขาก็ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มรรคของนางไปถึงขั้นไหนแล้ว


หนึ่งวันหลังจากนั้น


หลินสวินและเซียวชิงเหออาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมาถึงภายในอาณาเขตของแคว้นหมึกขาว จากนั้นก็เหินทะยานกลางอากาศอยู่นานครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองเนินยุทธ์


เขาสามกระจ่างซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ อยู่ท่ามกลางภูเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ห่างไกลจากเมืองเนินยุทธ์พันลี้


ในหอสุราแห่งหนึ่ง


เซียวชิงเหอมองหลินสวินที่อยู่เบื้องหน้า ลังเลอยู่นานจึงอดถามไม่ได้ “หลินสวิน เจ้ามาแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณครั้งนี้เพื่อการใดกันแน่”


“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่ามาเยี่ยมสหายเก่าคนหนึ่ง” หลินสวินพูดสบายๆ


“แต่เหตุใดเจ้าต้องแปลงกาย” เซียวชิงเหอไม่เข้าใจอย่างมาก


หลินสวินในตอนนี้แต่งตัวเป็นบัณฑิตผอมบางอ่อนแอ หากไม่ใช่เพราะเห็นกับตาเขาเองก็จำไม่ได้


“หากผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจำข้าได้ อาจจะเกิดความวุ่นวายไม่น้อย”


หลินสวินพูดออกมาเช่นนี้ เซียวชิงเหอก็ตบหน้าผากทันที พลันร้องโวย “ข้าว่าแล้วว่าต้องมีปัญหา!”


จากนั้นเขาก็อดสื่อจิตถามไม่ได้ ‘เจ้า… มีความแค้นกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณใหญ่หลวงแค่ไหน’


‘เคยฆ่าศิษย์สืบทอดแท้จริงคนหนึ่งของพวกเขา และเคยทำให้ศิษย์สืบทอดแท้จริงกลุ่มหนึ่งของพวกเขาอับอาย อืม ใช่สิ มีเจ้าเฒ่าที่นามว่าเกาหยางอีกคนที่เกลียดข้าเข้ากระดูก…’


หลินสวินครุ่นคิดแล้วพูด ในหัวอดนึกถึงแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแดนลับอสูรมารอริยะภายในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้


ตอนนั้นจ้าวจิ่งเซวียนเคยพาเขาและกองทัพขบวนหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไปแสวงหาวาสนาที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน


แต่ภายหลังกลับเกิดความขัดแย้งนองเลือดขึ้นระหว่างเขากับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ


หลินสวินยังจำได้ว่ากงหยางอวี่ตายในมือตน ส่วนเซียวหรัน ซูซิงเฟิง เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อ ถือว่าพ้นเคราะห์ไปครั้งหนึ่ง


นี่ก็ทำให้อีกฝ่ายเกลียดตนเข้ากระดูกแล้ว


ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่อยากเปิดเผยเกินไปจนถูกแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณรู้ฐานะตน เขามาครั้งนี้เพียงเพื่อมาเยี่ยมจ้าวจิ่งเซวียนเท่านั้น


แต่ตอนนี้ได้ยินเรื่องพวกนี้แล้ว เซียวชิงเหออึ้งงันไปอย่างสิ้นเชิง สายตาที่มองหลินสวินแฝงความซับซ้อนที่พูดไม่ออก


‘เพิ่งเข้าสู่แดนชัยบูรพา ก็ป่วนจนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่นวุ่นวายอลม่าน โกรธจนคลั่ง ตามฆ่าเจ้าทั่วหล้า’


‘จากนั้นก็ไปที่นครหยกขาว ทำลายห้าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในรวดเดียว ทำให้สำนักกระบี่เทียมฟ้าเองก็เดือดดาล ใบหน้าอับแสง’


‘วันนี้แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยังมีความแค้นกับเจ้า ชาตินี้ข้าเซียวชิงเหอไม่เคยนับถือใคร ตอนนี้นับถือเพียงแค่เจ้าหลินสวินคนเดียว!’


เซียวชิงเหอถอนหายใจ สำหรับเขา หลินสวินดุดันเกินไปแล้ว


เขาไม่มีสำนักไม่มีพรรค มาจากโลกชั้นล่าง กลับป่วนแดนฐิติประจิมด้วยตัวคนเดียว วันนี้แม้เข้าสู่แดนชัยบูรพาก็ไม่เคยเงียบเหงา ถูกเขาก่อกวนจนเกิดความฮือฮาครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างสมกับเป็นเทพมาร!


“ประกาศแล้วๆ ‘กระดานเกียรติภูมิผู้กล้า’ ของเดือนนี้ออกมาแล้ว ถูกเผ่าวาทวาโยประกาศบนต้นข่าวสารทองคำ!”


ทันใดนั้นเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นในหอสุรา


จากนั้นหอสุราที่เต็มไปด้วยลูกค้าพลันฮือฮาขึ้นมา ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปทางต้นข่าวสารทองคำที่อยู่กลางเมือง


หลินสวินชะงัก “กระดานเกียรติภูมิผู้กล้าอะไรหรือ”


“กระดานที่ถูกเผ่าวาทวาโยจัดขึ้นด้วยตัวเอง เผยแพร่เดือนละครั้ง แพร่ข่าวฮือฮาที่ร้อนแรงที่สุดเกี่ยวกับผู้กล้ารุ่นเยาว์ในดินแดนรกร้างโบราณครั้งละสิบเรื่อง”


เซียวชิงเหอพูดสบายๆ “กระดานนี้เผยแพร่ติดต่อกันมาเป็นเวลาสามเดือนแล้ว ตอนนี้ได้กลายเป็นกระแสหนึ่ง ผลกระทบใหญ่มาก ได้รับความสนใจจากคนทั่วหล้า”


“เจ้าเองก็รู้ว่าสงครามมหายุคกำลังจะมาเยือนแล้ว การกระทำของเหล่าผู้กล้าจึงดึงดูดความสนใจของคนในโลกอย่างแน่นอน”


“ดังนั้นกระดานเกียรติภูมิที่เผ่าวาทวาโยจัดทำขึ้น ทันทีที่เผยแพร่ออกมาก็ได้รับการติดตามจากผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนทันที”


“เรียกได้ว่า หากสามารถเบียดเข้าไปอยู่บนกระดานนี้ได้ตอนนี้ ก็หมายความถึงการเป็นที่นิยมและชื่อเสียงอย่างหนึ่ง สามารถดึงดูดความสนใจจากคนใต้หล้า”


“แน่นอนว่ากระดานนี้มีเพียงสิบข่าว นี่ก็หมายความว่า มีเพียงผู้กล้าที่เป็นที่นิยมและฮือฮาที่สุดจึงจะถูกจัดอันดับเข้ามา”


หลินสวินเพิ่งจะเข้าใจและอดหัวเราะไม่ได้ “เพื่อเผยแพร่ข่าวดึงดูดความสนใจของทั่วหล้า เผ่าวาทวาโยนี่ถือว่าทุ่มเท พยายามทุกวิถีทางแล้ว”


เซียวชิงเหอเองก็นึกขำขึ้นมา “สมัยบรรพกาล บรรพบุรุษของเผ่าวาทวาโยเรียกกันว่าเป็น ‘ราชันแห่งข่าวสาร’ เพื่อสืบข่าวแล้ววิ่งไวกว่าใคร ตามข่าวลือ แม้แต่สีกางเกงชั้นในของอริยะพวกเขายังสืบมาได้…”


เหล้าในปากของหลินสวินเกือบพุ่งออกมา กลั้นขำไม่อยู่ เขานึกถึงเจ้าเฒ่าสากกะเบืออย่างไป่เฟิงหลิวที่ป่าวประกาศว่าจะเป็นราชันแห่งข่าวสารมาโดยตลอด


“ไป พวกเราก็ไปดูสักหน่อยว่าบนกระดานเกียรติภูมิผู้กล้าครั้งนี้ มีผู้กล้าคนไหนบ้างที่กระทำเรื่องฮือฮาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”


เซียวชิงเหอลุกขึ้นพูดอย่างตื่นเต้น


“ก็ดี”


หลินสวินพยักหน้า


ใจกลางเมืองเนินยุทธ์ ต้นข่าวสารทองคำที่แข็งแรงเจิดจรัสตั้งตระหง่าน กิ่งก้านราวกับหลอมขึ้นจากทองคำ ส่องประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงอาทิตย์


ตอนนี้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเงาร่างของผู้ฝึกปราณตั้งนานแล้ว ล้อมที่นี่ไว้อย่างแออัด


และรอบๆ ก็ยังมีผู้ฝึกปราณอีกมากมายที่กำลังเร่งตามมา


ราวกับว่าการเผยแพร่ของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้าทำให้ทั้งเมืองเนินยุทธ์ฮือฮาขึ้น จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าอิทธิพลของกระดานนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด


หลินสวินกับเซียวชิงเหอเองก็มาถึงแล้ว เห็นภาพที่คนมุงดูอย่างล้นหลามมืดฟ้ามัวดินก็อดถอนหายใจไม่ได้เช่นกัน


มหายุคกำลังจะมาเยือน ทำให้ทุกฝีก้าวของผู้กล้าทั่วหล้าดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน


ตอนที่พวกหลินสวินไปถึง บนต้นข่าวสารทองคำนั่นเพิ่งปรากฏข่าวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่หกของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้า…


‘เย่หมัวเฮอผู้สืบทอดลัทธิเทพต้นกำเนิดมุ่งหน้าไปยัง ‘แดนมรณะประหัตมาร’ ที่เป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้ามเพียงลำพัง!’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)