Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1023-1026
ตอนที่ 1023 สะบัดมือ
กลุ่มผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาถึงด้วยลักษณะท่าทางดุดันโดยไม่ปกปิดความเป็นศัตรูเลยสักนิด
อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นความภาคภูมิใจของทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้า เป็นที่ชื่นชมของลูกศิษย์รุ่นเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วน
ในใจพวกเขาอวิ๋นชิ่งไป๋ก็เหมือนบุคคลระดับตำนานที่ไม่สามารถดูหมิ่นและใส่ความได้
ปัจจุบันสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในสิบสองหอกำลังถูกทำลายทีละรายการ นี่จะให้สำนักกระบี่เทียมฟ้านั่งติดได้อย่างไร
“มองอะไร”
รับรู้ได้ถึงสายตาของชายผอมแห้งเย็นชา เซียวชิงเหอพลันแค่นเสียงเย็น คำพูดไม่เกรงใจเลยสักนิด อานุภาพน่าสะพรึงกลัว
แม้ไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลัวพวกสำนักกระบี่เทียมฟ้า
ชายเย็นชาชะงักไป หรี่ตาลงเล็กน้อยพินิจเซียวชิงเหอพร้อมพูดว่า “ข้าน้อยฮว่าอวิ๋นเจิน ขอถามได้หรือไม่ว่าสหายเป็นใคร”
ฮว่าอวิ๋นเจินเป็นหนึ่งในศิษย์แกนหลักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
สำนักกระบี่เทียมฟ้ามี ‘สิบสามกระบี่’ ที่เป็นตัวแทนของผู้สืบทอดแกนหลักสิบสามคนซึ่งบรรลุสู่ขอบเขตมกุฎ
ฮว่าอวิ๋นเจินนี่ก็คือ ‘กระบี่เฉือนวิญญาณ’ ที่อยู่ในลำดับที่เก้า
ไม่เพียงแค่ในนครหยกขาว แม้ในทั่วทั้งแดนชัยบูรพา สิบสามกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเองก็สะดุดตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ได้รู้ว่าชายผอมแห้งเย็นชาก็คือกระบี่เฉือนวิญญาณฮว่าอวิ๋นเจิน เซียวชิงเหอจึงเก็บความดูถูก เอ่ยว่า “เซียวชิงเหอแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา”
ได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนก็ฮือฮาขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านี้ตอนที่หล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาถึงที่นี่ แทบจะมองข้ามและเพิกเฉยต่อเซียวชิงเหอ
ตอนที่เซียวชิงเหอส่งเสียงฮึดฮัดใส่ฮว่าอวิ๋นเจินถึงได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขา และไม่ชอบใจกับท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนั้นของเซียวชิงเหออย่างมาก
แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ฐานะของเซียวชิงเหอ พวกเขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราเป็นสำนักที่เก่าแก่อย่างมาก หากพูดถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่เป็นรองสำนักกระบี่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน
สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีสิบสามกระบี่ที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกสารทิศ ส่วนตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราเองก็มี ‘สุริยันผู้กล้า’ สิบหกคนที่มีพลังต่อสู้ขอบเขตมกุฎ ชื่อเสียงโด่งดังไปไกล
เซียวชิงเหอก็คือบุคคลแห่งยุคซึ่งอยู่ในลำดับที่เจ็ดของสุริยันผู้กล้า
บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ ไม่มีใครคิดว่าบุคคลระดับสุริยันผู้กล้าจะปรากฏตัวในนครหยกขาว ปรากฏตัวหน้าหอสำแดงมรรค
โดยเฉพาะฮว่าอวิ๋นเจิน ในสายตายิ่งเผยประกายเย็นเยียบน่ากลัว กล่าวว่า “คนที่กำลังทยอยทำลายสถิติสิบสองหอในครั้งนี้ คือผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของพวกเจ้าใช่หรือไม่”
สีหน้าของคนอื่นๆ เองก็อึมครึมขึ้นมา
หากเป็นเช่นนี้จริง ความหมายก็จะแตกต่างไป มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเยาว์ของสองสำนักใหญ่!
“เรื่องเช่นนี้ ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเจ้าหรือ”
เซียวชิงเหอสีหน้าเย็นชาและเย่อหยิ่ง ในใจเขากลับกำลังลอบถอนหายใจ หากเจ้าวิปริตนั่นเป็นผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของพวกเขาจริงๆ ก็คงดี…
หว่างคิ้วของฮว่าอวิ๋นเจินกลับแฝงความเย็นเยียบ “ไม่บอกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอตอนที่เจ้าหนุ่มคนนั้นเดินออกจากหอสำแดงมรรค พวกข้าจะ ‘ขอคำแนะนำ’ จากเขาเอง”
เขาเน้นเสียงคำว่าขอคำแนะนำ
เซียวชิงเหอหรี่ตาเล็กน้อย จู่ๆ ก็หัวเราะเยาะและพูดว่า “แม้สิบสองหอจะตั้งอยู่ในนครหยกขาว แต่ก็ไม่ใช่ของพวกเจ้าสำนักกระบี่เทียมฟ้า ทำไม อนุญาตให้อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างสถิติที่นี่ แต่ไม่อนุญาตให้คนอื่นทำลายสถิติของเขางั้นหรือ นี่จะเผด็จการเกินไปแล้ว!”
เขาใช้น้ำเสียงที่ดูถูกและเย้ยหยันพูดถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ ทำให้สีหน้าของพวกฮว่าอวิ๋นเจินต่างอึมครึมลง สายตาที่มองเซียวชิงเหอก็เย็นชาลงอย่างมาก
“พวกเราแค่อยากรู้ฐานะของเจ้าหนุ่มคนนั้นเท่านั้น เจ้าตื่นเต้นเกินไปแล้ว” เสียงของฮว่าอวิ๋นเจินเย็นเยียบ
“ไม่จำเป็นหรอกมั้ง จนตอนนี้เจ้าหมอนั่นทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋มาสี่อันแล้ว พวกเจ้าทนไม่ลงมือได้จริงๆ หรือ” เซียวชิงเหอยิ้มเยาะ
“งั้นก็ต้องดูว่าสหายคนนั้นให้ความร่วมมือหรือไม่” ฮว่าอวิ๋นเจินใบหน้าไร้อารมณ์
เซียวชิงเหอหัวใจหล่นวูบ ตระหนักได้ว่าสถานการณ์วันนี้คงจัดการยากมากแน่
หากที่มาของเจ้าวิปริตนั่นยิ่งใหญ่เพียงพอ บางทีอาจจะทำให้พวกฮว่าอวิ๋นเจินหวาดกลัวได้บ้าง
แต่ถ้าเป็นจริงอย่างที่เจ้าวิปริตนั่นบอกว่าตนเป็นผู้ฝึกปราณที่ ‘ไม่มีพรรคไม่มีสำนัก’ เช่นนั้นคงยุ่งแล้วจริงๆ!
บรรยากาศเงียบเชียบและกดดัน คลื่นลมก่อตัว
หน้าหอสำแดงมรรคที่รกร้างว่างเปล่า กลุ่มผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ากลิ่นอายอันตราย เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาก็ทำให้ฟ้าดินตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศชวนกดดัน
ในระยะไกล ผู้ฝึกปราณมากมายถูกดึงดูดเข้ามา
ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ยามพวกฮว่าอวิ๋นเจินทะลวงฟ้ามาเยือน แสงกระบี่ที่ควบทะยานมากมายดุจสายฝน ก็ดึงดูดความสนใจของเมืองแสงเขียวทั้งเมืองตั้งนานแล้ว
แต่บรรดาผู้ฝึกปราณที่ถูกดึงดูดมา กลับเพียงกล้ายืนอยู่ในระยะหลายพันจั้ง ไม่กล้าเข้าใกล้
“เซียวชิงเหอ ไม่ว่าเจ้ากับเจ้าหนุ่มนั่นจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน ข้าว่าเจ้ารีบไปซะ อย่ายุ่งเรื่องนี้”
ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆ ฮว่าอวิ๋นเจินก็ส่งเสียง สายตาราวกับดาบคมคู่หนึ่ง เผยประกายคมปลาบชวนกดดันจ้องเซียวชิงเหออย่างเย็นยะเยือก
“ฮ่าๆ” เซียวชิงเหอหัวเราะ รอยยิ้มกลับเย็นชาอย่างที่สุด “ข้าเซียวชิงเหอจะทำอย่างไร ยังต้องให้เจ้ามาชี้แนะหรือ”
“สุราคำนับมิยอมดื่ม อยากดื่มสุราทัณฑ์!”
“ดูเหมือนว่าผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรานี่ยืนยันจะเป็นศัตรูกับพวกเรา”
“ข้าสงสัยว่าเขากับเจ้าหนุ่มคนนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นพวกเดียวกัน เข้าสู่นครหยกขาวครั้งนี้ กลัวว่าจะกกกอดเจตนาร้าย มีความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้!”
สีหน้าของผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นต่างดุดัน ที่นี่คือนครหยกขาว คือถิ่นของพวกเขา เป็นผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราแล้วอย่างไร
มาถึงที่นี่ก็ต้องก้มหัว!
“นี่ก็คือการกระทำของสำนักกระบี่เทียมฟ้างั้นหรือ ช่างเผด็จการและหยิ่งผยองตามคาด! มาๆๆ ข้าจะดูซิว่าพวกเจ้าจะกล้าทำอะไรข้า”
เซียวชิงเหอโกรธจัดจนหัวเราะออกมา เสื้อผ้าโบกพลิ้วไปตามสายลมจนเกิดเสียง อานุภาพที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกมา ก่อกวนพาลมเมฆปั่นป่วน
พวกฮว่าอวิ๋นเจินสีหน้าเย็นเยียบ พวกเขาเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ สิ่งที่เน้นก็คือจิตใจเปรียบกระบี่ สังหารเด็ดเดี่ยว ถูกท้าทายเช่นนี้ ทำให้พวกเขาโกรธจนสุดจะทนแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้ข้าเรียนรู้พลังสุริยันผู้กล้าลำดับที่เจ็ดแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราสักหน่อย หากเจ้าแพ้ ก็เก็บหางแล้วรีบหายไปจากนครหยกขาวจะดีที่สุด!”
ฮว่าอวิ๋นเจินก้าวเท้าออกมา เงาร่างผอมแห้งราวกับกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก ชุดคลุมสีดำพลิ้วไหว บุคลิกโดดเด่น
ชั่วขณะนั้นที่แห่งนี้ลมเมฆพลุ่งพล่าน อากาศคำราม ทำให้หลายคนกลั้นหายใจ
ชิ้ง!
กระบี่วิญญาณยาวสองฉื่อที่เปล่งประกายสีเลือดสดเล่มหนึ่งโฉบออกไป ปรากฏเหนือศีรษะของฮว่าอวิ๋นเจิน ปลดปล่อยไอสังหารปานคุกเลือดแม่น้ำนรก
กระบี่เฉือนวิญญาณ!
ห่างออกไปผู้ฝึกปราณต่างใจสั่น นี่คืออาวุธที่ดุร้ายเล่มหนึ่ง สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เปื้อนเลือดผู้ฝึกปราณมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่
“หึ โอ้อวดไร้ยางอาย!” เซียวชิงเหอเห็นเช่นนี้พลันสะบัดข้อมือ ปรากฏทวนเหล็กนิลเล่มหนึ่ง อานุภาพราวกับสุริยันสะท้อนฟ้า แผ่แสงสีทองอร่ามทั่วทั้งตัว
ตูม!
การต่อสู้ยังไม่ทันปะทุขึ้น อานุภาพที่แผ่กระจายออกจากร่างกายของทั้งสองก็เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้อากาศระหว่างทั้งสองระเบิดราวกับแก้ว
เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่อยู่บริเวณนั้นเองก็หวั่นไหว ตระหนักได้ว่าแม้เซียวชิงเหอจะบ้าบิ่น แต่ก็สมกับที่เป็นลำดับเจ็ดของสุริยันผู้กล้าแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา อานุภาพเช่นนี้ใช่ว่าผู้กล้าทั่วๆ ไปจะเทียบได้
“ให้ตาย! คนหนึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า อีกคนเป็นหนึ่งในสิบหกสุริยันผู้กล้าแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ทั้งสองกลับจะต่อสู้กันที่นี่!”
“นี่เป็นการปะทะของผู้กล้าขอบเขตมกุฎ! ที่ผ่านมายากจะได้เห็น คราวนี้ทุกคนล้วนมีบุญตาแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณที่ดูอยู่ห่างๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ มากมายแน่นขนัด ยามนี้ต่างเผยสีหน้าตื่นเต้น การประลองอันเป็นประวัติกาลกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ทำให้พวกเขาต่างเดือดพล่าน
“เตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ออกไปตอนนี้ ทุกอย่างจะกลายเป็นอดีต ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องส่งเจ้าลงนรกด้วยตัวเอง!”
ฮว่าอวิ๋นเจินเงาร่างสง่า เสื้อผ้าพลิ้วไหว กระบี่เฉือนวิญญาณเหนือศีรษะส่งเสียงราวกับเสียงคำรามเลือด อานุภาพดุร้ายไม่ธรรมดา
“อย่าพูดไร้สาระ จะรบก็รบ!” เซียวชิงเหอแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ ปลายทวนชี้ออกไป จิตต่อสู้อันดุเดือดไร้ที่เปรียบปรากฏราวกับกระแสน้ำ ปกฟ้าคลุมดิน
“ไม่รู้จักดีชั่ว!”
ฮว่าอวิ๋นเจินไม่ลังเลอีกต่อไป ก้าวย่างออกไป พลังขับเคลื่อนรอบตัวคำรามราวกับฟ้าร้อง ไอสังหารรุนแรงพุ่งทะลุชั้นฟ้า
แต่ยังไม่รอให้เขาลงมือ ภาพตรงหน้าก็พร่าเบลอ พลันเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเซียวชิงเหอ หันหลังให้ตน เห็นหน้าไม่ชัด
“ในเมื่อให้เจ้าไปแล้ว ทำไมถึงยังไม่ไป” คนผู้นี้ก็คือหลินสวินนั่นเอง
“ข้า…” เซียวชิงเหอเบิกตาโต เขาไม่รู้เลยว่าหลินสวินเดินออกจากหอสำแดงมรรคตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไปเถอะ” หลินสวินตบไหล่เขา
“เฮ้ย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร รีบไสหัวไปซะ อย่ารบกวนการต่อสู้!” เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าตะเบ็งเสียงด่าว่า
การต่อสู้กำลังจะปะทุแล้ว กลับถูกเด็กหนุ่มที่จู่ๆ ก็โผล่มาขัดขวาง ทำให้พวกเขาไม่พอใจอย่างมาก
“หลีกไปเดี๋ยวนี้!”
“ให้ตาย นี่เป็นการประลองระหว่างบุคคลขอบเขตมกุฎเชียวนะ เจ้าหมอนี่รนหาที่ตายหรือถึงได้วิ่งออกมาขัดขวาง”
ผู้ฝึกปราณที่กำลังดูอยู่ในระยะไกลเองก็ไม่พอใจ พวกเขากำลังเตรียมดูการต่อสู้อย่างตื่นเต้น กลับถูกขัดจังหวะเช่นนี้ จึงพุ่งเป้ามาที่คนขัดขวางอย่างหลินสวินทันควัน
เหนือความคาดหมายของทุกคน เซียวชิงเหอกลับเหมือนเชื่อฟังอย่างมาก พลันเก็บจิตต่อสู้รอบตัว แล้วหมุนตัวจะจากไปอย่างไม่ลังเล
หลินสวินออกมาแล้ว เขาจะโง่ไปสู้กับผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นทำไม
ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือนครหยกขาว เป็นถิ่นของสำนักกระบี่เทียมฟ้า รบชนะผู้น้อยแล้วยังมีผู้ใหญ่ แม้เอาชนะฮว่าอวิ๋นเจินได้ สุดท้ายไม่เร็วก็ช้าก็ต้องลำบาก
“อยากไปก็จากไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ ฝันไปเถอะ” ฮว่าอวิ๋นเจินสีหน้าอึมครึมเย็นเยียบ กลิ่นอายน่ากลัว
ก่อนหน้านี้เขาเตรียมจะลงมือแล้ว กลับถูกหลินสวินขัดขวาง ทำให้เขารู้สึกอัดอั้น พลังขับเคลื่อนรอบตัวเกือบจะวุ่นวาย
สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ที่สุดคือ หลินสวินหันหลังให้เขาตั้งแต่ต้นจนจบ คิดจะไปก็ไป เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นเขาฮว่าอวิ๋นเจินในสายตา!
ชิ้ง!
ทันทีที่สิ้นเสียงฮว่าอวิ๋นเจินก็พุ่งออกไปโดยไม่ลังเลแม้สักนิด กระบี่เฉือนวิญญาณสีแดงสดโฉบออกมา แปรเป็นเจตกระบี่สีเลือดแสบตา
กระบี่นี้ราวกับสายฟ้าพายุ ไอสังหารเย็นเยียบไร้เทียมทาน แผ่กลิ่นอาย ‘มหามรรคผลาญเลือด’ อันแข็งแกร่ง เล็งไปที่กลางหลังของหลินสวิน
ทอดมองจากไกลๆ ในกระบี่เดียวราวกับเปิดประตูใหญ่สู่นรก โหดเหี้ยมน่าหวั่นหวาด
“ระวัง…” เซียวชิงเหอหัวใจสะท้าน
เพียงแต่คำพูดนี้ของเขายังไม่ทันพูดออกมา ก็เห็นหลินสวินสะบัดมืออย่างสบายๆ ทีหนึ่ง
ปัง!
กระบี่อันยอดเยี่ยมชวนตะลึงนั่น แตกละเอียดกลางอากาศราวกับกระดาษเปราะบางท่ามกลางสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน
ละอองแสงปลิวกระจาย ราวกับเปลวเพลิงที่ผลิบาน สวยงามยิ่ง
ตอนที่ 1024 คัมภีร์กระบี่มหาพิบัติ
ตอนแรกทุกคนยังคิดว่าหลินสวินเป็นคนนอกที่ไม่รู้ความรุนแรง ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะบุกเข้ามาในการต่อสู้ระหว่างขอบเขตมกุฎที่กำลังจะปะทุขึ้นนี้เหมือนคนโง่
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าหรือผู้ฝึกปราณที่ดูอยู่ห่างออกไป ล้วนกล่าวว่าเขาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
แต่ในเวลานี้พวกเขากลับอึ้งตาค้าง
ในฐานะลำดับที่เก้าของสิบสามกระบี่ แม้กระบี่นี้ของฮว่าอวิ๋นเจินจะธรรมดาเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปจะต้านทานได้!
ตอนที่เขาลงมือ ในหัวทุกคนต่างปรากฏฉากนองเลือดตามจิตใต้สำนึก ภาพที่ว่าคนหนุ่มคนนั้นถูกสังหาร แม้ตายก็ไม่รู้ว่าตายอย่างไร
แต่ความจริงกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง!
กระบี่นี้ของฮว่าอวิ๋นเจินยังไม่ทันเข้าใกล้ด้วยซ้ำ ก็ถูกคนหนุ่มคนนั้นสะบัดมือตบจนแหลกละเอียดอย่างสบายๆ!
การกระทำลวกๆ ขนาดนั้น ง่ายดายเหมือนไล่แมลงที่รบกวนเวลานอนอย่างไรอย่างนั้น
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งสะเทือนใจคน!
มีเพียงเซียวชิงเหอที่ราวกับคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่พอเห็นหลินสวินสลายเจตกระบี่ที่พุ่งสังหารเข้ามาอย่างง่ายดายเช่นนี้ก็ยังรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย
“นิ่งอยู่ทำไม รีบไป!” หลินสวินถลึงตาใส่เขาวูบหนึ่งแล้วเดินนำออกห่างไป
เซียวชิงเหอยังไม่หายอึ้งนัก
ความจริงเขากลับอยากให้หลินสวินกับฮว่าอวิ๋นเจินดวลกันสักครั้ง จะได้ดูว่าพลังต่อสู้ของคนที่ถูกเขามองว่าเป็นตัวประหลาดวิปริตเพียงใด
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินไม่มีกะจิตกะใจสนใจฮว่าอวิ๋นเจินตั้งแต่แรก เขารีบร้อนจะจากไป
“หึ!”
ด้านหลังสีหน้าของฮว่าอวิ๋นเจินอึมครึม พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
กระบี่ก่อนหน้านี้ถูกทำลายจนแหลกละเอียด ทำให้เขาประหลาดใจและตะลึงเช่นกัน เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ตนคิดแน่
เดิมทีเขายังคิดจะทนไปก่อน เพื่อสืบที่มาของอีกฝ่ายสักหน่อยค่อยตัดสินใจว่าจะลงมือหรือไม่
แต่หลินสวินไม่ให้โอกาสเขาเลย คิดจะไปก็ไป มองเขาเป็นอากาศธาตุตั้งแต่ต้นจนจบ!
นี่ทำให้ฮว่าอวิ๋นเจินไม่สามารถทนได้
วู้ม!
กระบี่ครวญราวกับกระแสน้ำ
กระบี่เฉือนวิญญาณเคลื่อนผ่านอากาศ วาดเจตกระบี่สว่างไสวที่เพียงพอจะทำให้ท้องฟ้ามืดสลัว
แดงชาดราวกับเลือด งามเพริศพริ้งดุจเปลวเพลิง!
“เยี่ยม!”
กลุ่มผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าดวงตาทอประกาย จิตใจตะลึงกับอานุภาพของกระบี่นี้อย่างรุนแรง
วิชากระบี่เล่มนี้นามว่า ‘เถ้าโลหิตเพลิงลาม’ หนึ่งในมรดกวิถีกระบี่ที่มีพลังทำลายล้างที่สุดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า
เล่าลือกันว่าเป็นมรดกที่อริยะวิถีกระบี่สร้างขึ้นอย่างยากลำบาก อานุภาพยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ไร้เทียมทาน
หากสำแดงออกมา เจตกระบี่ประหนึ่งแสงโลหิตเพลิงลาม สามารถเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่าน!
ฮว่าอวิ๋นเจินเอาจริงแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟ้าดินกู่ก้อง อากาศยุบทลาย เจตกระบี่สายนี้กวาดออกมา อานุภาพราวกับสายฟ้าพุ่งทะยานเก้าสวรรค์ เคลื่อนไหวราวกับสุริยันอันแรงกล้าทำลายภูผาธารา
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก ต่างรู้สึกประหนึ่งว่าหายใจไม่ออก
อานุภาพของบุคคลขอบเขตมกุฎ ยามนี้ได้แสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง
ในระยะไกล หลินสวินกับเซียวชิงเหอมุ่งหน้าอย่างเร่งรีบ
ตอนที่สังเกตเห็นกระบี่นี้ เซียวชิงเหอแผ่นหลังแข็งทื่อ กระวนกระวายอย่างมาก หันขวับไปอย่างควบคุมไม่อยู่ พลังขับเคลื่อนรอบตัวพลุ่งพล่าน
นี่เป็นสัญชาตญาณในการต่อสู้อย่างหนึ่ง หลังจากตระหนักได้ถึงอันตรายของกระบี่นี้ก็พลันตอบสนอง
หลินสวินยังคงเดินหน้าโดยไม่หันกลับมามอง ราวกับไม่รู้ตัวอย่างไรอย่างนั้น
เซียวชิงเหอหรี่ตาเล็กน้อย เจ้าคนวิปริตนี่หยิ่งผยองขนาดนี้เชียว หรือคิดจะให้ตนลงมือ ช่วยเขาสลายกระบี่นี้
เซียวชิงเหอหมดคำพูด เขารู้สึกว่าตนกำลังจะกลายเป็นผู้คุ้มกันอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ก่อนหน้านี้ช่วยอีกฝ่ายเผชิญหน้ากับฮว่าอวิ๋นเจิน ตอนนี้ยังต้องเป็นห่วงและปกป้องความปลอดภัยของเจ้าหมอนี่อีก นี่มัน…
แต่ไม่ว่าในใจจะปฏิเสธอย่างไร เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นี้ เซียวชิงเหอไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด!
ล้วนเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎเหมือนกัน เขารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวในการโจมตีนี้ของฮว่าอวิ๋นเจินเป็นอย่างดี จะต้องรับมืออย่างจริงจัง
ตูม!
เพียงแต่ไม่รอให้เซียวชิงเหอลงมือ ก็เห็นเจตกระบี่ที่ทะลวงอากาศเข้ามาสายนั้นแตกกระจายกลางคันอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวรุนแรงมาก ราวกับเสียงฟ้าร้องสนั่นหู แสงเลือดพรั่งพรูกลางอากาศ ก่อตัวเป็นเมฆก้อนใหญ่น่ากลัว ท่วมท้นฟ้าดินในระยะพันจั้ง
บรรดาผู้ฝึกปราณในระยะไกลหลายคนต่างหัวใจกระตุก ส่งเสียงอึดอัด มีคนที่ทนไม่ไหวยิ่งสั่นไปทั้งตัว ตกใจจนทรุดนั่งลงกับพื้น
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นสีหน้าซีดเซียวขึ้นมา
กระบี่ที่ทรงพลังและแข็งแกร่งเพียงนี้ ถูกทำลายอีกครั้งได้อย่างไร
แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ!
ภาพนั้นดูแปลกประหลาดและเหลือเชื่อเกินไป ราวกับมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ ทำลายล้างเถ้าโลหิตเพลิงลามนั่นอย่างง่ายดาย!
ฮว่าอวิ๋นเจินนัยน์ตาหดรัดทันควัน สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
พลังเจตจำนงมรรคแข็งแกร่งมาก!
ในฐานะคนในเหตุการณ์ เขายิ่งรู้ดีว่าการโจมตีนี้ของเขาถูกพลังมหามรรคอันคลุมเครือไร้รูปโจมตีจนยับเยิน
ยอดฝีมือขอบเขตมกุฎ!
ทันใดนั้นสายตาที่เขามองแผ่นหลังของหลินสวินแฝงความระแวงและหวาดหวั่น
เพียงแต่คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
“ทำไม่ไม่ขยับแล้ว ขืนยังไม่ไปเดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ”
เสียงของหลินสวินดังขึ้นข้างหูเซียวชิงเหอ ทำให้มุมปากของเขาอดกระตุกอย่างแรงไม่ได้ เจ้าหมอนี่… แม่งวิปริตจริงๆ!
เขาถอนหายใจคราหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วมุ่งหน้าต่อ
ก่อนหน้านี้เขาได้เตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมากเกินไป เจ้าวิปริตนั่นไม่ต้องให้เขาเสียแรงคุ้มกัน!
“สหาย จากไปเช่นนี้ไม่เห็นสำนักกระบี่เทียมฟ้าของข้าในสายตาเกินไปหรือเปล่า”
ฮว่าอวิ๋นเจินตะคอก
ตอนที่เสียงดังขึ้น เขายังอยู่ที่เดิม
แต่เมื่อสิ้นเสียง เขาก็มาปรากฏตัวในระยะหลายพันจั้ง กระบี่เฉือนวิญญาณในมือส่งเสียงกู่ก้องฟันออกไป
ฮูม
ราวกับแม่น้ำเลือดเก้าสวรรค์ตกลงมา พลานุภาพไร้ขีดจำกัด ปกคลุมพื้นดิน เจตกระบี่มหามรรคที่รุนแรงนั่นถึงขั้นก่อเกิดปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆ
มีภาพกระดูกขาวผุดขึ้นผุดลง ศพกองเป็นภูเขา มีเสียงร่ำไห้ของเทพผี เสียงโอดครวญแห่งราชัน!
ชั่วขณะนั้นในใจเซียวชิงเหอสะท้าน พลันตะโกน “เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้ว ดันใช้คัมภีร์กระบี่มหาพิบัติที่เป็นหนึ่งในสามมหาคัมภีร์ยอดกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า!”
คัมภีร์กระบี่มหาพิบัติ หนึ่งในสามมหาคัมภีร์ยอดกระบี่ที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าสร้างขึ้น และเป็นหนึ่งในสามวิชาชั้นยอดพิทักษ์สำนักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า
กระบี่เล่มนี้ประกอบด้วย ‘สามพิบัติ’ อันได้แก่พิบัติแห่งสวรรค์ พิบัติแห่งพิภพและพิบัติแห่งมนุษย์ รวมทั้งพลังแห่ง ‘หกเคราะห์’ อันได้แก่ เคราะห์แห่งจิตใจ เคราะห์แห่งวิญญาณเทพ เคราะห์จิตวิญญาณ เคราะห์แห่งจิตหยิน เคราะห์แห่งวิญญาณหยางและเคราะห์แห่งวิญญาณ
สามพิบัติหกเคราะห์ คลุมเครือและลึกลับ ผสมผสานในความหมายอันลึกซึ้งแห่งวิถีกระบี่ หากสำแดงออกมา เทพผียากคาดเดา อานุภาพทำลายฟ้าดิน!
ดังเช่นตอนนี้ สิ่งที่ฮว่าอวิ๋นเจินสำแดงออกมาก็คือนัยเร้นลับแก่นพิสุทธิ์วิถีกระบี่ของ ‘ม้วนพิบัติสวรรค์’ หนึ่งกระบี่วาดออกมา ราวกับพิบัติสวรรค์มาเยือนโลก เผยปรากฏการณ์สิ้นโลกที่พาให้คนหมดหวัง
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างรู้สึกประหนึ่งจะล่มสลาย จิตใจสั่นไหว ขนลุกชัน ล้วนตะลึงกับพลังของการโจมตีนี้
แม้เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเองก็ไม่ต่างกัน!
“ตื่นตูนอะไร มีมาดของผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราบ้างได้ไหม”
แต่ในเวลาเดียวกัน ข้างหูของเซียวชิงเหอกลับมีเสียงของหลินสวินดังขึ้นอย่างหัวเสีย ทำให้เขาแทบคลั่ง
นี่เป็นถึงคัมภีร์กระบี่มหาพิบัติเชียวนะ!
ทอดสายตามองไปทั่วทั้งแดนชัยบูรพา ก็เพียงพอที่จะอยู่ในขอบเขตของตำรากระบี่ไร้เทียมทานแล้ว!
เผชิญกับการเข่นฆ่าระดับนี้ ใครจะไม่แตกตื่น
เอ่อ…
ทันใดนั้น จู่ๆ เซียวชิงเหอก็ได้สติ ไม่ใช่สิ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าวิปริตนี่ ราวกับไม่มีความกังวลเลยสักนิด…
ในเวลาเดียวกันเขาเห็นหลินสวินลงมือแล้ว ยังคงไม่หันกลับไป เพียงแค่โบกมือขวาแล้วสะบัดไปข้างหลังคราหนึ่ง
การเคลื่อนไหวง่ายๆ ตามอำเภอใจ ไม่มีกลิ่นอายใดๆ
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ราวกับกระแสน้ำวนที่แปรมาจากสายลมกวาดออกมา เดิมทีไม่สะดุดตา แต่ต่อมาแปรเปลี่ยนเป็นหลุมดำหลุมหนึ่งแล้วขยายตัวอย่างเอาแต่ใจ
ครืนโครม!
พื้นที่ที่กระแสน้ำวนม้วนผ่าน เจตกระบี่ที่ราวกับพิบัติสวรรค์มาเยือนนั่นถูกกดทับและกลืนกินท่ามกลางเสียงปะทะดังอึกทึก
มองจากไกลๆ แม้พิบัติสวรรค์จะปกคลุมฟ้าดิน แต่กลับถูกพลังหลุมดำนั่นกลืนกินปานพายุหอบปุยเมฆ ในพริบตาเดียวก็หายไปหมดสิ้น
แม้แต่ระลอกคลื่นและร่องรอยก็ไม่หลงเหลือ!
เฮือก!
เซียวชิงเหอเกือบจะกัดลิ้น สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจไม่หยุด นี่มันวิชาลับมหามรรคอะไรกัน
“เป็นไปได้อย่างไร!” ในเวลาเดียวกัน ฮว่าอวิ๋นเจินเองก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นี่เป็นถึงพลังของคัมภีร์กระบี่มหาพิบัติเชียวนะ เป็นหนึ่งในมรดกไร้เทียมทานของสำนักกระบี่เทียมฟ้า หากสำแดงออกมา แม้แต่ราชันกึ่งระดับก็ต้องถูกสังหาร
แต่ตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายทำลายอย่างง่ายดายอีกครั้ง!
นี่ทำให้ฮว่าอวิ๋นเจินรู้สึกหนังหัวชาวาบ ไม่สามารถสงบได้แล้ว
แต่เขาไม่มีเวลาคิดมากแล้ว เพราะพลังหลุมดำที่กลืนกินฟ้าดินนั่นแปรเป็นประทับฝ่ามือกดดันเข้ามา
เป็นครั้งแรกที่ฮว่าอวิ๋นเจินสัมผัสได้ว่า อย่างไรเรียกว่าเคราะห์กำลังจะมาเยือน
การโจมตีนี้น่าหวาดหวั่นเกินไป เผยพลังที่ไม่อาจขวางกั้นและทำลายล้างทุกอย่างออกมา ทำให้เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่มาเยือนอย่างแท้จริง
เขาสั่นไปทั้งตัว ขวัญหนีดีฝ่อ อดส่งเสียงกรีดร้องไม่ได้ หลบหนีด้วยความตื่นตระหนก ดูสะบักสะบอมและเกินจะรับไหวอย่างที่สุด ไม่เหลือท่าทางเย็นชาและน่ากลัวเหมือนก่อนหน้านี้อีก
เพียงแต่ที่น่าอายคือ ชั่วขณะที่เขาเพิ่งจะหลบนั่น ประทับฝ่ามือหลุมดำนั่นพลันหายแวบไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับระเหยกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นฮว่าอวิ๋นเจินหน้าแดงก่ำ ในใจเต็มไปด้วยความอับอาย เห็นได้ชัดว่าตนกำลังถูกหยอกเย้าและตักเตือน!
“หากเปลี่ยนเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋สำแดงคัมภีร์กระบี่นี้ บางทีอาจสามารถทำให้ข้าหวาดหวั่นได้บ้าง ส่วนเจ้า… ยังไม่มีคุณสมบัติต่อสู้กับข้า ทางที่ดีที่สุดควรหยุดแค่พอเหมาะ ไม่เช่นนั้นครั้งต่อไปจะเป็นคราวตายของเจ้า”
เสียงเรียบเฉยดังขึ้นข้างหู
เจ้าคนที่อยู่ห่างไปนั่นยังคงไม่หันกลับมา แต่ฮว่าอวิ๋นเจินรู้ว่า คำพูดที่แฝงการตักเตือนนี้มาจากอีกฝ่าย!
เขากำสองหมัดแน่น โกรธจนหน้าเขียว ในใจเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
มีหลายครั้งที่เขาอยากพุ่งเข้าไปสู้ แต่สุดท้ายเขาก็ทนเอาไว้ เขาไม่กล้าเอาชีวิตของตนไปเป็นเดิมพัน!
ในลานเงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงใบไม้ร่วง
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างอึ้งค้างอยู่กับที่ราวกับรูปปั้น ร่างกายแข็งทื่อ
พวกที่มาดูความครึกครื้นซึ่งอยู่ห่างออกไปล้วนมีความรู้สึกรอดจากความตาย เหงื่อท่วมตัว มือเท้าเย็นเยียบ
การปะทะเมื่อครู่นี้น่าตกใจเกินไปแล้ว!
เพียงแต่เมื่อเทียบกับกระบี่ที่ราวกับพิบัติสวรรค์มาเยือนนั่น พลังหลุมดำปานทำลายล้างจักรวาลน่าตกใจและน่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันแน่
ฮว่าอวิ๋นเจินเป็นถึงหนึ่งในสิบสามกระบี่ มีพลังต่อสู้ขอบเขตมกุฎที่สะดุดตา เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายหันกลับมามองเลยแม้แต่แวบเดียว
นี่เป็นการมองข้ามโดยสิ้นเชิงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่การต่อสู้ครั้งนี้ เรียกได้ว่าฮว่าอวิ๋นเจินพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
ฟึ่บ!
ท่ามกลางความเงียบงัน นกยูงห้าสีที่มีปีกงดงามสว่างไสวทะลวงอากาศเข้ามา โรยตัวลง ณ ที่แห่งนี้
ตอนที่ 1025 เหตุใดไม่เป็นเช่นนี้เล่า
ข่งหลิงมาแล้ว เพิ่มความสว่างให้กับบรรยากาศอันเงียบเชียบนี่
ผิวพรรณของนางราวกับหิมะน้ำแข็ง สง่างามราวกับเซียน รูปลักษณ์งดงาม สวมชุดคลุมห้าสีตัวหนึ่ง มีบุคลิกสูงส่งจนพาให้คนรู้สึกด้อยกว่า
“ศิษย์พี่ข่งหลิง!”
ฮว่าอวิ๋นเจินชะงัก สีหน้าอึมครึมสับสน
ความพ่ายแพ้เมื่อครู่นี้ทำให้เขาอายที่จะเผชิญหน้ากับข่งหลิง
“กระบี่นงคราญข่งหลิง!”
ห่างออกไปเหล่าผู้ฝึกปราณต่างหวั่นไหว สายตาแฝงความเคารพอย่างลึกล้ำ เหมือนเห็นเซียนท่านหนึ่งปรากฏบนโลก ท่วงท่าสูงส่งสง่าบริสุทธิ์ราวกับหิมะ ไม่อาจดูแคลน
สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีสิบสามกระบี่ ข่งหลิงอยู่ในลำดับที่สาม
นางครอบครองกระบี่นงคราญ ความสามารถเยี่ยมยอด สืบทอดพรสวรรค์ของเผ่านกยูงห้าสี เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าหญิงที่หายากแม้หนึ่งในหมื่น
บวกกับรูปลักษณ์ของนางโดดเด่นราวกับเทพธิดา แค่ในด้านอิทธิพลก็มากกว่ากระบี่เฉือนวิญญาณฮว่าอวิ๋นเจินอยู่มาก
ข่งหลิงเหมือนมีเรื่องในใจ แม้สังเกตได้ว่าบรรยากาศในที่นั้นแปลกประหลาดและละเอียดอ่อนมาก แต่กลับไม่สนใจ
ทันทีที่มาถึง นางก็ตรงไปหน้าหอสำแดงมรรค
นางมาหาคนที่กำลังทยอยทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋!
นอกจากนี้เรื่องอื่นไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้
เห็นการกระทำเช่นนี้ของนาง พวกของฮว่าอวิ๋นเจินต่างชะงัก หลังจากตระหนักบางอย่างได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจ้าคนเมื่อกี้นั่น คงไม่ใช่….
ตูม!
ในเวลานี้เอง คลื่นไพศาลระลอกหนึ่งแผ่กระจายออกจากหอสำแดงมรรค เกิดเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าดินสั่นไหว
จากนั้นท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคน รูปปั้นหินผีซิวที่นั่งอยู่หน้าหอสำแดงมรรคก็แปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันเขียว
ควันเขียวพัดพา ก่อตัวเป็นเงาคนอันคลุมเครือและเลือนรางกลางอากาศ
“รอคอยตราบพันหมื่นปี ข้าไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป!”
ท่ามกลางความมึนงง ทุกคนราวกับได้ยินเสียงหัวเราะอันภาคภูมิใจและเป็นอิสระดังขึ้น
แต่ยามแยกแยะอย่างละเอียดกลับไร้ซึ่งร่องรอย
หอสำแดงมรรคได้กลับคืนสู่ความเงียบสงบตั้งนานแล้ว มีเพียงรูปปั้นหินผีซิวที่นั่งอยู่หน้าประตูใหญ่ที่หายไป
ข่งหลิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคู่ใสวูบไหว
พวกฮว่าอวิ๋นเจินที่อยู่ห่างออกไปต่างชะงักงัน ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นโดยพร้อมเพรียง
“คนผู้นั้นล่ะ” จู่ๆ ข่งหลิงก็ถามขึ้น เสียงกระจ่างใสดังออกมา
“เพิ่งไป” ฮว่าอวิ๋นเจินพูด
“เหตุใดไม่บอกข้าตั้งแต่แรก”
“ข้า…” ฮว่าอวิ๋นเจินพูดไม่ออก สีหน้าอึมครึมสับสน ให้เขาเล่าเรื่องที่ถูกโจมตีพ่ายแพ้ออกมาเองงั้นหรือ นี่น่าอายเกินไปแล้ว
“ทำงานไม่สำเร็จ ดีแต่ทำให้เละเทะ!” ตอนที่ข่งหลิงพูด เงาร่างพลันกะพริบวาบแปรเป็นนกยูงห้าสีที่งดงามสูงส่งพุ่งทะลวงสู่ฟ้า
“ข้าทำงานไม่สำเร็จหรือ ข้าอยากดูนักว่าท่านศิษย์พี่ข่งหลิงจะสู้เจ้าหมอนั่นได้หรือไม่!” สีหน้าของฮว่าอวิ๋นเจินมืดทะมึนไม่น่าดู
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนอื่นๆ เงียบกริบ
จนถึงตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็กล้ามั่นใจแล้วว่า เจ้าหนุ่มที่พาเซียวชิงเหอออกไปเมื่อครู่นี้ก็คือเป้าหมายที่พวกเขาตามหา
และคนผู้นี้…
เกรงว่าคงทำลายสถิติในหอสำแดงมรรคแล้ว…
พวกเขาหันมองหอสำแดงมรรค จิตใจทั้งตะลึงทั้งสับสน
……
“พี่ชาย ขืนเจ้ายังไม่บอกว่าเจ้าเป็นใคร ข้าจะร้อนใจแล้วนะ!”
กลางอากาศ หลินสวินกลับเซียวชิงเหอกำลังเดินทาง เซียวชิงเหอถามอย่างไม่พอใจ
“รอออกจากนครหยกขาวก่อนค่อยว่ากัน”
หลินสวินตอบสบายๆ
“ได้!”
เซียวชิงเหอรับคำอย่างพอใจมาก
ทันใดนั้นเขาพลันมุ่นคิ้วพูด “ไม่ใช่สิ ในหอสำแดงมรรค… เจ้าได้ทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋หรือไม่”
หลินสวินขานรับว่าอืม
พูดถึงประสบการณ์ในหอสำแดงมรรค จนตอนนี้หลินสวินยังมีความรู้สึกเหมือนฝันไป
เพราะเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ขึ้นหอเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น กลับทำให้การหยั่งรู้ของเขาต่อมรรคดับดารากลืนกินบรรลุถึงระดับเจตจำนงมรรคขั้นสมบูรณ์ในคราเดียว!
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทุ่มเทความพยายามอย่างมาก ถึงพอจะทำให้มรรคนี้บรรลุสู่ระดับท่วงทำนองมรรคขั้นต้นเท่านั้น
แต่ขึ้นหอครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้น กลับทำให้มรรคนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เท่ากับประหยัดเวลาหยั่งมรรคไปราวเจ็ดปี!
ก็หมายความว่า เดิมทีหากหลินสวินต้องการบรรลุมรรคนี้ถึงระดับเจตจำนงมรรคขั้นสมบูรณ์ ด้วยรากฐานพลังและความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานานเจ็ดปี
แต่ตอนนี้ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วยามก็ทำได้แล้ว!
โอกาสระดับนี้เรียกได้ว่าน่าตกใจ ทำให้ในช่วงเวลาสั้นๆ หลินสวินเองยังยากจะสงบได้อย่างสิ้นเชิง
บนโลกนี้มีวาสนานับไม่ถ้วน
มีคนใช้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จในก้าวเดียว ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า
มีคนใช้สิ่งนี้หยั่งมรรค ก้าวสู่ระดับการฝึกปราณที่สูงกว่า
นี่ก็คือเหตุผลพื้นฐานที่บรรดาผู้ฝึกปราณแสวงหา ‘วาสนา’ และ ‘ศุภโชค’
ได้รับวาสนาครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ใครจะต้านทานการล่อลวงระดับนี้ได้
แต่สำหรับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติรุ่นเยาว์ที่ก้าวสู้ขอบเขตมกุฎแล้วอย่างพวกหลินสวิน มหายุคที่กำลังจะมาเยือนต้องเป็น ‘มหาศุภโชค’ ที่หายากและไม่เคยมีมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย!
……
‘เจ้าวิปริตนี่… ไม่ใช่คน!’
ได้รับคำยืนยันจากหลินสวิน ในใจเซียวชิงเหอเกิดความวู่วามอยากสบถขึ้นมา
พอมาเทียบกันแล้ว ช่างน่าโมโหเสียจริง!
ได้เป็นพยานในความสามารถตะลึงโลกต่างๆ ของหลินสวินในหอลองกระบี่ หอเกลาจิต หอหลอมจิตวิญญาณ หอแจ้งสัจจะและหอสำแดงมรรค
แม้แต่เซียวชิงเหอผู้เย่อหยิ่งยังรู้สึกถูกกระทบกระเทือนจิตใจจนยับเยิน
เขาเป็นถึงหนึ่งในสิบหกสุริยันผู้กล้าแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา แม้ในยุคปัจจุบันก็เป็นบุคคลแห่งยุคที่สะดุดตาและชื่อเสียงเลื่องลือ
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวิน เขากลับมีความรู้สึกสู้ไม่ได้
ความรู้สึกเช่นนี้… ไม่เจอกับตัวยากจะจินตนาการออกอย่างแน่นอน
พวกความเย่อหยิ่ง รากฐานพลังและที่พึ่งพิงอะไร ล้วนถูกบดขยี้ทั้งหมด ใครจะทนได้เล่า
เซียวชิงเหอเคยได้ยินว่าตอนที่อวิ๋นชิ่งไป๋ท่องเที่ยวทั่วโลก ผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกับเขาต่างคิดว่า การอยู่ในยุคเดียวกับอวิ๋นชิ่งไป๋คือเคราะห์ร้ายอย่างหนึ่ง
ตอนนั้นเซียวชิงเหอยังดูถูกเรื่องนี้ แต่ตอนนี้พอเห็นฝีมือต่างๆ ของหลินสวินแล้ว ในที่สุดเขาก็พอจะเข้าใจรสชาติของ ‘เคราะห์ร้าย’ เช่นนี้บ้างแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไม่ทะลวงด่านต่อแล้วหรือ”
จู่ๆ เซียวชิงเหอก็ถามคำถามนี้
“ไม่แล้ว”
หลินสวินส่ายหน้า ในสิบสองหอ ห้าหอแรกที่เขาทะลวงผ่านก่อนหน้านี้ มีผลต่อการส่งเสริมการฝึกปราณที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับอีกเจ็ดหอที่เหลือ มีหกหอเป็นสถานที่ที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชันเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้
ส่วนอีกหอ ‘หอชำระกาย’ มีไว้สำหรับผู้ฝึกปราณในมรรคา ‘กายหยาบบรรลุอริยะ’ โดยเฉพาะ ซึ่งขัดแย้งกับมรรคาของเขาในตอนนี้
บวกกับความเคลื่อนไหวที่เขาก่อขึ้นตอนนี้ได้ทำให้สำนักกระบี่เทียมฟ้าตื่นตัว เขาไม่อยากเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้หรอกนะ
‘ภายในวันเดียวทำลายสถิตินับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของห้าหอ แม้เป็นอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นก็คงต้องหวาดเกรงอยู่บ้าง’
เซียวชิงเหอถอนหายใจไม่หยุด
เขาแอบตัดสินใจว่ารอกลับสำนักไปแล้ว จะต้องเล่าข้อมูลทั้งหมดของหลินสวินให้ศิษย์พี่หมีเหิงเจินฟัง!
เพราะในใจเขา ไม่ว่าจะเป็นรากฐานพลัง พรสวรรค์หรือพลังต่อสู้ หมีเหิงเจินอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถเทียบกับหลินสวินได้
ส่วนบุคคลชั้นยอดคนอื่นๆ ในบรรดาสิบหกสุริยันผู้กล้าจะสู้หลินสวินได้หรือไม่นั้น เซียวชิงเหอไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็กำลังใคร่ครวญ
การมาเยือนนครหยกขาวในครั้งนี้ ผลเก็บเกี่ยวที่เขาได้รับมามีมากกว่าที่เห็น
ก่อนอื่นบนหอลองกระบี่ ทำให้เขามั่นใจอย่างสิ้นเชิง ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนสู้ตนไม่ได้อย่างแน่นอน
บนหอเกลาจิต เขามั่นใจว่าการฝึกสภาวะจิตของตน ถึงระดับ ‘กระจ่างจิต’ แล้ว เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันทั้งในอดีตและปัจจุบัน
บนหอหลอมจิตวิญญาณ การฝึกจิตวิญญาณได้บรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์ของขั้นแรกในระดับดอกเทพรวมยอดแล้ว!
ที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ไม่ว่าจะเป็นพลังสภาวะจิตระดับกระจ่างจิต หรือพลังจิตวิญญาณระดับดอกเทพรวมยอดขั้นแรก ล้วนเห็นได้เพียงในตัวสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเท่านั้น!
อีกทั้งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั่วไปยังไม่มีพลังระดับนี้!
ส่วนในหอแจ้งสัจจะ แม้จะไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ เลย แต่กลับทำให้หลินสวินตัดสินได้ว่า อย่างน้อยในเรื่องของความสามารถในการหยั่งรู้ ตนก็ไม่แพ้ใครในยุคนี้
ผลเก็บเกี่ยวชิ้นใหญ่ที่สุดก็คือประสบการณ์ในหอสำแดงมรรค
เบาะรองนั่งมหามรรคทั้งเก้าที่คุณลักษณะต่างกัน ทำให้ในระหว่างการแจ้งมรรคของเขา พลังปราณมหามรรคได้ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ด้อยกว่าการได้รับวาสนาที่หายากอย่างแน่นอน
และการทะลวงผ่านห้าหอนี้ สิ่งที่หลินสวินเสียไปมีเพียงแค่แกนวิญญาณขั้นสูงห้าหมื่นกว่าก้อนเท่านั้น แม้จะเป็นเงินก้อนโต แต่เมื่อเทียบกับผลเก็บเกี่ยวก็เล็กน้อยมาก
“เจ้าอย่าดูถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ คนผู้นี้รากฐานพลังลึกล้ำยากคาดเดา เมื่อสิบปีก่อนก็เป็นรองเพียงแค่ระดับราชันแล้ว และตอนนี้เขาก็ปิดด่านเก็บตัวฝึกมานานเกือบสิบปี!”
จู่ๆ เซียวชิงเหอก็ส่งเสียง “ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้และพรสวรรค์ของเขา เวลาสิบปีเพียงพอที่จะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน!”
“อริยะผู้หนึ่งในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้าเคยกล่าวว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้นี้ถูกกำหนดให้เป็นบุคคลแห่งยุคที่จะนำพากระแสมหายุค จะแข่งกับเขายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์!”
ฟังถึงตอนท้ายสุดหลินสวินเองก็อดตกใจไม่ได้ คำวิจารณ์ของอริยะ นี่เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถมองข้ามและดูแคลนได้
“ข้าย่อมไม่มีทางดูถูกเขา แต่ก็จะไม่ให้ความสำคัญกับเขามากเกินไป”
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “มหายุค มีนัยถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ อวิ๋นชิ่งไป๋จะเป็นผู้นำแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ ก็ยังมีตัวแปรอยู่เช่นกัน”
เซียวชิงเหอชะงัก รับรู้ได้อย่างมีไหวพริบ ว่าตอนที่หลินสวินพูดถึงอวิ๋นชิ่งไป๋เจือนัยเยียบเย็นที่ยากจะสังเกตเสี้ยวหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รอให้เขาตอบสนองหลินสวินก็พูดขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้นระดับกระบวนแปรจุติก็คือระดับกระบวนแปรจุติ แม้ให้เขาตกตะกอนสั่งสมเป็นร้อยปี ขอแค่พลังปราณไม่เปลี่ยน ท้ายที่สุดพลังต่อสู้ก็มีขีดจำกัด”
“เขากำลังรอมหายุคมาเยือน ผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกนี้ก็กำลังรอเช่นกัน ส่วนข้า…”
“เหตุใดไม่เป็นเช่นนี้เล่า”
หลินสวินยิ้มบางๆ สีหน้าราบเรียบ ไม่ได้มีน้ำเสียงตื่นเต้นใดๆ กลับมีความมั่นใจที่ไม่สามารถมองข้ามและดูถูกได้
ในใจเซียวชิงเหอกระตุกวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ พลันพูดอย่างฮึกเหิม “เจ้าพูดถูก ผู้ฝึกปราณรุ่นเราไม่ประชันเวลา ประชันเพียงมหามรรค ประชันเพียงแค่ว่ามรรคาของใครจะไปได้ไกลกว่า!”
เพียงแต่ตอนนี้เองกลับมีเสียงเย็นชาดังขึ้นอย่างกะทันหัน “หึ ข้าว่าตอนนี้พวกเจ้าคงไปได้ไม่ไกลมากแล้ว!”
พร้อมกับเสียงนั่น รุ้งศักดิ์สิทธิ์งดงามสว่างไสววาดมา ราวกับเคลื่อนไหวพริบตา เร็วจนเหลือเชื่อ
จู่ๆ ก็เข้ามาใกล้
พอมองไปอีกที รุ้งศักดิ์สิทธิ์นั่นพลันพริบไหว แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวงดงามที่ผิวพรรณงามดั่งหยก สง่างามปานเทพธิดาคนหนึ่ง
กระบี่นงคราญข่งหลิง!
ตอนที่ 1026 แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี
สีหน้าของเซียวชิงเหอจริงจังขึ้นมาทันที
แม้ข่งหลิงจะเป็นผู้หญิง แต่กลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าผู้สืบทอดแกนหลักคนอื่นๆ ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า
ผู้หญิงคนนี้เย่อหยิ่งและสูงส่ง พรสวรรค์โดดเด่นไร้เทียมทาน เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎเพียงคนเดียวที่เคยถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ชี้แนะ ได้รับความชื่นชมจากอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างลึกล้ำ
เหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคืออุปนิสัยของนางเข้ากับวิถีกระบี่ เข่นฆ่าได้อย่างเด็ดเดี่ยว!
ไม่เช่นนั้นนางคงไม่มีทางเป็นบุคคลร้ายกาจอันดับที่สามของสิบสามกระบี่ได้
“เจ้าเองหรือที่ทะลวงด่านในสิบสองหอวันนี้”
ข่งหลิงมาถึงก็มองข้ามเซียวชิงเหอ ดวงตาคู่ใสนิ่งเรียบและเย็นชาจับจ้องที่หลินสวิน
เงาร่างของนางสง่างาม ผิวพรรณงามดังหยก มีความโดดเด่นราวกับเซียน แต่กลิ่นอายกลับดุร้ายจนพาให้รู้สึกหวาดเกรง
กลิ่นอายเย็นเยียบที่ยากจะอธิบายก็แผ่กระจายท่ามกลางฟ้าดินผืนนี้ตามไปด้วย
หลินสวินกลับเหมือนไม่รู้ตัว พูดแก้ไขอย่างสบายๆ “พูดอย่างเคร่งครัด ทะลวงเพียงห้าหอเท่านั้น เพราะกลัวเดือดร้อนจึงทำได้เพียงหยุดมือ”
“ขอแค่ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องกลัวเดือดร้อน”
ข่งหลิงมัดผมไว้กลางศีรษะ หน้าผากขาวผ่องสะอาดหมดจด ใบหน้าอันงดงามราวกับหยกเย็นชา มีกลิ่นอายเฉียบคมที่ชวนกดดัน
“ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ได้ ข้าเพิ่งเดินออกจากหอสำแดงมรรคก็เกือบถูกคนขวางเอาไว้ ตอนนี้เพียงต้องการจากไป เจ้ายังตามมาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เจ้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความเดือดร้อนหรือ”
หลินสวินย้อนถาม
ข่งหลิงขมวดคิ้ว
ไม่รอนางเปิดปาก หลินสวินก็เอ่ยว่า “หยุดพูดไร้สาระ บอกจุดประสงค์ของเจ้ามา หากจะสู้ก็ลงมือเสียตอนนี้ หากจะพูดพร่ำทำเพลง ข้าไม่มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
คำพูดนี้ไม่เกรงใจเลยสักนิด
หากถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในนครหยกขาวเห็นว่าเทพธิดาข่งหลิงที่พวกเขานับถือที่สุดกลับถูกปฏิบัติด้วยอย่างไม่มีมารยาทเช่นนี้ กลัวว่าคงทำให้ทุกคนโกรธอย่างแน่นอน
แม้แต่เซียวชิงเหอเองก็อดนับถือไม่ได้ ในสายตาของเจ้าวิปริตนี่ เกรงว่าคงไม่มีความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผาอะไร ดุร้ายเสียไม่มี
เห็นได้ชัดว่าข่งหลิงเองก็รับมือไม่ทันอยู่บ้าง เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้าคนอวดดี เช่นนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าก่อนแล้วค่อยคุย!”
ชิ้ง!
กระบี่วิญญาณที่ขาวดั่งหิมะ กว้างสามนิ้วสองชุ่น ยาวสองฉื่อถูกชักออกจากฝัก ชั่วพริบตาเท่านั้นราวกับสุริยันสะท้อนฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างไสวเป็นประกายแผ่กระจาย
กระบี่นงคราญ!
ยอดศาสตรามรรคราชันเล่มหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
กระบี่นี้ราวกับสุริยัน สะท้อนแสงทั่วฟ้า กลิ่นอายขุ่นใสชัดแจ้ง มหัศจรรย์อย่างที่สุด
เหนือกว่ากระบี่เฉือนวิญญาณของฮว่าอวิ๋นเจินไปหนึ่งระดับ
“หลอมยอดสุริยัน!”
ข่งหลิงลงมือ กระบี่นงคราญระเบิดแสงทั่วฟ้า เจิดจรัสราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ ราวกับสามารถหลอมละลายท้องฟ้าได้
การเคลื่อนไหวของนางกระฉับกระเฉง เข่นฆ่าอย่างเด็ดเดี่ยว คิดจะลงมือก็ลงมือทันที เผยท่วงทำนองดุดันของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งออกมาอย่างหมดจด
‘แย่แล้ว! ป้านี่เพิ่งเริ่มลงมือก็ใช้นัยเร้นลับของ ‘วิชากระบี่มหาหยินหยาง’ เลย เห็นได้ชัดว่าคิดจะฆ่ากันแล้วจริงๆ!’
เซียวชิงเหอหน้าเปลี่ยนสี สื่อจิตถึงหลินสวิน
วิชากระบี่มหาหยินหยางเป็นวิชากระบี่ชั้นยอดวิชาที่สองที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าสร้างขึ้น และเป็นหนึ่งในมรดกสืบทอดพิทักษ์สำนักของสำนักกระบี่เทียมฟ้าร่วมกับคัมภีร์กระบี่มหาพิบัติ
วิชานี้แบ่งออกเป็นหยินและหยางสองม้วน มีความมหัศจรรย์ผันแปรในจักรวาลและวัฏจักรสองลักษณ์
หยินไม่อาจกำเนิดโดยไม่มีหยาง หยางไม่อาจดำรงอยู่โดยไม่มีหยิน หยินหยางเกื้อหนุนกัน สองลักษณ์โคจรซึ่งกันและกัน ผสานมังกรเสือ สามารถสำแดงอานุภาพที่เหลือเชื่อ
ก็เหมือนตอนนี้ พอข่งหลิงฟันกระบี่ออกมาก็ราวกับสุริยันดวงโตสะท้อนฟากฟ้า น่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขต
อีกทั้งกระบี่นงคราญในมือนางก็เป็นยอดศาสตรามรรคราชันที่ได้จากการหลอมรวมยอดหยางชิ้นหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้พลังกระบี่นี้ของนางเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า!
เซียวชิงเหอถามใจตัวเอง เมื่อเผชิญหน้าการโจมตีนี้ เขาต้องต่อสู้อย่างเต็มกำลังจึงจะสามารถต้านทานได้
ฉัวะ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินกวาดนิ้ว เผยนัยเร้นลับของกระบวนเฉือนคว้าดาราออกมา
เป็นการโจมตีอย่างง่ายๆ เท่านั้น แต่ราวกับเจตกระบี่ถูกบดจนแหลกละเอียดท่ามกลางเสียงอึงอล
‘แม่งเอ๊ย ข้าลืมไปว่าเจ้าวิปริตนี่ไม่สามารถตัดสินด้วยหลักการธรรมดาได้…’
ในใจเซียวชิงเหออึดอัดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กับฮว่าอวิ๋นเจิน หลินสวินยังเคยเตือนว่าให้เขารักษาอาการ
แต่ตอนนี้ ตน ‘ตื่นตระหนก’ อีกครั้งแล้ว!
“หลอมยอดผลาญ!”
ข่งหลิงโจมตีพลาดไปครั้งหนึ่ง อานุภาพยิ่งดุร้าย แผ่แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีทั่วตัว งดงามและสว่างไสว ฟันกระบี่หนึ่งออกไปอีกครั้งจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน
หลินสวินสู้กับนาง ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลางอากาศ สังหารจนจักรวาลพลิกคว่ำ สุริยันจันทราอับแสง ทะเลเมฆในรัศมีหมื่นลี้ล้วนถูกปั่นป่วนแหลกละเอียด
เมื่อมองดูอย่างละเอียดก็พบว่าปราณกระบี่ของข่งหลิงราวกับสายรุ้ง กวาดล้างทั่วทุกสารทิศ ทุกกระบี่ที่โจมตีออกไปล้วนทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันน่ากลัว อานุภาพน่าตกใจ
นี่คือความเร้นลับของวิชากระบี่มหาหยินหยาง เป็นวิชากระบี่ชั้นยอดที่แม้ราชันกึ่งระดับยืนอยู่ตรงนี้ก็ต้องถูกสังหาร!
เมื่อเทียบกันแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินนิ่งมาก ใช้นิ้วเป็นคมดาบต่อสู้กับนาง เงาร่างว่างเปล่าเหนือโลกีย์ ราวกับหลักศิลาใต้กระแสน้ำ ที่ไม่ว่าคลื่นใต้น้ำจะซัดสาดอย่างไรก็ไม่สามารถสะเทือนได้
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด สีหน้าของข่งหลิงค่อยๆ จริงจังและเคร่งขรึมขึ้นมา ไอเข่นฆ่าทั่วตัวค่อยๆ เพิ่มขึ้น ยิ่งดูดุร้ายและสะดุดตา
นางรู้ว่าเจอศัตรูที่ยากพบเจอแล้ว!
ชิ้ง!
ไม่นานนางยื่นมือออกไป เรียกกระบี่วิญญาณสีดำที่พบริสุทธิ์แวววาวราวกับรัตติกาลนิรันดร์เล่มหนึ่งออกมา แล้วโฉบพุ่งผ่านอากาศ
กระบี่แสงราตรี!
หากบอกว่ากระบี่นงคราญคือยอดหยางที่เผด็จการรุนแรง เช่นนั้นกระบี่แสงราตรีก็คือยอดหยินที่เย็นเยียบ
กระบี่นี้คือกระบี่คู่กายของอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อครั้งท่องทะยานทั่วหล้า ถูกเขาเคี่ยวกรำและหล่อเลี้ยงมาโดยตลอด สังหารมานับไม่ถ้วน!
เมื่อกระบี่นี้ปรากฏก็สะท้อนรับกับกระบี่นงคราญทันที ราวกับมังกรขาวดำสองตัวพันม้วนอยู่บนท้องฟ้า ปลดปล่อยไอสังหารออกมา
หืม?
แม้หลินสวินจะไม่รู้จักกระบี่แสงราตรี แต่กลับรับรู้ได้อย่างมีฉับไปว่าบนกระบี่นี้มีกลิ่นอายที่เขารู้สึกคุ้นเคย
และในเวลาเดียวกัน เสียงสื่อจิตที่แฝงความตะลึงของเซียวชิงเหอดังขึ้นในโสตประสาทเขา ‘ต้องระวังให้ดี นั่นเป็นกระบี่แสงราตรีของอวิ๋นชิ่งไป๋ เมื่อสิบปีก่อนเขาใช้กระบี่นี้สังหารราชันกึ่งระดับไปมากกว่าร้อยคน!’
เป็นกระบี่คู่กายเขาดังคาด!
หลินสวินนึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ทะลวงด่านห้าหอ เคยสัมผัสกลิ่นอายที่อวิ๋นชิ่งไป๋หลงเหลือเอาไว้หลายครั้ง และเหมือนกลิ่นอายบนกระบี่แสงราตรีนั่นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
โครม!
คิดถึงตรงนี้หลินสวินไม่ออมมืออีกต่อไป พลันก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ประทับปี้อั้นทะลวงฟ้าลงมา สลายการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
จากนั้นเขายื่นมือไปคว้า ใช้ผนึกป้าเซี่ยแผ่พลังช่วงชิงกลางอากาศ
วู้ม!
กระบี่แสงราตรีสั่นอย่างรุนแรงทีหนึ่ง แทบจะปลิวหลุดมือไป
ในที่สุดสีหน้าของข่งหลิงก็เปลี่ยนไป แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีรอบตัวกะพริบวาบ คลี่คลายพลังของผนึกป้าเซี่ยถึงได้รักษากระบี่แสงราตรีที่เกือบจะถูกชิงไปได้สำเร็จ
เพียงแต่สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างที่สุดแล้ว และแฝงความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่า ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด แต่ออมมือไว้!
“หืม?”
หลินสวินเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่า ‘แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี’ รอบตัวข่งหลิงกลับสามารถทำลายการโจมตีที่หมายมั่นของตนได้อย่างง่ายดายเพียงนี้
ตูม!
เขาไม่ได้เสียเวลา พลันโจมตีอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาตัดสินใจจะเก็บอีกฝ่ายไว้ทั้งคนทั้งกระบี่!
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นหลินสวินราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลิ่นอายรอบตัวปกคลุมฟ้าดิน มีอานุภาพกลืนกินใต้หล้า
แสงมรรคสีครามอร่ามอบอวลรอบตัวพร้อมกับการเดินหน้าของเขา คำรามราวกับฟ้าร้อง
เพียงแค่อานุภาพเช่นนั้นก็ทำให้ข่งหลิงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จิตวิญญาณกดดันอย่างที่สุด ไม่สามารถสกัดกั้นความกลัวที่เกิดขึ้นในใจได้
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
นี่คือศักยภาพที่แท้จริงของเขางั้นหรือ
เป็นไปตามการคาดเดาของข่งหลิง การต่อสู้ก่อนหน้านี้หลินสวินเพียงแค่อยากรู้อยากเห็น หมายจะชื่นชมความเร้นลับและอานุภาพของวิชากระบี่มหาหยินหยาง จึงไม่เคยใช้พลังที่แท้จริง
แต่ตอนนี้พอรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของกระบี่แสงราตรี ในที่สุดหลินสวินก็เลิกชักช้า หมายจะช่วงชิงกระบี่เล่มนี้!
หาใช่ละโมบในสมบัติชิ้นนี้ แต่เพราะบนกระบี่นี้มีร่องรอยการต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นเหลืออยู่
หากสามารถชิงกระบี่นี้ไปได้ ก็จะสามารถทำให้หลินสวินเข้าใจเบื้องลึกของอวิ๋นชิ่งไป๋ไปอีกขั้น!
เฮือก~
ในเวลาเดียวกันเซียวชิงเหอที่ดูการต่อสู้อยู่ก็สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ แม้ดูจากระยะไกลก็ยังทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันอันยิ่งใหญ่ จิตใจสะท้าน
ตั้งแต่ได้เห็นความไม่ธรรมดาของหลินสวิน เขาก็สงสัยมาโดยตลอดว่าแท้จริงแล้วพลังต่อสู้ของเจ้าคนที่ถูกเขามองว่าเป็นพวกวิปริตน่ากลัวเพียงใด
แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้เห็นเบาะแสเสี้ยวหนึ่งแล้ว!
หลินสวินพุ่งขึ้นหน้า มือข้างข้างหนึ่งควบรวมออกมา มีบรรยากาศที่แผ่คลุมจักรวาล กักกันแปดทิศ ปกคลุมข่งหลิงไว้เบื้องล่าง
ชิ้ง! ชิ้ง!
ข่งหลิงใช้กระบี่นงคราญและกระบี่แสงราตรีโจมตี ทว่าแม้เจตกระบี่ของนางจะเทียมฟ้า แต่กลับไม่สามารถสั่นคลอนฝ่ามือใหญ่ที่ปกคลุมลงมาได้เลยสักนิด
ฉัวะ!
อีกทั้งในระหว่างนี้พลังกลืนกินที่ไม่สามารถต้านทานได้ปรากฏขึ้น กระบี่แสงราตรีราวกับถูกพลังอันยิ่งใหญ่ชักนำ หลุดมือกะทันหัน ถูกหลินสวินช่วงชิงไป
แย่แล้ว!
ข่งหลิงตกใจจนหน้าเสีย อันตรายใกล้เข้ามาแล้ว ไม่อาจสนใจอย่างอื่นแล้ว
นางพลันกัดฟัน เผยวิชาลับพรสวรรค์ออกมา แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีรอบตัวพวยพุ่ง พลันแปลงร่างเป็นนกยูงงดงามตัวหนึ่ง กางปีกที่แหลมคมราวกับคมดาบ
เสียงปังดังลั่น มือใหญ่ที่ปกคลุมฟ้านั้นถูกกระแทกจนทะลุเป็นรู หลุดพ้นออกมา!
“อานุภาพของแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีน่ากลัวตามคาด!”
เซียวชิงเหอหวั่นไหวอย่างสิ้นเชิง แม้พลังต่อสู้ของข่งหลิงจะสู้หลินสวินไม่ได้ แต่ด้วยวิชาลับพรสวรรค์ระดับนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกสังหารได้ง่ายขนาดนั้น
ในเวลาเดียวกันนัยน์ตาหลินสวินหดรัดลงเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีจะสุดยอดเพียงนี้ มีอานุภาพน่ากลัวที่สามารถทำลายล้างหมื่นวิชา
“ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ความแค้นวันนี้สักวันจะต้องเอาคืน!”
สายตาข่งหลิงเย็นชา เผยความชิงชังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เมื่อปีกงดงามกางออกก็ประหนึ่งเคลื่อนย้ายในพริบตา โฉบทะยานจากไปไกล
เห็นชัดว่านางรู้ว่าตนสู้หลินสวินไม่ได้ จึงถอยทัพอย่างเด็ดขาด
สุดท้ายหลินสวินก็อดทนไว้ ไม่ตามไปโจมตี
ถึงอย่างไรนครหยกขาวก็เป็นถิ่นของสำนักกระบี่เทียมฟ้า หากตามไปแล้วเจอกับสัตว์ประหลาดเฒ่าในสำนักของอีกฝ่าย จุดจบนั้นไม่อยากจะคิด
“ไป!” หลินสวินเก็บกระบี่แสงราตรีแล้วเคลื่อนไปในทิศตรงข้ามอย่างไม่ลังเล
“รอข้าด้วย”
เซียวชิงเหอเองก็รีบตามไป
เขาตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์เช่นกัน ข่งหลิงแพ้แล้วหนีอาจเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่เรื่องที่กระบี่แสงราตรีของอวิ๋นชิ่งไป๋ถูกช่วงชิง เป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน!
หนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้น
ทั้งสองก็ปรากฏตัวใน ‘เมืองไม้เงิน’
หลังจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงจำนวนหนึ่ง ทั้งสองก็เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองได้อย่างราบรื่น
วู้ม
ตอนที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเปิดออก ชั่วพริบตาก่อนที่เงาร่างของทั้งสองจะหายไป ในระยะไกลมีแสงกระบี่หลายสายวาดทะลวงอากาศพุ่งเข้าภายในเมืองไม้เงิน
คนที่เป็นผู้นำแสงกระบี่ราวกับมหาสมุทร สว่างไสวดุจสุริยัน เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่ง!
ภาพนี้ถูกหลินสวินและเซียวชิงเหอที่กำลังจะจากไปเห็นเข้าพอดี
หลินสวินไม่ได้รู้สึกอะไร ในขณะที่เซียวชิงเหอนั้นตกใจจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว เมื่อครู่นี้หากช้าไปเพียงก้าวเดียว จุดจบนั้น…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น