Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1017-1022

ตอนที่ 1017 โคมม่วงราวมังกร

 

ระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้น หอเกลาจิตส่องแสงศักดิ์สิทธิ์แรงกล้า!


ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ยามอวิ๋นชิ่งไป๋ฝ่าการเคี่ยวกรำในแดนลับด่านที่สิบแปดในตอนนั้นก็เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


และตอนนี้ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว!


เพียงแต่ต่างจากตอนนั้น เพราะนี่เป็นครั้งที่สี่ที่เสียงระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้น


ไม่เหมือนกับสมัยอวิ๋นชิ่งไป๋ เด็กหนุ่มคนเมื่อกี้ต้องผ่านการทดสอบเคี่ยวกรำของแดนลับด่านที่สิบเก้าเป็นอย่างน้อย


นี่จึงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เซียวชิงเหอหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่


‘ระดับถัดจากจิตมรรคสว่างไสวก็คือ ‘กระจ่างจิต’ หรือสภาวะจิตของเขาจะมีพลังเช่นนี้แล้ว’


จิตใจเซียวชิงเหอไหวกระเพื่อมไม่ว่างเว้น


กระจ่างจิต หมายถึงจิตวิญญาณปลอดโปร่งกระจ่างแจ้ง


ระดับสภาวะจิตชั้นนี้ ยึดโยงจิตแต่ไม่ผูกติดกับจิต ยึดโยงมรรคแต่ไม่ผูกติดกับมรรค!


เซียวชิงเหอแน่ใจว่าในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ผู้สืบทอดระดับกระบวนแปรจุติที่บรรลุพลังสภาวะจิตถึงขั้นนี้ได้…


ไม่มีสักคน!


ขนาดศิษย์พี่หมีเหิงเจินยังห่างจากระดับนี้ไปเล็กน้อย


เขาเคยได้ยินหมีเหิงเจินพูดว่า ต้องการหล่อหลอมสภาวะจิตให้ถึงระดับกระจ่างจิตก่อนมหายุคมาเยือน นี่ย่อมพิสูจน์ว่าหมีเหิงเจินยังไม่บรรลุระดับนี้!


หมีเหิงเจินเป็นหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วแดนชัยบูรพา


เรื่องที่ขนาดเขายังทำไม่ได้ แต่เด็กหนุ่มที่ดูที่มาที่ไปไม่ออกคนหนึ่งกลับทำได้ นี่ทำให้เซียวชิงเหอรู้สึกชาหนึบที่ศีรษะ


‘สัตว์ประหลาด เด็กนี่ต้องเป็นสัตว์ประหลาดเย้ยฟ้าแน่ๆ!’ เซียวชิงเหอเองก็เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่หยิ่งทระนงมั่นใจในตัวเองถึงที่สุดผู้หนึ่ง แต่เวลานี้กลับทำตัวเย่อหยิ่งไม่ออกสักนิดเสียแล้ว


……


‘กระจ่างจิต…’


บนถนนหลินสวินพึมพำในใจ


ยามผ่านประสบการณ์ ‘ไต่ถามจิตมรรค’ เขารู้สึกหมดหวัง หนทางข้างหน้าถูกตัดขาด ทั้งไม่มีทางให้ถอยหลัง


เรียกได้ว่าจะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้


ในโสตประสาทมีเสียงถอนใจอย่างอับจนหนทาง หดหู่และไม่ยินยอมดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทำให้สภาวะจิตของเขาได้รับความทรมานเป็นร้อยเท่า ถูกความสิ้นหวังสั่นคลอน


เขาก็เริ่มเคลือบแคลงตัวเอง เคลือบแคลงมรรคาของตน


ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้สภาวะจิตของเขามีเงามืดปกคลุม ตกอยู่ในอันตรายถึงขีดสุด


ถ้าจ่อมจมลงไปแล้ว จะถึงกับสูญเสียมรรควิถีทั้งร่างเพราะ ‘จิตวิญญาณยุ่งเหยิง’!


และในช่วงเวลาอันตรายหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง หลินสวินก็เดินหน้าไปก้าวหนึ่ง


ทางข้างหน้าถูกตัดขาด เป็นรอยแยกของห้วงอากาศที่ขาดออก อ้างว้างว่างปล่าเหมือนหลุมดำ คล้ายสามารถกลืนกินสรรพสิ่ง


แต่หลินสวินกลับใช้ ‘พลังใจ’ แผ้วทางออก!


เมื่อก้าวออกไปครั้งนี้ ฟ้าดินพลันแปรผัน เส้นทางที่ขาดออกแหลกสะบั้น ฉายรุ้งเทพสายหนึ่งพาดฟ้า ส่องสว่างทางข้างหน้า


ก้าวนี้ราวกับพลิกเป็นพลิกตาย!


‘ในใจข้ามีที่ยึดเหนี่ยว ไม่เสียใจกับเรื่องที่แล้วมา ไม่คลางแคลงหนทางข้างหน้า เพียงต้องการก้าวต่อไป ตัดบุญคุณความแค้น สะบั้นความเป็นความตาย เสาะหาความอมตะ!’


‘มรรคา เดิมไร้ทางถอย ไม่ตายตอนนี้ก็มีชีวิตในวันข้างหน้า’


‘ไม่ผูกติดกับจิตใจ ไม่ยึดโยงกับมรรค ก็จะยึดมั่นในจิตใจที่แท้กับมรรคของตนได้!’


เมื่อหลินสวินรู้แจ้งทั้งหมดนี้ สภาวะจิตก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า จิตวิญญาณโปร่งโล่งราวหลุดออกจากพันธนาการ


การเคี่ยวกรำทั้งหมดของแดนลับเบื้องหน้าก็มลายหายไปเหมือนกระแสน้ำ กระจายฟุ้งออกไปพร้อมกัน ฟ้าดินรอบทิศปรากฏลักษณ์สว่างไสว


จากนั้นป้ายหินป้ายหนึ่งก็เผยออกมา บนนั้นว่างเปล่า


คราวนี้หลินสวินยื่นนิ้วออกมาต่างพู่กัน สลักตัวอักษรบรรทัดหนึ่งลงไปบนป้ายหินว่า ‘ใจปลอดโปร่งกระจ่างจิต หมื่นเคราะห์ก็เป็นฝุ่นธุลี’


‘ฆ่าผู้ร่วมสายเลือดข้า ชิงชีพจรวิญญาณข้า ใจสงบหรือไม่’


‘เจ้าเมื่อสิบปีก่อน ฝีมือยังด้อยอยู่ดี!’


ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำและสงบนิ่ง


การฝ่าผ่านหอเกลาจิต เท่ากับทำให้หลินสวินได้ประลองฝีมือในด้าน ‘สภาวะจิต’ กับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนครั้งหนึ่ง


การประลองฝีมือเช่นนี้ ทำให้เขารับรู้ ‘สภาวะจิต’ ของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นขึ้นอีกขั้นหนึ่ง สิ่งที่ได้รับมีมากมาย


“สหายยุทธ์โปรดหยุดก่อน” เซียวชิงเหอตามมาทัน


“มีเรื่องอะไรหรือ” หลินสวินถูกขัดความคิดจึงนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้


ในใจเซียวชิงเหอไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ตัวเขาแต่ก่อนประหนึ่งอาทิตย์ช่วงโชติส่องสว่างเหนือเวิ้งฟ้า เดินไปที่ไหนก็ถูกผู้อื่นตามติดและห้อมล้อม


แต่ตอนนี้กลับดีนัก เขาออกตัวผูกมิตร แต่กลับถูกต่อต้านเสียแล้ว!


ทว่าเขาไม่ได้แสดงอะไรออกมา เขารู้ดีว่าต่อหน้าสัตว์ประหลาดเย้ยฟ้าเบื้องหน้านี้ ตนต้องเก็บความรู้สึกไว้บ้าง


“ขอถามว่าสหายยุทธ์ต้องการไปที่ ‘หอหลอมจิตวิญญาณ’ หรือ” เซียวชิงเหอพูด เขาดูออกแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการเปิดเผยฐานะ แต่เขาเองก็มีวิธี


หลินสวินพยักหน้า ในเมืองนภาม่วงแห่งนี้มีหอสามแห่งที่อยู่ใน ‘สิบสองหอ’ ได้แก่หอลองกระบี่ หอเกลาจิตและหอหลอมจิตวิญญาณ


ที่อีกฝ่ายเดาได้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาด


“เช่นนั้นสหายยุทธ์มีป้ายคำสั่งเข้าหอหลอมจิตวิญญาณหรือไม่” เซียวชิงเหอถามต่อ


หลินสวินอึ้งไป เอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดจะไปแลกมาป้ายหนึ่ง”


ตามที่เขารู้ ในเมืองนภาม่วงแห่งนี้มีสถานที่ไว้แลกป้ายคำสั่งเข้าหอหลอมจิตวิญญาณโดยเฉพาะอยู่


ทันทีที่เห็นท่าทีของหลินสวิน เซียวชิงเหอก็เดาได้แล้ว ยิ้มพูดว่า “สหายยุทธ์มีเรื่องที่ไม่รู้อยู่ ป้ายคำสั่งหอหลอมจิตวิญญาณไม่เปิดให้คนนอกแลกแล้ว มีเพียงศิษย์ภายในของสำนักกระบี่เทียมฟ้าถึงครอบครองได้”


หลินสวินพลันนิ่วหน้า เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้


“แต่ข้ามีอยู่กับตัวป้ายหนึ่ง มีไว้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ก็มอบให้สหายยุทธ์แล้วกัน” เซียวชิงเหอพูดพลางนำป้ายคำสั่งหยกม่วงป้ายหนึ่งออกมา แล้วส่งให้หลินสวินอย่างภาคภูมิ


หลินสวินกลับไม่รับ เอ่ยว่า “ไม่ออกแรงไม่รับค่าตอบแทน น้ำใจมากมายเช่นนี้ของสหายยุทธ์ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”


เซียวชิงเหอยิ้มละไมพูดว่า “สหายยุทธ์อย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแต่อยากผูกมิตร อีกอย่างก็อยากเห็นว่าเจ้าจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้งได้หรือไม่”


“ข้าขอซื้อป้ายคำสั่งนี้ด้วยแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้นเป็นอย่างไร” หลินสวินกล่าว


เซียวชิงเหอหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง เจ้าหมอนี่ระวังตัวเกินไปจริงๆ ตนยื่นของให้ถึงมือแล้วยังถูกระแวงระวังเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง สะบัดแขนเสื้อจากไปนานแล้ว


แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพียงหัวเราะเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “เอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน”


ทันใดนั้นทั้งสองก็แลกเปลี่ยนกันสำเร็จ


แม้ว่าในใจของเซียวชิงเหอจะอัดอั้นเล็กน้อย แต่กลับมั่นใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ จะทำให้ระยะห่างระหว่างตนกับเจ้าหมอนี่ลดลง


ขอเพียงพูดคุยต่อไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะสืบตื้นลึกหนาบางของเจ้าหมอนี่ไม่ได้


……


หอหลอมจิตวิญญาณ สูงเก้าสิบเก้าจั้ง แบ่งออกเป็นสามสิบหกชั้น ตัวหอมั่นคงราวภูผา


“สหายยุทธ์ หอหลอมจิตวิญญาณมีการทดสอบหลอมจิตวิญญาณทั้งสิ้นสามสิบหกด่าน ทุกครั้งที่ผ่านการทดสอบแต่ละด่าน โคมจิตวิญญาณก็จะสว่างขึ้นดวงหนึ่ง”


“โคมจิตวิญญาณมีสีม่วงเป็นสีสูงสุด รองลงมาก็เป็นสีต่างๆ ห้าสีคือสีทอง เงิน เขียว แดง และเทา”


“สีของโคมจิตวิญญาณแทนคะแนนสูงต่ำของการฝ่าด่าน”


“อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นฝ่าการทดสอบหลอมจิตทั้งสามสิบหกด่านในคราวเดียว โคมจิตวิญญาณที่จุดในสามสิบสามด่านแรกล้วนเป็นสีม่วง ส่วนสามด่านหลังเป็นสีทอง”


“สีม่วงทองต่างขับเน้นกันและกัน กลายเป็นเรื่องโด่งดังไปช่วงหนึ่ง สถิตินี้แม้ไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งในอดีตและปัจจุบัน แต่ก็สามารถพาตัวเองไปอยู่สามอันดับแรกของทั้งอดีตและปัจจุบันได้”


ทันทีที่มาถึงหอหลอมจิตวิญญาณ เซียวชิงเหอก็ออกตัวแนะนำ พูดจาคล่องแคล่วเป็นกระแสน้ำ ทำให้หลินสวินประหลาดใจอย่าแท้จริง


ตามที่เขาเข้าใจ เซียวชิงเหอผู้นี้เป็นผู้สืบทอดของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เป็นคนในขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งเช่นกัน โดดเด่นสะดุดตาหาใดเทียบ


แต่ตอนนี้เจ้าหมอนี่กลับเหมือนผู้นำทางคนหนึ่ง แนะนำตนอย่างกระตือรือร้นเต็มที่ นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกประหลาดที่ได้รับความชื่นชอบอย่างไม่อาจเลี่ยง


เขาไม่รู้ว่า เมื่อได้เห็นความสามารถที่เขาแสดงออกมาที่หอลองกระบี่และหอเกลาจิต ก็ทำให้เซียวชิงเหอกดเก็บความเย่อหยิ่งทระนงตนในใจไป


แม้ไม่ถึงกับถูกความสง่างามของหลินสวินทำให้เลื่อมใส แต่ก็แน่ใจแล้วว่าพลังที่หลินสวินมีควรค่ามากพอให้เขาแสดงมารยาทเช่นนี้


“สหายยุทธ์ หอหลอมจิตวิญญาณแห่งนี้ไม่ธรรมดา เจ้าก็รู้ จิตวิญญาณดั่งดวงโคม ฉายเพียงตัวตน พลังจิตไม่ผุกร่อนก็เหมือนเป็นอมตะ”


เซียวชิงเหอยังพูดฉะฉาน


“กุญแจสำคัญที่ทำให้พวกเรามองทะลุการเกิดดับ หลอมมรรคกลายเป็นราชันก็อยู่ที่จิตวิญญาณ ภายหลังเมื่อบรรลุหนทางอมตะ พิสูจน์มรรคจนเป็นอริยะ ก็จะมีคุณประโยชน์อย่างไม่อาจทดแทนได้”


แต่ยังไม่ทันรอให้เขาพูดจบ ก็เห็นว่าหลินสวินเดินไปทางหอหลอมจิตวิญญาณแล้ว เขารีบร้อนร้องว่า “เฮ้ สหายยุทธ์ นี่เจ้าจะไปฝ่าด่านหรือ หอหลอมจิตวิญญาณแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ การทดสอบยากถึงที่สุด เจ้าไม่อยากรู้เรื่องอะไรอีก…”


เสียงยังไม่เงียบไป เงาร่างของหลินสวินก็หายลับไปในหอหลอมจิตวิญญาณนานแล้ว


นี่ทำให้เซียวชิงเหอรู้สึกเหมือนสีซอให้ควายฟัง คุยกันไม่รู้เรื่อง ทั้งอึ้งทั้งโกรธทั้งอายไปครู่หนึ่ง


เขาลอบบ่นพึมพำ รอเจ้าได้รับความลำบากมา ก็จะเข้าใจว่าหอหลอมจิตวิญญาณน่ากลัวมากเพียงไหน ถึงตอนนั้นหวังว่าเจ้าจะไม่นึกเสียใจ!


วิ้ง!


เพียงครู่เดียวเซียวชิงเหอก็ไม่อาจไปคิดฟุ้งซ่านได้อ เพราะเขาตกใจที่ได้เห็นว่าตั้งแต่ชั้นแรกของหอหลอมจิตวิญญาณ มีโคมจิตวิญญาณดวงแล้วดวงเล่าสว่างขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบเห็นได้ด้วยตาเปล่า


แต่ละดวงล้วนแสดงสีม่วงละมุนละไมและบริสุทธิ์!


ไม่ทันไรบนชายคานอกหอสิบแปดชั้นแรก โคมจิตวิญญาณแต่ละชั้นต่างสว่างขึ้น แสงสีม่วงทั้งบนล่างเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียว ตรงแน่วราวรุ้งสีม่วงทะลุเมฆา!


เซียวชิงเหอเบิกตาโพลง ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ นี่จะโหดเกินไปแล้วกระมัง


เขารู้ดีว่าการทดสอบที่เน้นไปยังจิตวิญญาณ จะเข้มงวดและวิปริตยิ่งกว่าการทดสอบที่มุ่งเป้าที่พลังต่อสู้และสภาวะจิต


เพราะจิตวิญญาณสำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว เป็นรากฐานของชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีจิตวิญญาณ ขนาดอริยะยังต้องตาย!


ใกล้กับหอหลอมจิตวิญญาณก็มีผู้ฝึกปราณไม่น้อย ต่างสวมใส่อาภรณ์สีดำเข้มของผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า ด้านบนประทับลาย ‘กระบี่เทียมฟ้า’ อยู่


เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาล้วนฮือฮา


“นี่เป็นศิษย์พี่สืบทอดแท้จริงท่านไหนกำลังฝ่าด่านอยู่”


“ผู้สืบทอดแท้จริงหรือ เท่าที่ข้าดูน่าจะเป็นผู้สืบทอดแกนหลักถึงจะถูก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ก็จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงให้สว่างไปแล้วสิบแปดดวง ต่อให้ในหมู่ศิษย์แกนหลักก็หาได้น้อยนัก!”


“ร้ายกาจ! ไม่รู้ว่าจะทำลายสถิติที่ศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ทำไว้ในตอนนั้นได้แล้วหรือไม่!”


เมื่อได้ยินเสียงฮือฮาเหล่านี้ เซียวชิงเหอก็หัวเราะหยันในใจ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนของสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเจ้าหรอก


ถ้าพวกเจ้ารู้ว่าก่อนหน้านี้เขาก็ทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้นั้นได้สร้างไว้สองครั้งติดต่อกัน เกรงว่าต้องคุ้มคลั่งแน่!


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเซียวชิงเหอกลับมีความสะใจอย่างไม่มีสาเหตุ


ด้วยมีฐานะเป็นผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เซียวชิงเหอไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับสำนักกระบี่เทียมฟ้า แต่ก็ไม่ถึงกับรู้สึกมุ่งร้ายมากนัก เป็นความสัมพันธ์แบบคู่แข่งระหว่างผู้สืบทอดสำนักโบราณโดยบริสุทธิ์ก็เท่านั้น


เพียงแต่ไม่นานเสียงฮือฮาก็เงียบลงกะทันหัน บรรยากาศนอกหอตกอยู่ในความเงียบสงัดอย่างประหลาด


ทุกคนล้วนตาเบิกกว้าง สายตาราวถูกติดตรึงแน่นหนา เคลื่อนขึ้นไปข้างบนหอหลอมจิตวิญญาณทีละนิดอย่างช้าๆ


รวมถึงเซียวชิงเหอก็ไม่ใส่ใจเยาะเย้ยผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นแล้ว จิตใจและสายตาถูกดึงดูดอย่างแรงกล้า ในใจไหววูบและปั่นป่วนอีกระลอกหนึ่ง


เพราะตั้งแต่ชั้นที่สิบแปดเป็นต้นไป แม้ความเร็วในการฝ่าด่านของหลินสวินจะช้าลงไปไม่น้อย แต่กลับรักษาท่าทีมั่นคงพุ่งขึ้นด้านบน


ในระหว่างนี้ก็มีโคมจิตวิญญาณดวงแล้วดวงเล่าถูกจุดขึ้น


แต่ละดวงล้วนเหมือนเมฆม่วงมาจากบูรพาทิศ

 

 

 


ตอนที่ 1018 บุคคลนิรนาม ไป๋อวี้จิง

 

เมื่อโคมจิตวิญญาณสามสิบสามชั้นที่จุดให้สว่างล้วนแสดงสีม่วงออกมา จิตใจของทุกคนรวมถึงเซียวชิงเหอก็ต่างตื่นเต้นกังวลขึ้นมาอย่างห้ามความรู้สึกไว้ไม่อยู่


ตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงให้สว่างได้สามสิบสามดวง แต่ในสามชั้นจากนั้น กลับจุดได้เพียงโคมจิตวิญญาณสีทองสามดวง


แม้เป็นเช่นนี้ สถิตินี้ก็ยังอยู่ในสามอันดับแรกของอดีตและปัจจุบัน กิตติศัพท์เหลือคนา ลือชื่อสะท้านสี่ทิศ


เวลานี้ สถิตินี้เหมือนจะมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกก้าวข้าม สิ่งนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณทุกคน!


แต่เวลาที่หลินสวินเหลือไว้ให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองก็ไม่ได้มากมาย


หรือพูดว่า ในขณะที่ใจของทุกคนกำลังตื่นเต้น คาดเดาผลลัพธ์อย่างเฝ้ารอหรือต่อต้านอยู่ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นก่อนแล้ว


ชั้นที่สามสิบสี่ โคมจิตวิญญาณสีม่วงสว่างขึ้น


ชั้นที่สามสิบห้า โคมจิตวิญญาณสีม่วงสว่างขึ้น


ชั้นที่สามสิบหก…


ก็เป็นโคมจิตวิญญาณสีม่วงเช่นกัน!


ชั่วพริบตาทั้งบนล่างของหอหลอมจิตวิญญาณ โคมจิตวิญญาณสีม่วงแต่ละดวงตั้งตรงแน่วราวมังกรใหญ่ ส่องแสงสว่างจ้า!


ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล้านั้นนิ่งงันอยู่ตรงนั้น สั่นสะท้านจนใจลอย


เซียวชิงเหอกระตุกมุมปาก ร้องอย่างบ้าคลั่งในใจว่า ‘วิปริต! เขาแม่งวิปริตไปแล้ว! ช่าง… ช่างเหนือกฎสวรรค์ไปแล้ว…’


สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ตอนนั้น สามารถอยู่ในอันดับสามนับจากอดีตถึงปัจจุบันได้


แต่เท่าที่เซียวชิงเหอรู้มา ผู้ที่อยู่อันดับสองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็คือ ‘บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า’ บรรพจารย์ผู้บุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนนั้น!


ในยุคบรรพกาล สมัยบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติก็เคยมาฝ่าด่านที่นี่ จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงไปสามสิบห้าดวงและโคมจิตวิญญาณสีทองอีกหนึ่งดวง!


นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่รู้กันในใต้หล้าครั้งหนึ่ง ต่อให้เป็นสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง


ส่วนสถิติอันดับหนึ่งตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันของหอหลอมจิตวิญญาณนั้น…


กระทั่งตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าสร้างขึ้นมาโดยผู้ใด!


มีข่าวลือว่า สถิตินี้สร้างขึ้นโดยผู้สร้าง ‘หอหลอมจิตวิญญาณ’ คนผู้นั้นเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่มีความสามารถอัศจรรย์กว่าบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าผู้หนึ่ง


และยังมีข่าวลือว่า สถิตินี้เป็นผู้มากความสามารถที่บรรลุระดับ ‘ราชันอริยะ’ สร้างขึ้นในวัยเยาว์


ในตอนที่เขากลายเป็นราชันอริยะ ตัวตนของเขาก็เปลี่ยนไปประหนึ่งมหามรรคต้องห้าม ไม่ให้คนนอกล่วงรู้


แต่ไม่ว่าอย่างไร สถิติอันดับหนึ่งตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนี้ อย่างน้อยก่อนวันนี้ก็ยังไม่เคยถูกก้าวข้ามไป


ทว่าตอนนี้…


มันได้ถูกทำลายลงไปแล้ว!


เซียวชิงเหอแข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกขมปร่าที่ปาก เจ้าหมอนี่เป็นคนอย่างไรกันแน่ ช่างเหมือนสัตว์ประหลาดเย้ยฟ้าที่ผงาดเหนือนภา ขนาดพลังจิตวิญญาณยังแกร่งกล้าปานนี้


……


ชั้นบนสุดของหอหลอมจิตวิญญาณ


หลินสวินนั่งขัดสมาธิ หลังศีรษะปรากฏจักระเทพกลมเกลี้ยงส่องแสงเจิดจ้าสายหนึ่ง


ส่วนในห้วงนิมิตของเขา วิญญาณแห่งพลังจิตก็นั่งขัดสมาธิเช่นกัน ดอกเทพที่บริสุทธิ์ราวหยกขาวดอกหนึ่งคลี่ออกเหนือศีรษะ ละอองแสงคลุมเครือนับหมื่นพันไหววูบลอยละล่องออกมา ส่องสว่างจิตวิญญาณให้ทะลุปรุโปร่ง


ในขณะเดียวกัน แสงเทพสีม่วงสายแล้วสายเล่าก็ถักทอขึ้นเป็นรุ้งเทพ ถาโถมเข้าไปในจิตวิญญาณของหลินสวินจากทั่วสารทิศ


วู้ม!


เคล็ดเวทบริกรรมโคจร ทำให้จิตวิญญาณของหลินสวินอาบไล้ไปด้วยแสงเทพสีม่วง ได้รับการหล่อเลี้ยงและเสริมความแข็งแกร่งไม่ว่างเว้น อัศจรรย์หาใดเทียบ


ครู่ใหญ่ปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดนี้ถึงมลายหายไป


หลินสวินลืมตาขึ้นโดยพลัน กลิ่นอายทั้งตัวเขาเหมือนได้แปรสภาพและขัดเกลา ยิ่งว่างเปล่าและหลุดพ้นโลกีย์ แต่ยังมีความอหังการทรงอำนาจยากคาดคิดอยู่รางๆ สูงส่งราวมรรคสวรรค์ และน่าหวั่นใจดั่งเหวลึก


แต่ไม่นานนักกลิ่นอายทั้งหมดก็เก็บกักสู่ภายใน กลับสู่ความเรียบสงบดุจคืนสู่ธรรมชาติ


“ระดับดอกเทพรวมยอดขั้นที่หนึ่งสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว…” หลินสวินพึมพำ


เขาสัมผัสได้ว่าหกรับรู้ของตนทะลุปรุโปร่งและแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน เพียงในใจไหวเคลื่อนก็เกิดความคิดนับหมื่นพันออกมา


ประสบการณ์ทั้งหมดในอดีตของตนล้วนแจ่มชัดขึ้นมา ฉายขึ้นในใจอย่างละเอียดหมดจด ประสบการณ์ทุกครั้งต่างแสดง ‘ลักษณ์จริงแท้’ อย่างปรุโปร่ง


ได้เห็นความจริงแท้ในอดีต ความยากแค้น การได้รับและสูญเสีย เกียรติยศและความอับอาย ความรักและความเกลียดชังทั้งหมด… ต่างเป็นร่องรอยมรรคของข้า หล่อเลี้ยงกายาข้า ปลุกรากฐานปัญญาข้า!


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินก็มีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งว่านับแต่นี้ไป โซ่ตรวนในวันวานจะไม่อาจผูกมัดมรรคาในตัวเขาได้อีก


ตรงกันข้าม โซ่ตรวนเหนี่ยวรั้งเช่นนี้จะกลายเป็นประสบการณ์และการเคี่ยวกรำอันล้ำค่าที่หายากอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้อย่างหนึ่ง ทำให้ตนได้ตระหนักรู้และเติบโต สามารถเดินบนวิถีแห่งมหามรรคได้อย่างมั่นคงและสุขุมเยือกเย็นยิ่งขึ้น!


นี่ก็คือพลังสมบูรณ์ของขั้นเห็นอดีตซึ่งเป็นขั้นที่หนึ่งของระดับดอกเทพรวมยอด


ระดับจิตวิญญาณแบ่งออกเป็นหกระดับใหญ่ได้แก่ ‘สัมผัสรู้’ ‘จิตรับรู้’ ‘วิญญาณเทพ’ ‘ดอกเทพรวมยอด’ ‘จิตลอยล่อง’ และ ‘แปรเทพเปลี่ยนอริยะ’


ในระดับเหล่านี้ ระดับดอกเทพรวมยอดแบ่งออกเป็นสามขั้นย่อยได้แก่ ‘เห็นอดีต’ ‘เห็นปัจจุบัน’ และ ‘เห็นอนาคต’


โดยทั่วไป ระดับดอกเทพรวมยอดมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชันเท่านั้นถึงครอบครองพลังจิตวิญญาณได้ แต่เห็นได้ชัดว่าสภาพทั่วไปเช่นนี้เอามาใช้กับหลินสวินไม่ได้!


อย่างน้อยในระดับกระบวนแปรจุติ แม้พลังจิตวิญญาณของเขาไม่ได้เป็นที่หนึ่ง แต่อย่างน้อยก็สามารถขนานนามได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่หาตัวจับได้ยากแล้ว


นี่ก็เป็นพลังอันเป็นที่พึ่งที่ทำให้หลินสวินสามารถฝ่าขึ้นไปบนหอหลอมจิตวิญญาณทั้งสามสิบหกชั้น จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงสามสิบหกดวงได้อย่างราบคาบ


‘แต่ก่อนเมื่อนานมากแล้ว ข้าก็ฝึกวิชาเคล็ดเวทบริกรรม จากนั้นก็จุดโคมวิญญาณพิเศษที่สามารถทำให้ทั้งอดีตและปัจจุบันเงียบงันดวงหนึ่งให้สว่างได้ในเทศกาลโคมกถามรรค ส่งผลให้ข้าชิงบรรลุระดับดอกเทพรวมยอดได้ก่อน…’


‘จิตวิญญาณดั่งดวงโคม ส่องสว่างตัวข้า ทั้งยังเป็นกุญแจสำคัญในการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน ยามเลื่อนขั้นสู่ระดับราชัน พลังจิตวิญญาณจะไม่ใช่โซ่ตรวนของข้าอีก…’


หลินสวินยืดกายลุกขึ้น สายตาเรียบสงบ ในใจมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างไม่เคยมีมาก่อน


โครม!


ป้ายหินป้ายหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน ตั้งตระหง่านกลางห้วงอากาศ มั่นคงหนักแน่นดั่งภูผา


บนนั้นมีชื่อแล้วชื่อเล่าประทับไว้


บนตำแหน่งอันดับสามมีชื่อของอวิ๋นชิ่งไป๋สลักอยู่


ส่วนตำแหน่งอันดับสอง กลับเป็นเงากระบี่ราวภาพมายาเงาหนึ่ง เพ่งพลังสัมผัสโดยละเอียดก็ไม่อาจมองทะลุถึงรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้


เงากระบี่เทียมฟ้า!


นี่เป็นสิ่งที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าหลงเหลือไว้ตอนนั้น


ส่วนตรงตำแหน่งอันดับหนึ่ง…


หือ?


ดวงตาดำของหลินสวินพลันหดหรี่ ค้นพบอย่างตกตะลึงว่าบนตำแหน่งอันดับหนึ่งนั้นกลับว่างเปล่า


‘น่าสนใจ หรือคนผู้นี้จะไม่ต้องการเปิดเผยฐานะที่นี่เหมือนกับข้ากันนะ…’ หลินสวินครุ่นคิด


ทันใดนั้นอันดับบนป้ายหินก็เริ่มเปลี่ยนแปลง


ช่องว่างอันดับหนึ่งนั้นเคลื่อนลงมาหนึ่งอันดับ ในขณะเดียวกัน พู่กันที่เกิดจากพลังผนึกรวมตัวกันเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน


นี่หมายความว่าหลินสวินทำลายสถิติในอดีตทั้งหมด ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง สามารถทิ้งชื่อเสียงเรียงนามของตนไว้ที่นี่


หลินสวินย่อมไม่ต้องการทิ้งชื่อไว้ที่นี่ เพียงแต่ตอนที่เขาคิดจะจากไป ก็สังเกตได้ในทันใดว่าบนช่องว่างอันดับสองที่ถูกดันลงไปนั้น กลับปรากฏชื่อชื่อหนึ่ง…


ไป๋อวี้จิง!


หลินสวินใจสะท้าน ประหลาดใจจนไม่รู้จะหาสิ่งใดมาบรรยาย


ไป๋อวี้จิง (นครหยกขาว) นี่เป็นถึงชื่อแคว้นแคว้นหนึ่ง ในยุคบรรพกาลก็มีอยู่แล้ว เหตุใดถึงกลายเป็นชื่อของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่นี่


หรือไป๋อวี้จิงนี้จะไม่ใช่นครหยกขาวนั่น


“มรรคข้าไม่เดียวดาย!”


ทันใดนั้นในชื่อนั้นก็มีเสียงหัวเราะภาคภูมิและผ่าเผยดังลั่นขึ้นมา “สหายน้อย วันที่เจ้ากลายเป็นอริยะ หลุดออกจากกรงมหามรรค ก็จะเป็นเวลาที่เจ้ากับข้าได้พบกัน…”


ตอนแรกเสียงดังจนคนหูหนวกยังได้ยิน แต่ไม่นานนักก็ค่อยๆ เบาลงจนไม่ได้ยิน ก่อนจะมลายหายไป


ที่หายไปพร้อมกับเสียง ยังมีชื่อ ‘ไป๋อวี้จิง’ ซึ่งแปลกประหลาดและลี้ลับนี้


กลายเป็นอริยะ?


พบกัน?


หลินสวินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ไป๋อวี้จิงผู้นี้เป็นใครกันแน่


กลอนบทหนึ่งที่ส่งต่อมาในนครหยกขาวปรากฏขึ้นในสมองเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


‘สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง


เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ’


นครหยกขาว แดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ในสายตาผู้คนบนโลก รวมสิบสองหอห้าเมืองไว้ภายใน มีสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งนี้ครองอาณาเขต


แต่ตอนนี้หลินสวินกลับพบว่า ที่แท้บนโลกนี้ยังเคยมีคนชื่อ ‘ไป๋อวี้จิง’ อยู่คนหนึ่ง…


เขาเป็นใครกัน


…..


“เมื่อกี้ละเลยไปแล้ว คราวนี้ต้องดูเสียหน่อยว่าศิษย์พี่คนไหนในสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเราฝ่าด่านที่นี่ได้”


“ใช่แล้ว จุดโคมจิตวิญญาณสีม่วงได้สามสิบหกดวง นี่แข็งแกร่งกว่าสถิติที่บรรพจารย์ของพวกเราตอนมีพลังระดับกระบวนแปรจุติเคยสร้างไว้!”


“ออกมาแล้ว!”


นอกหอหลอมจิตวิญญาณ เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวินเดินออกมา ในที่นั้นก็พลันอึกทึกครึกโครม


สายตาทุกคู่พากันรวมตัวไป สีหน้าเจือไปด้วยความสั่นสะท้าน สงสัย และบ้าคลั่งอย่างไม่ปกปิด


แต่ไม่นานนักผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นก็ตะลึงงัน ตอนนี้ถึงพบในทันใดว่าคนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีใครคุ้นหน้าผู้หนึ่ง


“รีบไปเร็ว ถ้าเจ้าพวกนี้รู้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า จะต้องคลุ้มคลั่งแน่”


เซียวชิงเหอก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งร่องรอย อาศัยช่วงที่ทุกคนยังไม่ทันตอบสนองรีบพาหลินสวินจากไป


แน่นอนว่าถ้าหลินสวินไม่อยากไป ต่อให้เขาอยากพาตัวไปก็พาไปไม่ได้


ดังคาด ก็ในตอนที่พวกเขาเพิ่งจากไป ใกล้กับหอหลอมจิตวิญญาณนั้นก็มีเสียงร้องเจ็บปวดถึงที่สุดระลอกหนึ่งดังขึ้น


“น่าชังนัก! ไอ้หมอนั่นกลับไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเรา!”


“มันเป็นใคร ตอนนี้หอหลอมจิตวิญญาณไม่เปิดให้คนนอกเข้านานแล้ว อนุญาตแค่ผู้สืบทอดสำนักเราเข้าไปฝึกในนั้นเท่านั้น เหตุใดเขากลับเข้าไปได้”


“อัปยศจริง คนนอกผู้หนึ่งกลับมาทำลายสถิติที่ท่านบรรพจารย์และศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยสร้างไว้กับมือ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปสำนักของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


“เร็วเข้า ไปสืบว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่!”


เพียงแต่เมื่อผู้สืบทอดของสำนักเทียมฟ้าเหล่านี้ได้สติกลับมา หลินสวินกับเซียวชิงเหอก็หายลับไปก่อนแล้ว


……


“ให้ตายสิ ข้าว่าแล้วว่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะต้องไม่ยอม ถ้าถูกพวกเขาขวางไว้ จะต้องชักนำความยุ่งยากมาไม่น้อยแน่”


บนถนนท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่านจอแจ เซียวชิงเหอเอ่ยปากพลางหัวเราะหยัน


หลินสวินชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นถึงผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา จะต้องกลัวเรื่องยุ่งยากด้วยหรือ”


เซียวชิงเหอยักไหล่ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “นครหยกขาวแห่งนี้เป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ผู้ฝึกปราณสายกระบี่เหล่านี้แต่ละคนนิสัยใจคอเหมือนกระบี่ สังหารเด็ดขาด ไม่ถูกคอก็ตีกันเลย เป็นพวกคนที่รับมือด้วยยากที่สุด แม้ข้าจะไม่กลัวแต่ก็ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวาย”


‘นิสัยใจคอเหมือนกระบี่ สังหารเด็ดขาด…’ หลินสวินนึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็ต้องยอมรับว่าความเห็นนี้ของเซียวชิงเหอแม่นยำจริง


“เจ้าเคยได้ยินเรื่องของคนชื่อไป๋อวี้จิงไหม” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถาม


“คนหรือ”


เซียวชิงเหออึ้งไป สีหน้าพิกล “ไป๋อวี้จิง (นครหยกขาว) ตั้งแต่บรรพกาลกระทั่งตอนนี้ก็เป็นชื่อแคว้นนี้มาโดยตลอด จะไปมีคนโง่ใช้ชื่อนี้ได้อย่างไร ไม่กลัวละเมิดข้อห้ามหรือ”


พูดถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้เบิกบานขึ้นมา พูดว่า “ถ้ามีคนกล้าตั้งชื่อนี้จริงๆ เกรงว่าคงถูกสำนักกระบี่เทียมฟ้าตามฆ่าไปทั่วโลกนานแล้ว คนคนเดียวคิดจะเป็นตัวแทนของทั้งนครหยกขาวหรือ นี่เป็นการไม่เห็นสำนักกระบี่เทียมฟ้าอยู่ในสายตาชัดๆ นะ”


หลินสวินพูดอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าได้ยินมาว่าในยุคบรรพกาล สมัยบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าบุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้า นครหยกขาวซึ่งมีสิบสองหอห้าเมืองแห่งนี้ก็มีอยู่แล้ว ชื่อสถานที่นี้ จะตั้งตามนามของคนใหญ่คนโตบางคนในยุคบรรพกาลได้หรือไม่”

 

 

 


ตอนที่ 1019 แสงเขียวแจ้งสัจจะ

 

ใช้ชื่อคนมาตั้งชื่อแคว้นหนึ่งหรือ


เซียวชิงเหอประหลาดใจ เขายังไม่เคยใคร่ครวญปัญหาข้อนี้มาก่อน


หลินสวินถาม “เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกหรือ เหตุใดแดนชัยบูรพามีแคว้นมากมายขนาดนั้น แต่มีเพียงแคว้นนี้ที่ใช้ชื่อว่านครหยกขาว”


เซียวชิงเหอตกอยู่ในภวังค์ความคิด เอ่ยว่า “พอเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็นึกขึ้นได้จริงๆ ว่ามีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับนครหยกขาวอยู่เรื่องหนึ่ง”


หลินสวินตื่นเต้นขึ้นมา “เรื่องเล่าขานอะไร”


“เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาล ในนครหยกขาวแห่งนี้เคยมีร่องรอยเซียนปรากฏขึ้น สร้างสิบสองหอห้าเมืองแห่งนี้ด้วยมือเดียว”


“ส่วนจะจริงหรือเท็จใครก็ไม่อาจรับรอง แต่ที่มาของ ‘สิบสองหอ’ นี้ กระทั่งตอนนี้ยังเป็นปริศนาอยู่”


“ตอนนั้นบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าก็เข้าถึงมรรคได้ที่นี่ ก่อนจะบุกเบิกตั้งสำนัก สิบสองหอก็มีอยู่แล้ว อีกอย่างทั้งโลกก็รู้ว่าสมัยบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ก็เคยเข้าสิบสองหอไปฝึกวิชา”


พูดถึงตรงนี้เซียวชิงเหอก็อนุมานอย่างบ้าบิ่นว่า “เจ้าว่า บุคคลลึกลับที่มีนามว่าไป๋อวี้จิงผู้นี้จะเป็นเซียนผู้นั้นหรือไม่”


หลินสวินเลิกคิ้ว “เป็นไปไม่ได้”


เขาเพิ่งเดินออกมาจากหอหลอมจิตวิญญาณ ได้เห็นสถิติที่ไป๋อวี้จิงผู้นั้นสร้างขึ้นในนั้น หากเขาเป็นเซียนที่อยู่ในเรื่องเล่าขานผู้นั้นจริง จะไปฝ่าด่านที่หอหลอมจิตวิญญาณได้อย่างไร


“เช่นนั้นจะเป็นผู้สืบทอดของเซียนผู้นั้นหรือไม่” เซียวชิงเหอกล่าว


หลินสวินใจสั่นสะท้าน นึกถึงกลอนที่เผยแพร่ตกทอดมานานแล้วบทนั้น…


เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ!


“เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ หรือในหอหลอมจิตวิญญาณนั้น เจ้าได้เห็นร่องรอยที่ไป๋อวี้จิงผู้นี้หลงเหลือไว้”


ต้องพูดว่าการตอบสนองของเซียวชิงเหอเฉียบแหลมถึงที่สุด ชั่วพริบตาก็เดาอะไรได้ ดวงตาฉายแววแปลกใจ


“เปล่า ข้าแค่สงสัย” หลินสวินส่ายหน้า


หลินสวินไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ เซียวชิงเหอกลับลอบจำไว้ในใจ


เขาคิดว่าภายหน้ายามกลับสำนักจะไปพลิกตำราโบราณบางเล่ม เพื่อค้นเสียหน่อยว่า ‘ไป๋อวี้จิง’ นี้มีปริศนาอะไรกันแน่!


“รอเดี๋ยว เจ้าคงไม่ได้คิดจะไป ‘หอแจ้งสัจจะ’ ในเมืองแสงเขียวอีกใช่ไหม” ทันใดนั้นเซียวชิงเหอสังเกตเห็นหลินสวินเดินออกไปนอกเมืองนภาม่วง ก็พลันเอ่ยเรียก


“มีอะไรไม่เหมาะหรือ” หลินสวินถามกลับ


“เจ้าไม่กังวลสักนิดเลยหรือ”


เซียวชิงเหอสีหน้าพิกล “ก่อนหน้านี้เจ้าไปทำลายสถิติสูงสุดของหอลองกระบี่ หอเกลาจิตและหอหลอมจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานก็สามารถสั่นสะเทือนทั้งนครหยกขาวได้”


“ถึงตอนนั้นสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะต้องตกตะลึง หากทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารเด็ดขาดเหล่านี้พบว่าเจ้าไปฝ่าด่านที่หอแจ้งสัจจะอีก จะต้องชักนำความยุ่งยากใหญ่โตมาแน่”


“เช่นนั้นก็ชิงไปฝ่าด่านที่หอแจ้งสัจจะก่อนพวกเขาก็ได้แล้ว” หลินสวินเอ่ยปาก


ยามกล่าววาจา ตัวเขาก็โฉบออกไปจากเมืองนภาม่วง ตะบึงออกไปไกลลิบอย่างรวดเร็วยิ่ง


‘ไอ้บ้า!’ เซียวชิงเหอสูดลมหายใจหนาวเยือก เขาเพิ่งเคยพบเจอคนเหิมเกริมไม่กลัวเกรงเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่หวั่นกลัวอะไรสักนิดเดียว


แม้คิดเช่นนี้อยู่ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ช้า โผบินในอากาศตามประชิดไปด้วย


……


นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง ไม่ได้มีเพียงห้าเมืองจริงๆ


มันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมเมืองใหญ่น้อยนับพันและภูผาธาราอีกนับไม่ถ้วน


และภายในนั้น มีเพียง ‘ห้าเมือง’ ที่ดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตเรื่อยมาถึงปัจจุบัน เต็มไปด้วยสีสันแห่งตำนาน ดังนั้นจึงเป็นสถานที่คุ้นเคยในใต้หล้า


ส่วน ‘สิบสองหอ’ คือ ‘โบราณสถานลือชื่อ’ ที่ตั้งแยกอยู่ในห้าเมืองแห่งนี้ เพราะต่างมีความอัศจรรย์จึงมีชื่อเลื่องลือในโลก


อย่างเมืองนภาม่วง ก็มีโบราณสถานลี้ลับสามแห่งคือ หอลองกระบี่ หอเกลาจิต และหอหลอมจิตวิญญาณ


ส่วนเมืองแสงเขียวที่หลินสวินจะไปในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในห้าเมืองเช่นกัน ภายในนั้นมีสองหอกระจายตัวอยู่


ได้แก่ ‘หอแจ้งสัจจะ’ และ ‘หอสำแดงมรรค’


ที่แรก สิ่งที่เคี่ยวกรำและทดสอบคือการหยั่งรู้


อีกที่ เป็นสถานที่ทดสอบการสำแดงพลังมหามรรค


เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป


เมืองแสงเขียว หอแจ้งสัจจะ


หลังจากหลินสวินมาถึงก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด จ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันก้อนแล้วเข้าไปภายในหอ


เซียวชิงเหอก็มาแล้ว เงยหน้ามองไปยังหอแจ้งสัจจะ จิตใจราวโผบิน


การหยั่งรู้เกี่ยวโยงกับความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ทั้งเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และแก่นกระดูกในตัว เป็นปริศนาลึกลับที่สุด


ตอนอวิ๋นชิ่งไป๋อายุสิบเก้าปี ในด้วยการหยั่งรู้ เขาเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์สำนักกระบี่เทียมฟ้า เคยหยั่งถึงและเข้าใจวิชามรรคชั้นเลิศที่เกี่ยวข้องกับมรรคกระบี่วิชาหนึ่งภายในสิบวัน ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า


และก็เป็นตอนนั้นที่ร่องรอยของอวิ๋นชิ่งไปหายไปอย่างพิศวง เงียบเชียบไปสิบปีเต็ม


แต่ตัวเขาในสิบปีต่อมากลับปลุกพลังพรสสวรรค์อีกอย่างหนึ่งให้ตื่นขึ้น เรียกได้ว่าน่าครั่นคร้ามไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เขาสร้างสถิติที่ตระการตาที่สุดในอดีตจวบจนปัจจุบันครั้งหนึ่งภายในหอแจ้งสัจจะ!


ตอนนั้นหอแจ้งสัจจะเคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาดกลางฟ้าดินเพราะสถิตินี้ มีดอกไม้ทองมหามรรคที่ปรากฏเป็นรูปกระบี่สิบแปดดอกตกลงมา แสงมงคลราวสายฝนส่องสว่างเวิ้งฟ้าเมืองแสงเขียว!


“หอแจ้งสัจจะมี ‘ป้ายวิญญาณกระจ่างรู้’ สามสิบหกแผ่น ทุกแผ่นมีความลับที่กำกวมและเป็นปริศนา มีเพียงผู้ที่มีการหยั่งรู้โดดเด่นถึงสามารถมองทะลุความลับแต่ละอันได้”


“ตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋มองทะลุปริศนาของแผ่นป้ายวิญญาณสามสิบหกแผ่นภายในสามสิบหกลมหายใจ ครั้งเดียวก็มีชื่อสะเทือนใต้หล้า ก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนวิปริตผู้นี้จะประชันสูงต่ำกับอวิ๋นชิ่งไป๋ได้หรือไม่…”


เซียวชิงเหอพึมพำ


แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ ดวงตาเบิกกว้างจนกลมโต


หลินสวินเดินออกมาจากหอแจ้งสัจจะแล้ว!


นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรกัน


อย่างมากก็ไม่เกินสิบลมหายใจ!


เซียวชิงเหอฝืนเก็บกลั้นความรู้สึกปั่นป่วนไว้ในใจ แล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมถึงออกมาก่อนล่ะ หรือล้มเหลวเสียแล้ว”


หลินสวินอึ้งไป “ล้มเหลวอะไร”


ไม่ได้ล้มเหลวหรอกหรือ


เซียวชิงเหอใจสะท้าน พูดเสียงหลงว่า “พูดแบบนี้ เจ้าได้…”


หลินสวินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เพียงแค่ทดสอบและขัดเกลาการหยั่งรู้เท่านั้น หอนี้น่าเบื่อผิดขาด ก็ไม่รู้ว่าหอสำแดงมรรคจะเป็นเช่นไร”


เขาพูดพลางก้าวย่างเดินไปยังที่ไกลออกไป


เซียวชิงเหอมุมปากกระตุก ในใจไม่สงบอย่างยิ่ง น่าเบื่อ? ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน หอแจ้งสัจจะแห่งนี้สร้างความลำบากให้ผู้เก่งกล้ารุ่นเยาว์ไม่รู้เท่าไร ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเจ็บปวดใจเพราะหอนี้


ใครกล้าใช้คำว่าน่าเบื่อมาออกความเห็นกัน


“ให้ตายสิ เจ้าคนวิปริตผู้นี้เป็นใครกันแน่”


“ไม่ใช่สิ! ฝ่าด่านหอแจ้งสัจจะในเวลาอันสั้นเช่นนี้ พูดตามหลักแล้วก็สามารถทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นได้แล้ว เหตุใดกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดล่ะ”


เซียวชิงเหอนิ่วหน้า สังเกตได้ว่าออกจะไม่ชอบมาพากล


มองเห็นหลินสวินเดินไกลออกไปเรื่อยๆ เขาไม่อาจคิดมากความ รีบร้อนตามไป


…….


ในตอนที่ทั้งสองคนจากไปไม่นาน ถูซิวก็มาถึงหน้าหอแจ้งสัจจะเหมือนที่ผ่านมา


ถูซิวรูปร่างดุจฝักดาบ ตรงแน่วราวกระบี่ สายตาเย็นเยียบและแหลมคม


เขาเป็นหนึ่งในศิษย์สืบทอดแท้จริงยุคปัจจุบันของสำนักกระบี่เทียมฟ้า พลังต่อสู้แกร่งกล้าถึงที่สุด สามารถอยู่ในสามอันดับแรกของศิษย์สืบทอดแท้จริง


อีกทั้งในฐานะที่ถูซิวเป็นศิษย์สืบทอดแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า ความหนักแน่นของรากฐานพลัง ถึงกับสามารถบดขยี้ศิษย์แกนหลักสำนักโบราณแห่งอื่นบางคนได้!


แต่มีเพียงถูซิวเองที่รู้ดีว่า เทียบกับศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนอื่นๆ แล้ว เขาไม่ได้ได้เปรียบในด้านการหยั่งรู้


ดังนั้นช่วงหนึ่งปีมานี้เขาจึงมาขัดเกลาการหยั่งรู้ของตัวเองที่หอแจ้งสัจจะเป็นประจำ เพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องของตน ทำเช่นนี้ก็จะมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เป็นศิษย์แกนหลักผู้หนึ่ง


หืม?


เพียงแต่ยามถูซิวกำลังเตรียมตัวจะเข้าไปในหอแจ้งสัจจะเหมือนที่ผ่านมา กลับหยุดเดินกะทันหัน เงยหน้าขึ้นไปทันที

 

 

 


ตอนที่ 1020 บุรุษใต้ต้นไม้เทพสีมรกต

 

เหนือเวิ้งฟ้าเป็นสีฟ้าสะอาด


แต่เมื่อถูซิวมองขึ้นไป ที่เวิ้งฟ้าว่างเปล่านั้นกลับมีหลุมดำหลุมหนึ่งผุดขึ้นมา


มันใหญ่ราวเหวลึกสุดหยั่ง!


หลุมดำลอยตัวอยู่เช่นนั้น แต่ในใจของถูซิวกลับเกิดความหนาวยะเยือกที่ไม่อาจกดกลั้นไว้ได้ รู้สึกกดดันแทบหายใจไม่ออก


นี่คืออะไรกัน


ถูซิวตาเบิกกว้าง พยายามรับสัมผัสอย่างแข็งขัน เพียงชั่วพริบตา จิตวิญญาณดุจตกลงไปในเหวลึกว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ไร้พลังนัก


ตัวเขาเป็นดั่งหุ่นเชิดที่ทำจิตวิญญาณหล่นหาย


กระทั่งต่อมาอาภรณ์บนกายของเขาล้วนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ หอบหายใจถี่กระชั้น สภาวะจิตเหมือนจะถูกกลิ่นอายของหลุมดำนั้นกลืนกิน รู้สึกถึงความกดดันและสิ้นหวังถึงที่สุด


“อ๊าก!”


ทันใดนั้นถูซิวก็ร้องเสียงดังออกมา จิตวิญญาณกระตุกเกร็งครู่หนึ่ง สีหน้าเจ็บปวดหาใดเทียบ


“นี่ไม่ใช่ถูซิว ศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักกระบี่เทียมฟ้าหรอกหรือ นี่เขาเป็นอะไรไปแล้วล่ะ”


“คงไม่ได้ผีเข้าหรอกกระมัง”


ข้างหูมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นระลอกหนึ่ง เสียงหึ่งๆ ราวเสียงของแมลงวันทำให้ถูซิวกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง


ทันใดนั้นเขาพลันนิ่งอึ้ง สายตาที่เดิมว่างเปล่ากระเจิดกระเจิงก็กลับมามีสติอีกครั้ง


เขามองไปรอบทิศ


ก็เห็นว่าเหล่าผู้ฝึกปราณต่างมองเขาด้วยสีหน้าฉงน สายตานั้นเหมือนกับจ้องสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งอยู่


จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก แต่กลับค้นพบอย่างตกตะลึงว่าเวิ้งฟ้านั้นยังเป็นสีฟ้าใสดังเดิม เหมือนกับหลุมดำที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นภาพลวงตาภาพหนึ่ง


“ทำไมเป็นเช่นนี้ได้” ถูซิวสีหน้าเหยเก


ด้วยสีหน้าของผู้อื่น ทำให้เขาแน่ใจว่าเมื่อกี้มีเพียงตนที่ได้ประสบกับภาพน่ากลัวหาใดเทียบนั้น!


นี่ทำให้เขายิ่งประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่


……


ถูซิวไม่ได้รู้ว่าภาพที่เพิ่งเห็นเมื่อกี้นั้น ความจริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ประหลาดกลางฟ้าดินครั้งหนึ่งที่หอแจ้งสัจจะฉายออกมา


ก่อนหน้านี้หลินสวินเข้าไปในหอแจ้งสัจจะ ปราดเดียวก็มองทะลุความลับที่อยู่บนป้ายวิญญาณกระจ่างรู้ทั้งสามสิบหกแผ่น ทำลายสถิติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทั้งมวล และก่อให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้!


……


“เจ้าฝ่าผ่านการทดสอบการหยั่งรู้ทั้งหมดจริงๆ หรือ”


ระหว่างทางเซียวชิงเหออดไม่ได้เอ่ยถาม


“ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้าหรือ”


หลินสวินเอ่ยปาก


เขากำลังเดินทางไปยังหอสำแดงมรรค


“เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดอุบัติขึ้นเล่า”


เซียวชิงเหอซักไซ้ ท่าทางร้อนรนทนไม่ไหวต้องการคำตอบ


“อืม จะมีปรากฏการณ์ประหลาดหรือไม่เหมือนไม่ได้สำคัญกระมัง”


หลินสวินพูดเสียงขรึม แต่ความจริงแล้วในใจเขาออกจะประหลาดใจ


การมองปริศนาบนป้ายวิญญาณกระจ่างรู้ทั้งสามสิบหกแผ่นออกในปราดเดียว ทำให้เขาผิดคาดอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าการหยั่งรู้ของตนจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว


นี่แข็งแกร่งกว่าสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ในตอนนั้นมากนัก


แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนหลินสวินก็เข้าใจ


ข้อแรก พลังจิตวิญญาณของเขาแกร่งกล้าถึงที่สุด ยกระดับการหยั่งรู้ของตัวเองถึงขั้นที่น่าตกใจอย่างยิ่งยวดโดยไม่รู้ตัวมาก่อนแล้ว


ข้อต่อมา ในเมื่อการหยั่งรู้เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และแก่นกระดูก เช่นนั้นย่อมได้รับผลกระทบจากชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดหุบเหวกลืนกิน


ท้ายสุด กุญแจสำคัญที่สุดอยู่ที่ในจิตวิญญาณของเขายังมีประตูสวรรค์บานหนึ่ง ประทับด้วยตัวอักษร ‘เคราะห์’ ลี้ลับที่เก็บซ่อนมรดกมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอยู่ รวมถึงขนนกขาวโพลนลี้ลับที่ได้มาจากโถงมรรคาสวรรค์


ทั้งหมดนี้ทำให้ยามเขารับการทดสอบในหอแจ้งสัจจะก็ไม่พบกับอุปสรรคใดๆ เพียงปราดเดียวก็มองทะลุปริศนาทั้งหมดบนป้ายวิญญาณกระจ่างรู้ทั้งสามสิบหกแผ่น!


ดังนั้นหลินสวินถึงรู้สึกว่าการทดสอบครั้งนี้น่าเบื่อนัก


แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่ได้บอกเซียวชิงเหอ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ดูผิดมนุษย์มนาเกินไปจนถูกอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดไป


เพียงแต่หลินสวินไม่รู้ว่า เซียวชิงเหอมองว่าเขาเป็นพวกวิปริตและเป็นสัตว์ประหลาดมาตั้งแต่ตอนอยู่ในเมืองนภาม่วงแล้ว


……


ในเวลาเดียวกับที่หลินสวินไปยังหอสำแดงมรรค ข่าวคสารหลากสายก็กระจายจากเมืองนภาคราม ไม่นานก็ถึงหูสำนักกระบี่เทียมฟ้าด้วยความเร็วน่าตกตะลึง!


เขาเก้าทมิฬ


ดินแดนใต้อาณัติของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ทิวเขายิ่งใหญ่ ยอดภูเขาสลับซับซ้อน ถูกหมอกเซียนโอบล้อมตลอดปี งดงามตระการตาราวภาพเขียน


ฟ้าดินของที่นี่ทั้งไพศาล เพริศแพร้วและเกรียงไกร พลังวิญญาณเข้มข้นหนาแน่นอวลไอในอากาศ


มองลงมาจากเวิ้งฟ้า มียอดเขาสูงตระหง่านเก้าลูกตั้งอยู่ ภูเขาสูงทะลุชั้นเมฆ อาบไล้กลางแสงเมฆาไปทั้งลูก ปลดปล่อยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์รางเลือนออกมา


เมื่อพินิจดูเหนือยอดเขาทั้งเก้าลูก แต่ละลูกมีอาคารเก่าแก่ผ่านโลกมานานเรียงรายแน่นขนันเป็นระเบียบดั่งเกล็ดมัจฉา ประหนึ่งวังเซียนอารามสมบัติบนสวรรค์ เจิดจรัสยืนยง ธำรงคู่นิจนิรันดร์


เพียงมองไปครั้งเดียวก็ทำให้มนุษย์มีความรู้สึกตัวหดเล็กเหมือนมดตัวจ้อย


นี่ก็คือเขาเก้าทมิฬ ระบือนามชั่วนิรันดร์ เป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าซึ่งข่มขวัญแดนชัยบูรพา ถูกผู้คนในโลกยกให้เป็น ‘เขาศักดิ์สิทธิ์ฝึกปราณ’!


เพียงแต่หลังจากข่าวแล้วข่าวเล่ากระจายเข้าสู่สำนักกระบี่เทียมฟ้า ทั้งเขาเก้าทมิฬก็เหมือนตื่นตกใจ เงาร่างของผู้ฝึกปราณมากมายพุ่งออกมาจากอาคารเก่าแก่แน่นขนัดนั้น


“อะไรนะ เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำลายสถิติของศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ที่หอลองกระบี่ หอเกลาจิตและหอหลอมจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องหรือ”


“เขาเป็นใคร”


“เป็นไปไม่ได้ แม้สถิตินั้นจะเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่ล้วนเรียกได้ว่าเป็นสถิติโดดเด่นสะดุดตาไม่เป็นสองรองใครตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ตลอดสิบปีมานี้ ในแดนชัยบูรพามีบุคคลแห่งยุคไม่รู้เท่าไรลองทำลายสถิตินี้ แต่ทุกคนต่างคว้าน้ำเหลวกลับไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น เหตุใดวันนี้ถึงถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่องได้เล่า”


“นี่เป็นเรื่องจริงนะ ตอนนี้ลือกระฉ่อนไปทั้งเมืองนภาม่วงแล้ว!”


ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความรู้สึกตื่นตระหนก งุนงงและทำใจเชื่อได้ยากแผ่ขยายในหมู่ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกและศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักกระบี่เทียมฟ้า


ผู้อาวุโสในสำนักนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายในสายนอก เวลานี้ก็ต่างละมือจากสิ่งที่ทำอยู่ สนใจติดตามข่าวเหล่านี้


อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้อยู่อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน เป็นความภาคภูมิใจของทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้า เรียกได้ว่าก้าวเดินลำพังในอดีตและปัจจุบัน โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร!


ตั้งแต่อวิ๋นชิ่งไป๋เข้ามาในสำนักกระบี่เทียมฟ้าจนถึงตอนนี้ ก็แผ่รัศมีที่สามารถสร้างความตื่นตาแก่นิจนิรันดร์ กำราบจนคนในระดับเดียวกันไม่อาจเชิดหน้าขึ้นมาได้


ที่ต้องรู้ก็คือ สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีฐานะเป็นสำนักโบราณชั้นยอดของแดนชัยบูรพา บุคคลแห่งยุคในสำนักมีจำนวนไม่น้อย ผู้มีพรสวรรค์พิเศษยิ่งมากมายดั่งขนโค


แต่กระทั่งตอนนี้ ยังไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของอวิ๋นชิ่งไปได้เลย!


เขาเยี่ยมยอดเกินไป โดดเด่นสะดุดตาเกินไปจนแทบสมบูรณ์แบบ ไร้ผู้ใดเทียบเทียมได้ การฝึกปราณร่วมกับเขาถึงขั้นทำให้ผู้คนรู้สึกหมดหวัง!


แต่ตอนนี้สถิติที่เขาเคยสร้างไว้เองกับมือเมื่อสิบปีก่อนกลับถูกผู้อื่นทำลายลงทีละอัน นี่ทำให้ทุกคนยอมรับได้ยากนัก


“เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องไม่จริงแน่ๆ ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา!”


ผู้สืบทอดที่เคารพบูชาอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างยิ่งบางคนรับไม่ได้ ทันใดนั้นก็บังคับแสงกระบี่ทะยานฟ้าออกไปเสียงดัง


“หากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นเด็กหนุ่มนั่นจะเป็นใครกัน แดนชัยบูรพามีคนเก่งกาจเช่นนี้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร”


“ไป พวกเราไปดูด้วยกัน!”


ทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าตกอยู่ในความสั่นสะเทือน สำหรับผู้ฝึกปราณอื่นแล้ว สถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ถูกทำลง อาจจะเพียงรู้สึกตกใจหรือประหลาดใจ


แต่สำหรับผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าแล้ว ความหมายของสิ่งนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก เป็นไปได้สูงที่จะทำให้รัศมีซึ่งปกคลุมบนร่างอวิ๋นชิ่งไป๋มีเงามืดชั้นหนึ่งเข้าบดบัง!


พูดง่ายๆ ก็คือ อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เปรียบดั่งตำนานไร้พ่ายของสำนักกระบี่เทียมฟ้า จะยอมทนให้ถูกทำลายไปได้อย่างไร


ไม่นานนักผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ามากมายก็ออกเดินทาง บังคับแสงกระบี่พุ่งคำรามไปทางเมืองนภาม่วงเสียงดัง


……


“จิ่งเจิน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”


ยอดเขายุทธ์วิถี ตำหนักแสงเมฆา ที่นี่เป็นที่พำนักของเหมิงชิวจิ้ง ผู้อาวุโสสายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า


เวลานี้กลับมีสตรีนางหนึ่งสีหน้าหวาดหวั่น รั้งชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งไว้


สตรีผู้งดงามผู้นี้มีนามว่าเหมิงหรง รูปลักษณ์งามเลิศ ท่วงท่าสง่าผ่าเผย ผมดำขลับทั้งศีรษะเกล้าเป็นมวย แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีม่วงทั้งชุด กระนั้นกลับมีกลิ่นอายน่าเกรงขามอย่างยิ่ง


“ท่านแม่ ข้าเพียงจะไปดูเสียหน่อยว่าใครถึงกับทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้กันแน่” ชายหนุ่มชุดดำออกจะจนใจ


หากหลินสวินเห็นเช่นนี้จะต้องจำได้แน่ๆ ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจิน!


ตอนนั้นจ้าวจิ่งเจินหมางใจกับหลินสวิน ถูกจักรพรรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าปลดฐานะองค์ชาย และส่งตัวมาสุสานราชวงศ์ ลดตำแหน่งเป็นผู้เฝ้าสุสานคนหนึ่ง


แต่ต่อมาเพราะมารดาของเขาเหมิงหรง ผู้เป็นบุตรสาวของเหมิงชิวจิ้งผู้อาวุโสสายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า ด้วยความสัมพันธ์ชั้นนี้จึงทำให้จ้าวจิ่งเจินหลุดพ้นความยากลำบาก ออกจากจักรวรรดิจื่อเย่า และถูกรับมาฝึกปราณในสำนักกระบี่เทียมฟ้า


ชั่วพริบตาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว


จ้าวจิ่งเจินในตอนนี้หล่อเหลามีชีวิตชีวา ดวงตาราวสายฟ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจากตอนนั้น มีพลานุภาพน่าหวั่นกลัว


“ไม่ได้!” เหมิงหรงยืนยันหนักแน่น ปฏิเสธเด็ดขาด


“ทำไมเล่า” จ้าวจิ่งเจินนิ่วหน้า


สายตาเหมิงหรงล้ำลึก พูดว่า “เพราะเจ้ายังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องใส่ใจ”


“เรื่องใด”


“ล้างแค้น”


“ล้างแค้นหรือ” จ้าวจิ่งเจินงุนงง


“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าสมัยอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า ใครกันที่ทำให้เจ้าถูกเสด็จพ่อของเจ้าปลดฐานะองค์ชาย ทั้งใครกันทำให้เจ้าเกือบกลายเป็นผู้เฝ้าสุสาน ไม่อาจหลุดพ้นความยากลำบากได้ตลอดกาลคนหนึ่ง”


เหมิงหรงสีหน้าเย็นชา


“หลินสวิน! หรือว่า…” จ้าวจิ่งเจินสีหน้าเคร่งขนึม แววเคียดแค้นเสียดกระดูกแผ่พุ่งออกมาจากดวงตา


“ใช่แล้ว เขามาถึงดินแดนรกร้างโบราณแล้ว”


เหมิงหรงเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ถ้าเจ้าคิดจะล้างแค้น เกรงว่าคงไม่ได้ทำได้ง่ายเช่นนั้น”


จ้าวจิ่งเจินแค่นยิ้มออกมา “สมัยอยู่ที่โลกชั้นล่างมีเสด็จพ่อหนุนหลังเขา ข้าอาจจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ ฆ่าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับบี้มดตัวหนึ่งตาย!”


ในน้ำเสียงมีแต่ความดูแคลนและทระนงตน


ตอนเขามาถึงสำนักกระบี่เทียมฟ้าเมื่อหลายปีก่อน เขาถึงพบว่าตัวเองในอดีตช่างเป็นกบในกะลา ไม่เคยคิดเลยว่าเพียงสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งเดียวก็มีอำนาจและภูมิหลังที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้แล้ว!


และด้วยมีฐานะเป็นหลานตาของเหมิงชิวจิ้ง ทำให้สถานะในสำนักกระบี่เทียมฟ้าของเขาพิเศษยิ่งนัก ได้รับการดูแลที่ผู้สืบทอดทั่วไปจำนวนมากไม่อาจได้รับ


ตอนนี้เมื่อเขามองหลินสวินอีกครั้ง ย่อมปราสและดูถูกดูแคลนเป็นพิเศษ


“เจ้าผิดแล้ว ตอนนี้เด็กนี่ไม่ได้เป็นมด” สีหน้าเหมิงหรงปรากฏแววซับซ้อนอยู่บ้าง


จากนั้นนางก็สูดหายใจลึก เก็บกลั้นความรู้สึกในใจเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ข้ารวบรวมข่าวต่างๆ เกี่ยวกับเด็กนี่มาแล้ว ถ้าเจ้าอยากรู้ตอนนี้ก็มากับข้า”


“ข้าไม่เพียงแค่อยากรู้ ยังอยากแก้แค้นด้วย!” จ้าวจิ่งเจินออกจะทนรอไม่ไหวแล้ว


เขาลืมความอัปยศที่หลินสวินนำมาให้ในตอนนั้นไม่ลง


หลายปีนี้ที่เขาฝึกปราณในสำนักกระบี่เทียมฟ้า แม้กล่าวว่ามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่กลับไม่มีเวลาใดที่ไม่อยากกลับไปโลกชั้นล่างเพื่อไปคิดบัญชีกับหลินสวิน!


และตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าหลินสวินปรากฏตัวที่แดนชัยบูรพา เขาจะยังทนอยู่ได้อย่างไร


……


ยอดเขาเทียมฟ้า


ที่นี่คือเขตหวงห้ามของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ในสถานการณ์ทั่วไปมีเพียงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสชั้นสูงถึงสามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ


บริเวณไหล่เขาเขาเทียมฟ้า มีต้นไม้เทพสีมรกตที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนตอนนี้ กิ่งก้านแผ่ไพศาล ใบไม้เขียวชอุ่ม แสงเขียวเต็มฟ้า


ใต้ต้นไม้เทพสีมรกต ชายผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ผมยาวดำหนาสยายลงมาถึงเอว ดวงตาทั้งสองปิดสนิท แสงมรรคสีทองอ่อนหนาแน่นอบอวลอยู่รอบกายเขา ทำให้รูปลักษณ์ของเขาเลือนรางไม่ชัดเจน มองทะลุโฉมหน้าที่แท้จริงได้ยาก


แต่เขาซึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบเช่นนี้ กลับคล้ายเทพไท้ มีกลิ่นอายที่โอหังผงาดเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน


นกยูงงดงามที่ปีกหลากสีเพริศแพร้วตัวหนึ่งลอยละล่องมาถึง แตะเท้าลงเบื้องหน้าต้นไม้เทพสีมรกต แล้วพลันกลายร่างเป็นหญิงสาวชุดหลากสีที่เงาร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รูปลักษณ์สวยสะคราญหาใดเทียบผู้หนึ่ง


ศีรษะที่เชิดสูงขึ้นอยู่เดิมค้อมลงเล็กน้อย ยามสายตามองไปยังชายที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้เทพสีมรกต ปรากฏความยำเกรงและเคารพชื่นชมจากใจอย่างไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้


เสียงของนางกังวานรื่นหู เอ่ยว่า “ศิษย์พี่อวิ๋น เมื่อครู่ในสำนักมีข่าวกระจายมาว่า…”


นางบรรยายเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองนภาม่วงอย่างกระชับเรียบง่ายรอบหนึ่ง


เมื่อเสียงพูดเงียบลง โดยรอบเงียบเชียบไร้เสียง มีเพียงยามลมภูเขาพัดมาถึงเกิดเสียงแซ่กๆ จากการเสียดสีของก้านกิ่งใบไม้บนต้นไม้เทพสีมรกต


ใต้ต้นไม้เทพ ดวงตาของชายผู้นั้นปิดสนิท แสงมรรครอบกายอบอวลพวยพุ่งเหมือนภาพมายา เขาไม่ตอบสนองแม้สักนิดประดุจภิกษุเข้าสู่ฌาณ


เมื่อหญิงสาวชุดหลากสีเห็นดังนี้ก็อึ้งไป คล้ายอยากพูดแต่ก็หยุดไว้ ทว่าท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้ เหมือนกลัวว่าจะไปรบกวนการฝึกปราณของอีกฝ่าย


เพียงแต่ก็ในตอนที่นางจะออกไป ในโสตประสาทก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ลำบากศิษย์น้องข่งมาบอกด้วยตัวเองแล้ว”


เสียงนี้ราวมหามรรค ดูเหมือนเรียบเฉย แต่กลับมีพลังเข้าถึงก้นบึ้งจิตใจคน!


หญิงสาวชุดหลากสีพลันหันกาย ก็เห็นว่าชายซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ผู้นั้นลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้


นี่เป็นดวงตาเช่นไรกัน


ลึกล้ำประหนึ่งเหวลึกคู่หนึ่ง สงบนิ่งราวราตรีนิรันดร์ แต่เมื่อได้สบตาเข้า กลับเหมือนทำให้จิตวิญญาณของผู้คนจมจ่อมลงไปภายในนั้น รู้สึกหวาดผวาและกดดันหาใดเทียบ!


น่ากลัวนัก!


หญิงสาวชุดหลากสีมีนามว่าข่งหลิง มาจากเผ่านกยูงห้าสี พรสวรรค์พิเศษอัศจรรย์ ทั้งตอนนี้ยังเป็นหนึ่งในศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ชื่อเสียงของนางดังก้องแดนชัยบูรพาอยู่ก่อนแล้ว เป็นผู้กล้าหญิงที่จัดอยู่ใน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’


แต่ตอนนี้ ภายใต้การจับจ้องของดวงตาสีดำคู่นี้ กลับทำให้นางรู้สึกสงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง ร่างแบบบางแข็งทื่อ จิตใจมีเค้าลางยุ่งเหยิง!


“ศิษย์น้องข่ง มหายุคกำลังจะมาเยือน แม้ตอนนี้พลังของเจ้าไม่ธรรมดา แต่ยังคงขาดความชำนาญและการตกตะกอนไปบ้างเหมือนเดิม วันนี้ข้าได้หยั่งรู้พอดี ในด้านวิถีกระบี่พัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ก็มอบกระบี่นี้ให้เจ้าแล้วกัน”


ชายหนุ่มพูดพลางส่งกระบี่วิญญาณพิสุทธิ์วาวใสราวราตรีเล่มหนึ่งให้


“นี่…”


ข่งหลิงตกใจยกใหญ่ นางจะจำกระบี่เล่มนี้ไม่ได้ได้อย่างไร นี่เป็นถึงหนึ่งในกระบี่คู่กายของศิษย์พี่อวิ๋น มีนามว่า ‘แสงราตรี’ เคยกรำศึกเคียงข้างศิษย์พี่อวิ๋นมานานปี สังหารฟาดฟันศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วไม่รู้เท่าไร!


“เอาไปเถอะ กระบี่นี้สำหรับข้าในตอนนี้แล้วกลับเป็นภาระ”


ชายหนุ่มเสียงสงบนิ่ง มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนไม่อาจขัดขืนได้


“ขอบคุณศิษย์พี่!”


ข่งหลิงรับกระบี่นี้มาอย่างนอบน้อบแล้วเก็บไปอย่างระวัง ในใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มขึ้นมา นี่เป็นถึงยอดศาสตรามรรคราชันที่อุดมไปด้วยสีสันแห่งตำนานเล่มหนึ่ง!


ก่อนจากไปข่งหลิงอดไม่ได้เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่อวิ๋น ท่านไม่สนใจจริงๆ หรือ”


ดวงตาดำของชายผู้นั้นราวเหวลึก กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ข้าอวิ๋นชิ่งไป๋ปิดด่านหลายปีมานี้ สิ่งเดียวที่สนใจก็คือโอกาสได้กลายเป็นราชันในมหายุค เป็นพลังที่สามารถกดทับนิรันดร์กาล อยู่เหนือธรรมบาลได้ นอกเหนือจากนี้ บนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ทำให้ข้าใส่ใจได้อีก”

 

 

 


ตอนที่ 1021 เบาะรองนั่งสีม่วง

 

ข่งหลิงนำกระบี่แสงราตรีออกจากยอดเขาเทียมฟ้าอย่างเคารพนบนอบ


‘ไม่เจอกันเกือบสิบปี ศิษย์พี่อวิ๋นเปลี่ยนเป็นน่ากลัวยิ่งขึ้นแล้ว…’ ข่งหลิงจิตใจเลื่อนลอย ยังคงลืมภาพชั่วขณะที่สบตากับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อครู่ไม่ลง


กระทั่งตอนนี้ ความเครียดดเกร็งที่ไม่อาจสลัดทิ้งไปจากใจยังรัดพันอยู่ในจิตใจของนาง!


สิบปีก่อน นางยังเป็นเพียงศิษย์สืบทอดแท้จริงผู้หนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า


ส่วนอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น สังหารราชันกึ่งระดับในดินแดนรกร้างโบราณไปมากกว่าร้อยคน พาให้ใต้หล้าตื่นตระหนก มองเขาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันไปแล้ว


อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นสามารถทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็เคารพยำเกรง ประหนึ่งภูเขาเทพที่สูงจนไม่อาจป่ายปีนลูกหนึ่ง ไม่มีทางถูกสั่นคลอนได้


วันนี้ในสิบปีต่อมา ข่งหลิงอาศัยพรสวรรค์พิเศษของเผ่านกยูงห้าสี เติบโตขึ้นเป็นศิษย์แกนหลักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ชื่อเสียงสะท้านเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันในรุ่นเยาว์ของแดนชัยบูรพา


ตอนนี้ นางยังถูกจัดอันดับอยู่ใน ‘ยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ด้วย!


เดิมข่งหลิงคิดว่าตนสามารถเข้าใกล้อวิ๋นชิ่งไป๋มากขึ้นได้บ้าง


แต่การพบกันในวันนี้กลับทำให้นางได้สติโดยสมบูรณ์ สิบปีมานี้ตนอาจจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ศิษย์พี่อวิ๋นก็ไม่ใช่ศิษย์พี่อวิ๋นเมื่อสิบปีก่อนมานานแล้วเช่นกัน!


‘เพียงแค่แววตาเท่านั้น ก็ทำให้ข้าหวาดหวั่นและกระวนกระวาย หากลงมือเกรงว่าข้าจะไม่มีกำลังตั้งกระบวนท่าด้วยซ้ำ…’ ข่งหลิงทอดถอนใจในใจ


อยู่ในระดับพลังปราณเดียวกันกับเขาต้องเป็นโชคร้ายอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย


ภายใต้รัศมีของเขา คนร่วมระดับที่ไม่ว่าจะโดดเด่นสะดุดตาเพียงใด เกรงว่าต่างต้องหม่นหมองจืดชืด


ดุจดังไข่มุกเท่าเมล็ดข้าว จะแข่งรัศมีกับสุริยันจันทราได้อย่างไร


‘แม้พลังปราณของศิษย์พี่อวิ๋นจะไม่ได้บรรลุอีกในช่วงที่ปิดด่านหลายปีมานี้ แต่การตกตะกอนและสั่งสมนานปีนี้ทำให้เขามีรากฐานพลังแข็งแกร่ง สามารถผงาดเหนือผู้กล้าในปัจจุบันได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ยามมหายุคมาเยือน ศิษย์พี่อวิ๋นออกจากด่าน ทั้งดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้… คงสั่นสะท้านเพราะเขากระมัง’


ข่งหลิงทอดถอนใจในใจ


ทันใดนั้นนางก็เก็บความรู้สึกนึกคิด แววตางดงามกระจ่างราวเพชรใส


‘แม้ศิษย์พี่อวิ๋นไม่สนใจเรื่องสถิติของตนเมื่อสิบปีก่อนถูกผู้อื่นทำลายลง แต่ข้าก็อยากไปดูเสียหน่อยว่านี่เป็นเรื่องที่อริยเทพที่ไหนทำกันแน่…’


ข่งหลิงรู้ถึงความอัศจรรย์ของสิบสองหอเป็นอย่างดี ทั้งรู้ดีว่าหมายจะทำลายสถิติในตอนนั้นของอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเรื่องยากลำบากและไม่น่าเชื่อปานใด


แต่ตอนนี้ ทุกอย่างนี้กลับเปลี่ยนไปแล้ว!


นี่ทำให้ข่งหลิงเหมือนเห็นตำนานที่ตนชื่นชมยกย่องเรื่องหนึ่งถูกทำลาย ในใจจึงไม่อาจยอมรับได้


สวบ!


ไม่นานนักนางก็แปลงร่างเป็นนกยูงที่มีปีกงามเด่นสะดุดตา พุ่งทะลุเมฆาออกไปจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า เคลื่อนตัวไปยังเมืองนภาม่วง


……


เมืองแสงเขียว หอสำแดงมรรค


ต้นหญ้าขึ้นเต็ม ตะไคร่เขียวขึ้นเป็นลายพร้อย


หนึ่งในสิบสองหอแห่งนี้กลับมีทัศนียภาพเงียบเหงาไร้ร่องรอยมนุษย์


หลินสวินอึ้งไป “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”


เซียวชิงเหอเอ่ยทอดถอนใจ “ปกตินัก หอนี้ตั้งแต่ถูกสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อนยึดครอง ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรกร้างแล้ว”


ตามคำพูดของเขา มีเพียงผู้ที่ทำลายสถิติสูงสุดของหอสำแดงมรรคแห่งนี้เท่านั้น ถึงมีโอกาสได้วาสนาที่ซ่อนอยู่ในหอนี้ไปครอง


สิบปีก่อนอวิ๋นชิ่งไป๋เหยียบเข้ามาในหอสำแดงมรรคแห่งนี้ แล้วขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ในครั้งเดียว


ความสูงของสถิติที่เขาสร้างไว้ย่อมเรียกได้ว่ายากพบเห็นในอดีต ทำให้ผู้ที่มาทีหลังคว้าน้ำเหลวกลับไป ไม่ได้อะไรติดมือเลย


มิหนำซ้ำเพื่อเข้าไปในหอสำแดงมรรค จะต้องจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงถึงห้าหมื่นก้อนเต็มๆ ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่บนโลกเห็นสถานการณ์เช่นนี้ต่างถอยกลับไป


“สำหรับผู้ฝึกปราณที่ระดับต่ำกว่าระดับราชันแล้ว สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ที่หอสำแดงมรรคก็เหมือนมหาบรรพตที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ลูกหนึ่ง อีกทั้งจะขึ้นหอก็ต้องเสียแกนวิญญาณก้อนยักษ์ ใครจะกล้ามาฝ่าด่านกัน”


เซียวชิงเหอสีหน้าซับซ้อน


หอสำแดงมรรคยิ่งรกร้างและเงียบเหงา ก็ยิ่งขับเน้นว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีกก่อนไม่ธรรมดาปานไหน กำราบจนผู้ฝึกปราณต่างไม่กล้ามาท้าทาย เรียกได้ว่าพลานุภาพราวดวงระวี ส่องสว่างเหนือเวิ้งฟ้าเพียงดวงเดียว!


“แกนวิญญาณขั้นสูงห้าหมื่นชิ้น”


มุมปากหลินสวินก็กระตุกขึ้นอย่างยากสังเกต


เพียงแค่ขึ้นหอก็ต้องจ่ายแกนวิญญาณก้อนใหญ่ยักษ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปเลย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้สืบทอดของสำนักโบราณก็รู้สึกเปลืองแรงและเข้าเนื้อกันทั้งสิ้น


“แน่นอนว่าถ้าหากสามารถทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ เช่นนั้นคุณประโยชน์ก็มหาศาล ลือกันว่าบนชั้นบนสุดของหอสำแดงมรรคนั่นมีเบาะรองนั่งมหามรรคในระดับต่างๆ กันเก้าแบบ”


“เบาะรองนั่งมหามรรคทุกแบบ ต่างสามารถช่วยเหลือและยกระดับการบำเพ็ญมหามรรคของผู้ฝึกปราณไม่มากก็น้อย”


ดวงตาเซียวชิงเหอเจือแววประหลาด “ในอดีต ที่หอสำแดงมรรคแห่งนี้เคยมีเบาะรองนั่งมหามรรคแบบต่างๆ เช่นสีดำ สีขาว สีเหลือง สีชาด… กระทั่งอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนขึ้นหอไป ก็ปรากฏเบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”


“ตามการคาดเดา เบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงนี้เป็นเบาะรองนั่งที่มีคุณภาพดีที่สุด นั่งสมาธิบนนั้นสามารถทำให้พลังมหามรรคของผู้ฝึกปราณแปรสภาพ!”


หลินสวินก็รู้ข้อมูลเหล่านี้มาก่อน แต่รู้เพียงคร่าวๆ และตอนนี้พอได้ยินคำพูดของเซียวชิงเหอทำให้ใจเขาสั่นสะท้านแรงกล้า


ทำให้พลังปราณมหามรรคแปรสภาพ!


นี่ต้องเป็นสิ่งล่อใจที่ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนไหนต่างไม่อาจปฏิเสธได้


มหามรรคยาก บำเพ็ญมรรคยิ่งยากกว่า โดยเฉพาะพลังหยั่งรู้มหามรรคยิ่งยากเสียยิ่งกว่ายาก!


ด้วยการหยั่งรู้และรากฐานพลังของหลินสวิน ตอนนี้ก็ทำได้เพียงบรรลุระดับแก่นมรรคของมหามรรคแห่งธาตุน้ำและไฟ


ส่วนการควบคุมมรรคดับดารากลืนกิน ยังเพิ่งถึงระดับท่วงทำนองแห่งมรรค ห่างจากระดับเจตจำนงแห่งมรรคอีกไม่น้อย ระดับแก่นมรรคยิ่งไม่ต้องพูดถึง


แต่วาสนาที่ซ่อนอยู่ในหอสำแดงมรรคแห่งนี้กลับสามารถทำให้พลังปราณมหามรรคของผู้ฝึกปราณแปรสภาพได้ นี่ย่อมดูเหลือเชื่อนักอย่างไม่ต้องสงสัย


แน่นอนว่าเรื่องที่ต้องทำให้ได้ก่อนได้วาสนามาครองก็คือ ต้องทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีที่แล้วให้ได้ก่อน!


ซ่า!


หลินสวินสะบัดแขวนเสื้อหนึ่งครั้ง แกนวิญญาณขั้นสูงก็ไหลเข้าไปในปากรูปปั้นเทพผีซิวหน้าประตูใหญ่หอสำแดงมรรคราวกระแสน้ำ


“เจ้า… คิดจะฝ่าด่านจริงหรือ” เซียวชิงเหอกำลังทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็เห็นหลินสวินทำเช่นนี้เข้าจึงพลันตกใจสะดุ้งโหยง


“ข้าไม่ได้เป็นนักเดินทางที่มาทัศนาโบราณสถาน ใคร่ครวญอดีตปัจจุบันสักหน่อย” หลินสวินไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง เงาร่างไหวูบพุ่งเข้าไปในหอสำแดงยุทธ์แล้ว


“ไอ้หมอนี่ไม่วิปลาสก็วิปริต!”


เซียวชิงเหอตื่นตะลึงอ้าปากค้าง เขาออกจะสงสัยว่าหลินสวินมีความแค้นกับอวิ๋นชิ่งไป๋หรือไม่


เมื่อผู้ฝึกปราณคนอื่นได้ยินสถิติและกิตติศัพท์ของอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็ต้องรู้สึกกดดันและลังเลบ้างไม่มากก็น้อย แต่เจ้าหมอนี่กลับต่างไป ทุกครั้งล้วนตรงไปตรงมาเฉียบคมเช่นนั้น ไม่มีการไตร่ตรองเลย


ราวกับว่าสำหรับเขาแล้ว การเอาชนะสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เขาควรทำ


“สีม่วงก็เป็นตัวแทนเบาะรองนั่งมหามรรคที่คุณภาพดีที่สุดแล้ว เจ้าหมอนี่คิดจะทำลายสถิตินี้ น่ากลัวว่าจะเหลือเชื่อนัก…” ไม่นานนักเซียวชิงเหอก็ขมวดคิ้ว


เขาไม่ได้ไม่ชื่นชมหลินสวิน แต่ก็รู้ดีว่าสถิติสูงสุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันของหอสำแดงมรรคได้ถูกอวิ๋นชิ่งไป๋เอาไปแล้ว คิดจะทำลายก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


นอกเสียจาก…


มีปาฏิหาริย์บังเกิด!


……


เมื่อหลินสวินเดินเข้าไปในหอสำแดงยุทธ ถึงได้พบว่าที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคือแท่นมรรคลายพร้อยและเก่าแก่แท่นหนึ่ง และบันใดหินแถวหนึ่งเป็นชั้นๆ ขึ้นไป


ขั้นบันไดมีเก้าขั้น ธรรมดาสามัญนัก


เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป เหนือแท่นมรรคก็เป็นเพียงยกพื้นว่างเปล่าที่มีพื้นที่ไม่กี่จั้ง


แต่เมื่อหลินสวินก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดขั้นแรก ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนในทันใด


ความมืดมิดเข้าปกคลุม มืดสนิท ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า ในการรับรู้ของหกรับรู้ก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายใดๆ เงียบสงัดจนพาให้กดดัน


ยืนอยู่ภายในนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าดวงตามืดบอด เพราะขนาดการรับรู้ยังไม่อาจจับภาพอื่นได้นอกจากความมืดมิด


“เริ่มสำแดงมรรค!” เสียงคลุมเครือเลื่อนลอยเสียงหนึ่งดังขึ้น


หลินสวินสูดลมหายใจลึก หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือขวาออกไป เหนือนิ้วมือพลันปรากฏหยดน้ำใสแวววาวขึ้นหยดหนึ่ง


ต่อมาหยดน้ำก็สั่นเบาๆ แล้วพลันระเบิดออกเป็นฝอยน้ำเล็กละเอียดราวขนโคเส้นแล้วเส้นเล่าดุจสายหมอก


จากนั้นฝอยน้ำแต่ละเส้นก็หมุนวนในจิตใจหลินสวิน แปรสภาพเป็นน้ำใสเส้นหนึ่ง ธารน้อยสายหนึ่ง ทะเลสาบแห่งหนึ่ง แม่น้ำสายยาวสายหนึ่ง…


โครม!


ท่ามกลางความมืดมิด คลื่นน้ำส่งเสียงโครมคราม ลูกคลื่นซัดสาด มหาสมุทรไพศาลแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น แสดงให้เห็นพลังเกรียงไกรของมหาสมุทรรวมร้อยนที หมื่นธารากลับสู่ต้นกำเนิด


เหนือเวิ้งฟ้า พายุฝนชโลมลงมาบดบังห้วงอากาศ


ชั่วพริบตา พื้นที่ว่างเปล่ามืดมิดและเงียบเชียบไร้เสียงแห่งนี้ก็กลายเป็นพิภพวารี


กว้างใหญ่ราวมหาสมุทร เล็กดังหยาดพิรุณ ต่างสำแดงลักษณะอันงดงามต่างๆ ของ ‘น้ำ’ ออกมา


เพียงแต่พร้อมๆ กับที่หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ลูกไฟลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ในตอนแรกเล็กจิ๋วเหมือนเมล็ดเพลิง จากนั้นก็แปรสภาพเป็นคบเพลิงแผดเผาแรงกล้า และต่อมาก็กลายเป็นธารเพลิงหินหนืด ทะเลเพลิงห้อตะบึง…


กระทั่งต่อมากลางฟ้าดินมีแสงเพลิงกำเริบเสิบสาน เผาไหม้ฟ้าดิน สลายความมืดมิด ให้ความรู้สึกเจิดจ้าเหลือคณา


โครม!


โลกของน้ำและไฟเป็นตัวแทนของพลังแก่นมรรคที่หลินสวินครอบครองสองชนิด และสำแดงออกมาในขณะนี้


สิ่งแรกไพศาลเกรียงไกร หมื่นธารากลับสู่ต้นกำเนิด สิ่งหลังเหิมเกริมโอหัง เจิดจ้าเหลือคณา แสดงให้เห็นภาพงดงามสะท้านใจคน


ตู้ม!


เพียงแต่ทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง หลังหลินสวินสำแดงพลังมรรคดับดารากลืนกินออกมาอย่างไม่ออมมือแม้แต่น้อย กลางฟ้าดินราวกับปรากฏเหวใหญ่เหวหนึ่ง เบื้องบนกลืนกินสรวงสวรรค์ เบื้องล่างกลืนกินใต้พิภพ!


ปรากฏการณ์ทั้งหมดเริ่มบิดเบี้ยว สั่นสะเทือน ยุ่งเหยิง… กระทั่งดับสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปพร้อมกัน


โลกแห่งน้ำและไฟได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ถูกพลังน่าหวาดหวั่นที่ทั้งกลืนกินและดับสลายเช่นนั้นควบคุมชักใย


ชั่วพริบตามหาสมุทรไพศาลก็พัดกระพือหลุมดำวังน้ำวนดุดัน หินหนืดคำรามกลายเป็นพายุเปลวเพลิงม้วนตลบฟ้าดิน…


โดยไม่ทันรู้ตัวกลับมีปรากฏการณ์น่าหวาดหวั่นอย่างวันเสื่อมถอย จะพาให้หมื่นมรรคสูญสิ้นอุบัติขึ้น!


โครม!


และไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลังจากหลินสวินสำแดงพลังปราณมหามรรคเสร็จสิ้น ภาพปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกาตรงหน้าแต่ละภาพก็มลายหายไปด้วย


จากนั้นทัศนวิสัยตรงหน้าก็ผันแปรไป ยามเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน หลินสวินถึงได้ค้นพบในทันทีว่าตนมาถึงบนแท่นมรรคโบราณลายพร้อยนั่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร


สำเร็จแล้วหรือ


หลินสวินออกจะงุนงงไม่เข้าใจ


และในตอนนี้เอง บนแท่นมรรคที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดแต่เดิม กลับมีเบาะรองนั่งเก้าใบปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงคำรามแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง


บ้างมีสีชาดราวเพลิงแผดเผา


บ้างมีสีขาวโพลนราวหิมะ


บ้างมีสีเขียวราวหยก


……


สายตาของหลินสวินกวาดมองแต่ละใบ ในที่สุดก็มาหยุดที่เบาะรองนั่งใบที่เก้า


เบาะรองนั่งนี้มีสีม่วงที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์ ดูโดดเด่นผิดธรรมดา


เมื่อเทียบกับเบาะรองนั่งใบนี้ แม้เบาะรองนั่งอีกแปดใบจะต่างมีความอัศจรรย์ แต่รังสีของพวกมันกลับถูกเบาะรองนั่งสีม่วงใบนั้นบดบังไว้


สีหน้าหลินสวินพลันประหลาดไป

 

 

 


ตอนที่ 1022 พลังปราณมหามรรคที่เพิ่มสู...

 

‘ทำไมถึงปรากฏขึ้นมาหมดในคราวเดียวล่ะ’ นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้หลินสวินสีหน้าประหลาดไป


ตามที่เขารู้มา ผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในหอสำแดงมรรคในอดีต ขอเพียงสามารถเหยียบย่างลงบนแท่นมรรคได้ ก็จะได้รับเบาะรองนั่งมหามรรคใบหนึ่งไป


อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เป็นเช่นนี้ด้วย


แต่ตอนนี้เบาะรองนั่งมหามรรคที่มีคุณภาพต่างกัน กลิ่นอายและสีสันไม่เหมือนกันเก้าใบกลับปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน นี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ


หลินสวินลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟัน ตัดสินใจอย่างบ้าบิ่นว่าจะนั่งบนเบาะรองนั่งมหามรรคทั้งเก้าใบให้หมดเลย!


เขาไม่ร่ำไร ตรงดิ่งไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมงคลศักดิ์สิทธิ์นั้น


ทันใดนั้นกลิ่นอายสัจจะมหามรรคอัศจรรย์ก็ผุดขึ้นในจิตใจแล้วฟุ้งไปทั่วกาย


หลินสวินใจสะท้าน ชั่วพริบตาก็รู้สึกเหมือนอยู่กลางนภากาศเวิ้งว้าง มองเห็นเงาร่างหนึ่งห้อตะบึงมา!


เขาผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าเหี่ยวแห้ง เงาร่างผอมกะหร่อง ทุกครั้งที่ย่างก้าวลงมาทำให้ห้วงอากาศโดยรอบส่งเสียงดังโครมคราม หมื่นดาราสั่นไหว


กลิ่นอายของเขาสูงส่งและน่าครั่นคร้ามเกินไป เห็นธารดาราเป็นถนน แม้กระแสกาลเวลาไหลไป สรรพสิ่งแปรผัน เขาก็ยังห้อตะบึงเช่นเดิม!


นภากาศเวิ้งว้างกว้างใหญ่ กาลเวลาไม่อาจขัดขวางก้าวเดินของเขาได้ เขาคล้ายกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง และเหมือนกำลังต่อสู้ยกหนึ่ง ทุกที่มหาศัตรูมาเยือน แทบเหมือนคลุ้มคลั่ง


ภาพเดียวกันนี้ หลินสวินเคยเห็นตอนหยั่งรู้มรรคดับดารากลืนกินในเทศกาลโคมกถามรรค


เพียงแต่ไม่เหมือนกับคราวก่อน คราวนี้เขาเหมือนอยู่ในนั้น ได้เป็นประจักษ์พยานเห็นการโรมรันและเสาะแสวงตลอดทางของชายชราผู้นั้นด้วยตาตัวเอง!


ในจิตสำนึกของหลินสวินมีการสัมผัสรู้ยุ่งเหยิงวุ่นวายผุดขึ้นช้าๆ


ในสายตาของเขา ชายชราผู้นั้นเหมือนกลายเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง ม้วนตลบส่วนลึกของนภากาศ ทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน หมู่ดาราไม่รู้เท่าไรระเบิดแหลก แล้วจากนั้นก็ถูกดับสลายและกลืนกิน!


‘มรรคของเขาราวเหวลึก ยิ่งใหญ่กว้างไกล ว่างเปล่าเหลือคณา… สลายดาราในห้วงอากาศรอบกาย กลืนกินสรรพสิ่งแล้วหลอมเป็นตัวตน…’


หน้าอกของหลินสวินร้อนผ่าว แสงบริสุทธิ์พลุ่งพล่านเหนือชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด เหมือนกลายสภาพเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง


ใต้เหวลึกคล้ายมีเสียงอริยบุคคลท่องธรรมแว่วมาเป็นระลอก คล้ายเสียงสัทครรลองมหามรรคแห่งนิมิตมายา


หลินสวินสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าการควบคุมพลังมรรคดับดารากลืนกินของตนกำลังเพิ่มพูนด้วยความเร็วน่าตระหนก ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หยั่งรู้นัยมากขึ้น…


ผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น การหยั่งรู้เช่นนี้กลับหยุดลงอย่างกะทันหัน!


หืม?


หลินสวินลืมตาขึ้น ยังคิดอยากทำต่อ การหยั่งรู้มหามรรคถูกหยุดลงเช่นนี้ย่อมน่าหงุดหงิดอย่างไม่ต้องสงสัย


ทันใดนั้นเขาก็พบสาเหตุ เบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงที่เขานั่งลงไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่สีสันทั้งหมดหายไป แปรเปลี่ยนเป็นมอซอ หมองคล้ำหม่นแสง ไม่มีจิตวิญญาณอีกสักนิด


‘ใช้เบาะรองนั่งมหามรรคที่มีคุณภาพสูงสุดอันหนึ่งจนหมดไป ทำให้ข้าหยั่งรู้ระดับท่วงทำนองแห่งมรรคในมรรคดับดารากลืนกินราวเจ็ดแปดส่วน นี่เพิ่งผ่านไปเท่าไรเอง’


หลินสวินตะลึงพรึงเพริดในใจ


เขารู้ดีว่ามรรคดับดารากลืนกินซับซ้อนและลึกลับขนาดไหน แก่นอัศจรรย์ที่เก็บซ่อนอยู่ภายในสามารถใช้คำว่าไพศาลราวทะเลควันมาบรรยายได้อย่างสมบูรณ์!


ก่อนหน้านี้เขาทุ่มเทจิตใจและผ่านการเคี่ยวกรำมากมาย ถึงได้บรรลุระดับท่วงทำนองแห่งมรรคในมหามรรคนี้ ยังถือได้ว่าเป็นช่วงเริ่มต้น


แต่ตอนนี้เพียงแค่นั่งทำสมาธิหยั่งรู้บนเบาะรองนั่งสีม่วงเพียงครู่เดียว อีกแค่สามส่วนก็จะทำให้มหามรรคนี้บรรลุขั้นสมบูรณ์ของระดับท่วงทำนองแห่งมรรคแล้ว!


ความเร็วในการเพิ่มพูนเช่นนี้ดูน่าตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย


‘ก็ไม่รู้ว่าคุณประโยชน์ของเบาะรองนั่งสีทองนี้จะเป็นเช่นไรแล้ว…’ หลินสวินลุกขึ้น นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะรองนั่งมหามรรคสีทองที่อยู่ติดกันโดยไม่ลังเล


วิ้ง!


ทันใดนั้นกลิ่นอายของสัจจะมหามรรคที่คุ้นเคยสายนั้นก็ปกคลุมทั้งร่างอีกครั้งหนึ่ง


ครู่หนึ่งผ่านไปหลินสวินก็ลืมตาขึ้น ทั้งร่างมีกลิ่นอายคลื่นมหามรรครางเลือนที่น่าหวาดผวาไหวเคลื่อนออกมา


ท่วงทำนองแห่งมรรคขั้นสมบูรณ์!


หลินสวินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบนร่างตนและพยายามเก็บกลั้นความปรีดาในใจเอาไว้ เขาไม่เสียเวลาอีกแต่อย่างใด นั่งลงบนเบาะรองนั่งมหามรรคสีเงินที่อยู่ติดกันอีกครั้ง


ไม่นานนัก…


บรรลุ!


ระดับเจตจำนงแห่งมรรค!


เมื่อเบาะรองนั่งมหามรรคสีเงินสูญเสียจิตวิญญาณทั้งหมดไป หลินสวินก็สัมผัสได้เต็มที่ว่าความเข้าใจต่อมรรคดับดารากลืนกินของตนเกิดการแปรสภาพโดยสมบูรณ์ จากระดับท่วงทำนองแห่งมรรคเหยียบย่างเข้าสู่ระดับเจตจำนงแห่งมรรคในครั้งเดียว!


และตั้งแต่เริ่มจนจบ เพิ่งใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น…


หากถูกเซียวชิงเหอเห็นภาพนี้เข้าก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างแน่


เขาคงไม่คิดว่าพลังปราณมหามรรคของหลินสวินจะเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แต่จะคิดว่าช้าเกินไปแล้ว!


เพราะในอดีต ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่สามารถมาถึงบนแท่นมรรคได้ แค่อาศัยเบาะรองนั่งมหามรรคใบหนึ่งก็สามารถเพิ่มระดับให้กับมหามรรคที่ตนครอบครองสายหนึ่งได้หนึ่งระดับใหญ่


อีกทั้งคุณภาพของเบาะรองนั่งมหามรรคมรรคที่นั่งสูง การเพิ่มพูนระดับก็ยิ่งน่าตกใจ!


แต่หลินสวินเสียอีก หลังจากใช้เบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงที่มีคุณภาพสูงสุดกับเบาะรองนั่งมหามรรคที่เรียกได้ว่ามีคุณภาพสูงอีกสองใบ กลับเพียงทำให้มรรคดับดารากลืนกินเลื่อนขึ้นมาระดับหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วกลับดูผิดปกติ


ทว่าจากจุดนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า มรรคดับดารากลืนกินสลับซับซ้อนและเป็นปริศนาปานใด


ในฐานะเป็นมหามรรคที่ลี้ลับและแข็งแกร่งที่สุดสายหนึ่ง ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันคลุมเครือราวกับเป็นตำนาน ผู้ฝึกปราณที่ได้ครอบครองจึงมีน้อยนัก!


……


ในเวลาต่อมาหลินสวินก็ดำดิ่งลงไปในการแจ้งมรรคอันลึกลับ


ทุกครั้งที่เบาะรองนั่งมหามรรคใบหนึ่งถูกใช้จิตวิญญาณทั้งหมด เขาก็เคลื่อนตัวไปนั่งบนเบาะใบถัดไป ไม่ได้อ้อยอิ่ง


และในระหว่างนี้ หลินสวินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเข้าใจที่ตนมีต่อมรรคดับดารากลืนกินกำลังพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด และกำลังอยู่ในระดับเจตจำนงมรรค


แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าเทียบกับเบาะรองนั่งสีม่วงแล้ว พลังของเบาะรองนั่งมหามรรคใบอื่นเหล่านี้มีคุณภาพลดลง


นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เบาะรองนั่งมหามรรคที่อยู่บนแท่นมรรคเก้าใบแบ่งออกตามคุณภาพสูงต่ำ คุณภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งส่งเสริมการแจ้งมรรคได้มากขึ้นตามไปด้วย


ในทางกลับกัน คุณภาพยิ่งต่ำก็ยิ่งส่งเสริมได้น้อย


และก่อนหน้านี้เพราะกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไร หลินสวินจึงเริ่มหยั่งรู้จากเบาะรองนั่งมหามรรคที่มีคุณภาพสูงสุดก่อน


ดังนั้นในเวลาต่อมา แม้พลังปราณมหามรรคจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ช้าลงไม่น้อย


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังเรียกได้ว่าน่าตกใจดังเดิม


ตามที่หลินสวินประเมิน เพียงประสบการณ์แจ้งมรรคครั้งนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เขาประหยัดเวลาหยั่งรู้ไปราวห้าปี!


ประหยัดเวลาห้าปี ในอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่ารากฐานการหยั่งรู้มหามรรคตกตะกอนมากกว่าคนในรุ่นเดียวกัน!


ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่เพียงน่าตระหนกในหมู่ผู้คน แต่เรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงในโลกแล้ว!


ควรรู้ว่าในดินแดนรกร้างโบราณอันกว้างใหญ่ บุคคลระดับผู้กล้าที่บรรลุขอบเขตมกุฎเช่นเดียวกับหลินสวินไม่ได้มีน้อย ทั้งปีศาจไร้เทียมทานและบุตรเทพที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดบางส่วนก็มีไม่ขาด


สามารถประหยัดเวลาแจ้งมรรคในระดับเดียวกันได้มากขนาดนี้ ย่อมทำให้หลินสวินได้เปรียบไม่น้อยในสงครามมหายุคในภายภาคหน้า!


……


‘ทำไมถึงยังไม่ออกมานะ’


นอกหอสำแดงมรรค เซียวชิงเหอออกจะหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนหน้านี้ตอนฝ่าด่านที่หอลองกระบี่ หอเกลาจิต หอหลอมจิตวิญญาณและหอแจ้งสัจจะ ความเร็วในการทำลายสถิติของหลินสวินก็เร็วจนเหลือเชื่อเหมือนลมระลอกหนึ่ง


แต่คราวนี้เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ แล้ว กลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด นี่ทำให้เซียวชิงเหอมีสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้


‘เจ้าวิปริตคนนี้คราวนี้คงไม่ได้ล้มเหลวจริงๆ ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนี้จริง แกนวิญญาณขั้นสูงห้าหมื่นชิ้นก็เท่ากับโยนทิ้งไปเปล่าๆ แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ อยู่ต่อหน้าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ เขาก็ทำได้เพียงหยุดลงเท่านี้แล้ว…’ เซียวชิงเหอลอบพึมพำ


นึกไปแล้วก็จริง คราอวิ๋นชิ่งไป๋ขึ้นหอสำแดงมรรค ได้รับเบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงที่มีคุณภาพดีที่สุดไป สถิติเช่นนี้เรียกได้ว่าสูงสุดแล้ว มีหรือจะถูกทำลายลงได้


‘แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเจ้าวิปริตผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างเหลือล้นไปทุกด้าน หาไม่แล้วต้องทำข้าสะเทือนใจตายแน่’


เซียวชิงเหอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาไม่น้อยในทันใด


ก่อนหน้านี้ได้เห็นวีรกรรมที่เรียกได้ว่าวิปริตของหลินสวินครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนในขอบเขตมกุฎที่หยิ่งทระนงหาใดเทียบอย่างเซียวชิงเหอถูกกระทบกระเทือนจิตใจ


แต่ตอนนี้เมื่อสังหรณ์ว่ามีเป็นไปได้สูงมากที่หลินสวินจะคว้าน้ำเหลว ก็ทำให้เขาถอนใจโล่งอกได้จริงๆ


เขาถึงกับคิดไว้เรียบร้อยว่ารอเมื่อหลินสวินล้มเหลวกลับมา จะไปปลอบประโลมจิตใจอีกฝ่ายอย่างไร อาจจะสามารถชนะใจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีด้วยได้บ้าง แล้วให้อีกฝ่ายออกตัวเล่าเรื่องที่ตนอยากรู้บางเรื่อง


เช่นฐานะ ที่มาที่ไป เป็นต้น


หืม?


ตอนเซียวชิงเหอกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าในห้วงอากาศไกลออกไปมีเสียงทะลวงอากาศราวกระแสน้ำระลอกหนึ่งดังขึ้น


เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นแสงกระบี่งดงามหาใดเทียมแสงแล้วแสงเล่าเคลื่อนผ่านอากาศมาทางนี้ราวรุ้งเทพ มากมายมืดฟ้ามัวดิน


แต่ละคนล้วนเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่สวมชุดสีดำสนิท เท้าเหยียบลงบนแสงกระบี่ มีทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กทั้งแก่ แต่ละคนต่างโดดเด่นเหนือธรรมดา ในสายตาของคนทั่วไปในโลก นี่ประหนึ่งผู้คนบนสวรรค์ เหมือนดั่งเซียนกระบี่กลุ่มหนึ่ง!


‘บ้าเอ๊ย สุดท้ายความยุ่งยากก็มาจนได้!’ เซียวชิงเหอลอบด่าทอในใจ


ตั้งแต่ตอนอยู่ในเมืองนภาม่วง เขาก็เดาได้ว่า ‘วีรกรรม’ ที่หลินสวินทำจะต้องดึงดูดคลื่นลูกมหึมาแน่ เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงว่าความยุ่งยากจะมาไวเช่นนี้


นครหยกขาวแห่งนี้เป็นถึงอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า!


หลินสวินทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยสร้างไว้แต่ละที่อย่างต่อเนื่อง นี่จะต้องก่อให้เกิดการโต้กลับอย่างรุนแรงจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าแน่


ภาพตรงหน้านี้ได้พิสูจน์เรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


ชั่วครู่เดียวเซียวชิงเหอก็สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทั้งอยากชักตัวถอยหนี ด้วยแม้เขาจะหยิ่งทระนงภาคภูมิ มีพลังเป็นที่พึ่ง แต่ก็ไม่อยากถูกดึงเข้าไปในคลื่นลมครั้งนี้ด้วย


อีกทั้งเขากล้าแน่ใจด้วยว่า ด้วยนิสัยใจคอราวกระบี่ สังหารอย่างดุดันของผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้น ทันทีที่เห็นหลินสวินจะต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!


แต่สุดท้ายเซียวชิงหเหอก็อดทนไว้ไม่ได้หนีไป


ด้านหนึ่งเพราะสงสัยฐานะที่มาที่ไปของหลินสวินถึงที่สุด อีกด้านหนึ่งก็เพราะหลังจากเห็นการแสดงความสามารถของหลินสวินแต่ละอย่างแล้ว เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสสร้างมิตรภาพอีกขั้นหนึ่งครั้งนี้ไป


สวบๆๆ!


แสงกระบี่แสงแล้วแสงเล่าคำรามออกมา พลันลงมาถึงหน้าหอสำแดงมรรค เงาร่างไหววูบ อย่างน้อยก็มีมากกว่าร้อยคน


ชั่วขณะเดียว หน้าหอสำแดงมรรคที่เงียบเชียบและรกร้างแห่งนี้ก็กลายเป็นคึกคักขึ้นไม่น้อย


“เด็กนี่ออกจากหอแจ้งสัจจะไปเมื่อหนึ่งก้านธูปก่อน ไม่เหนือความคาดหมาย ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในหอสำแดงมรรค!”


มีคนเอ่ยปากเสียงขรึม


“หึ ไอ้เด็กนี่มันกำเริบเสิบสานเสียจริง คิดว่าทำลายสถิติที่ศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นในตอนนั้นบางอัน ก็สามารถวางก้ามที่หอสำแดงมรรคแห่งนี้ต่อได้หรือ”


มีคนไม่ยินยอมถึงที่สุด สีหน้าขัดเคือง


“ข้าล่ะอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเจ้าเด็กนี่มันเป็นอริยเทพจากที่ใดกัน!”


มีคนเอ่ยปากแฝงความเป็นอริ


“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านโปรดระงับโทสะ ระหว่างยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเด็กนี่แน่ชัดก็อย่าใช้อารมณ์จัดการเรื่องราวไปก่อน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ผู้ร่วมมรรคอื่นๆ หัวเราะเยาะว่าพวกเราสำนักกระบี่เทียมฟ้าใจกว้างไม่เป็น”


ในที่สุดบุรุษผอมแห้งหนวดเคราเผ้าผมราวน้ำหมึก ดวงตาเย็นชาราวกระบี่ที่นำหน้ามาก็เอ่ยเสียงขรึม กำราบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่นอกหอไว้ได้


และต่อมา เขาก็กวาดสายตามองไปยังร่างโดดเดี่ยวของเซียวชิงเหอที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของหอสำแดงมรรค

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)