Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1013-1016

ตอนที่ 1013 ฝ่าหอลองกระบี่

 

หอลองกระบี่สูงพันจั้ง ทั้งหอแบ่งออกเป็นเก้าชั้น


หนึ่งชั้นมีหนึ่งด่าน สิ่งที่ทดสอบคือพลังต่อสู้ของผู้ฝึกปราณ พลังต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งก็จะยิ่งผ่านด่านเร็วยิ่งขึ้น


ในทางกลับกันก็เช่นกัน


โดยทั่วไปแล้ว จะผ่านการทดสอบสามด่านแรกได้ต้องมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ


จะผ่านการทดสอบด่านที่สี่ถึงหกได้ต้องมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ


จะผ่านการทดสอบด่านที่เจ็ดถึงเก้าได้ต้องมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ


ทว่า ดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงแล้วการทดสอบทุกด่านต่างเข้มงวดและอันตรายถึงที่สุด หากไม่ใช่ผู้โดดเด่นเป็นพิเศษในแต่ละระดับ ยากนักที่จะผ่านด่านอย่างราบรื่น


อย่างชั้นเก้า ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันก็มีเพียงผู้มีระดับกระบวนแปรจุติหลักสิบที่ฝ่าด่านได้สำเร็จ!


เพราะชั้นนี้วิปริตยิ่งนัก ต่อให้เป็นบุคคลชั้นยอดในระดับกระบวนแปรจุติ แปดถึงเก้าส่วนล้วนฝ่าไปไม่ได้


และที่สามารถฝ่าไปได้ กลับไม่มีใครไม่เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่หาได้ยากยิ่งในระดับกระบวนแปรจุติ!


ประมาณสิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋อาศัยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ภายในเวลาเพียงหนึ่งเค่อก็พุ่งขึ้นไปถึงชั้นเก้าของหอลองกระบี่ แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ของเขาน่าหวาดหวั่นเพียงไหน


และสถิติที่เขาสร้างขึ้นนี้ ก็กลายเป็นสถิติอันดับหนึ่งของหอลองกระบี่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครทำลายได้!


หน้าหอลองกระบี่ ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์มากมายต่างรอคอย


แต่เป้าหมายของพวกเขาต่างจากหลินสวิน ขอเพียงสามารถผ่านด่านชั้นหกภายในเวลาหนึ่งก้านธูปพวกเขาก็พอใจแล้ว


เพราะทำได้ถึงขั้นนี้ ก็จะกลายเป็นศิษย์สืบทอดผู้หนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ


ทว่าก็มีข้อยกเว้น


เช่นตอนนี้ มีชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งถูกรั้งไว้ข้างนอก


“ทำไมถึงรั้งข้าไว้” ชายหนุ่มชุดดำนิ่วหน้า คิ้วของเขาราวดาบ ตัวเขาเหมือนทวนยาวที่สามารถแทงทะลุเวิ้งฟ้าเล่มหนึ่ง เผยคมออกมาจนหมดสิ้น อานุภาพน่าหวาดหวั่น


“สหายน้อย เจ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติแล้ว เหมือนจะไม่ต้องมาฝ่าด่านแล้ว” หน้าหอลองกระบี่ ชายชราที่เฝ้าที่นี่เอ่ยปากเนิบนาบ


ชายหนุ่มชุดดำแสยะยิ้มออกมา พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ได้มากราบอาจารย์ขอเป็นศิษย์ แต่อยากมาลองดูว่าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋นั่นไม่อาจถูกทำลายได้ตามที่ลือกันจริงหรือไม่!”


เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ทั้งหอลองกระบี่ก็ฮือฮา


สายตามากมายนับไม่ถ้วนพากันมองมาที่ชายหนุ่มชุดดำเป็นตาเดียว เจือไปด้วยความฉงนและทำใจเชื่อได้ยาก เจ้าหมอนี่บ้าระห่ำเกินไปแล้ว ถึงกับมาเพื่อทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋!


“หึ! ไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ หลายปีนี้ไม่รู้ว่ามีพวกที่อวดตัวว่าเป็นผู้กล้าเหนือโลกาตั้งเท่าไรมาฝ่าด่าน แต่สุดท้ายต่างล้มเหลวกลับไป จากไปอย่างหมองมัว”


มีคนหัวเราะหยัน


“คนสมัยนี้เพ้อเจ้อเสียจริง อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นยักษ์ใหญ่ขอบเขตมกุฎผู้เป็นที่หนึ่งของนครหยกขาวของพวกเรา ดุจดั่งตำนานที่ไม่อาจเอาชนะได้ ใครก็มาท้าทายส่งเดชได้หรือ”


มีคนดูแคลน


“สหายผู้นี้ ข้าขอเตือนให้เจ้าอ่อนน้อมถ่อมตัวลงหน่อย ระวังปากระวังคำอย่าคุยโวเกินไป ถ้าสุดท้ายตกอยู่ในสถานการณ์น่าอับอาย เช่นนั้นก็คงขายหน้าเสียแล้ว”


มีคนพูดอย่างกำกวม


ตูม!


ถูกคนนับพันตำหนิติเตียน กลับเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำพลันส่งเสียงหึหยัน อานุภาพน่าครั่นคร้ามและเปิดเผยแผ่กระจายออกมาทันที


ชั่วพริบตาตัวเขาดุจแปลงกายเป็นเทพองค์หนึ่ง อานุภาพทะลุฟ้า พาให้เสียงเซ็งแซ่ในที่นั้นถูกกดทับในทันใด


หลายคนหน้าซีดเผือด ตระหนกจนสั่นเทาไปทั้งตัว จิตวิญญาณหวาดผวา ในสถานที่ใหญ่ปานนั้นกลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงอีก


“สวะกลุ่มหนึ่งอย่างพวกเจ้าก็คู่ควรมาวิจารณ์ข้าเซียวชิงเหอด้วยหรือ ถ้ากล้าพูดมากอีก จะปลิดชีพพวกเจ้าเรียงตัวเลย!” แขนเสื้อชายหนุ่มชุดดำเซียวชิงเหอโบกกระพือ ในดวงตาเต็มไปด้วยรังสีเยียบเย็นแสบตา


พูดจบเขาก็เดินไปที่กลางหอลองกระบี่


‘เจ้าหมอนี่ก็เป็นพวกร้ายกาจที่เหยียบย่างเข้าไปในขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งเช่นกันหรือนี่’ หลินสวินออกจะประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะมองเซียวชิงเหอผู้นั้นอีก


“ข้านึกออกแล้ว เขาเป็นศิษย์น้องของหมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา หนึ่งในผู้สืบทอดแกนหลักทั้งเก้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา!”


ทันใดนั้นก็มีคนร้องตะโกนขึ้น


“ที่แท้ก็เป็นเขา มิน่าถึงได้กล้าแข็งกร้าวปานนี้”


คนอื่นๆ ก็พากันมีตอบสนองอย่างต่อเนื่อง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนระดับเซียวชิงเหอ ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปวิจารณ์ได้จริงๆ


“หึ แต่ว่าต่อให้เป็นคนอย่างเขา เกรงว่าคิดจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยากนัก!” ทั้งมีคนไม่น้อยไม่สบอารมณ์ รอดูเซียวชิงเหอกลายเป็นตัวตลก


“ข้าจำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ศิษย์แกนหลักที่มาจากสำนักเอกอุผู้หนึ่งนามว่า ‘หลู่จงหยาง’ ก็เอ็ดตะโรว่าอยากจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ แต่สุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า ไม่ใช่คว้าน้ำเหลวกลับไปแล้วหรือ”


“ต่อให้เซียวชิงเหอแข็งแกร่ง ก็เกรงว่าจะพลังพอๆ กับหลู่จงหยางเท่านั้น รอดูเถอะ เขาต้องพลาดท่าเช่นกันแน่!”


หลินสวินกำลังสังเกตการณ์อยู่ ไม่ได้ใส่ใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่ใกล้เคียง


วิ้ง!


ไม่นานนักเซียวชิงเหอก็เริ่มฝ่าด่านแล้ว สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าในชั้นหนึ่งของหอลองกระบี่มีลวดลายกระบวนวิญญาณกระบวนหนึ่งสว่างขึ้น


แต่ไม่นานนักก็ดับไป พร้อมกันนั้นลวดลายกระบวนวิญญาณอีกกระบวนก็สว่างขึ้นในชั้นที่สอง


นี่หมายความว่าเซียวชิงเหอเริ่มฝ่าด่านที่สองแล้ว


แทบจะผ่านไปเพียงสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น เขาก็เหยียบย่างลงบนชั้นหกของหอลองกระบี่แล้ว ความเร็วนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยอดตกใจไม่ได้


“ตอนนั้นหลู่จงหยางเร็วขนาดนี้ไหม”


“เหมือนจะไม่นะ…”


ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง กลั้นลมหายใจจดจ่อ


เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าสำหรับเซียวชิงเหอแล้ว หกชั้นแรกอาจจะไม่ถือว่ายากอะไร แต่ตั้งแต่ชั้นที่เจ็ดเป็นต้นไปก็จะไม่เหมือนเดิม!


ดังคาด ตอนฝ่าชั้นที่เจ็ดเซียวชิงเหอใช้เวลานานขึ้น


และตอนฝ่าชั้นที่แปด เซียวชิงเหอกลับใช้เวลาไปถึงหนึ่งในสามเค่อถึงผ่านด่าน


“เจ้าหมอนี่ใช้เวลารวมครึ่งเค่อพุ่งไปถึงชั้นที่เก้าแล้วหรือ” หลายคนทอดถอนใจ


มองจากภายนอกอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผู้ฝึกปราณที่เข้าใจอานุภาพของด่านในหอลองกระบี่อย่างแท้จริงกลับรู้ดีว่า ที่เซียวชิงเหอทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงถึงที่สุดแล้ว!


คราวนี้ขนาดผู้ฝึกปราณที่เหน็บแนมและรอดูเรื่องตลกเหล่านั้นก็พากันหุบปาก


เซียวชิงเหอสามารถฝ่าเข้าสู่ชั้นที่เก้าภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ก็เพียงพอพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่ชั้นที่เก้าก็อาจสร้างความลำบากให้เขาไม่ได้


ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวอาจจะเป็นเรื่องความเร็วช้าที่จะผ่านการทดสอบชั้นที่เก้า


ที่น่าเสียดายก็คือ สุดท้ายเซียวชิงเหอก็ไม่สามารถทำลายสถิติของอวิ๋นชิงไป๋ได้ ตอนเขาฝ่าผ่านด่านที่เก้า เวลาก็เกินหนึ่งเค่อไปมากแล้ว


นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนอดใจไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก คล้ายว่าใครๆ ก็ไม่ต้องการเห็นสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ถูกทำลายลง


แต่เมื่อเงาร่างของเซียวชิงเหอเดินออกมาจากในหอลองกระบี่ กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเย้ยเลยสักคน


กลับกัน สายตาที่พวกเขามองไปต่างเจือความนับถือ


ต่อให้เทียบกับอวิ๋นชิงไป๋ไม่ได้ แต่สามารถฝ่าผ่านชั้นที่เก้าภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เรื่องนี้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของหอลองกระบี่ก็เรียกได้ว่าพบเห็นได้ยากแล้ว


บุคคลแห่งยุคเช่นนี้ ควรค่าให้พวกเขานับถือ


เพียงแต่สีหน้าเซียวชิงเหอกลับดูอึมครึมนัก ท่าทางไม่ยินยอมและผิดหวัง ปากพึมพำกับตัวเองว่า “ขนาดอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนข้ายังสู้ไม่ได้หรือ…”


หลายคนลอบถอนหายใจ เทียบกับใครไม่เทียบ ดันจะเทียบกับยักษ์ใหญ่ในตำนานอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ นี่เทียบกันได้ง่ายๆ หรือ


ทอดสายตามองไปยังเหล่าผู้กล้าในปัจจุบัน ใครไปเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ เกรงว่าจะเหมือนเอาตัวไปโขกกำแพง!


“หือ พ่อหนุ่ม เจ้าจะไปทำอะไรอีกน่ะ” ก็ในตอนนี้เอง ชายชราที่เฝ้าหอลองกระบี่นิ่วหน้าเอ่ยปาก


ทุกคนนิ่งอึ้ง พอมองไปก็เห็นเด็กหนุ่มที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติอีกคนหนึ่งหมายจะไปที่หอลองกระบี่ จึงออกจะตื่นตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้


เจ้าหมอนี่คงไม่ได้มาทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วยกระมัง


คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินสวิน เมื่อถูกถามเขาก็เอ่ยตอบว่า “ฝ่าด่าน จะถือโอกาสดูเสียหน่อยว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นมีความสามารถมากมายปานไหนกันแน่”


ทุกคนฮือฮา แม้พวกเขาจะเดาได้ แต่ยังทำให้พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง วันนี้มันเป็นอย่างไรกัน ประเดี๋ยวเดียวก็มีคนสองคนแจ้นมาบอกว่าจะท้าทายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้


เจ้าหมอนี่เป็นใครอีก รู้ดีว่าขนาดเซียวชิงเหอยังล้มเหลวแล้ว ยังยืนกรานไปฝ่าด่าน นี่คือเตรียมตัวมาแล้วหรือดื้อดึงไม่ฟังชาวบ้านกันแน่


เดิมทีเซียวชิงเหอคิดจะจากไป แต่เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้เข้าก็อดหยุดเดินไม่ได้ เงยหน้ามองไปที่หลินสวิน ในดวงตาเจือไปด้วยความแคลงใจ


“ขอถามหน่อยว่าสหายมาจากสำนักใดกัน” เขาอดไม่ได้เอ่ยถาม


“ไร้สำนักไร้พรรค” หลินสวินกล่าว


สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดไปในทันที มีคนอดไม่ได้พูดเหน็บแนมว่า “พี่ชาย เจ้ามาเล่นตลกหรือ ทำเช่นนี้ไม่ประมาณตนเกินไปแล้วกระมัง”


ผู้อื่นต่างแย้มยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยแววหยอกล้อ เด็กหนุ่มที่ไร้สำนักไร้พรรคผู้หนึ่ง กลับกล้ามาท้าทายสถิติที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของหอลองกระยี่ นี่ช่างไร้เหตุผลเกินไปแล้ว


ในสายตาของพวกเขา ไร้สำนักไร้พรรค ก็หมายความว่าไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาและรากฐาน ย่อมเป็นบุคคลชั้นยอดไม่ได้แน่


มีเพียงเซียวชิงเหอที่ในใจกระเพื่อมไหว สายตาที่มองไปยังหลินสวินเจือไปด้วยแววใคร่ครวญ


“ไปเถอะๆ หวังว่าเจ้าจะไม่หลงผิด รีบถอยหลังเมื่อรู้ว่ายากทำได้ หาไม่แล้วจะขายหน้ายกใหญ่” ชายชราที่เฝ้าหอลองกระบี่พูดพลางโบกมือ แม้ไม่ถือหางหลินสวินแต่ก็รั้งตัวไว้ไม่ได้ นี่เป็นกฎ


“ขอบคุณมาก” หลินสวินพูดพลางเดินเข้าไปในหอลองกระบี่


วิ้ง!


ชั่วพริบตา ประหนึ่งเข้าไปในห้วงเวลาอีกห้วงหนึ่ง ทุกอย่างเป็นสีขาวเวิ้งว้าง ในอากาศถาโถมไปด้วยกลิ่นอายผนึกกระบวนวิญญาณ


สวบ!


เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น มือถือกระบี่วิญญาณ กลิ่นอายครัดเคร่ง แผ่จิตสังหารไพศาลไร้เทียมทานออกมา


นี่ก็คือ ‘นักรบกระบี่’ ที่ควบคุมด่านนี้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ แต่เป็นการรวมตัวจากภาพมายาคลื่นผนึกคลุมเครือ


ทว่าพลังต่อสู้ไม่อาจดูแคลนได้ อีกทั้งพลังต่อสู้ของนักรบกระบี่ในแต่ละชั้นก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง


“ฆ่า!” ทันทีที่ปรากฏตัว นักรบกระบี่ก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว


หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ เสียงโครมดังขึ้นครั้งหนึ่ง นักรบกระบี่ผู้นั้นก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด ร่างกายแปรสภาพเป็นละอองแสงเต็มฟ้าฟุ้งกระจายหายไป


วิ้ง!


เงาร่างหลินสวินหายตัวไป เคลื่อนมาถึงชั้นที่สอง


ในขณะเดียวกันมีนักรบกระบี่ผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น พลังไม่ด้อยกว่ากำลังคนชั้นยอดในระดับจิตผสานวิญญาณแล้ว


แต่สำหรับหลินสวิน สิ่งนี้มีความสามารถน้อยนิด เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นนักรบกระบี่ผู้นี้ก็ถูกหลินสวินสังหารด้วยการสะบัดแขนเสื้อ


ในเวลาต่อมาหลินสวินก็พุ่งไปถึงชั้นที่หกของหอลองกระบี่ด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ…


“เจ้าหมอนี่ว่องไวจริง” นอกหอลองกระบี่ หลายคนต่างเอ่ยปากอย่างตื่นตะลึง


พวกเขาสังเกตได้อย่างฉับไวว่าความเร็วที่หลินสวินฝ่าหกชั้นแรกคราวนี้ เหมือนจะเร็วกว่าเซียวชิงเหอเมื่อกี้เล็กน้อย


ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าดวงตาของเซียวชิงเหอฉายแววประหลาดยากจับได้


เขาเห็นอย่างชัดเจน ทั้งตัดสินออกมาอย่างแม่นยำ ว่ายามหลินสวินฝ่าหกด่านแรก เร็วกว่าเขาเล็กน้อยจริงๆ


แน่นอนว่าเพียงแค่เล็กน้อย ต่างกันราวชั่วกะพริบตาเท่านั้น ยังไม่ถึงกับทำให้เซียวชิงเหอตื่นตะลึง

 

 

 


ตอนที่ 1014 ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก

 

แม้ไม่ใส่ใจ แต่สีหน้าเซียวชิงเหอก็จริงจังไม่น้อย


ตั้งแต่ชั้นที่เจ็ดเป็นต้นไป ถึงจะเป็นช่วงเวลาทดสอบพลังของผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติอย่างแท้จริง


ด้วยการสังเกตการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ เขาพบว่าแม้หลินสวินเป็นคนแปลกหน้า แต่กลิ่นอายรอบกายกลับไม่ธรรมดานัก ทำให้เขาไม่อาจมองทะลุตื้นลึกหนาบางได้ในปราดเดียว


เช่นเดียวกับเซียวชิงเหอ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็จับตามองเช่นกัน


ชั้นที่เจ็ด


คลื่นผนึกถาโถมควบรวมเป็นเงาร่างนักรบกระบี่เงาหนึ่ง กลิ่นอายทรงพลังถึงที่สุด น่ากลัวกว่าผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ทั่วไป


ขั้นสุดยอด!


หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออก ในเวลาเดียวกันนี้เขาไม่ได้หยุดนิ่ง ก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ชือน้ำแข็งสีขาวโพลนตัวหนึ่งก็ชูคอเคลื่อนออกไป


เผียะ!


นักรบกระบี่กระโจนมาได้ครึ่งทาง ร่างก็ถูกชือน้ำแข็งตวัดหางกระแทกอย่างรุนแรง แปรสภาพยเป็นละอองแสงฟุ้งกระจาย


ในขณะเดียวกันเสียงสูดหายใจหนาวเยือกก็ดังขึ้นที่โลกภายนอก


“สวรรค์!”


“ฝ่าผ่านชั้นที่เจ็ดเช่นนี้หรือ รวดเร็วจริง!”


นัยน์ตาเซียวชิงเหอหรี่ลงเล็กน้อย พึมพำว่า “น่าสนใจ…”


ชายชราผู้เฝ้าหอลองกระบี่แห่งนี้ก็อึ้งไป ท่าทีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย


ชั้นที่แปด


ตูม!


เงาร่างของนักรบกระบี่ที่กลิ่นอายเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าชั้นยอดเคลื่อนออกมา ความแกร่งกล้าของอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งระดับหลี่ชิงฮวน ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์แล้ว


แต่หลินสวินไม่แม้แต่มอง ยื่นมือขวาออกไป


ซ่า!


ธารดาราเปลวเพลิงสายหนึ่งแผ่ออกมา เกิดเป็นอานุภาพน่าหวาดหวั่นที่สามารถเผาฟ้าทลายดินได้


ระหว่าง ‘ออกเดินทาง’ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หลินสวินบรรลุ ‘แก่นมรรค’ ของพลังมหามรรคธาตุไฟที่ตนครอบครองอยู่ก่อนแล้ว


และตอนนี้ทันทีที่สำแดงวิชาลับชั้นยอดวิชานี้ ในพริบตาก็เหมือนกำลังหลอมละลายท้องนภาที่แท้จริง ดวงดาราดวงแล้วดวงเล่าแผดเผาระเบิดออกภายในนั้น กลายเป็นปรากฏการณ์ประหลาดน่าตื่นตระหนก


และในชั่วพริบตานั้นเช่นกัน นักรบกระบี่ผู้นี้ก็ถูกเผาวอดวาย


“ตั้งแต่เริ่มจนจบใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ก็ไม่รู้ว่าชั้นที่เก้านั่นจะเป็นการทดสอบระดับไหนกัน…” หลินสวินสูดหายใจลึกๆ ครู่ต่อมาเงาร่างก็หายไปจากชั้นที่แปด


ในขณะเดียวกัน โลกภายนอกก็อึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์แล้ว


“บ้าเอ๊ย! ร้ายกาจนัก เพียงชั่วพริบตาก็ฝ่าด่านไปได้อีกแล้ว!”


มีคนร้องตะโกนเสียงหลง


“หรือเจ้าหมอนั่นก็เป็นบุคคลวิปริตที่เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาผู้หนึ่ง”


มีคนพึมพำเสียงสั่นเครือ


ทั้งยังมีคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น ใบหน้าชาร้อน ก่อนหน้านี้พวกเขาดูแคลนนัก เคยสบประมาทและเย้ยหยันหลินสวิน คิดว่าเขาไม่ประเมินพลังตัวเอง ต้องอับอายขายหน้าแน่


แต่ตอนนี้ความจริงกลับพลิกพลันอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เหมือนถูกตบปากฉาดใหญ่อย่างไร้เสียง


“คนผู้นี้เป็นใครกัน หรือจะเป็นหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่ขอบเขตมกุฎของแดนชัยบูรพา ไม่สิ เขาไม่น่าจะเย้ยฟ้าได้ปานนั้น ในหมู่สิบยักษ์ใหญ่ไม่มีคนเช่นนี้อยู่!”


“หรือว่าเขาจะเป็นพวกร้ายกาจบน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ เพียงแต่ในหมู่ยอดมกุฎสามสิบหกคนในปัจจุบัน เหมือนจะไม่มีคนที่มีคุณสมบัติไปในทางเดียวกับคนผู้นี้เลย”


“หรือว่า… เขาอยู่เหนือยอดมกุฎ… เป็นไปไม่ได้! คนพวกนั้นแต่ละคนล้วนสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเดียวกันได้ ด้วยฐานะของพวกเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาปรากฏตัวที่นี่!”


คราวนี้ซูชิงเหอไหวหวั่นแล้ว ชั่วพริบตา สายตาก็มีรังสีอสนีสาดซัด ในใจไม่สงบนัก


ก่อนหน้านี้ยามเขาฝ่าด่านที่แปด แม้จะสบายมาก แต่ก็ใช้ความสามารถระดับหนึ่ง จึงชักช้าไปบ้าง


เมื่อเทียบกันแล้ว ความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมาดูสะดุดตาอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย!


แม้ตอนเริ่มจะต่างกันเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์กลับห่างกันไกล


เวลาที่ใช้ฝ่าชั้นที่แปดเหมือนจะต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างในนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจเพิกเฉยได้


‘ไม่ว่าเขาเป็นใคร ก็ต้องดูว่าเขาจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่วไป๋ในตอนนั้นได้หรือไม่แล้ว’ เซียวชิงเหอสูดลมหายใจลึก ในส่วนลึกของจิตใจ เขาทั้งตั้งตาคอนและต่อต้าน


สำหรับผู้กล้ารุ่นเยาว์ในโลกแล้ว อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เหมือนเงามืดชั้นหนึ่งที่กดทับเหนือเวิ้งฟ้า ความรู้สึกที่มีชีวิตอยู่ใต้เงามืดแค่คิดก็รู้ว่าน่าอึดอัดแค่ไหน


ถ้ามีคนสามารถทำลายสถิติที่เขาสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อนได้ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่า ตำนานของอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นสิ่งที่ถูกทำลายลงได้!


แน่นอนว่าเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อน…


แต่ในขณะเดียวกัน เซียวชิงเหอกลับไม่หวังให้สถิตินี้ถูกหลินสวินทำลายลง เหมือนกับถ้าเป็นเช่นนี้จะต้องก้มหัวลงต่อหน้าหลินสวิน


ความรู้สึกเช่นนี้ชอบกลนัก ทั้งยังย้อนแย้งมาก


ในเวลานั้นคนอื่นๆ ก็จ้องเขม็งไปยังชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่ จิตใจจดจ่อจนลืมหายใจ ดวงตาไม่กะพริบแม้สักครั้ง


ไม่เหมือนกันเซียวชิงเหอ พวกเขาส่วนใหญ่ต่างเคารพนับถืออวิ๋นชิ่งไป๋ยิ่งนัก ดังนั้นในใจจึงไม่ต้องการให้สถิตินี้ถูกผู้อื่นทำลายลง!


……


ชั้นที่เก้า


หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดันในที่สุด


นักรบกระบี่ฝั่งตรงข้ามมีคลื่นจิตมรรคตลบอบอวลทั้งร่าง พลานุภาพราวดวงตะวันแรงกล้าบนเวิ้งนภา รังสีเปล่งประกาย เขายืนถือกระบี่ ดั่งมหาบรรพตที่ไม่อาจสั่นคลอน


ผู้ฝึกปราณทั่วไปเมื่อเห็นดังนี้ เกรงว่ายังไม่ทันลงมือจิตวิญญาณก็ถูกทำให้หวาดผวา สูญเสียเจตจำนงต่อสู้


เขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


สำหรับหลินสวิน กลิ่นอายของนักรบกระบี่ผู้นี้ เทียบเท่ากับบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างซุ่นไป๋เซวียน อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา


อวี่หลิงคงเคยถูกเขากำราบไปครั้งหนึ่ง ซุ่นไป๋เซวียนก็เคยเพลี่ยงพล้ำให้แก่เขาไปหนึ่งครั้ง แม้ไม่เคยประมือกับจี้ซิงเหยา แต่หลินสวินรู้ดีว่า แม้หญิงผู้นี้แข็งแกร่งกว่าสองคนนี้ ก็ไม่อาจเอาชนะตนได้!


นับประสาอะไรกับหลินสวินในตอนนี้ที่ไม่เหมือนแต่ก่อนนานแล้ว


เขาบรรลุระดับกระบวนแปรจุติขั้นปลาย พลังต่อสู้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้ยามได้เผชิญหน้ากับนักรบกระบี่ผู้นี้ แม้จะรู้สึกกดดันแต่กลับไม่มีทางข่มขวัญเขาได้


ชิ้ง!


พูดแล้วเหมือนช้าแต่ทุกอย่างรวดเร็วนัก นักรบกระบี่ยกกระบี่ขึ้นฟันลงมา


ชั่วพริบตาเหมือนอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงมาจากเหนือเก้าชั้นฟ้า ดุดันและอหังการ มีท่วงท่าสังหารจักรวาล


ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ออกโจมตี มือกำหมัด พลังหมัดราวถล่มฟ้าสะเทือนดินพุ่งซัดออกมา ห้วงอากาศใกล้เคียงพลันยุบลงไปอย่างอึกทึกครึกโครม


ผนึกของหอลองกระบี่แห่งนี้พิเศษยิ่ง ยามฝ่าด่านไม่สามารถยืมพลังจากสิ่งของภายนอก ทำได้เพียงอาศัยพลังที่แท้จริงภายในกายเข้าต่อสู้


หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋คงถูกทำลายไปนานแล้ว อย่างไรเสียบนโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่หลินสวินเท่านั้นที่ครอบครองสมบัติอริยะ


ปึงๆๆ!


การต่อสู้ปะทุขึ้น เจตกระบี่กับพลังหมัดเข้าปะทะ เกิดเป็นคลื่นน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกมา


นี่ยังโชคดีที่ในหอลองกระบี่แห่งนี้มีพลังผนึกป้องกันไว้ หากอยู่ในโลกภายนอก ผลลัพธ์นั้นย่อมไม่อาจคาดคิดได้


สวบ!


ปราณกระบี่แน่นขนัดเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว ปราณกระบี่ทุกสายล้วนดุดันและเปล่งประกายหาใดเทียบ พุ่งมาเยือนนับหมื่นนับพัน เพียงแค่ทัศนียภาพเช่นนี้ก็ทำให้ผู้อื่นหมดหวังได้


นี่เป็นถึงวิชากระบี่ชั้นยอดวิชาหนึ่ง!


หลินสวินก็อดประหลาดใจไม่ได้ พลังผนึกของหอลองกระบี่แห่งนี้อัศจรรย์ดังคาด นักรบกระบี่ผู้นั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่กลับสามารถใช้วิชามรรค นี่ก็น่าตื่นตระลึงนัก


แต่น่าเสียดาย ยังไม่เท่าไรเหมือนเดิม!


หลินสวินยื่นมือออกไป รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวอ่อนห้าสายเปล่งประกายเคลื่อนผ่านอากาศ พัดกวาดอยู่ในห้วงอากาศ ห่ากระบี่เต็มฟ้าระเบิดแหลกโครมคราม


ในขณะเดียวกันผมสีดำของเขาก็ปลิวสยาย ก้าวย่างออกมาแล้วพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า


โครม!


ภายใต้การโจมตีของประทับปี้อั้นที่แฝงพลังแก่นมรรคแห่งธาตุน้ำ นักรบกระบี่ผู้นั้นก็ระเบิดออกดังลั่น


‘จบลงเท่านี้หรือ’ หลินสวินเลิกคิ้ว


กระทั่งตอนนี้ยังแลกกระบวนท่าไม่กี่ครั้งเท่านั้น ยังใช้พลังในกายเขาไปไม่ถึงห้าส่วน


ไม่ใช่!


ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินก็หดรัดลง มองเห็นว่ามีผนึกปรากฏขึ้น รวมตัวเป็นเงาร่างนักรบกระบี่ผู้นั้นอีกครั้งเสียอย่างนั้น


เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ พลังของนักรบกระบี่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!


‘คลื่นมหามรรคขั้นแก่นมรรค…’ นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้ไม่ง่ายดายดังคาด!


ตู้ม!


การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย


แม้นักรบกระบี่จะแข็งแกร่ง อีกทั้งมรรคกระบี่ที่สำแดงออกมาสามารถกำราบบุคคลขอบเขตมกุฎในโลกได้ แต่สำหรับหลินสวินแล้ว พลังคุกคามยังไม่มากเหมือนเดิม


หลังจากผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าเท่านั้น นักรบกระบี่ก็ถูกหลินสวินทะลวงอกสะเทือนในหมัดเดียว


‘ยังดี เพิ่งผ่านไปเกือบหนึ่งในสามเค่อเท่านั้น…’ หลินสวินลอบถอนหายใจ


จากชั้นที่หนึ่งฝ่ามาถึงชั้นที่เก้า ตั้งแต่เริ่มจนจบเวลายังไม่ถึงเศษเสี้ยว มีเพียงในชั้นที่เก้าเท่านั้น ที่เสียเวลาไปมาก


แต่เทียบกับสถิติหนึ่งเค่อของอวิ๋นชิ่งไป๋นั้น ในแง่เวลาก็ลดลงไปมากกว่าสามเท่า


หืม?


แต่หลินสวินยังไม่ผ่านด่าน เขารับรู้ได้ว่าเงาร่างของนักรบกระบี่ผู้นั้นกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว…


นี่ทำให้สีหน้าหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังหนักแน่นขึ้นไม่น้อย


ก่อนหน้านี้เขายังออกจะประหลาดใจ รู้สึกว่าแม้ชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้จะวิปริต แต่ก็ไม่เท่าไร


แต่ตอนนี้เขาถึงรู้ว่าตนคิดผิดแล้ว


นักรบกระบี่ผู้นี้ไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น!


ตู้ม!


การต่อสู้ปะทุขึ้น คราวนี้หลินสวินไม่ออมมือแต่อย่างใด ใช้พลังทั้งหมดที่มี เพียงชั่วไม่กี่อึดใจก็ทำลายนักรบกระบี่ได้อย่างแข็งกร้าว


แต่ทันใดนั้นนักรบกระบี่ก็รวมตัวออกมาอีกครั้ง…


ฟุ่บ!


ฟุ่บ!


ฟุ่บ!


นักรบกระบี่ถูกสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า


แต่หลังจากถูกฆ่าทุกครั้ง พลังของอีกฝ่ายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไป


ครั้งที่สิบหก


ครั้งที่สิบเจ็ด


……


เมื่อนักรบกระบี่ฟื้นคืนมาเป็นครั้งที่สิบแปด ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ของเขา ก็ทรงพลังจนทำให้หลินสวินรู้สึกตระหนก


‘เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อแล้ว’


‘ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่แรก ตอนลงมือครั้งแรกก็น่าจะใส่พลังทั้งหมดไปเลย ถ้าเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาไปได้มาก…’


หลินสวินนิ่วหน้า เขาสูดหายใจลึก ยื่นมือออกไป รัศมีเทพรวมตัวแปรสภาพเป็นดาบหักเล่มหนึ่ง


สวบ!


เผชิญหน้ากับนักรบกระบี่ที่แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งหาใดเทียบแล้ว เขาไม่ออมมือแต่อย่างใด สำแดงกระบวนเฉือนนภาสงัด


ทันทีที่โจมตีออกไป กาลเวลาและห้วงอากาศเหมือนตกสู่ความเงียบงันถึงที่สุด ไม่มีเสียงอีกแม้สักนิด มีเพียงคมดาบเดียว คล้ายแทงทะลุกาลเวลาและอากาศออกมา


ฟุ่บ!


เพียงการโจมตีเดียว นักรบกระบี่ก็ถูกฆ่า!


ดูเหมือนง่ายดาย แต่กลับเป็นการโจมตีที่หลินสวินใส่พลังทั้งหมดลงไป ใช้พลังของเขาไปเกือบสองส่วน!


เคร้ง!


ในเวลาเดียวกัน มีเสียงระฆังดังขึ้นที่หอลองกระบี่


ภาพตรงหน้าพร่ามัว หลินสวินถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ที่นี่มีเพียงแผ่นหยกขนาดยักษ์แผ่นหนึ่งตั้งอยู่


บนแผ่นหยกประทับชื่อสีทองอร่ามชื่อแล้วชื่อเล่า


เหนือสุดเขียนตัวอักษรอวิ๋นชิ่งไป๋ไว้ แต่ละตัวดุดันถึงที่สุด แสงส่องประกายปะทุออกมาราวกระบี่เทพไร้เทียมทาน


เพียงมองไปก็รู้สึกแสบตา ราวจิตวิญญาณถูกสะบั้น


‘ชื่อเหล่านี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยผ่านด่านชั้นที่เก้านี้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเหลือทิ้งไว้’ หลินสวินตระหนักได้ในใจ


จากนั้นเขาก็เห็นว่าพื้นผิวของแผ่นหยกพลิกตลบระลอกหนึ่ง ยามคืนสู่สภาพเดิม ชื่อของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ปรากฏขึ้นที่ตำแหน่งอันดับสองแล้ว


ตำแหน่งอันดับหนึ่งกลับว่างเปล่า


ในขณะเดียวกัน คลื่นผนึกระลอกหนึ่งก็ผุดขึ้น รวมตัวกันเป็นพู่กันเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน


ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก!


ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีเพียงผู้ที่ฝ่าผ่านชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่ได้ภายในหนึ่งก้านธูป ถึงสามารถทิ้งชื่อของตนไว้บนป้ายหินนี้


นี่เป็นเกียรติยศสูงสุดอย่างหนึ่ง


หากแพร่งพรายออกไป จะต้องทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเคารพนับถือ

 

 

 


ตอนที่ 1015 หอเกลาจิต

 

ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก เป็นเกียรติยศสูงสุดครั้งหนึ่ง


ขอเพียงเป็นผู้ที่สามารถนำชื่อไปอยู่บนนั้นได้ ล้วนสามารถดังขึ้นทันตาเห็น กลายเป็นที่รู้จักคุ้นเคยของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน


สิ่งนี้มีผลดีเหลือคณนาต่อการเพิ่มพูนชื่อเสียงของตัวเอง


บางครั้งชื่อเสียงก็หมายถึงการยอมรับและอำนาจอย่างหนึ่ง อีกทั้งตั้งแต่โบราณก็มีคำกล่าวว่า ผู้ที่ยิ่งมีชื่อเสียงมาก โชควาสนาที่จะได้รับก็ยิ่งมาก


แต่หลินสวินเพียงแค่ชำเลืองมองพู่กันที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าตนนั้นแล้วหันกายจากไป เดินออกไปตามอำเภอใจและสุขุมเยือกเย็น


ที่เขามาครั้งนี้เพื่อชิงชัยกับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อน ใช้สิ่งนี้สันนิษฐานความแตกต่างระหว่างตนกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในสิบปีให้หลัง


สำหรับการทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินต้องการ


……


กระบวนผนึกของชั้นที่เก้าดับไป ทำให้โลกภายนอกเงียบเชียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศชวนตื่นตะลึงไร้รูปเข้าปกคลุมทั้งที่นั้นพร้อมกัน


ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างเบิกตากว้าง มองนิ่งไปยังชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่นั้น สีหน้าเหม่อลอย จิตวิญญาณสั่นสะท้าน


เซียวชิงเหอก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ในดวงตามีรังสีประหลาดน่าหวั่นกลัวหาใดเทียบสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมา ภายในใจของเขาก็มีคลื่นกระหน่ำซัดสาดขึ้นเช่นกัน


ครึ่งเค่อ!


ฝ่าผ่านชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แล้ว!


แต่เมื่อสิบปีก่อน สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ที่นี่ก่อนปิดด่านก็คือหนึ่งเค่อ!


นี่ก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เพียงทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น อีกทั้งในแง่เวลาผ่านด่านทั้งหมดยังลดลงไปครึ่งหนึ่ง!


ผลลัพธ์เช่นนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย มีแรงสั่นสะเทือนที่สามารถพลิกคว่ำการรับรู้ได้


ในนครหยกขาว กระทั่งทั้งดินแดนรกร้างโบราณ อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเหมือนตำนานไร้พ่ายผู้หนึ่ง เขาเมื่อสิบปีก่อนสามารถใช้คำว่า ‘โดดเด่นเหนือหล้า เบ่งบานเหนือใคร’ มาบรรยายได้แล้ว!


หลายปีนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้กล้าหมายจะทำลายตำนานที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นกับมือ แต่ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้นสักคน ต่างคว้าน้ำเหลวกันหมด


อย่างเซียวชิงเหอก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้ล้มเหลว


และผู้แข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมและสะดุดตายิ่งกว่าเขาก็มี แต่ก็เพลี่ยงพล้ำในชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้เช่นกัน!


ทว่าในวันนี้เอง สถิตินี้ถูกทำลายลงแล้ว!


เพียงคิดก็รู้ว่า เมื่อข่าวนี้กระจายออกไปจะต้องทำให้ทั้งนครหยกขาวตกอยู่ในความอึกทึกครึกโครม และทำให้ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าหันมองเพราะสิ่งนี้


เขาเป็นใคร


นี่เป็นสิ่งที่พวกเซียวชิงเหอสนใจที่สุด


แม้ที่ทำลายจะเป็นสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่นี่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งและโดดเด่นเพียงไหน!


เงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากหอลองกระบี่ท่ามกลางความเงียบงัน


สายตาที่มองมาทุกคู่ล้วนเจือไปด้วยความยำเกรงจากภายในใจอย่างไม่อาจเก็บกลั้นได้ นี่เป็นท่าทีที่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงผู้หนึ่งสมควรได้ดื่มด่ำ


รวมถึงเซียวชิงเหอ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึม


เขามาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เป็นคนในขอบเขตมกุฎที่โดดเด่นสะดุดตาผู้หนึ่งเช่นกัน แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากหอลองกระบี่ผู้นั้น ตนก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่งอยู่ดี จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้


“ขอถามว่าคุณชายมีนามว่ากระไร” เมื่อหลินสวินเดินออกมา ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก็ทำใจกล้า อดไม่ได้ต้องเข้าไปถามอย่างนอบน้อม


“คุณชาย ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านมาจากสำนักหรือพรรคใด”


ทันใดนั้นเสียงอื้ออึงต่างๆ ดังขึ้น พวกเขาต่างสงสัยยิ่ง เด็กหนุ่มที่เหมือนอัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้ สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้


แต่หลินสวินไม่พูดสักคำ ไม่นานก็หายไป ไม่ใช่เพราะหยิ่งทระนงเกินไป เพิกเฉยทุกคน แต่เพราะมีเรื่องที่ต้องการปกปิด


ที่นี่คือนครหยกขาว เป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เขาก็ไม่อาจเปิดเผยฐานะของตัวเองได้ในตอนนี้


“เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่”


ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นกลับไม่มีใครกล้าไม่พอใจหรือบ่นออกมา หยิ่งทระนงแล้วอย่างไร ไม่เห็นผู้ใดในสายตาแล้วอย่างไร


คนเขามีพลังเช่นนี้!


ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อไม่สมตัวผู้หนึ่งกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ เกรงว่าต้องถูกทับถมด้วยคำต่อว่าต่อขานแน่


“เขาทั้งฝ่าผ่านด่านได้สำเร็จและทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วย บนแผ่นหยกฝ่าด่านของหอลองกระบี่จะต้องทิ้งชื่อเขาไว้แน่!”


“ผู้อาวุโส ขอให้พวกข้าดูสักครั้งหนึ่งเถอะ” ผู้ฝึกปราณมากมายต่างมองไปที่ชายชราผู้เฝ้าหอลองกระบี่แห่งนี้ สีหน้าเจือไปด้วยความวิงวอน


เซียวชิงเหอก็เอ่ยปากขอร้องด้วย


ชายชรารู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกรู้เข้า ดังนั้นแม้เขาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับปาก


แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ทุกคนนิ่งอึ้ง


บนอันดับหนึ่งของแผ่นหยก ว่างเปล่าไร้ชื่อ!


“ข้าต้องสืบให้ได้ว่าเจ้าเป็นใคร!” เซียวชิงเหอถูกกระตุ้นความสงสัยอย่างแรงกล้า หันกายแล้วจากไปอย่างรีบร้อน


……


‘ที่ข้ากับเจ้าต่างกันมีเพียงเวลา!’


บนถนนอันพลุกพล่าน หลินสวินมุ่งหน้า ในใจกำลังครุ่นคิด


สิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋ซึ่งมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติโลดแล่นในดินแดนรกร้างโบราณ ปลิดชีพราชันกึ่งระดับไปร้อยกว่าคน ตั้งแต่ตอนนั้นก็มีฉายา ‘อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน’


และในตอนนั้น เขาสร้างสถิติตระการตาที่สุดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันในหอลองกระบี่ กระทั่งก่อนวันนี้ยังไม่เคยถูกทำลาย


วันนี้ในอีกสิบปี หลินสวินทำลายสถิตินี้ ทั้งยังใช้เวลาผ่านด่านน้อยกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ถึงครึ่งหนึ่ง


นี่พิสูจน์ว่าหลินสวินในวันนี้มีพลังต่อสู้เหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!


ที่ควรรู้คือ ตอนสร้างสถิตินี้เมื่อสิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋อายุสามสิบปีแล้ว


แต่วันนี้ในสิบปีต่อมา ตอนทำลายสถิตินี้ หลินสวินอายุยี่สิบปี


ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุหรือพลังต่อสู้ หลินสวินล้วนเหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น!


‘ปิดด่านสิบปี เบื้องหลังพลังที่สะสมมาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้มากที่สุด…’ หลินสวินไม่มีความคิดดูเบา


สถิติที่ทำลายไปก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อน


แต่ตอนนี้ผ่านมาราวสิบปีแล้ว พลังต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋จะแข็งแกร่งขึ้นถึงขั้นไหนอีก


หลินสวินยังจำได้ อวิ๋นชิ่งไป๋ได้พูดไว้ก่อนปิดด่านว่า ‘วิถีกระบี่แห่งข้า ยามเสาะหาหนทางหลุดพ้นถึงขีดสุดจะกำราบนิรันดร์กาล อยู่เหนือปวงสวรรค์ แต่ตอนนี้โอกาสยังไม่เหมาะ!’


วาจาเช่นนี้มีความกล้าที่สามารถทำให้ผู้คนในโลกหน้าเปลี่ยนสีได้ ถ้าไม่ใช่ผู้อยู่ในขอบเขตมกุฎ ย่อมไม่กล้าพูดจาลำพองเช่นนี้


หลายคนในโลกต่างกำลังคาดเดาว่าอวิ๋นชิ่งไป๋จะหลอมมรรคกลายเป็นราชันได้ตอนไหนกันแน่


แต่หลินสวินกลับพอจะเดาออกว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ปิดด่านสิบปีมานี้ ย่อมไม่ต้องการบรรลุระดับราชัน แต่กำลังสั่งสมพลัง พัฒนาตัวเอง เตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์เพื่อรอโอกาสครั้งหนึ่ง


โอกาสอะไร


ง่ายมาก เมื่อมหายุคมาเยือน โอกาสได้กลายเป็น ‘มกุฎราชัน’ จึงจะอุบัติขึ้น!


มีเพียงทำเช่นนี้ถึงทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋ทำความปรารถนา ‘กำราบนิรันดร์กาล อยู่เหนือปวงสวรรค์’ ให้เป็นจริง!


‘ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ต่อให้สะสมและหล่อหลอมอีกสิบปี สุดท้ายในแง่พลังปราณก็พัฒนาไม่ได้อีก’


‘เขาต้องการชิงชัยในมหายุค ต้องเคี่ยวกรำพลังยุทธ์ พลังจิตวิญญาณ พลังสภาวะจิต และพลังมหามรรค… จนถึงขั้นสมบูรณ์ มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะสามารถกำราบศัตรูในระดับเดียวกันบนโลก ณ ปัจจุบันต่อไปได้เหมือนแต่ก่อน!’


แม้หลินสวินไม่เคยพบอวิ๋นชิ่งไป๋มาก่อน แต่กลับสามารถอนุมานได้ว่าหลายปีนี้เขาทำอะไรอยู่


เพราะกลับไปพิจารณาถึงรากฐาน เขากับอวิ๋นชิ่งไป๋มีจุดที่เหมือนกันมากมาย กำลังไล่ตามมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกัน กำลังเสาะหาพลังเหนือปุถุชนถึงที่สุด สามารถช่วงชิงความเป็นหนึ่งเหนือมหามรรคกับเหล่าอริยบุคคลทั้งอดีตและปัจจุบัน!


สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็อาจจะอยู่ที่ บนมรรคานี้ อวิ๋นชิ่งไป๋ล่วงหน้าเขาไปหลายปี!


เวลา ก็คือเบื้องหลัง!


สามารถทำให้ทะเลกว้างเปลี่ยนเป็นผืนดิน ทำให้หญิงงามแปรเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก และสามารถทำให้บุคคลแห่งยุคในปัจจุบันอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋แปรสภาพอย่างน่าตกตะลึง


‘เวลา!’ หลินสวินลอบกำหมัดแน่น


ครึ่งชั่วยามผ่านไป


เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นหน้าหอหินเก่าแก่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนหลังหนึ่ง


หอนี้สูงร้อยฉื่อ มีนามว่า ‘เกลาจิต’


เช่นเดียวกับหอลองกระบี่ หอเกลาจิตก็ถือเป็นหนึ่งใน ‘สิบสองหอห้าเมือง’ ภายในมีแดนลับเกลาจิตด่านหนึ่ง


แดนลับเกลาจิตจะสร้างการเคี่ยวกรำและทดสอบที่ต่างกันไปตามผู้ฝึกปราณที่มีพลังปราณต่างๆ กัน


พูดง่ายๆ ก็คือ หอนี้ สิ่งที่ขัดเกลาก็คือสภาวะจิตแห่งการฝึกปราณ


ไม่เหมือนกับหอลองกระบี่ หอเกลาจิตถือเป็นสถานที่ฝึกจิต ไม่ใช่ใครก็มีคุณสมบัติเข้าไปได้ง่ายๆ


แน่นอนว่าคุณสมบัติในการเข้าสู่หอเกลาจิตก็ไม่ได้ธรรมดา ผู้ที่ไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า ต้องจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้น


แกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้น สิ่งนี้สำหรับผู้ฝึกปราณแล้วย่อมไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย!


ดังนั้นแม้หอเกลาจิตนี้จะมีชื่อเสียงยิ่ง แต่ในยามปกติกลับมีผู้ฝึกปราณมารับการทดสอบเกลาจิตน้อยนัก


แต่หลินสวินไม่สนใจ เขามาที่นี่เพราะต้องการดูเสียหน่อย ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนมีพลังสภาวะจิตที่แกร่งกล้าปานใด


ตอนนี้หน้าหอเกลาจิตก็เงียบเหงาเช่นกัน มีเพียงผู้ฝึกปราณประปราย แต่ล้วนเป็นนักเดินทาง กำลังทัศนาความสง่างามของหอเกลาจิต


ซ่า!


สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้นก็แปรสภาพเป็นกระแสน้ำหลาก ไหลเข้าไปในปากของรูปปั้นสัตว์เทพผีซิวที่อยู่หน้าหอเกลาจิตตัวหนึ่ง


ครู่ต่อมาประตูหินที่ปิดสนิทของหอเกลาจิตก็เปิดออกช้าๆ ท่ามกลางคลื่นประหลาดระลอกหนึ่ง


หลินสวินไม่ร่ำไร เงาร่างวูบไหวก่อนหายเข้าไปภายใน


“เจ้าหมอนี่ถึงกับเข้าไปในหอเกลาจิต!”


เงาร่างของเซียวชิงเหอปรากฏขึ้น จ้องมองหลินสวินที่หายลับไปในหอเกลาจิต ในใจอดไม่อยู่คาดเดาขึ้นมาอย่างใจกล้า ‘หรือว่า เขายังคิดจะไปทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อนในด้านพลังสภาวะจิตอีก’


เมื่อคิดถึงตรงนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่มีสาเหตุ ร้ายกาจ! และไม่รู้ด้วยว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่…


การทดสอบในแดนลับเกลาจิต เพ่งเป้าที่พลังสภาวะจิต


อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นอาศัยสภาวะจิตที่แข็งกล้าของตน ทะลวงด่านทดสอบสิบแปดชั้นของหอเกลาจิต สร้างสถิติขึ้นมาใหม่ เหนือล้ำยิ่งกว่าอดีตและปัจจุบันเช่นกัน!


สภาวะจิตยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งแน่วแน่กับการเสาะหามหามรรค ก็ยิ่งไม่ถูกของนอกกายยั่วยวนได้ง่าย ดูเหมือนพลังคลุมเครือและลี้ลับอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคิดจะครอบครองความสำเร็จยิ่งใหญ่บนวิถีแห่งมหามรรค สภาวะจิตมั่นคงหรือไม่นั้นมีประโยชน์สำคัญยิ่ง


เซียวชิงเหอมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ในสำนักที่เขาอยู่มีจดหมายอริยะมากมาย ในนั้นที่พูดถึงมากที่สุดก็คือ สภาวะจิตเป็นตัวกำหนดความสำเร็จสูงต่ำในอริยมรรคอย่างยิ่ง!


“ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ขอเพียงมีผู้ที่ผ่านด่านแดนลับเกลาจิต จะเกิดเสียงระฆังมรรคขับขานจิต ยามผ่านการเคี่ยวกรำหกด่าน ระฆังมรรคขับขานจิตถึงจะดังขึ้นครั้งหนึ่ง ยามฝ่าได้สิบสองด่าน จะดังขึ้นสองครั้ง…”


“จากจุดนี้ ยิ่งระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นมากครั้งเท่าไร ก็หมายถึงพลังสภาวะจิตยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น”


“เสียงระฆังนี้ไม่ธรรมดา หากได้ยินได้ฟังจะมีประโยชน์ในการ ‘ชำระล้างจิตมรรค ขัดเกลาจิตวิญญาณ!’”


ใกล้กันนักเดินทางคนหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องหอเกลาจิตจนน้ำลายแตกฟอง ดึงดูดให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยมารับฟัง


“อัศจรรย์ปานนี้จริงหรือ” มีคนสงสัย


แกร๊ง!


ก็ในตอนนี้เอง เสียงระฆังราวระฆังกลองบอกโมงยามดังขึ้นครั้งหนึ่ง กระจายออกมาจากในหอเกลาจิต

 

 

 


ตอนที่ 1016 ใจข้าดุจดาบ สามารถสังหารเ...

 

เสียงระฆังไม่ดังนัก และไม่กังวาน แต่กลับเจือพลังที่เข้าถึงก้นบึ้งจิตใจคน


นักเดินทางเหล่านั้นสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ารู้สึกได้ สภาวะจิตเหมือนเหล็กแข็งก้อนหนึ่ง ถูกตีขึ้นรูปเข้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง ในตอนแรกทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่ไม่นานก็มีความรู้สึก ‘จิตใจเบิกบาน เข้าถึงสติปัญญา’


แต่น่าเสียดาย เสียงระฆังดังขึ้นเพียงครู่เดียว ไม่นานนักก็เงียบไป


นี่ทำให้นักเดินทางเหล่านั้นหมดอาลัยตายอยาก แต่จากนั้นต่างกระตือรือร้นและสงสัย เพราะเสียงระฆังมรรคขับขานจิตอัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ


เซียวชิงเหอเองก็ออกจะตระหนกเช่นกัน เร็วขนาดนี้ก็ฝ่าหกด่านแรกของแดนลับเกลาจิตแล้วหรือ


ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเดินอยู่ในฟ้าดินเวิ้งว้างแห่งหนึ่งโดยลำพัง แม้ฟ้าดินกว้างใหญ่แต่กลับมีเขาเพียงผู้เดียว เบื้องหลังทั้งหนักแน่นและเดียวดาย


การทดสอบเกลาจิตหกด่านแรก เป็นเพียงสายฟ้าวายุและไฟใต้ดินที่เกิดขึ้นจากภาพมายาบางอย่าง มีผลกับสภาวะจิต แม้จะเคี่ยวกรำแข็งกร้าว แต่หลินสวินจิตหนักแน่นดุจศิลา ไม่หวั่นไหวเลยสักนิด


ทว่าเมื่อได้ยินเสียงระฆังมรรคเสียงธรรมนั้นดังขึ้น กลับทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกปลุกด้วยเสียงดังกังวาน เจริญปัญญารู้แจ้ง


จิตใจของเขาเหมือนมีลมเย็นฝนปรอยมาชะล้าง ปัดเป่าความคิดยุ่งเหยิงซับซ้อนออกไป สภาวะจิตก็แปรเปลี่ยนเป็นปราดเปรียวและละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น


โครม!


สายฟ้าสะท้านเวิ้งฟ้า พลันแปรเปลี่ยนเป็นเมฆดำ ไม่นานฝนห่าใหญ่เทลงมา ราวน้ำพุจากเก้าชั้นฟ้าไหลลงมาปกคลุมฟ้าดิน


หยาดฝนทุกสายไม่ได้ทำให้อาภรณ์เปียกปอน กลับแปรสภาพเป็นพลังดุดันราวดาบกระบี่ จู่โจมเข้าไปภายในสภาวะจิตของหลินสวิน


หยาดฝนหนาแน่นก็เหมือนกระบี่แหลมคมแน่นขนัดนับหมื่นพันเล่ม สำแดงพลังสังหารน่าครั่นคร้ามแห่งหมื่นกระบี่


สิ่งที่ฆ่า คือจิตใจ!


หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย เดินหน้าต่อไป มองฝนห่าใหญ่เต็มฟ้าเหมือนไม่ดำรงอยู่ การเคลื่อนไหวไม่ส่ายโอนแม้สักนิด สีหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย


ลมฝนจากทั่วสารทิศเข้าจู่โจม ตัวข้ามั่นคงไม่หวั่นไหว!


ไม่นานนักเมื่อฝนผ่านไปฟ้าก็โปร่ง ดวงตะวันลอยสูงเหนือเวิ้งฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องสรรพสิ่ง


เพียงแต่แสงอาทิตย์แต่ละแสงนั้นกลับเจือไปด้วยพลังแผดเผาเสียดกระดูก น่ากลัวยิ่งกว่าน้ำฝนนั่นเสียอีก เหมือนจะเผาให้จิตใจคนระเหยหาย


เงาร่างของหลินสวินสูงโปร่ง แผ่นหลังตรงแน่ว เดินหน้าดังเดิม


……


“สหายยุทธ์ที่เข้าไปในหอเกลาจิตเมื่อกี้น่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่เก่งกาจผู้หนึ่ง หาไม่แล้วย่อมไม่อาจฝ่าผ่านหกด่านแรกของการทดสอบเกลาจิตได้ในเวลาอันสั้นแน่”


นักเดินทางผู้นั้นยังพูดน้ำไหลไฟดับ “แต่ว่าเท่าที่ข้าดู อย่างมากเขาก็ยืนหยัดได้ถึงแค่การทดสอบด่านที่สิบสอง”


เขาสวมอาภรณ์สีเขียวทั้งชุด รูปร่างผอมบางตัวตรงแน่ว สองมือไพล่หลัง ท่างทางอย่างคนชั้นสูง


“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร” มีคนสงสัย


“เพราะในด่านที่สิบสองมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘พิบัติผีร้ายแปลงจิต’ ทันทีที่เข้าไป จิตใจจะเหมือนกับตกลงไปในแดนผี เพียงหย่อนยานแค่นิดเดียวก็จะถูกหมื่นภูตผีเข้าจู่โจม ไม่ว่าเจ้าจะมีฝีมือเทียมฟ้าอย่างไรก็ไม่อาจขับไล่ไปได้!”


ชายชราชุดเขียวผู้นั้นวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต “หลายปีมานี้ไม่รู้มีผู้แข็งแกร่งที่อวดตัวว่าเป็นผู้กล้ามาฝ่าด่านตั้งเท่าไร แต่ที่สามารถฝ่าผ่านด่านนี้ได้กลับมีเพียงสองสามคนเท่านั้น”


“มีคนที่เก่งกาจปานนั้นจริงหรือ” หลายคนตกตะลึง


“แค่เก่งกาจเสียที่ไหน วิปริตเลยต่างหาก! ตัดสินจากประสบการ์ที่สืบทอดกันมาแต่อดีต อย่าว่าแต่ผู้กล้าทั่วไปเลย ต่อให้เป็นบุคคลแห่งยุคที่เป็นยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน คิดจะฝ่าผ่านด่านนี้ก็มีโอกาสไม่เกินห้าส่วน!”


ชายชราชุดเขียวเอ่ยอย่างโอหัง “ข้ากล้ามั่นใจเลยว่าเด็กหนุ่มเมื่อครู่นั่น ย่อมไม่อาจทำให้เสียงระฆังครั้งที่สองดังขึ้นได้”


แกร๊ง!


แต่เขาเพิ่งพูดจบ เสียงระฆังระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น สั่นสะท้านถึงกลางจิตใจ แปลกประหลาดอัศจรรย์


สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล อดไม่ได้ที่จะมองไปยังชายชราผู้ยืนยันมั่นเหมาะผู้นั้น ฝ่ายหลังกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าอึดอัดใจ


นี่มันตบหน้าเขาเกินไปแล้ว เพิ่งสรุปออกมาก็ถูกทำหน้าหงาย จังหวะการตบหน้านี้ออกจะรวดเร็วและรุนแรงเกินไปหน่อยแล้ว


“อะแฮ่มๆ ทุกอย่างไม่แน่นอน ย่อมมีข้อยกเว้น เท่าที่ข้าดู สหายยุทธ์เมื่อกี้ก็เป็นข้อยกเว้นคนหนึ่ง”


เจ้าหมอนี่หน้าด้านหน้าทนนัก ไม่นานก็กลับเป็นเหมือนเดิม เริ่มคุยโวอีกแล้ว


ในขณะเดียวกันภายในแดนลับเกลาจิต รังสีแหลมคมวาบผ่านดวงตาดำของหลินสวิน พูดกับตัวเองว่า ‘ใจข้าดุจดาบ สามารถสังหารเทพผีฟ้าดิน พวกผีร้ายจะไปมีค่าอะไรให้พูดถึงกัน”


เขาเดินหน้าต่อ


เสียงระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ทำให้จิตใจของเขาราวถูกเคี่ยวกรำเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ขัดเกลาให้เฉียบคมแข็งแกร่งส่องสว่าง


ประหนึ่งคมกระบี่สมบัติที่ผ่านการลับให้แหลมคม!


……


‘ฝ่าผ่านหกด่านแรก สภาวะจิตเรียกได้ว่าแข็งแกร่งราวเหล็กกล้าแล้ว’


‘ฝ่าผ่านสิบสองด่านแรก สภาวะจิตเรียกได้ว่าหนักแน่นดังภูผา’


‘ส่วนฝ่าผ่านสิบแปดด่านแรก…’


เซียวชิงเหอสีหน้าเคร่งขรึม พึมพำในใจ ‘ตามที่เล่าขานกันมาแต่โบราณ ผู้ฝ่าผ่านด่านนี้ทุกคนสภาวะจิตเรียกได้ว่า ‘จิตราวคันฉ่องกระจ่างเปล่งรัศมีเรื่อเรือง’ ทั้งถูกเรียกว่าเป็นระดับสว่างไสว’


‘อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น ด้วยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ก็ครอบครอง ‘จิตกระบี่สว่างไสว’ แล้ว พอฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิต ระฆังมรรคขับขานจิตก็ดังสามครั้ง!’


‘ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้หรือไม่…’ เซียวชิงเหอตั้งตารออยู่ในใจ


“เช่นนั้นเจ้าบอกหน่อยว่าเด็กนี่จะฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิตได้หรือไม่” ใกล้กันนั้น ทุกคนทอดสายตาไปมองชายชราชุดเขียวผู้นั้น


ชายชราชุดเขียวแสยะยิ้มออกมา “ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน วีรชนผู้กล้าหาญเกินใครที่เข้าไปในหอเกลาจิตมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงอวิ๋นชิ่งไป๋ผู้เดียวที่ฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดในแดนลับได้ อยู่เหนืออดีตและปัจจุบัน เย้ยหยันใต้หล้า”


เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ลังเลครู่หนึ่ง นึกถึงประสบการณ์น่าอึดอัดที่เพิ่งถูก ‘ตบหน้า’ ไปเมื่อกี้ จึงพูดอย่างละเอียดรอบคอบว่า “เด็กหนุ่มคนเมื่อกี้นั่นคิดจะทำให้ความผ่าเผยของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้พูดว่าไม่มีหวังนะ เพียงแต่ว่า… ความหวังริบหรี่นักจนแทบไม่มี นอกเสียจากว่าปาฏิหาริย์บังเกิด”


“ถ้ามีปาฏิหาริย์บังเกิดกับคนผู้นั้นจริงๆ จะทำอย่างไร” มีคนหัวเราะถาม


ชายชราชุดเขียวกลับไม่ติดกับ แต่พูดด้วยน้ำเสียงประดิดประดอยไม่เห็นด้วยว่า “เช่นนั้นก็เป็นบุคคลเหนือโลกาที่สามารถฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิตได้เป็นคนที่สองตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันแล้วล่ะ”


แกร๊ง!


เสียงระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นอีกแล้ว…


ให้ตายสิ!


ชายชราชุดเขียวหน้าเปลี่ยนสีทันตาเห็น ปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้า นี่มันจงใจสร้างความลำบากให้ข้านี่หว่า ต้องรีบร้อนตบหน้าขนาดนี้ไหม


คนอื่นๆ ก็สั่นสะท้านอยู่เช่นนั้น คนที่สองนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันหรือ


ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงแล้ว!


พวกเขาไม่สนใจจะดูเรื่องตลกของชายชราชุดเขียวผู้นั้นแล้ว เพราะความจริงข้อนี้น่าตกใจเกินไป หากแพร่กระจายออกไปสามารถทำให้นครหยกขาวสะเทือนเลือนลั่นได้


‘เขาทำได้แล้ว…’ เซียวชิงเหอก็อดไม่ได้สูดหายใจหนาวเยือก หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


จากการคาดการณ์ของเขา ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เกรงว่าจะมีเพียงพลังสภาวะจิตของศิษย์พี่ใหญ่หมีเหิงเจินถึงสามารถทำเช่นนี้ได้


ส่วนตัวเขาเอง ระดับฝีมือยังห่างไกลจาก ‘จิตมรรคสว่างไสว’ อยู่บ้าง


แต่ตอนนี้เขากลับเห็นปาฏิหาริย์ครั้งหนึ่งบังเกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง!


เจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่


เซียวชิงเหอยิ่งสงสัยแล้ว


ในแดนลับเกลาจิต ในที่สุดหลินสวินก็ได้เห็น ‘ประทับผ่านด่าน’ ที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้ที่นี่ในตอนนั้น


นั่นเป็นป้ายหินป้ายหนึ่ง เหมือนกับกระบี่ปักลงไปในผืนดิน บนนั้นหลงเหลือร่องรอยตัวอักษรที่แหลมคมน่าหวาดหวั่นราวกระบี่ไว้ว่า ‘ใจข้าดุจกระบี่ ส่องสว่างไสวในใต้หล้า’!


อย่างน้อยในระดับกระบวนแปรจุติ อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นก็มีพลังสภาวะจิตระดับ ‘สว่างไสว’ แล้ว เรียกได้ว่าอยู่เหนือคนร่วมระดับเดียวกันทั้งในอดีตและปัจจุบันแล้วจริงๆ


แน่นอนว่า ตอนนี้ทั้งหมดนี้ย่อมเปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของเขา!


หลินสวินละสายตาจากป้ายหินป้ายนั้นแล้วมองออกไปไกลๆ


แดนลับเกลาจิตไม่ได้มีแค่การเคี่ยวกรำเพียงสิบแปดด่าน เบื้องหน้ายังมีการเคี่ยวกรำผ่านด่านอีกเช่นกัน


หลินสวินไม่ลังเล ย่างก้าวหนักแน่นไปข้างหน้า


การเคี่ยวกรำก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังสภาวะจิตของเขาออกมาอย่างสมบูรณ์


อีกทั้งเขาได้รับการชำระล้างจาก ‘ระฆังมรรคขับขานจิต’ แล้วสามครั้ง พลังสภาวะจิตก็สูงขึ้นตามไปด้วย


เขาสังหรณ์ว่าพลังสภาวะจิตเหมือนจะมีเค้าลางทะลวงขั้น!


โครม!


ทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ด่านที่สิบเก้า เวิ้งฟ้าที่เงียบสงบอยู่เดิมก็แปรเปลี่ยนเป็นทัศนียภาพวันสิ้นโลก


ห้วงอากาศยุ่งเหยิง ขาดออกเป็นรอยแยกขนาดใหญ่น่าตระหนกนับไม่ถ้วน ที่สั้นที่สุดยังยาวถึงพันจั้ง คล้ายจะจมฟ้าดินลงไปในนั้น


ทางข้างหน้าขาดลงแล้ว!


ไม่อาจเดินต่อไปได้อีก


หันหลังกลับไปก็กลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีที่ให้ถอยหลัง


ในใจหลินสวินพลันบังเกิดความรู้สึกสิ้นหวังขึ้น ขณะเดียวกันในโสตประสาทก็มีเสียงทอดถอนใจเข้าไปถึงก้นบึ้งจิตวิญญาณระลอกหนึ่ง


‘ทางข้างหน้าขาดลงแล้ว ถอยก็ไม่ได้ การฝึกปราณ สิ่งที่ฝึกก็เป็นเพียงความว่างเปล่า!’


เสียงนั้นเจือไปด้วยความหดหู่ ไม่ยินยอม และอับจนหนทาง ดูเหมือนพร่าเลือนแต่กลับโอบล้อมหัวใจ ทำให้สภาวะจิตของหลินสวินเลื่อนลอย ถูกความรู้สึกสิ้นหวังปกคลุมอย่างห้ามไว้ไม่อยู่


หากมีสักวันหนึ่งได้รู้ว่ามรรคที่เสาะหาเป็นเพียงความว่างเปล่า จะยังเสียใจที่เหยียบย่างลงบนทางที่ไม่อาจหันหลังกลับได้นี้หรือไม่


อีกทั้งความอุตสาหะทั้งปวงที่ทำมาก่อนหน้านี้ จะเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ความหมายหรือไม่


ถามไถ่จิตมรรค!


การเคี่ยวกรำด่านนี้ สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


……


กาลเวลาเคลื่อนคล้อย นอกหอเกลาจิต ทุกคนออกจะอดรนทนไม่ไหว


เหตุใดเด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่ปรากฏตัวอีก


หรือเขารับการทดสอบเคี่ยวกรำต่อ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงก็น่าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว!


แต่ผ่านมานานขนาดนี้ เหตุใดถึงยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวเลยสักนิด


ในใจเซียวชิงเหอก็ตื่นเต้นบ้างเล็กน้อย สามารถฝ่าผ่านการทดสอบแดนลับด่านที่สิบแปดได้ ก็เป็นเพียงการวิ่งไปพร้อมกับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนเท่านั้น


แต่ถ้าสามารถฝ่าผ่านการทดสอบมากขึ้นไปได้เล่า


ซูชิงเหอสับสนขึ้นแล้ว ทั้งรอคอยและคัดค้าน ความรู้สึกในใจย้อนแย้งนัก


ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ท่ามกลางการเฝ้าคอยอย่างร้อนเร่าของทุกคน เงาร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากหอเกลาจิตอย่างเนิบช้า เป็นหลินสวินนั่นเอง!


เสียงระฆังมรรคขับขานจิตไม่ได้ดังขึ้น หมายความว่าสุดท้ายเขาก็ล้มเหลว หยุดเดินหลังจากการทดสอบด่านที่สิบแปดใช่หรือไม่


ทุกคนถอนหายใจโล่งอกโดยมิได้นัดหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ออกจะผิดหวัง ทอดถอนใจในใจว่า สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ในตอนนั้นไม่ได้ถูกทำลายได้ง่ายเช่นนั้นดังคาด!


ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินก็ยังเจือไปด้วยความเลื่อมใสจากใจ สามารถเทียบเคียงด้านพลังสภาวะจิตกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นได้ ย่อมเรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงไร้ผู้ใดเทียบเทียมแล้ว


มีเพียงเซียวชิงเหอที่นิ่วหน้า ล้มเหลวจริงหรือ


เขาไม่เชื่อ อดไม่ได้พุ่งไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “สหาย เจ้าเดินไปถึงด่านไหน”


หลินสวินส่ายหัว หันกายจากไป


เซียวชิงเหอเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งสงสัย ตามประกบหลังเขาแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเซียวชิงเหอ ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์มีนามว่ากระไร”


ก็ในตอนที่เขาเพิ่งพูดจบ ในหอเกลาจิตที่อยู่เบื้องหลังนั้นพลันมีเสียงระฆังดังขึ้นครั้งหนึ่ง


ต่างจากก่อนหน้านี้ เสียงระฆังคราวนี้พุ่งทะลุเก้าชั้นฟ้า สั่นสะเทือนจนชั้นเมฆบนเวิ้งฟ้าแหลกสลายกระจายออกเนิบช้าไร้ขอบเขต


ในขณะเดียวกันทั้งหอเกลาจิตก็ส่องแสง แผ่คลื่นบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา


ชั่วพริบตานั้น นักเดินทางที่ยังไม่จากไปเหล่านั้นล้วนนิ่งงันอยู่เช่นเดิม จิตวิญญาณหวาดหวั่น รู้สึกถึงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจบรรยายได้


ส่วนเซียวชิงเหอก็หันหน้าไปทันที เมื่อเห็นภาพนี้หน้าพลันเปลี่ยนสียกใหญ่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)