Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1008-1012

ตอนที่ 1008 เมฆลมประหลาด

 

เมืองแสงอุดรถูกทำลาย บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน


เทพมารหลินแสดงแสนยานุภาพ กำราบกลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


การประลองสมบัติอริยะสะท้านฟ้าสะเทือนดิน


ช่วงเวลาข้ามคืนข่าวเหล่านี้ดั่งสยายปีก ใช้ความเร็วน่าอัศจรรย์แพร่กระจายทั่วแคว้นกู่ชาง ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล


แคว้นกู่ชางวายุก่อเมฆาซัด ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแตกตื่น รู้สึกตื่นตระหนก


เล่าลือว่ายามเจ้าสำนักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทราบข่าวพวกนี้ เขาที่กำลังถ่ายทอดวิชามรรคก็เขวี้ยงถ้วยชาในมือแตกตรงนั้น กล่าวสี่คำด้วยสีหน้าคล้ำเขียว…


เด็กนี่ต้องตาย!


ไม่นานมีอีกข่าวแพร่ออกมา ทั้งบนล่างของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างเดือดดาล มีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันหลายคนออกจากการปิดด่าน ออกจากสำนักอย่างเงียบเชียบ


ยิ่งมีคนเห็นฉู่เป่ยไห่ซึ่งอยู่ในงานประเมินหินเมืองเพลิงมรกต ปรากฏตัวหน้าซากปรักหักพังเมืองแสงอุดรในค่ำวันนั้น


คนผู้นี้คือผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทั่วร่างถูกวงแสงปกคลุม ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนเป็นที่จับตามอง


แต่บัดนี้เพื่อจัดการเทพมารหลิน เขาถึงขั้นมาเยือนเมืองแสงอุดรด้วยตัวเอง แน่นอนว่าต้องทำให้ผู้คนตื่นตระหนก


ไม่นานก็มีคนแพร่ข่าวอีก เทพมารหลินมุ่งหน้าสู่เมืองวายุทราย หมายใช้ศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ส่วนหนึ่งที่เขาจับได้ แลกเปลี่ยนโอกาสหนีจากแคว้นกู่ชาง


ทันใดนั้นในเขตแคว้นกู่ชางคลื่นลมโกลาหล ทั่วทิศต่างเคลื่อนไหว


เสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วนดังขึ้นตามที่ต่างๆ ล้วนกำลังสนทนาเรื่อง ‘เทพมารหลิน’


“เมื่อทุกคนต่างไม่เห็นหัวเทพมารหลินที่มาจากแดนฐิติประจิมนี่ เขาก็แสดงอำนาจให้ทุกคนเห็น ช่างร้ายกาจนัก”


“ไม่ต้องสงสัยเลย เทพมารหลินคือบุคคลแห่งยุคที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา ตัวคนเดียวถูกตามล่าตั้งหลายวันยังทำการตอบโต้ สังหารจนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พ่ายไม่เป็นกระบวน ความองอาจนี้สามารถรับสมญา ‘เทพมาร’ ได้แล้ว!”


ไม่ช้าทุกการกระทำในแดนฐิติประจิมของหลินสวินล้วนถูกสายสืบเผ่าวาทวาโยปล่อยข่าวทันที นำมาซึ่งความสั่นสะเทือนมากมายอีกครั้ง ผู้คนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม รู้สึกยากจะเชื่อ


“ไร้ที่พึ่งพิง โดดเดี่ยวตัวคนเดียว สามารถก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิมได้ เด็กนี่… น่ากลัวจริงๆ!”


“เขาครองเจดีย์สมบัติที่เป็นสมบัติอริยะ เคยรับมือตำหนักอมตะสมบัติพิทักษ์สำนักแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ และเคยต้านการสังหารของทวนทองผลาญตะวัน สมบัติอริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วย”


“แต่สมบัติอริยะเช่นนี้ก็ทำให้แต่ละสำนักโบราณตาร้อนผ่าว คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว แม้ไม่มีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ลงมือ อนาคตก็ต้องถูกขุมอำนาจอื่นเพ่งเล็ง”


“ก็ไม่รู้ว่าภายใต้โทสะของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เจ้าเด็กนี่ยังจะรอดไปได้หรือไม่…”


มีบางคนเสียดาย รู้สึกว่าเทพมารหลินไม่บกพร่องอะไรเลย ขาดเพียงฐานะและที่พึ่งซึ่งสามารถสยบคนอื่นๆ เท่านั้น


หากเขาเป็นผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณสักแห่ง สถานการณ์ของเขาคงต่างไปสิ้นเชิง


“แต่ไหนแต่ไรเคยมีบุคคลเจิดจรัสที่ท่องใต้หล้าด้วยตัวคนเดียวอย่างเทพมารหลินมาแล้ว อาศัยเพียงศักยภาพของตนก็ก่อคลื่นลมได้ แต่เมื่อใดที่ผูกพยาบาทกับสำนักโบราณ แทบไม่มีสักคนที่มีจุดจบที่ดี”


“เดิมยังเฝ้ารอการผงาดง้ำของบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง แต่ดูท่าตอนนี้เทพมารหลินนี่คงไม่อาจสลัดชะตาที่จะถูกสังหารพ้น”


อะไรเรียกว่าชื่อเสียงสะเทือนฟากหนึ่ง


ก็นี่อย่างไรเล่า หลายวันนี้แม้หลินสวินถูกตามล่า แต่เขากลับใช้ผลงานการต่อสู้นองเลือดพิสูจน์ตนเอง นำมาซึ่งความโกลาหลทั่วแคว้นกู่ชาง กระทั่งทำให้ชื่อเขาแพร่สะพัดจนผู้คนรู้จักในเวลาอันสั้น


แต่มีคุณย่อมมีโทษ เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของหลินสวิน กลับยังมีผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ไม่เห็นงามกับเขา


ว่ากันตามตรงมีเพียงเหตุผลเดียว หลินสวินแม้แข็งแกร่งแต่สุดท้ายยังไม่เติบใหญ่จริงๆ บางทีอาจมากความสามารถในหมู่คนรุ่นเยาว์ แต่สำหรับสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์กลับไม่มีภัยคุกคามอันใด


ซ้ำเขายังหัวเดียวกระเทียมลีบไร้ที่พึ่ง ทั้งมีสมบัติอริยะติดตัว ไม่ว่ามองจากมุมไหนล้วนดึงดูดเคราะห์สังหารมากมายเข้าหา


เหมือนกับคราวนี้ การเคลื่อนไหวที่เขาก่อแม้ยิ่งใหญ่ แต่กลับทำแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เดือดดาล จะสามารถรอดจากแคว้นกู่ชางหรือไม่ยังเป็นปัญหา!



และก่อนข่าวเหล่านี้จะแพร่สะพัด หลินสวินก็มาถึงเมืองวายุทรายนานแล้ว


หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณยังเหมือนตอนหลินสวินมาครั้งแรก มีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกระจายกำลังรอบด้าน


ทั้งยังเป็นคนกลุ่มเดียวกัน


“สวรรค์! เจ้าหมอนี่กลับมาอีกแล้ว…” หยางเฉิงปอเจ้าเมืองวายุทรายถลึงตากว้าง ท่าทางราวเห็นผี


เขาเคยถูกหลินสวินคว่ำในคราเดียว มีหรือจะไม่รู้ความน่ากลัวของเจ้าหนุ่มนี่ กระทั่งเพราะความพ่ายแพ้ย่อยยับคราวนั้นยังทิ้งเงามืดที่ไม่อาจขจัดในใจเขา!


ผู้ฝึกปราณอื่นเองก็หวาดผวา สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่


เวลานี้พวกเขายังไม่รู้เรื่องหลินสวินแสดงแสนยานุภาพที่เมืองแสงอุดร ไม่เช่นนั้นคงตื่นตระหนกยิ่งกว่า


“พวกเจ้าไปเถอะ ที่นี่จะไม่ปลอดภัย” หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง ขับไล่ผู้ฝึกปราณพวกนี้โดยตรง


ซ่า…


คำพูดเรียบง่ายประโยคเดียวกลับทำพวกหยางเฉิงปอแตกฮือราวไฟลนก้น หนีไปคนละทิศละทาง


นี่กลับทำให้หลินสวินอึ้งงัน กล่าวกับตัวเอง ‘ข้าน่ากลัวเช่นนี้เชียวรึ’


ผ่านไปหนึ่งเค่อ


หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณถูกหลินสวินวางกระบวนผนึก ‘จตุลักษณ์ราชัน’ เขานั่งสมาธิอยู่ภายในเริ่มสงบใจรอ


แม้แน่ใจว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องยอมรับเงื่อนไขของตนเพื่อไถ่ตัวพวกเสวี่ยเชียนเหินคืน แต่หลินสวินกลับไม่กล้าประมาท


สำนักโบราณแห่งหนึ่งสามารถคงอยู่ผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดจวบจนปัจจุบัน เบื้องลึกเบื้องหลังต้องน่ากลัวเหนือจินตนาการแน่


ล่วงเกินพวกเขาคราวนี้ ยากรับรองว่าพวกเขาจะไม่ใช้วิธีพิเศษบางอย่างมาจัดการตน


เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย


รัตติกาลมาเยือน เมืองวายุทรายดูวังเวงหาใดเปรียบ บนท้องถนนซึ่งรุ่งเรืองในอดีตไม่มีคนสัญจรนานแล้ว


บรรยากาศเงียบสงัดมีกลิ่นอายชวนกดดัน


กลางค่ายกลใหญ่ หลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิพลันคิ้วขมวด รับรู้ถึงปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง


อีกฝ่ายอาจไม่เคลื่อนกำลังอื่นๆ ต่อหน้า แต่ยากรับรองว่าจะไม่แอบวางอุบายส่วนหนึ่งมาซุ่มโจมตีตน!


‘ภายนอกอริยะไม่อาจไม่สนหน้าตามาจัดการตน แต่หากลอบลงมือใครเล่าจะรู้’


นึกถึงตรงนี้หลินสวินผงะในใจไปวูบหนึ่ง รู้ว่าตนขาดการไตร่ตรองอยู่บ้าง


ในมือเขามีสมบัติอริยะ สามารถทำให้อริยะต่างน้ำลายหก!


‘ได้แค่เปลี่ยนกลยุทธ์…’


เนื่องด้วยความระวังตัว หลินสวินตัดสินใจทันควัน ไม่อาจรออีกต่อไป


วู้ม!


เขาเรียกขวดมหามรรคไร้ขอบเขตออกมา ในเวลาเดียวกันก็โคจรกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันไปด้วย


เวลาต่อมาก็เห็นคลื่นผนึกต้องห้ามชวนประหวั่นทะลวงเมฆใกล้ๆ ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ กลายเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ล้นฟ้า สาดส่องเวิ้งนภายามค่ำให้ตระการตาสง่างามยิ่งยวด


แต่ไม่นานปรากฏการณ์ประหลาดทุกอย่างก็หายไป


ขณะเดียวกันหลินสวินทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง อาภรณ์ขาดวิ่น สีหน้าซีดเผือด หว่างคิ้วเผยความอ่อนเพลียไม่อาจปกปิด


ทว่ายามสายตาเขามองไปยังขวดมหามรรคไร้ขอบเขตในมือ กลับเจือความผ่อนคลายวูบหนึ่ง


‘ใช้พลังของกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันครั้งหนึ่งต้องสิ้นเปลืองแกนวิญญาณขั้นสูงสามหมื่นก้อน แต่ตอนนี้พลังค่ายกลนี่ถูกขวดมหามรรคไร้ขอบเขตดูดไว้แล้ว…’


‘หากนำมาต่อกรศัตรู หลังผ่านการเสริมกำลังของขวดมหามรรคไร้ขอบเขต ก็สามารถสำแดงพลังกระบวนผนึกได้ถึงสองเท่า!’


นัยน์ตาดำของหลินสวินส่องประกายดั่งดวงดาว


นี่ก็คือหนึ่งในไพ่ตายที่ทำให้เขาไม่หวั่นเกรงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน กระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันเดิมทีก็น่ากลัวยิ่ง สามารถกักขังสังหารผู้แข็งแกร่งระดับราชัน


แต่อานุภาพของมันทั้งหมดตอนนี้ถูกขวดมหามรรคไร้ขอบเขตดูดกลืนไปแล้ว เมื่อปลดปล่อยออกมาจากขวดอีกครั้งอานุภาพจะเพิ่มขึ้นเท่าทวี!


หากใช้โจมตีศัตรูฉับพลัน ต้องสำแดงอานุภาพทำลายล้างคาดไม่ถึงแน่


ทว่าขวดมหามรรคไร้ขอบเขตแม้อัศจรรย์ แต่ยามดูดซับพลังชวนประหวั่นเช่นนี้ก็ทำเอาหลินสวินเสียพลังไปมากจนเกือบยืนหยัดไม่อยู่


หรือกล่าวได้ว่า ปัจจุบันต่อให้หลินสวินใช้พลังทั้งหมด ก็ทำได้เพียงใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตสะสมพลังที่เทียบเท่าระดับราชัน หากมากกว่านี้ก็จะประคองไม่อยู่ ตรงกันข้ามจะถูกสะท้อนกลับ


หลังเก็บขวดมหามรรคไร้ขอบเขตอย่างระวัง หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ค่อยวางกระบวนผนึกมายาอีกชั้นใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ


กระบวนผนึกนี้แม้ไม่อาจเทียบกระบวนผนึกมรรคราชัน แต่หากใช้ปกปิดร่องรอย แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ล้วนมองจริงเท็จไม่ออก


‘นอกจากวัตถุดิบวิญญาณวางค่ายกล ยังสิ้นเปลืองหนึ่งหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง…’ หลินสวินทอดถอนใจ


วางค่ายกลต้องใช้วัตถุดิบวิญญาณและแกนวิญญาณ แม้ปัจจุบันเขาไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ แต่พอนึกถึงว่าเพียงเพื่อหลบหนีต้องใช้ทรัพย์มากขนาดนี้ ในใจก็อดจะเจ็บปวดไม่ได้อยู่บ้าง


ซ่า…


ไม่นานนักกระบวนผนึกมายาถูกเปิดใช้ บดบังอาณาบริเวณใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณในชั่วพริบตา หมอกหนาอบอวล ไม่เพียงขวางทัศนวิสัย แม้แต่จิตรับรู้ล้วนไม่อาจสอดแนม



ราตรีมืดสงัด เป็นเวลาก่อนรุ่งสาง


ทุกสิ่งเงียบกริบ ทั้งเมืองวายุทรายประหนึ่งกลายเป็นเมืองร้าง เงียบสงัดแม้แต่เสียงหรีดหริ่งล้วนไม่มี


บรรยากาศกดดันขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บนเวิ้งฟ้าปรากฏเงาเมฆหนาทึบชั้นหนึ่งบดบังแสงดาวทั่วนภา


วู้ๆๆ


เสียงลมหวีดหวือดังขึ้นกลางฟ้าดินที่พร่ามัวราวผีร่ำไห้หมาป่าเห่าหอน น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ


ทันใดนั้นเงาร่างเจิดจรัสสายหนึ่งปรากฏตรงประตูเมือง ประกายทองเอ่อท้นตลอดร่าง สลายฉากรัตติกาลละแวกใกล้เคียง


คนผู้นี้ศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก อาภรณ์ปีกปักษา อิริยาบถดุจหงส์มังกร ระหว่างเยื้องกรายท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทาน เป็นฉู่เป่ยไห่ผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์ของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นี่เอง


เขาสองมือไพล่หลัง ย่างก้าวบนท้องถนนมืดมิด ไม่กี่พริบตาก็มาถึงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณใจกลางเมืองนั่น


เมื่อเห็นกระบวนผนึกมายาที่หมอกควันอบอวลนี้เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นมุมปากยกโค้งสื่อนัยยากกระจ่างวูบหนึ่ง


“หลินสวิน ข้ามาแล้วตามที่เจ้าปรารถนา” ฉู่เป่ยไห่เปล่งเสียงฉะฉานเสนาะหู สะท้อนก้องในรัตติกาล


ทว่าที่ทำให้เขามุ่นคิ้วคือ กลางกระบวนผนึกมายานั่นกลับไร้คนตอบรับ


ซ่า…


ฉู่เป่ยไห่ยิ้ม พลิกมือหยิบยันต์ผนึกต้องห้ามขนาดราวฝ่ามือออกมา คล้ายหยกแต่มิใช่หยก ด้านบนประทับรอยสลักวิญญาณเร้นลับแน่นหนา


“ปล่อยพวกเสวี่ยเชียนเหินซะ แล้วยันต์นี้จะเป็นของเจ้า” ฉู่เป่ยไห่สีหน้าเรียบเฉย ตั้งแต่ต้นจนจบเห็นได้ว่าเขาผ่อนคลายและนิ่งสงบยิ่ง


แต่ยังคงไร้คนตอบกลับ


ฉู่เป่ยไห่แววตาดุจอสนี จ้องกระบวนผนึกมายาที่ห่างออกไปเขม็ง พลางมุ่นคิ้วกล่าว “ทำไม หรือเจ้าห่วงว่ามีคนดักซุ่ม วางใจเถอะ ในสายตาข้าการช่วยพวกเสวี่ยเชียนเหินกลับมาสำคัญกว่าการสังหารเจ้าตอนนี้!”


น้ำเสียงเจือความปรามาส คล้ายเห็นว่าหลินสวินระวังตัวและใจเสาะเกินไป


ท่ามกลางรัตติกาลมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เยียบเย็นดุจคมดาบ แต่ไม่อาจพัดหมอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่ากลางกระบวนผนึกนั้นได้


เนิ่นนานไม่ได้รับการตอบกลับ ในใจฉู่เป่ยไห่พลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีวูบหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1009 แคว้นคลื่นคราม

 

ฟึ่บ!


ทันใดนั้นนัยน์ตาฉู่เป่ยไห่ปรากฏเปลวเพลิงทองอร่าม ฉีกผ่ารัตติกาลดุจรวงอสนี พุ่งยิงไปยังกระบวนผนึกมายาที่อยู่ไม่ไกล


เนตรทองอัคคี!


พรสวรรค์โดยกำเนิดอย่างหนึ่งของฉู่เป่ยไห่ สามารถมองทะลุความว่างเปล่า หยั่งรู้ความเป็นจริง


ทว่าไม่นานเขาก็มุ่นคิ้ว กลางกระบวนผนึกมายาหมอกควันทบเป็นชั้นๆ แม้สามารถมองทะลุแต่ไม่อาจเห็นเงาร่างหลินสวิน


หรืออีกฝ่ายไม่อยู่ในค่ายกลนี่แต่แรก


ฉู่เป่ยไห่ผงะในใจวูบหนึ่ง สายตากวาดมองโดยรอบ เมืองวายุทรายที่กว้างใหญ่ว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตนานแล้ว


ทั้งจากที่เขากวาดมองก็ไม่พบสถานที่ซึ่งพอให้อีกฝ่ายแฝงตัว


“หลินสวิน หากเจ้าไม่ปรากฏตัวอีก อย่าหาว่าข้าใช้กำลังทำลายค่ายกลนี่!” ร่างสูงโปร่งของฉู่เป่ยไห่แผ่พลานุภาพชวนประหวั่น ทั้งตัวดั่งทวยเทพเยือนแดนโลกีย์


ถูกมองข้ามไม่ได้รับการตอบกลับเนิ่นนานเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาหมดความอดทนอยู่บ้าง


ตูม!


เขาเรียกดาบเขากวางสีม่วงเล่มหนึ่งออกมา ทันทีที่สมบัตินี้ปรากฏก็เปล่งประกายดั่งพิรุณสีม่วง งามตระการเจิดจ้า อานุภาพเกินคาดเดา


ทว่าไม่รอฉู่เป่ยไห่ลงมือ เสียงทรงพลังหนึ่งพลันสะท้อนก้องกลางฟ้าดิน…


“เป่ยไห่ เจ้าถอยไป เด็กนี่มันเจ้าเล่ห์ เคยใช้กระบวนผนึกมรรคราชันกักขังสังหารอสูรเฒ่าแรดดำ ค่ายกลนี้ให้ข้าทลายเถอะ!”


ที่มาพร้อมเสียงคือเงาร่างชายวัยกลางคนที่กำยำสูงใหญ่ปรากฏขึ้นในลาน รูปร่างล่ำสันดั่งขุนเขา แผ่พลานุภาพราชันชวนประหวั่น ทำเอาหมู่เมฆทั่วสารทิศพังทลาย ห้วงอากาศครวญคร่ำ


เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่ง!


“เช่นนั้นก็รบกวนอาจารย์ลุงเสวียนเหวยแล้ว” ฉู่เป่ยไห่ในใจผงะไปวูบหนึ่งก่อนหลีกทาง


ผ่านการตามล่าหลายวันทำให้เขาเข้าใจนานแล้ว ว่าเทพมารหลินนี่ไม่เพียงกำเริบเสิบสาน ยังเจ้าแผนการล้ำลึกร้ายกาจ ทำให้เขาไม่อาจไม่กังวลว่าในกระบวนผนึกมายาตรงหน้าจะมีแผนสังหารอะไรหรือไม่


ตูม!


เสวียนเหวยลงมือ แสงมรรคทั่วฟ้ารวมเป็นมือใหญ่บดบังนภา ฟาดลงมาเต็มแรง


แค่ชั่วพริบตากระบวนผนึกมายานั่นเปล่งเสียงคร่ำครวญ จากนั้นจึงพังทลายราวทำจากกระดาษ กลายเป็นละอองแสงกระจัดกระจาย


กระบวนท่าง่ายดายเช่นนี้ก็สลายค่ายกลนี้ได้ ทำให้เสวียนเหวยและฉู่เป่ยไห่ล้วนคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่เมื่อทอดสายตามอง สีหน้าทั้งคู่ต่างอึมครึมลง


ก็เห็นหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่เดิมถูกกระบวนผนึกปกคลุมนั่น มีลายอักษรหนักแน่นงดงามแถวหนึ่งเขียนว่า ‘ไม่รอทุกท่านคอยส่ง ขอตัวจากไปก่อน หากวันหน้ามีวาสนาจะไปเยือนสำนักท่านด้วยตัวเอง’


ในดวงตาฉู่เป่ยไห่วูบไหวไม่หยุด หน้าอกราวมีหินก้อนหนึ่งมาอุดไว้ พลันรู้สึกงุ่นง่านและคับข้องสุดพรรณนาจนแทบกระอักเลือด


“ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมรึ… ร้ายนักนะเทพมารหลิน!” เขากล่าวชัดทีละคำ สีหน้าน่ากลัวเยียบเย็น ทั่วร่างแผ่จิตสังหารสะท้านฟ้า


ครั้งนี้เขาวางแผนเตรียมการมาเพียงพอ เดิมคิดว่าสามารถฉวยโอกาสนี้สังหารศัตรู ไหนเลยจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายเจตนาวางค่ายกล แต่ความจริงหนีไปนานแล้ว!


นึกถึงเมื่อครู่ที่ตนพูดกับอีกฝ่าย ในใจฉู่เป่ยไห่เกิดความอับอายไม่อาจระงับ


“เจ้าเด็กนี่สมควรตาย!” สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเสวียนเหวยเองก็สีหน้าอึมครึมไม่น่าดู นี่เท่ากับถูกเด็กรุ่นหลังสัพยอก หากกระจายออกไปต้องขายขี้หน้าแน่!


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


ขณะเดียวกันใกล้เมืองวายุทราย เงาร่างชวนประหวั่นหาใดเปรียบโฉบออกมาทีละร่าง เป็นผู้อยู่ในระดับราชันคนแล้วคนเล่า


ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นอักษรที่หลินสวินทิ้งไว้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดู


ถูกหลอกแล้ว!


ต้องโทษพวกเขาที่เชื่อมั่นเกินไปว่าหลินสวินจะเลือกพึ่งค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ


“เคลื่อนพลทั้งหมดเต็มกำลัง ประกาศจับเด็กนี่ ไม่ว่าอย่างไรอย่าให้มันหนีออกจากแคว้นกู่ชางได้!” เสวียนเหวยกล่าวเสียงขรึม


แม้ออกคำสั่งเช่นนี้แต่ทุกคนต่างรู้ดี ครั้งนี้ปล่อยหลินสวินหนีไปได้ หากหมายขัดขวางเขาเกรงว่าคงยากนัก


เดิมพวกเขายังมีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์ สามารถจับกลิ่นอายหลินสวินได้อย่างแม่นยำ แต่พวกเสวี่ยเชียนเหินถูกจับ ดังนั้นสมบัตินี้จึงตกอยู่ในมือหลินสวินไปด้วย


ประกอบกับหลินสวินมีเคล็ดวิชามหาไร้รูป สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ต่างกันไป ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คิดจับกุมเขาอีกเป็นเรื่องยากลำบากโดยไม่ต้องสงสัย


“น่าชังนัก!” ฉู่เป่ยไห่ก้าวมาเบื้องหน้า ฉีกกระชากลายอักษรที่หลินสวินทิ้งไว้


“เด็กนี่คงจากไปราวสองชั่วยามกว่าๆ ข้าสามารถจับกลิ่นอายมันได้คร่าวๆ อาจมีโอกาสไล่ตามมันทัน!”


ทันใดนั้นชายชราชุดดำร่างผอมคนหนึ่งก้าวออกมากล่าวเสียงขรึม


เขาคือเฉิงไหวคง ระดับราชันของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ชื่อเสียงลือเลื่องนานปี ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ก้าวข้ามอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง ในแคว้นกู่ชางนี้นับได้ว่าเป็นบุคคลน่ากลัวที่ประหนึ่งเจ้าเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่


เห็นดังนี้พวกฉู่เป่ยไห่ก็ตาเป็นประกาย


เพิ่งจากไปสองชั่วยามครึ่ง?


ยังไม่นับว่าสายไป!



ซูม!


ยานขนส่งอวกาศดุจสายรุ้งสีเงิน แผดก้องเหนือนภายามค่ำอันเวิ้งว้าง ชั่วพริบตาก็โฉบออกนอกระยะร้อยลี้ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ


“จากทิศทางนี้ ไม่เกินหนึ่งวันก็สามารถออกจากแคว้นกู่ชางถึงเขต ‘แคว้นคลื่นคราม’”


บนยานสำเภา หลินสวินกางแผนวิเคราะห์


แต่ก่อนเพราะในมือศัตรูมีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์ ทำให้ไม่ว่าเขาหนีไปทางไหน ไม่กี่ชั่วยามก็จะถูกสกัด


นี่ทำให้หลินสวินไม่กล้าใช้ยานขนส่งอวกาศหลบหนี เพราะเกรงจะถูกอีกฝ่ายส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาดักกลางทาง


แต่ปัจจุบันคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์ตกอยู่ในมือเขา จึงไม่ต้องกังวลจุดนี้


อีกทั้งความเร็วการท่องเหินของยานขนส่งอวกาศว่องไวยิ่ง ยามเหินทะยานเต็มกำลังใกล้เคียงความเร็วสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน


ตอนถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามล่าที่แดนฐิติประจิม ก็ได้พิสูจน์ประเด็นนี้ไปแล้ว


‘แม้จับกลิ่นอายข้าได้ ตอนที่พวกเขาไล่ตามมา ข้าคงออกจากแคว้นกู่ชางไปแล้ว…’


หลินสวินสูดหายใจลึก เขารู้ว่าแพ้ชนะวัดกันตรงนี้


ในช่วงเวลาสำคัญไม่อาจผ่อนปรนเด็ดขาด


รัตติกาลลาลับ แสงจากฟากฟ้าเบิกนภา


ผ่านไปหลายชั่วยาม หลินสวินออกจากเขตแดนแคว้นกู่ชางอย่างตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย มาถึงเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ในเขตแคว้นคลื่นคราม


เข้าเมืองไม่นานหลินสวินก็จากไปอีกครั้ง เขาสืบข่าวได้มาว่าในเมืองนาม ‘เสียงวารี’ ที่อยู่ห่างออกไปประมาณนอกพันลี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแห่งหนึ่งเช่นกัน


ค่ายกลนี้ถูก ‘สำนักกระบี่ตะวันแดง’ สำนักชั้นยอดแห่งหนึ่งในแคว้นคลื่นครามดูแล


ขณะหลินสวินเพิ่งจากไปไม่นาน เฉิงไหวคงนำพวกฉู่เป่ยไห่ เสวียนเหวยมาถึงเมืองนี้


นอกจากฉู่เป่ยไห่ คนอื่นล้วนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน มีถึงห้าคน ทันทีที่ปรากฏตัวพลันสร้างความอึกทึกและครึกโครมสู่เมืองนี้


“เจ้าเด็กนี่จากไปแล้ว ดูจากทิศทางคงมุ่งหน้าสู่เมืองเสียงวารีเพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแน่ รีบตามไป!”


ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเฉิงไหวคงพลันโผทะยานดั่งลมพายุ


เมืองเสียงวารี


เมืองนี้แปลกประหลาดพอควร ตั้งอยู่บนเทือกเขามหึมาแห่งหนึ่ง มองจากที่ห่างไกล ยอดเขาเบียดเสียดเรียงราย ทอดยาวดั่งกระดูกมังกร ด้านบนมีเมืองแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ราวกับเป็นอาณาจักรในภูเขา


หลินสวินเก็บยานขนส่งอวกาศ แปลงร่างเป็นชายกลางคนเดินเข้าเมืองเสียงวารี


เมื่อถึงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณในเมือง ที่นี่มีผู้ฝึกปราณมากกว่าร้อยคนต่อแถวยาวเป็นมังกรรออยู่ก่อนแล้ว


“เรียนถามพี่ชาย ค่ายกลนี้เปิดเมื่อไหร่หรือ” หลินสวินเอ่ยถาม


“ใกล้แล้ว อีกประมาณหนึ่งเค่อ” ชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยราบเรียบ


“ไม่ทราบว่าค่ายกลนี้พาไปแคว้นไหนหรือ” หลินสวินถามต่อ


ชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มกลอกตาใส่ กล่าวไม่สบอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็น ‘เมืองฝนเขียว’ แห่งแคว้นพฤกษาทอง เรื่องนี้เจ้าไม่รู้รึ”


หลินสวินยิ้มรับไม่พูดมากอีก


ในใจเขากลับวิเคราะห์ตำแหน่งแคว้นพฤกษาทองออกโดยคร่าวๆ ว่าตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตอนเหนือแดนชัยบูรพา ห่างจากแคว้นกู่ชางที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อยู่กว่าร้อยเขตแคว้น


ขอแค่ไปถึงที่นั่นก็ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกตามล่าอีก


“ทุกท่าน ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณจวนเปิดแล้ว ตอนนี้เริ่มชำระเงิน หนึ่งคนสามพันแกนวิญญาณขั้นสูง!” ชายชราเคราแพะคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง


นี่คือผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่ตะวันแดงที่ดูแลค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ เมื่อใดที่ยืมใช้ค่ายกลนี้ล้วนต้องชำระค่าใช้จ่ายแก่พวกเขา


เพียงแต่เมื่อได้ยินราคาสามพันแกนวิญญาณขั้นสูง หลินสวินพลันตกตะลึง ราคานี้แพงยิ่งนัก หาใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปสามารถแบกรับได้


กระทั่งเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ฝึกปราณแต่ละคนครบ ชายชราเคราแพะนั่นจึงหยิบยันต์ผนึกต้องห้ามออกมาเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ จากนั้นจึงกล่าวเสียงดัง “ทุกท่าน ขอให้พวกเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ!”


ผู้ฝึกปราณนับร้อยทยอยเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ เหมือนกับก้าวผ่านความว่างเปล่า


ถึงตอนนี้หลินสวินแอบเป่าปากโล่งอก ขอแค่ออกจากที่นี่ ต่อไปย่อมมีฟ้าสูงให้นกโบยบิน ต่อให้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่นแข็งแกร่งกว่านี้ก็คงไม่กล้าตามล่าตนทั่วทุกแคว้น


ถึงอย่างไรแม้อาณาเขตแดนชัยบูรพาจะกว้างใหญ่ แต่ล้วนถูกแต่ละสำนักโบราณใหญ่ยึดครอง ต่อให้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คลั่งยิ่งกว่านี้ ก็คงไม่กล้ากำเริบเสิบสานในเขตขุมอำนาจอื่น


“ช้าก่อน!” ทว่าเวลานี้เสียงตวาดดังก้องขึ้น เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งพุ่งทะยานมาเยือน


ครืน!


โดยเฉพาะคนที่นำมานั้น ยังไม่ถึงก็เอื้อมมือปกคลุมค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณซึ่งจวนจะโคจรนั่น หยิบยันต์ผนึกต้องห้ามที่ติดอยู่บนค่ายกลโบราณออกมา


ทุกคนต่างตื่นตะลึง ไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นเงาร่างที่ห้อตะบึงมานั้นต่างก็เงียบกริบดั่งจักจั่นเดือนหนาว สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่


แม้แต่ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่ตะวันแดงล้วนแข็งทื่อไปทั้งตัว เผยสีหน้าหวาดกลัวยำเกรง


เพราะนั่นเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันหลายคนปรากฏตัวพร้อมกัน!


ขุมพลังเช่นนี้ล้วนเพียงพอกวาดล้างทั้งเมืองเสียงวารี แม้เจ้าสำนักสำนักกระบี่ตะวันแดงมาเองก็ต้องให้เกียรติถึงสามส่วน


แต่นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด เขามองเห็นฉู่เป่ยไห่!


โดยเฉพาะชายชราที่นำมานั้น กลิ่นอายว่างเปล่าดั่งเวิ้งฟ้า ล้ำลึกดุจมหาสมุทร ไม่อาจคาดเดา


หลินสวินเห็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันมามาก พริบตาเดียวก็ตัดสินได้ว่าชายชรานี่หาใช่ผู้ที่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั่วไปสามารถเทียบได้ เป็นไปได้สูงที่จะก้าวสู่มรรคาอมตะแล้ว!


นอกจากนี้ใกล้ๆ ชายชรายังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสี่คนตามมาด้วย กระบวนรบนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว


เปรียบเทียบกันแล้ว ฉู่เป่ยไห่กลับเหมือนว่าไม่ค่อยมีภัยคุกคาม


หลินสวินทอดถอนใจในใจ ในช่วงสุดท้ายกลับเกิดเรื่องเช่นนี้ โชคช่างไม่เข้าข้างเสียจริง…


เมื่อพวกฉู่เป่ยไห่มาถึง บริเวณแถบนี้พลันเงียบสงัด เงียบกริบไร้สุ้มเสียง เหล่าผู้ฝึกปราณกระวนกระวาย ไม่รู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น


ขณะเดียวกันเนตรทองอัคคีคู่นั้นของฉู่เป่ยไห่ก็จับร่างชายกลางคนที่หลินสวินจำแลงได้ในชั่วพริบตา มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชาอย่างอดไม่อยู่ พลางกล่าว “หลินสวิน ในที่สุดพวกเราก็เจอกันแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 1010 อานุภาพไร้ขอบเขต

 

น้ำเสียงเยียบเย็น เจือความเหน็บแนมและไอสังหารเข้มข้น


หลินสวินเองก็รู้ว่าเคล็ดวิชามหาไร้รูปที่ตนสำแดง เดิมก็ไม่อาจปิดบังเนตรธรรมของฉู่เป่ยไห่ได้จึงเผยร่างเดิมทันที


ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงจึงรู้ว่า กองกำลังที่มีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมากมายขบวนนี้ มาตามจับเด็กหนุ่มนี่โดยเฉพาะ!


นี่เห็นชัดว่าน่าเหลือเชื่อ แค่เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง มีค่าอะไรถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย


อีกทั้งพวกสายตาเฉียบแหลมส่วนหนึ่งยังดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายออก ว่าพวกฉู่เป่ยไห่คือผู้แข็งแกร่งที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!


นี่เป็นถึงสำนักโบราณของแคว้นกู่ชาง อิทธิพลยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงทั่วแดนชัยบูรพา


เวลานี้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอย่างเฉิงไหวคง เสวียนเหวยต่างกำลังพิเคราะห์หลินสวิน นี่น่ะหรือเทพมารหลิน


ดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่!


“ส่งตัวพวกเสวี่ยเชียนเหินคืนมา ข้าอาจให้เจ้าตายอย่างสมเกียรติบ้าง” ฉู่เป่ยไห่แววตาเยียบเย็น สีหน้าอำมหิตไร้ปรานี


ความจริงการตามล่าตลอดเส้นทางนี้ทำให้เขาสะสมเพลิงโทสะสุมอกนานแล้ว


เริ่มจากถูกหลินสวินหลอก คว้าน้ำเหลวที่เมืองวายุทราย จากนั้นก็ตามไล่ล่าจากแคว้นกู่ชางถึงเมืองเสียงวารีแคว้นคลื่นครามนี่ กระทั่งหากช้าเพียงก้าวก็จะปล่อยเป้าหมายหลุดไปได้


ต่อให้ฉู่เป่ยไห่ความคิดอ่านล้ำลึกมากกว่านี้ ก็ไม่อาจระงับโทสะภายในใจได้


“พวกเจ้าถอยไปและส่งยันต์ผนึกต้องห้ามมาก่อน แล้วข้าจะปล่อยพวกเขา” เห็นได้ว่าหลินสวินเยือกเย็นยิ่ง กล่าวราบเรียบ


“ไอ้เด็กเดรัจฉาน เจ้ายังกล้าต่อรองอีกรึ” เสวียนเหวยตวาดกร้าว อานุภาพดั่งทวยเทพสยบทั่วลาน ทำเอาจิตวิญญาณผู้คนต่างรู้สึกกดดันหาใดเปรียบ


ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งเห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีจึงถอยหนีห่างไปไกลนานแล้ว เกรงแต่จะถูกลูกหลง


เมื่อราชันเดือดดาล โลหิตหลั่งดั่งสายธาร น่าพรั่นพรึงยิ่ง!


แม้แต่หลินสวินก็ถูกเสียงตวาดนี่กระเทือนจนเลือดลมทั่วร่างพลิกม้วน ในใจไม่อาจไม่ยอมรับว่าเมื่อตนเทียบกับราชันที่แท้จริงแล้ว สุดท้ายก็ยังต่างกันมาก


ทว่าเขากลับไม่หวั่นเกรง กล่าวเย็นชา “ไอ้แก่เดรัจฉาน เสียแรงที่เจ้ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ฐานะสูงส่งอิทธิพลล้นฟ้า ทำไมพูดจาขยะเช่นนั้น”


“เจ้ารนหาที่ตาย!” เสวียนเหวยสีหน้าขรึมลง ในดวงตาดั่งมีวังวนสายฟ้าคะนองชวนประหวั่นหมุนเวียน น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ


เมื่อไหร่กันที่กล้ามีคนด่าเขาว่าไอ้แก่เดรัจฉาน


ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!


ตูม!


แรงกดดันมหาศาลไร้รูปหนึ่งสายแผ่กระจายจากร่างเสวียนเหวย บีบอัดไปทางหลินสวินอย่างหนักหน่วง


“อ๊าก…” เสียงโหยหวนหนึ่งดังจากร่างหลินสวิน แต่กลับไม่ใช่เสียงหลินสวิน


“ศิษย์น้องจางเจิง!” ฉู่เป่ยไห่สีหน้าอึมครึมกล่าวเดือดดาล “หลินสวิน เจ้าทำอะไรศิษย์น้องจางเจิง”


“ไม่มีอะไร แค่เอาชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่ง หากท่าทีพวกเจ้ายังหยิ่งผยองเช่นนี้ เช่นนั้นเขาอาจไม่มีชีวิตรอด” หลินสวินผ่อนคลายสบายใจ


แม้แรงกดดันของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันจะแข็งแกร่ง แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เขาสั่นสะเทือน


“เจ้า!” ฉู่เป่ยไห่และเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าต่างสีหน้าอึมครึม ไอสังหารห้อมล้อม พลานุภาพชวนประหวั่นนั่นทำท้องฟ้าทั้งเมืองเสียงวารีต่างปกคลุมด้วยไอสังหารชั้นหนึ่ง พาให้ทั้งเมืองต่างตื่นตระหนก


“ส่งมอบยันต์ผนึกต้องห้ามมา ไม่เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้พวกเจ้าอย่าหวังจะได้เห็นพวกจางเจิงอีก!” หลินสวินไม่กล่าวมากความแม้แต่น้อย ดวงตาเยียบเย็นจ้องมองพวกเขา แข็งกร้าวเหลือประมาณ


นี่ทำให้พวกฉู่เป่ยไห่โกรธจนแทบคลั่ง


ไล่ตามศัตรูอย่างยากลำบากกลับถูกอีกฝ่ายข่มขู่เช่นนี้ รสชาตินี้ทำเอาพวกเขาต่างรู้สึกเดือดดาลและอัดอั้นเหลือคณนา


“ได้!”


เหนือความคาดหมาย เฉิงไหวคงที่เงียบมาตลอดขานรับฉะฉานยิ่ง สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ซัดยันต์ผนึกต้องห้ามที่เก็บมาก่อนหน้าแหวกอากาศพุ่งไปทางหลินสวิน


แต่เกือบเวลาเดียวกัน นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด


เพราะที่มาพร้อมยันต์ผนึกต้องห้ามยังมีมือใหญ่ปิดคลุมฟ้าดินข้างหนึ่ง ดั่งกรงเล็บมังกรที่เอื้อมผ่านอากาศฉับพลัน แสงมรรคเปล่งประกายทันใด ก่อให้เกิดพลานุภาพอัศจรรย์ชวนประหวั่นไร้ขอบเขตไม่อาจต้านทาน!


พริบตานั้นหลินสวินก็ถูกกรงเล็บกระชากไปง่ายดายราวเด็ดบุปผาปลิดใบหญ้า


นี่ก็คือพลังราชันอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง ทรงพลังไร้ขอบเขต จัดการผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติอย่างหลินสวินได้เหมือนก้มมองปลวกมด ไม่จำเป็นต้องใส่ใจแต่แรก


พวกฉู่เป่ยไห่ต่างเป่าปากโล่งอกทันที แม้แต่พวกเขาล้วนไม่อาจไม่ชื่นชม การโจมตีนี้ของเฉิงไหวคงช่างเรียกได้ว่าเฉียบขาดไม่อาจต้านทาน!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หลินสวินนั่นต้องถูกคุมตัวแน่ ไม่อาจมีโอกาสสังหารพวกเสวี่ยเชียนเหินอีก


ทว่าเหนือความคาดหมายทุกคน ในกระบวนการนี้หลินสวินไม่ต่อต้านกลับให้ความร่วมมือยิ่ง ถือโอกาสพุ่งเข้าหา


ขวดหยกมันแพะขนาดไม่กี่ชุ่นปรากฏกลางอากาศอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง และถูกหลินสวินกระทุ้งโดยตรง


ตูม!


เสียงกัมปนาทราวภูเขาถล่มทะเลคำรามดังขึ้น คลื่นกระบวนผนึกบาดตาไร้สิ้นสุดสาดแสง อุบัติราวดวงตะวันเจิดจ้ารุนแรง จากนั้นก็เหมือนระเบิดออก


ชั่วพริบตาบริเวณนี้งามแปลกตา แสงศักดิ์สิทธิ์งามตระการทะลวงห้วงอากาศ ประหนึ่งเปิดประตูแห่งความพินาศ รอยผนึกมรรคราชันแน่นหนาโหมกระหน่ำปกคลุมฟ้าดินนี้


นี่คือพลังน่าหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบาย สะเทือนใต้หล้ายิ่ง!


‘แย่แล้ว!’


เฉิงไหวคงที่เดิมสีหน้าเยียบเย็นมาดมั่น บัดนี้กลับหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่ ฝ่ามือที่เขาคว้าจับถูกป่นเป็นจุณชั่วพริบตา


อีกทั้งยังไม่ทันหลีกหลบก็ถูกคลื่นผนึกต้องห้ามไร้สิ้นสุดฝังกลบ ทันใดนั้นเขาเปล่งเสียงทุรนทุราย ทั่วร่างเผาไหม้ดิ้นรนไม่หยุด


ขณะเดียวกันสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนอื่นอย่างเสวียนเหวยเห็นสถานการณ์ไม่เข้าที เดิมคิดหลบหนีแต่กลับไม่ทันการ ถูกปกคลุมไปตามๆ กัน


หาใช่พวกเขาไม่ได้เรื่อง แต่ภายในขวดมหามรรคไร้ขอบเขตรวบรวมอานุภาพแกร่งสุดของกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันยามโคจรเต็มกำลังไว้ หลังผ่านการเพิ่มพลังจากขวดมหามรรคไร้ขอบเขต อานุภาพยิ่งพุ่งทะยานเท่าทวีเต็มกำลัง!


กล่าวได้ว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญตอนนี้ก็คือกระบวนผนึกมรรคราชันที่พลานุภาพเพิ่มเป็นเท่าตัว มีหรือจะเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถต้านทานได้


อีกทั้งสถานการณ์กะทันหัน แม้พวกเขาผ่าสมองออกมาก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าในมือหลินสวินจะมีสมบัติมหัศจรรย์คาดไม่ถึงเช่นนี้ จึงประสบอันตรายอย่างไม่คาดฝันโดยสิ้นเชิง


น่าเศร้าที่เฉิงไหวคงเป็นถึงราชันที่ก้าวสู่อมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง ยังไม่สำแดงอานุภาพก็ถูกพลังกระบวนผนึกชวนประหวั่นปกคลุม ผู้ทรงพลังอย่างเขายังส่งเสียงร้องโหยหวนหาใดเปรียบ


ทั่วร่างเขาราวลุกเป็นไฟ ทุกอณูผิวไหม้เกรียม เนื้อหนังต่างถูกเผาไหม้


พวกเสวียนเหวยเองก็ไม่ต่างกัน เงาร่างถูกกลบอยู่ในคลื่นผนึกต้องห้ามน่าหวาดกลัว ไม่ว่าดิ้นรนอย่างไรล้วนยากหลบหนี กลับถูกซัดกระจุยจนผิวปริเนื้อแตกอเนจอนาถหาใดเปรียบ


ที่ไกลออกไป ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนหวาดหวั่นพรั่นพรึง นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ชั่วพริบตาสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันหลายคนประสบเคราะห์โดยพร้อมเพรียง นี่ทำให้ผู้คนต่างไม่อาจเชื่อ


ขณะเดียวกันพวกเขาตกตะลึงหาใดเปรียบ ไม่อาจจินตนาการว่าเด็กหนุ่มตัวคนเดียวที่มีปราณเพียงระดับกระบวนแปรจุติ กลับมีพลังโจมตีราชันหลายคนจนบาดเจ็บหนัก นี่หากแพร่ออกไปต้องสะเทือนใต้หล้าแน่


ที่เหนือความคาดหมายคือฉู่เป่ยไห่กลับหลบได้


หนึ่งคือหลินสวินเพ่งเล็งสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นโดยเฉพาะ เห็นว่าภัยคุกคามของฉู่เป่ยไห่ไม่ได้มาก


สองคือในช่วงเวลาสำคัญฉู่เป่ยไห่เรียกถ้วยหินสีดำประหลาดใบหนึ่งออกมา เปล่งแสงสีเงินต้านการโจมตีทั้งปวง พาร่างเขาไปจากตำแหน่งเดิมปรากฏตัวนอกระยะหลายร้อยจั้งทันที ไม่ต่างอะไรกับเคลื่อนย้ายพริบตา!


ไม่จำเป็นต้องสงสัย ถ้วยหินสีดำประหลาดนี่คือสมบัติน่าเหลือเชื่อชิ้นหนึ่ง


ต่อให้เป็นเช่นนั้นฉู่เป่ยไห่ก็ยังตกใจจนเหงื่อแตกทั้งตัว ถ้วยหินสีดำคือสิ่งที่เขาได้รับจากศิลาอุกกาบาตอัศจรรย์ในงานประเมินหิน คือสมบัติหายากลึกลับเกินคาดเดานาม ‘ถ้วยแปรนภา’


ครั้งนี้หากไม่ใช่สมบัตินี่ เขาคงถูกกำจัดทิ้งชั่วพริบตาแน่!


ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงพลังผนึกต้องห้ามมรรคราชัน แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันล้วนต้านไม่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้กล้ารุ่นเยาว์อย่างเขาเลย


“น่าชังนัก!” ฉู่เป่ยไห่สีหน้าคล้ำเขียว โกรธจนดวงตาแทบถลน


เดิมพวกเขารู้ดีว่าในมือหลินสวินมีสมบัติอริยะเป็นเจดีย์สมบัติชิ้นหนึ่ง แต่ไม่น่าหวาดกลัวอะไรนัก เพราะพวกเขาเชื่อว่า ด้วยพลังหลินสวินคงไม่อาจสำแดงอานุภาพทั้งหมดของสมบัติอริยะออกมาทั้งหมด


ขอแค่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันออกมือก็เพียงพอกำราบเขาได้


ใครเล่าจะคาดคิด ไม่ทันเห็นสมบัติอริยะนี่ อีกฝ่ายก็เรียกพลังกระบวนผนึกมรรคราชันชวนประหวั่นยากอธิบายออกมาในชั่วพริบตา!


เพียงชั่วขณะก็ซัดจนพวกเขารับมือไม่ทันสักอย่าง


เวลานี้แม้ฉู่เป่ยไห่เดือดดาลหาใดเปรียบ แต่เขากลับไม่กล้าเข้ามา การโจมตีนั่นน่าหวาดกลัวเกินไป มืดฟ้ามัวดิน สัมผัสมันต้องตายแน่


หลินสวินแทบไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ กระตุ้นขวดมหามรรคไร้ขอบเขตอย่างบ้าคลั่ง โจมตีใส่พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอย่างเฉิงไหวคงทั้งหมด


“บังอาจ! ใครมันกล้าหาเรื่องสำนักกระบี่ตะวันแดงของข้า”


เหนือนภาเมืองเสียงวารีก้องเสียงตวาดดั่งฟ้าคะนอง เป็นเจ้าสำนักสำนักกระบี่ตะวันแดงถูกรบกวนตื่น นี่คือผู้ดำรงระดับราชันคนหนึ่งเช่นกัน


หลินสวินนัยน์ตาพลันหรี่ลง เหลือบมองในลานวูบหนึ่ง มีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งถูกสังหาร ร่างถูกจู่โจมกลายเป็นสามท่อนเหมือนถ่านหินหมดควันที่แตกหัก พลังจิตวิญญาณล้วนดับมอด


พวกเฉิงไหวคงต่างดูไม่จืด ถึงแม้รอดชีวิตก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ได้รับบาดเจ็บหนักอย่างยากจินตนา


หาได้ลังเลไม่ เงาร่างหลินสวินวูบไหวโผเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ นำยันต์ผนึกต้องห้ามที่คว้าได้ฝังลงบนแท่นบูชาค่ายกลโบราณ


วู้ม!


ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณหมุนโคจรแผ่คลื่นทะลวงเมฆา


เงาร่างหลินสวินหายไปชั่วพริบตา


“หลินสวิน ไม่ว่าเจ้าหนีไปไหน ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ แน่นอน!!” ฉู่เป่ยไห่โกรธจนผมตั้ง แหงนมองฟ้าแผดตะโกน โกรธจนแทบวิกลจริต


“ไอ้เด็กเดรัจฉาน! ข้ากับเจ้าไม่อาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน!” เฉิงไหวคงเองคำรามพิโรธ


เขาและผู้แข็งแกร่งระดับราชันสามคนโชคดีรอดมาได้ แต่ล้วนอเนจอนาถหาใดเปรียบ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่าทางเศร้าหมองเกือบสิ้นชีวาวาย


ไกลออกไป ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนใจสั่นต่างมีลางสังหรณ์เด่นชัด นี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ จะต้องสั่นสะเทือนแคว้นกู่ชาง แพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า


ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ แค่ไม่ถึงหนึ่งวันข่าวก็แพร่กลับไปในเขตแคว้นกู่ชางด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ ก่อให้เกิดคลื่นลมล้นฟ้า


เวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งเดือน แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ตามล่าหลินสวินก็สูญเสียผู้สืบทอดมากมาย ราชันหลายคนออกจู่โจมก็ได้รับบาดเจ็บหนัก กระทั่งยังมีราชันผู้หนึ่งล้มตาย!


นี่ใครจะกล้าเชื่อ


แต่เทพมารหลินซึ่งก่อเรื่องทุกอย่าง ท้ายที่สุดกลับหนีไปได้อย่างปลอดภัย อาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณลาจาก ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนลูกตาแทบถลน สั่นสะเทือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เห็นหัวหลินสวิน คิดว่าเขาล่วงเกินแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แม้ครองพลังพลิกฟ้าก็หนีความตายไม่พ้น


แต่ความจริงกลับตีแสกหน้าพวกเขาโดยไม่ต้องสงสัย!

 

 

 


ตอนที่ 1011 กระบวนเฉือนเกิดดับ

 

แคว้นพฤกษาทอง เมืองฝนเขียว


หมอกพิรุณพร่าเลือน ท้องถนนสิ่งปลูกสร้างในเมืองล้วนแฝงกลิ่นอายโบราณดั่งบทกวีและภาพวาด


วู้ม…


ใจกลางเมือง ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเปิดออกเผยเงาร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่ง


ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจคือ ทันทีที่คนผู้นี้ปรากฏตัวก็แหงนมองฟ้าหัวเราะร่าไม่หยุดราวเสียสติ ถูกผู้ฝึกปราณไม่น้อยละแวกใกล้เคียงวิพากษ์วิจารณ์


หลินสวินก็สังเกตเห็นภาพนี้ แต่เขาคร้านจะใส่ใจ ชีวิตคนเรายามปิติควรรื่นเริงให้เต็มที่ ไยต้องใส่ใจสายตาคนอื่น


‘ร้ายกาจซะจริง เพื่อจู่โจมสังหารข้าถึงขั้นส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาห้าคน น่าเสียดาย สุดท้ายพวกเจ้าก็วางหมากช้าไป!’


ในใจหลินสวินเบิกบานยิ่ง ความอัดอั้นหลายวันที่ผ่านมาหายเป็นปลิดทิ้ง


ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตามล่าจนไร้หนทาง บัดนี้ไม่เพียงหนีรอดปลอดภัย ยังมอบความเสียหายสาหัสที่คาดไม่ถึงแก่อีกฝ่าย มีหรือหลินสวินจะไม่ยินดี


โดยเฉพาะยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งถูกสังหารทั้งเป็น หลินสวินล้วนยากจะเชื่ออยู่บ้าง อีกทั้งซ้ำสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนอื่นอีกสี่คนก็บาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย ราวกับภาพฝันไม่ใช่ความจริง


‘เพื่อให้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตสะสมพลังต้องสิ้นเปลืองสามหมื่นกว่าแกนวิญญาณขั้นสูง แต่สามารถสร้างผลอัศจรรย์เช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า…’


หลินสวินมั่นใจยิ่งกว่าเดิม ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตต้องเป็นยอดอาวุธสังหารแน่ หากสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ แม้เผชิญหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่ต้องหวาดกลัว!


หลินสวินไม่ชักช้า สาวเท้าจากไป ชั่วพริบตาร่องรอยก็ลางเลือน ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณถูกเปิดใช้ได้ทุกเมื่อ ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน


แคว้นพฤกษาทองตั้งอยู่ในบริเวณค่อนข้างห่างไกลทางตอนเหนือของแดนชัยบูรพา มุ่งไปทางเหนือข้ามผ่านอีกสิบกว่าแคว้นก็เป็นแม่น้ำพรมแดนที่ขวางกั้นระหว่างแดนชัยบูรพาและแดนดาราอุดร


หากไปทางใต้ ขอแค่ผ่านเจ็ดแคว้นก็สามารถไปถึง ‘นครหยกขาว’ ที่สำนักกระบี่เทียมฟ้าตั้งอยู่!


เมืองฝนเขียวมีหมอกฝนพร่าเลือน ทั้งเมืองเผยบรรยากาศเลือนรางว่างเปล่า งดงามเงียบสงบดั่งบทกวีและภาพวาด


แม้แต่ไอวิญญาณในอากาศล้วนเต็มแน่น เหมาะแก่การบำเพ็ญยิ่ง


น่าเสียดาย สำหรับเมืองนี้หลินสวินเป็นแค่คนผ่านทาง


หลังจากนั้นครู่ใหญ่


เขาออกจากเมืองฝนเขียว ตัดผ่านป่าเขานอกชานเมือง มุ่งหน้าไปทางใต้ตลอดทาง


นี่คือผลจากการใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ตามการวิเคราะห์ของหลินสวิน หากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ยังไม่เลิกรา ต้องคิดว่าตนจะอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณหลบหนีแน่


อีกทั้งความเข้าใจของเขาต่อแดนชัยบูรพายังมีแค่แง่เดียว จึงคิดฉวยโอกาสนี้อาศัยฐานะนักเดินทางท่องเที่ยวในแดนนี้สักพัก


อ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ สำหรับการฝึกปราณแล้วก็เป็นเช่นเดียวกัน


แดนชัยบูรพามีฉายาว่า ‘แหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ’ เป็นแดนวิภูซึ่งเก่าแก่รุ่งเรืองที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ สำนักแออัดเรียงราย หมื่นเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ รากฐานน่าอัศจรรย์


คิดหมายฝึกปราณเด่นผงาดในที่นี้ แน่นอนว่าต้องทำความเข้าใจและปรับตัวเป็นอันดับแรก



ทุ่งหญ้าหุบเขาเงียบสงบ เวิ้งว้างไร้ขอบเขต


เดินทางอยู่ในนั้นอย่างสันโดษ ทุกแห่งสามารถมองเห็นภูเขาประหลาดหินพิสดาร น้ำตกหลั่งรินน้ำพุเวียนวน สิงสาราสัตว์ร้องคำรามห้อตะบึง


เทียบกับเมืองที่ผู้ฝึกปราณพำนักแล้ว ทุ่งชานเมืองกว้างใหญ่และไพศาลกว่าโดยไม่ต้องสงสัย


รุ่งเช้าหลินสวินตื่นรับอรุณแรก ก้าวย่ำกลางอากาศ เดินทางเพียงลำพังกลางภูผาธารา มองทัศนียภาพอัศจรรย์แห่งฟ้าดิน หยั่งรู้วิชาแห่งตน


ยามสายัณห์ดั่งวิหคล้าหวนคืนป่า ตกปลาล่าสัตว์ก่อไฟทำอาหาร ลิ้มรสโอชาจากของหายากบนภูเขา


ยามค่ำคืนหลินสวินอาบไล้แสงดารา นั่งสมาธิฝึกตนท่ามความเงียบงัน…


สภาวะจิตเขาผ่อนคลายโดยสมบูรณ์ สัมผัสถึงความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


ตั้งแต่เข้าสู่แดนฐิติประจิมจวบจนปัจจุบันเขายังไม่เคยผ่อนคลายเช่นนี้มาก่อน ไม่มีเรื่องเข่นฆ่าบุญคุณความแค้น และไม่มีเรื่องทางโลกรบกวน


ตลอดทางฟ้าดินเป็นเพื่อน ภูเขาแม่น้ำร่วมเคียง ลืมสิ้นสิ่งกังวลแห่งโลกหล้า!


เขามุ่งหน้า นั่งสมาธิ หยั่งรู้วิชา เดินทางต่อเพียงลำพัง…



ทุ่งชานเมืองหาใช่ดินแดนในอุดมคติ มีอันตรายเกินคาดเดาเช่นกัน


ค่ำวันนี้


หลินสวินซึ่งนั่งสมาธิลืมตาขึ้นอย่างเงียบเชียบ รวบนิ้วกรีดวาดเกิดเป็นเจตดาบสายหนึ่ง


ฉัวะ!


ห้วงอากาศพลันถูกเฉือนเกิดรอยแยกยาวร้อยพันจั้ง


ปลายทางของรอยแยก เงาดำที่อยู่ด้านข้างพลันวาบปรากฏ เห็นได้ว่าอเนจอนาถอยู่บ้าง เปล่งเสียงเกรี้ยวกราดสะเทือนนภา


นี่คือหมาป่าดำตัวหนึ่ง นัยน์ตามรกตดุจอัคคี ร่างยาวประมาณสิบกว่าจั้ง ดุดันปราดเปรียว แผ่กลิ่นอายอำมหิตสยบผู้คน


พร้อมๆ กับเสียงคำรามนี้ ภูผาสูงชันเงียบสงัดแถบนี้ต่างสั่นระรัว ลมเมฆเปลี่ยนสี


‘หมาป่าขุมทมิฬ’ ที่ก้าวสู่ระดับกึ่งราชัน!


“เจ้าหนุ่ม ที่นี่คืออาณาเขตของข้า…” มันส่งเสียงคำราม


เพิ่งกล่าวไปครึ่งหนึ่งหลินสวินก็โจมตีออกไปแล้ว วาดนิ้วกรีดเฉือน พริบตานั้นรวงแสงเปล่งประกายพลันโฉบพุ่งออกไป


ฟุ่บ!


หมาป่าขุมทมิฬซึ่งก้าวสู่ระดับกึ่งราชันตัวนี้ยังไม่ทันดิ้นรน ร่างกายใหญ่โตก็ดับสลายในบัดดล!


ตายอย่างรวดเร็ว ทั้งไม่ร้องทุรนทุราย ไม่มีภาพอนาถฝนโลหิตสาดพรมหลังถูกสังหาร กระทั่งไม่เหลือกลิ่นอายเพียงเสี้ยว


เสมือนรอยเปื้อนบนกระดาษถูกลบออกไปจนสิ้น!


ตั้งแต่ต้นจนจบห้วงอากาศเงียบสงัด ภูเขาแม่น้ำเงียบงัน สรรพสิ่งไม่สังเกตเห็น ผีเทพไม่ถูกทำให้ตระหนก มีเพียงหมาป่าขุมทมิฬนั่นไม่ดำรงอยู่แล้ว


“เกิดดับชั่วพริบตา…” หลินสวินกล่าวกับตัวเอง


การโจมตีนี้คือ ‘กระบวนเฉือนเกิดดับ’ ที่เขาเพิ่งหยั่งรู้ไม่นาน กระบวนท่าที่ห้าของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า


เหตุใดจึงเรียกเกิดดับ


ชั่วดีดนิ้วคือหกสิบขณะ ชั่วขณะคือเกิดดับเก้าร้อย!


กระบวนเฉือนเกิดดับมาจากแก่นอัศจรรย์แห่ง ‘การเกิดดับชั่วพริบตา’


เมื่อกรีดเฉือนก็สามารถแบ่งแยกการเกิดดับได้ในพริบตา เร็วจนน่าเหลือเชื่อ เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างไม่อาจจินตนา!


นัยเร้นลับที่การโจมตีนี้แฝงเอาไว้เรียกได้ว่าล้ำลึกยากหยั่งถึง ลึกซึ้งกว้างไกล


ปัจจุบันหลินสวินได้แค่เข้าใจเบื้องต้น แต่แม้เป็นเช่นนั้นเขากลับมั่นใจยิ่งว่าหากพบยอดราชันกึ่งระดับอย่างเหวินสิงโจวอีก แค่การเฉือนเดียวก็สามารถดับชีวิตอีกฝ่ายได้!


‘เกิดๆ ดับๆ แบ่งได้ในชั่วพริบตา นัยแท้จริงนี้ช่างอัศจรรย์เกินบรรยาย กระบวนเฉือนนี้คือการโจมตีที่มีพลังสังหารสูงสุดเท่าที่ข้ามีในปัจจุบัน…’


หลินสวินสำนึกรู้เงียบๆ ก่อนปิดตาลงใหม่อีกครั้ง


ทุกเสียงเงียบกริบ รัตติกาลนิ่งสงบ เหนือศีรษะดวงดาวส่องประกายราวภาพฝัน



หลายวันต่อมา


แคว้นลักษณ์มายา เมืองทุ่นบรรพต


ใจกลางเมืองมีต้นข่าวสารทองคำต้นหนึ่ง


‘เยี่ยเฉินอัจฉริยะวิถีกระบี่รุ่นเยาว์ของ ‘ตระกูลเก่าแก่เยี่ย’ แห่งเขาจื่อเวยแดนดาราอุดร ผู้ครองฉายา ‘มารกระบี่จื่อเวย’ มาเยือนแดนชัยบูรพา เอาชนะผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งหกสำนักใหญ่โบราณในสามวัน!’


‘อวี่หลิงคงผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณเข้าร่วม ‘ชุมนุมชาแสงสมบัติ’ คนเดียวเอาชนะยอดผู้กล้าสิบแปดคน!’


‘อู่เต้าคงผู้สืบทอดสำนักผาดาราบุกเดี่ยวเข้า ‘ถ้ำวิญญาณโลหิต’ สังหารวิญญาณโลหิตแปดร้อยตนและจากไปอย่างผ่าเผย!’


หน้าต้นข่าวสาร ข่าวใหญ่เรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกบอกเล่าออกมา ก่อเกิดเสียงอื้ออึงอัศจรรย์ใจเป็นระลอก


เรื่องที่สามารถปรากฏบนต้นข่าวสารทองคำ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่เพียงพอจะปั่นป่วนแดนชัยบูรพา ข่าวทั่วไปไม่มีคุณสมบัติพอแต่แรก


ในฝูงชนหลินสวินยืนเงียบเชียบ


หยั่งรู้โลกภายนอก เรื่องราวทางโลกหลอมจิต ทั้งการไม่ข้องเกี่ยวและการเข้าสู่สังคมต่างเป็นการบำเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง


หมายผงาดง้ำท่ามกลางสงครามมหายุค ก็ต้องเผชิญการประลองกับหมื่นผู้กล้า หากมัวแต่ละทางโลกไม่ออกมาก็ไม่ต้องพูดถึงการชิงชัยแล้ว


วันนี้หลินสวินเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่คนในขอบเขตมกุฎแห่งแดนกาฬทักษิณ แดนดาราอุดรเอง ล้วนทยอยมาถึงแดนชัยบูรพา ทั้งฉายแววเจิดจรัสเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนสะเทือนใต้หล้า


ดังเช่นเยี่ยเฉินมารกระบี่จื่อเวยผู้นี้


หรืออย่างอวี่หลิงคงผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะ


ไม่จำเป็นต้องสงสัย ผลงานการต่อสู้ในแดนชัยบูรพาของพวกเขาล้วนสามารถชักนำความอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ได้รับการแพร่ข่าวบนต้นข่าวสารทองคำ แน่นอนว่าพลังต่อสู้ต้องไม่ธรรมดา


‘ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อวี่หลิงคงครองพลังต่อสู้ระดับใด…’ หลินสวินขบคิด


“เทพมารหลินก็ไม่แย่ ยามอยู่แดนฐิติประจิมก็ก่อคลื่นลมไม่น้อย เพิ่งมาถึงแดนชัยบูรพาก็ต่อกรกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนหนึ่งยังตายอนาถในมือเขา!”


มีคนทอดถอนใจ ดึงดูดความสนใจหลินสวิน


“เจ้าเด็กนี่เป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่งจริงๆ แม้กล่าวว่าอาศัยของนอกกายสังหารราชันผู้นั้น แต่เขาสามารถตีฝ่าแหวกทางโลหิตอย่างแข็งกร้าวออกจากการปิดล้อมเป็นชั้นๆ ได้ นี่ไม่ธรรมดาเลย”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายดังขึ้น


หลินสวินถึงได้เข้าใจ เรื่องที่เขาก่อในแคว้นกู่ชางได้แพร่กระจายทั่วแดนชัยบูรพาแล้ว


ผลงานการต่อสู้ของเขาล้วนทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกคาดไม่ถึง แน่นอนว่าส่วนมากต่างตกตะลึง


เด็กหนุ่มซึ่งมาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง กลับเด่นผงาดในแดนฐิติประจิมราวพลิกฟ้า จากนั้นยังหนีรอดการตามล่าของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่แดนชัยบูรพา ไม่คิดดึงดูดความสนใจผู้คนล้วนยากนัก


โดยเฉพาะเรื่องที่เขามีสมบัติอริยะล้วนไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แพร่สะพัดไปพร้อมเหตุการณ์เหล่านี้


สำหรับหลินสวินข่าวนี้ย่ำแย่โดยไม่ต้องสงสัย


ในตอนนี้เขายังไม่กลายเป็นราชันอย่างแท้จริง ไม่อาจผงาดกร้าวเหนือแดนชัยบูรพาที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน สำนักเรียงรายได้


และเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือเขาก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถทำให้อริยะตาลุกวาว เป็นบ่อเกิดหายนะอย่างหนึ่ง ต้องชักนำความละโมบมากมายเป็นแน่


แม้เขาเคยสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน ทำให้ผู้คนในใต้หล้าตื่นตระหนก แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่ไม่ใช่พลังของเขา สิ่งที่พึ่งพาคืออานุภาพแห่งยอดสมบัตินอกกาย


ประกอบกับเขาไร้ที่พึ่ง แน่นอนว่าต้องถูกเพ่งเล็งง่ายกว่าคนอื่น


“ยังมีเวลาหนึ่งปีก่อน ‘การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู’ ในรอบสามสิบปีจะเปิดฉาก ถึงเวลานั้นแดนชัยบูรพาต้องมีคลื่นลมถาโถมแน่!”


ขณะหลินสวินเตรียมจากไป กลับถูกเสียงสนทนาหนึ่งดึงดูด


“ไม่ผิด สงครามมหายุคจวนมาเยือน การประลองกระดานดาราคราวนี้ต้องต่างจากอดีตสิ้นเชิง บุคคลแห่งยุคที่มีปณิธานประชันกันในมหาสงครามต้องเข้าร่วมแน่ ถึงเวลานั้นคงกลายเป็นการเปิดฉากช่วงชิงความเป็นใหญ่ของผู้กล้ารุ่นเยาว์แน่นอน!”


“การประลองกระดานดาราเป็นการปูพื้นก่อนกระดานทองคำผู้กล้ามาเยือน ขอแค่สามารถดันตนขึ้นสู่ร้อยอันดับแรก ก็เท่ากับมีสิทธิ์ทะลวงกระดานทองคำผู้กล้า!”


ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หลินสวินหันหลังจากไป


การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูสืบทอดมาแต่สมัยบรรพกาลจนปัจจุบัน เป็นการชุมนุมวิถียุทธ์ครั้งใหญ่ของผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์สี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ


ทุกสามสิบปีการประลองกระดานดาราจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง


หลินสวินเองก็สนใจเรื่องนี้มาก


ภายในสองปีมหายุคจะมาเยือน และการประลองกระดานดารานี่ก็เป็นการแข่งขันของผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์สี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ ก่อนมหายุคมาเยือนเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้กล้าทั้งใต้หล้าแน่


‘หากมีโอกาส หลังจากนี้หนึ่งปีต้องลองไปดู’


หลินสวินใคร่ครวญพลางออกจากเมืองทุ่นบรรพต


ช่วงเวลาต่อมาหลินสวินยังเดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำเพียงลำพัง บางครั้งจึงเข้าเมืองสืบข่าวใหม่ที่เกิดขึ้นในแดนชัยบูรพา


ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ข้ามผ่านเขตแดนหลายแคว้น เดินทางบนเส้นทางหลายแสนลี้แล้ว


ผ่านไปหนึ่งเดือน


ในที่สุดหลินสวินก็เข้าสู่เขตแคว้น ‘นครหยกขาว’


สำนักกระบี่เทียมฟ้าตั้งอยู่ในแคว้นนี้!

 

 

 


ตอนที่ 1012 เหนือฟ้านครหยกขาว สิบสองห...

 

เหนือฟ้านครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง


เซียนโอบเหนือศีรษะ ผูกเกศารับอมร


แคว้นนี้แต่โบราณมามีตำนานปกรณัมน่าเหลือเชื่อนับไม่ถ้วน ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเคยให้กำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานมากมาย


เรื่องเล่าขานที่ดังที่สุดในนั้นเป็นของบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้า นี่ก็คือบุคคลในตำนานคนหนึ่ง


บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าถูกเรียกขานอย่างยกย่องว่า ‘บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า’ ครั้งเยาว์วัยเดิมเป็นเด็กเลี้ยงสัตว์คนหนึ่ง พบเจอวาสนาและก้าวสู่หนทางบำเพ็ญกระบี่


จากนั้นเขาผ่านการกรำศึกสามพันปี พิฆาตล้านศัตรูทั่วทิศ กระบี่เทียมฟ้าหนึ่งเล่ม บุกขึ้นสังหารเก้าสวรรค์ เฉือนผ่าลงขุมนรก ประหนึ่งเซียนกระบี่เยือนแดนโลกีย์ ชื่อเสียงสะเทือนโลกบรรพกาล


ต่อมาบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าเบื่อหน่ายการฆ่าฟัน ปลูกเรือนพำนักในนครหยกขาว หยั่งรู้ความลับแห่งจักรวาล สุดท้ายจึงแจ้งมรรค และก่อตั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งนี้ขึ้น!


จนทุกวันนี้ สำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วแดนชัยบูรพามาเนิ่นนาน รากฐานมั่นคงหาใดเปรียบ


มีคำเล่าลือว่ายามบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าตั้งสำนักที่นี่ เดิมนครหยกขาวก็เป็นแดนมงคลบำเพ็ญมรรคที่ชื่อเสียงโด่งดัง ซ่อนมหาศุภโชคอยู่แล้ว


และเพราะที่นี่มีวาสนาชั้นยอด จึงทำให้บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าหยั่งถึงรู้แจ้ง บรรลุจุดสูงสุดแห่งมหามรรคในคราเดียว!


แต่ไม่ว่าอย่างไรตำนานนับไม่ถ้วนนี้ก็เพิ่มสีสันความเร้นลับให้นครหยกขาวขึ้นมากมายโดยปริยาย


ปัจจุบันในแคว้นเรือนหมื่นของแดนชัยบูรพา นครหยกขาวเรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์บำเพ็ญมรรคซึ่งสามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรก



นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง


เมืองแสงทองคือหนึ่งใน ‘ห้าเมือง’ ขนาดใหญ่โตกว่าเมืองที่หลินสวินเคยเห็นช่วงหลายวันมานี้


บนท้องถนนรถม้ารถลากสวนกันขวักไขว่ ผู้คนสัญจรคราคร่ำ เจริญรุ่งเรืองอึกทึกครึกโครม


เวลานี้หลินสวินแปลงเป็นชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาธรรมดา หาได้สะดุดตาไม่


‘น่าสนใจทีเดียว’ เขาสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกปราณที่พบตลอดทาง ไม่ว่าชายหรือหญิง ส่วนใหญ่ต่างพาดกระบี่ยาวไว้ที่หลัง แต่งกายอย่างผู้ฝึกกระบี่


“คอยดูการโจมตีแทงดาราของข้า!”


“หึ กระบวนท่าแสงเคลื่อนเถ้าเหินของข้าล้วนสามารถสังหารเจ้า!”


บนท้องถนนเด็กแก่นกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นสนุก ต่างฝ่ายต่างถือกระบี่ไม้ทำท่าวาดกระบี่ง่ายๆ วิ่งไล่จับกัน


“สะพายกระบี่ศึก นี่คือการกระทำอันเป็นกิจวัตรของอวิ๋นชิ่งไป๋ เมื่อใดที่กรำศึกเขาจะพาดกระบี่เดินทาง หาได้ห้อยกระบี่ไว้ที่เอว” ชายชราด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยรำพึง


“อาจารย์ สิ่งนี้ต่างกันอย่างไร” เด็กสาวคนหนึ่งข้างชายชรากล่าวอย่างใคร่รู้


“ก็ไม่ถึงขั้นแตกต่าง เล่าลือกันว่าอวิ๋นชิ่งไป๋มองกระบี่เป็นดั่งชีวิตเลือดเนื้อตัวเอง ใช้กระดูกสันหลังแบกสะพายแสดงถึงความศรัทธาต่อวิถีกระบี่ หากนำกระบี่ศึกพาดเอวกลับถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นวิถีกระบี่”


ชายชรากล่าวเนิบช้า “แน่นอน นี่เป็นเพียงความเห็นของอวิ๋นชิ่งไป๋ต่อวิถีกระบี่เท่านั้น”


“ถ้าเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกปราณที่สะพายกระบี่ซึ่งเราเห็นตลอดทางล้วนกำลังเลียนแบบอวิ๋นชิ่งไป๋หรือ อิทธิพลของเขาช่างยิ่งใหญ่เสียจริง!” เด็กสาวอัศจรรย์ใจ


“ไม่ใช่แค่เมืองแสงทองนี่ ทั่วทั้งนครหยกขาวอวิ๋นชิ่งไป๋คือผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานคนหนึ่ง ถูกคนรุ่นเยาว์ยกย่องสรรเสริญ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาล้วนถูกเลียนแบบ”


ชายชราทอดถอนใจ “นี่สิถึงเป็นผู้กล้าฟ้าประทานที่แท้จริง ทุกการกระทำนำกระแสนิยมสู่แดนดินฟากหนึ่ง เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว”


ชายชราและเด็กสาวค่อยๆ เดินห่างออกไป แต่หลินสวินกลับตะลึงงันอยู่บ้าง


สำหรับข่าวลือของอวิ๋นชิ่งไป๋ เขาเคยได้ยินมาหลายครั้ง ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนรกร้างโบราณเอย อันดับหนึ่งของผู้อยู่ใต้ระดับราชันเอย… มากมายเหลือเกิน


แต่มีเพียงตอนนี้ที่ทำให้หลินสวินรับรู้ว่าอิทธิพลของอวิ๋นชิ่งไป๋ยิ่งใหญ่ระดับใด!


แค่การกระทำหนึ่งของเขาก็ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเลียนแบบ แม้แต่เด็กน้อยยังรู้จักมักคุ้นกระบวนท่ากระบี่ นี่เห็นได้ว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย


หลินสินหยุดยืนใคร่ครวญครู่หนึ่งค่อยมุ่งหน้าต่อ


อยากรู้จักคนผู้หนึ่ง ฟังเพียงข่าวลือยังไม่พอ ต้องไปที่พักอาศัยของเขา สัมผัสเรียนรู้ด้วยตัวเองถึงจะสามารถรู้นิสัย ความเคยชิน สิ่งที่ชอบของคนผู้นี้


เยือนนครหยกขาวคราวนี้หลินสวินไม่ได้มาแก้แค้น เขาแค่อยากลองดูว่าอวิ๋นชิ่งไป๋นี่ก้าวไปถึงขั้นไหนแล้วกันแน่!



วันแรกที่มาถึงเมืองแสงทองทำให้หลินสวินได้เข้าใจ ตั้งแต่เกิดอวิ๋นชิ่งไป๋ก็เผยลักษณ์ประหลาดต่างจากคนอื่น มีกระดูกกระบี่โดยกำเนิด ถูกเจ้าสำนักสำนักกระบี่เทียมฟ้ารับเข้าเป็นศิษย์ของสำนักด้วยตัวเอง


ยามเขาห้าขวบก็ก้าวสู่ระดับกำลังภายในขั้นเก้า ครองครองนัยเร้นลับวิชากระบี่สิบเก้าวิชา สร้างความตกตะลึงทั่วสำนักกระบี่เทียมฟ้า ถูกขนานนามว่าเด็กอัจฉริยะวิถีกระบี่ซึ่งยากพบเห็นในรอบหมื่นปี


ยามอายุเก้าปี ก้าวสู่ระดับจิตผสานวิญญาณในคราเดียว เข้าสู่การฝึกปราณสายนอกของสำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นกรณีพิเศษ


ปีนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋กลายเป็นศิษย์สายนอกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ไม่มีใครเทียม!


เมื่ออายุสิบสาม อวิ๋นชิ่งไป๋ทะลวงระดับมหาสมุทรวิญญาณ ครอบครองนัยเร้นลับวิชากระบี่สามสิบเจ็ดวิชา เอาชนะศิษย์สายนอกสำนักกระบี่เทียมฟ้า เข้าสู่การฝึกปราณสายใน


เมื่ออายุสิบหก ศิษย์สายในไร้คู่ต่อกรอวิ๋นชิ่งไป๋!


ปีนั้นเขาก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้า ‘ประชันหมื่นกระบี่’ สร้างความฮือฮาทั่วนครหยกขาว


เมื่ออายุสิบเจ็ด อวิ๋นชิ่งไป๋ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ กลายเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ฝากตนเป็นศิษย์ของ ‘เหิงหยาจื่อ’ เจ้าสำนักสำนักกระบี่เทียมฟ้า


ยามอายุสิบเก้า อวิ๋นชิ่งไป๋กลับเงียบหายไปกะทันหัน…


และนับจากปีนั้นข่าวเกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋แทบว่างเปล่า ใครต่างไม่รู้ว่าเขาไปไหน


เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกครั้งก็ผ่านไปแล้วสิบปี


ตัวเขาหลังผ่านไปสิบปียังคงมีปราณระดับกระบวนแปรจุติ นำมาซึ่งเสียงกระทู้ถามไม่น้อย คิดว่าเขามีโอกาสสูงที่จะหมดความสามารถ


แต่ในปีเดียวกันนั้น อวิ๋นชิ่งไป๋หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ฟันสังหารผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันมากกว่าร้อยคน นำมาซึ่งความตกตะลึงทั้งใต้หล้า


เวลานั้นเคยมีอริยะทอดถอนใจ ‘อวิ๋นชิ่งไป๋เจ้าเด็กนี่ เปี่ยมท่วงท่าสง่างามอย่างบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าในปีนั้น’!


นับแต่นั้นมาผู้คนจึงพบว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ได้ครองศักยภาพแห่งอันดับหนึ่งของผู้อยู่ใต้ระดับราชันอย่างไม่อาจโต้แย้ง!


เพียงแต่ยามผู้คนต่างคาดเดาว่าอวิ๋นชิ่งไป๋จะก้าวสู่ระดับราชันเมื่อใดกันแน่ เขากลับหายตัวไปอีกครั้ง


ก่อนหายไปเขาเคยกล่าวว่า ‘วิถีกระบี่แห่งข้า ยามเสาะหาหนทางหลุดพ้นถึงขีดสุดจะกำราบนิรันดร์กาล อยู่เหนือปวงสวรรค์ แต่ตอนนี้วาสนายังไม่พอ!’


จากนั้นเขาก็เริ่มปิดด่าน


กระทั่งปัจจุบันล้วนผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว


บนโลกนี้ไม่มีคนพบอวิ๋นชิ่งไป๋อีก แต่โลกนี้กลับมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋มาตลอด


หลังทราบข่าวพวกนี้ หลินสวินร่ำสุราในโรงเตี๊ยมตามลำพังหนึ่งวัน


คนทั่วไปรู้แค่ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ตอนอายุสิบเก้าเงียบหายไปจากโลกกะทันหัน


แต่มีเพียงหลินสวินที่รู้ชัดว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ตอนอายุสิบเก้ามาเยือนโลกชั้นล่าง ฆ่าฟันคนตระกูลหลินสายตรงแห่งภูเขาชำระจิตทั้งหมด


และชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดจากร่างเด็กทารกที่เพิ่งเกิดมาบนโลกได้ไม่นาน!



เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินออกจากเมืองแสงทอง


หลายวันต่อมาร่องรอยของเขาปรากฏขึ้นต่างเมืองในนครหยกขาว ได้รับฟังข่าวเกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋มากขึ้นเรื่อยๆ


ตัดส่วนที่โอ้อวดเกินจริงออก ก็ทำให้หลินสวินค่อยๆ เข้าใจตัวอวิ๋นชิ่งไป๋มากขึ้น


อุปนิสัยเขาดุจกระบี่ ตัวคนเองก็ดั่งกระบี่ สิ่งที่ตามหาคือมรรคาสมบูรณ์สูงสุด


ในสายตาคนทั่วไป อวิ๋นชิ่งไป๋คือผู้กล้าแห่งสวรรค์ที่จวนสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง เจิดจรัสดั่งสุริยันโชติช่วงบนนภา สาดส่องฟ้าดิน


บางทีนี่อาจดูกล่าวเกินจริง แต่อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ว่ามหามรรคที่เขาเสาะหามีเงื่อนไขที่ละเอียดลออยิ่ง!


‘ประมาณสิบปีก่อนคนผู้นี้ปิดด่านเก็บตัว ไม่รู้ว่าปัจจุบันพลังต่อสู้ของเขาจะบรรลุถึงขั้นไหนกันแน่…’


เมืองนภาม่วง บนท้องถนนที่คึกคักรุ่งเรือง หลินสวินย่างก้าวไปเบื้องหน้า


ยิ่งเข้าใจมากก็ยิ่งทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นศัตรูที่ไม่อาจคาดเดาได้คนหนึ่งอย่างแน่นอน รากฐานพลังของเขาเรียกได้ว่าลึกล้ำยากหยั่งถึง


กระทั่งอาศัยเพียงข่าวคราวที่รับรู้ก็ไม่อาจประเมินได้!


ไม่นานนักหลินสวินมาถึงหน้าหอเก่าแก่สูงราวพันจั้ง ลักษณะคล้ายกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง


หอนี้คือหนึ่งใน ‘สิบสองหอ’ ที่เลื่องชื่อลือนามของนครหยกขาว หอลองกระบี่!


หอสูงพันจั้งตรงดิ่งทะลวงเมฆา รูปร่างคล้ายกระบี่เทพ แผ่ปราณเก่าแก่ไพศาล ภายใต้แสงอาทิตย์กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แผ่อวลชั้นหนึ่ง


หน้าหอลองกระบี่คึกคักยิ่ง ห้อมล้อมด้วยผู้ฝึกปราณมากมาย เป็นคนรุ่นเยาว์เสียส่วนใหญ่ ล้วนมองหอลองกระบี่เก่าแก่ที่สูงเด่นตระหง่านนั่นด้วยความมุ่งมาดปรารถนา


“สิบปีก่อน หรือก็คือก่อนอวิ๋นชิ่งไป๋จะปิดด่าน เคยเข้าสู่หอลองกระบี่ครั้งหนึ่ง ภายในหนึ่งเค่อก็ทะลวงสู่ยอดชั้นเก้า สถิตินี้ตราบปัจจุบันยังไม่เคยมีใครทำลาย!”


ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งทอดถอนใจ


หลินสวินยืนอยู่กลางฝูงชน เงยหน้ามองหอลองกระบี่นั่น สีหน้านิ่งสงบ


ก่อนมาที่นี่เขาก็รู้แล้วว่า สำนักกระบี่เทียมฟ้าจะเปิดประตูรับศิษย์สืบทอดสายในในอีกสิบวันข้างหน้า


เกณฑ์การรับศิษย์สืบทอดนั้นง่ายมาก แต่ก็ยิบย่อยยิ่งเช่นกัน


อันดับแรก อายุต้องไม่เกินสามสิบ


อันดับสอง ภายในหนึ่งก้านธูปต้องทะลวงผ่านชั้นที่หกของหอลองกระบี่


ด้วยเหตุนี้หลายวันมานี้ แต่ละวันจะมีผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์นับไม่ถ้วนจากทั่วสารทิศมาทะลวงด่านหอลองกระบี่


สำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นถึงสำนักโบราณอันดับหนึ่งของแดนชัยบูรพา สามารถกราบเข้าเป็นศิษย์ฝึกตนในนั้นคือเรื่องที่ผู้ฝึกปราณทุกคนถวิลหาแม้ยามฝัน


ทว่าที่สำนักกระบี่เทียมฟ้ารับสมัครคราวนี้หาใช่ศิษย์สายนอกและไม่ใช่ศิษย์สายในทั่วไป แต่เป็นศิษย์สืบทอด


ประกอบกับเกณฑ์การรับสมัครครั้งนี้พิถีพิถันยิ่ง ผู้ฝึกปราณที่มาทะลวงด่านหอลองกระบี่แม้จะมาก แต่ที่สามารถทำสำเร็จกลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


ถึงอย่างไรศิษย์สืบทอดก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นกันง่ายๆ โดยเฉพาะสำนักกระบี่เทียมฟ้ายิ่งไม่ใช่สำนักโบราณทั่วไป


“เฮ้อ คิดทะลวงด่านชั้นที่หกในหนึ่งก้านธูป เกรงว่าต้องมีพลังชั้นยอดระดับหยั่งสัจจะถึงทำได้ อีกทั้งอายุยังต้องต่ำกว่าสามสิบ หากมีคุณสมบัติเช่นนี้คงฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกตนในสำนักโบราณนานแล้ว ไหนเลยยังต้องรอจนป่านนี้”


มีคนทอดถอนใจ รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง


“นั่นสิ จากที่ข้าดูคงมีเพียงผู้กล้าแห่งยุคระดับหยั่งสัจจะที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ผู้ฝึกปราณอื่นอย่าได้เพ้อพกเลย”


คนอื่นๆ ล้วนเห็นด้วย


แต่บางคนก็ไม่เลิกล้ม ยังรอทะลวงด่านหอลองกระบี่ เผื่อว่า… จะสามารถทำสำเร็จ


หลินสวินฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้แค่ผ่านหู เขาตัดสินใจแล้วว่าจะลองทะลวงหอลองกระบี่นี่ เพียงแต่ไม่ได้ต้องการเข้าฝึกตนในสำนักกระบี่เทียมฟ้า


แต่คิดฉวยโอกาสนี้เทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อน อาศัยสิ่งนี้มาคาดเดาพลังต่อสู้ที่อวิ๋นชิ่งไป๋มีในปัจจุบัน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)