Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 979-982
ตอนที่ 979
ชั้นตำราจะมีคำแนะนำปรากฏขึ้นมาด้านนอก เมื่อวางมือไปที่ตำราเล่มนั้นว่าเป็นเทคนิคบ่มเพาะพลังและทักษะประเภทใด และมีคุณลักษณะอย่างไร
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือจำเป็นต้องมีคะแนนแลกเปลี่ยนกับตำราที่ต้องการ
ถ้ามีคะแนนมากพอจะสามารถหยิบยืมมาอ่านได้ทันที และถ้าผ่านไปสิบวันแล้วยังไม่เข้าใจจะต้องยืมใหม่ แต่จะใช้คะแนนเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
หลิงฮันเพียงแค่เดินดูคำอธิบายเท่านั้น อย่างน้อยเขาต้องตัดสินใจก่อนว่าจะเลือกเทคนิคบ่มเพาะพลังใด
เทคนิคบ่มเพาะพลังที่นี่ใช้คะแนนแลกน้อยมาก เพียงแค่ไม่กี่สิบคะแนน แต่ก็มีตำราราคาแพงอยู่เช่นกัน อย่างเช่น อัสนีเร้นลับทลายปฐพี ที่ต้องใช้ห้าพันคะแนนในการแลก หลิงฮันถึงขั้นอุทาน
ใครจะแลกไหว!
แต่เมื่อคำนึงถึงศิษย์โดยเฉลี่ยที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าพันปีในระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุดแล้ว ห้าพันคะแนนถือว่าไม่มากเลย
ซึ่งแน่นอนว่า อัสนีเร้นลับทลายปฐพี ยังไม่ใช้เทคนิคบ่มเพาะพลังที่แพงที่สุด และจะต้องมีตำราที่ใช้คะแนนเป็นหมื่นแลกอย่างแน่นอน
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เทคนิคบ่มเพาะพลังแบ่งออกเป็นสิบระดับ ระดับที่ต่ำที่สุดคือ ระดับหนึ่ง ส่วนระดับสิบคือระดับสูงสุด อย่างเช่นเทคนิคบ่มเพาะพลังเจ็ดดาราที่หลิงฮันเรียนรู้มาก่อนหน้านี้คือเทคนิคบ่มเพาะพลังระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้ฝึกฝนได้ถึงระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุดเท่านั้น
เทคนิคบ่มเพาะพลังระดับสูงสุดของหอตำราชั้นสองคือเทคนิคบ่มเพาะพลังระดับสี่ ตามที่สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าว เทคนิคบ่มเพาะพลังของตระกูลสุ่ย “จันทราแตกดับ” เป็นเทคนิคระดับห้า แต่น่าเสียดายที่สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่กล้านำเทคนิคออกมา มิฉะนั้นนางและหลิงฮันคงถูกฆ่าตาย
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใดหรือจอมยุทธคนใดก็ตาม เทคนิคบ่มเพาะพลังเป็นมรดกที่ล้ำค่าที่สุด และไม่อาจส่งต่อได้โดยง่าย
“เฮ้อ!” หลิงฮันถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาคิดว่าคะแนนหนึ่งพันที่ได้รับจะเพียงพอแลกเทคนิค แต่ตอนนี้มันทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองนั้นยากจนแค่ไหน
“ข้าคงต้องแลกเทคนิคบ่มเพาะพลังระดับหนึ่งก่อน หลังจากที่ทะลวงผ่านขั้นกลางแล้ว ค่อยสะสมคะแนนและแลกเทคนิคบ่มเพาะพลังระดับสูง”
หลิงฮันตัดสินใจ แต่ก็ไม่รีบแลกเทคนิคบ่มเพาะพลังทันที เพราะเขายังไม่บรรลุระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุดอย่างแท้จริง
เมื่อเขาเดินลงบันไดมาชั้นล่างและกำลังจะออกจากหอตำรา เขาก็เห็นเฒ่าฉือลืมตาขึ้นและพูดว่า “เจ้าเดินมากับข้า”
ชายชรากำลังพูดเชิญเขาอย่างนั้นรึ?
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกประทับใจและพูดว่า “ขอรับผู้อาวุโส”
เฒ่าฉือลุกขึ้นยืนและเดินไปอยู่ข้างหน้าหลิงฮัน แล้วเดินนำทาง
สำนักนภาสีชาดมีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นพิเศษ มันมีป่าทึบและสวนอยู่ทุกที่ในสำนัก ทั้งสองคนเดินไปที่ทะเลสาบที่เปล่งประกายระยิบระยับเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้า
“ข้าได้ยินความสำเร็จของเจ้าในเขตแดนลี้ลับมหาสมุทรสวรรค์แล้ว-” เฒ่าฉือหันไปมองหลิงฮันด้วยรอยยิ้ม “ยอดเยี่ยมมาก!”
“ผู้อาวุโสชมข้าเกินไปแล้ว” หลิงฮันกล่าวด้วยความเคารพและสุภาพ
เฒ่าฉือหัวเราะพรางลูบเคราและพูดว่า “ตอนนี้เจ้ามีเทคนิคบ่มเพาะพลังในใจแล้วหรือยัง?”
“ข้ายังไม่มีเทคนิคบ่มเพาะพลังที่สนใจ แม้ข้าจะดูมาหลายเทคนิคแล้ว แต่คะแนนของข้าน้อยเกินกว่าจะแลกเปลี่ยนได้” หลิงฮันส่ายหัว
เฒ่าฉือพูดว่า “ข้ามีเทคนิคบ่มเพาะพลังที่ต้องการถ่ายทอดให้กับเจ้า แต่เจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าเสียก่อน”
“เงื่อนไขของผู้อาวุโสคืออะไรอย่างนั้นหรือ?” หลิงฮันถาม
“ในอนาคตหากเจ้าพบหยกแก่นหัวใจ เจ้าจะต้องนำมันมาให้ข้า!” เฒ่าฉือกล่าวด้วยแววตาที่เปล่งประกาย แต่ก็แฝงด้วยความสิ้นหวัง
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงและพูดว่า “ผู้อาวุโส หยกแก่นหัวใจคืออะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าเจ้าหามันเจ้า เจ้าจะรู้เอง” เฒ่าฉือโบกมือและพูดว่า “แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบันยังอ่อนแอเกินไปที่จะคิดเรื่องพวกนั้น”
“ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะพยายามสุดความสามารถ” หลิงฮันกล่าวด้วยความแน่วแน่
เฒ่าฉือหัวเราะและพูดว่า “ข้ามองคงไม่ผิดจริงๆ”
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “โปรดสอนเทคนิคบ่มเพาะพลังให้กับข้าด้วย!”
“เทคนิคบ่มเพาะพลังที่ข้าจะสอนเจ้ามีชื่อว่าแปดพลังผสาน มันสามาถฝึกฝนได้จนถึงระดับดารา และหลังจากนั้น…เจ้าจะต้องทำความเข้าใจมันด้วยตัวเอง” เฒ่าฉือกล่าว
“ข้าขอถามผู้อาวุโสได้หรือไม่ว่ามันเป็นเทคนิคบ่มเพาะพลังระดับอะไร?” หลิงฮันถาม
เฒ่าฉือคิดอยู่ชั่วครู่และส่ายหัว “ข้าไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นเทคนิคระดับอะไร แต่เท่าที่ข้าทราบคือหลังจากที่ฝึกฝนความเร็วในการก้าวหน้าของเจ้าจะไม่ลดลงจนถึงระดับดารา”
จากนั้นเฒ่าฉือก็นำผลึกหยกออกมาและโยนให้หลิงฮัน แล้วพูดว่า “เทคนิคบ่มเพาะพลังถูกบันทึกอยู่ในนั้นแล้ว เจ้าสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ เจ้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หลิงฮันรับผลึกหยกอย่างระมัดระวัง
หากเป็นไปตามที่เฒ่าฉือพูด เทคนิคบ่มเพาะพลังแปดพลังผสานไม่น่าด้อยไปกว่าเทคนิคที่จอมยุทธระดับดาราฝึกฝน แล้วถ้าเขานำมันไปประมูล ทุกคนจะต้องบ้าคลั่งและทำทุกวิถีทางเพื่อนำมันมาอย่างแน่อน
นั่นเป็นเพราะสมบัติอย่างผลึกภูผาวารีสามารถปั่นอัจฉริยะได้ไม่กี่คนเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเทคนิคบ่มเพาะพลังมันสามารถถ่ายทอดได้หลายคน
หลิงฮันไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ให้คำสัญญาอยู่ในใจว่าถ้าเขาเจอหยกแก่นหัวใจ เขาจะต้องนำมันมาให้เฒ่าฉือให้จงได้
หลิงฮันย้ายไปอยู่ที่อยู่อาศัยใหม่ นั่นเป็นเพราะศิษย์ที่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแล้วจะไม่สามารถอาศัยอยู่กับศิษย์ที่เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติได้ หลังจากที่หลิงฮันย้ายไปอยู่ที่ใหม่ เขาไม่ไปทักทายใครเลย และเริ่มปิดด่านฝึกตนทันที
ตอนนี้มีสองเรื่องที่เขาต้องทำ คือ ฝึกฝนเทคนิคบ่มเพาะพลังแปดพลังผสาน และยกระดับกายหยาบของเขา
ในช่วงที่เขากำลังฝึกฝนอยู่นั้นก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
ถังเฟยประกาศท้าทายหลิงฮัน ตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุดของฝ่ายเหนือด้วยกันทั้งคู่ถือเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม
ถ้าถังเฟยไม่สามารถโค่นล้มหลิงฮันได้ คนอื่นจะสงสัยว่าถังเฟยเป็นอันดับหนึ่งนั้นไม่เป็นความจริง
ตอนที่ 980
ในขณะเดียวกันผู้คนในเมืองจักรพรรดิต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอให้หลิงฮันกับจ้าวหลุนต่อสู้กัน แล้วมันจะเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างอัจฉริยะหน้าเก่าและอัจฉริยะหน้าใหม่
ด้วยเหตุนี้องค์กรใต้ดินได้เปิดตลาดเดิมพันว่าการต่อสู้ครั้งแรกระหว่างหลิงฮันกับจ้าวหลุนนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด หนึ่งปี สองปี สามปี หรือแม้กระทั่งสิบปี ยิ่งเวลาน้อยเท่าไหร่ อัตราต่อรองก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าการเดิมพันครั้งนี้อาจใช้เวลาหลายร้อยปี แต่ก็มีหลายคนที่เข้าร่วมการเดิมพัน
….
ณ ตระกูลหลัว
ใบหน้าของหลัวหงดูซีดขาว การเดินทางเข้าไปในเขตแดนลี้ลับมหาสมุทรสวรรค์ครั้งนี้ตระกูลหลัวลงทุนไปกับมันมาก ทำให้คนของตระกูลหลัวเข้าไปได้สี่คน แต่กลับไม่มีใครได้กลับออกมาเลยแม้แต่คนเดียว!
สิ่งสำคัญที่สุดคือการสูญเสียตาข่ายผนึกสีชาด
ในทางตรงกันข้าม สิทธิ์ในการเข้าเขตแดนลี้ลับมหาสมุทรสวรรค์สี่สิทธิ์ยังเทียบกับมูลค่าของตาข่ายผนึกสีชาดไม่ได้เลย
แม้ว่าตาข่ายผนึกสีชาดจะใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตระดับภูผาวารีเท่านั้น แต่อาวุธระดับศักดิ์สทธิ์ดังกล่าวหาได้ยากและมีค่า ถึงทำให้ตระกูลหลัวต้องใช้จ่ายไปจำนวนมาก
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทั้งที่ส่งคนเข้าไปสี่คนพร้อมกับตาข่ายผนึกสีชาด แต่ทำไมไม่มีใครกลับมาแม้แต่คนเดียว!” หลัวหงทุบโต๊ะด้วยความโกรธ
“ท่านประมุข ใครบางคนบอกว่าหลิงฮันเองก็เข้าไปในถ้ำเปลวเพลิงเหมือนกัน!” หลัวชิงรีบกล่าว เขาเองก็เป็นสมาชิกของตระกูลหลัวเหมือนกัน ด้วยระดับพลังสุริยันจันทราขั้นต้น
แววตาของหลัวหงดูหนาวเย็น เพียงแค่ได้ยินชื่อนั้นทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าเก่าและพูดว่า “เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้ามดปลวกจากโลกใบเล็กนั้นสามารถฆ่าพวกหลัวเจี้ยนได้?”
“เรียนท่านประมุข หลิงฮันคนนั้นเป็นอัจฉริยะระดับสี่ดาว และด้วยความช่วยเหลือจากผลึกภูผาวารี ทำให้เขาทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นต้นได้ ซึ่งอาจทะลวงไปถึงชั้นสูงสุด และพลังต่อสู้ของเขาเองก็ไม่สามารถประมาทได้!” หลัวชิงตอบกลับตามความจริง
หลัวหงส่ายหัวและพูดว่า “คนตระกูลหลัวของพวกเราสี่คนกับตาข่ายผนึกสีชาดจะพลาดท่าได้อย่างไร? พลังต่อสู้ของมดปลวกนั่นจะไปทำอะไรได้? พวกหลัวเจี้ยนจะไม่สามารถรับมือได้อย่างไร?”
หลัวชิงพูดไม่ออก ที่หลัวหงกล่าวฟังดูมีเหตุผล เว้นแต่ว่า…ตาข่ายจะไม่ทำงาน แต่เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?
“ท่านประมุข จะว่าไปแล้วมีข่าวจากสมาคมราตรีนิรันดร์มาว่าการลอบสังหารหลิงฮันเกิดความล้มเหลว และตอนนี้หลิงฮันพัฒนาขึ้นมาก พวกเขากล่าวว่าหากพวกเราต้องการจ้างต่อ พวกเขาต้องการรางวัลตอบแทนเพิ่มขึ้น” หลัวชิงกล่าว
เพล้ง!
“เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง!” หลัวหงทุบถ้วยช้า “แค่จอมยุทธระดับทลายมิติคนเดียวยังจัดการไม่ได้ และปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อ และตอนนี้ยังต้องการรางวัลตอนแทนเพิ่มขึ้นอีก!”
“ถ้างั้น…พวกเราจะยกเลิกค่าหัวหรือ?” หลัวชิงถามอย่างระมัดระวัง
หลัวหงคิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “พวกมันเสนอมาเท่าไหร่?”
“หนึ่งแสน!”
หลัวหงแทบจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดว่า “แค่จอมยุทธระดับภูผาวารีที่ไม่มีภูมิหลัง ทำไมถึงเรียกราคาสูงขนาดนั้น?”
ตระกูลหลัวไม่สามารถจ่ายราคานั้นได้ มันแพงเกินไปสำหรับจอมยุทธระดับภูผาวารี
“เจ้าเด็กนั่นสามารถไปถึงเกาะกลางทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ได้สามครั้ง ดังนั้นราคาค่าหัวเลยสูงขึ้น” หลัวชิงพูดอธิบาย
เหตุผลดังกล่าวหลัวหงไม่ทราบมาก่อน และเมื่อรู้เขาก็ไม่อยากยอมรับมัน
หลังจากที่หลัวหงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็พูดว่า “ข้าตกลง แต่มีเงื่อนไขว่าการตายของเจ้าเด็กนั่นจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
“ขอรับ!” หลัวชิงพยักหน้า เขาเองก็เห้นด้วย
ถึงแม้ราคาจะแพงเกินไป แต่ตระกูลหลัวลงมือด้วยตัวเอง มันจะต้องสาวมาถึงพวกเขา แล้วตระกูลของพวกเขาจะต้องถูกกำจัดอย่างแน่อน
……
เทคนิคบ่มเพาะพลังแปดพลังผสานนั้นยากที่จะฝึกฝน
แต่หลิงฮันมีความเข้าใจที่สูงมาก ผ่านไปแค่เจ็ดวัน เขาก็สามารถเข้าใจส่วนแรกของเทคนิคนี้แล้ว เขาละทิ้งเทคนิคเจ็ดดาราไปและปล่อยให้พลังก่อเกิดไหลเข้าไปในทิศทางใหม่
สิบวันต่อมา หลิงฮันกลับสู่สภาวะปกติ แต่พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมาก
เขาหยุดฝึกฝนเทคนิคบ่มเพาะพลังแปดพลังผสานและหันไปฝึกฝนกายาแทน
เขานำเนื้อพลังปราณออกมา ซึ่งเป็นยาบำรุงยอดเยี่ยม ประสิทธิภาพของมันเหนือกว่าผลึกก่อเกิดเสียอีก ซึ่งเขาเก็บเกี่ยวมันมาได้จำนวนมาก หากเขานำมันไปขายก็จะได้รับผลึกก่อเกิดหลายพันก้อน
เนื้อพลังปราณไม่จำเป็นต้องนำไปปรุงทำอาหาร มันสามารถนำมากินได้เลย เมื่อเนื้อพลังปราณเข้าไปในปาก หลิงฮันรู้สึกเหมือนเขากำลังกินเนื้อในหอคอยทมิฬ รสชาติของมันอร่อยมาก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเนื้อพลังปราณถึงเป็นอาหารเลิศรสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สัตว์อสูรระดับภูผาวารีหนึ่งตัวจะมีเนื้อพลังปราณหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น จึงทำให้มันเป็นที่ต้องการ
เขากินและฝึก กินและฝึกวนไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดกายหยาบของเขาก็ทะลวงผ่านขั้นถัดไป
แต่หลิงฮันยังคงฝึกฝนไม่หยุด เขาต้องรีบทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นกลางให้เร็วที่สุด
เขาเริ่มฝึกฝนเทคนิคแปดพลังผสานส่วนที่สอง ซึ่งต้องใช้เวลาครึ่งเดือน โดยทั่วไป แม้แต่อัจฉริยะของสำนักนภาสีชาดยังต้องใช้เวลาห้าพันปีในการข้ามขั้นตอนนี้ แต่หลิงฮันได้รับความช่วยเหลือจากผลึกภูผาวารี ทำให้เขาประหยัดเวลารวบรวมพลังปราณ และใช้เทคนิคแปดพลังผสานเพื่อทำให้รากฐานมั่นคง แล้วเขาก็จะสามารถทะลวงผ่านขั้นกลางได้ในเวลาอันสั้น
นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก แม้แต่จ้าวหลุนก็ไม่มีทางทำได้เหมือนกับเขา
แต่ถึงแม้หลิงฮันจะมีพรสวรรค์น่าสะพรึงกลัว แต่ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ในข้ามคืน เพราะไม่มีผลึกภูผาวารีให้เขาสร้างภูผาวารีที่สองขึ้น เขาต้องการเวลาอีกเล็กน้อย
ดังนั้น สี่เดือนต่อมา ในที่สุดหลิงฮันก็สร้างภูผาวารีที่สองได้สำเร็จ
เขาออกมาจากหอคอยทมิฬทันที หลังจากที่อยู่ในหอคอยทมิฬมานานครึ่งปี เพราะมันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เปรี๊ยง!
บนท้องฟ้าปรากฏเมฆครึ้มและมีสายฟ้าแลบไปมาอยู่บนก้อนเมฆ
ทัณฑ์สวรรค์ปรากฏออกมาแล้ว
หลิงฮันกระโดดไปจัสตุรัสภายในสำนักเพื่อรับทัณฑ์สวรรค์
ไม่นานหลังจากนั้น สายฟ้าก็ผ่าลงมาที่เขา
ตอนที่ 981
หลิงฮันยืนรับทัณฑ์สวรรค์
เดิมทีด้วยกายหยาบของเขามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะรับทัณฑ์สวรรค์ด้วยกายหยาบเทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองทัณฑ์สวรรค์จึงไม่อาจทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นเขาจะต้องทำลายกระดูกและกล้ามเนื้อแล้วแบกรับทัณฑ์สวรรค์แล้วสร้างขึ้นใหม่ ด้วยการโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เพื่อให้กายหยาบของเขาแข็งแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ครั้งสุดท้ายที่เขารับทัณฑ์สวรรค์เมื่อครึ่งปีก่อน กับตอนนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลิงฮันรู้สึกเจ็บปวดมาก
“หากเจ้าต้องการแข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันในอนาคต เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่คนอื่นไม่สามารถแบกรับได้ มิฉะนั้นเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นได้อย่างไร?” เสียงของหอคอยน้อยดังอยู่ในจิตใจของหลิงฮัน
มันยังคงทำตัวสูงส่งและเทศนาเขาอยู่เสมอ
แน่นอนว่าหลิงฮันทราบเรื่องพวกนั้นดี แต่มันเป็นเขาต่างหากที่ต้องแบกรับความเจ็บปวด เขาต่างหากที่สมควรบ่นมิใช่หรือ?
เปรี๊ยง!
ทัณฑ์สวรรค์ไม่สนใจความรู้สึกของเขา และผ่าลงมาอย่างน่าสะพรึงกลัวราวกับต้องการฆ่าเขา
หลิงฮันได้ทำลายกระดูกและกล้ามเนื้อ แล้วแบกรับพลังอำนาจของทัณฑ์สวรรค์
บางคนเมื่อรับทัณฑ์สวรรค์จะไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในสำนัก เพราะในสำนักนภาสีชาดนั้นมีศิษย์มากเกินไป และมีทัณฑ์สวรรค์ปรากฏออกมาให้เห็นทุกวัน
ดังนั้นจึงมีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ให้ความสนใจกับมัน คือไม่กี่คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
และในตอนนี้ทัณฑ์สวรรค์ได้ผ่าลงมาแล้ว มันจึงเป็นเรื่องยากที่คนธรรมดาจะเห็นร่างของหลิงฮันเลยไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น นอกจากนั้นหลินฮันทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บจนโลหิตท่วมตัว แล้วใครจะจำเขาได้?
หลายคนคิดว่าหลิงฮันถูกทัณฑ์สวรรค์กลืนกิน ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะส่ายหัว แม้พวกเขาไม่รู้ว่าใครกำลังรับทัณฑ์สวรรค์อยู่ แต่คนผู้นี้ช่างไม่พร้อมเอาเสียเลย ทั้งที่ทัณฑ์สวรรค์เพิ่งจะผ่าลงมาเท่านั้น แต่ก็น่าเศร้ายิ่งนักที่เขาไม่สามารถแบกรับมันเอาไว้ได้
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงคือ แม้ว่าคนโง่เขลาผู้นี้จะกลายเป็นกองเนื้อไปแล้ว แต่ทัณฑ์สวรรค์ก็ยังไม่หยุดและผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง นี่แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ยังไม่ตาย!
นี่เขายังไม่ตาย?
พวกเขาจ้องมองด้วยสายตาตกตะลึงและอ้าปากค้าง แต่หลังจากที่ผ่านไปครึ่งวันเท่านั้น กายหยาบของหลิงฮันก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ และเมื่อทัณฑ์สวรรค์หายไป เขารีบนำเสื้อผ้ามาคลุมร่างของตัวเองทันที
ไม่มีทางที่เขาจะล่อนจ้อน ไม่เช่นนั้นเขาจะมีหน้าไปพบคนอื่นได้อย่างไร?
“นี่ เจ้าเห็นหน้าของคนผู้นั้นหรือไม่?”
“ข้าไม่เห็น เขารวดเร็วเกินไป!”
“มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งที่โดนทัณฑ์สวรรค์กระหน่ำผ่าลงมา เหตุใดเขายังมีชีวิตอยู่?”
“หรือว่าเขาจะใช้เม็ดยาในตำนาน เม็ดยาเก้าชีวิต?”
“เจ้าหมายถึงเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ตายเก้าครั้ง แล้วสามารถเกิดใหม่ได้น่ะรึ?”
“นอกจากเม็ดยานั้นแล้ว จะมีเม็ดยาอย่างอื่นอีกหรือไง?”
ในขณะที่ผู้คนกำลังพูดคุยกัน หลิงฮันได้กลับมาที่สวนหลังบ้านใหม่ของเขา เขาอาบน้ำแล้วสวมเสื้อผ้า และนำวัตถุดิบปรุงอาหารออกมาเพื่อทำอาหารกิน หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลาหลายเดือนเขาจึงคิดให้รางวัลตนเอง
“เจ้าเด็กสารเลว เจ้าหายหัวไปไหนมาตั้งหลายวันกัน? เจ้าทำให้ข้าต้องออกตามหาเจ้า!” เจ้าแมวอ้วนปรากฏตัวอยู่บนกำแพงสวน จมูกของมันช่างดียิ่งนักเพียงแค่ได้กลิ่นอาหารของหลิงฮันมันก็มาหาเขาแล้ว
มันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “นี่เจ้าเป็นหมาหรือแมวกันแน่ จมูกของเจ้าถึงดีขนาดนี้?”
“ข้าเป็นพยัคฆ์ขาว!” เจ้าแมวอ้วนกระโจนเข้าหาหลิงฮันทันที
“หืม นี่เจ้าพูดได้ด้วย?” หลิงฮันรู้สึกแปลกใจและเมื่อเจ้าแมวอ้วนพุ่งเข้ามา เขาก็พบว่าตอนนี้ระดับพลังของมันทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแล้ว
ว่ากันว่าเมื่อสัตว์อสูรทะลวงผ่านระดับภูผาวารี มันจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นการที่เจ้าแมวอ้วนสามารถพูดได้คงไม่ใช่เรื่องแปลก
“ข้าเป็นลูกหลานของพยัคฆ์ขาว มันแปลกนักหรือไงที่พูดได้?” เจ้าแมวอ้วนยังคงโจมตีใส่หลิงฮันไม่หยุด ถึงแม้มันจะทะลวงผ่านระดับภูผาวารีและเป็นลูกหลานของพยัคฆ์ขาว แต่ระดับพลังของหลิงฮันนั้นสูงกว่าและยังมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน แล้วเขาจะหวาดกลัวมันได้อย่างไร?
แต่หลิงฮันกลับไม่ตอบโต้ เพราะเขาต้องการดูว่าเจ้าแมวอ้วนนี่แข็งแกร่งแค่ไหน
มันค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว ทั้งที่ระดับพลังของเจ้าแมวอ้วนอยู่ในระดับภูผาวารีขั้นต้น แต่พลังต่อสู้ของมันก็มีมากถึงสี่ดาว นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
“ฮึ่ม สายเลือดของข้ายังไม่ตื่นขึ้นมาเท่านั้นแหละ ไม่เช่นนั้นเจ้าเสร็จข้าไปแล้ว!” เจ้าแมวอ้วนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ขนาดนั้นเลย?” หลิงฮันหัวเราะและโยนลูกบอลฝ้ายออกไป
“เมี๊ยว” เจ้าแมวอ้วนรีบวิ่งไปหาลูกบอลฝ้ายที่หลิงฮันปา เมื่อมันตะปบได้ มันก็หันมามองหลิงฮันด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว “เจ้าเด็กสารเลว นี่คิดว่าข้าเป็นแมวงั้นรึ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มากินเนื้อกันเถอะ อย่าโกรธข้าเลย” หลิงฮันนั่งลงกับพื้น ตอนนี้เขารู้ความแข็งแกร่งของเจ้าแมวอ้วนแล้ว แล้วเขาจะหยอกล้อมันเล่นอีกไปทำไม? ตอนนี้เขาสามารถจัดการเจ้าแมวอ้วนนี้ได้ด้วยนิ้วเดียว
เจ้าแมวอ้วนรีบเดินไปหาหลิงฮันอย่างไม่พึงพอใจ แต่เมื่อเนื้อหลายชิ้นตกเข้าไปอยู่ในท้องของมัน มันก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันทีและเรียกหลิงฮันว่าพี่น้อง
เจ้าแมวอ้วนกินนอนอยู่กับหลิงฮันทุกวัน สองวันต่อมาหลี่เหว่ยเหว่ยก็มาเยี่ยมเขา
“เจ้าโง่หลิง หกเดือนที่ผ่านมาเจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกัน?” หลี่เหว่ยเหว่ยดูโกรธเกรี้ยว เมื่อนางเปิดประตูเข้ามา นางพูดถามหลิงฮันทันที
“ข้าปิดด่านฝึกตน” หลิงฮันตอบกลับอย่างเฉยเมย
“ปิดด่านฝึกตนบ้านเจ้าสิ เจ้ารู้หรือว่าข้าต้องอับอายแค่ไหนเพราะเจ้า!” หลี่เหว่ยเหว่ยโกรธกว่าเดิม
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้า?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้ม
หลี่เหว่ยเหว่ยนั่งลงและหยิบอาหารกินโดยที่ไม่ขอและพูดว่า “ถังเฟยท้าเจ้าสู้ แต่เจ้ากลับไม่โผล่หัวออกมาให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาจึงพูดว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาดและไม่กล้าสู้ด้วย ดังนั้นข้าจึงออกตัวแทนเจ้าว่าเจ้าไม่ใช่คนขี้ขลาดและจะออกมาสู้ด้วยในไม่ช้า”
“แล้วเจ้าสามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้หรือไม่? เจ้าไม่โผล่หัวออกมาให้เห็นตั้งครึ่งปี และตอนนี้ในเมืองจักรพรรดิพูดกันว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวอย่างแท้จริง!”
“ข้าจึงมาที่นี่เพื่อบอกเจ้า!”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ข้าผิดเอง แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในขณะที่ข้ากำลังปิดด่านฝึกตน ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เพราะหลิงฮันกลัวจะถูกรบกวนเขาจึงเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในหอคอยทมิฬ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่นจะหาเขาเจอ
“จริงสิ!” หลี่เหว่ยเหว่ยดูตื่นเต้น “จ้าวหลุนได้ทำการต่อสู้บนลานประลองเหล็กและสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ยี่สิบคนติดต่อกัน แล้วได้รับสมญานามว่าราชาในหมู่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขา!”
“และตอนนี้ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องนี้กันทั้งนั้น ถึงขั้นเดิมพันว่าเจ้าจะต่อสู้กับจ้าวหลุนเมื่อไหร่!”
หลิงฮันดูสนใจเล็กน้อยและพูดว่า “แล้วอัตราต่อรองมันเท่าไหร่กันล่ะ?”
“หนึ่งปีสิบเท่า สองปีเก้าเท่า สิบปีขึ้นไปลงหนึ่งจ่ายสอง สามสิบปีขึ้นไปสองจ่ายสาม หากร้อยปีขึ้นไปอัตราต่อรองจะต่ำมาก” หลี่เหว่ยเหว่ยกล่าว
หลิงฮันยิ้มกว้างและพูดว่า “เจ้าอยากรวยหรือไม่?”
ตอนที่ 982
เมื่อได้ยินคำว่าอยากรวย หลีเหว่ยเหว่ยก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เนื่องจากก่อนหน้านี้หลิงฮันได้หายหน้าหายตา ธุรกิจค้าขายวัตถุดิบจึงต้อถูกล้มเลิกชั่วคราว และด้วยอุปกรณ์มิติของนางกับของจื่อหยุนเอ๋อ วัตถุดิบที่ได้มาจากหลิงฮันล่วงหน้าก็อยู่ได้ไม่เกินสิบวันก่อนจะขายหมด
เรื่องนี้ทำให้สตรีทั้งสองผิดหวังเป็นมาก
“แล้วจะรวยได้อย่างไร?” นางรีบเอ่ยถาม “อีกไม่นานจะมีการประมูลครั้งใหญ่ถูกจัดขึ้น ถ้าข้าหาเงินได้มากก็จะเป็นเรื่องที่ดี!”
“การประมูลอะไรรึ?” หลิงฮันถาม
“ที่เมืองจักรพรรดิจะจัดการประมูลขึ้นในทุกๆช่วงของปี และครั้งนี้เมื่อเขตแดนลี้ลับมหาสมุทรสวรรค์สิ้นสุดลง การประมูลครั้งใหญ่ที่มีของดีมากมายก็ย่อมถูกจัดขึ้นเป็นธรรมดา!” หลี่เหว่ยเหว่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
นางระงับความรู้สึกตื่นเต้นบนใบหน้าก่อนจะกล่าว “เจ้ายังไม่บอกข้าเลยว่าข้าจะรวยได้อย่างไร?”
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่ว่ามีการเดิมพันว่าการประลองของข้ากับจ้าวหลุนจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ไม่ใช่รึไง?”
หลี่เหว่ยเหว่ยเข้าใจทันทีและปรบมือ “เมื่อข้าลงเดิมพัน เจ้าก็จะป้าประลองจ้าวหลุนสินะ… เดี๋ยวก่อน แล้วถ้าหากจ้าวหลุนไม่รับการท้าจากเจ้าล่ะ?”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “นั่นก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย เจ้าจะสามารถเปลี่ยนหัวข้อการเดิมพันได้รึไม่?”
หลี่เหว่ยเหว่ยพยักหน้า นางเข้าใจสิ่งที่หลิงฮันต้องการจะบอก แต่ทันใดนั้นนางก็แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาทันที “ถ้าจ้าวหลุนประลองกับเจ้าขึ้นมาจริงๆ ทำจะทำอย่างไรหากเขามีความคิดจะสังหารเจ้า?”
‘แล้วทำไมข้าจะต้องเป็นกังวลด้วยล่ะเนี่ย!’
นางกล่าวกับตัวเอง
หลงฮันยิ้ม “จ้าวไม่สามารถสังหารข้าได้ ยิ่งกว่านั้นเขาต่างหากที่จะถูกข้าสังหารหากไม่บรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด!”
นี่ไม่ใช่คำพูดโอ้อวด กายหยาบของเขาในตอนนี้เทียบได้กับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามแล้ว แม้แต่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดก็ยังยากที่จะทำให้ร่างกายเขาเป็นรอยขีดข่วน นอกจากนั้นเขาก็ยังมีตาข่ายผนึกสีชาดที่จะผนึกพลังบ่มเพาะของจ้าวหลุนให้ลดต่ำลงมา
ตระกูลหลัวคิดค้นตาข่ายที่ว่าขึ้นเพื่อใช้จัดการกับจ่าฝูงอสูรลาวา ด้วยตาข่ายผนึกสีชาดอันนี้จอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะระดับพระเจ้าชั้นล่างๆจะถูกลดพลังบ่มเพาะ
จ้าวหลุนที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีก็นับว่าเป็นพระเจ้าชั้นล่างเหมือนกัน เขาย่อมได้รับผลกระทบจากตาข่ายผนึกสีชาด ถ้าในช่วงนั้นหลิงฮันใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราโจมตี มีโอกาสสูงมากที่จ้าวหลุนจะตกตาย
แต่บุตรชายเพียงคนเดียวของนายพลจ้าวจะถูกสังหารได้อย่างไร?
คนที่จะสังหารจ้าวหลุนย่อมต้องหวาดกลัวต่อไล่ล่าสังหารของนายพลจ้าวที่ไม่มีกฎหมายใดๆช่วยคุ้มครองได้
แม้หลิงฮันจะสามารถหลบหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬคนเดียวได้ แต่เขายังมีภาระคือจักรวรรดิต้าหลิง!
หลิงฮันส่ายหัว ถ้าเขาสังหารอีกฝ่ายไม่ได้เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าเบื่อเป็นบทเรียนเอง เขาเชื่อว่าตราบใดที่จ้าวหลุนไม่ตาย นายพลจ้าวคงไม่มีทางเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแน่นอน
แต่ปัญหาก็คือถึงแม้จะถูกผนึกด้วยตาข่ายผนึกสีชาด แต่จ้าวหลุนจะพ่ายแพ้ง่ายๆรึ?
อีกฝ่ายคืออัจฉริยะสี่ดาว แม้จะถูกลดพลังบ่มเพาะลงมาแต่เขาก็ยังมีพลังต่อสู้ที่เทียบเท่าระดับภผาวารีขั้นสูงสุดชั้นต้น ส่วนหลิงฮันล่ะ? ตอนนี้เขาเพิ่งทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นกลาง แถมพลังต่อสู้ที่เขาสามารถใช้ให้คนอื่นเห็นได้ก็คือห้าดาวเท่านั้น… หากเขาแสดงพลังต่อสู้ที่เหนือกว่านั้นออกไปก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์แบบใดจะตามมา
ต้องรู้ก่อนว่าแค่ในเขตแดนลี้ลับ ตัวเขาที่แสดงศักยะภาพของอัจฉริยะห้าดาวออกมาก็ทำให้สองจักรวรรดิราชวงศ์หมายหัวคิดจะสังหารเขาแล้ว หากเขาแสดงพลังของอัจฉริยะหกดาวออกไปผู้คนมากมายคงจะหวั่นไหวจนนอนไม่หลับเป็นแน่!
“เจ้ามั่นใจเกินไปแล้ว!” หลี่เหว่ยเหว่ยส่ายหัว “เจ้ายังไม่รู้ว่าหลังจากที่จ้าวกลัวทะลวงผ่านขั้นสูงสุด จักรพรรดินีแห่งดวงดาราได้ตั้งเขาให้เป็นกองกำลังของจักรวรรดิอย่างเป็นทางการ บนธงสัญลักษณ์ของจักรวรรดิมีชื่อเขาอยู่ เมื่อเขาเรียกใช้อำนาจแห่งจักรภพพลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว!”
คิ้วของหลิงฮันขมวดเข้าหากัน ดูถ้าว่าการเอาชนะจ้าวหลุนจะแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว
ถ้าหากต้องการชนะ อย่างแรกเคยคือเขาต้องผนึกพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายด้วยตาข่ายผนึกสีชาดและโจมตีต่อด้วยศรฆ่ามังกรทะลวงดารา เขาไม่สามารถยิงลูกศรไปยังตำแหน่งศีรษะกับหัวใจและโอกาสที่จะโจมตีก็มีเพียงครั้งเดียว
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ถ้าหากจ้าวหลุนประลองกันข้าจริงๆ ข้าเชื่อว่าจะต้องมีพวกโง่ที่คิดจะพนันว่าข้าหรือจ้าวหลุนจะเป็นฝ่ายชนะแน่นอน หรือไม่ก็การพนันว่าจ้าวหลุนจะเอาชนะข้าภายในกี่กระบวนท่าหรือว่าข้าจะเป็นฝ่ายยอมแพ้เอง”
“อืม!” หลี่เหว่ยเหว่ยพยักหน้าเห็นด้วย
หลิงฮันยิ้ม “งั้นพวกเราจะใช้จ้าวหลุนนี่แหละเป็นตัวสร้างความร่ำรวย!”
หลี่เหว่ยเหว่ยตกตะลึงในความมั่นใจของหลิงฮัน เขาเป็นแค่จอมยุทธจากโลกใบเล็กแท้ๆ คนที่ค่อยสนับสนุนก็ไม่มี ทำไมเขาถึงมั่นใจนักหนาว่าจ้าวหลุนไม่สามารถสังหารเขาได้! แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเขามั่นใจในตัวเองเช่นนี้นางจึงได้เชื่อใจเขา
“งั้นก็นำเงินมา ข้าจะใช้มันพนันฝ่ายเจ้าให้เอง!” นางกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หลิงฮันกอบโกยวาสนาได้ไม่น้อยจากเขตแดนลี้ลับ โดยรวมๆแล้วตอนนี้เขามีผลึกก่อเกิดเหลือราวๆสี่พันผลึก เขานำพวกมันทั้งหมดมอบให้กับหลี่เหว่ยเหว่ย
หลี่เหว่ยเหว่ยจากไปอย่างรวดเร็วและกลับมาบอกเขาในวันรุ่งขึ้นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อย่างเดียวที่เหลือคือรอให้เขาไปท้าประลองจ้าวหลุน
หลิงฮันเขียนสารท้าประลองไปติดประกาศยังประตูของสำนักฝ่ายเหนือถึงเรื่องที่จะท้าประลองกับจ้าวหลุน
ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วสำนักฝ่ายเหนืออย่างรวดเร็วราวกับติดปีก หลังจากนัน้ไม่นานก็แพร่ต่อไปทั่วสำนักนภาสีชาด จนไปถึงทั่งเมืองจักรพรรดิ ทุกคนต่างพูดถึงข่าวนี้กันไม่ขาดสายเนื่องจากเป็นการท้าประลองที่มีจ้าวหลุนมาเกี่ยวข้อง
ใครคือจ้าวหลุน?
บุตรชายเพียงคนเดียวของนายพลเจ้า อัจฉริยะในรอบพันปี เขาเป็นต้นอ่อนที่ถูกคาดหวังไว้อย่างมากว่าในอนาคตจะบรรลุระดับดารา!
ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิต่างตั้งตารอดูว่าจ้าวหลุนจะรับคำท้ารึไม่
……
“โอ้ ศิษย์น้องผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก เพียงแค่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีได้ไม่นานก็ท้าประลองจ้าวหลุนเสียแล้ว” ณ สำนักฝ่ายตะวันตก ชายหนุ่มชุดฟ้าคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายใจ
ที่ด้านหลังของเขามีสตรีที่ดูแข็งแกร่งและงดงามยืนอยู่
ท่าทีของนางนั้นเต็มดูแล้วเต็มไปด้วยความขึงขัง ผมสีดำของนางถูกมัดเป็นเปียใหญ่พาดไว้ด้านหลังยาวไปจนถึงสะโพก
เมื่อนางเห็นว่าน้ำชมในแก้วของชายหนุ่มชุดฟ้าเหลือไม่มาก นางก็รีบรินน้ำชาเติมใส่แก้วและกล่าว “นายน้อย ในความคิดของท่านจ้าวหลุนจะรับคำท้ารึไม่?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น