Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 923-926
ตอนที่ 923
ในวันที่สองหลังจากที่จ้าวหลุนส่งของขวัญให้กับหลิงฮัน หลัวป้าได้ออกใบปลิวเพื่อท้าหลิงฮันสู้เป็นตาย
มันไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดา แต่เป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต
ในสำนักนภาสีชาด ถ้าทั้งสองฝ่ายเป็นจอมยุทธระดับเดียวกัน อย่างเช่นระดับภูผาวารีขั้นต่ำหรือระดับทลายมิติ พวกเขาสามารถต่อสู้กันได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ และไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ห้ามให้เกิดการเสียชีวิตหรือพิการขึ้น มิฉะนั้นทางสำนักจะเป็นคนเข้ามาแทรกแซง
ดังนั้น หากต้องการต่อสู้เป็นตายจะต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายตรงข้ามก่อนที่เริ่มต่อสู้กันได้ ในกรณีนั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ท้ายที่สุดก็จะไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่ผานมาหลายปีจำนวนคนที่เสียชีวิตจากการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นมาก
การต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต!
ผู้คนในสำนักรู้สึกประหลาดใจ แม้จะมีหลายคนเคยเห็นจอมยุทธจากโลกใบเล็กมาบ้าง แต่หลิงฮันนั้นแตกต่าง เขาเป็นจอมยุทธที่เปิดสวรรค์ขึ้นมา นั่นหมายความว่าเขาเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติยี่สิบดาว
อย่างไรก็ตาม หลัวป้าน่าจะตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขากับหลิงฮัน ในตอนแรก เขาถูกอีกฝ่ายตบหน้าจนฟันหลุด แต่ตอนนี้เขากำลังท้าหลิงฮันสู้เป็นตาย นี่เขาบ้าไปแล้วหรือ?
หลัวป้าแข็งแกร่งพอที่จะท้าหลิงฮันต่อสู้หรือไม่?
ตอนนี้หลัวป้าเคลื่อนไหวแล้ว เหลือแค่รอหลิงฮันยอมรับคำท้าของเขา
คำตอบของหลิงฮันนั้นง่ายมาก เพียงแค่จ่ายค่าเสียเวลาด้วยผลึกก่อเกิดสิบก้อนให้กับเขา และถ้าเขาเป็นฝ่ายชนะจะต้องจ่ายด้วยผลึกก่อเกิดอีกร้อยก้อน เขาก็จะรับคำท้าแล้ว
แน่นอนว่าหลิงฮันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
หลังจากที่รู้คำตอบจากหลิงฮันแล้ว ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ครั้งนี้หลัวป้าตอบกลับอย่างรวดเร็วและยอมรับเงื่อนไขของหลิงฮํน
พวกเขาทั้งสองคนตกลงที่จะต่อสู้กันในอีกสามวันข้างหน้า
หลิงฮันมั่นใจว่าหลัวป้าจะต้องแข็งแกร่งพอถึงกล้าต่อสู้กับเขา มิฉะนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะส่งผลึกก่อเกิดมาให้เขาและมาให้เขาฆ่า บนโลกใบนี้จะมีคนแบบนั้นได้อย่างไร?
แต่หลิงฮันก็ไม่ได้หวาดกลัว ไม่มีใครอื่นนอกจากตัวเขาว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว
ในเวลาไม่กี่วัน หลัวป้าไม่เพียงบรรลุระดับทลายมิติยี่สิบดาวเท่านั้น แต่ยังเพิ่มขึ้นมาถึงห้าดาว?
ใครจะทำใจเชื่อได้?
หลิงฮันยังคงใช้ชีวิตตามปกติ เขารู้สึกสนใจเฒ่าฉือที่อยู่ในหอตำราเป็นอย่างมาก แม้เขาจะเคยสอบถามข้อมูลของเฒ่าฉือจากคนอื่น แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องของเฒ่าฉือแม้แต่คนเดียว พวกเขารู้แค่ว่าเฒ่าฉืออยู่ที่นั่นมานานมากแล้ว ในหอตำรา ทุกครั้งที่ถูกเฒ่าฉือมองเหมือนกับว่าเขาสามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาเป็นคนที่แปลกประหลาดใจ
หลิงฮันมาที่หอตำราอีกครั้ง และเห็นชายชราฉือยังคงหลับเหมือนครั้งที่แล้ว เขาคำนับและพูดว่า “คารวะผู้อาวุโส”
เฒ่าฉือเงยหน้ามองหลิงฮันด้วยแววตาที่เปล่งประกาย ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติและส่งเสียงกระแอมแล้วพูดว่า “จ…เจ้าฝึกฝนทักษะหกธาตุสำเร็จแล้ว?”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจเลยถามไปว่า “ผู้อาวุโสรู้ได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเจ้าฝึกไม่สำเร็จ ด้วยเวลาแค่หนึ่งเดือนเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร?” เฒ่าฉือตอบกลับ
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ผู้อาวุโสช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก รุ่นเยาว์ผู้นี้รู้สึกชื่นชมท่านจากใจ”
เฒ่าฉือยิ้มและพูดว่า “ยังไงก็ตาม สถานการณ์ของเจ้าในปัจจุบันค่อนข้างเลวร้ายทีเดียว”
หลิงฮันยิ้มกลับและพูดว่า “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ข้าสามารถจัดการได้”
เฒ่าฉือจ้องมองหลิงฮัน หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “เจ้าสนใจเรียนรู้ทักษะลับจากข้าหรือไม่?”
เฒ่าฉือเป็นจอมยุทธที่เก่งกาจอย่างแน่นอน แม้เขาจะพูดปกติ แต่เป็นเหมือนประโยคคำสั่ง
หลิงฮันรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โปรดสอนข้าด้วย”
เฒ่าฉือหลับตาราวกับว่าเขากำลังหลับอยู่ เมื่อหลิงฮันคิดเขาว่ากำลังจะนอนหลับจริงๆ เฒ่าฉือก็เปิดปากพูดว่า “ทักษะลับนี้เรียกว่าจิตเจ็ดสังหารโดยใช้พลังวิญญาณเพื่อโจมตีอีกฝ่าย เมื่อใช้มันใส่ฝ่ายตรงข้ามจะทำให้อีกฝ่ายเป็นอัมพาตชั่วขณะ และหากพลังวิญญาณของเจ้าแกร่งกล้าขึ้น ผลกระทบของมันก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ แม้เขาจะมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทักษะประเภทที่ใช้พลังวิญญาณโจมตี
หากเขาเรียนรู้ทักษะจิตเจ็ดสังหาร เขาก็จะสามารถทำให้อีกฝ่ายเป็นอัมพาตได้ชั่วขณะ
แล้วจะเขาสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?
ในขณะที่ศัตรูเป็นอัมพาตและทำให้อีกฝ่ายหมดสติ เขาก็จะสามารถพาอีกฝ่ายเข้าไปในหอคอยทมิฬได้
เมื่อพาเข้าไปในหอคอยทมิฬเสร็จ เขาก็จะสามารถทำได้ทุกอย่าง!
เมื่อเฒ่าฉือคิดจะสอนเขา แล้วหลิงฮันจะไม่รู้สึกแปลกใจได้อย่างไร?
“แต่ว่าผู้อาวุโส ข้าไม่มีความคิดที่จะเป็นศิษย์ของท่าน” หลิงฮันกล่าว
เฒ่าฉือยิ้มและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก ข้าแค่ถูกใจเจ้าและอยากสอนเจ้าเท่านั้น”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส!” หลิงฮันพูดด้วยความเคารพและพูดต่อว่า “หากเป็นเช่นนั้น รุ่นเยาว์ผู้นี้ก็จะไม่ปฏิเสธความหวังดีของท่าน!”
เฒ่าฉือยิ้มและพูดพึมพัมว่า “บางทีอาจจะมีสักวันหนึ่งที่เจ้าอาจเป็นฝ่ายช่วยข้า”
“มานี่” เฒ่าฉือพยักหน้าให้กับหลิงฮัน
หลิงฮันเดินเข้าไปใกล้และเฒ่าฉือก็เหยียดนิ้วมือออกมา แล้วมีแสงสีขาวอยู่ตรงปลายนิ้วเพื่อที่จะกดทับไปที่หน้าผากของหลิงฮัน
นี่คือประเด็นสำคัญ ถ้าเฒ่าฉือคิดจะฆ่าเขา หลิงฮันจะไม่มีโอกาสเข้าไปหลบซ่อนในหอคอยทมิฬเลย
แต่หลิงฮันเลือกที่จะเชื่อและยืนหยัดอย่างมั่นคง
นิ้วมือของเฒ่าฉือกดไปที่หน้าผากของหลิงฮัน ทันใดนั้นตัวอักษรนับไม่ถ้วนได้หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของหลิงฮันทันที
ตัวอักษรทุกตัวมีความซับซ้อนมากและไม่สามารถอธิบายออกมาด้วยคำพูดได้
หลิงฮันนั่งลงและเริ่มทำความเข้าใจ ทุกครั้งที่เขาเข้าใจมันขึ้นมาทีละเล็กน้อย เขาจะรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเขากำลังทำความเข้าใจอยู่ก็มีใครบางคนตบไหล่และขัดจังหวะเขา
เมื่อหลิงฮันลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นเฒ่าฉื่อกำลังยิ้มให้และพูดว่า “เจ้านั่งสมาธิมาสามวันแล้ว ไม่ใช่ว่าวันนี้เป็นวันที่เจ้าจะต้องออกไปต่อสู้หรอกรึ?”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ นี่ผ่านไปสามวันแล้วรึ ทั้งที่เขารู้สึกเหมือนผ่านไปแค่ชั่วครู่เท่านั้น!
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโส แล้วข้าจะกลับมาหาท่านอีกครั้ง”
“เจ้าไปได้แล้ว” เฒ่าฉือโบกมือลา
ตอนที่ 924
ในขณะเดินไปยังหุบเขาลานประลอง หลิงฮันก็ยังคงคิดถึงทักษะจิตเจ็ดสังหาร ในขณะที่ศึกษาทักษะนี้เขาอดนึกกลับไปถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไม่ได้
ทักษะจิตเจ็ดสังหาร มันคือขั้นที่สูงกว่าของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
หากฝึกฝนสำเร็จในส่วนต้นจะทำให้สามารถใช้สัมผัสสวรรค์โจมตีศัตรูได้ ผู้ที่ถูกโจมตีจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะทำให้สูญเสียความสามารถในการต่อสสู้
ยกตัวอย่างเช่นหากจอมยุทธสองคนมีพลังต่อสู้เท่ากันหรือต่างกันเล็กน้อย หากใช้ทักษะจิตเจ็ดสังหารหยุดการเคลื่อนของอีกฝ่ายเอาไว้ ก็จะสามารถใช้โอกาสใช้จู่โจมและคว้าชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่ว่าหากอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่ามาก แม้จะหยุดการเคลื่อนไหวแต่ก็คงไม่อาจจู่โจมจนได้รับชัยชนะ
แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ถือว่าเป็นทักษะยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ฝืนสวรรค์อย่างแท้จริง มันสามารถทำให้จอมยุทธต่อกรกับศัตรูที่มีระดับพลังสูงกว่าได้
ยิ่งกว่านั้นหลังจากฝึกฝนทักษะจนบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว ผู้ใช้จะสามารถสังหารวิญญาณของศัตรูได้โดยตรง
ในขณะที่คิดเช่นนี้เขาก็เดินมาถึงหุบเขาที่ใช้ประลองแล้ว
นี่คือหนึ่งในสามหุบเขาที่สูงที่สุดของสำนัก ลานประลองขนาดถูกสร้างเอาไว้ที่บริเวณไหล่เขา วัสดุที่ได้สร้างนั้นถูกเสริมให้แข็งทนทาน แม้แต่จอมยุทธระดับภูผาวารีก็ยังยากที่จะทำลาย
“หลิงฮันมาแล้ว!”
เมื่อเห็นหลิงฮันปรากฏตัวที่เชิงเขา ทุกคนก็ส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น
การประลองเป็นตายไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในสำนัก ลูกศิษย์ที่นี่นั้นยังเยาว์วัยและมักจะมุ่งเน้นไปกับการบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียว พวกเขาไม่มีโอกาสได้มีประสบการณ์นองเลือดมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกสนใจในการกระลองเป็นตายอย่างมาก
เส้นทางแห่งวรยุทธนั้นหลีกหนีชะตาแห่งการนองเลือดและการสังหารไม่พ้น
ทุกคนจ้องมองมายังหลิงฮัน ชายคนนี้เป็นตำนานที่แท้จริง ถึงแม้เขาจะเข้าสำนักมาเพียงเดือนเดียว แต่ชื่อเสียงของเขามีมากขนาดไหน?
จักรพรรดิที่เปิดสวรรค์สำเร็จ
ตบหน้าหลัวป้าและข่มขู่ตระกูลหลัว
ได้ครอบครองเทพธิดาของสำนักอย่างสุ่ยเยี่ยนยวี่จนทำให้ทุกคนรู้สึกอิจฉาและยั่วยุจ้าวหลัวจนถูกหมายหัว
ศิษย์ใหม่คนใดบ้างจะอุกอาจได้ขนาดนี้?
“อืม… จักรพรรดิที่เปิดสวรรค์สำเร็จงั้นรึ เช่นนั้นพลังต่อสู้ของเขาก็คงจะบรรลุขีดจำกัดยี่สิบดาว” บนต้นไม้ใหญ่มีรุ่นเยาว์ชุดคลุมเหลืองยืนอยู่ มือทั้งสองข้างของเขาพาดเอาไว้ด้านหลังและมีใบหน้าที่องอาจ
“พี่ชายเย่ ทำไมท่านต้องหวาดกลัวด้วย? ท่านคือจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักฝ่ายตะวันออก ไม่ใช่ว่าเมื่อสิบปีก่อนท่านก็ขัดเกลาพลังต่อสู้จนถึงยี่สิบดาวแล้วรึ?” ข้างๆเขาปรากฏรุ่นเยาว์อีกคนหนึ่ง รุ่นเยาว์ผู้นี้สวมชุดเขียวตั้งแต่หัวจรดเท้า
รุ่นเยาว์ชุดเหลืองแสดงสีหน้าที่แสนภูมิใจออกมาและกล่าว “จวิ้นเหริน เจ้าเองก็ไม่ยอมฝึกฝนให้หนัก พลังต่อสู้ของเจ้าถึงได้หยุดนิ่งอยู่ที่สิบเก้าดาวไม่บรรลุยี่สิบดาวเสียที”
“ฮ่าๆ ท่านก็รู้จักนิสัยข้าดีไม่ใช่รึไง” รุ่นเยาว์ชุดเขียวยิ้ม
ชายชุดเหลืองมีชื่อว่าเย่เชิงหยุน จอมยุทธระดับทลายมิติอันดับหนึ่งของสำนักฝ่ายตะวันออก ส่วนชายชุดเขียวมีชื่อว่าโม่จวิ้นเหริน เป็นสหายคนสนิทของเย่เชิงหยุน พวกเขาทั้งสองเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กราวกับเป็นพี่น้อง
“พี่ชายเย่ นี่ก็ผ่านมานานแล้วแต่ท่านไมยอมทะลวงผ่านระดับภูผาวารีเสียที ท่านคงจะอยากขัดเกลาพลังต่อสู้ในระดับทลายมิติให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ในระยะเวลาร้อยปี ข้าสงสัยจริงๆว่าตอนนี้ท่านจะมีพลังต่อสู้มากถึงกี่ดาวแล้ว?” โม่จวิ้นเหรินกล่าว
เย่เชิงหยุนหัวเราะ “ถ้าหลิงฮันแข็งแกร่งจริง เจ้าก็คงมีโอกาสได้เห็นพลังของข้า”
“พี่ชายเย่ ท่านจะท้าประลองกับจอมยุทธจากโลกใบเล็กรึ?” โม่จวิ้นเหรินแปลกใจ
“นี่ก็หลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้สู้ประลอง ข้าก็กลัวว่าคนอื่นจะลืมข้าไปแล้วเหมือนกัน ฮ่าๆ” สายตาของเย่เชิงหยุนมองตามแผ่นหลังหลิงฮัน ทันใดนั้นเมื่อหลัวป้าปรากฏตัว เขาก็อดแสดงท่าทีตกตะลึงออกมาไม่ได้ “หลัวป้าผู้นี้ไม่ง่ายเสียแล้ว ดูเหมือนพลังต่อสู้ของเขาจะเกินกว่าขีดจำกัดยี่สิบดาว”
“อะไรกัน!” โม่จวิ้นเหรินตกตะลึง
“เขาจะต้องดูดซับสมบัติบางอย่างไปแน่นอน สมบัติที่ว่าจะต้องเป็นสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้เกินยี่สิบดาว” เย่เชิงหยุนคาดเดา
สายตาของเขาเฉียบแหลมมาก สถานการณ์ของหลัวป้าเป็นอย่างที่เขาคาดเดาจริงๆ ศิลาหยาดโลหิตไม่ใช่สมบัติที่ช่วยขัดเกลาพลังต่อสู้ดั้งเดิมของหลัวป้าแต่มันช่วยเพิ่มพลังต่อสู้แทน แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่ต่างอะไรกันอยู่ดี
“ข้าเริ่มคันมือแล้วสิ!” เย่เชิงหยุนหัวเราะและกระโดดลงจากต้นไม้ เขาปรากฏตัวด้านหน้าหลังป้าก่อนจะปล่อยฝ่ามือและกล่าว “หลัวป้า พวกเรามาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันสักสามกระบวนท่า!”
ในสำนักนั้นตราบใดที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากัน การขอแลกเปลี่ยนกระบวนท่าก็สามารถทำได้ทุกเมื่อหากไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตกตายหรือพิการ
หลัวป้าอดคำรามออกมามาได้ ตอนนี้เขารอที่จะฉีกกระชากหลิงฮันให้เป็นชิ้นๆและทำให้อีกฝ่ายอับอายต่อสู้ฝูงชนไม่ไหวแล้ว
เมื่อต้องมาถูกเย่เชิงหยุนรบกวน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอารมณ์เสีย
“ฮึ่ม!” หลัวป้าเค้นเสียงเย็นชาและปล่อยฝ่ายมือต่อต้านเย่เชิงหยุน
‘ปัง!’
เมื่อมือเข้าปะทะกันก็ปรากฏภาพเงาของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนนก ร่างของมันมีสีแดงราวกับเปลวเพลิง มีหกขาสี่ปีกและไม่มีทั้งห้วและปากเนื่องจากมีปีคู่หนึ่งงอกขึ้นมาบนหน้าของมันแทน
แม้ภาพเงาของนกที่ปรากฏจะดูน่าตลกแต่คนที่ดูเหตุการณ์อยู่กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะแม้แต่น้อย
“ตี่เจียง” ใครบางคนอุทานด้วยเสียงสั่น
มันคือสัตว์อสูรระดับพระเจ้า ตี่เจียง!
บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์สัตว์อสูรที่ถูกจัดอยู่ในระดับพระเจ้านั้นไม่ใช่สัตว์อสูรระดับภูผาวารีแต่เป็นระดับสร้างสรรพสิ่ง
หนึ่งฝ่ามือทำให้ปรากฏภาพเงาของสัตว์อสูรระดับพระเจ้านั้นเป็นไปได้อย่างไรกัน?
เย่เชิงหยุนไม่แสดงท่าทีประหลาดใจแต่กลับหัวเราะ “เจ้าดูดซับศิลาหยาดโลหิต? ถ้างั้นการที่มีภาพเงาของเจ้าของโลหิตปรากฏก็ไม่ใช่เรื่องแปลก! แต่ว่ามันก็เป็นแค่ภาพ หากคิดจะชนะข้าแค่นั้นมันยังไม่พอ!”
เย่เชิงหยุนคำรามพร้อมกับแสงสีทองที่ส่องประกายไปทั่วร่าง แสงสีทองนี้ทำให้เย่เชิงหยุนดูแข็งแกร่งอย่างมาก
‘ตูม’ เขายกหมัดและโจมตีเข้าใส่หลัวป้า
ตอนที่ 925
‘ตูม!’
คลื่นปะทะและแสงสว่างแพร่กระจายไปทั่วทิศทาง
แม้จะเป็นการปะทะกันของจอมยุทธที่มีพลังต่อสู้เกินยี่สิบดาวในระดับทลายมิติก็ไม่สามารถทำให้พื้นดินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสียหาย
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ทั้งสองคนล่าถอยพร้อมกันหลายก้าว
การโจมตีเมื่อครู่ ทั้งสองคนมีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน
“อะไรกัน หลัวป้าแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้เลย!”
“อีกฝ่ายเป็นถึงเย่เชิงหยุนแห่งสำนักตะวันออก เขาคือจอมยุทธระดับทลายมิติอันดับหนึ่ง!”
“ข้าได้ยินมาว่าเขาขัดเกลาพลังต่อสู้จนบรรลุขีดจำกัดยี่สิบดาวได้เมื่อหลายปีก่อน ที่เขายังไม่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีก็เป็นเพราะเขาต้องการจะขัดเกลาพลังต่อสู้ระดับทลายมิติให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก”
“บางทีพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้อาจจะเกินยี่สิบดาวไปแล้ว”
ทุกคนอุทานออกมา พลังของเย่เชิงหยุนนั้นเป็นสิ่งที่รู้จักกันที่เพราะเขาเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติอันดับหนึ่งของสำนักฝ่ายตะวันออกและขัดเกลาพลังต่อสู้มาแล้วสี่สิบกว่าปี
แม้แต่เย่เชิงหยุนที่ขัดเกลาพลังมาสี่สิบปียังไม่สามารถเอาชนะหลัวป้าได้อีกรึ?
เหลือเชื่อ!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมหลัวป้าถึงกล้าท้าประลองเป็นตายกับหลิงฮัน ที่แท้ในไม่กี่วันมานี้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าแล้วนี้เอง
“ฮ่าๆๆ ที่แท้พลังต่อสู้ของเจ้าก็คือยี่สิบเอ็ดดาว!” เย่เชิงหยุนหัวเราะและโจมตีใส่หลัวป้าอีกครั้งทันที
‘ตูม! ตูม!’
ทั้งสองคนเข้าปะทะกันโดยไม่มีใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“เจ้าพอใจรึยัง?” หลัวป้ากล่าวอย่างเย็นชา เป้าหมายของเขาคือหลิงฮัน
“ผ่านไปสามกระบวนท่าแล้วรึเนี่ย?” เย่เชิงหยุนกล่าวอย่างไม่พอใจ “ก็ได้ เมื่อเจ้าประลองเสร็จเราค่อยมาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันต่อ” เขาคิดมาตลอดว่าที่ไม่สามารถขัดเกลาพลังต่อสู้ให้เพิ่มขึ้นได้อีกเป็นเพราะเขารู้สึกว่าตนเองไร้เทียมทานแล้ว
การที่หลัวป้ามีพลังต่อสู้เพิ่มมาเป็นยี่สิบเอ็ดดาวนั้นทำให้เขาตาสว่างราวกับพบความหวัง ถ้าเขาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง บางทีเขาอาจจะทะลวงคอขวดสำเร็จก็ได้
หลัวเป้าเดินจากไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงลานประลองทรงสี่เหลี่ยมและมองไปทางหลิงฮันที่กำลังปิดตาอยู่ เขาแสยะยิ้มก่อนจะกล่าว “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะกล้ารับคำท้า!”
ถ้าก่อนหน้านี้หลัวป้าไม่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเย่เชิงหยุน คนอื่นก็คงจะคิดว่าหลัวป้านั้นช่างพูดจาใหญ่โต หลิงฮันเป็นถึงจักรพรรดิที่เปิดสวรรค์ขึ้นมาเชียวนะ พลังต่อสู้ของเขาต้องถึงขีดจำกัดยี่สิบดาวแน่นอน ถ้าหากเขาได้รับวาสนาจากสวรรค์อีกพลังต่อสู้ของหลิงฮันก็อาจจะเกินกว่ายี่สิบดาวแล้วก็ได้
แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าหลัวป้านั้นมีพลังต่อสู้ถึงยี่สิบเอ็ดดาว!
ถึงแม้นั่นจะไม่ใช่พลังของตัวเขาเองแต่เกิดจากการดูดซับศิลาหยาดโลหิต แต่ความจริงที่ว่าวันนี้เขาแข็งแกร่งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
เช่นนั้นแล้ว… หลิงฮันยังกล้าสู้อยู่อีกรึ?
จิตใจของหลิงฮันหมกมุ่นอยู่กับทักษะจิตเจ็ดสังหาร แม้ในสายตาของคนอื่นพลังต่อสู้ยี่สิบเอ็ดดาวของหลัวป้าจะไร้เทียมทาน แต่ในสายตาของเขาพลังต่อสู้ยี่สิบเอ็ดดาวจะนับเป็นอันใดได้?
เมื่อถูกขัดจังหวะตอนกำลังใช้ความคิด เขาก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ไม่ดีและลืมตาขึ้น
หลิงฮันยื่นมือออกไปและกล่าว “ไหนค่าธรรมเนียมของข้า?”
ผู้คนมากมายอ้าปากค้าง
เจ้าต้องการเงินขนาดนั้นเลยรึ? เจ้าไม่รู้หรือไงว่าหลัวป้าในตอนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน?
หลัวป้าหัวเราะและนำผลึกก่อเกิดสิบก้อนออกมา “นี่คือเป็นค่าทำงานศพของเจ้า!”
หลิงฮันเก็บผลึกก่อเกิดและกล่าว “เจ้าต้องวางมัดจำก่อนหนึ่งร้อยก้อน”
“เจ้าชนะข้าแล้วรึไง?” หลัวป้าคำรามทันที
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “กฎก็ต้องเป็นกฎ ทำไมต้องพูดเยอะให้น่ารำคาญด้วย? ถ้าเจ้าไม่จ่ายข้าก็จะได้กลับที่พักไปนอนพักผ่อน”
“ฮึ่ม!” หลัวป้ากัดฟันและสะบัดมือนำผลึกก่อเกิดอีกร้อยก้อนออกมาวาง
“ทีนี้จะสู้ได้รึยัง?” หลัวป้ากล่าว จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอยากจะเข่นฆ่า
ตอนนี้มีจอมยุทธระดับสูงหลายคนมาดูการประลอง อย่างเช่นหลัวข่ายเฟิงที่มาดูเพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับพันธ์กับความเป็นความตายของรุ่นเยาว์ในตระกูล
คนอื่นๆก็มีเหว่ยเชียนฉู่ที่รู้สึกสนใจหลิงฮันเพราะเขาถูกหลัวข่ายเฟิงลากเข้าไปพัวพันด้วยในเหตุการณ์ครั้งก่อน
“เอาล่ะ เลิกลีลากันได้แล้ว” หลิงฮันยิ้ม
หลัวป้าโกรธจนแทบจะครั้ง คนที่ลีลามันเจ้าไม่ใช่รึไง?
‘ปัง’ เขาปล่อยหมัดออกไป ‘พรึบ’ ภาพเงาของสัตว์อสูรระดับพระเจ้าตี่เจียงปรากฏอีกครั้ง
หลิงฮันยกมือซ้ายขึ้นในขณะที่ยืนนิ่งอย่างไม่แยแส เมื่อหมัดของหลัวป้าเข้ามาใกล้ เขาก็สะบัดมือใส่อีกฝ่าย ประกายแสงมากมายหมุนวนไปมารอบมือเขาผสานเป็นอักขระที่ซับซ้อน
ทักษะผนึกพลิกปฐพี!
‘ตูม!’
เมื่อฝ่ามือของหลิงฮันโจมตีกลับไป ร่างของหลัวป้าก็ถูกซัดกระเด็นอย่างไม่อาจต้านทาน กระดูกทั่วร่างของเขาแหลกสลายพร้อมกับกระอักโลหิตออกมา
‘ตุบ’ ร่างของเขาร่วงลงสู่พื้นและแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา พลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบเอ็ดดาวของเขาถูกหลิงฮันสังหารด้วยฝ่ามือเพียงฝ่ามือเดียว?
ผู้ชมโดยรอบนิ่งเงียบราวกับคนตาย
ใครจะไปคาดคิดว่าหลัวป้าที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจะมาอยู่สภาพเช่นนี้? นี่เขาใช่จอมยุทธระดับทลายมิติยี่สิบเอ็ดจริงรึเปล่า… เจ้าไม่ได้หลอกพวกข้าใช่ไหม?
ไม่สิ พลังของหลัวป้าไม่มีทางเป็นของปลอมแน่นอน เขาแข็งแกร่งมากจนถึงกับสามารถปะทะกับเย่เชิงหยุนได้อย่างสูสี เรื่องนี้เป็นข้อพิสูจน์พลังต่อสู้ของเขาได้
สิ่งเดียวที่ทุกคนนึกออกและรู้สึกหวาดกลัวคือ หลิงฮันแข็งแกร่งเกินไปนั่นเอง
พลังต่อสู้ของเขาคือกี่ดาวกันแน่?
ยี่สิบสองดาว?
ปากของเย่เชิงหยุนกระตุกไปมาและใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ พลังของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งจนแม้แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าอยากจะท้าประลองด้วยหรือไม่
ตอนที่ 926
“ข้ากะอยู่แล้วเชียว!” ในตำแหน่งที่ไกลออก หลี่เหว่ยเหว่ยสะบัดมือด้วยความตื่นเต้น นางสงสัยมานานแล้วว่าหลิงฮันจะต้องมีพลังต่อสู้ที่ยี่สิบสามดาวเป็นอย่างน้อย ด้วยความต่างของพลังต่อสู้ยี่สิบสามดาวกับยี่สิบเอ็ดดาว การที่เขาจะบดขยี้หลัวป้าจึงไม่ใช่เรื่องยาก
จื่อหยุนเอ๋อตกตะลึงอย่างมาก ในความคิดของนางพลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบดาวก็นับว่าไร้เทียมทานแล้ว ยี่สิบเอ็ดดาวนั้นเป็นราวกับความฝันลมๆแล้งที่ไม่อาจเอื้อมถึง แต่วันนี้ไม่ใช่แค่จะมีจอมยุทธเช่นนั้นปรากฏตัวถึงสองคน แต่หนึ่งในนั้นยังถูกสังหารภายในหนึ่งฝ่ามืออีกด้วย
นี่หลิงฮันไม่ใช่จอมยุทธระดับภูผาวารีจริงๆรึ?
“ป้าเอ๋อ!” หลัวข่ายเฟิงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับคนตาย
หลัวป้าเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหลัวในรอบร้อยปี ดังนั้นตระกูลถึงยอมมอบสมบัติล้ำค่าอย่างศิลาหยาดโลหิตให้เขาดูดซับ
แต่ตอนนี้หลัวป้ากลับถูกสังหารอย่างง่ายดายไม่ต่างอะไรกับแมลง
จะให้เขายอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและกล่าว “เจ้าคนชั่ว เจ้ากล้าก่ออาชญากรรมในสำนักแห่งนี้ ข้าจะเป็นคนสั่งสอนเจ้าเอง!” หลัวข่ายเฟิงคำรามลั่นและใช้ฝ่ามือหนึ่งกระแทกเข้าใส่หลิงฮัน
นี่คือการโจมตีของจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แน่นอนว่าต้องทรงพลังอย่างมาก
ถ้าหลิงฮันถูกการโจมตีนี้เข้า กระดูกทั่วร่างของเขาต้องแหลกสลายแน่นอน แม้จะเป็นแร่โลหะระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งก็ไม่อาจต้านทานพลังของจอมยุทธระดับตะวันจันทราได้
“ช่างน่าไม่อาย!” หลี่เหว่ยเหว่ยกระโดดด้วยความโมโห นางอยู่ห่างเกินไปและไร้พลังที่จะหยุดอีกฝ่ายได้
จื่อหยุนเอ๋อส่งสัญญาห้ามหลีเหว่ยเหว่ยเอาไว้ “ไม่ต้องกังวล เจ้าหน้าที่ของสำนักไม่มีทางยอมให้เขาทำอะไรบ้าบิ่นแน่นอน!”
เป็นอย่างที่นางว่า เมื่อหลัวข่ายเฟิงโจมตี จางเต๋อหมานและเหว่ยเชียนฉู่ก็เคลื่อนไหวพร้อมกันเพื่อหยุดยั้งหลัวข่ายเฟิง พวกเขากล่าวพร้อมกัน “พี่ชายหลัว โปรดยั้งมือ!”
เมื่อทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน แน่นอนว่าหลัวข่ายเฟิงย่อมไม่อาจทำอะไรได้
หลิงฮันยืนนิ่งโดยไม่รู้สึกกดดันใดๆ
ที่นี่คือในสำนัก ถ้าหลัวข่ายเฟิงลงมือสังหารศิษย์ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องตลกแล้ว
ในสำนักแห่งนี้จะต้องมีผู้อาวุโสระดับสูงที่คอยซ่อนตัวอยู่ในเงามือเพื่อสอดส่องดูแลสำนักอย่างลับๆ พวกเขาสามารถลงมือได้แม้ว่าจะไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น
หลิงฮันหยิบผลึกก่อเกิดร้อยก้อนที่เป็นเงินพนันของเขาขึ้นมาจากพื้น
โชคร้ายที่ร่างอันไร้ชีวิตของหลัวป้าไม่อาจนำไปได้ด้วย ไม่เช่นนั้นในแหวนมิติของอีกฝ่ายคงมีของดีใส่เอาไว้มากเป็นแน่
“เจ้าหนูนั่นสังหารคนของตระกูลหลัวของข้า จะให้ข้าปล่อยเขาไปอย่างนั้นรึ?” หลัวข่ายเฟิงยิ้มอย่างเหี้ยมโหดแม้เขาจะรู้ว่าเขาไม่สามารถสังหารหลิงฮันอยู่แล้วก็ตาม
จางเต๋อหมานเค้นเสียงกล่าว “นี่คือการประลองเป็นตายที่ทั้งสองคนตกลงกันเอาไว้แล้ว ถ้าคนของเจ้าตาย เจ้าก็ต้องโทษคนของเจ้าที่อ่อนแอกว่าเอง”
“แต่เรื่องนี้มันต่างออกไป!” หลัวข่างเฟินส่ายหัว “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินชัดเจนว่าหลัวป้ากล่าวยอมแพ้แล้ว แต่เจ้าวายร้ายนั่นกลับไม่สนใจและแสร้งทำเป็นใช้กฎของการประลองเป็นตายสังหารเขา”
บัดซบ!
เมื่อได้ยินหลัวข่ายเฟิงกล่าวเช่นนั้นทุกคนก็สาปแช่งในใจทันที พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หน้าด้านเช่นนี้มาก่อน! จอมยุทธที่เป็นถึงระดับสุริยันจันทราทำไมถึงได้ทำตัวไร้ยางอายเยี่ยงนี้?
“งั้นทำไมข้าถึงไม่ได้ยิน?” จางเต๋อหมานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“นั่นก็คงโทษได้เพียงว่าพลังบ่มเพาะของน้องจางนั้นยังอ่อนด้อยไปเล็กน้อย” หลัวข่ายเฟิงหัวเราะและมองไปยังเหว่ยเชียนฉู่ก่อนจะหรี่ตา “น้องชายเหว่ย เจ้าก็คงได้ยินเหมือนข้าใช่หรือไม่?”
เหว่ยเชียนฉู่ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังข่มขู่เขาอยู่
ถ้าเขาไม่เชื่อฟังตระกูลหลัวล่ะก็ เพียงแค่ตัวเขาคนเดียวคงไม่หวาดกลัวอะไร แต่ถึงแม้เขาจะไม่มีพื้นพลังที่ทรงอำนาจและบ่มเพาะพลังมาถึงระดับนี้ได้ด้วยตัวเองก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีครอบครัวและทายาท
จอมยุทธจากโลกใบเล็กกับครอบครัวของเขา อะไรจะสำคัญกว่ากัน?
เหว่ยเชียนฉู่ถอนหายใจในใจและกล่าว “ดูเหมือนว่าข้าจะได้ยินหลัวป้าพูดยอมแพ้จริงๆ”
จางเต๋อหมานเกรี้ยวกราดทันที นี่มันจะน่าไม่อายเกินไปแล้ว! แต่เขาก็พอเข้าใจหัวอกของเหว่ยเชียนฉู่ที่เป็นจอมยุทธที่ไม่มีพื้นเพใดๆคอยสนับสนุน เขารู้ดีว่าตระกูลหลัวสามารถเปลี่ยนขาวให้เป็นดำได้
“หลัวข่ายเฟิง เจ้าไม่กลัวว่าการกระทำของเจ้าจะเป็นตราบาปติดตัวจนนอนไม่หลับหรอกรึ?” จางเต๋อหมานกล่าว
หลิงฮันยังคงนิ่งเฉย ตระกูลหลัวจะมีอำนาจถึงขนาดทำทุกอย่างในสำนักได้รึไง?
เหว่ยเชียนฉู่รู้สึกอับอายมาก ทำไมหลัวข่ายเฟิงผู้นี้ต้องลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย! แต่ในเมื่อเขาเล่นตามน้ำไปแล้วก็ไม่มีทางย้อนเวลาไปแก้ไขได้
เขากัดฟันแน่น ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง เงาสีขาวเงาหนึ่งก็แวบบผ่านเข้ามาในสายตา ทันใดนั้นบนไหล่ของหลิงฮันก็ปรากฏแมวอ้วนสีขาว
แมวไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด ผู้คนในเมืองจักรพรรดิเองก็เลี้ยงสัตว์อสูรจำพวกเสือเอาไว้เช่นกัน อย่างเช่นพยัคฆ์เพลิงฟ้าคราม สัตว์อสูรที่ถูกเลี้ยงบางตัวมีพลังบ่มเพาะถึงระดับภูผาวารีด้วยซ้ำ ส่วนแมวตัวนี้มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับทลายมิติเท่านั้น
แต่ประเด็นก็คือทุกคนในสำนักรู้ว่ามีแมวอยู่ตัวหนึ่งที่ห้ามไปล่วงเกิน
หลัวข่ายเฟิงเองก็ชะงักไปเช่นกัน แน่นอนว่าเขารู้ว่าเจ้าสำนักเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง ใครก็ตามที่ทำอะไรแมวตัวนั้นเจ้าสำนักจะลงมือลงโทษด้วยตัวเอง แล้วการที่แมวตัวนี้นั่งอยู่บนไหล่หลิงฮันหมายความว่าอย่างไร?
หลัวข่ายเฟิงรู้สึกเย็นยะเยือก ถ้าหากหลิงฮันมีจอมยุทธระดับดาราอยู่เบื้องหลังล่ะก็ ตระกูลหลัวย่อมไม่มีอำนาจพอจะแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บ
“เมี๊ยว!’ แมวอ้วนขาวสายตามองด้วยความไม่พอใจราวกับจะบอกว่า ข้าหิวแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังไม่ปล่อยให้หลิงฮันไปเตรียมอาหารให้ข้าอีก?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้าแมวอ้วน ไว้เจ้าค่อยตามข้ามาทีหลัง ข้าจะเตรียมเนื้อให้เจ้าจนอิ่มเลย!”
“เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนขาวพยักหน้า
สัตว์อสูรระดับทลายมิตินั้นเริ่มจะมีสติปัญญาแล้ว การที่แมวอ้วนขาวจะพูดจาโต้ตอบกับมนุษย์ได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
“เจ้าแมว มาตรงนี้เถอะ ข้าเองก็มีอาหารอร่อยๆให้เจ้า” หลัวข่ายเฟิงรีบกล่าว ในเมื่อหลิงฮันสามารถใช้อาหารล่อแมวปีศาจนี้ได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้?
เจ้าแมวขาวเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที คิดว่าข้าเป็นแมวตะกละหรือไง?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น